ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

นักพากษ์ในอดีตแห่งเมืองหาดใหญ่

เริ่มโดย Singoraman, 10:27 น. 24 ส.ค 55

dj cop

อ้างจาก: Singoraman เมื่อ 10:27 น.  24 ส.ค 55
วีรบุรุษในเงามืด
รายนามนักพากษ์ที่เคยพากษ์ภาพยนต์ในเมืองหหาดใหญ่
(ภาพจาก หน้าร้านสยาม ถ.แสงจันทร์ หาดใหญ่)
" ดูตามรายชื่อป้ายนักพากษ์ น่าจะตกหล่นรายชื่อคุณทิวา และ ราตรี  ที่พากษ์หนังอินตะระเดีย ในสมัยโน้น....  จำได้หนังอินเดียชื่อโรตี  ทางโรงหนังแจกโรตีเป็นการโปรโมทด้วย  แต่เราจำไม่ได้ว่าใส่ไช่หรือเปล่า 55555  ที่วิกเลิมไทย บนตลาดกิมหยง   รู้สึกดีใจและโชคดีที่เคยสัมผัสอารมณ์ร่วมสมัยกับสมาชิกในกระทู้นี้   และยิ่งรู้สึกประทับใจ และดีใจมากมาย บอกไม่ถูก  พอได้ทราบข่าวจาก  คุณก้อง บุตรชายคุณสิงห์ทอง  นักพากษ์ขวัญใจของเรา  ว่าท่านพำนักที่หน้าโรงเรียนธิดา และมีเบอร์ติดต่อได้ด้วย  ถ้าเราเข้าไปหาดใหญ่อาจจะขอไปเยี่ยมคารวะท่าน นักพากษ์ขวัญใจหนังจีนของเราสมัยวัยทีนเอจ   ท่านพากษ์ได้สนุก มาก ๆ หัวเราะกัน ตกเก้าอี้จริง ๆ   น่าเห็นดูพวกเกิดไม่ทันเราจัริง ๆ 55555      ยิ่งถ้าถึงบทกวน ๆ ยียวนของพวกดาวร้ายละก็   เราอธิบายไม่ถูกว่า มันขำจริง ๆๆๆ เสียงเอื้อน เสียงอ้อน เสียงกวน  หางเสียงพากษ์ ผ่านหมด ได้อารมณ์สุนทรียะ จริง ๆ    ติดตามดูเกือบทุกเรื่องที่ท่านพากษ์  ( ไม่มีตังค์ซื้อตั๋วหนังหรอก  เดินเบียด ๆ แทรก ๆ มุด ๆ เข้าไปน่ะ 5555 )   ไม่เคยรู้จัก และเจอตัวเป็น ๆ ของท่านเลย   ขออำนวยพร ให้ท่านและครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปน่ะ...   เห็นด้วยกับเจ้าบ้าน (ท่านกิม) ที่จะทำกิจกรรมเกี่ยวกับนักพากษ์อาวุโสของหาดใหญ่  ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส-ดีใจ ส-ดีใจ ส-ดีใจ ส-ดีใจ ส-ดีใจ ส.กลิ้ง ส.กลิ้ง ส.กลิ้ง ส.กลิ้ง  เป็นไปได้มัย  ถ้าเราจะเอาหนังและเสียงพากษ์ ของเหล่านักพากษ์อาวุโสในสมัยนั้น  มาฉายในเทศกาลต่าง ๆ  เพื่อรำลึกถึงวันวานของหาดใหญ่   ท่านกิมลองนำไปคิดแลต่ะ...  เราเลิกแลหนังตั้งแต่่ หนังพากษ์เสียงในฟิลม์ส่งมาจากกรุงเทพแล้ว   มันไม่ด้าย.... มันไม่ช่าย.......  น่ะตัวเอง......... "   ส.โบยบิน ส.โบยบิน ส.โบยบิน ส.โบยบิน ส.โบยบิน ส.โบยบิน ส.โบยบิน ส.โบยบิน ส.โบยบิน

