ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

"ปัญญา-เรณู"หนังในเสี้ยวชีวิตหนึ่งของ "บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์"

เริ่มโดย หาดใหญ่ใหม่, 09:22 น. 25 ก.พ 54

หาดใหญ่ใหม่

ข่าวโดย สยามดารา


หากเอ่ยชื่อ "บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" หลายคนอาจนึกถึงภาพชายคนนี้ในฐานะพระเอกแถวหน้าของเมืองไทยคนหนึ่ง ที่มีผลงานภาพยนตร์และละครมามากมาย
[attach=1]


แต่ตลอดอาชีพการแสดงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา "บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" ไม่ได้เก็บเกี่ยวเฉพาะประสบการณ์ในงานเบื้องหน้าเท่านั้น แต่ยังครูพักลักจำในงานเบื้องหลังอย่างการกำกับภาพยนตร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้ลองชิมลางงานกำกับไปแล้ว 2 เรื่อง นั่นคือ กระสือ และ ช้างเพื่อนแก้ว

จนล่าสุดพระเอกรุ่นใหญ่ก็ขอหวนคืนสู่การกำกับหนังอีกครั้งกับ "ปัญญา-เรณู"หนังใสๆ ที่มีชื่อคล้ายกับแบบเรียนภาษาไทยในสมัยก่อน และประสบการณ์ชีวิตต่างจังหวัดในวัยเยาว์ของบิณฑ์ ที่ผสมผสานไว้ในหนังเรื่องนี้บวกกับการถ่ายทอดแบบลูกทุ่งเต็มร้อย ภาษาอีสานเพียวๆ จนกลายเป็นความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้

ซึ่งวันนี้พระเอก-ผู้กำกับฯ อย่างบิณฑ์ จะมาเปิดใจถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของ "ปัญญา-เรณู" ให้ได้ฟังกัน

ที่มาของหนังเรื่อง ปัญญา-เรณู?
เป็นความตั้งใจของผมเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว คือว่าเราเป็นเด็กต่างจังหวัด ผมก็เลยมีความรู้สึกว่าอยากจะเอาประสบการณ์ของตัวเองที่เคยอยู่ต่างจังหวัด มีเพื่อนที่เราทำอะไรด้วยกัน แล้วถ้าเราไม่มีความสามัคคีหรือว่าถ้าเราไม่รักกันจริง งานที่เราทำอยู่ก็ไม่มีวันสำเร็จ ถ้าเรารักในสิ่งที่เราทำมันก็จะประสบความสำเร็จ แต่ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ถ้าเราไม่สามัคคีกัน

เรื่องนี้ผมคิดทำมานานแล้ว แต่ด้วยศักยภาพของเด็กที่หามาพูดอีสานไม่ได้เลย ก็เลยไปทำเรื่อง ช้างเพื่อนแก้ว ก่อน จนกระทั่งมาปี 52 ประมาณปลายๆ ปี ก็รู้สึกว่าน่าจะเอาเรื่องนี้มาทำเพราะว่าหนึ่งมันเป็นชีวิตส่วนตัวของผมด้วยที่มีบางเรื่องบางซีนเป็นชีวิตจริงที่เกิดขึ้นมากับตัวเราเองเลย ในหนังเรื่อง ปัญญา-เรณู ก็เลยต้องไปแคสติ้งเด็กที่อุบลฯ หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ผมภูมิใจกว่าเรื่อง ช้างเพื่อนแก้ว หรือเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา ทั้งมุมกล้อง ทั้งอะไรสวย เพราะประสบการณ์เยอะขึ้น ทั้งครูพักลักจำ แล้วที่เราได้ไปเป็นผู้ช่วยเค้าด้วย ก็เลยรู้ว่าควรทำอย่างไร

ทำไมนักแสดงในเรื่องต้องเป็นนักแสดงหน้าใหม่และเป็นเด็กต่างจังหวัดทั้งหมด?
เด็กสองคนผมหวังว่า หนึ่งน้องผู้หญิงคือ "น้องน้ำขิง" ที่เล่นเป็น "เรณู" เค้าเป็นลูกของศิลปินพ่อเค้าชื่อ งามบุญ หงษา ซึ่งเป็นหมอลำที่ดังมากในอุบลฯ เค้าเป็นสายเลือดศิลปินอยู่แล้ว ส่วน "น้องทิว" ที่เล่นเป็น "ปัญญา" เค้าก็ผ่านงานมาแล้วก็คือเล่นเรื่อง ครูบ้านนอก มาแล้ว หน้าตาเค้าก็ดูซื่อๆ

ถ้าไปดูหนังแล้วจะรักสองคนนี้ คือเป็นเด็กต่างจังหวัดทั้งคู่ ผมดูตรงความใสความซื่อผมดูตรงนี้ ผมไม่ได้ดูจุดขาย ผมดูว่าเค้าเล่นได้แล้วเราอยากจะสื่อว่ามันอาจจะคนมีที่มีความสามารถแล้วมีโอกาสเยอะแยะมากมาย ซึ่งเด็กพวกนี้ที่อยู่ในกรุงเทพฯ เค้ามีโอกาสเยอะอยู่แล้ว ทำไมเราไม่มองกว้างบ้างว่า เอาช้างเผือกเข้ามาในนี้บ้าง เอาแต่รับสมัครกันอยู่แต่ในกรุงเทพฯ แล้วเจอแต่ลูกคนรวยทั้งนั้น พวกนี้เค้าพ่อแม่ทำนาทำไร่เค้าก็จะได้มีรายได้เอาไปให้ครอบครัวเค้าด้วย

ตัวของเราคืออยากจะถ่ายทอดสิ่งที่เราชอบแล้วให้คนดูเค้าอาจจะชอบตามเราหรือไม่ชอบตามเราก็แล้วแต่ แต่เรามีเจตนาดี เพราะหนังคนทำหนังทำไมต้องคิดว่าหนังจะต้องได้กำไร ไม่กำไรก็ช่าง จะขาดทุนก็ช่าง ขอให้เป็นหนังดีๆ ออกมาเท่านั้นเอง ผมทำหนังออกมาไม่ได้ตังค์ แต่คนออกมาบอกว่าหนังดีผมก็ดีใจแล้วชื่นใจ ถ้าต้องบอกหนังห่วยก็ไม่เป็นไร เพราะผมทำได้แค่นี้

เบื้องหลังการทำงานในหนังเรื่องนี้?
อยู่ที่อุบลฯ ประมาณ 1-2 เดือน เพราะว่าต้องดูคิวของเด็กๆ ด้วยเพราะเค้าติดเรียน ติดสอบ เท่ากับกินนอนอยู่ที่อุบลฯ นั่นเลย คนจังหวัดนี้น่ารักมากทุกคน แม้แต่เจ้าอาวาสที่วัดที่เราไปพักกินนอน หรือแม้แต่ ผอ.ที่โรงเรียน คือวันที่เค้าเรียนกันเราไปขอถ่ายทำ บอกเค้าว่าอาจารย์ครับ ขอผมถ่ายทำซัก 2-3 ชม. เค้าก็หยุดเรียนกันเลย คือจะไม่ให้เสียงดังกันเลย อาจารย์บอกเชิญเลยครับ กองถ่ายๆ ให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยเรียนกันต่อ ให้ความร่วมมือกันดีมาก แล้วเราก็จะเอาเด็กของเค้าเข้าถ่าย เด็กๆ ก็ได้วันสองสามร้อย เราก็ให้เป็นรายได้ของเด็กจะได้ไม่ต้องไปขอพ่อแม่ เงินทองที่ใช้ในกองถ่ายตอนอยู่นั้นประมาณ 6-7 ล้านบาท

ทำไมหนัง '"ปัญญา-เรณู" ต้องเป็นภาษาอีสาน?
ผมอยากให้มันเป็นธรรมชาติ พวกเค้าเป็นคนอีสาน ให้เค้ามาพูดภาษากลางเค้าพูดคำตกอีสานคำ อันนี้มันเอาธรรมชาติเค้าเลย พูดอีสานเลยทำให้เค้าเข้าใจง่าย เค้าจะพูดอิสระของเค้าเลย แต่เราก็ต้องมาทำซับเป็นภาษาไทยเท่านั้นเอง แต่ถ้าคนเข้ามาดูในโรงหนังแล้วมีซับไตเติล เค้าน่าจะเข้าใจความหมายนะ เพราะว่าผมดูหนังเรื่อง สิบห้าค่ำ แหยมยโสธร เค้าก็พูดภาษาอีสานนะ

ความคาดหวังกับหนังเรื่องนี้?
ไม่รู้นะ แล้วแต่คนชอบผมว่า ฉายไปแล้วจะได้สักล้านสองล้านก็ไม่เป็นไร ผมว่าคนเข้าไปดูหนังผมร้อยคนออกมาคนหนึ่งแล้วบอกว่าหนังดีผมก็ดีใจ ผมไม่ได้ตั้งเป้าไว้ว่าหนังต้องได้ห้าหกสิบล้าน ไม่ใช่ เอาแค่ผมไม่ขาดทุนเท่าไหร่ก็โอเค ผมยอมที่ตรงนั้น แต่ว่าหลายคนที่ดูเสร็จแล้วก็ว่าหนังจะขายอะไร กลัวฉายไปแล้วจะไม่ได้ตังค์ ฉายไปแล้วไม่มีคนมาดู ผมก็ว่าไม่เป็นไรเพราะผมทำหนังไม่ได้คิดเรื่องการตลาดเลยว่าต้องเอาใครมาเล่นต้องทำอย่างไร ผมชอบพลอตเรื่องอย่างนี้ แต่ก็มีผู้หลักผู้ใหญ่ที่เค้าดูแล้วเค้าชอบมาก อย่างพี่หมึกดำเค้าก็บอกว่าชอบหนังเรื่องนี้มาก รองมาจากสิ่งเล็กๆ และผมก็ให้หลายๆ คนดูซึ่งก็หลายความคิด เค้าก็บอกว่าหนังเรื่องนี้มันขายยากไม่รู้จะขายอย่างไร แต่เค้าก็บอกกันว่า ไม่เป็นไรขาดทุนก็ช่างมัน ทำหนังให้ได้อะไรต่อสังคมไม่ได้ตังค์ก็ช่างมัน

สุดท้ายนี้ มีอะไรอยากจะฝากถึงผู้ชมบ้างครับ?
ก็ดูแล้วกันว่าหนังเดี๋ยวนี้มันหลายหลาก บางทีหนังไม่มีสาระอะไรเลยคนชอบไปดู หนังได้ตังค์ ไปดูหนังที่พูดจากันหยาบคาย แต่หนังได้ตังค์ทำไมหนังที่มีคุณภาพไม่มีคนดู ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้คนดูต้องการอะไร ต้องการความหยาบคายหรือว่าต้องการอะไรที่ดูแล้วมันมีคุณค่า ดูแล้วมีคุณภาพ ก็เลยอยากให้ลองดู ปัญญา-เรณู ซักเรื่องหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่หนังที่หวือหวา ไม่ใช่แบบน้ำตาลแดง ไม่ใช่อะไรแบบที่มันตลกจนดูแล้วหยาบเกิน จนเราไปดูว่าเซนเซอร์ให้ออกมาได้อย่างไร ก็ลองไปดูปัญญา-เรณู แล้วกัน ถ้าดูว่าดีก็บอกต่อกันไป ถ้าดูไม่ดีก็บอกต่อไปว่าไม่ดี อย่าไปดูเท่านั้นเอง
หาดใหญ่ใหม่ www.facebook.com/hatyaimai
เมืองหลวงภาคใต้ หลากหลายเรื่องราว บอกเล่าแบ่งปัน