ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ทำไมพุทธเราจึงมีระบบเจ้าสำนัก

เริ่มโดย เณรเทือง, 18:38 น. 12 ธ.ค 55

เณรเทือง

เป็นเพราะเรายึดติดตัวบุคคลหรือไม่ เราจึงมีระบบเจ้าสำนัก ต่างจากศาสนาอื่นที่เขาำำไม่มี
- สำนักพระธรรมกาย
- สำนักสันติอโศก
- ศิษย์หลวงพ่อจรัญ
- ศิษย์ท่านพุทธทาส
- ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ฯลฯ
ยังไม่รวมสำนักอาจารย์ย่อยๆอีกมากมายทั่วประเทศ

jj2508

ถ้าทุกคนยึดมั่นในคำสอนของพระศาสดา ก็จะไม่มีนิกายหรือสายต่างๆๆ แต่นี้กลับคิดว่าตนเองเป็นผู้รู้ ทั้งที่แต่จริงตนเองเป็นผู้เดินตามพระศาสดาเท่านั้นแล้วจะไม่ให้มีนิกายสายต่างๆ อาจารย์โน้นอาจารย์นี้ได้อย่างไร
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลาย จักไมบัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ จักไม่เพิกถอน
สิ่งที่บัญญัติไวแล้ว , จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไวแล้ว อย่างเคร่งครัด
อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็น สิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้  ไม่มี่ความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.
มหา. ที. ๑๐/๙๐/๗๐.

เณรเทือง

อ้างจาก: jj2508 เมื่อ 19:00 น.  12 ธ.ค 55
ถ้าทุกคนยึดมั่นในคำสอนของพระศาสดา ก็จะไม่มีนิกายหรือสายต่างๆๆ แต่นี้กลับคิดว่าตนเองเป็นผู้รู้ ทั้งที่แต่จริงตนเองเป็นผู้เดินตามพระศาสดาเท่านั้นแล้วจะไม่ให้มีนิกายสายต่างๆ อาจารย์โน้นอาจารย์นี้ได้อย่างไร
อืมมม....ถูกใจ

ฟ้าเปลี่ยนสี

ไม่เข้าใจจริงๆครับ

ทำไม ความเลื่อมใส ศรัทธา ในแนวทางของท่านครูบาอาจารย์ เหล่านั้น จึงถูกมองว่า ยึดในตัวบุคคล

ในพระพุทธศาสนา เขาสอนให้หลุดพ้น แต่ไม่ได้แนะนำวิธีการ การจะยึดแนวทางของครูบาอาจารย์เหล่านี้

เพื่อให้ถูกจริต ของตัวเอง เพื่อให้บรรลุในสิ่งที่ตั้งใจไว้ ทำไมมองว่า ยึดในตัวบุคคล


ครูบาอาจารย์เหล่านั้น (ยกเว้น ข้อหนึ่ง กับ ข้อสอง) ท่านก็มีวัตรปฎิบัติเป็นไปตามหน้าที่เผยแแผ่พระพุทธศาสนา

ทำตามแนวทาง พระธรรม คำสอน ของพระพุทธเจ้า ทำไมมองว่า ท่านเป็นเจ้าสำนัก


และการที่เรานำ พระธรรม คำสอน ของพระพุทธเจ้า มาเป็นแนวทาง 

แสดงว่า เรายึดในตัวบุคคล และมองว่าเป็นเจ้าสำนัก หรือเปล่าครับ


ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

เณรเทือง

อ้างจาก: คนข้างพลาซ่า เมื่อ 10:08 น.  13 ธ.ค 55

ครูบาอาจารย์เหล่านั้น (ยกเว้น ข้อหนึ่ง กับ ข้อสอง) ท่านก็มีวัตรปฎิบัติเป็นไปตามหน้าที่เผยแแผ่พระพุทธศาสนา

ทำตามแนวทาง พระธรรม คำสอน ของพระพุทธเจ้า ทำไมมองว่า ท่านเป็นเจ้าสำนัก

ที่ยกเว้นนั้นไม่ทราบสาเหตุไรครับ
หรือเพียงว่าเพราะคุณไม่ชอบ

ฟ้าเปลี่ยนสี

อ้างจาก: เณรเทือง เมื่อ 14:26 น.  13 ธ.ค 55
ที่ยกเว้นนั้นไม่ทราบสาเหตุไรครับ
หรือเพียงว่าเพราะคุณไม่ชอบ

