ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ขับรถเกียร์ออโต้ให้ถูกวิธี

เริ่มโดย ฟานดี้, 16:24 น. 25 พ.ย 53

ฟานดี้

Overdrive เป็นระบบที่ใช้เกียร์ที่มีอัตราทดต่ำกว่า 1 และจะทำงานเป็นเกียร์สูงสุด (เกียร์ 4) พูดง่ายๆ Overdrive
คือเกียร์ที่มีอัตราทดต่ำกว่าหนึ่ง (ในที่นี้พูดถึง เกียร์ j โดยทั่วไป เกียร์ออโต้ส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะมี 4 เกียร์ ในบางรุ่นถึงมี 5 เกียร์)
ผลของจากการใช้ Overdrive จะทำให้ประหยัดน้ำมันเพราะรถวิ่งที่รอบ ต่ำกว่า แต่อาจมีกำลังไม่พอในการเร่งแซงเฉียบพลัน ....
การวิ่งในเมืองส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เกียร์ต่ำความเร็ วไม่สูงมาก เกียร์ Overdrive จะไม่ค่อยได้ทำงานเท่าไรนัก ดังนั้นจะเปิด
หรือปิดก็ไม่ต่างกันมากนักทั้งการขับขี ่และความประหยัด แต่ถ้าวิ่งทางโล่งในบางโอกาส และอาจจะต้องการเร่งแซงเฉียบพัน
ขณะอยู่ในเกียร์O/D (เกียร์ 4) ก็อาจเลือกการปิดระบบ OD แล้วเร่งแซง (เพราะการกดคันเร่งเพื่อให้เกียร์ kickdown
ในบางครั้งอาจจะเสียเวลาไม่เฉียบพลัน) ....ทั้งนี้ระบบ Overdrive ทำมาเพื่อให้เปิดไว้โดยตลอดเพื่อให้ได้ความประห ยัด
แต่เมื่อมีเหตุจำเป็นที่จะต้องเร่งแซงรถข้างหน้าอย่า งเฉียบพลัน ขณะท ี่ Overdrive ทำงานนั้น ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งในเมืองหรือ
นอกเมือง เพื่อความปลอดภัย (ในกรณีที่เป็นทางมีรถสวน) ควรจะปิด Overdrive แล้วเร่งแซง อีกหนึ่งตัวอย่างคือขับรถขึ้นเนิน
ที่ความเร็วไม่สูงม ากนักควรจะปิด Overdrive เพราะรถจะมีกำลังไม่พอในการรักษาความเร็วขณะขึ้ นเนิน ก็ขึ้นอยู่อีกว่าเนินชันแค่
ไหนอีกนั่นเอง ซึ่งในบางครั้งถ้าเนินชันมากๆ เกียร์ สูงๆ มี กำลังไม่พอเพื่อป้องกันไม่ให้เกียร์เปลี่ยนไปเปลี่ยน มาระหว่างเกียร์ สองเกียร์
ก็ควรเปลี่ยนเกียร์จาก D มาเป็น 2 หรือ L ก็แล้วแต่ความเหมาะสม .......
...สำหรับการเปิดใช้ Overdrive นั้น เมื่อเปิด ไฟ "O/D off" ที่ไมล์จะดับ (ปุ่ม O/D กดเข้า) ซึ่งระบบ Overdrive
ควรจะเปิดอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว (จุดประสงค์ของระบบ Overdrive ทำมาเพื่อให้เปิดไว้ตลอด และปิดเป็นบางครั้งบางคราวเมื่อจำเป็น)
และไฟ "O/D off" จะติด (ปุ่ม O/D กดออก) เมื่อ ปิด ระบบ Overdrive เพื่อเตือนผู้ขับขี่ว่าขณะนี้ระบบ Overdrive ปิดอยู่
ควรจะเปิดไว้ยกเว้นในกรณีจำเป็น (แต่จริงๆแล้วตรงจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ขับขี่)..... .......
... ส่วนระบบที่ทำให้รถสามารถลากรอบสูงขึ้นได้นั้น ไม่ใช่ระบบ Overdrive (ตรงนี้มีผู้เข้าในผิดอยู่หลายคนแม้แต่ ช่างซ่อมรถยนต์)
แต่จะเป็นระบบในรูปแบบของ ระบบ ECT (Electronically Controlled Transmittion) ซึ่งระบบนี้สามารถที่จะใช้ระบบไฟฟ้า
ควบคุมลักษณะในกา รเปลี่ยนเกียร์ทำให้ สามารถเล่นรอบได้เหมือนกับเกียร์ธรรมดา และปุ่มที่ควบคุมระบบนี้ส่วนใหญ่จะ
เป็นปุ่ม manual/power หรือ standard/sport
......ในเกียร์ออโต้ของเครื่อง J ที่เห็นมาก็จะมีทั้งสองระบบ คือ มีปุ่ม OD และ ปุ่ม manual/power....