เอกพล^^

ตอนเด็กๆ พ่อชอบเรียกให้ไปร้องเพลงที่ดังๆในสมัยนั้นให้ฟัง เพราะพ่อแกไม่มีเวลาเลย ทำงานทุกวัน พากย์สดบ้างอัดเทปบ้าง พอร้องเสร็จแกก็หัดร้องเพี้ยนสุดๆเลย ถามแกว่าทำไมพ่อร้องเพี้ยนจัง พ่อบอก ร้องเพลงเพี้ยนภาษาใต้ คนดูจะฮามาก ก็ไม่เข้าใจหรอก มีวันนึงเข้าไปดูเฉินหลง วิ่งสู้ฟัด พ่อเอาเพลงพงษ์พัฒน์ไปร้องเป็นภาษาใต้ ให้ตายเถอะคนดูฮาประมาณว่าโรงจะแตก ขำกันขี้เยี่ยวราดไปเลย มุกที่คนพื้นถิ่นเท่านั้นจะเข้าใจอีก อู๋มงตะถามพี่หลิวว่าพักนี้เองหายไปไหนมา พี่หลิวตอบ พาสาวไปเดินสันติสุข โหย คนดูตกเก้าอี้คาตาผมเลย เสียดายที่คนรุ่นนี้ไม่มีโอกาสสัมผัส การดูหนังแบบมีนักพากย์ท้องถิ่น เลยอดขำตกเก้าอี้  ส-เหอเหอ

Singoraman

แค่อ่านที่คุณเอกพลเล่าให้ฟัง (เขียนให้อ่าน) ก็ฮาตึมแล้วครับ เพราะบรรยากาศที่ว่ามานั้นผมเองก็เคยสัมผัสมาแล้ว
ขำลิ้งจริง ๆ เลยครับ
ขอบคุณครับ

เณรเทือง

จำได้แล้ว ทิวา-ราตรี พากย์
ช้างเพื่อนแก้ว

คนนรา

ตอนนี้ภาคอื่นจะมีการฉายหนังการแปลงกันมากขึ้น และภาคสดด้วยทำไมภาคใต้เราไม่มีเลยดูจากเว็บนี้

http://www.thaicine.com/main/2012-05-17-09-37-54.html

ตัวอย่างพากษ์สด
http://www.youtube.com/watch?v=Q8ZLJ-HckZk&feature=relmfu

อยากให้ภาคใต้เรามีพากษ์สดแบบนี้อีก

Singoraman


attapong9

ขอสนับสนุน อย่างแรง ถ้าเหมือนก่อนผมแนะนำได้เลยว่าต้องไปที่่ไหน แต่ทุกวันนี้ผมไม่มันใจว่าป้านิจ (อมรา) ครั้งสุดท้ายผมเจอแก่เป้นคนดูแล ห้องเช่า อยู่หลังโรงพักหาดใหญ่ แล้วไม่ทราบว่าทุกวันนี้ ยังมีอยู่หรือเปล่าเพราะผมไม่ได้ไปมาเป็น 10 ปี แล้ว เมื่อก่อน ข้างโรงหนังกิมหยง จะเป็นสถานที่ ของวงการหนังหาดใหญ๋ ไม่ว่าใคร ก็จะรูัจัก ถ้ายังอยู่ที่เดิมก็ไปหาข้อมูลจากตรงนั้น

คนนรา

สงสัยต้องดัน คุณสิงห์ทอง คุณอมรา พากษ์สดให้ลูกหลานให้เราได้ยินกัน สักเรื่องครับ คงสนุกไม่แพ้หนังในฟิลม์เลย สนับสนุนครับ  คิดถึงนักพากษ์ทุกท่าน ครับ   ส.ยกน้ิวให้

คนนี้ที่เห็นผลงานอยู่

ศักดิ์อรุณ

keaw7676

แล้ว "พรศิลป์ ฤทัยทิพย์" ล่ะครับ วิกคิงส์สงขลา ยังจำกันได้มั๊ยครับ

คนป้อมหก

เคยนั่งกินกาแฟกับท่าน พงษ์ทิพย์ ตรงข้ามเฉลิมเขต ดิโอสยาม ประมาณ6-7 ปี จำได้ท่านพากษ์หนังตลก สารวัตรจู๊ฟ หลุยส์ เดอโฟเน่ หนังตลกฟรั่งเศษ ตอนเด็กๆวิกคิงส์หาดใหญ่ ส่วนหนังสารวัตรจู๊ฟ ทางช่องทีวีฟรั่งเศษเอามาฉายใหม่เมื่อ 3 ปีก่อน