ไม่ใช่ไม่ชอบครับ

แต่ผมไม่มีนิสัย แบบเหมาเข่งครับ

ที่คุณตั้งเขาเป็น สำนักนั้น คุณเณรเทืองคิดไปเองหรือเปล่า

เพราะคุณไปตั้งเขาเป็นสำนัก ซึ่งจริงๆแล้ว มันไม่ใช่

สิ่งที่มันไม่ใช่ ผมเลยยกเว้น ที่จะนำมาอ้างอิง

ก็เท่านั้นเองครับท่าน  ส.หัว

ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

ยึดมากก็ทุกข์มาก
ยึดน้อยก็ทุกข์น้อย
ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์

http://youtu.be/0akZTfy1p7w
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

ตะแกร่งร่อนทอง สติปัญญาร่อนธรรม

http://youtu.be/L5pPtBaA4dU
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

คุณหลวง

    เป็นเพราะคนแต่ละคนมีธาตุ มีจริต มีอุปนิสัย หรือบารมีที่ต่างกันอย่างไรเล่าครับ แต่ละบุคคลจึงมีการปฏิบัติธรรมที่แตกต่างกันไปในแนวทางตามธาตุ ตามจริต ตามนิสัยแห่งตน เมื่อท่านปฏิบัติสั่งสมมาทางใด การสั่งสอนก็ย่อมเป็นไปในทางที่ตนถนัด ผู้ที่จะศึกษาแสวงหาครูบาอาจารย์ก็ค้นหาในแนวทางที่ตรงจริตตนเอาเอง

    ธรรมเป็นของกลางของโลกก็จริง เป็นสิ่งเดียวกันก็จริง แต่วิธีการเข้าถึงนั้นมีมากมาย ดังที่พระพุทธองค์เองทรงแนะนำแนวทางไว้หลากหลาย และสั่งสอนการปฏิบัติในแต่ละบุคคลต่างกัน หากพระองค์สอนเพียงจริตเดียวแล้วก็เชื่อได้ว่าพระธรรมคำสอนจะไม่มาถึงวันนี้แน่นอน และถึงมาถึงก็จะไม่แพร่หลายอย่างทุกวันนี้

    ความแตกต่างในแนวทางนั้น ไม่ใช่ความแตกแยก บรรดาครูบาอาจารย์ท่านต่างๆทั้งมหานิกาย ธรรมยุติในประเทศไทย ที่ท่านทรงธรรม ที่ผมเคยเจอในประวัติก็ไม่มีใครจะเที่ยวมาข่มกัน มีแต่ลูกศิษย์ที่ยังไม่ประสีประสาแต่อวดรู้ บ้าอาจารย์เท่านั้นที่นำอาจารย์มาข่ม มาอวดผู้อื่น แต่ก็ธรรมดาที่ปุถุชนจะยึดติดในบุคคลมิใช่หรือ?

    และการที่คนเรามีธาตุ มีจริต มีอุปนิสัยที่แตกต่างกันนี่เอง ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกแก่บางท่านว่าแยกกันเป็นสาย แต่จะพูดว่าเป็นสายก็ไม่ผิดนัก เพราะว่าแต่ละสายนั้นเกิดมาจากผู้ที่มีธาตุ มีจริต มีอุปนิสัยเหมือน หรือคล้ายกันมาศึกษาร่วมครูบาอาจารย์เดียวกัน แต่ในสายของท่านผู้เอาธรรมเป็นใหญ่ เคารพธรรมเป็นใหญ่นั้น ย่อมมีความลงตัวกันในธรรมเป็นอันดี เช่น สมเด็จพระสังฆราช หลวงตามหาบัว หลวงพ่อชา ท่านพุทธทาส หลวงพ่อจรัญ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พูดเท่าที่ผมเคยเจอในประวัตินะครับ) ท่านเหล่านี้ล้วนให้ความเคารพแก่กันและกันเป็นอันดีและไม่มีความขัดแย้งกัน แม้ดูเผินๆบางท่านสอนต่างกันสุดขั้ว แต่นั่นแค่แนวทางครับ มิใช่เป้าหมาย

