ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

!!! วันสุดท้าย มหกรรมลดราคาสินค้าเกษตร ด่วน!! ที่ www.kokomax.com

เริ่มโดย ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ, 22:36 น. 03 ส.ค 58

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ



MID NIGHT SALE

ลดราคาสินค้าเกษตร เริ่มแล้ววันนี้

ที่ KOKOMAX.COM

18.00- 23.59 เท่านั้น

สั่งซื้อผ่านหน้าเว็บเท่านั้น!!
ที่ http://www.kokomax.com

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


มีคนสนใจอาชีพเกษตรกรมากขึ้นเรื่อยๆ ... เราจะเริ่มเห็น วิศวกร ตำรวจ ทหาร ครู หมอ เข้ามาในภาคเกษตรมากขึ้นๆ
อดีตสารวัตรตำรวจผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรแบบเต็มตัว ปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ 5 ชนิด จนประสบความสำเร็จผลผลิตมีคุณภาพสูง การันตีโดยกรมวิชาการเกษตร เป็นที่ต้องการของตลาด มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 6-8 หมื่นบาท เตรียมขยายพื้นที่ปลูกรองรับตลาดทั้งขายส่ง และขายปลีก

วันนี้ (8 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกร หรือผู้คนที่กำลังหาอาชีพเสริม หรืออาชีพหลัก เนื่องจากตลาดมีความต้องการสูงแต่ยังมีพื้นที่ปลูกน้อย เช่นที่ จ.สงขลา มีอดีตนายตำรวจท่านหนึ่ง คือ พ.ต.ท.เทิดพันธ์ พ่วงพลับ อดีตสารวัตรตำรวจ วัย 48 ปี ที่ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรแบบเต็มตัว โดยการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ร่วมกับ นางณัฐมนกาญจน์ พ่วงพลับ ภรรยาคู่ชีวิตวัย 42 ปี ในพื้นที่ ต.ทุ่งหวัง อ.เมือง จ.สงขลา
โดยใช้พื้นที่บริเวณบ้านพักประมาณครึ่งไร่ แบ่งเป็น 2 แปลง ปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ 5 ชนิดจำนวน 32 แปลง แยกเป็นแปลงปลูก 28 แปลง และแปลงอนุบาล 4 แปลง โดยผักทั้ง 5 ชนิดประกอบด้วย ผักเรดโอ๊ค ผักกรีนโอ๊ค ผักกรีนคอร์ท ผักฟิลเล่ย์ และผักบัตเตอร์เฮท ซึ่งผักทั้ง 5 ชนิดนี้มีตลาดรองรับแบบไม่อั้น และผลผลิตแต่ระรุ่นยังไม่พอขายเพื่อนำไปประกอบอาหารสุขภาพโดยเฉพาะเมนูสลัด

พ.ต.ท.เทิดพันธ์ บอกว่า การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ โดยเฉพาะผักเรดโอ๊ค ผักกรีนโอ๊ค ผักกรีนคอร์ท ผักฟิลเล่ย์ และผักบัตเตอร์เฮท ผักทั้ง 5 ชนิดนี้ปลูกไม่ยากแต่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ให้แมลงรบกวน คอยเด็ดใบที่เสียทิ้ง ดูแลเรื่องค่า PH ของน้ำ เรื่องปุ๋ย เนื่องจากเป็นผักไร้ดิน สำหรับผักผักไฮโดรโปรนิกส์ของตนมีใบ Q (คิว) รับรองมาตรฐานระบบจัดการคุณภาพการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (GAP พืช) พ.ศ.2555 จากกรมวิชาการเกษตร มาแสดงเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าด้วย

พ.ต.ท.เทิดพันธ์ บอกว่า การปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์แต่ละรุ่นใช้เวลาปลูก 35-45 วัน ผักจะสมบูรณ์ และมีพ่อค้าแม่ค้าซึ่งเป็นเอเยนต์จะมารับซื้อถึงบ้านทั้งหมด และขายในราคากิโลกรัมละ 100 บาทเท่ากันทุกชนิด แต่ละแปลงจะมีขนาด 1.60 x 6.00 เมตร สามารถปลูกผักได้ 240 ต้น มีการปลูกแบบหมุนเวียนกันไปเพื่อไม่ให้ขาดช่วง สามารถเก็บผักขายได้ตลอดทั้งปีสร้างรายได้เฉลี่ยต่อเดือนประมาณเดือนละ 60,000-80,000 บาท และเตรียมขยายพื้นที่แปลงปลูกเพิ่มอีก 1 แปลง เพื่อรองรับตลาดที่กำลังขยายตัว รวมทั้งทำร้านเล็กๆ หน้าแปลงผัก เพื่อจำหน่ายให้แก่ประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาด้วย
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก มติชนออนไลน์ นะคะ

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน  LINE ID: @KOKOMAX

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


การตัดรากแก้วมะละกอ

ทำให้มะละกอต้นเตี้ย โตเร็ว ช่วยย่นระยะเวลาการเก็บเกี่ยวผลผลิตขึ้นมาได้ 1 เดือน เป็นการแปลงเพศมะละกอให้ออกลูกดกทุกต้น

วิธีการ
1. ย้ายกล้ามะละกอจากแปลงเพาะ ควรรดน้ำต้นกล้าให้ชุ่ม
2. ให้ตัดรากแก้วของกล้ามะละกอออกประมาณ 2 ข้อนิ้วมือหรือประมาณ 5 เซนติเมตร ซึ่งวัดจากปลายรากขึ้นไป
3. นำต้นมะละกอลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้
ควรวางต้นมะละกอเอียง 30 -45 องศา หันไปทางทิศตะวันออก
ไม่ต้องรอลุ้นแล้วว่าต้นไหนจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมียที่ไม่ให้ลูก
และลักษณะทรงผลไม่เป็นที่ต้องการของตลาด
ข้อมูลอ้างอิง คุณสมพงษ์ อ่อนชัย จ.ขอนแก่น ภูมิปัญญาชาวบ้าน

ที่มา : facebook/คำเอก ณ.เชียงราย

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน
LINE ID: @KOKOMAX

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


อย่าปล่อยให้โรคพืชเป็นปัญหากวนใจ ผลิตภัณฑ์ใช้ดีจนต้องบอกต่อ " สารชีวภาพ กำจัดโรคในพืช ตรา โคโค-แมกซ์(KOKO-MAX) "

ที่ผ่านมาในอดีต เกษตรกรในไทยต่างนิยมใช้สารเคมีเพื่อกำจัดโรคในพืชผลการเกษตร เกือบทุกแขนง โดยมีความเชื่อจากปากต่อปากว่า การใช้สารเคมีจะให้ผลดีอย่างเห็นได้ชัด อาทิเช่น ทำให้ผลออกเยอะ แมลงไม่มารบกวน อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกัน กลับไม่มีใครบอกเลยว่าแท้จริงแล้ว โทษจากการใช้สารเคมีนั้นเป็นอันตรายทั้งต่อธรรมชาติ สุขภาพของผู้ใช้ ไปจนถึงผู้บริโภคในระยะยาวอย่างร้ายแรง

จากปัญหาที่ได้กล่าวมาข้างต้นทำให้ในปัจจุบัน ทางชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพได้ตระหนักถึงผลร้ายที่จะตามมา จึงได้ส่งเสริมแนวคิดที่ซึ่งเป็นอีกทางเลือกใหม่สำหรับชาวเกษตกรและผู้ที่สนใจในการเพาะปลูกยุคใหม่ หันมาใช้ ผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยีชีวภาพ โคโค-แมกซ์ KOKOMAX ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นวัคซีนกำจัดโรคในพืชที่สกัดมาจากเชื้อจุลินทรีย์เชื้อราและแบคทีเรีย ที่สามารถแก้ปัญหาโรคในพืชที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี อาทิเช่น

โรคแอนแทรคโนส ราแป้ง โรคราดำ โรคใบจุด โรคใบปื้นเหลือง โรคเน่าดำ โรคต้นเน่าแห้งหรือโรคราเมล็ดผักกาดหรือเน่าเข้าไส้ ใบด่าง รากเน่าโคนเน่า โรคใบหงิก โรคแคงเกอร์ โรคเน่าเละ โรคสนิมเหล็ก โรคราน้ำค้าง โรคเหี่ยว โรคแผลสะเก็ด (สแคป) เป็นต้น ดังนั้นโปรดวางใจว่าปลอดภัย ไม่ทำร้ายพืช ไม่ส่งผลเสียต่อธรรมชาติหรือต่อผู้ใช้ตลอดถึงผู้บริโภคทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ผ่านการพิสูจน์แล้วจากเกษตรกรที่ใช้จริงและใช้อย่างต่อเนื่อง

ผลิตและควบคุมคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ

*** เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ควร หยุดใช้ ร่วมกับสารเคมีกำจัดเชื้อราและแบคทีเรีย

อัตราการใช้

ควรใช้โคโค-แมกซ์ 5 ช้อนแกง ต่อ น้ำ 20 ลิตร กับพืชไร่/พืชสวน หรือ 3 ช้อนแกง ต่อ น้ำ 20 ลิตร กับกล้วยไม้และไม้ดอก ไม้ประดับ

**ขนาดบรรจุ 1 กิโลกรัม ราคา 450 บาท พิเศษ จัดส่งไปรษณีย์ฟรีทั่วประเทศ!!

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com/

โทร. 061-405-8899
ไลน์ @KOKOMAX และ KOKOMAX8888
อีเมลล์ info.kokomax@gmail.com

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


แจกเมล็ดพันธ์ ‪#‎ของฟรีก็มา‬ พริกขี้หนู,มะเขือเทศสีดา,ถั่วแขก,ผักกาดกวางตุ้ง,มะเขือยาว,พริกหวาน,หน่อไม้ฝรั่ง,ผักกาดขาวปลี,หอมแบ่ง,ผักกวางตุ้ง และเรกโอ๊ค กรีนโอ๊ค นะคะ
รางวัลละ 2 ซอง 6 รางวัล ลงชื่อได้เลย นะคะ ลงชื่อได้เลยคะที่ https://www.facebook.com/kokomaxthailand/

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ



ครบเครื่อง..เรื่องปุ๋ย แบบปราชญ์ชาวบ้าน.!!