Kungd4d

 ส.อ่านหลังสือ บอกได้คำเดียวว่าดูหนังพากษ์สดเมื่อก่อนสนุกมาก ไม่เหมือนปัจจุบันหนังดูยังไงก็ไม่สนุกครับ  ส-ฝนเล็บ ส-ฝนเล็บ

เณรเทือง

ที่รู้มาพงษ์ทิพย์ตายไปนานแล้ว เกิน 10 ปี แน่นอน

บังสหม้อ

สมัยก่อนผมไปเรียนที่ยะลา ไปดูหนังจีนแต่ที่โน้นเค้าก็เสียงพากษ์ สิงห์ทอง ศรีวรรณ เหมือนหาดใหญ่ (สงสัยสายหนังเดียวกัน)
พอพากษ์มุขตลก เกี่ยวกับซอยโอเล่ ที่โน้นเค้าไม่รู้จักซอยโอเล่ มีแต่ผมฮาอยู่คนเดียว ส.หลกจริง


p12

ร่วมสนุกแทงบอลออนไลน์กับsbobetหรือยากจะเล่น คาสิโนออนไลน์เช่นบาคาร่าออนไลน์, คาสิโนเรามีพร้อมให้บริการค่ะ

คนรือเสาะรู้ดี

ขอบคุณที่ยังจดจำและพูดถึง"ทิวา-ราตรี"น้อยคนนักจะรู้จักนักพากษ์2ท่านนี้เพราะท่านตระเวณพากษ์ตามอำเภอเล็กๆ ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน เป็นชาวบางแก้วพัทลุง สัญญลักษณ์ที่ทุกคนเห็นแล้วจำได้แม่นยำคือ ทั้งคู่จะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เห็นคนหนึ่งจะต้องเห็นอีกคน ทิวาผอมแต่สมาร์ท ส่วนราตรีย้อมผมสีทองการแต่งตัวแต่งหน้าทาปากแบบเข้มข้นเห็นชัดเจนและสูบบุหรี่ฉุยๆ
ช่วงพ.ศ.2500-2505บ้านผมอยู่ที่อ.รามัน เป็นโรงแรมจิ้งหรีดสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ถึงจะจิ้งหรีดก็เถอะโทษที..มีอยู่โรงแรมเดียวในอำเภอ ไม่พักที่นี่ก็นอนวัดกับสถานีรถไฟเท่านั้นเอง คนที่มาพักมีตั้งแต่คนจรทั่วไป นักพากษ์หนังธรรมดาๆจนถึงนักร้องลูกทุ่งชื่อกระฉ่อนเมืองไทยสมัยนั้นเช่นสมยศ ทัศนะพันธ์,ก้าน แก้วสุพรรณ,ทูล ทองใจ และอีกหลายสิบท่าน รวมทั้งนักมายากลอมตะของไทย โฉน แสงทองสุข ส่วนทิวา-ราตรีค่อนข้างพิเศษหน่อย เพราะทั้งคู่วนเวียนเอาหนังมาฉายบ่อยเลยมาพักที่บ้านจนสนิทกับเตี่ยและแม่มาก สนิทกันชนิดที่ว่าถ้าหนังไม่ได้เงินค่าที่พักแปะโป้งแล้วยังขอยืมเงินติดตัวเป็นค่ารถค่ากินเพื่อไปตายเอาดาบหน้าอีกต่างหาก