    และนั่นทำให้พระศาสนากว้างไกลออกไปเพราะมีครูบาอาจารย์ที่สามารถรับศิษย์ สอนสั่งแก่ชาวชนผู้มีจริตหลากหลาย ต่างไปในแต่ละคน ส่วนอาจารย์ใด สำนักใด วัดใด อารามใด มีเจตนาตรงตามพระพุทธประสงค์หรือไม่นั้น ต้องพิจารณากันเองครับ

    และพระศาสดาทรงวางหลักการตัดสินธรรมวินัยไว้แล้วในโคตรมีสูตร เราก็ควรนำมาพิจารณาเพื่อประโยชน์เกิดขึ้นสูงสุดทั้งแก่ตนและผู้อื่น หวังว่าพระสูตรที่ผมนำมาใส่ไว้ท้ายทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาครับ

มีความสุขในโลกของความต่างครับ                                                                   

                                               ๑๗๔. เข้ากันได้โดยธาตุ
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมเข้ากันได้ ย่อมลงกันได้โดยธาตุ. คนมีศรัทธา ย่อมเข้ากันได้ ย่อมลงกันได้กับคนมีศรัทธา. คนมีใจละอายต่อบาป ก็เข้ากันได้ ลงกันได้กับคนที่มีใจละอายต่อบาป. คนมีความเกรงกลัวต่อบาป ก็เข้ากันได้ ลงกันได้กับคนที่มีความเกรงกลัวต่อบาป. คนที่สดับตรับฟังมากก็เข้ากันได้ ลงกันได้กับคนที่สดับตรับฟังมาก. คนที่ปรารภความเพียร ก็เข้ากันได้ ลงกันได้กับคนที่ปรารภความเพียร. คนที่มีสติตั้งมั่น ก็เข้ากันได้ ลงกันได้กับคนที่มีสติตั้งมั่น. คนที่มีปัญญา ก็เข้ากันได้ ลงกันได้ กับคนที่มีปัญญา. แม้ในอดีตกาลนานไกล ในอนาคตกาลนานไกล ในปัจจุบันกาลนานไกล ก็เป็นอย่างนี้."
                                                                                                                     ๑๖/๑๙๑

                                                 ๑๗๕. ตัวอย่างของผู้เข้ากันได้โดยธาตุ
              สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์. สมัยนั้น ท่านพระสาริบุตร เดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลายในที่ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค. แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะ, ท่านพระมหากัสสปะ, ท่านพระอนุรุทธ์, ท่านพระปุณณะ, ท่านพระอุบาลี, ท่านพระอานนท์ และพระเทวทัต (แต่ละท่าน) ต่างก็เดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลายในที่ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค.
              ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเห็นสาริบุตรกำลังเดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลายหรือไม่ ?"
              "ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "เห็น พระเจ้าข้า"
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีปัญญามาก. ท่านทั้งหลายเห็นมหาโมคคัลลานะกำลังเดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลายหรือไม่ ?"
              "เห็น พระเจ้าข้า"
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีฤทธิ์มาก. ท่านทั้งหลายเห็นมหากัสสปกำลังเดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลายหรือไม่ ?"
             "เห็น พระเจ้าข้า"
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นธุตวาทะ (ผู้กล่าวในทางขัดเกลากิเลส คือ สรรเสริญการประพฤติธุดงค์). ท่านทั้งหลายเห็นอนุรุทธ์กำลังเดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลายหรือไม่ ?"
              "เห็น พระเจ้าข้า"
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น เป็นผู้มีทิพยจักษุ. ท่านทั้งหลายเห็นปุณณะ มันตานีบุตรกำลังเดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลายหรือไม่ ?"
              "เห็น พระเจ้าข้า"
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นธรรมกถึก (ผู้แสดงธรรม). ท่านทั้งหลายเห็นอุบาลีกำลังเดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลายหรือไม่ ?"
              "เห็น พระเจ้าข้า"
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นวินัยธร (ผู้ทรงวินัย). ท่านทั้งหลาย เห็นอานนท์กำลังเดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลายหรือไม่ ?"
              "เห็น พระเจ้าข้า"
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้สดับตรับฟังมาก. ท่านทั้งหลายเห็นเทวทัตกำลังเดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลายหรือไม่ ?"
              "เห็น พระเจ้าข้า"
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีความปรารถนาลามก."
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมเข้ากันได้ ย่อมลงกันได้โดยธาตุ. ผู้มีอัธยาศัยเลว ย่อมเข้ากันได้ ย่อมลงกันได้กับผู้มีอัธยาศัยเลว ผู้มีอัธยาศัยดีงาม ย่อมเข้ากันได้ ลงกันได้กับผู้มีอัธยาศัยดีงาม."
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในอดีตกาลนานไกล สัตว์ทั้งหลายเข้ากันได้แล้ว ลงกันได้แล้วโดยธาตุ ทั้งผู้มีอัธยาศัยเลว อัธยาศัยดีงาม."
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในอนาคตกาลนานไกล สัตว์ทั้งหลายจักเข้ากันได้ ลงกันได้โดยธาตุ ทั้งผู้มีอัธยาศัยเลว อัธยาศัยดีงาม."
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในปัจจุบันกาลนานไกล สัตว์ทั้งหลายย่อมเข้ากันได้ ลงกันได้โดยธาตุ ทั้งผู้มีอัธยาศัยเลว อัธยาศัยดีงาม."
                                                                                                                ๑๖/๑๘๖

