ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เงินตราในหัวเมืองสงขลา

เริ่มโดย Big MaHad, 01:17 น. 02 ก.พ 53

Big MaHad

ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือชื่อว่า "ชีวิวัฒน์" มาครับ ซึ่งแต่งโดย สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์เดช โดยนิพนธ์ในเชิงรายงานการตรวจราชการหัวเมืองปักษ์ใต้ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๗ ซึ่งมีเกร็ดเกี่ยวกับเมืองสงขลาในยุคนั้นมากมายครับ  และได้มีการกล่าวถึงเงินตราที่ใช้ในหัวเมืองสงขลาดังที่ผมจะขอยกมาให้ได้อ่านกันเพื่อเป็นความรู้ดังนี้ครับ

"...จำนวนเงินตราที่ใช้ในเมืองสงขลานี้  เป็นเงินเหรียญแมกสิกันและใช้เบี้ยตะกั่วเป็นรูกลาง  ที่เก็บได้มีอยู่ ๖ ชนิด  กลมคล้ายแปะจีนกว้างสูญไส้ ๒ นิ้วย่อมกระเบียดน้อย  รูกลางกว้างสูญไส้กึ่งนิ้วบ้าง ไม่ถึงกึ่งนิ้วบ้าง  กึ่งนิ้วกับกระเบียดน้อยบ้าง  อย่างหนึ่งหน้าหนึ่งมีอักษรไทยข้างบนว่าสง  ข้างล่างว่าขลา  มีอักษรแขกแทรกอยู่ ๒ ข้าง  อีกหน้าหนึ่งมีอีกษรจีนแทรกอยู่  ๔ ตัว  อย่างหนึ่งเหมือนกันแต่อักษรเล็ก  อย่าหนึ่งหน้าหนึ่งมีอักษรไทยว่าสงขลา  ข้างล่างว่าศักราช ๑๒๔๑ มีอักษรแขกอยู่ ๒ ข้าง ด้านหนึ่งมีอักษรจีน ๔ ตัว อย่างหนึ่งเหมือนกันแต่เปลี่ยนศักราช ๑๒๔๒ อย่างหนึ่งเหมือนกันแต่อักษรเล็ก อย่างหนึ่งเหมือนกันแต่เปลี่ยนศักราช ๑๒๔๓  ราคาเบี้ย ๑๒๐  เป็น ๔ ก้อนเป็นโขก ๒ โขก  เป็นเหรียญแมกสิกัน  เงินบาทก็ใช้ได้เหมือนกัน  แต่ไม่ใคร่จะมีเงินบาทและอัฐใช้..."

จะเห็นได้ว่าเงินตราในเมืองสงขลานั้นมีหลายประเภท เช่น เงินเหรีญแมกสิกัน อีแปะจีน เงินบาทไทย
ส่วนหน่วยของเงินตรานั้นก็มีหลายหลายเช่น เบี้ย ก้อน โขก ซึ่งเทียบหน่วยได้ดังนี้
๑ โขก = ๒ ก้อน = ๖๐ เบี้ย
หรือ ถ้าเทียบกับเงินก้อนจะได้เป็น ๑ ก้อน = ครึ่งโขก = ๓๐ เบี้ย นั่นเอง

และนี่เองทำให้ผมเกิดความสงสัยกับคำว่า ก้อน และโขก เพราะไม่ค่อยคุ้นหูนักในหน่วยเงินตรานี้
อดีตคือรากฐานของปัจจุบัน...ปัจจุบันคือรากฐานของอนาคต

Big MaHad

จากนั้นผมไปค้นเพิ่มเติม ก็ไปเจอคำอธิบายจากหนังสือ เล่าเรื่องเมืองใต้ ของท่านอาจารย์ประพนธ์ เรืองณรงค์ ดังนี้ครับ

"...คำว่า ก้อน เป็นมาตราเงินโบราณของชาวใต้หลายท้องถิ่น เช่นสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และพัทลุง โดยกำหนด ๑ ก้อนเท่ากับ ๒๕ สตางค์ ยกเว้นที่สงขลา ๑ ก้อน เท่ากับ ๑๕ สตางค์ นอกจากก้อนแล้ว บางท้องถิ่นยังมีคำว่าโขก เช่นที่สงขลาและพัทลุง กำหนด ๑ โขก เท่ากับ ๕๐ สตางค์ บางท้องถิ่น ๑ โขก เท่ากับ ๖ สลึง หรือ ๑ บาท

ขุนศิลปกิจจพิสัณห์ (ผัน ศุภอักษร) ซึ่งมรณกรรมปี ๒๕๑๙ ท่านเคยเสนอบทความเรื่องเงินตราภาคใต้ ตอนหนึ่งกล่าวถึงคำว่า ก้อน น่าจะมาจากมาตราเงินในมลายูในอดีตว่า เกอะเนอะรี (Kenderi) ซึ่งมลายูยืมคำทมิฬออกเสียงเพียงสองพยางว่า กนรี หรือ ก้อนรี (Kenri) ซึ่งคำนี้เองน่าจะมาเป็นก้อน ในภาษาไทยถิ่นใต้

ขุนศิลปกิจจพิสัณห์ ยังพูดถึงเงินอีแปะของชาวมลายูที่รัฐตรังกานูสมัยนั้นว่า เกเป็ง ชาวปัตตานีเรียก แกแป็ง เมื่อเทียบกับ เกอะเนอะรี หรือ ก้อนรี แล้ว ๑ เกอะเนอะรี เท่ากับ ๑๕ เกเป็ง หรือเมื่อเทียบกับเงินไทยถิ่นใต้ยุคนั้น ๑ เกเป็ง และ ๑ เกอะเนอะรี เท่ากับ ๑ ก้อน หรือ ๒๕ สตางค์ (หรือ สงขลา ๑๕ สตางค์ )

ชาวมลายูไม่ว่าที่กลันตัน ตรังกานู และปัตตานีเรียกเงินบาทของไทยว่า "โก๊ป" (Kop) และชาวปัตตานีออกเสียงเรียกเป็น "โกะ" (Kou) เช่น ๑ บาทว่า ซะโกะ หรือ ซือโกะ ๕ บาท ว่า ลีมอโกะ ๑๐ บาท ว่า ซะปุโระโกะ เป็นต้น ปัจจุบันการพูดภาษามลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังใช้คำโกะ ดังกล่าว
อดีตคือรากฐานของปัจจุบัน...ปัจจุบันคือรากฐานของอนาคต

Big MaHad

"เงินก้อนและเงินโขก เมื่อเทียบกับเงินเบี้ยที่ชาวใต้ยุคนั้นใช้จ่ายคือ ๑ ก้อน เท่ากับ ๑๕ เบี้ย ๑ โขก เท่ากับ ๕๐ เบี้ย  เบี้ยในที่นี้ไม่ใช่เบี้ยหอย แต่เป็นเบี้ยอีแปะ ซึ่งบางถิ่นภาคใต้เช่นที่สงขลา ภูเก็ต หรือ พัทลุงทำขึ้นใช้เรียกว่าเบี้ย เช่น ลักษณะเบี้ยอีแปะที่สงขลา ด้านหน้ามีอักษรไทยคำว่าสงขลา อักษรยาวีภาษามลายูว่า นครีซิงคอรา แปลว่าเมืองสงขลา ด้านหลังเป็นอักษรจีนสำเนียงแต้จิ๋วว่า ซังเซียทงป้อ แปลว่า อีแปะเมืองสงขลา"

แต่จากข้อความส่วนนี้ทำให้ผมเกิดความสงสัยครับเนื่องจากมีการเทียบหน่วยเงินตราที่แตกต่างกันจากสองที่มาครับ
ดังที่ผมกล่าวไปแล้วในตอนต้นจากหนังสือชีววิวัฒน์ว่าหน่วยเงินเทียบเป็น
๑ ก้อน = ๓๐ เบี้ย  และ ๑ โขก = ๖๐ เบี้ย

แต่จากหนังสือเล่าเรื่องเมืองใต้เทียบหน่วยเงินเป็น
๑ ก้อน = ๑๕ เบี้ย  และ ๑ โขก = ๕๐ เบี้ย
ซึ่งคลาดเคลื่อนกันไป ก็ไม่ทราบว่าอย่างใดถูกต้อง หรือเนื่องจากแหล่งที่มาของข้อมูลแต่กต่างกันคนละปีอาจจะเป็นไปได้ว่า ค่าเงิน มีการผันแปรไปในแต่ละยุคสมัย
อดีตคือรากฐานของปัจจุบัน...ปัจจุบันคือรากฐานของอนาคต

Big MaHad

อันนี้เป็นลักษณะ อีแปะจีนที่มีการอธิบายลักษณะไว้ครับ

" ลักษณะเบี้ยอีแปะที่สงขลา ด้านหน้ามีอักษรไทยคำว่าสงขลา อักษรยาวีภาษามลายูว่า นครีซิงคอรา แปลว่าเมืองสงขลา ด้านหลังเป็นอักษรจีนสำเนียงแต้จิ๋วว่า ซังเซียทงป้อ แปลว่า อีแปะเมืองสงขลา" เนื้อเหรียญทำด้วยดีบุกครับ เลยเรียกว่าอีแปะดีบุก

ป.ล. ขออภัยด้วยครับที่จำที่มาของภาพไม่ได้ หาเก็บไว้นานแล้ว
อดีตคือรากฐานของปัจจุบัน...ปัจจุบันคือรากฐานของอนาคต

Big MaHad

"...ปัจจุบันคำว่าก้อนรวมทั้งโขก ชาวใต้เลิกใช้มานานแล้ว แต่ยังปรากฏในวรรณกรรมพื้นบ้านภาคใต้ ซึ่งเป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่งชาวใต้เคยใช้มาตราเงินดังกล่าว

ตัวอย่างเพลงกล่อมเด็กซึ่งชาวใต้เรียกว่าเพลงช้าน้อง หรือเพลงร้องเรือ ที่พูดถึงเงินก้อนเช่น
    "แดดออกเห้อ     ขอเชิญให้ออกทุกกอหญ้า
ไอ้ตัดหัวพ่อค้า      หมันขายพลูแห้ง
ขายกำห้าก้อน      อ้ายตัดหัวร้อยท่อนขายพลูแห้ง
อดให้ปากแห้ง      ไม่เซ้อพลูแพงกินเห้อ"  

อธิบายศัพท์
ไอ้หัวตัด = เป็นคำด่า, หมัน = มัน, เซ้อ = ซื้อ

ขายกำห้าก้อน = คำว่ากำ เป็นลักษณะนามเรียกใบพลูที่เก็บซ้อนกัน ๓ แบะ ซึ่งแบะเป็นลักษณะนามของใบพลูเช่นกัน แบะอาจหมายถึงใบพลูที่แผ่ออกได้ด้วยในอีกนัยหนึ่ง  
แบะหนึ่งมี ๕ ใบ ดังนั้น ๓ แบะเท่ากับ ๑ กำหรือ ๑๕ ใบนั่นเอง... "
สรุปคือ ๑ กำ = ๓ แบะ
             ๑ แบะ = ๕ ใบ

เพลงกล่อมเด็กบทนี้แสดงถึงความรู้สึกของแม่ที่ไม่พอใจพ่อค้าเพราะใบพลูราคาแพงมาก แถมเป็นพลูแห้งอีกด้วยแม่คิดว่ายอมอดอยากปากแห้งเสียดีกว่าที่จะไปซื้อพลูเช่นนี้
อดีตคือรากฐานของปัจจุบัน...ปัจจุบันคือรากฐานของอนาคต

warodako

คำว่าก้อน เหมือนผมจะเคยได้ยินในบ่อนน่ะ ;D
พวกโต๊ะบอลด้วย
แปลว่าไร ผมไม่แน่ใจว่ามันเท่ากับเท่าไหร่ ไม่ได้เข้าไปสัมผัสนานมากแล้ว :)

Singoraman

อำเภอท่าศาลา นครศรีธรรมราช
เคยชื่อว่า อำเภอ "เบี้ยซัด"
เพราะมีหอยเบี้ยถูกคลื่นซัดขึ้นมากยังชายหาดมากมาย

กิมหยง

น่าจะมีทำเป็นเงินตราที่ระลึกนะครับ
สร้าง & ฟื้นฟู

หม่องวิน มอไซ

เงินตราที่ระลึก ถ้าทำเลียนแบบเหมือนของจริงเป๊ะ
อาจมีปัญหาเหมือนการปลอมแปลงได้ครับ
เลยไม่มีใครทำออกมา

กรมธนารักษ์เคยทำเหรียญประจำจังหวัดออกมาจำหน่ายครับ
ของสงขลาด้านหน้าเป็นรูปเขาตังกวน ด้านหลังเป็นตราประจำจังหวัด (หอยสังข์บนพานแว่นฟ้า)


กิมหยง

แต่เป็นเงินสมัยโบราณนะครับ

เราทำให้เหมือนเลย ทั้งหน้าตาและวัสดุครับ
เพื่อให้คนรุ่นนี้ได้ รู้ถึงประวัติของบ้านเมืองเราครับ
สร้าง & ฟื้นฟู

หม่องวิน มอไซ

ไอเดียท่านกิมหยง ทำให้ผมนึกถึงตอนไปเที่ยวเมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ
ศูนย์อาหารของที่นั่น (ฟู้ดเซนเตอร์) แทนที่จะใช้คูปองกระดาษ หรือการ์ดรูดแบบตามห้างใหญ่ ๆ
เมื่อเอาเงินไปแลกกลับให้สตางค์รู (ที่ทำขึ้นมาใหม่) ร้อยด้วยลวดมาครับ
เวลาไปซื้อข้าวร้านไหน ก็เอาสตางค์รูนี้จ่ายแทนเงิน
เหลือก็แลกคืนได้

ได้บรรยากาศย้อนยุคดีจริง ๆ
งานสงขลาแต่แรกน่าทำแบบนี้มั่งนะครับ

กิมหยง

ครับ ต้องปรึกษาท่าน Singora ด้วยครับ

ท่านเป็นคนที่มีบารมีมากที่สุดในจังหวัดครับ

แต่อยากให้มีครับท่าน
ถนนนางงาม น่าจะทำอะไร ที่ส่งเสริม อนุรักษ์ได้ตั้งหลายอย่างครับ
หากไม่มีหน่วยงานไหนทำ เราก็เริ่มกันเองแบบเล็ก ๆ
เฉพาะกลุ่มก่อนก็ได้ครับ หากเห็นว่าดีก็ขยับขยายต่อไปครับท่าน
สร้าง & ฟื้นฟู

Singoraman

ท่านกิมหยง  เบา ๆ หน่อย เหาจะขึ้นหัวผม
เรื่องเงินตราและเหรียญของเมืองสงขลานี้ เป็นตราของ รร.สงขลาวิทยาคม อ.สิงหนคร
นัยว่า ตอนปรับพื้นที่สร้างโรงเรียรพบเหรียญลักษณะเช่นว่านี้
ผมเคยนำเสนอในที่ประชุมหลายเวทีที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมืองว่า
ถ้าจะสร้างแลนด์มาร์คเมืองสงขลา อีก น่าจะทำเป็นเหรียญที่ว่านี้ ให้คนถ่ายรูปโผล่หน้ามาจากช่องตรงกลางเหรียญ
เป็นสัญญลักษณ์ทางเศณษฐกิจว่าสงขลาเคยเป็ฯเมืองทางเศณษฐกิจที่รุ่งเรืองขนาดมีการผลิตเหรียญใช้เอง
แต่ไม่มีใครสนใจ
เห็นไหมท่านกิมหยง  บอกแล้วว่าหม้ายไหรนิ

กิมหยง

ไม่เคยรู้มาก่อนครับ ว่าสงขลา เคยมีเงินตราใช้เองครับ

รู้สึกประวัติศาสตร์ของสงขลาไม่ธรรมดาเลยครับ
สร้าง & ฟื้นฟู

หม่องวิน มอไซ

รูปแบบตัวหนังสือ คำว่า สงขลา สวยมาก

Singoraman

เหรียญของสงขลานี้มี 3 ภาษาไทย+จีน+มลายู
สะท้อนความเป็น "หมัด+เส้ง+ชู"แห่งความเป็นสามหลักผสมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวในบ่อยาง

Big MaHad

อ้างจาก: Singoraman เมื่อ 20:35 น.  03 ก.พ 53
เหรียญของสงขลานี้มี 3 ภาษาไทย+จีน+มลายู
สะท้อนความเป็น "หมัด+เส้ง+ชู"แห่งความเป็นสามหลักผสมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวในบ่อยาง

พี่บ่าวขยายความด้วยครับ หมัด+เส้ง+ชู นิ

นอกจากนี้เหรียญเล็กๆ อันนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นแหล่งการค้าเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งหนึ่ง ของคาบสมุทรด้วยครับ
และอีกอย่างก็คือสะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งของสงขลาที่สามารถผลิตเหรียญเอาไว้ใช้เองได้ในท้องถิ่น แลกเปลี่ยนกับนานาชาติ เหรียญชนิดนี้คาดว่ามีใช้กันในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นๆครับ
อดีตคือรากฐานของปัจจุบัน...ปัจจุบันคือรากฐานของอนาคต

Big MaHad

ส่วนอันนี้เป็นเงินเหรียญแมกสิกันที่ได้กล่าวถึงไว้ครับ


ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีต่างชาติเข้ามาค้าขายมาก โดยชาวต่างชาติใช้เหรียญเงิน ที่นำติดมาซื้อสินค้า แต่คน ไทยยังไม่กล้ารับไว้ เพราะเกรงว่าจะเป็นเงินปลอม และไม่ทราบค่าที่แท้จริงของเงินต่างชาติ จึงทรงเข้าเฝ้า รัชกาลที่ ๔ เพื่อให้ตีตรารับรองจากกระทรวงการคลัง รัชกาลที่ ๔ ทรงเห็นว่า การที่มีพ่อค้าเข้ามาค้าขายมากๆ ย่อม เป็นผลดีของประเทศของเรา จึงอนุญาตให้ใช้ตราประจำพระองค์ และตราแผ่นดินตีลงบนเหรียญ เช่น เหรียญ เม็กซิโก หรือเหรียญเปรู เป็นต้น โดยออกเป็น ประกาศอัตราแลกเปลี่ยน ๓ เหรียญ (๘ เรียล) ของเม็กซิโกมีค่า เท่ากับ ๕ บาทของไทยเท่ากับพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถแก้ปัญญาหาความขัดแย้งของระบบเงิน ตรา และมี พระปรีชาสามารถ กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นธรรม จึงทำให้การค้ารุ่งเรืองมาก ราคาซื้อขายเหรียญเม็กซิโก ตอกตราราคา ๘๐,๐๐๐ บาท

เหรียญตีตราที่พบจะอยู่ระหว่างปีค.ศ.๑๘๔๕ ถึง ค.ศ.๑๘๕๗ ซึ่งเป็นช่วงที่พ่อค้าจากทวีปยุโรป เดินทาง มาค้าขายในแถบเอเชียมาก ทำให้ทราบว่าที่ฟิลิปปินส์มีการตอกตรารับรอง เหมือนกับเหรียญที่มีการตอกตราใน ประเทศไทย เช่น เหรียญเปรู, เหรียญเม็กซิโก, เหรียญบัลแกเลีย

ที่มา http://museumcollection.eurseree.com/cgi-bin/info/agora.cgi?p_id=20&ppinc=search-details
อดีตคือรากฐานของปัจจุบัน...ปัจจุบันคือรากฐานของอนาคต

Big MaHad

เงินเหรียญแมกสิกันนี้มีใช้อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็มีการประกาศยกเลิกใช้ในมณฑลนครศรีธรรมราช ซึ่งก็รวมเมืองสงขลาอยู่ด้วยในขณะนั้น ตามราชกิจจานุเบกษา เมื่อ ร.ศ. 128
อดีตคือรากฐานของปัจจุบัน...ปัจจุบันคือรากฐานของอนาคต

Big MaHad

อ้างจาก: หม่องวิน มอไซ เมื่อ 09:04 น.  03 ก.พ 53
เงินตราที่ระลึก ถ้าทำเลียนแบบเหมือนของจริงเป๊ะ
อาจมีปัญหาเหมือนการปลอมแปลงได้ครับ
เลยไม่มีใครทำออกมา

กรมธนารักษ์เคยทำเหรียญประจำจังหวัดออกมาจำหน่ายครับ
ของสงขลาด้านหน้าเป็นรูปเขาตังกวน ด้านหลังเป็นตราประจำจังหวัด (หอยสังข์บนพานแว่นฟ้า)





สงสัยเพิ่มเติมครับ เหตุใดตราประจำจังหวัดสงขลาถึงใช้รูปหอยสังข์ วางอยู่บนพานครับผมลองไปหาหา ดูพบว่ายังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนครับว่ามาจากไหนแต่มีข้อสันนิษฐานอยู่ 2 ข้อครับตอนนี้

1. ตราประจำจังหวัดรูปหอยสังข์บนพานแว่นฟ้านั้น ยังค้นหาหลักฐานของความหมายได้ไม่แน่ชัด แต่บุคคลบางคนบอกที่มาของตราประจำจังหวัดนี้ว่า เดิมเคยเป็นตรากระดุมเสื้อฉลองพระองค์ ของกรมหลวงสงขลานครินทร์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์อดุยเดชวิกรมบรมชนกนาถ ต่อมากรมศิลปากร ออกแบบตราสังข์ ใช้เป็นเครื่องหมายตราจังหวัดสงขลา (ที่มา: http://www.baanjomyut.com/76province/south/songkha/index.html)

2. สงขลา อาจมาจากจากคำว่า สังขะ หรือ สังข์ ซึ่งเป็นหอยทะเลฝาเดียว สีขาว ใช้สำหรับหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ จึงนำมาเป็นสัญลักษณ์ของตราประจำจังหวัดสงขลา ดังตราประจำกองลูกเสือในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นรูปหอยสังข์วางบนพานแว่นฟ้า
(ที่มา ประพนธ์ เรืองพัน. 2551. ชื่อบ้านนามเมืองภาคใต้ จังหวัด อำเภอ และสถานที่ บุคคลบางชื่อ. สถาพรบุ๊ค.กรุงเทพฯ, หน้า 158)
อดีตคือรากฐานของปัจจุบัน...ปัจจุบันคือรากฐานของอนาคต

Singoraman

๑. หมัด-เซ่ง-ชู    เป็นสำนวนพูดเล่น ๆ หมายถึง  คนสามกลุ่ม คือ
    หมัด แทน  มุสลิม, เซ่ง แทน จีน, ชู แทน ไทยพุทธ 
     ความหมายในสำนวนหมายว่า ในคนเดียวกันมีทั้งสามสายที่ว่านี้  เช่น วันตรุษจีนก็ไหว้ก๋ง   วันออกบวช ก็หนุกกับเขากัน   วันชิงโกนวันพระ
     ก็เอากับเขาด้วย สรุปว่าครบทั้ง "หมัด-เซ่ง-ชู" นิ    ประเภท "วันไหน ๆ พี่ไทยก็เมา"
    คำนี้ทางตรังเขาใช้   "หมัด-ไข่-เซ่ง"
๒.  ยังมีอีกเหรียญที่ควรกล่าวถึง คือ "เหรียญไม้เท้าหิ้วถุ้ง"
๓.  ตราจังหวัดสงขลา เดิมคือ "ตราประจำกองลูกเสือมลฑลนครศณีธรรมราช "  ด้วยในนครศรีธรรมราชมีพราหมณ์ประกอบพิธีด้วยสังข์เป็นสำคัญ
    จึงใช้สังข์และพานแว่นฟ้า เป็นตราประจำกองลูกเสือของมณฑล  ซึ่งมณฑลนี้ตั้งอยู่ที่สงขลา เมื่อสิ้นสุดการปกครองมณฑล ตรานี้จึงติดอยู่กับความ
    เป็น "จังหวัด" นี้ และกลายเป็นตราประจำจังหวัดในที่สุด
๔. ส่วนตราประจำพระองค์ของกรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ เป็นรูป "ม้าศีรษะเป็นเทวดา ๒ ตน"
๔. อย่าเชื่อตามที่ข้าพเจ้าว่าไว้นี้  จงหาหลักฐานอื่นมาเพิ่มเติมด้วยจึงจะเชื่อถือได้

Big MaHad

อ้างจาก: Singoraman เมื่อ 15:42 น.  04 ก.พ 53
๑. หมัด-เซ่ง-ชู    เป็นสำนวนพูดเล่น ๆ หมายถึง  คนสามกลุ่ม คือ
    หมัด แทน  มุสลิม, เซ่ง แทน จีน, ชู แทน ไทยพุทธ 
     ความหมายในสำนวนหมายว่า ในคนเดียวกันมีทั้งสามสายที่ว่านี้  เช่น วันตรุษจีนก็ไหว้ก๋ง   วันออกบวช ก็หนุกกับเขากัน   วันชิงโกนวันพระ
     ก็เอากับเขาด้วย สรุปว่าครบทั้ง "หมัด-เซ่ง-ชู" นิ    ประเภท "วันไหน ๆ พี่ไทยก็เมา"
    คำนี้ทางตรังเขาใช้   "หมัด-ไข่-เซ่ง"
๒.  ยังมีอีกเหรียญที่ควรกล่าวถึง คือ "เหรียญไม้เท้าหิ้วถุ้ง"
๓.  ตราจังหวัดสงขลา เดิมคือ "ตราประจำกองลูกเสือมลฑลนครศณีธรรมราช "  ด้วยในนครศรีธรรมราชมีพราหมณ์ประกอบพิธีด้วยสังข์เป็นสำคัญ
    จึงใช้สังข์และพานแว่นฟ้า เป็นตราประจำกองลูกเสือของมณฑล  ซึ่งมณฑลนี้ตั้งอยู่ที่สงขลา เมื่อสิ้นสุดการปกครองมณฑล ตรานี้จึงติดอยู่กับความ
    เป็น "จังหวัด" นี้ และกลายเป็นตราประจำจังหวัดในที่สุด
๔. ส่วนตราประจำพระองค์ของกรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ เป็นรูป "ม้าศีรษะเป็นเทวดา ๒ ตน"
๔. อย่าเชื่อตามที่ข้าพเจ้าว่าไว้นี้  จงหาหลักฐานอื่นมาเพิ่มเติมด้วยจึงจะเชื่อถือได้

ขอบพระคุณมากครับที่มาเพิ่มเติม สงสัยเพิ่มครับ เหรียญไม้เท้าหิ้วถุ้งนี้ ไม่ทราบว่าเป็นของชาติมาเลย์หรือปล่าครับ คุ้นๆเหมือนเคยได้ยิน แต่ไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาเหรียญว่าเป็นยังไงครับ ถ้าท่านใดมีรูปรบกวนเผยแพร่ด้วยครับ
อดีตคือรากฐานของปัจจุบัน...ปัจจุบันคือรากฐานของอนาคต