---เพิ่มเติม---
...manual/power เป็นปุ่มควบคุมระบบ ECT (Electronically Controlled Transmission)
หรือระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ด้วยไฟฟ้า... ระบบนี้จะมี 2 โหมดให้เลือก คือ manual (ธรรมดา) และ power...
ถ้าขับรถธรรมดาไม่ต้องการความหวือหวาเท่าไรก ็ โหมด manual แต่ถ้าต้องการความมันปรู๊ดปร๊าดซึ่งมากกับความเ ปลือง น้ำมันแล้วก็
โหมด power ซึ่งระบบจะควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งสามารถทำให้ไล่รอบได้สูงกว่าปกติ จนถึง redline หรือประมาณ 7000 รอบ
(ถ้ากดมิดนะครับ) และ ทำให้การตอบสนองกับความต้องการความเร็วความบ้าร ะห่ำด ีกว่า โหมด Manual .... ถ้าไม่ได้ต่อสวิทซ์
ควบคุมระบบ ปกติก็จะอยู่ที่ โหมด Manual แต่ถ้าต่อไฟผ่านสวิทซ์เข้ากล่อง ECU เมื่อเปิดสวิทซ์ไฟเข้าก็จะเข้าสู่โหมด Power ครับ...
หรือบางคนอยากแรงตลอดเวลาก็ต่อไฟตรงเข้ากล่องเล ยก็ได ้ ก็จะอยู่ที่ โหมด Power ตลอดนั่นเอง....
----------------------------------------------------------------

จากที่อ่านๆมาทั้งหมด สรุปคือ Overdrive ก็เหมือนกับ เกียร์ 5 อ่ะครับ แต่ถ้าไม่เปิดสวิท มัน ก็จะใช้แค่ 4 เกียร์ อัตตราทดจะไม่จัดขับ
ทางไกลๆจะประหยัดเพราะใช้รอบต่ำ แต่ใช้ในเมืองจะไม่ค่อยดีเพราะ ในเมืองต้องจอดๆไปๆบ่อยถ้าใช้ในเมือง อัตตราเร่งจะไม่ค่อยดี อ่ะครับ
เปรียบเทียบ ขับรถไปหล่ะปูน ซัดเกียร์ 4 แช่สุดทางมันก็เปลืองแม่นก่อครับอ้าย แต่ถ้าขับในเมือง เฮาใจ้เกียร์ 5 จะแซงรถซิ่งมันก็บ่ะมีแฮงแม่นก่อ
ตามความเข้าใจ เด้อครับ :Emo-korea_026: :Emo-korea_026:

Overdrive ใช้ตอนไหนถึงจะดี


ความหมายจริง ๆ ของคำว่า "Overdrive Ratio" คือ อัตราทดเฟืองเกียร์ที่ทำให้เพลากลาง หมุนได้เร็วกว่าเพลาขับตัวเมนของเกียร์
จึงช่วยให้ใช้รอบเครื่องต่ำลงและรถวิ่งเร็วขึ้น ซึ่งตามความหมายนี้ ก็พอจะถือได้ว่าเฟืองเกียร์ ที่มีอัตราทดต่ำว่า 1 นั้นเป็นเกียร์ Overdrive
ส่วนผลงานจะเป็นอย่างไร ได้ผลมากน้อยขนาดไหน ก็จะต้องขึ้นอยู่กับกำลังเครื่อง อัตราทดเฟืองท้าย เส้นรอบวงยาง น้ำหนัก และรูปทรงของรถ