ก่อนที่ครอบครัวผมจะต้องย้ายออกเพราะบ้านถูกเวนคืนผมยังจำภาพที่แม่และเตี่ยยืนจับมือทิวา-ราตรีแล้วพูดทำนองร่ำลาว่าต่อไปคงจะไม่ได้มานั่งคุยกันแบบนี้อีกแล้ว ต่างคนต่างก็น้ำตาซึม
จนพ.ศ.2516-17แม่นั่งขายของแบกะดินในตลาดสดหาดใหญ่ขณะนั้นเราเพิ่งอพยพออกจากอ.รือเสาะได้ไม่ถึงปี ช่วงนั้นหนังอินเดียเรื่อง"ช้างเพื่อนแก้ว"ดังระเบิดเถิดเทิง แล้วก็บังเอิญที่2ผัวเมียทิวา-ราตรีเดินชมตลาดแล้วมายืนจุดบุหรีี่สูบต่อหน้าแม่ผมพอดี แม่น่ะจำไม่ได้หรอกแต่2ผัวเมียคู่นี้จำแม่ได้แม่นยำหันมาเรียกแม่ว่า"ฉี"(แปลว่าเจ๊)พอเห็นแม่มานั่งขายของอย่างลำเค็ญทั้งคู่ก็น้ำตาไหลอีกรอบ เสร็จจากสนทนากันแล้วให้ตั๋วไปดูหนังช้างเพื่อนแก้วฉายที่วิกราม่าอีก10ใบ
นี่แสดงให้เห็นถึงความผูกพันและบ่งบอกว่าทั้งคู่ไม่เป็นคนลืมตัวแม้จะมีฐานะขั้นเศรษฐีแล้วก็ตาม แม่กลับมาเล่าให้ฟังว่าหลังจากครอบครัวเราออกจากอ.รามัน ทิวา-ราตรีก็ตกระกำลำบากตลอดมา เป็นหนี้เขาทั่วสารทิศจนต้องหลบๆซ่อนๆไปตระเวณพากษ์หนังตามชนบททั่วประเทศแล้วแต่จะมีคนจ้าง บางวันได้50บาท และบางเดือนได้พากษ์แค่2วัน อยู่อย่างแร้นแค้นตั้งหลายปี ลูกๆก็ฝากให้ญาติช่วยดูแล หลายๆปีถึงจะได้กลับพัทลุงสักครั้ง จนวันหนึ่งโชคก้อนใหญ่หล่นมาทับอย่างจัง มีคนซื้อหนังอินเดียเรื่องหนึ่ง(ก่อนช้างเพื่อนแก้ว)มาฉายแล้วไม่เวิร์ค ขาดทุนย่อยยับ ทิวา-ราตรีอาสาเอาหนังนั้นไปตระเวณฉายก่อนแล้วค่อยจ่ายทีหลัง ปรากฏว่ามีกำไรพออยู่ได้ จนเขาไว้ใจสั่งหนัง"ช้างเพื่อนแก้ว"มาให้ลองตลาดอีก แล้วก็ดังระเบิดอย่างเหลือเชื่อ จากคนที่มีหนี้สินรุงรังนับแสน กลายมาเป็นเศรษฐีภูธรมีเงินเฉียดล้าน
ผมเองก็ไม่ได้ข่าวคราวท่านทั้ง2นานมากแล้ว ถ้าทั้งคู่ยังแข็งแรงอายุคงจะ80-85ปีน่าจะได้
ขอบคุณที่ช่วยกระตุกความทรงจำครับ