สูตรปุ๋ย ฮอร์โมนเร่งดอก ผล กำจัดไล่แมลง.!!
สูตรปุ๋ย ฮอร์โมน สารไล่แมลง..
การขยายจุลินทรีย์ EM
1. จุลินทรีย์ EM 2 ช้อนโต๊ะ
2. กากน้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำสะอาด 1 ลิตร
วิธีทำ
ผสมจุลินทรีย์ EM กากน้ำตาล และน้ำเข้าด้วยกัน ใส่ขวดพลาสติกชนิดฝาเกลียวปิดฝาให้แน่น เก็บไว้ 3 – 5 วัน
จะเป็นหัวเชื้อขยายเป็นการนำจุลินทรีย์มาขยายให้ได้จำนวนมาก ลดต้นทุนนำไปใช้หรือขยายต่อได้อีก
(เก็บไว้ได้นาน 3 เดือน)
วิธีใช้
ใช้ทำปุ๋ยน้ำ ฮอร์โมน สารไล่แมลง และปุ๋ยแห้ง ฯลฯ
หมายเหตุ 1 แก้ว ประมาณ 250 ซีซี
1 ช้อนโต๊ะ ประมาณ 10 ซีซี

การทำฮอร์โมนผลไม้
1. มะละกอสุก 2 กก./ สัปรดสุก
2. ฟักทองแก่จัด 2 กก.
3 . กล้วยน้ำว้าสุก 2 กก.
4. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว
5. กากน้ำตาล 1 แก้ว
6. น้ำสะอาด 1 ถัง หรือ 10 ลิตร
วิธีทำ
สับมะละกอ ฟักทอง กล้วยทั้งเปลือกและเมล็ดให้เข้ากันผสม EM และกากน้ำตาล อย่างละ 1 แก้ว ใส่น้ำ
10 ลิตร หรือ 1 ถัง คนให้เข้ากันปิดฝาให้แน่น หมักไว้ 7 – 8 วัน เปิดก๊อกแล้วกรองใส่ขวดเก็บได้นาน 3 เดือน
วิธีใช้
4 – 5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 10 ลิตรหรือถัง 1 ถัง ฉีด พ่น ราด จะทำให้ดอกติด ผลดก ขนาดโต น้ำหนักดี
รสชาติอร่อย
การทำฮอร์โมนยอดพืช
1. ยอด/ใบยูคาลิปตัส 1 กก./ ใบกระเพรา / ยอดใบโหระพา
2. ยอดสะเดา 1 กก. (ยอดและเมล็ด)
3. น้ำสะอาด 1 ถัง / 10 ลิตร
4. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว
5. กากน้ำตาล 1 แก้ว
วิธีทำ
นำใบยูคาลิปตัส ยอดสะเดา และน้ำ 10 ลิตร ต้มรวมกันประมาณ 15 นาที ทิ้งให้เย็น ผสมจุลินทรีย์ EM
1 แก้ว กากน้ำตาล 1 แก้ว ปิดฝาหมักทิ้งไว้ 7 – 10 วัน ใช้ได้
วิธีใช้
4 – 5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 10 ลิตรหรือถัง 1 ถัง ฉีด พ่น ราด รด จะทำให้ดอกติด ผลดก ขนาดโต น้ำหนักดี

ขั้วเหนียว รสชาติอร่อย.!!

การทำปุ๋ยน้ำ (ใช้ทันที)

1. จุลินทรีย์ EM 2 ช้อนโต๊ะ
2. กากน้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำสะอาด 10 ลิตร หรือ 1 ถัง
วิธีทำ
นำจุลินทรีย์ EM และกาน้ำตาลผสมในน้ำให้เข้ากัน

วิธีใช้
พืช ผัก ใช้ ฉีด พ่น รด ราด ทุก 3 วัน ไม้ดอกไม้ผล พืชสวน ฉีด พ่น ทุก 7 วัน เดือนละ 1 – 2 ครั้ง
ใช้ให้หมดภายใน 1 วัน หากไม่หมดให้นำไปราดห้องน้ำ ล้างพื้นซีเมนต์หรือเทลงท่อระบายน้ำกำจัดกลิ่นเหม็น

สูตรไล่หนอน,กำจัดแมลง ทุกชนิด ได้ผลชงัดนักแล.!!
1. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว
2. กากน้ำตาล 1 แก้ว
3. น้ำสมสายชู 5% 1 แก้ว
4. เหล้าขาว 28 – 40 ดีกรี 2 แก้ว
5. น้ำสะอาด 10 ลิตร
วิธีทำ
นำส่วนผสมมาผสมให้เข้ากัน ใส่ภาชนะปิดฝาให้สนิท หมักไว้ 7 – 10 วัน เขย่าถังเบาๆ ทุกวันและเปิดฝานิดๆ
ให้ก๊าซระบายออก ครบกำหนดเก็บใส่ขวดพลาสติกเก็บไว้ใช้ได้นาน 3 เดือน /หลัง3 เดืือนจะเป็นยาฆ่าหญ้า
วิธีใช้
4 – 5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 20 ลิตร ใช้ฉีด พ่น รด ราด พืชผัก ไม้ใบ ไม้ดอก พืชสวน ทุกสัปดาห์

สูตรไล่หอย , เพลี้ยไฟ
1. ยอดยูคาลิปตัส 2 กก.
2. ยอดสะเดา 20 ยอด หรือ 2 กก.
3. ข่าแก่ 2 กก.
4. บอระเพ็ด 2 กก.
5. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว
6. กากน้ำตาล 1 แก้ว
วิธีทำ
นำยอดยูคาลิปตัส ยอดสะเดา ข่าแก่ และบอระเพ็ด แต่ละอย่างแยกกันใส่ปิ๊บ ใส่น้ำให้เต็ม ต้มให้เหลือน้ำ
อย่างละครึ่งปิ๊บ ทิ้งไว้ให้เย็น นำมาเทรวมกันในถังใหญ่หรือโอ่ง ใส่จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว
วิธีใช้
ใช้แก้วผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีด พ่น รด ในแปลง ผัก พืช ในนาข้าว ป้องกันใบข้าวไหม้ด้วย

การทำปุ๋ยแห้ง (โบกาฉิ)
1. มูลสัตว์ (ทุกชนิด) 1 ส่วน (กระสอบ)
2. แกลบดิบ 1 ส่วน (กระสอบ)
3. รำละเอียด 1 ส่วน (กระสอบ)
4. จุลินทรีย์ EM 20 ซีซี (2 ช้อนโต๊ะ)
5. กากน้ำตาล 20 ซีซี (2 ช้อนโต๊ะ)
6. น้ำสะอาด 10 ลิตร หรือ 1 ถัง

วิธีทำ
ขั้นที่ 1 เตรียมจุลินทรีย์ EM , กากน้ำตาล , น้ำสะอาด , ผสมไว้ในถังน้ำ
ขั้นที่ 2 นำมูลสัตว์ + รำละเอียดผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน
ขั้นที่ 3 นำแกลบดิบใส่ลงในน้ำที่ขยายจุลินทรีย์ EM ในขั้นที่ 1 จุ่มให้เปียกแล้วบีบพอหมาดๆ
นำมาคลุกกับส่วนผสม ขั้นที่ 2 ให้เข้ากันจะได้ความชื้น 40 – 50 %(กำแล้วไม่มีน้ำหยดจากง่ามมือ)
การหมัก เอาส่วนผสมทั้งหมดบรรจุลงในกระสอบป่าน , ถุงปุ๋ย ที่อากาศถ่ายเทได้ โดยบรรจุลงไป ? ของกระสอบไม่ต้องกดให้แน่น นำไปวางลงในที่มีฟางรอง เพื่อการระบายอากาศในส่วนส่วนล่างพลิกกลับกระสอบ ในวันที่ 2,3,4 ทุกๆ วัน ในวันที่ 2 – 3 อุณหภูมิ จะสูงถึง 50 0c – 60 0c วันที่ 4 และวันที่ 5 อุณหภูมิเย็นลงจนปกติตรวจดูไม่ให้อุณหภูมิเกิน 36 0c ปุ๋ยแห้งสนิทสามารถนำไปใช้ได้

การเก็บรักษา
เก็บรักษาเมื่อโบกาฉิแห้งสนิทควรเก็บรักษาในที่ร่ม ไม่โดนฝนและไม่โดนแดด สามารถเก็บรักษา
ได้นานประมาณ 1 ปี
วิธีใช้
1. ใช้ปุ๋ยแห้งในแปลงปลูกต้นไม้ทุกชนิดในอัตราส่วนปุ๋ยแห้ง 1 กำมือ/พื้นที่ 1 ตรม. แล้วทำการเพาะปลูกได้
2. พืชผักที่มีอายุเกิน 2 เดือน เช่น ฟักทอง , แตงกวา , ถั่วฝักยาว , กระหล่ำปลี ใช้ปุ๋ยแห้งรองก้นหลุมก่อนปลูกใช้ประมาณ 1 กำมือ
3. ไม้ยืนต้น , ไม้ผล ควรรองก้นหลุ่มด้วย เศษหญ้า – ใบไม้ ฟางแห้ง และปุ๋ยแห้งประมาณ 1 – 2 บุ้งกี๋ ส่วนไม้ยืนต้น , ไม้ผลที่ปลูกแล้วให้ใส่ปุ๋ยแห้ง ให้รอบทรงพุ่มแล้วคลุมด้วยเศษหญ้า ใบไม้แห้ง, ฟางแห้ง
4. ไม้ดอก , ไม้ประดับ , ไม้กระถาง ควรใส่ปุ๋ยแห้งสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ รอบๆ โคนต้น
ข้อควรจำ
เมื่อใช้ปุ๋ยแห้ง (โบกาฉิ) ต้องใช้ปุ๋ยน้ำฉีดพ่นด้วยเสมอ เพื่อให้จุลินทรีย์ ที่พักตัวทำงานได้ดี

สูตรน้ำซาวข้าว
1. น้ำซาวข้าว (ประมาณ) 2 ลิตร
2. จุลินทรีย์ EM 1 ช้อนโต๊ะ
3. กากน้ำตาล 1 ช้อนชา
4. น้ำสะอาด ? แก้ว
วิธีทำ
1. น้ำซาวข้าว (น้ำเพื่อล้างฝุ่นข้าวและส่งสกปรกออกก่อนนำไปหุง) ประมาณ 2 ลิตร หากไม่ถึงให้เติมน้ำสะอาดลงไปกรองด้วยผ้าขาวบางให้ใส
2. ผสมกากน้ำตาลที่ละลายน้ำเจือจางแล้ว 3 ช้อนโต๊ะ ลงในน้ำซาวข้าวใส่จุลินทรีย์ EM 1 ? ช้อนโต๊ะ แล้วบรรจุ ในขวดพลาสติกชนิดฝาเกลียวปิดฝาให้สนิท
3. เก็บไว้ประมาณ 3 – 5 วัน น้ำที่ได้มีสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมจึงนำไปใช้
วิธีใช้
1. ใช้แทนผงซักฟอก โดยใช้สูตรน้ำซาวข้าว ผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 20 แช่ผ้าทิ้งไว้ 1 คืน กรณีใช้เครื่องซักผ้าประมาณ 500 ซีซี วันรุ่งขึ้นซักน้ำสะอาด และน้ำผ้าตากให้แห้ง ผ้าจะสะอาดไม่มีกลิ่น ไม่กระด้าง รีดง่าย
2. ใช้เป็นสเปรย์ดับกลิ่น โดยนำสูตรน้ำซาวข้าว ใส่ขวดที่มีหัวฉีดเป็นละออง ดับกลิ่นเหม็นติดเสื้อผ้า กลิ่นอับในรถยนต์
3. ใช้ผสมน้ำถูพื้นบ้าน พื้นครัว (อัตราส่วนตามความสกปรก)
4. กรณีมีตะกอนที่ก้นขวด ให้ใช้เฉพาะน้ำใสเท่านั้น
5. ใช้ให้หมดภายในเวลาประมาณ 3 – 5 วัน
หมายเหตุ หากดมดูมีกลิ่นเหม็น ใส่กากน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกันนำไปราดท่อระบายน้ำ หรือเทลงในส้วม

สูตรสารไล่แมลง
1. ลูกยอสุก 1 กก.
2. จุลินทรีย์ EM 1 แก้ว
3. กากน้ำตาล 1 แก้ว
วิธีทำ
นำลูกยอสุกมาสับให้ละเอียด ใส่น้ำพอท่วมผสมจุลินทรีย์ EM กากน้ำตาล คนให้เข้ากัน หมักไว้ 10 วัน พอได้ที่คั้นเอาแต่น้ำมาใช้
วิธีใช้
สารไล่แมลง 1 แก้ว ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีด พ่น รด ราด
วัตถุที่ใช้แทนกากน้ำตาล
- น้ำผึ้ง , น้ำตาลทรายแดง , นมสด
- น้ำผลไม้สดทุกชนิด เช่น น้ำมะพร้าว น้ำส้ม น้ำสับปะรด น้ำอ้อน ฯลฯ
- น้ำซาวข้าว
- น้ำปัสสาวะ
- ฯลฯ

วิธีทำปุ๋ยยูเรียน้ำ สูตรหนึ่ง

1ใช้ถั่วเหลือง 1kg
2กากน้ำตาล 1kg
3น้ำมะพร้าว 10ลิตร
ใช้ถ่วเหลืองดิบๆไม่ต้องต้มหมักรวมกับกากน้ำตาลและน้ำมะพร้าว หมักทิ้งไว้ 14 วัน
กรองเอาแต่น้ำ จะได้น้ำปุ๋ยหมักยูเรีย ที่เทียบเท่า
ปุ๋ยยูเรียสูตร 46-0-0 หนึ่งกระสอบ
แต่เราสามารถทำได้ในราคาไม่เกินร้อย
วิธีใช้สองช้อนแกงต่อน้ำเปล่ายี่สิบลิตร หรือ1/1000
จะฉีดทางใบหรือจะลดโคนต้นก็ได้ทุกๆเจ็ดวันถึงสิบวัน
จะได้เท่ากับปุ๋ยสูตร 57-0-0 เลยทีเดียว

การผลิตปุ๋ยยูเรียอินทรีย์ สูตรสอง
ส่วนผสม
๑. ถั่วเหลืองเมล็ดแห้ง (บด) ๑ กิโลกรัม
๒. สับปะรด ๒ กิโลกรัม
๓. กากน้ำตาล ๓ กิโลกรัม
๔. น้ำชาวข้าว หรือน้ำมะพร้าว ๑๐ ลิตร
๕. จุลินทรีย์หน่อกล้วย ๑ กิโลกรัม

วิธีทำ / วิธีใช็
๑. ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน หมัก ๑๕ วัน (คนทุกวัน)
๒. ใช้ทางดิน ปุ๋ย ๑ ลิตร ต่อน้ำ ๕๐๐ ลิตร ปุ๋ย ๔ ช้อน ต่อน้ำ ๒๐ ลิตร
๓. ใช้ทางใบ ปุ๋ย ๑ ลิตร ต่อน้ำ ๑,๐๐๐ ลิตร ปุ๋ย ๒ ช้อน ต่อน้ำ ๒๐ ลิตร ๔. ปุ๋ยยูเรียน้ำ ๕ ลิตร เท่ากับปุ๋ยสูตร 46-0-0

แหล่งที่มา : นายอธีศพัฒน์ วรรณสุทธิ์ นักปราชญ์ชาวบ้าน จากมูลนิธิชัยพัฒนา

ขอบคุณ http://bangsai.ayutthaya.doae.go.th/pamphlet/pamphlet_08.htm

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com/

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน
LINE ID: @KOKOMAX

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


มีหลายๆ ท่าน ได้สอบถามมาจำนวนมาก ว่า ต้องการสั่งซื้อยกลัง อยากได้ราคาที่ถูกกว่า เพื่อลดต้นทุนในการทำเกษตร

วันนี้จัดให้แล้วนะครับ ทุกๆ ชนิด บรรจุลัง สนใจตัวไหน สอบถามได้เลยนะครับ รับประกันราคาแน่นอน

สินค้ายกลัง เราจะจัดส่งให้ฟรี จะดิวไว้ 3 บริษัท คือ Kery express, Nim Express และ TNT นะครับ

ติดต่อ ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
โทร.061-405-8899
Line: @KOKOMAX
เว็บไซต์เกษตรชื่อดัง http://www.kokomax.com/

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


ฝ่ายวิชาการจาก http://www.kokomax.com ออกพบเกษตรกร พบ แก้ แนะนำ ปัญหา ในการทำเกษตรอินทรีย์ 27/04/2559

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


"เกินคุ้ม" ปลูกมะนาว 4 ไร่ 2 สายพันธุ์ ทำรายได้ 100,000 กว่าบาท/เดือน

จุดเริ่มต้น เมื่อได้เกิด แนวคิด ความต้องการ ที่จะทำ การเกษตรกรรมนั้น โดยเฉพาะ การเพาะปลูก พืชไร่ พืชสวน อาจมีหลายคน คงเข้าใจว่า หากเกษตรกร ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ หรือเจ้าของสวน มีเนื้อที่ ขอบเขตกว้างขวาง ได้มากเท่าไร ก็ยิ่งจะสามารถ นำพืชของตนลง ปลูกได้ จำนวนมากเท่านั้น รวมตลอด ทั้งรายได้ก็ ควรจะได้มาก ตามไปด้วย เช่นกัน
ทั้งนี้ ความเป็นจริงในการที่จะนำพืชตนมาปลูกนั้น เมื่อรู้จัก การจัดการหรือจัดสรรพื้นที่อย่างถูกต้องหรือให้ทั่วถึงได้อย่างเหมาะสมกับพืชที่ปลูกแล้วนั้น ก็เป็นไปได้สูงที่จะประสบผลสำเร็จอย่างที่คาดหรือตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่ถ้าหากการจัดการไม่ดีพอนั่น ก็หมายความได้ตรงกันข้ามเลยว่าไม่คุ้มกับทุนที่ทุ่มเทลงไป พร้อมอาจจะทำให้เกิดความยุ่งยากเป็นเงาตามตัวคู่กันขนานกันไปได้เช่นกัน และการปลูกพืชในพื้นที่จากที่กล่าวมาจะให้เกิดผลสำเร็จได้ตามที่ต้องการ จะเปรียบเทียบได้กับพืชบางชนิดเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อมาดูการ ปลูกมะนาว "อย่างในยุค" ปัจจุบัน ไม่ว่าจะ ปลูกมะนาว ในวงท่อหรือปลูกลงกับพื้นดิน ซึ่งในแต่ละพื้นที่เกษตรกรโดยส่วนมากจะใช้เนื้อที่ที่มีขอบเขตจำกัดหรือมี ปลูกมะนาว กันในจำนวนพื้นที่ไม่มาก และพื้นที่ดังกล่าว ยังสามารถจัดสรรเพื่อให้เกิดประโยชน์ ปลูกมะนาว ได้ผลดีด้วย และมะนาวยังเป็นไม้ผลเศรษฐกิจของประเทศที่เกษตรกรนิยมพากันปลูกไปในเชิงการค้าพานิชย์ ทั้งได้ยกระดับผลผลิตที่ให้ออกมาเป็นทางเลือกอยู่แถวหน้าของวงการธุรกิจการเกษตร เนื่องจาก ให้ผลตอบแทนสูง หรือก่อรายได้ให้กับเกษตรกรได้มาก "เกินคุ้ม" เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับต้นทุนที่ลงไป

คุณ เดชาวัต เอี่ยมสะอาด เกษตรกรผู้ ปลูกมะนาว แป้นพิจิตร กับแป้นดกพิเศษ และเจ้าของสวนมะนาวบุญชัยพฤกษ์ หรือสวนมะนาวชลบุรี เล่าว่า ได้ปลูกมะนาวทั้ง 2 สายพันธุ์ ในพื้นที่จำนวน 4 ไร่ ทั้งนี้ การสร้างความเข้าใจกับการ ปลูกมะนาว โดยเฉพาะพันธุ์มะนาวที่นำมาปลูก ให้ได้ตามศักยภาพของพื้นที่หรือสภาพภูมิทัศน์ หรือรวมตลอดทั้งสภาพทางภูมิอากาศ ที่สำคัญ ควรคำนึงถึงต้นทุน เช่น อุปกรณ์ วัสดุ หรือค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ สำหรับใช้ในงานกับต้นมะนาวที่ปลูก เพื่อช่วยสร้างศักยภาพในการต้านทานหรือทนทานต่อการเกิดโรค เช่น การเกิดโรคแคงเกอร์ เชื้อรา โคนเน่า รากเน่า และการเข้าทำลายของแมลง เป็นต้น และควรให้มะนาวออกผลผลิตได้ตามหลักธรรมชาติอย่างมีคุณภาพตามที่ต้องการ ให้คุ้มทุนที่ลงไป เขายังเล่าอีกว่า

อย่างไรก็ตาม การดูแลรักษามะนาวก็ควรมั่นตรวจดูหรือสังเกตต้นมะนาวทุกต้นด้วยว่า มะนาวมีอาการผิดปกติทั้งทางใบและผลหรือไม่ เช่น มะนาวเมื่อมีอาการคล้ายจะเป็นโรคหรือคล้ายกับแมลงศัตรูกำลังจะเริ่มเข้าเกาะกินใบอ่อน ยอดอ่อน และผล ส่วนการตรวจดูหรือสังเกตนั้น แต่หากบริเวณรอบใบซึ่งมีลักษณะอาการคล้ายจะออกเป็นสีเหลือง เป็นจุด หรือมีลักษณะกำลังเหี่ยวแห้ง แสดงว่ามะนาวกำลังจะเกิดเป็นโรคแคงเกอร์ ก็ให้รีบรักษาด้วยการตัดกิ่งก้านของส่วนที่เป็นโรคงกล่าวนั้นออกไป
หลังจากนั้นควรนำเอาไปเผาไฟทิ้ง หรือ ขุด ถอนออกนำไปทิ้ง และฝั่งลงกับดิน ให้ลึก ปิดอย่างมิดชิด ทั้งนี้ ควรหาต้นใหม่มาปลูกทดแทน และอีกอย่างคือการสังเกตดูทางใบเช่นกัน หากใบเริ่มจะหยิกงอม้วนเข้าหากัน หรือใบมีรอยถูกกัดบริเวณผิวไม่ยอมเจริญเติบโต รวมทั้งผลกลายเป็นปรากฎการณ์รอยสีเทา จากอาการดังกล่าวซึ่งเป็นการเข้าทำลายของแมลงเพลี้ยไฟ หนอนชอนใบ ส่วนแมลงดังกล่าวก็มักจะเกิดขึ้นกับสวนของเขาด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ การกำจัดหรือป้องกันโรคและแมลงนั้น เขาบอกว่าหากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ควรใช้สารเคมี หรือควรหันมาเน้นถึงการใช้สารอินทรีย์หรือชีวภาพเป็นหลัก อย่างเช่น การใช้สมุนไพรไล่หรือป้องกันเดือนละ 1 ครั้ง เป็นต้น

อย่างไรก็ตามการ ปลูกมะนาวในสวนของเขาหรือพื้นที่ดังกล่าว เขายังเล่าว่า ก่อนที่จะลง ปลูกมะนาว นั้น คุณพ่อและคุณแม่ของเขา หลังจากที่เกษียณอายุราชการได้ลงปลูกกล้วยน้ำว้าไว้ก่อนแล้ว จากนั้นจึงเข้ามาสานต่อ ซึ่งการปลูกกล้วยในครั้งนั้น การนำออกขายในช่วงแรกซึ่งขาได้ ทั้ง ปลี และเครือหรือผล ก็ได้ราคาดี แต่พอระยะหลังหรือเมื่อประมาณ 2-3 ปี ที่ผ่านมา ทางด้านผลผลิตจากกล้วย กลับให้ราคาค่อนข้างไม่ค่อยดีเท่าที่ควร จึงเป็นปัญหาทางตลาด ในเรื่องของราคา และช่วงขณะเดียวกันนั้น คุณพ่อ ไปได้กิ่งพันธุ์ตอนมะนาว แป้นพิจิตร มาจากทาง จ.จันทบุรี ให้ปลูกจำนวน 3 ต้น จึงได้นำมาปลูกแซมไปกับกล้วย

สำหรับการปลูกรวมทั้งการดูแลรักษาในขณะนั้น ไม่ได้ให้ความสนใจหรือใส่ใจเท่าทีควร ส่วนมากก็จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ทั้งนี้ แต่หลังจากปลูกได้ 7-8 เดือน มะนาวทั้ง 3 ต้น ก็เริ่มออกดอกให้ผล ติดผลดกออกมาเรื่อยๆ ขณะเดียวกันนั้นก็เป็นช่วงที่มะนาวขาดตลาด และมีราคา"แพงมาก" ทั้งยังให้ราคาตามลักษณะรูปร่างของผล ออกขายตามตลาดทั่วไป ซึ่งเริ่มให้ราคาตั้งแต่ผลละ 3-10 บาท ขึ้นไป จึงทำให้เขาเก็บผลผลิตจากมะนาวทั้ง 3 ต้น นำออกขายไปพร้อมกับการขายกล้วย แต่ปรากฎว่ามะนาวจะขายดีกว่ากล้วยมาโดยตลอด จึงได้ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ หรือมีแนวคิดขึ้นมาที่จะขยายพันธุ์

มะนาวมาลงปลูกเอง
ปลูกมะนาวในวงอ่างและวงท่อซีเมนต์
แตโดยส่วนตัวเขาแล้ว เมื่อมองเห็นภาวะทางด้านการตลาด จากที่กล่าว เขาจึงได้ลงมือทำอย่างที่วางไว้และได้ขยายพันธุ์มะนาวแป้นพิจิตรทั้ง 3 ต้น ด้วยวิธีการตอนกิ่งออกปลูกแทนกล้วย ในขณะเดียวกันนั้นก็ยังเป็นโอกาสเหมาะที่คุณพ่อของเขาไปได้กิ่งพันธุ์มะนาวแป้นดกพิเศษมาให้ปลูก ซึ่งเป็นกิ่งพันธุ์ตอน เช่นกัน จึงได้นำมาปลูกผสมผสานกันไป
อย่างไรก็ตาม การ ปลูกมะนาว ในพื้นที่ดังกล่าวนั้น เขาได้ปลูกลงทั้งในวงอ่างหรือวงโอ่ง กับปลูกลงในวงท่อ
"อย่างการปลูกลงอ่างหรือโอ่งนั้น ผลมะนาวจะให้น้ำมาก พร้อมกับออกกลิ่นหอม มีคุณภาพกว่าการปลูกในวงท่อ ผมอยากจะแนะนำให้ปลูกลงในวงอ่างมากกว่า ซึ่งอ่างนั้นจะทน หนาแน่น และแข็งแรง แม้จะให้ราคาแพงกว่าวงท่อ แต่มันก็คุ้มกว่ากันมาก อย่างอ่างที่ผมสั่งซื้อราคาอ่างละ 300 บาท ส่วนวงท่อผมจะสั่งซื้อราคาวงละ 200 บาท" คุณ เดชาวัต เล่า
สำหรับการ ปลูกมะนาว จากที่กล่าวนั้น ซึ่งมะนาวทั้ง 2 สายพันธุ์ ทั้งได้ปลูกลงอ่างและวงท่อ โดยได้ขนาดของอ่างความสูง 80 ซม. วงปากกว้าง 1 เมตร ส่วนวงท่อความสูง 50 ซม. วงปากท่อ 1 เมตร ทั้งนี้การนำวัสดุลงก่อนปลูกเขาเล่าว่า ได้เลี้ยงไส้เดือนไว้ก่อนทีจะลง ปลูกมะนาว จึงทำให้เป็นโอกาสประจวบเหมาะกับการได้นำเอามูลจากไส้เดือนมาผสมกับดินเกษตรลงในวงท่อ และวงอ่างดังกล่าว ก่อนที่จะนำมะนาวลงปลูก

ส่วนน้ำที่จะนำมาจ่ายให้กับต้นมะนาวนั้น ได้มีสระน้ำอยู่ข้างสวนซึ่งก่อนนั้นคุณพ่อเขาได้ขุดไว้ใช้กับงานเกษตร พร้อมทั้งได้ติดตั้งมอเตอร์สูบน้ำหรือสูบเอาน้ำออกจ่ายเข้าสวน อย่างไรก็ตาม การจัดระบบน้ำเข้าสวนมะนาวนั้น เขาได้นำเอาท่อ pvc ขนาด 1 นิ้ว มาต่อเข้ากับมอเตอร์ดังกล่าว จากนั้นได้นำท่อ pvc ฝังลอยลงไปกับดินเดินเข้าสวนไปตามแถวมะนาวที่ปลูก ทั้งนี้ นำเอาท่อ pe ขนาด 6 หุน ได้ต่อแยกขึ้นตรงส่วนกลางระหว่างปากอ่างหรือปากวงท่อไกลกับโคนต้นมะนาวทุกต้น
อย่างไรก็ตาม การปลูกมะนาว เมื่ออายุต้นได้ 7-8 เดือน มะนาวก็จะเริ่มให้ผลผลิต ซึ่งในช่วงแรกที่มะนาวให้ผลผลิตนั้นเขาได้เก็บผลผลิตออกขายให้กับแม่ค้าคนกลางในตลาดพนัสนิคมมีรายได้เข้าเฉลี่ย100,000บาท/เดือน แต่มาระยะหลังทำให้เขามองเห็นตลาดมะนาวเป็นไม้ผลคู่กับครัวเรือนที่คงราคาไว้ได้ดีหรือเป็นผลไม้ที่ให้ราคาแพงโดยเฉพาะอย่างยิ่งมะนาวก็มักจะขาดตลาด จึงได้หันมาขยายพันธุ์โดยผลิตกิ่งพันธุ์ตอนออกจำหน่ายขายเพื่อให้เกษตรกรผู้ที่สนใจนำไปปลูกหรือเพื่อให้มีมะนาวขายในตลาดเพิ่มมากขึ้น

สำหรับการ ขยายกิ่งพันธุ์ ด้วยกิ่งตอน ให้ได้คุณภาพนั้น เขาเล่าว่า หลังจาก ควั่นกิ่งพันธุ์จากต้นแม่ที่เห็นว่าสมบูรณ์ที่สุด เสร็จแล้วนั้น การช่วยเร่งให้เกิดรากเร็วหรือให้มะนาวมีรากที่สมบูรณ์และแข็งแรงพร้อมที่จะนำไปปลูก เขาได้นำเอากะปิ มาทาบางๆบริเวณกิ่งที่ควั่นไว้ พร้อมที่จะทำวิธีตอน ส่วนการนำเอากะปิ มาทาบริเวณดังกล่าว หากนำเอากะปิทาในจำนวนมากๆก็จะทำให้กิ่งที่ตอนไม่เกิดราก และทำให้ใบแห้ง เหี่ยว เหลือง ร่วง กลายเป็นกิ่งที่ตายไป อย่างไรก็ตาม
หลังจากที่นำกะปิทาบริเวณดังกล่าวแล้วนั้น เขาได้นำเอาขุยมะพร้าวที่หมักไว้กับน้ำเปล่า มาห่อหุ้ม พร้อมขึ้นตุ้ม และนำเอาผ้าพลาสติกบางๆมาห่อหุ้มปิดทับ เสร็จจากนั้น ก็ได้นำเอาเชือกฟางมัดทั้งส่วนขอบล่างและปลายขอบบน ส่วนการดูแลรักษากิ่งตอน ถ้าหากตุ้มเกิดแห้งหรือขาดน้ำ เพื่อที่จะให้ตุ้มได้เกิดความชุ่มชืนได้ตลอดนั้นเขาก็จะนำเอาสลิ่งเข็มฉีดยาหรือกระบอกเข็มฉีดยา สูบเอาน้ำ นำมาฉีดเข้าที่ตุ้มหรือกิ่งที่ตอนดังกล่าว

ในส่วนของการตอนกิ่งนั้น หลังจากที่ตอนเสร็จ ได้ 14-15วัน จะเริ่มแตกรากหรือออกราก และเมื่ออายุได้ 30 วัน รากก็จะออกมาเต็มตุ้ม ให้ตัดออกนำเอาไปปลูกได้

สำหรับ การผลิตกิ่งพันธุ์ มะนาวออกขายทุกวันนี้ ลูกค้าของเขาโดยส่วนมากจะเป็นลูกค้าที่ซื้อกิ่งพันธุ์มะนาว จะมีทั้งสั่งซื้อให้ส่งไปทางไปรษณีย์ และเข้ามาซื้อที่สวน ส่วนลูกค้าดังกล่าวนั้นก็จะมีมาทั่วทุกภาค นอกจากนี้ ยังได้รวมถึงลูกค้าประจำที่เข้ามารับซื้อแล้วนำไปขายต่อตามงานเกษตรของจังหวัดต่างๆ ทั้งนี้ การขายเฉพาะกิ่งพันธุ์นั้นซึ่งในแต่ละเดือนเขาจะผลิตกิ่งพันธุ์ออกจำหน่ายขายประมาณ1,000-2,000 กิ่ง แต่ก็สามารถนำออกขายได้หมดทุกต้นในทุกเดือน ทำให้เขามีรายได้เข้าเดือนละ100,000 กว่าบาท

"ได้มีลูกค้าและแม่ค้าที่ตลาดพนัสนิคมที่เคยซื้อลูกมะนาวของผม อยากให้ผลผลิตเอาลูก หรือเลี้ยงเอาลูกส่งขายให้ และได้มีทั้งทางร้านอาหารหรือสวนอาหารซึ่งอยู่ในตัวเมืองชลบุรี รวมทั้งในพนัสนิคมก็อยากจะได้ลูกมะนาวจากผมหรืออยากให้ผมเลี้ยงลูก แล้วให้ประจำ ในเดือนถัดไปหรือเดือนหน้านี้มะนาวส่วนหนึ่งผมก็จะเลี้ยงเอาลูกออกขาย อีกส่วนหนึ่งก็จะเน้นการขยายกิ่งพันธุ์หรือทำกิ่งตอนออกจำหน่ายขายเหมือนเดิม " คุณ เดชาวัต ได้มองถึงอนาคตทางด้านการตลาดมะนาวของเขา

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก www.palangkaset.com นะคะ

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน
LINE ID: @KOKOMAX

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


หนุ่มวิศวกรสลัดคราบมนุษย์เงินเดือนมา "ปลูกข่า" สร้างรายได้ 3-6 แสน/วัน
จากหนุ่มวิศวกรออกแบบโรงงานให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ผลิตเครื่องปรุงอาหาร เป็นเหตุให้ต้องคลุกคลีกับพืชพรรณต่างๆ ที่ชาวสวนนำมาส่งให้กับโรงงาน โดยเฉพาะข่าที่ทำให้หนุ่มวิศวกรต้องเปลี่ยนอาชีพมุ่งทำสวนข่าอย่างเต็มตัว ด้วยการลงทุน 7 ล้านบาท ในพื้นที่ 50 ไร่ สร้างผลผลิตในทุกๆ 6 เดือน มีรายได้ 300,000-600,000 บาท/วัน
"การปลูกข่าเริ่มต้นที่บ้านเลขที่ 39 หมู่ 6 บ้านหนองปลาหมอ ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอโนนสิลา จังหวัดขอนแก่น (เบอร์โทร 092-470-2095) โดยมีคุณราชพฤกษ์ รักษาการ (คุณเบียร์) เป็นเจ้าของ ด้วยการเริ่มต้นลงทุนทำสวนข่าจำนวน 7,000,000 บาท ในพื้นที่ 50 ไร่ ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ไม่มีความเสี่ยงแม้แต่น้อย เนื่องจากคุณเบียร์รู้จักกับเจ้าของโรงงานผลิตเครื่องปรุงอาหาร สามารถปลูกข่าแล้วไปส่งให้กับทางโรงงานได้ทันที"
จุดเริ่มต้นจากหนุ่มวิศวกร กลายมาเป็นเกษตรกรสวนข่า
คุณเบียร์ เล่าว่า "เดิมผมเป็นวิศวกร จนมาวันหนึ่งช่วงจังหวะที่ผมได้ไปออกแบบโรงงานให้บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องปรุงอาหาร และเห็นรถขนข่ามาส่งให้กับโรงงานดังกล่าวอยู่เป็นประจำ ซึ่งผมก็ทำงานสร้างโรงงานให้กับบริษัทนี้นานนับปี จนคลุกคลีกับข่าทุกวัน และมีความรู้สึกอยากลองทำสวนข่าดู หลังจากที่เสร็จสิ้นงานวิศวกรทั้งหมดแล้ว จึงตั้งใจศึกษาเรื่องข่า 2 ปี โดยเข้าไปดูงานในโรงงานผลิตเครื่องปรุงที่ผมได้ไปสร้างโรงงานให้กับเขา อีกทั้งสอบถามคนที่มาส่งข่าว่า ข่าทั้งหมดมาจากสวนไหนบ้าง แล้วผมก็จะตามไปหาข้อมูลจากชาวสวนนั้นอีกที"
วิธีการเลือกพันธุ์ข่า "ควรใช้ท่อนพันธุ์ข่าที่มาจากต้นแม่ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป เพราจะมีตามากและรากงอกใหม่ได้ง่าย โดยแยกแง่ง ตัดใบ ตัดรากออกให้หมดพร้อมล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นก็นำมาปลูกในไร่ได้"
วิธีเริ่มเตรียมพื้นที่สำหรับปลูกข่า "ให้ใช้จอบขุดหลุมลึก 1 หน้าจอบ แล้วนำเหง้าข่ามาวางในหลุมพร้อมกลบดินและรดน้ำพอชุ่ม"
วิธีปลูกข่ามี 3 รูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีเงินลงทุนก็แตกต่างกันออกไป
1.ปลูกแบบใช้ท่อนพันธุ์ข่า 1 เหง้า โดยระยะห่างระหว่างกอและแถว 60×80 ซม. เป็นการปลูกที่เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ทดลองปลูกข่า เพราะใช้ต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ ทั้งยังจัดการแปลงได้ง่ายกว่า ทั้งนี้การปลูกด้วยการใช้ท่อนพันธุ์เหง้าเดียวใช้ต้นทุนค่าท่อนพันธุ์ประมาณ 15,000 บาท/ไร่ ส่วนรายได้ที่ได้รับจะอยู่ประมาณ 45,000 บาท/ไร่
2.ปลูกแบบใช้ท่อนพันธุ์ข่า 2 เหง้า ซึ่งใช้ระยะห่างระหว่างกอและแถว 80×80 ซม. ใช้เงินลงทุนค่าพันธุ์ 30,000 บาท/ไร่ เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 90,000 บาท/ไร่
3.ปลุกแบบใช้ท่อนพันธุ์ข่า 3 เหง้า ระยะห่างระหว่างก่อ 1×1 เมตร เงินลงทุนค่าท่อนพันธุ์ 45,000 บาท/ไร่ เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ถึง 120,000-135,000 บาท/ไร่
วิธีการดูแลสวนข่า "หลังจากปลูกเสร็จแล้วเมื่อครบ 3 สัปดาห์ ต้นข่าจะเริ่มตาย และแตกหน่อใหม่มาทดแทน ซึ่งเป็นธรรมชาติของพืชข่า แต่พอถึง 4 สัปดาห์ จะเห็นต้นข่างอกออกใหม่และโตขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเมื่อเริ่มออกใบให้ใส่ปุ๋ยยูเรียสูตร 46-0-0 บริเวณกอข่าประมาณ 10 เม็ด/สัปดาห์ เมื่อครบ 4 เดือน แล้วค่อยเปลี่ยนสูตรปุ๋ยเป็น 0-0-60 พร้อมทั้งเพิ่มปริมาณขึ้นอีก 1 เท่าใส่ทุก 15 วัน"
"ส่วนการให้น้ำควรให้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ดินชุ่มชื่น แต่ไม่ควรให้น้ำทุกวัน เนื่องจากข่าไม่ชอบที่ชื้นแฉะเกินไป อีกทั้งต้องให้ปุ๋ยหมักเพื่อเสริมธาตุอาหารด้วย แต่ห้ามใช้ขี้วัว ขี้ควาย ให้ใช้มูลโคแห้งประมาณ 1 กระสอบ และใส่ EM ขยายตัวลงไป 1 ลิตร หมักทิ้งไว้ 3 วัน หลังจากนั้นสูบน้ำในถังมารดน้ำให้ทั่วแปลงข่า"
ข้อเสียของการใช้ปุ๋ยหมักจากมูลโค ทำให้เกิดแมลงมารบกวน แต่ถ้าชาวสวนคนไหนเจอปัญหาเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยงด้วยการใช้ปุ๋ยเคมีแทน แถมยังได้ผลผลิตที่รวดเร็วกว่าด้วย
คุณราชพฤกษ์ เล่าต่อว่า "การลงทุนปลูกข่าในครั้งนี้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นานถึง 10 ปี ซึ่งระยะเวลาเก็บเกี่ยวรอบแรกเริ่มเดือนที่ 8 รอบต่อไปสามารถเก็บได้ทุกๆ 6 เดือน เพราะข่าจะแตกหน่อออกมาเรื่อยๆ ดังนั้นการเก็บข่าอย่างถูกวิธีควรขุดข่าเพียง 3 หลุม จากทั้งหมด 4 หลุม ตัวอย่างเช่น ปลูกข่า 1 กอ จะมีต้นข่าขึ้นประมาณ 10 ต้น เป็นสีเหลี่ยมรอบหลุม เมื่อข่าโตจนเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วให้เลือกขุดออกไป 3 มุม เหลือไว้ 1 มุม เพื่อให้ข่าเติบโตขึ้นมาใหม่"
"ทั้งนี้ราคาขายข่าจะแบ่งออกเป็นสองเกรดคือ ข่าอ่อน คือข่าที่เก็บเกี่ยวในช่วงเดือนที่ 6 ราคาจะอยู่ที่ 30 บาท/กิโลกรัม แต่ถ้าเป็นข่าแก่ที่เก็บเกี่ยวในช่วงเดือนที่ 8 ราคาจะอยู่ที่ 10-15 บาท/กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบข่าอ่อนกับข่าแก่แล้ว อัตราส่วนในแปลงที่ขุดได้แต่ละวันจะมีข่าอ่อนถึง 80-90% แต่จะมีข่าแก่เพียง 10-20% เท่านั้น อีกทั้งตลาดหลักๆ ส่งขายให้กับโรงงานผลิตเครื่องปรุงอาหาร โดยส่งวันต่อวันประมาณ 10 ตัน เป็นจำนวนเงิน 300,000-600,000 บาท/ครั้ง
"ต่อไปในอนาคต ผมจะขยายพื้นที่สวนข่าอีก 20 ไร่ อีกทั้งยังรับซื้อข่าจากชาวสวนทั่วไปด้วย เพื่อให้เขามีตลาดรับซื้อข่า แต่ผมจะนำไปขายต่อในนามของผมเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ผมจะได้ทำการเกษตรแบบครบวงจร ทั้งรับซื้อ ผลิตเอง และส่งขายเอง" คุณเบียร์ เล่าทิ้งท้าย
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก www.bangkokbanksme.com นะคะ

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์ ข้อมูลการเกษตร
http://www.kokomax.com

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน
LINE ID: @KOKOMAX

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


พริกไทย ปลูกแบบอินทรีย์ เก็บผลผลิตได้ยาวต่อเนื่องถึง 20 ปี

การปลูกพริกไทย เกษตรกรมักจะพบกับปัญหาดินเสื่อมสภาพ จากการใช้ปุ๋ยเคมีต่อเนื่องมานาน ปลูกแบบอินทรีย์แก้ปัญหาได้ตรงจุด..
จากดินแข็งกระด้างก็ร่วนซุย มีจุลินทรีย์ ไส้เดือนในดิน ต้นพริกไทยที่ใบเหลืองก็กลับมาเขียวเข้ม และให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น จากต้นพริกไทยค้างหนึ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่เกิน 5 ปี ก็มีอายุเพิ่มขึ้นเป็น 18-19 ปี ยังให้ผลผลิตต่อเนื่อง พื้นที่ปลูกพริกไทยของตนมีทั้งหมด 12 ไร่ แบ่งเป็นพริกไทยพันธุ์ซีลอน และพันธุ์มาเลเซีย ซึ่งแต่เดิมได้ผลผลิตรวม 3 ตัน แต่พอมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 ตัน

ที่สำคัญคือต้นทุนการผลิตลดลงจากเดิมกว่า 40% เนื่องจากปุ๋ยเคมีตันหนึ่งประมาณ 13,000 บาท ในแต่ละปีจะต้องมีต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีและสารเคมีไม่ต่ำกว่า 300,000 บาท ขณะที่ปุ๋ยอินทรีย์อยู่ที่ตันละ 1,500-2,000 บาท ใส่อย่างน้อยปีละ 3 ครั้ง ก็จะมีต้นทุนอยู่ที่ 6,000 บาท

นอกจากเรื่องผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ต้นทุนลดลงแล้ว เกษตรกรรายนี้ยังมีการวางแผนการผลิตเพื่อให้ผลผลิตออกนอกฤดูหรือออกตรงกับช่วงที่มีราคาดี อย่างน้อยจะได้ราคาจำหน่ายพริกไทยอ่อน 200 บาท/กก. หรือถ้าแม้ว่าในฤดูกาลผลิตนั้นราคาตกต่ำก็ยังสามารถปล่อยให้พริกไทยแก่และขายเป็นพริกไทยดำที่ได้ราคาสูงขึ้นได้

ยืนยันเลยว่าการปลูกพริกไทยอินทรีย์อยู่ได้แน่และยั่งยืนกว่าเคมี ที่สำคัญพริกไทยเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคต เพราะปลูกปีเดียวก็สามารถเก็บผลผลิต ขายคืนทุน แถมได้กำไร 30% พอปีที่สองรับกำไรเต็ม ๆอีกทั้งสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ยาวนานนับ 20 ปี

ภาพ: www.samunpri.com
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก ข่าวสดๆเสริฟจากฟาร์ม นะคะ

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ข้อมูลการเกษตรดีๆ เชิญที่
http://www.kokomax.com/

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน
LINE ID: @KOKOMAX

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


KOKOMAX โคโค-แมกซ์ สารชีวภาพกำจัดโรคพืช จาก ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ได้รับความไว้วางใจจากหลายๆ ฟาร์ม และการปลูกระบบ Contract Farming หลายๆ ที่ มากว่า 15 ปี ทาง KOKOMAX ขอขอบคุณลูกค้าเป็นอย่างสูง และจะพัฒนาสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้นไปคะ^-^

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


การกำจัด หนอน แมลงศัตรูพืช ไม่ใช่เรื่องง่ายแค่คลิ๊ก ปลายนิ้วนะครับ

ตามที่อธิบายมา เป็นการทำสงครามกันระหว่างเจ้าของพื้นที่เดิม คือ แมลงศัตรูพืช กับ ผู้บุกรุก คือเกษตรกร มนุษย์ ก็พยายามคิดค้นหายาเคมี มาปราบส่วน หนอน แมลงศัตรูพืช ก็พยายาม สร้างภูมิคุ้นกันมาต่อสู้ เพื่อป้องกันตนเอง และ เหล่าลูก หลาน เหลน ฯลฯ ที่จะกำเนิดมาตามวัฎจักรของวงจรธรรมชาติ การกำจัดหนอน ไม่ว่าจะใช้สารเคมีรุนแรงขนาดใหน หรือจะใช้แบบแนวอินทรีย์ชีวภาพ การใช้สมุนไพร ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่ง ไม่สามารถกำจัด หนอน แมลงศัตรูพืช ได้ตลอดไป โดยเฉพาะแนวเคมี จะใช้ได้เพียง 2 – 3 รอบ เท่านั้น หนอน แมลงศัตรูพืช ก็จะเริ่มดื้อยา เพราะธรรมชาติของ หนอน แมลง ศัตรูพืช นั้นจะมีการพัฒนาเพื่อการอยู่รอด ของพวกมัน การกำจัดหนอน แมลง ศัตรูพืช จะต้องใช้ ระบบ IPM หรือระบบ ผสมผสาน เท่านั้น หมายถึง ไม่มีวิธีการใดวิธีการหนึ่งเพียงวิธีการเดียว ที่สามารถกำจัด หนอน แมลง ศัตรูพืช ได้ผล 100 % แต่มีวิธีการเดียวเท่านั้น ที่ได้ผลมากที่สุด ในการป้องกัน และ กำจัด หนอนแมลงศัตรูพืช คือระบบผสมผสาน หรือระบบ IPM เท่านั้น

การกำจัดหนอน และ แมลงศัตรูพืช เกษตรกรจะต้องเข้าใจ จะต้องรู้วัฏจักร หรือ รู้ที่มา รู้ที่ไป ของหนอนและ แมลงศัตรูพืช ว่าหนอนเกิดมาได้อย่างไร แมลงเกิดขึ้นได้อย่างไร วงจรชีวิตของหนอน วงจรชีวิตของแมลง หนอน เกิดขึ้นจากแม่ผีเสื้อกลางคืน บางพื้นที่เรียกว่าแม่บิน แม่ผีเสื้อกลางคืน จะเข้ามาวางไข่ ตามซอก หลืบ หรือ บนดิน จุดที่มันเห็นว่า มันวางไข่แล้วจะปลอดภัยต่อไข่ของมัน มันจึงพยายามหาจุดที่ซ่อนเร้นมากที่สุด ปลอดภัยจากศัตรู จากแสงแดด มันจะเข้ามาวางไข่ ในตอนค่ำ1 รอบ และ ตอนก่อนรุ่งแจ้ง อีก 1 รอบ เมื่อวางไข่แล้ว ไข่ของแม่ผีเสื้อก็จะพัฒนามาเป็น ดักแด้ ตามระยะ ตามวัย ของหนอนแต่ละชนิด จากไข่แม่ผีเสื้อ พัฒนามาตาม ระยะ ตามวัย จนมาเป็นหนอน ทำลายต้นพืช ใบพืช โดยการกัดกิน แล้วเจริญเติบโต หมุนเวียนไปเป็นแม่ผีเสื้อ หรือแม่บินต่อไป

หนอน และ แมลง ที่กัดกินใบพืช จนเสียหาย ขาดวิ่น หรือใบหงิกงอไปแล้ว ครั้นเรากำจัด หนอนหรือแมลงศัตรูพืชนั้นไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายตวามว่า ใบพืชที่โดนทำลายไปแล้วจะสามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ การกำจัดถึงแม้ว่าจะได้ผล แต่ก็ไม่สามารถเรียกผลผลิตกลับคืนมาได้ ถ้าหากว่า เกษตรกรจะปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบ การป้องกัน จะดีกว่า

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


เชื้อ บี.ที. หรือเชื้อ บาซิลัส ทูริงเจนซิส Bacillus thuringiensis (or Bt) เป็นเชื้อ แบคทีเรีย โดยเชื้อแบคทีเรียนี้ จะสร้างสปอร์ ผลิตสารพิษที่เรียกว่า DENTA TOXZIN  ขึ้นมา ต่อมามนุษย์ ได้นำเอาสารท๊อกซิน นี้มาเป็นประโยชน์ ในการกำจัดหนอนศัตรูพืช การทำงานของเชื้อ บี.ที. เมื่อเกษตรกร ได้ทำการฉีดพ่นยาเชื้อที่แปลงผักแล้ว ในตอนเย็น ช่วงกลางคืนหนอนทุกตัว จะต้องออกมากินใบพืช ซึ่งเป็นอาหารของมัน เมื่อหนอนกินใบพืช  จะต้องติดเชื้อ บี.ที. เข้าไปด้วย เชื่อบี.ที. เมื่อเข้าสู่ลำใส้ของหนอน  ลำใส้ของหนอนนั้นเป็นด่าง ส่วนลำใส้คนเรานั้น เป็นกรด เชื้อ บี.ที. จะทำปฎิกริยากับลำใส้ของหนอน จนหนอนเริ่มกระอักกระอ่วน จนไม่สามารถกินใบพืชได้อีก  กลไกการทำงาน ของเชื้อ บี.ที. แต่ละชนิด ที่ทำลายหนอน เช่น ทำลาการทำงานของกล้ามเนื้อ  ทำลายระบบประสาททำลายระบบเลือดโดยเฉพาะการทำลายผนังกะเพาะ กลไกการออกฤทธิ์ ของเชื้อ บี.ที. เมื่อหนอนกินใบพืชที่มีเชื้อ บี.ที.เข้าไป ภายใน  2-3  นาที ผลึกโปรตีนจะเข้าไปเกาะผนังลำใส้ของหนอนและแมลง เริ่มออกฤทธิ์ ทำให้หนอนหยุดการกินใบพืช คือหยุดการทำลายพืช 

ที่มา: ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


โรคพืช เชื้อราพืช แบคทีเรียพืช แคงเกอร์ ใบจุด ใบเหลือง แอนแทคโนส โรคเน่า พิสูจน์แล้ว ใช้ โคโค-แมกซ์ KOKOMAX เกษตรกรใช้กันมาแล้วกว่า 15 ปี มีชื่อเสียงมากในผู้เลี้ยงกล้วยไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ และฟาร์มเกษตรทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ คุมโรคได้ดีจริง ใช้ได้ดีทุกพืช ‪#‎ถ้าทำแบบเดิมแล้วดีวันนี้ต้องมีเงิน‬ ‪#‎เกษตรอินทรีย์‬
‪#‎ปลอดสารเคมี‬ ‪#‎แปลงเกษตรอินทรีย์‬ ‪#‎450บาทส่งฟรีทั่วประเทศ‬ ‪#‎ซื้อ10แถม2

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com/
ไลน์: @KOKOMAX และ KOKOMAX8888

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


เว็บเกษตรอินทรีย์อันดับ 1 ลดกระหน่ำ Mid Year Sale ทั้งเว็บ เริ่ม 1-4 มิถุนายน นี้ ไม่จำกัดการสั่งซื้อ เลือกสินค้าได้เลยที่ http://www.kokomax.com เท่านั้น

** ลูกค้าสมาชิกสะสมแต้มกรุณาแจ้งเบอร์ที่ลงทะเบียนก่อนชำระ เพื่อสะสมแต้มด้วยนะครับ **

ช่องทางสั่งซื้อ สะดวกมากครับ
1.ทำรายการผ่านหน้าเว็บ ได้เลย
2.โทร.061-405-8899
3.LINE: @KOKOMAX และ KOKOMAX8888
4.อินบ๊อก facebook/kokomaxthailand
5.twitter: KOKOMAX8
6.google plus: kokomaxthailand
7.อีเมลล์ info.kokomax@gmail.com

การชำระค่าสินค้า/บริการ
1.ชำระโดยโอนผ่านธนาคารต่างๆ ของเรา
2.รับชำระด้วยบัตรเครดิต
3.รับชำระที่ counter service 7-11,Lotus,Big C,Central,
4.Line pay
5.เก็บเงินปลายทาง ค่าธรรมเนียมเพียง 99 บาท

เป็นเว็บเกษตร ที่สุด คุ้ม สะดวก มากๆ ครับ
อย่าลืมนะครับ ลดหนักมาก 1-4 มิถุนายน นี้ เท่านั้น ที่ http://www.kokomax.com

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


เว็บเกษตรอินทรีย์อันดับ 1 ลดกระหน่ำ Mid Year Sale ทั้งเว็บ เริ่ม 1-4 มิถุนายน 2559 นี้ ไม่จำกัดการสั่งซื้อ เลือกสินค้าได้เลยที่ http://www.kokomax.com เท่านั้น

** ลูกค้าสมาชิกสะสมแต้มกรุณาแจ้งเบอร์ที่ลงทะเบียนก่อนชำระ เพื่อสะสมแต้มด้วยนะครับ **

ช่องทางสั่งซื้อ สะดวกมากครับ
1.ทำรายการผ่านหน้าเว็บ ได้เลย
2.โทร.061-405-8899
3.LINE: @KOKOMAX และ KOKOMAX8888
4.อินบ๊อก facebook/kokomaxthailand
5.twitter: KOKOMAX8
6.google plus: kokomaxthailand
7.อีเมลล์ info.kokomax@gmail.com

การชำระค่าสินค้า/บริการ
1.ชำระโดยโอนผ่านธนาคารต่างๆ ของเรา
2.รับชำระด้วยบัตรเครดิต
3.รับชำระที่ counter service 7-11,Lotus,Big C,Central,
4.Line pay
5.เก็บเงินปลายทาง ค่าธรรมเนียมเพียง 99 บาท

เป็นเว็บเกษตร ที่สุด คุ้ม สะดวก มากๆ ครับ

อย่าลืมนะครับ ลดหนักมาก 1-4 มิถุนายน 2559 นี้ เท่านั้น ที่http://www.kokomax.com

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


ไฮ-สปีด Hi-Speed (สูตรเข้มข้นพิเศษ)

ใช้ฟื้นฟูสภาพต้นได้อย่างดี สามารถใช้ได้ในพืชทุกชนิด ฟื้นฟูสภาพต้นจากการเก็บเกี่ยว สภาพต้นขาดการดูแล สภาพต้นโทรมจากโรคพืช ศัตรูพืช ดอกผลออกน้อย นิยมใช้ใน ต้นทุเรียน ต้นลำใย ต้นพริก มะเขือ ใช้ได้ในพืชทุกชนิด

ต้นโทรมเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ผลดกมากเกินไป ต้นรับไม่ไหว หรือโดนโรคและแมลง ศัตรูพืช เข้าเร้ารุม หรือเกิดจากดินเป็นกรด ธาตุอาหารหรือสารอาหารพืชไม่เพียงพอ ต้นเหลือง โทรม อาการข้าวเหลืองหน้าหนาว ,เพลี้ยลง,โรคลง
วิธีการใช้ อัตรา 2 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นครั้งเดียวจะเขียวทันที ให้ฉีดพ่นในช่วงเช้ามีแดด จะดีมาก (ให้ใช้ตามปริมาณที่แนะนำเท่านั้น เนื่องจาก Hi-speed เป็นสูตรเข้มข้น และผ่านการทดสอบมาแล้ว)

ขนาดบรรจุ 250 ซีซี ราคา 490 บาท

เห็นผลทันที สำหรับพืชต้นโทรม เหลือง

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
โทร. 061-405-8899
LINE: @KOKOMAX
อีเมลล์: info.kokomax@gmail.com
เว็บไซต์ http://www.kokomax.com

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


เชื้อราบิวเวอร์เรีย บาสเซียน่า หรือ ชื่อสามัญ Beauveria bassiana

เป็นเชื้อจุลินทีย์ ที่สามารถทำลาย แมลงปากกัดปากดูด ทุกชนิด  รวมไปถึงหนอนขนาดเล็ก  เช่น เพลี้ยไฟ ไรขาว ไรแดง แมงมุมแดง แมลงหวี่ขาว ฯลฯ เชื้อบิวเวอร์เรีย เป็นตัวเชื้อที่ทาง กรมส่งเสริมการเกษตร โดยทางสำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานเกษตรอำเภอ ออกหน่วยสอนให้เกษตรกร ฝึกทำเอง ใช้เองซึ่ง จะมีต้นทุนที่ ต่ำมาก  แต่การผลิตยาเชื้อนั้น  ขั้นตอน วิธีการทำ ออกจะยุ่งยาก และตัวเชื้อติดยาก  ทำให้เกษตรกรไม่สนใจที่จะทำ และพยายามหาแหล่งขาย ชนิด ฉีกซอง ผสมน้ำใช้เลย จะสะดวกกว่า เชื้อ บิวเวอร์เรีย สามารถ กำจัดได้ทั้งแมลงปากกัดปากดูด ทุกชนิด รวมไปถึงปลวก มดคันไฟ ทำให้ตายยกรังได้ ยุง แมลงวัน  ซึ่งเป็นวิธีที่ ดีที่สุดสำหรับแนวเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับการยอมรับมากขณะนี้ครับ

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ

http://www.kokomax.com

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


เว็บเกษตรอินทรีย์อันดับ 1 ลดกระหน่ำ Mid Year Sale ทั้งเว็บ เริ่ม
1-4 มิถุนายน 2559 นี้ ไม่จำกัดการสั่งซื้อ เลือกสินค้าได้เลยที่ http://www.kokomax.com เท่านั้น

** ลูกค้าสมาชิกสะสมแต้มกรุณาแจ้งเบอร์ที่ลงทะเบียนก่อนชำระ เพื่อสะสมแต้มด้วยนะครับ **

ช่องทางสั่งซื้อ สะดวกมากครับ
1.ทำรายการผ่านหน้าเว็บ ได้เลย
2.โทร.061-405-8899
3.LINE: @KOKOMAX และ KOKOMAX8888
4.อินบ๊อก facebook/kokomaxthailand
5.twitter: KOKOMAX8
6.google plus: kokomaxthailand
7.อีเมลล์ info.kokomax@gmail.com

การชำระค่าสินค้า/บริการ
1.ชำระโดยโอนผ่านธนาคารต่างๆ ของเรา
2.รับชำระด้วยบัตรเครดิต
3.รับชำระที่ counter service 7-11,Lotus,Big C,Central,
4.Line pay
5.เก็บเงินปลายทาง ค่าธรรมเนียมต่อบิลเพียง 99 บาท

เป็นเว็บเกษตร ที่สุด คุ้ม สะดวก มากๆ ครับ

อย่าลืมนะครับ ลดหนักมาก 1-4 มิถุนายน 2559 นี้ เท่านั้น ที่ http://www.kokomax.com

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


วันนี้ลดกันสนั่นกรุง 20% !!! โคโค-แมกซ์ KOKOMAX สารชีวภาพกำจัดโรคพืช ที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรีย ปลอดภัย ปลอดสารพิษ นิยมใช้ในแปลงเกษตรอินทรีย์ ปรกติ 450 บาท วันนี้เพียง 360 บาท โปรโมชั่น 10 ซอง แถม 2 ด้วยจ้า

สินค้าลดราคาทั้งเว็บ ไปดูเลย http://www.kokomax.com/

โทร. 061-405-8899
LINE: @KOKOMAX
LINE: KOKOMAX8888

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


วันนี้ลดกันสนั่นกรุง 20% !!! โคโค-แมกซ์ KOKOMAX สารชีวภาพกำจัดโรคพืช ที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรีย ปลอดภัย ปลอดสารพิษ นิยมใช้ในแปลงเกษตรอินทรีย์ ปรกติ 450 บาท วันนี้เพียง 360 บาท โปรโมชั่น 10 ซอง แถม 2 ด้วยจ้า

สินค้าลดราคาทั้งเว็บ ไปดูเลย http://www.kokomax.com/

โทร. 061-405-8899
LINE: @KOKOMAX
LINE: KOKOMAX8888