(อ้างจาก พระไตรปิฎกฉบับประชาชน www.larnbuddhism.com/tripitaka/interest/part6.5.html)
                                         ..................................................

    "...หลักโคตมีสูตร

    อีกประการหนึ่ง ในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัท เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า อะไรไม่ใช่ เรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านก็หวั่นวิตกอยู่ พระองค์จึงได้วางหลักไว้ให้เราตัดสิน ที่เรียกว่าหลักโคตมีสูตร เป็นหลักซึ่งเราควรจะนำมาใช้
ที่สุดในสมัยนี้ ว่าอะไรเป็นของแท้อะไรเป็นของปลอม หลักที่พระพุทธเจ้าวางไว้มี  ๘ ข้อด้วยกัน คือ

ธรรมเหล่าใด
เป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ
เป็นไปเพื่อสะสมกองกิเลส
เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่
เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ
เป็นไปเพื่อความคลุกคลีกันเป็นหมู่เป็นคณะ
เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน
เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก

นั่นไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

แต่ถ้าหากว่าข้อปฏิบัติการกระทำ หรือคำสอนเหล่าใด
เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัดย้อมใจ
เป็นไปเพื่อคลายความทุกข์
เป็นไปเพื่อไม่สะสมกองกิเลส
เป็นไปเพื่อความไม่คลุกคลีกันเป็นหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อความขยันหมั่นเพียร
เป็นคนเลี้ยงง่าย

นั้นเป็นธรรมเป็นวินัยของพระพุทธเจ้า

หลักนี้เราควรจะจำทีเดียว ก็เก็บไปติดไว้ในใจแล้วก็ดูการกระทำ การพูด การปฏิบัติ หนังสือที่เราอ่าน ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัยหรือไม่ เอาแว่นแปดอันนี้ใส่ตาเข้าแล้วก็ส่องดูเราก็เห็นได้ ว่าอันนั้นใช่ อันนั้นไม่ใช่เพราะในสมัยนี้ครูมาก อาจารย์มาก แล้วครูอาจารย์ส่วนมากก็มักจะชักนำลูกศิษย์ตามทางของตนเพื่อประโยชน์อย่างโน้น เพื่อประโยชน์อย่างนี้ ถ้าหากว่าเราไม่มีแว่นกระจกไว้ส่องดูให้ดีๆ แล้วความเข้าใจผิดก็อาจจะเกิดขึ้นแก่พี่น้องพุทธบริษัททั้งหลายได้ง่ายเหลือเกิน จึงอยากจะขอฝากแนวคิดนี้ไว้ด้วย...."


(จากหน้า ๗๙ - ๘๐ หนังสือ  '๙๐ ปี ปัญญานันทะ  ๔๐ ปี วัดชลประทานรังสฤษฏ์'โดย มูลนิธิภิกขุปัญญานันทะ วัดชลประทานรังสฤษฏ์พิมพ์เมื่อ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓)



     สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฟ้าเปลี่ยนสี

สาธุ.....

ส.หัว ขอบพระคุณ ท่านคุณหลวง เป็นอย่างมากครับ  ส.ยกน้ิวให้
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

อ้างจาก: เณรเทือง เมื่อ 18:38 น.  12 ธ.ค 55
เป็นเพราะเรายึดติดตัวบุคคลหรือไม่ เราจึงมีระบบเจ้าสำนัก ต่างจากศาสนาอื่นที่เขาำำไม่มี
- สำนักพระธรรมกาย
- สำนักสันติอโศก
- ศิษย์หลวงพ่อจรัญ
- ศิษย์ท่านพุทธทาส
- ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ฯลฯ
ยังไม่รวมสำนักอาจารย์ย่อยๆอีกมากมายทั่วประเทศ

เพิ่มเติมนิดหนึ่งครับ
อย่าเข้าใจผิดน่ะครับว่า ศาสนาอื่น จะไม่มีนิกาย หรือ สาย ครับ  ดังนี้

ศาสนาเต๋า
-   นิกายเช็ง อิ
-   นิกายชวน เชน

ศาสนาคริสต์
-   นิกายโรมันคาทอลิก
-   นิกายออร์ธอดอกซ์
-   นิกายโปรเตสแตนด์
-   นิกายดีอิสม์
-   นิกายแบปทิสต์

ศาสนาอิสลาม
-   นิกายซุนนี
-   นิกายชีอะห์ หรือ ชิเอฮ์
-   นิกายคอวาริจญ์
-   นิกายดรูซ
-   นิกายอิสไมลี
-   นิกายวาห์ฮาบี
-   นิกายฟากีร์
-   นิกายซูฟี

ศาสนาชินโต
-   นิกายก๊กกะชินโต
-   นิกายกดยหะชินโต

ศาสนาซิกข์
-   นิกายนานักปันถิ หรือ สหัชธรี
-   นิกายขาลสา หรือ สิงห์

จาก หนังสือ ศาสนศึกษา  เรียบเรียงโดย ดร. นิเวศน์ วงศ์สุวรรณ
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

คุณหลวง

อ้างจาก: คนข้างพลาซ่า เมื่อ 08:55 น.  14 ธ.ค 55
สาธุ.....

ส.หัว ขอบพระคุณ ท่านคุณหลวง เป็นอย่างมากครับ  ส.ยกน้ิวให้

สบายดีนะครับท่านพี่


สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅ ฅนหลง

.




...คุณหลวง คิดว่า 21-12-12 โลกจะแตกใหม  ...น่ากัวนะ...ว่ามั้ย...


อย่าลืมเตรียม มาม่า เทียนไข น้ำ ถุงยางอนามัยไว้ด้วยนะคับ.. ส.โอ้โห ส.โกรธอย่างแรง ส.ก๊ากๆ

เณรเทือง

เจ้าสำนักในความหมายของผมไม่ได้หมายถึงนิกายนะครับ นิกายมันสูงเกินวิจารณ์ อย่าเข้าใจว่าผมไม่ทราบเรื่องนิกายเลย
ก็ทราบพอๆกับท่านนั่นแล
เจ้าสำนักในความหมายที่ผมกล่าวถึงหมายถึงสำนักอาจารย์ธรรมดาๆนี่แหละ
เช่นสำนักภาวนาพุทโธ ฯลฯ
ลักษณะเช่นนี้ ศาสนาอื่นไม่มีนะครับ ขอยืนยันอย่างเดิม
เช่น ไม่ว่าอิสลามเชียงใหม่ หรืออิสลามภาคใต้ เขาก็ไปในทางเดียวกัน

คุณหลวง

อ้างจาก: ฅ ฅนหลง เมื่อ 12:35 น.  14 ธ.ค 55
.




...คุณหลวง คิดว่า 21-12-12 โลกจะแตกใหม  ...น่ากัวนะ...ว่ามั้ย...


อย่าลืมเตรียม มาม่า เทียนไข น้ำ ถุงยางอนามัยไว้ด้วยนะคับ.. ส.โอ้โห ส.โกรธอย่างแรง ส.ก๊ากๆ

    กลัวไม่ได้กินเบยลาวฟรีมากกว่า  ส.ก๊ากๆ ส.ก๊ากๆ ส.ฉันเอง
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅ ฅนหลง

.



....อ้าว..ยังสนใจเบยลาวอยู่อีกหรือ  มีสองแบบ รสชาติดั้งเดิม และ แบบเบียร์ดำ BEER LAO STOUT DARK BEER


ถ้าผ่านฅวนกาหลงจะนัดอีกทีนะครับ คงไมนานเกินรอ โลกคงไม่แตกเสียก่อน


หมู่นี้ มีเรื่องเป็นห่วงอยู่หลายเรื่อง ไม่ได้ห่วงเมียหรอก แต่ห่วงหมา... ส.ก๊ากๆ ส.โอ้โห

คุณหลวง

อ้างจาก: เณรเทือง เมื่อ 12:45 น.  14 ธ.ค 55
เจ้าสำนักในความหมายของผมไม่ได้หมายถึงนิกายนะครับ นิกายมันสูงเกินวิจารณ์ อย่าเข้าใจว่าผมไม่ทราบเรื่องนิกายเลย
ก็ทราบพอๆกับท่านนั่นแล
เจ้าสำนักในความหมายที่ผมกล่าวถึงหมายถึงสำนักอาจารย์ธรรมดาๆนี่แหละ
เช่นสำนักภาวนาพุทโธ ฯลฯ
ลักษณะเช่นนี้ ศาสนาอื่นไม่มีนะครับ ขอยืนยันอย่างเดิม
เช่น ไม่ว่าอิสลามเชียงใหม่ หรืออิสลามภาคใต้ เขาก็ไปในทางเดียวกัน

    ในพระสูตรที่ยกมาให้เห็นนั้นก็แสดงชัดอยู่แล้วว่าไม่ใช่นิกาย แต่เป็นเรื่องของธาตุ จริตแต่ละคน เป็นแนวทางของแต่ละท่านๆไป

    และท่านต้องเข้าใจว่าศาสนาพุทธนั้น มิใช่ความเชื่อครับ ความเชื่อนั้นสามารถกำหนดว่าอย่างนี้ๆเท่านั้น เป็นอย่างอื่น วิธีอื่นไม่ได้

    แต่เมื่อเป็นปัญญาธรรม เคารพความเป็นปัจเจกจึงไม่มีวิธีการตายตัวแบบความเชื่อ วิธีการหลากหลาย แตกต่างเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของแต่ละท่าน แต่ละบุคคล แต่มีเป้าหมายเดียวกันครับ

    หากมิเช่นนั้น พระพุทธองค์คงไม่แนะนำวิธีกรรมฐานตั้งหลายวิธีมิใช่หรือครับ? ในพระไตรปิฎกก็มีชัดว่า แต่ละบุคคลพระพุทธองค์ให้วิธีการต่างกันตามธาตุ ตามจริต

    เมื่อท่านเหล่านั้น(เช่นในพระสูตรที่ยกมา)มีศิษย์ ท่านก็สอนตามแนวทางของท่าน และศิษย์ก็มาหาอาจารย์ที่จริตตรงกับตน นั่นก็เพื่อความก้าวหน้าในธรรมที่สะดวกขึ้น

    พระพุทธศาสนานั้น มิใช่แค่เชื่อครับ แต่ต้องเห็นจริงด้วยตนเท่านั้นจึงจะเป็นของแท้ แม้ธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสเองก็เป็นคำสมมติแห่งธรรมเพื่ออธิบายคนทั่วไปเข้าใจและเห็นแนวทางเท่านั้น (พระองค์จึงว่าพระองค์เป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น) มิใช่ของจริง ของจริงนั้นจะมีแก่จิตแก่ใจของแต่ละผู้แต่ละบุคคลที่สามารถละวางอัตตวาทุปาทานลงแล้วเท่านั้น
   
    วางสายลง วางอาจารย์ลง วางพระพุทธเจ้าลง วางตัวเองลง แล้วจะเห็นอะไรๆชัดขึ้นครับ



    สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณหลวง

อ้างจาก: ฅ ฅนหลง เมื่อ 13:09 น.  14 ธ.ค 55
.



. ไม่ได้ห่วงเมียหรอก แต่ห่วงหมา... ส.ก๊ากๆ ส.โอ้โห

    พูดแบบนี้แสดงว่าเมียไม่เข้าเว็บนี้แน่นอน เจอตัวจะฟ้อง ส.หลกจริง ส.หลกจริง ส.หลกจริง โดนแน่  ส.สั่งสอน ส.สั่งสอน ส.สั่งสอน

ส.ก๊ากๆ ส.ก๊ากๆ ส.ก๊ากๆ

สนใจเสมอเรื่องเธอกับเบียร์                        สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

JATE_Gmail

ชาวพุทธ
1.ร้อยละ 80 เป็นแค่ในนามเท่านั้น แค่ระบุในบัตรประชาชน ก็แค่นั้น
2.หมิ่นศาสนาอื่น
3.ถามเรื่องศาสนา สักข้อ ก็ตอบไม่ได้ ศาสนาตามใจ หุหุ


เสื่อม

ไอ้ถุงยาง กับเบียร์ ก็พอจะเป็นตัวยืนยันได้ว่า  คุณหลวง และกองเชียร์ อยู่ในขั้นปุถุชน หลงมัวเมาอยู่กับกาม

ความเสื่อม เป็นไปในความกำหนัด ย้อมใจนะ เป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับผู้อ่านหรือผู้กำลังศึกษาหาความรู้หลงผิด ไม่

ควรที่เอามาออกอากาศในกระดานลานบุญซึ่งไม่รู้จักกาละเทศะ ทำให้กระดานธรรม ฉ่ำกามคาวโลกีย์ โคละคลุ้ง

ไปกับกลิ่นเหล้าเบียร์ ของปลอมยังไงธาตุแท้ก็โผล่มาให้เห็น ยังไงก็ไตร่ตรองเอาที่ดีๆไปก็แล้วกัน สาธุชน จะเสีย

คน เสียธรรม เพราะคนหลงหลงคนหลงกระแสกาเมสุรา นำพาสู่ทางเสื่อม ช่างน่าเสียดายที่ไม่รู้เท่าทันกิเลศ 

เสื่อม

...คุณหลวง คิดว่า 21-12-12 โลกจะแตกใหม  ...น่ากัวนะ...ว่ามั้ย...


อย่าลืมเตรียม มาม่า เทียนไข น้ำ ถุงยางอนามัยไว้ด้วยนะคับ..   
อ้างจาก: คุณหลวง เมื่อ 13:16 น.  14 ธ.ค 55
    พูดแบบนี้แสดงว่าเมียไม่เข้าเว็บนี้แน่นอน เจอตัวจะฟ้อง ส.หลกจริง ส.หลกจริง ส.หลกจริง โดนแน่  ส.สั่งสอน ส.สั่งสอน ส.สั่งสอน

ส.ก๊ากๆ ส.ก๊ากๆ ส.ก๊ากๆ

สนใจเสมอเรื่องเธอกับเบียร์                        สะบายดี...
แต่ก็ขอบคุณส่วนที่ดีๆ ที่มีมาให้ ถ้าให้ดีมากกว่านั้นก็ ที่การกระทำด้วย จะทำให้น่าเชื่อถือ เหมาะแก่


การสอนสั่งขัดเกลาคน

ฟ้าเปลี่ยนสี

อ้างจาก: คุณหลวง เมื่อ 12:07 น.  14 ธ.ค 55
สบายดีนะครับท่านพี่


สะบายดี...

สบายดีครับ ท่านพี่ คุณหลวง

เมื่อคืนฝันดี ฝันถึงแก้วมณีเปล่งรัศมีลอยมาจากบนท้องฟ้า แสงอันแรงกล้า ทำให้ผมตื่นขึ้นมาเลยครับ

เมื่อเช้าเข้ามาที่เว็บแห่งนี้ เจอ ท่านคุณหลวง เลยไม่สงสัยว่าทำไมกระผมฝันดี ครับ  ส.หัว

เลี้ยงลูกเป็นอย่างไรบ้างครับ ลูกคงน่ารัก เหมือนคุณพ่อ กับ คุณแม่ ของแกน่ะครับ

ขอบคุณครับ ท่านคุณหลวง คิดถึงอยู่เสมอๆ ครับท่าน  ส.หัว
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด