ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เส้นทางแข้งไทย จากเหรียญทองซีเกมส์ 2013 สู่แชมป์ซูซูกิคัพ 2014

เริ่มโดย itplaza, 11:15 น. 22 ธ.ค 57

itplaza



ทำให้แฟนบอลชาวไทยมีความสุขกันอีกครั้งสำหรับ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย ที่ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอล เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี และเป็นแชมป์สมัยที่ 4...

คืนความสุขและมอบของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยได้อย่างสง่างามจริงๆสำหรับ "ช้างศึก" ทีมฟุตบอลชายทีมชาติไทย หลังผงาดคว้าแชมป์การแข่งขันฟุตบอล "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014" ได้อย่างยิ่งใหญ่ เมื่อรวมพลังสู้สุดชีวิตเอาชนะ "เสือเหลือง" มาเลเซีย ในรอบชิงชนะเลิศ ไปด้วยสกอร์รวม 2 นัด 4-3 ทำเอาแฟนบอลหลายคน หลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มใจกับความสำเร็จของทีมชาติไทยในครั้งนี้  ทีมข่าวกีฬาไทยรัฐออนไลน์ จึงขอนำเสนอเส้นทางความสำเร็จของ ฟุตบอลชายทีมชาติไทย นับตั้งแต่คว้าเหรียญทองซีเกมส์ ที่เมียนมาร์ ในช่วงปลายปี 2013 จนถึงการคว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 มาให้อ่านกันอย่างมีความสุข! 

สำหรับ ''ซิโก้'' เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตกองหน้าเบอร์ 1 ของเมืองไทย ที่รับบทกุนซือใหญ่ ประเดิมคุมทีมชาติไทยเป็นรายการแรกในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ที่ประเทศเมียนมาร์ หลังจากก่อนหน้านี้ไทยตกรอบแรกมา 2 ครั้งรวด โดยทีมชุดนี้ประกอบไปด้วยนักเตะที่โค้ชซิโก้ เป็นคนเลือกด้วยตัวเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น กวิน ธรรมสัจจานันท์, ธีราธร บุญมาทัน, ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์ และ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ เป็นต้น ซึ่งผลปรากฏว่าทัพช้างศึกคว้าเหรียญทองได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการคว้าเหรียญทองซีเกมส์เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี

เส้นทางคว้าแชมป์ฟุตบอลซีเกมส์ 2013

รอบแรกทีมชาติไทยถูกจับสลากมาอยู่ในกลุ่ม บี ร่วมกับ อินโดนีเซีย, เมียนมาร์, ติมอร์เลสเต และ กัมพูชา โดยผลการแข่งขันรอบแรก ทีมชาติไทย ชนะ ติมอร์เลสเต 3-1, ชนะ อินโดนีเซีย 4-1, เสมอ เมียนมาร์ 1-1 และเสมอ กัมพูชา 0-0

ส่งผลให้ทีมชาติไทย เก็บได้ 8 คะแนน จาก 4 นัด ยิงได้ 8 ประตู เสีย 3 ประตู คว้าแชมป์กลุ่ม บี ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปพบ สิงคโปร์ รองแชมป์กลุ่มเอ โดยผลการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ ทีมชาติไทย ชนะ สิงคโปร์ ไปได้หวุดหวิด 1-0 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปพบกับ อินโดนีเซีย ที่เสมอกับ มาเลเซีย ในเวลาปกติ 1-1 ก่อนที่อินโดนีเซีย จะดวลจุดโทษชนะ มาเลเซีย ไป 4-3

โดยผลการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ทีมชาติไทย เอาชนะ อินโดนีเซีย ไปได้ 1-0 คว้าเหรียญทองได้สำเร็จ



หลังจากคว้าแชมป์ซีเกมส์ 2013 ได้อย่างยิ่งใหญ่ ต่อมาในปี 2014 ทีมชาติไทย ลงทำการแข่งขันในกีฬาเอเชียนเกมส์ 2014  ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ โดยการแข่งขันครั้งนี้ มีการจำกัดห้ามนักเตะอายุเกิน  23 ปี ทำการแข่งขัน ซึ่งผลปรากฏว่า พลพรรคช้างศึกทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ฝ่าฟันไปจนถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะพ่าย เกาหลีใต้ ไป 0-2 ทำให้ต้องไปแย่งอันดับ 3 กับ อิรัก ซึ่งแข้งไทยก็เล่นอย่างสุดความสามารถ ก่อนจะพ่าย อิรัก ไป 0-1 คว้าอันดับ 4 ไปครอง เรามาย้อนดูเส้นทางของทีมชาติไทยในกีฬาเอเชียนเกมส์ 2014 กันเลย

