ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

การบวชภิกษุณี สามเณรี ในประเทศไทยทำได้หรือไม่เห็นที่เกาะยอทำแล้ว

เริ่มโดย หาดใหญ่ใหม่, 11:42 น. 03 ธ.ค 57

wareerant

อ้างถึงผมมองว่างานนี้... ภิกษุณีสงฆ์ในไทย  อาจไปได้สวย  เพราะได้เปรียบแยะ ทั้งฝ่ายโลกทั้งในและนอกประเทศทีให้การสนับสนุน..และแถมในพระธรรมวินัยก็มิได้ไปมีอะไรที่ขัดขวาง

เผลอ ๆ ยิ่งสำนักภิกษุณีสงฆ์ไหนมีวัตรปฎิบัติดี ๆ สอนธรรมะในทางที่ถูกที่ควร และสร้างศิษยานุศิษย์กันจนเป็นล่ำเป็นสัน

ในขณะที่วัดแบบเดิม ๆ ของพระไทยทั้งใหญ่โต...โบสถ์ราคาร้อยล้าน...กลับเป็นแค่  สถานที่รับบริจาค ไถ่ชีวิตวัวควาย..ทำบุญต่อชะตาทั้งโลงเป็นโลงตาย..สวดภาณยักษ์ใหญ่ยักษ์เล็ก  เจิมรถ สักยันต์ ครอบครู...ปริวาสกรรม,นิมนต์เจิมป้ายห้าง ฯลฯ

งานนี้ไม่ต้องห่วงครับ...เพราะสุดท้ายเผลอ ๆ ผู้ที่ช่วยนำพาให้  พุทธศาสนาเรารอด อาจเป็น  เหล่าภิกษุณีสงฆ์ ที่ใคร ๆ ต่างพากันเบือนหนี(ปัญหา)เหล่านี้ในที่สุดละครับ.

ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น "ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร" ความหมายคือ เอาข้าวเปลือกไปโยนในนา จะงอกเป็นต้นกล้า เอาข้าวสารไปเพาะปลูก ยังงั๊ย ก็ไม่ขึ้นไม่งอก นี่ไม่ได้ดูถูกผู้หญิงนะ ว่าสู้ผู้ชายไม่ได้ แต่สภาพความจริงมันเป็นอย่างนั้น ผู้ชายหลายคนมารวมกัน ไม่ค่อยจะมีปัญหา จะมีก็แต่ออกลิงออกค่าง ออกเด็ก ผู้หญิงหลายคนมารวมกัน ปัญหายุ่บยั่บไปหมด อิจฉาริษยากัน แย่งชิงดีชิงเด่น นินทาว่าร้าย กลั่นแกล้ง เรื่องแบบนี้ผู้ชายก็มีเหมือนกัน แต่ไม่เยอะเท่าผู้หญิง

หลักฐานก็มีอยู่แล้ว การสูญสิ้น ขาดวงศ์ ของภิกษุณี ไม่มีใครตอบได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่ก็พอเดาได้ว่า ภาวะการเป็นนักบวชของหญิงมีน้อยกว่าชาย (ส่วนใหญ่นะ) และอุบาสก รวมถึงอุบาสิกาส่วนใหญ่ ก็ไม่สนิทใจที่จะกราบไหว้สตรี ถ้าภิกษุณีกำเหนิดใหม่ ก็คงจะเข้าลักษณะที่ว่ามานั่นแหละ

อย่าไปโทษใครว่าไม่ให้สิทธิสตรีเท่าเทียมกับผู้ชาย ถ้าจะโทษก็ต้องโทษธรรมชาติ เพราะขนาดธรรมชาติผู้ให้กำเหนิดมนุษย์ ยังลำเอียง ให้ร่างกายผู้ชายแข็งแรงกว่า ภาวะผู้นำมากกว่า การตัดสินใจเร็วกว่าเด็ดขาดกว่า แล้วจะไปเรียกร้องเอากับมนุษย์ด้วยกัน มันก็ได้แหละ แต่ได้ในบางเรื่อง ได้แบบจำกัด บางครั้งคนเราต้องยอมรับตัวเอง ว่าเราคือใคร ทำอะไรได้แค่ไหน

ชีวิตที่ต้องพายเรือทวนน้ำอยู่ตลอดเวลา เป็นชีวิตที่เหนื่อย ขอบอก

ปล่อยวางเสียบ้าง ทุกอย่างจะดีเอง (ชื่อหนังสือของ พระชุติปัญโญ หามาอ่านกันบ้าง หนังสือดีมีธรรมมะ)