จุดประสงค์หลักของการใช้งานเกียร์ Overdrive คือ ช่วยลดรอบเครื่องยนต์ให้ทำงานน้อยลงกว่าเกียร์อัตราท ดปรกติ เมื่อขับเคลื่อนที่
ความเร็วเท่า ๆ กัน เพื่อเป็นการลดความสึกหรอและมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเ พลิงน้อยลง อย่างเช่นในเกียร์ 4 ที่มีอัตราทดเกียร์ 1.000 เมื่อวิ่ง
ด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. จะใช้รอบเครื่อง 3,400 รอบ/นาที แต่พอใช้เกียร์ 5 ที่มีอัตราทดเพียง 0.850 ที่ความเร็ว 100 กม./ชม.
เท่ากัน ก็อาจจะใช้รอบเครื่องยนต์เพียงแค่ 2,800 รอบ/นาที ย่อมมีการสึกหรอและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อยกว่าเครื ่องยนต์ที่ทำงาน 3,400 รอบ/นาที
แต่นั่นหมายถึงว่าเราจะต้องวิ่ง ด้วยความเร็วคงที่ เพราะถ้ามีการเร่งแซงและเปลี่ยนแปลงความเร็วบ่อย ๆ ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าเกียร์ 5
หรือเกียร์ Overdrive จะสร้างความประหยัดให้เสมอไป เนื่องจากเกียร์ 5 จะมีอัตราเร่งน้อยกว่าเกียร์ 4 ดังนั้นเมื่อมีการเร่งแซง คนขับจึง
ต้องกดคันเร่งลึกและนานกว่าเพื่อเรียกแรงม้า ออกมาใช้งาน

ใช้ให้ถูกวิธี

ในการใช้เกียร์ Overdrive ให้ได้ผลเต็มที่นั้น ประการแรก คือ ต้องใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพการจราจร เช่น การขับขี่
ในเมืองที่ใช้ความเร็วต่ำ มีการเร่งและหยุดบ่อย ๆ แบบนี้ไม่ควรใช้ ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติที่มีปุ่มเปิด-ปิดให้ใช้จังหวะ OD Off จนกระทั่งเจอ
ทางโล่ง สามารถใช้ความเร็วได้เกินกว่า 60-80 กม./ชม. (ขึ้นอยู่กับกำลังเครื่องยนต์) จึงค่อยกดสวิตช์ OD On เพื่อให้เกียร์เปลี่ยนเป็น Overdrive
รถเกียร์อัตโนมัติที่มีเกียร์ Overdrive จะพยายามอยู่ในตำแหน่งเกียร์สูงสุดเท่าที่จะสามารถทำ ได้ รถบางรุ่นขนาดคลาน
ด้วยความเร็ว 40 กม./ชม. ยังไม่ยอมเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำเลยก็มี แบบนี้นอกจากทำให้แรงบิด เปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้นแล้ว แทนที่จะเกิด
ความประหยัดตามความมุ่งหมาย หรือพวกรถเกียร์ธรรมดา เมื่อใช้เกียร์ Overdrive ในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ
มาก ๆ จะไม่มีผลเฉพาะอัตราเร่งกับอัตราสิ้นเปลืองเท่านั้นย ังทำให้ชุดขับเคลื่อนและระบบส่งกำลังตลอดจนเครื่องยน ต์
เกิดชำรุดเสียหาย ได้อีกด้วย

ใช้ในการแซง

เมื่อขับอยู่ในช่วงความเร็วประมาณ 60-100 กม./ชม. โดยขับเคลื่อนอยู่ในจังหวะเกียร์ Overdrive และมีความต้องการ แซงรถคันข้าง
หน้าแบบไม่รีบร้อนเร่งด่วนอะไรมากนัก ควรกดสวิตช์เป็น OD Off เพื่อเปลี่ยนเกียร์ลงมาเป็นเกียร์ต่ำก่อน แล้วกดคันเร่ง (เบา ๆ ) เพิ่มกำลัง
เครื่องแซงขึ้นไป พอพ้นหรือหมดความจำเป็นแล้วจึงค่อยกดสวิตช์เปลี่ยนกล ับมาเป็น OD On ตามเดิม วิธีนี้จะรวดเร็วและประหยัดกว่า
การเร่งแซงทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในเกียร์ Overdrive ซึ่งจะอืดอาดใช้เวลาในการแซง นานกว่า วิธีนี้จะทำให้การแซงนิ่มนวลกว่าการกดคันเร่งลึก
ให้เ กียร์คิกดาวน์ เปลี่ยนกลับเป็นเกียร์ต่ำ เพราะการคิกดาวน์นั้น เครื่องยนต์จะมีรอบสูง อัตราเร่งรุนแรง กระชากกระชั้นเกินความจำเป็น
ซึ่งจะนำไปสู่การสึกหรอ และการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยเปล่าประโยชน์

Overdrive ในที่คับขัน

พวกเกียร์ Overdrive มีอัตราทดเกียร์ต่ำ ทำให้เครื่องยนต์ไม่มีเอนจิ้นเบรก ดังนั้นในการเบรกจะใช้ระยะเบรกยาว กว่าปรกติ ด้วยเหตุนี้เพื่อ
ความปลอดภัยและช่วยให้ใช้ระยะในการเ บรกสั้นลง เวลาที่ขับรถในจุดคับขัน เช่น ขับรถลงทางลาด ลงสะพาน หรืออยู่ในจุดบอด ไม่เห็นทาง
ข้างหน้า ควรจะเปลี่ยนกลับมาใช้เกียร์ต่ำ โดยกดสวิตช์เป็นตำแหน่ง OD Off อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอาจเพิ่มขึ้นอีกครั้งละ 10-20 สตางค์
แต่ขอให้นึกเทียบกับค่าซ่อมรถเนื่องจากไปสะกิดบั้นท้ าย คันอื่นแล้วจะรู้สึกว่าคุ้มกว่ากันเยอะ โดยเฉพาะรถที่ใช้ระบบเบรก ABS ซึ่งปรกติระยะ
เบรกจะยาวกว่ารถที่ไม่มี ABS อยู่แล้ว มาผสมโรงกับจังหวะเกียร์ Overdrive อีกก็จะไปกันใหญ่ เบรกกันไม่ค่อยทัน ในบางครั้งเราจึงควร
กดสวิตช์เป็น OD Off ให้ลดลงมาเป็นเกียร์ต่ำเพื่อใช้เอนจิ้นเบรกมาช่วยลดค วามเร็วของรถด้วยอีกทางหนึ่ง

ทำนองเดียวกัน เวลาขับรถเข้าโค้งด้วยความเร็ว ถ้าเรากดสวิตช์เป็น OD Off ลดเกียร์ลง จะเกิดเอนจิ้นเบรกช่วยให้ การทรงตัวของรถดีขึ้น
สร้างความมั่นใจได้มากกว่า อีกทั้งยังสามารถเร่งเครื่องพาตัวรถออกจากโค้งได้รวด เร็วกว่าอีกด้วย การลดเกียร์ลงมาจะให้ความปลอดภัยได้
เหนือกว่า หรือหากไปเจอเหตุกะทันหันกลางโค้งก็จะสามารถเบรกชะลอ รถ และเร่งส่งบังคับควบคุมรถได้ง่ายขึ้น

ได้ทำความรู้จักกับ Overdrive เรียบร้อยแล้ว หากใครที่ยังขับรถอย่างเดิมอยู่ จะเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้ก็ไม่ว่ากัน เพราะจะเป็นการช่วยประหยัด
น้ำมันขึ้นอีกโข ที่สำคัญยังเหลือเงินให้ไปจับจ่ายใช้สอยอย่างอื่นได้ อีก

ข้อมูลจาก : นิตยสาร รถวันนี้ ปีที่ 8 ฉบับที่ 358

http://bsmcgrawhill.multiply.com/journal/item/3