เส้นทางคว้าอันดับ 4 กีฬาเอเชียนเกมส์ 2014 ที่ประเทศเกาหลีใต้

รอบแรก ทีมชาติไทย ถูกจับสลากมาอยู่ในกลุ่ม อี ร่วมกับ อินโดนีเซีย, มัลดีฟส์ และ ติมอร์ เลสเต โดยผลการแข่งขันรอบแรก ทีมชาติไทย ชนะ มัลดีฟส์ 2-0, ชนะ ติมอร์ เลสเต 3-0 และ ชนะ อินโดนีเซีย 6-0

ส่งผลให้ทีมชาติไทย คว้าชัยชนะได้ 3 นัดรวด เก็บได้ 9 คะแนน จาก 3  นัด ยิงได้ 11 ประตู และไม่เสียประตูเลยแม้แต่ลูกเดียว คว้าแชมป์กลุ่ม อี ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ไปพบกับ จีน รองแชมป์กลุ่ม เอฟ โดยผลการแข่งขันรอบ 16 ทีมสุดท้าย ทีมชาติไทย เอาชนะชนะ จีน ไป 2-0 ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ ไปพบกับ จอร์แดน ที่เอาชนะ คีร์กิซสถาน มาในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 2-0

ผลการแข่งขันรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทีมชาติไทย ชนะ จอร์แดน 2-0 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปพบกับ เกาหลีใต้ ที่เอาชนะ ญี่ปุ่น มาในรอบก่อนรองชนะเลิศ 1-0 ซึ่งผลปรากฏว่า ทีมชาติไทย แพ้ เกาหลีใต้ ไปอย่างน่าเสียดาย  0-2 ทำให้ต้องไปชิงเหรียญทองแดงกับ อิรัก ที่แพ้ เกาหลีเหนือ มาในรอบรองชนะเลิศ 0-1 ก่อนที่ทีมชาติไทย จะแพ้ อิรัก ไป 0-1 คว้าอันดับ 4 ในกีฬาเอเชียนเกมส์ 2014 ไปครอง



มาต่อกันที่การแข่งขันรายการ "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014"

รอบแรกทีมชาติไทยอยู่ในกลุ่ม บี ร่วมกับ มาเลเซีย, สิงคโปร์ และ เมียนมาร์  โดยผลการแข่งขันในรอบแรก ทีมชาติไทย ชนะ สิงคโปร์ 2-1, ชนะ มาเลเซีย 3-2 และชนะเมียนมาร์ 2-0 เก็บ 9 คะแนนเต็ม ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศในฐานะแชมป์กลุ่ม บี ไปพบกับ ฟิลิปปินส์ ทีมอันดับ 2 ของกลุ่ม เอ

ผลปรากฏว่า เกมรอบรองชนะเลิศ นัดแรก ทีมไทย เสมอ ฟิลิปปินส์ ไป 0-0 และนัดที่ 2 เอาชนะไป 3-0 รวมผล 2 นัด ทีมชาติไทย ชนะ ฟิลิปปินส์ 3-0 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปพบกับ "เสือเหลือง" มาเลเซีย ที่เอาชนะ เวียดนาม ด้วยสกอร์รวม 2 นัด 5-3 

สำหรับเกมรอบชิงชนะเลิศ นัดแรก ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน แฟนบอลชาวไทย เข้าไปให้กำลังใจนักเตะกันอย่างล้นหลาม ซึ่งแข้งช้างศึกก็ไม่ทำให้แฟนบอลต้องผิดหวัง เมื่อใช้ความสดและแรงเชียร์จากแฟนๆ บดเอาชนะ มาเลเซีย ไป 2-0 โดยได้ประตูจากการยิงจุดโทษของ ชาริล ชัปปุยส์ ในนาทีที่ 72 และ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ยิงปิดท้ายในนาทีที่ 86  ทำให้คลายความกังวลได้เล็กน้อย ก่อนจะบุกไปเยือน มาเลเซีย ในรอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2

และก็มาถึงเกมที่ทุกคนรอคอย ทีมชาติไทย บุกไปเยือน มาเลเซีย ที่สนาม บูกิต จาลิล ท่ามกลางแฟนบอลเสือเหลืองนับแสนคน! เริ่มเกมครึ่งแรกไปแค่ 5 นาที มาเลเซีย ขึ้นนำ 1-0 จากการยิงจุดโทษของ ซาฟิค ราฮิม สกอร์รวม 1-2 จากนั้นช่วงทดเวลาบาดเจ็บในครึ่งแรก กองเชียร์เจ้าบ้านได้เฮอีกครั้ง เมื่อ นอร์ชาห์รุล ตาลาฮา เปิดบอลทางริมเส้นฝั่งขวามาทางเสา 2 กองหลังไทยและกวินทร์ออกมากะจังหวะพลาด ทำให้ อินดรา ปูตรา โขกเข้าประตูไปให้มาเลเซียนำไทย 2-0 สกอร์รวมเท่ากัน 2-2 ก่อนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

กลับมาเล่นต่อครึ่งหลัง นาทีที่ 57 ทีมเสือเหลือง นำห่าง 3-0 จากการยิงฟรีคิกนอกเขตโทษของ ซาฟิค ราฮิม ประตูรวมมาเลเซียแซงนำ 3-2 จากนั้นนาทีที่ 80 ไทย ได้ฟรีคิกระยะ 20 หลา นอกกรอบเขตโทษ สารัช อยู่เย็น ปั่นด้วยขวา มาริฮัส ฟาริซาล นายด่านมาเลเซีย ปัดออกมาเข้าทาง ชาริล ชัปปุยส์ ตามซ้ำเข้าไปให้ไทยไล่มา 1-3 ประตูรวมเสมอ 3-3 แต่ทีมไทยได้เปรียบอเวย์โกลทันที และถัดมาแค่ 6 นาที แฟนบอลชาวไทยได้เฮกันสุดเสียง เมื่อ "เมสซี่เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ กดด้วยซ้ายตะข่ายแทบขาดให้ไทยไล่มา 2-3 ประตูรวมไทยนำ 4-3 และจบเกมด้วยสกอร์นี้ ส่งผลให้ทีมชาติไทยประตูรวม เฉือนเอาชนะ "เสือเหลือง" มาเลเซีย ไปได้ 4-3 คว้าแชมป์เอเอฟเอฟซูซูกิคัพมาครองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี และเป็นแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 4 สูงที่สุดเท่ากับทีมชาติสิงคโปร์



ขณะที่ "เมสซี่เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ ได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าประจำการแข่งขันในครั้งนี้ และเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่เคยได้รางวัลนี้ เล็กพริกขี้หนูจริงๆ!!



สำหรับการคว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ในครั้งนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, นักเตะ และทีมสต้าฟโค้ชทุกๆคน ที่ช่วยกันปลุกปั้นทีมชุดนี้มาตั้งแต่ซีเกมส์ และในปีหน้าทีมชาติไทยจะมี 4 ทัวร์นาเมนต์สำคัญที่จะต้องลุยกันต่อ ได้แก่ คิงส์คัพ, ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย, ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก และ ซีเกมส์ โดยโค้ชซิโก้ ยืนยันแล้วว่าพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้นักเตะทุกคนนอกจากชุดนี้เข้ามาร่วมทีมเพื่อทำให้ทีมแข็งแกร่งที่สุด

เชื่อว่าจากนี้ไปแฟนบอลชาวไทยทุกคนจะคอยให้กำลังใจและให้การสนับสนุนแข้งช้างศึกต่อไป ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นทีมชาติไทยไปโชว์ฝีเท้าในศึกฟุตบอลโลกก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก แต่ใครจะไปรู้?



แฟนบอลชาวไทยให้การต้อนรับทัพช้างศึกกลับบ้านอย่างอบอุ่น


ขอบคุณ : ไทยรัฐ

http://www.itplaza.co.th/update_details.php?type_id=3&news_id=41738&page=1