Mr.No

อ้างจาก: wareerant เมื่อ 19:02 น.  15 ม.ค 58
ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น "ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร" ความหมายคือ เอาข้าวเปลือกไปโยนในนา จะงอกเป็นต้นกล้า เอาข้าวสารไปเพาะปลูก ยังงั๊ย ก็ไม่ขึ้นไม่งอก นี่ไม่ได้ดูถูกผู้หญิงนะ ว่าสู้ผู้ชายไม่ได้ แต่สภาพความจริงมันเป็นอย่างนั้น ผู้ชายหลายคนมารวมกัน ไม่ค่อยจะมีปัญหา จะมีก็แต่ออกลิงออกค่าง ออกเด็ก ผู้หญิงหลายคนมารวมกัน ปัญหายุ่บยั่บไปหมด อิจฉาริษยากัน แย่งชิงดีชิงเด่น นินทาว่าร้าย กลั่นแกล้ง เรื่องแบบนี้ผู้ชายก็มีเหมือนกัน แต่ไม่เยอะเท่าผู้หญิง

หลักฐานก็มีอยู่แล้ว การสูญสิ้น ขาดวงศ์ ของภิกษุณี ไม่มีใครตอบได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่ก็พอเดาได้ว่า ภาวะการเป็นนักบวชของหญิงมีน้อยกว่าชาย (ส่วนใหญ่นะ) และอุบาสก รวมถึงอุบาสิกาส่วนใหญ่ ก็ไม่สนิทใจที่จะกราบไหว้สตรี ถ้าภิกษุณีกำเหนิดใหม่ ก็คงจะเข้าลักษณะที่ว่ามานั่นแหละ

อย่าไปโทษใครว่าไม่ให้สิทธิสตรีเท่าเทียมกับผู้ชาย ถ้าจะโทษก็ต้องโทษธรรมชาติ เพราะขนาดธรรมชาติผู้ให้กำเหนิดมนุษย์ ยังลำเอียง ให้ร่างกายผู้ชายแข็งแรงกว่า ภาวะผู้นำมากกว่า การตัดสินใจเร็วกว่าเด็ดขาดกว่า แล้วจะไปเรียกร้องเอากับมนุษย์ด้วยกัน มันก็ได้แหละ แต่ได้ในบางเรื่อง ได้แบบจำกัด บางครั้งคนเราต้องยอมรับตัวเอง ว่าเราคือใคร ทำอะไรได้แค่ไหน

ชีวิตที่ต้องพายเรือทวนน้ำอยู่ตลอดเวลา เป็นชีวิตที่เหนื่อย ขอบอก

ปล่อยวางเสียบ้าง ทุกอย่างจะดีเอง (ชื่อหนังสือของ พระชุติปัญโญ หามาอ่านกันบ้าง หนังสือดีมีธรรมมะ)

แหม... ถ้าไม่ quote คำพูดผมมา ผมคงไม่ต่อกระทู้ แต่เมื่อ quote แล้ว อยากทราบเหมือนกันว่า ท่าน Wareerant คิดว่า ทางออกเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร?   ปล่อยวาง!??

เขียนบอกไม่ดูถูกผู้หญิงแต่อ่านยังไงก็ใช่ละครับ... อย่าออกตัวเลย
หญิงชาย ต่างล้วนคู่กัน..มีคุณค่าสำหรับโลกใบนี้....อย่างน้อยผมก็ภูมิใจและโชคดีที่ไม่ได้โผล่หัวพรวดออกมาจากกลางปล้องไม่ไผ่!

อะไรที่เป็นสิทธิ ก็ต้องใช่ อะไรไม่ใช่ก็ไม่ใช่ว่ามันต้องว่ากันตามเหตุปัจจัย
ผู้หญิงรวมกัน 10 คนทำคุณประโยชน์ให้โลกมนุษย์ให้สังคมมีมากมาย....เทียบกับชายโง่ ๆ นับแสนนับกองทัพที่ทำอะไรโง่  ๆ ให้มนุษยชาติให้สังคมกันมานับแต่บรรพกาลจนปัจจุบันกันมากมายก็มีมิใช่หรือ?

ธรรมชาติสร้างร่างกายให้ผู้ชายกล้ามใหญ่แข็งแรงน่ะใช่...แต่ก็ใช่ว่าจะสร้างสมองของหญิงให้เล็กเท่า.???...ของผู้ชายซะเมื่อไหร่???