ทายาท กรรณฺการ์ - อมรา

คำขอบคุณจากทายาท ของ กรรณิการ์ - อมรา

      ขอขอบคุณข้อความที่แสดงออกถึงไมตรีที่มีให้แก่นักพากย์ทุกท่าน  รวมถึงคำพูดที่ระลึกถึงบุคคลในวงการหนังภาคใต้ทุกคน  ส่วนตัวแล้วเมื่อได้อ่านทุกโพสข้อความ  ดีใจอย่างที่สุดที่มีคนเข้ามาแสดงความเห็นอย่างหลากหลาย  ข้อความต่างๆที่ทุกท่านบรรยายไว้  ต่างออกมาจากความทรงจำที่ประทับใจของแต่ละคน  อ่านแล้วชวนให้นึกย้อนเวลากลับไปถึงเหตุการณ์ของแต่ละข้อความ  สำหรับท่านที่สอบถามข้อมูลของ กรรณฺการ์ - อมรา ข้อมูลดังนี้ครับ
     " กรรณิการ์ " ( สรวง  ยุทธนา ) เป็นชาวสงขลาโดยกำเนิด  บ้านเดิมเป็นคนสทิ้งหม้อ  อ.สะทิ้งพระ จ.สงขลา  เข้ามาใช้ชีวิตในอ.หาดใหญ่ตั้งแต่ยังวัยหนุ่ม  เริ่มต้นชีวิตด้วยความตั้งใจทำมาหากินแบบลูกผู้ชาย  ทั้งชกมวย ถีบสามล้อ รับจ้าง  จนกระทั่งชีวิตได้รับโอกาสเข้าสู่วงการพากย์หนัง  อันนำมาสู่การเริ่มต้นสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองและครอบครัว     ชาวหาดใหญ่ - สงขลาและผู้คนในแถบจังหวัดใกล้เคียงเริ่มรู้จักและให้การยอมรับในฝีมือการพากย์หนัง  กระทั่งได้แต่งงานกับ " อมรา "  และเริ่มต้นการใช้ชีวิตคู่กันทั้งในการทำงานและชีวิตครอบครัว  ทั้งคู่มีทายาททั้งหมด 4 คน 
     ชีวิตของกรรณิการ์  ขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยการได้รับเลือกเป็น " สมาชิกเทศบาลอำเภอหาดใหญ่ ( สท.หาดใหญ่ ) " ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น สมาชิกเทศบาลเมืองนครหาดใหญ่  ซึ่งนั่นคือความภาคภูมิใจของท่าน  ที่ได้รับโอกาสทำงานในระดับการเมืองท้องถิ่น  อันเป็นความใฝ่ฝันของท่านเสมอมา  ตลอดเวลาของการปฏิบัติหน้าที่   ท่านจะระมัดระวังในการทำงานราชการการเมือง   ไม่ให้เกิดความบกพร่องและช่วยเหลือผู้คนในช่วงเวลานั้นๆอย่างเต็มกำลังความสามารถ  อาจกล่าวบรรยายเหตุการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวถึงท่านในฐานะทายาทได้ว่า   "นายสรวง  ยุทธนา  ไม่เคยปล่อยให้คนที่ลำบากและเข้ามาขอความช่วยเหลือ  จากไปด้วยความผิดหวังเลย  กล่าวกันได้ว่าคนในสมัยนั้นรู้กันเป็นอย่างดี " 
     ในช่วงท้ายของชีวิต " กรรณิการ์ "  เริ่มมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด และเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2529 ด้วยวัย 59 ปี  ( ตรงนี้อ่านข้อความของท่าน attapong9 แล้วอดที่จะอมยิ้มไม่ได้  ขอบคุณคำว่า " สุดยอด " ครับ )

     " อมรา " ( อมรา  ภู่เจริญยศ ) เป็นชาวอำเภอเมืองตรัง  จังหวัดตรัง  ด้วยฐานะของครอบครัวที่ยากลำบาก  ทำให้คุณอมราทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาช่วยเหลือครอบครัว   แต่เนื่องจากครอบครัวยากจนไม่สามารถส่งให้เรียนหนังสือต่อไปได้   คุณอมราจึงใช้ชีวิตในวัยเด็กส่วนใหญ่ไปกับการช่วยเหลือครอบครัวทำงานหารายได้ และ หาโอกาสเรียนรู้สิ่งต่างๆที่สามารถนำมาใช้เพื่อประกอบอาชีพอยู่ตลอดเวลา  จนกระทั่งได้มีโอกาสเข้าไปใช้ชีวิตในวงการหนัง  และเป็นจุดให้ชีวิตได้พบกับ " กรรณิการ์ "  นักพากย์ที่เป็นทั้งคู่ทำงานและคู่ชีวิต 
     คุณอมราใช้ชีวิตในฐานะภรรยาและแม่ของลูก 4 คนอย่างเต็มความสามารถ  ครั้งนึงเมื่อชีวิตถึงจุดพลิกผัน  สามีของท่านถึงแก่ชีวิต  ท่านก็ใช้ความสามารถในการเลี้ยงดูทายาทและทำมาหากินด้วยความอุตสาหะเพียงลำพัง  จนกระทั่งทายาทของท่านทุกคนได้รับความรักและความสุขจนประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างดี
     ปัจจุบันคุณอมรา  ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในวัย 75 ปีอยู่กับบุตรสาวคนสุดท้อง  ผศ.ดร.สุดสรวง  ยุทธนา (  อาจารย์สังกัดภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์  ม.นเรศวร จ.พิษณุโลก )

     สุดท้ายนี้  ขอกล่าวคำขอบคุณอีกครั้งสำหรับความระลึกถึงบุคคลต่างในวงการหนังภาคใต้จากทุกๆท่าน  ขอความสุขและความเจริญบังเกิดแก่ทุกท่านตลอดไป

                                                        ในนามทายาทของ " กรรณิการ์ - อมรา "

Mr.No

อ้างจาก: ทายาท กรรณฺการ์ - อมรา เมื่อ 15:43 น.  11 พ.ค 57
คำขอบคุณจากทายาท ของ กรรณิการ์ - อมรา

      ขอขอบคุณข้อความที่แสดงออกถึงไมตรีที่มีให้แก่นักพากย์ทุกท่าน  รวมถึงคำพูดที่ระลึกถึงบุคคลในวงการหนังภาคใต้ทุกคน  ส่วนตัวแล้วเมื่อได้อ่านทุกโพสข้อความ  ดีใจอย่างที่สุดที่มีคนเข้ามาแสดงความเห็นอย่างหลากหลาย  ข้อความต่างๆที่ทุกท่านบรรยายไว้  ต่างออกมาจากความทรงจำที่ประทับใจของแต่ละคน  อ่านแล้วชวนให้นึกย้อนเวลากลับไปถึงเหตุการณ์ของแต่ละข้อความ  สำหรับท่านที่สอบถามข้อมูลของ กรรณฺการ์ - อมรา ข้อมูลดังนี้ครับ
     " กรรณิการ์ " ( สรวง  ยุทธนา ) เป็นชาวสงขลาโดยกำเนิด  บ้านเดิมเป็นคนสทิ้งหม้อ  อ.สะทิ้งพระ จ.สงขลา  เข้ามาใช้ชีวิตในอ.หาดใหญ่ตั้งแต่ยังวัยหนุ่ม  เริ่มต้นชีวิตด้วยความตั้งใจทำมาหากินแบบลูกผู้ชาย  ทั้งชกมวย ถีบสามล้อ รับจ้าง  จนกระทั่งชีวิตได้รับโอกาสเข้าสู่วงการพากย์หนัง  อันนำมาสู่การเริ่มต้นสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองและครอบครัว     ชาวหาดใหญ่ - สงขลาและผู้คนในแถบจังหวัดใกล้เคียงเริ่มรู้จักและให้การยอมรับในฝีมือการพากย์หนัง  กระทั่งได้แต่งงานกับ " อมรา "  และเริ่มต้นการใช้ชีวิตคู่กันทั้งในการทำงานและชีวิตครอบครัว  ทั้งคู่มีทายาททั้งหมด 4 คน 
     ชีวิตของกรรณิการ์  ขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยการได้รับเลือกเป็น " สมาชิกเทศบาลอำเภอหาดใหญ่ ( สท.หาดใหญ่ ) " ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น สมาชิกเทศบาลเมืองนครหาดใหญ่  ซึ่งนั่นคือความภาคภูมิใจของท่าน  ที่ได้รับโอกาสทำงานในระดับการเมืองท้องถิ่น  อันเป็นความใฝ่ฝันของท่านเสมอมา  ตลอดเวลาของการปฏิบัติหน้าที่   ท่านจะระมัดระวังในการทำงานราชการการเมือง   ไม่ให้เกิดความบกพร่องและช่วยเหลือผู้คนในช่วงเวลานั้นๆอย่างเต็มกำลังความสามารถ  อาจกล่าวบรรยายเหตุการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวถึงท่านในฐานะทายาทได้ว่า   "นายสรวง  ยุทธนา  ไม่เคยปล่อยให้คนที่ลำบากและเข้ามาขอความช่วยเหลือ  จากไปด้วยความผิดหวังเลย  กล่าวกันได้ว่าคนในสมัยนั้นรู้กันเป็นอย่างดี " 
     ในช่วงท้ายของชีวิต " กรรณิการ์ "  เริ่มมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด และเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2529 ด้วยวัย 59 ปี  ( ตรงนี้อ่านข้อความของท่าน attapong9 แล้วอดที่จะอมยิ้มไม่ได้  ขอบคุณคำว่า " สุดยอด " ครับ )

     " อมรา " ( อมรา  ภู่เจริญยศ ) เป็นชาวอำเภอเมืองตรัง  จังหวัดตรัง  ด้วยฐานะของครอบครัวที่ยากลำบาก  ทำให้คุณอมราทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาช่วยเหลือครอบครัว   แต่เนื่องจากครอบครัวยากจนไม่สามารถส่งให้เรียนหนังสือต่อไปได้   คุณอมราจึงใช้ชีวิตในวัยเด็กส่วนใหญ่ไปกับการช่วยเหลือครอบครัวทำงานหารายได้ และ หาโอกาสเรียนรู้สิ่งต่างๆที่สามารถนำมาใช้เพื่อประกอบอาชีพอยู่ตลอดเวลา  จนกระทั่งได้มีโอกาสเข้าไปใช้ชีวิตในวงการหนัง  และเป็นจุดให้ชีวิตได้พบกับ " กรรณิการ์ "  นักพากย์ที่เป็นทั้งคู่ทำงานและคู่ชีวิต 
     คุณอมราใช้ชีวิตในฐานะภรรยาและแม่ของลูก 4 คนอย่างเต็มความสามารถ  ครั้งนึงเมื่อชีวิตถึงจุดพลิกผัน  สามีของท่านถึงแก่ชีวิต  ท่านก็ใช้ความสามารถในการเลี้ยงดูทายาทและทำมาหากินด้วยความอุตสาหะเพียงลำพัง  จนกระทั่งทายาทของท่านทุกคนได้รับความรักและความสุขจนประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างดี
     ปัจจุบันคุณอมรา  ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในวัย 75 ปีอยู่กับบุตรสาวคนสุดท้อง  ผศ.ดร.สุดสรวง  ยุทธนา (  อาจารย์สังกัดภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์  ม.นเรศวร จ.พิษณุโลก )

     สุดท้ายนี้  ขอกล่าวคำขอบคุณอีกครั้งสำหรับความระลึกถึงบุคคลต่างในวงการหนังภาคใต้จากทุกๆท่าน  ขอความสุขและความเจริญบังเกิดแก่ทุกท่านตลอดไป

                                                        ในนามทายาทของ " กรรณิการ์ - อมรา "


ขอบคุณ..สำหรับข้อมูล  และ ต้องฝากความคิดถึงและขอบคุณ(อีกครั้ง) ไปยังคุณ อมรา ซึ่งก็ดีใจที่ทราบว่าท่านมีความสุขดี และพากเพียรจนลูกได้เป็นถึง ครุบาอาจารย์

ขอให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง..และฝากบอกว่า คนหาดใหญ่(ในอดีต) โดยเฉพาะคอหนังฝรั่ง ยังจดจำทั้งสองท่านได้เสมอ.
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

weena.alirahim

ดิฉัน เป็นเด็กหน้าโรงหนัง วิกออโรรา เจ้าของโรงหนังชื่อคุณสุชีพ  อ.เบตง ค่ะ เป็นลูกพ่อมานพ สายะเวส เป็นคนฉายหนังตั้งแต่แรกสร้างโรงหนัง ดิฉันเห็นนักพากย์ทิวา-ราตรี เป็นประจำ อย่างใกล้ชิด เพราะมีสิทธิืขึ้นไปที่ห้องฉายหนังได้ ดิฉันจำได้ว่าทิวา-ราตรีมาทีไร หนังเรื่องนั้นจต้องเป็นหนังดี มีคนมาดูมาก โดยเฉพาะหนังอินเดีย ยังจำได้อีกว่า ทิวา-ราตรี ไม่ได้พากแต่หนังอินเดียอย่างเดียว แต่พากหนังฝรั่งดีๆด้วย ท่านทั้งสองน่าจะได้รับเชิญไปเป็นอาจารย์พากย์หนัง หรือภาพยนตร์ หรือมีโรงเรียนสอนการพากย์หนังให้กับคนรุ่นใหม่ เพราะท่านเป็นต้นตำรับของน้ำเสียง ลีลา เทคนิค การพลิกแพลงการใช้คำให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อม และเป็นคู่สามีภรรยาตัวอย่าง หากท่านหรือลูกหลานท่านมีโอกาสอ่านกระทู้นี้ ขอให้ท่านทั้งสองมีสุขภาพที่แข็งแรง และมีความสุขมากๆค่ะ

ภาพของท่านทั้งสอง ทิวา-ราตรี ยังคงประทับอยู่ในใจอย่างนี้ตลอดไป

Bush

          อ่านมาทั้งหมดก็ภูมิใจครับที่แถวนี้ มีนักพากย์ในดวงใจ   เด็ก ๆ  เราอยู่ทางสุราษฎร์ก็มีทีมงานท้องถิ่น

          เช่น   สีเทา(ตลกเมืองไทย) - รังสิมา  และอีกหลาย ๆ คู่พากย์

          มาอยู่หาดใหญ่ก็รู้จักชื่อที่กล่าวมาหมด



          ติดใจอย่างนึง  ตอนนั้นก็พักที่อาคารสี่แยกสะพานลอยด้านบนนั่นแหละ  เห็นโฆษณา ซุปเปอร์แมนข้างที่

          ทำงานก็ลงมากินน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ซอยข้างวิกเฉลิมไทย เพื่อรอดูซุปเปอร์แมนรอบ 2

         
          ติดใจมานาน  ใครพอจะบอกได้ว่า  ที่คุณ ชัยเจริญพากย์หนะ   เสียงผู้หญิง  แกพากย์เองหรือมีคู่พากย์

            ครับ    อยากรู้จริง ๆ 


mix99

ฝากความรัก เคารพ มายังท่าน อมรา นะครับ ผมยังจำน้ำเสียง ได้ดีเพราะเราชอบเลียนเสียงท่านเวลา เราเฮฮา กับชื่อนักพากย์ที่พูดแนะนำชื่อนักพากย์ว่า กาน นิ กา  ..อำ  มะ รา ปากค์...

Bush

อ้างจาก: mix99 เมื่อ 22:58 น.  12 พ.ค 57
ฝากความรัก เคารพ มายังท่าน อมรา นะครับ ผมยังจำน้ำเสียง ได้ดีเพราะเราชอบเลียนเสียงท่านเวลา เราเฮฮา กับชื่อนักพากย์ที่พูดแนะนำชื่อนักพากย์ว่า กาน นิ กา  ..อำ  มะ รา ปากค์...

              เสียงในลำคอด้วยนะ...เป็นสัญญลักษณ์ของคู่นี้ครับ

Srisri

ตอนเรียนมัธยมอยู่ อ.เมืองสงขลา ได้มาดูหนังที่หาดใหญ่บ้าง นักพากษ์หลายคนที่กล่าวถึงยังจำได้ถึงน้ำเสียงและลีลา แต่เด็กสงขลาต้องจำ พรศิลป์ ฤทัยทิพย์ นักพากษ์วิกเจริญชัยได้ดี  ยังประทับใจลีลาของทั้งสองได้ เสียงนุ่มๆของพรศิลป์ และมุขตลกยังฝังใจอยู่ ตอนนี้อายุก็ 50 กว่าๆแล้ว ถ้ามีโอกาสอยากฟังเสียงพากษ์อีกถ้าเทปเสียงยังอยู่ก็จะดีไม่น้อยครับ ขอคาระวะแด่นักพากษ์ขวัญใจคนหาดใหญ่ สงขลา ทุกคนครับ