พุทธองค์กว่าท่านจะทรงอนุญาตให้พระนางปชาบดีบวชได้ ก็ต้องให้พระอานนท์ทูลขอถึง 3 ครั้งสามครา จึงทรงอนุญาต ....แต่เหตุใดสุดท้ายจึงทรงอนุญาตและเหตุผลที่พระองค์ทรงอนุญาตถือเป็นเรื่องที่สาวก(ภิกขุ) ก็ต้องถือเป็นที่สุด นี่คือประเด็นเรื่องนี้  แต่พิจารณาจากประเด็นสังคมโลกถือว่าท่านทรงเป็นนักประชาธิปไตยที่น่ายกย่อง ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งที่นานาศาสนชน ต่างยกให้ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ใกล้เคียงกับโลกความจริงมากที่สุดมิใช่หรือ?

ผมก็ไม่ได้ยินดียินร้าย ถ้าจะมีภิกษุณีสงฆ์หรือไม่ เพราะทุกสิ่งคงเป็นไปตามเหตุปัจจัย...และโอกาสเอื้อ เพียงแต่เขียนตามหลักวิชาการ..และข้อมูลที่มี.... ไม่ใช่เขียนเพราะอยากเขียนแต่สิ่งที่อยากเขียน

เสวนาความเห็นในธรรมต้องใช้ธรรมหรือเหตุผลในธรรมด้วยกันตอบ...ความรู้เรื่องภูมิธรรมมากน้อยอาจไม่ใช่ประเด็น..ตราบเท่าที่ไม่ทำตัวเป็น "เหมือนจะรู้" 

ถ้าจะตอบแบบความรู้สึกทั่วไป นั่นอีกกรณีหนึ่ง  หรือประเด็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องจำเพาะ..  และที่สำคัญฝ่ายหนึ่งถกเรื่องพระธรรม..อีกฝ่ายพรวดเข้ามาบอกราวกับจะบอกว่าที่พวกเอ็งคุย ๆ กันนั่นน่ะมัน  "ไร้สาระ" แบบนี้มันผิดเรื่อง ..ผิดเทศะ และ ผิดมารยาท


อีกอย่างการปล่อยวางนั่นน่ะดี....  แต่ถามสักทีเพราะผมไม่แน่ใจว่า ท่านจะเข้าใจสาระในนิยามมันหรือไม่?
เพราะ  "ปล่อยวาง" กับ "ละเลย-ช่างมัน"    หรือ "ชุ่ย-มักง่าย"  บางทีมันมีอาการคล้ายกัน แต่ผล,ความหมายทางธรรมและกระบวนการคิดมันต่างกัน

เปรียบถ้ามีใครกำลังวางแผนจะรังแกพ่อแม่...ลูกคนหนึ่งปรึกษาบอกใช้วิธีนี้ช่วยพ่อแม่แบบนี้เถอะ...อีกคนบอกต้องช่วยอีกแบบน่าจะดีกว่า  อีกคนพรวดเข้ามาบอกให้ "ปล่อยวาง"! ท่านว่า...ลูกคนนี้มันน่าเบริด์กระโหลกมั้ยครับ

หนังสือที่แนะนำ....รับประกันว่า ผมไม่เคยอ่านและจะไม่อ่านหนังสือพวกนั้นและอีกหลายเล่มอีกต่อไป.... เพราะผมอ่านมาจนเวลาที่เหลืออยู่แทบไม่อยากจะเสียเวลา....เพราะมันมีแต่  เปลือกกระพี้ และส่วนใหญ่เลียบค่ายธรรมะเท่านั้น แต่หาได้มุ่งตรงต่อการเข้าใจในสาระและแก่นธรรมของพุทธองค์อย่างแท้จริง(ที่หลายคนแทบจะไม่เคยได้สัมผัสความมหัศจรรย์แห่งความเป็น อภิปรัชญาแห่งพระองค์ได้เลย)

ผมมุ่งตรงต่อพุทธองค์...มีศรัทธาหยั่งลงมั่นในพระองค์อย่างไม่ลังเล  เพราะพุทธโอษฐ์เพียงไมกีพระสูตรก็นับว่าคุ้มที่เกิดเป็นพุทธศาสนิกชนแล้ว

โชคดีที่ผมมี พุทธศาสนา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทั้งกายและจิต แม้นบางท่านอาจบอกว่าผมโชคไม่ดีที่ไม่เก่งถึงขนาดศึกษาทุกศาสนาจนที่สุดถึงระดับ "ทิ้งศาสนา" กลายเป็น  "คนไม่มีศาสนา" ได่แบบบางท่าน

ดังนั้น  คนที่ตั้งมั่นในพุทธฯ ที่ยังเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายฯ  เวลาคุยกับคนหลุดพ้นจน "ไม่มีศาสนา"  บางทีภาษาคุยมันอาจคนละเรื่องกันครับ

..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

wareerant

ทำไมถึงต้องทูลขออนุญาตถึงสามครั้ง ครั้งเดียวไม่ได้เหรอ

ทำไมต้องคิดนาน

ผู้ชายอยากบวชเหรอ จัดไป ทันทีทันใด

ผู้หญิงอยากบวชเหรอ อืม อืม อืม ก็....ก็...ก็ได้....เอาสิ


wareerant

พวกคุณก็ดูถูกผู้หญิงเหมือนกันแหละ ไม่งั้นจะมาเถียงกันทำไม ว่า บวชได้ บวชไม่ได้ มีหรือไม่มี วินัย ไม่วินัย ถึงไม่พูดออกมา แต่ใคร ๆ ก็ดูออก

ทำไมพวกคุณถึงไม่ยินดีกันล่ะ ว่าเราจะมีภิกษุณีกันแล้ว ไชโย เหมือนพอถึงฤดูกาลประกวดนางสาวไทย เราก็ดีใจว่า เราจะได้นางสาวไทยอีกแล้ว เฮ

ทำไม่ไม่แบบว่า เฮ้ยพวกเรา ทำยังงัยถึงจะบวชภิกษุณีกันได้ เรามาช่วยกันเถอะ ส่งเสริมสิทธิสตรี ช่วยให้ผู้หญิงได้บวชกันเยอะ ๆ

ก็ไม่

ยังเถียงกันหน้าดำหน้าแดงอยู่เลย ทำเหมือนนักปราชญ์ แต่จะปราชญ์จริงรึเปล่าก็ไม่รู้


อ้อ แล้วก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะ ที่ได้ออกมาจากช่องที่ควรจะออก ถือว่าโชคดีมาก จงภูมิใจ

คนไม่มีศาสนาบางคน อาจมีความคิดมากกว่าคนมีศาสนา แต่ไม่เข้าใจศาสนาบางคนก็ได้




คนชอบถาม

สำหรับผมแล้ว กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่มี "สาระ" มากที่สุดกระทู้หนึ่งในกิมหยง
ทำให้ต้องเข้ามาติดตามอ่านทุกวัน
ต้องขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูลทั้งใหม่และเก่าทุกท่านครับ

คนเมืองสง

อ้างจาก: wareerant เมื่อ 07:52 น.  16 ม.ค 58

ฯลฯ

ทำไมพวกคุณถึงไม่ยินดีกันล่ะ ว่าเราจะมีภิกษุณีกันแล้ว ไชโย
ฯลฯ

ยังเถียงกันหน้าดำหน้าแดงอยู่เลย ทำเหมือนนักปราชญ์ แต่จะปราชญ์จริงรึเปล่าก็ไม่รู้

อย่าได้มีพวกคุณ-พวกผมเลยครับ ขอให้มีแต่พวกเรา กำลังใช้เหตุและผลเท่าที่จะหาอ้างอิงมาได้
ยังไงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ใช่ปราชญ์แน่นอนครับ อนาคตก็อาจไม่แน่
สรุปความเห็นของคนเมืองสงเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ
๑.เชื่อในบทวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ เพราะเพราะพระองค์ทรงมีความรู้ในพระไตรปิฏก  อย่างลึกซึ้งมีความรอบด้านเป็นอย่างดี ทรงมีเมตตาสูง ยังไงๆกระผมก็ไม่เชื่อว่าพระองค์จะหักพระวินัย
๒.ยอมรับอำนาจของมหาเถรสมาคมที่ออกมติแล้วต่างๆ เพราะถือว่าท่านมีหน้าที่โดยตรง และเป็นผู้เชียวชาญอย่างแท้จริง
๓.ไม่ยอมรับว่าคำวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์และอำนาจของมหาเถรสมาคมที่ออกมติแล้วต่างๆ เป็นคำสั่งทางโลกตามที่ Mr.No พยายามจะอธิบาย แต่ถือว่าเป็นข้อยุติทางธรรมตามที่พระพุทธองค์ได้ให้อำนาจคณะสงฆ์ในการระงับอธิกรณ์
๔.ไม่ยอมรับการมีอยู่ของนางภิกษุณีในคณะสงฆ์ไทย จากเหตุผล ๑-๒-๓ จึงขอเรียกท่านด้วยคำนำหน้าว่า "นาง"
๕.ยอมรับการมีนักบวชหญิง ไม่ติดใจจะถามเรื่องนิกายที่บวชใดๆ
๖.ไม่ติดใจเรื่องการแต่งกายด้วยผ้าสีคล้ายจีวร
๗.ไม่ยอมรับภิกษุที่ไปร่วมสังฆกรรม สังฆพิธี  เพราะถือว่าภิกษุนั้นขัดคำสั่งโดยชอบของเจ้าคณะปกครอง อยู่ร่วมกันไม่ได้ยกเว้นการรับนิมนต์ในการทำบุญธรรมดาเหมือนรับนิมนต์จากคนทั่วไป
๘.เพราะไม่ยอมรับการมีอยู่ของภิกษุณีจึงไม่เกรงกลัวเรื่องอนันตริยกรรมตามที่ Mr.No ได้ขมขู่ไว้ แต่ก็ไม่คิดล่วงเกินนักบวช
๙.ยอมรับนางฉัตรสุมาลย์และคณะว่าเป็นนักบวช
๑๐.มีความเห็นว่า เมื่อ มส.ออกมติแล้ว ผู้มีหน้าที่รับสนองพระบัญชาต้องดำเนินการต่อเท่าขอบเขตอำนาจจะอำนวยให้เต็มที่ เมื่อเต็มที่แล้วได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ติดใจเพราะเป็นเรื่องนักบวชไม่ใช่กลุ่มผู้ก่อการร้าย หัวหน้านักบวชทั้งหลายพึงสังวรณ์ด้วยตัวเองได้ไม่ควรต้องให้ใครต้องมาสอน
๑๑.ห้ามใช้คำว่า "ภิกษุณี" ในเอกสารทางราชการ ถือเป็นอนุสนธิจากคำสั่ง มส.
๑๒.มติ มส. อันเกี่ยวข้องกับพระวินัยไม่ใช่คำสั่งทางโลกตามที่ Mr.No กล่าวหา
      เรื่องศาสนาพุทธเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเราสามารถสนทนากันได้ ถือเป็นการสนทนาธรรมบนพื้นฐานของเหตุผล-ความรู้ และควรมีความอดกลั้น จึงควรงดเว้นการกระแนะแหน การดิสเครดิตคู่สนทนาก่อนการเขียนบรรยาย หรือการตบท้ายด้วยการหยอดให้เกิดโทสะก่อนจากไป
ขอได้โปรดเจริญในธรรม

คนเมืองสง

ขอแก้ไข ข้อ ๑๑.
๑๑.ห้ามใช้คำว่า "ภิกษุณี" เรียกสตรีห่มเหลือง ในเอกสารทางราชการ ถือเป็นอนุสนธิจากคำสั่ง มส.

พบพระ

เห็นด้วยกับ Mr.No. น่าจะเปิดศูนย์ประชุมแห่งชาติ ให้มาเสวนากันเลย เชิญ CNN มาด้วย
------------
คนไทย อ่านหนังสือ ปีละ 8 บรรทัด  ถูกแล้วครับ   หนังสือที่ให้ข้อมูลผิดๆ มีเยอะมากในร้านหนังสือ
อย่าอ่านเลยครับ !!!!!!!!!!!!!
อ่านแล้วเข้าใจผิดทั้งน้าน เช่น ผมซื้อมาอ่านเล่มนึงจาก 7-11 เรื่อง "เณรคำชาติหน้าไม่ขอเกิด"
อ่านแล้วก็เห็นแต่เรื่องพื้นๆ เช่น ผีมาช่วยซักผ้า การรู้เห็นเหตุการณ์จากระยะไกลโดยจิตสัมผัส ถ้าทำได้เท่านี้ไปนิพพานไม่ได้หรอก บอกหวยก็ไม่ถูก คนทั่วไปคิดว่าทำได้แค่นี้แล้ว คงมีคุณวิเศษทำอย่างอื่นที่วิเศษได้อีก  .... ผิดแล้วครับ
ท่านต่อไปเชิญครับ ----------------------->>>>

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58

หรือหากท่านประกาศว่า ภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้น เป็นเพียงนิกายหนึ่งนิกายใด  แต่เมื่อสอบในการปฎิบัติพระธรรมวินัยแล้วพบว่า ใช้พระไตรปิภฎ ศีลวัตรอย่างของเถรวาท แบบนี้ ภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นท่านจะรับว่าตนเองเป็นนิกายหนึ่งนิกายใดตามที่ทางมหาเถรสมาคมระบุให้เป็นหรือ? เพราะถ้าภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นยอมรับก็จบ...แต่ถ้าบอกไม่ใช่ เป็นภิกษุณสงฆ์ที่ไร้นิกาย ท่านจะว่าอย่างไร?

นี่เป็นเหตุผลที่ว่า เหตุใดที่ทางมหาเถรสมาคม จึงได้อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ในเวลานี้..

มส.ไม่มีหน้าที่ไปสรรหานิกายให้นักบวชคนไหนนะครับ ท่านเพียงมีมติปฏิเสธไม่ให้เข้าหมู่เข้าพวกกับท่าน ท่านทำหน้าที่ของท่านจบแล้ว ผู้มีหน้าที่รับสนองพระบัญชาก็กำลังดำเนินการ จะไปว่าหาท่านกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นไม่จริงครับ ที่เหลือก็คงเหลือเพียงพวกดื้อตาใส

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58

ผมอุตส่าห์ข้ามเรื่องพระธรรมวินัยไปแล้ว เพราะยังไม่เห็นว่า จะมีใครออกมาชี้แจงว่าที่ผมยก พระวินัยปิฎกที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอุปสมบทภิกษุณีได้นั้น ตกลงท่านเอาไปแอบไว้ตรงไหน? แต่พอยกเรื่องนี้ ก็ดึงเอาคำสั่งของสมเด็จฯ ท่านมาอ้าง...

การอ้างพระไตรปิฎกจะอ้างจากบรรทัดเดียวไม่ได้ หยิบวรรคเดียวมาหาประโยชน์ไม่ได้ ดูที่มาและดูที่ไป ผู้ที่อ้างได้ต้องมีการศึกษามาอย่างถ่องแท้รู้พระไตรปิฎกรอบด้าน
เพราะปัจุบันแม้ภิกษุก็ยังอุปสมบทภิกษุไม่ได้ ต้องใช้คณะสงฆ์

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58

ท่านทราบมั้ยครับว่า... ขนาด พระนิกายมหายาน เรื่องที่เรามักเรียกกันว่า พระจีน อย่างนิกายในไทย ที่เรียกว่า อนัมนิกาย (ถ้าไม่รู้จักก็ลองไปดูที่วัดถาวรฯ แถวฉื่อฉาง นั่นละครับ) นั่นก็ขึ้นตรงกับพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชไทยนะครับ และก็อยู่ภายใต้การดูแลของมหาเถรสมาคม (เพราะสมเด็จพระสังฆราชท่านเป็นประธานโดยตำแหน่ง)

พระเหล่านั้นเป็นนิกายที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการของประเทศนั้นๆ มีที่มาที่ไปชัดเจนและที่สำคัญคือถูกกฎหมาย
ท่านเหล่านั้นประพฤติตามวัตรของท่านไม่ได้ขัดต่อกฎหมายไทยและท่านเหล่านั้นยินยอมรับเอาพระสังฆราชไทยเป็นประธานเพราะเขาศรัทธา ไม่รังเกียจวัตรปฏิบัติแบบเรา และเขาก็ไม่ได้รุกล้ำวิพากย์วิจารณ์เราให้เสียหาย

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58

หรืออย่างพวกศาสนาอื่นในไทย ทั้งอิสลาม ฮินดู ,ซิกซ์,คริสต์ ฯลฯ ต่างก็อยู่ภายใต้การดูแลของกรมการศาสนา เพื่อให้ทุกศาสนาในประเทศดำเนินไปอย่างถูกต้องทั้งในแง่ของกฎหมายรัฐธรรมนุญที่ให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา และให้สอดคล้องกับพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงเป็น อัครศาสนูปถัมภก

ลองไปดูหน้าที่ของกรมการศาสนาตามที่ผม COPY ไว้ให้ กรมการศาสนาไม่มีสิทธิหน้าที่จะกำกับดูแลตามที่ คุณ Mr.No กล่าวอ้าง
  หน้าที่กรมการศาสนามีเพียงการส่งเสริม
  หากมีการกระทำผิดเขาจะลงโทษกันเอง กรมการศาสนาไม่ใช่โจทย์ เช่น ศาสนาอิสลามเขาก็มีคณะกรรมการอิสลามประจำพื้นที่ในระดับต่างๆ จนถึงคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย จะเป็นผู้ดูแลวินิจฉัย ถูกไม่ถูกเขาว่าของเขาเอง กรมการศาสนาไม่มีอำนาจจะไปวินิจฉัย

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58

อย่าลืมนะครับว่า ...วันนี้เป็นยุคที่โลกอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม  และสภาพกดดันของโลกที่พยายามยกเอาเรื่องความเสมอภาคแห่งสิทธิสตรีและจับตาเรื่องนี้กันแทบทั่วโลก

เอาเรื่องนี้มาข่มขู่ศาสนาไม่ได้

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58

แต่หากไม่ยึดติดเรื่องนิกาย...และใช้พระธรรมวินัยล้วน  โดยเฉพาะแม้นว่าพุทธองค์ท่านจะทรงบัญญัติให้บวชด้วยสงฆ์สองฝ่าย แต่เมื่ออีกฝ่ายขาดสูญไป ก็สามารถสร้างใหม่ได้ โดยยึดถือเอาตามพระธรรมวินัยทีทรงอนุญาตให้ภิกษุอุปสมบทภิกษุณีได้แบบเดียวกับครั้งพุทธกาล 

นี่ก็อธิบายไปแล้วเป็นการตีความที่เอาแต่ได้  ..."โดยยึดถือเอาตามพระธรรมวินัยทีทรงอนุญาตให้ภิกษุอุปสมบทภิกษุณีได้แบบเดียวกับครั้งพุทธกาล" ...
ปัจจุบันแม้ภิกษุก็ยังอุปสมบทภิกษุไม่ได้ ต้องใช้คณะสงฆ์

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58

ผมมองว่างานนี้... ภิกษุณีสงฆ์ในไทย  อาจไปได้สวย  เพราะได้เปรียบแยะ ทั้งฝ่ายโลกทั้งในและนอกประเทศทีให้การสนับสนุน..และแถมในพระธรรมวินัยก็มิได้ไปมีอะไรที่ขัดขวาง

เผลอ ๆ ยิ่งสำนักภิกษุณีสงฆ์ไหนมีวัตรปฎิบัติดี ๆ สอนธรรมะในทางที่ถูกที่ควร และสร้างศิษยานุศิษย์กันจนเป็นล่ำเป็นสัน 

เป็นสิทธิพื้นฐานแต่ต้องเคารพสิทธิผู้อื่นด้วย ต้องยอมรับให้ได้ว่าอยู่นอกหมู่นอกพวกของคณะสงฆ์ไทย ห้ามใช้ทรัพยากรของคณะสงฆ์ไทย เช่น ตำราต่างๆ บทสวด ธรณีสงฆ์ พระพุทธรูปแบบไทย ศาสนพิธี ให้ไปจัดทำกันใหม่ทั้งหมด
แต่ถ้าจะกราบพระพุทธรูปแบบไทยก็ไม่ห้าม แต่ห้ามนำไปไว้ในศาสนสถานของตน

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58


งานนี้ไม่ต้องห่วงครับ...เพราะสุดท้ายเผลอ ๆ ผู้ที่ช่วยนำพาให้  พุทธศาสนาเรารอด อาจเป็น  เหล่าภิกษุณีสงฆ์ ที่ใคร ๆ ต่างพากันเบือนหนี(ปัญหา)เหล่านี้ในที่สุดละครับ.

เป็นสิทธิที่คุณ Mr.No จะเกาะชายผ้านักบวชที่ตนศรัทธา

Mr.No


อย่างแรก.. ผมต้องขอบคุณท่านคนเมืองสง  ที่เอื้อเฟื้อความเห็น แม้นจะแตกต่างแต่ก็เป็นไปในทางที่เป็นการเสวนา โดยเฉพาะเป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นที่อยู่บนพื้นฐานของการให้เกียรติ...และ สุภาพ ตามวิสัยพุทธศาสนิก

เราอาจเห็นแตกต่าง... ซึ่งก็ไ่มต่างจากโลกภายนอกกิมหยงดอทคอม ที่ก็มี ผู้รู้ทั้งฝ่ายสองฝ่ายก็แลกเปลี่ยนความเห็นไปในทางที่อาจต่างกันในเรื่องนี้  ไม่เว้นแม้นแต่  พระกับพระ ด้วยกัน ก็ยังแตกต่างกัน

ผมคิดว่า คงไม่ต่อกระทู้ท่านคนเมืองสงละครับ....เพราะเดี๋ยวมันจะเป็นการทำให้คนอื่นคิดว่า  เรา "ทะเลาะกัน"

เอาเป็นอย่าเพิ่งไปไหนนะครับ...อยู่ช่วยกันเป็นเพื่อนในกระดานลานบุญ  คิดเห็นเรื่องข้อธรรมอื่น ๆ เป็นเพื่อนกันในฐานะ กัลยาณมิตร ครับ...

..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

คนเมืองสง

    "กระดานลานบุญ" อ่านไว้   อรรถรส
ธรรมะย่อมปรากฎ                 ก่อได้
ถูกผิดบ่กำหนด                   ใดต่าง กันนา   
เพียงเพื่อขอโทดไว้              บ่ได้ ล่วงเกิน
     ขอบคุณทุกท่านให้          เสวนา
"Mr.No" หนึ่งมา                อิ่มถ้อย
"wareerant" วาจา            เพียงต่าง
ทุกท่านมีจิตพร้อม               บ่นไว้ ศาสนา

     

พุทธสัญญา

ในสมัยพระพุทธโคตม ก้อมีภิษุณี พระพุทธองค์ไม่ทรงห้าม พระนางพิมพาอดีตพระชายาของพระองค์ยังได้รับการบวชเป็นภิษุณีโดยพระองค์เอง แล้วเราชาวพุทธจะปิดกั้นไปเพื่อสิ่งใดหรือ การเปิดโอกาสนั้นเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ พระพุทธศาสนาเป็นของโลกไม่มีเพศไม่มีวรรณะไม่ใช่หรือ

พุทธบุรุษ

เขาแหลงกันไปหายหูดแล้วหนิ
นี่มาจากไหนหล่าว อ้างพระสมณะโคดม
ยังล่าว คนพันนี้นิ

คนเมืองสง

การแสดงความคิดเห็นก็เป็นเรื่องดีครับ ความคิดเห็นไม่มีวันจบ

คุณหลวง

ไม่ได้เข้ามานาน สะบายดี...ทุกท่านนะครับ

    เชื่อเถอะครับ สุดท้ายก็มีภิกษุณีในประเทศไทย ไม่ว่ายังไงก็ตาม มันอาจขัดกับนิกายเถรวาทแบบไทย แต่นิกายอื่นที่ถือว่ามีได้ มีอยู่ก็เป็นทางเลือกให้สตรีผู้ประสงค์บวชได้ มส.จะยอมรับหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา เพราะจะมีทางออกจนได้

    มันก็ใช่ผิดพระวินัย เพราะนิกายที่สืบภิกษุณีมานานก็มีอยู่ สงฆ์ที่ยอมรับการมีอยู่ของภิกษุณีก็มีอยู่ เพียงแต่แบบไทยไม่ยอมรับเท่านั้น ผมจึงเห็นว่าการใช้นิกายที่ยอมรับการมีอยู่ของภิกษุณีมาใช้ มาเผยแผ่ก่อนก็น่าจะดีที่สุดในทางออกเรื่องนี้

    ผมมีเรื่องนึงจะเล่าสั้นๆ

    เคยอ่านประวัติพระรูปหนึ่งสายธรรมยุติ ท่านได้เข้าพรรษาร่วมกันกับพระมหานิกายอย่างหลวงพ่อชา สุภัทโท สมัยที่ท่านยังหนุ่มและธุดงค์กันอยู่ (ขออภัยอย่้างยิ่งที่จำชื่อท่านไม่ได้) เมื่อเห็นว่าต่างมีวัตรปฏิบัติที่พอๆกัน จึงทำกิจร่วมกันเสมอทั้งการลงปาฏืโมกข์ การขบฉัน ฯลฯ จนเรื่องไปถึงพระสังฆาธิการฝ่ายธรรมยุติ ที่ต้องรุดมาสอบสวน

    ท่านยอมรับทุกอย่างและกล่าวว่าเห็นว่าท่านชามีวัตรปฏิบัติที่ถูกต้อง ดีงามตามพุทธบัญญัติ
    ฝ่ายพระสังฆาธิการแย้งว่าผิดประเพณี ท่านตอบย้ำว่าเมื่อปฏิบัติถูกต้องก็ไม่น่าจะผิด ประเพณีมาทีหลังพระพุทธบัญญัติ
    "ท่านไม่นับถือพระอุปัชฌาย์ของท่านหรือ" พระสังฆาธิการรูปนั้นถาม
    "นับถือครับ นับถือมาก แต่อย่างไรเสียก็ไม่นับถือมากกว่าพระพุทธเจ้าครับ"

    ผมชอบจัง เราอาจจะยังต้องศึกษากันอีกเยอะครับ และสิ่งที่ดีที่สุดในการศึกษาคือการมีกัลยาณมิตรร่วมศึกษา แย้ง ขัด ชี้แจง แบ่งปันกันอย่างกัลยาณมิตร

สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป