ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ที่ดินวัดร้าง สำนักพุทธฯนำไปปล่อยเช่าแทนที่จะให้ชุมชนใช้ประโยชน์

เริ่มโดย ทีมงานบ้านเรา, 11:11 น. 28 ส.ค 60

Bird red arrow

มีคนจำนวนไม่น้อย ...

ทั้งที่เป็นคนฉลาด ไม่ได้เป็นคนปัญญาอ่อน
แต่พอได้รู้ ได้เห็น ได้ฟัง อะไร เชื่อฝังใจเลย
__ ถ้าเรื่องที่เชื่อนั้น ถูก ก็ดีไป
แต่ถ้าเชื่อมาแบบผิดๆ บางทีก็ทำให้เกิดปัญหา

___ กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล
__ กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่

__ 1. มา อนุสฺสวเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
__ 2. มา ปรมฺปราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
__ 3. มา อิติกิราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
__ 4. มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
__ 5. มา ตกฺกเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเดาว่าเป็นเหตุผลกัน
__ 6. มา นยเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมานคาดคะเน
__ 7. มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเดาจากอาการที่เห็น
__ 8. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
__ 9. มา ภพฺพรูปตา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ
__ 10. มา สมโณ โน ครูติ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา

__ ต่อเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย
__. และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ... ส.สู้ๆ

Red Golden mountain

พุทธให้ถือเป็นบาป!!
อุบาสกและอุบาสิกาควรทราบว่าการให้เงินทองแก่ภิกษุ ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ ไม่ใช่การทำบุญแต่เป็นการทำบาป เพราะทำลายพระพุทธศาสนาและเป็นเหตุให้ภิกษุไปสู่อบายภูมิหลังมรณภาพอีกด้วย!!

การเปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่ของอุบาสกจาก คฤหัสถ์ (ผู้ครองเรือน) เป็น บรรพชิต (นักบวชในพระพุทธศาสนา) เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ เพราะการครองชีวิตของเพศบรรพชิตมีความแตกต่างไปจากเพศคฤหัสถ์โดยสิ้นเชิง

ฉะนั้นผู้ที่จะบวชเป็น "ภิกษุ" ต้องทำความเข้าใจกับตนเองให้ดีเสียก่อนว่า ตนเองมีอัธยาศัยที่จะครองชีวิตแบบ ภิกษุได้หรือไม่? ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เคยสะสมความรู้จากการศึกษาพระธรรมและอบรมขัดเกลากิเลสตนมาแต่ในอดีตชาติ ผู้ที่มีเป้าหมายจะบวชเป็น "ภิกษุ" เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพราะสนใจในการศึกษาพระธรรม เพื่อนำไปพัฒนาชีวิตการทำงานและในการดำเนินชีวิตประจำวัน

ผู้ที่อยากบวชเพราะเชื่อตามๆ กันว่า เป็นประเพณีที่ผู้ชายต้องบวช รวมถึงผู้ที่อยากบวชเพื่อแก้ปัญหาชีวิตของตน บุคคลเหล่านี้จะต้องตระหนักให้ดีว่าตนเองพร้อมที่จะสละเรื่องราวต่างๆ บุคคลที่เกี่ยวข้อง สิ่งของต่างๆ ที่มีอยู่ได้หรือไม่ ซึ่งจะต้องดำเนินชีวิตอย่างสงบในเพศของ บรรพชิต

หลังจากเปลี่ยนเพศของ คฤหัสถ์ มาเป็นเพศของ บรรพชิต แล้วจะต้องประพฤติปฏิบัติตนตามสิกขาบทในพระวินัย 227 ข้อ ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด!!

"ภิกษุ" มีหน้าที่ศึกษาพระธรรม (พระไตรปิฎก) ซึ่งประกอบด้วยพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก (พระสูตร) พระอภิธรรมปิฎก และฝึกฝนอบรมตนด้วยการเจริญสติ เจริญปัญญาเพื่อขัดเกลากิเลสตน หากประพฤติปฏิบัติตนเป็นอาบัติ (ล่วงละเมิดสิกขาบทหรือข้อห้ามแห่งภิกษุ) มีโทษ 3 สถาน

คือ อาบัติปาราชิก เป็นโทษสถานหนัก ต้องขาดจากความเป็นภิกษุ อาบัติสังฆาทิเสส เป็นโทษสถานกลาง ต้องอยู่ปริวาสกรรมเสียก่อนจึงจะพ้นอาบัติ อาบัติถุลลัจจัย อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ อาบัติปาจิตตีย์ อาบัติปาฏิเทสนียะ ฯลฯ เป็นโทษสถานเบา ต้องปลงอาบัติ (แสดงความผิดของตนเพื่อเปลื้องโทษทางวินัย) เสียก่อนจึงจะพ้นอาบัติ

ในกรณีที่ "ภิกษุละเมิดสิกขาบทรับเงินทอง" เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ซึ่งมีบัญญัติในข้อ 18 บัญญัติ ห้ามภิกษุรับเงินทอง ข้อ 19 บัญญัติห้ามภิกษุซื้อขายด้วยเงินทอง ภิกษุที่ละเมิดสิกขาบทจะต้องสำนึกและยอมรับผิดพร้อมกับสละของที่รับมาท่ามกลางหมู่สงฆ์เสียก่อนจึงจะพ้นอาบัติ

ตามที่มีปรากฏอยู่ในสิกขาบทของพระวินัยในครั้งพุทธกาลนั้น มีภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อ "อุปนันทสากยบุตร" ได้รับภัตตาหารจากครอบครัวตระกูลหนึ่ง ซึ่งนิมนต์ไว้เป็นประจำ มีอยู่วันหนึ่งภิกษุรูปนี้ไปรับภัตตาหารดังที่เคยปฏิบัติมา ในวันนั้นอุบาสกซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวนี้ได้แจ้งว่า วันนี้ไม่มีอาหารให้แต่จะไปซื้ออาหารเพื่อนำมาถวายให้ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุรูปนี้จึงขอรับเงินเพื่อไปซื้ออาหารเอง อุบาสกผู้นี้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดีจึงกล่าวเพ่งโทษและติเตียนต่อหน้าภิกษุรูปนี้ทันทีว่า...

"ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ผู้เป็นสมณะเชื้อสายสากยบุตรทำอย่างนี้ได้อย่างไร" และยังนำไปกล่าวโพนทะนาในภายหลังให้ผู้อี่นรับรู้ว่าเป็นการประพฤติปฏิบัติที่ไม่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิตด้วยจิตที่เป็นกุศล

เมื่อความนี้ได้ล่วงรู้ถึงพระพุทธองค์แล้วจึงทรงให้มีการประชุมสงฆ์เพื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขี้นกับภิกษุรูปนี้ โดยตรัสถามว่า "เธอประพฤติอย่างนี้จริงหรือ?" ภิกษรูปนี้กราบทูลว่า เป็นจริง พระพุทธองค์จึงทรงตำหนิติเตียนว่า "ความประพฤติที่เธอกระทำนั้นไม่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิตโดยประการทั้งปวง"

พระพุทธพจน์องค์หนึ่งที่เกี่ยวกับเงินทองมีความว่า "เราไม่กล่าวเลยว่าให้ภิกษุในธรรมวินัยนี้แสวงหาเงินและทองโดยประการใดๆ เลย" ภิกษุที่มีความเคารพยำเกรงต่อพระวินัยจึงต้องประพฤติปฏิบัติตามสิกขาบทอย่างเคร่งครัด โดยการศึกษาพระธรรมและหมั่นฝึกฝนรักษากาย วาจา ใจ ให้สุจริตอยู่เป็นนิจ

อาบัติที่เกิดจากการรับเงินและทองของภิกษุ หากไม่ได้ปลงอาบัติอย่างถูกต้องและถูกวิธีแล้วก็จะเป็นเหตุนำไปสู่อบายภูมิ ซึ่งเป็นภูมิที่เกิดอันปราศจากความเจริญ มี 4 ภูมิ คือ นรก เปรตวิสัย อสุรกายภูมิ และกําเนิดดิรัจฉาน

อุบาสกและอุบาสิกาจึงควรทราบว่า "การให้เงินทองแก่ภิกษุ ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ ไม่ใช่เป็นการทำบุญแต่เป็นการทำบาป" นอกจากจะเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาแล้วยังเป็นเหตุให้ "ภิกษุ" ไปสู่อบายภูมิหลังมรณภาพอีกด้วย
......................................
ปลาว่ายทวนน้ำ


Reddevils go

"สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ - 
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
- พุทธทาสภิกขุ

คราวหนึ่งมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า โดยทูลว่า พระพุทธวจนะทั้งหมดที่ตรัส
ถ้าจะสรุปให้สั้นเพียงประโยคเดียวได้หรือไม่ จะว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านว่าได้
พระองค์ตรัสว่า "สพเพ ธมมา นาลํ อภินิเวสาย" สพเพ ธมมา แปลว่า สิ่งทั้งปวง นาลํ แปลว่า ไม่ควร
อภินิเวสาย เพื่อจะยึดมั่นถือมั่น สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แล้วพระองค์ก็ย้ำลงไปอีกทีหนึ่งว่า
ถ้าใครได้ฟังความข้อนี้ คือได้ฟังทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ถ้าได้ปฏิบัติข้อนี้ก็คือได้ปฏิบัติทั้งหมด
ในพระพุทธศาสนา ถ้าได้รับผลจากการปฏิบัติข้อนี้ ก็คือได้รับผลทั้งหมดในพระพุทธศาสนา

ถ้าเรายอมรับสัจธรรมนี้ได้จิตใจของเราจะอ่อนลง ความยึดมั่นถือมั่นจะผ่อนคลายลง
อย่างที่ท่านเรียกว่า ปล่อยวาง มันลง เราก็จะหลุดออกจากความทุกข์ได้
เริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ สะสมความเย็น ความปล่อยวางนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะค่อย ๆเพิ่มขึ้นเอง
จนวันหนึ่งจะชัดเจนจนสังเกตได้ว่าเรื่องที่เราเคยทุกข์หนัก
พอพบเรื่องที่ควรจะทุกข์ เราจะทุกข์น้อยลง ....  ส.สู้ๆ


นก หวยแดง

เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

คนเดี๋ยวนี้มันโง่ เอาดีเป็นชั่ว เอาชั่วเป็นดี เอาสุขเป็นทุกข์ เอาทุกข์เป็นสุข กลับกันหมด มันเหมือนกับคนโง่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ที่เราไปชอบอะไรอบายมุขทั้งหลายที่หนาแน่นขึ้นทั่วบ้านทั่วเมือง อบายมุขเป็นกงจักรทั้งนั้น แต่มาเห็นเป็นดอกบัว

- พุทธทาสภิกขุ -

Red Devils go

มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เราสับสนว่า ตกลงแล้วบาปหรือไม่บาปกันแน่ พระไพศาล วิสาโล มาเฉลยให้ฟัง...
.
1. โกหกด้วยเจตนาดี
การโกหกสีขาว แม้จะเป็นไปเพื่อรักษาน้ำใจคนอื่น แต่รู้ไหมว่านี่แหละบาป!!!
พูดโกหกนั้นแม้จะมีเจตนาดี แต่ถ้าตั้งใจโกหก ก็ถือว่าผิดศีลทั้งนั้นแหละ หากคิดให้ดี คุณอาจจะโกหกเพียงเพื่อความสะดวกของคุณ แต่อาจจะเอาความปรารถนาดีต่อผู้อื่นมาเป็นข้ออ้างก็ได้ แต่ก็ยังมีส่วนดีตรงที่มีเจตนาดีนะ ต้องมองแยกเป็นส่วน ๆ ไป แต่ยังไงก็เถอะ...ถ้าจะให้ดีก็ควรมีทั้งเจตนาดีและพูดความจริงไปด้วยกัน
.
2. ทำหมันสัตว์
การทำหมันให้สัตว์เป็นบาป แต่บาปน้อยเพราะไม่ไช่การทำร้ายร่างกายหรือจิตใจของเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ แต่บางเรื่องก็ต้องชั่งตรองเอาเองว่าบางทีอาจจะมีผลดีเกิดขึ้นก็ได้ เช่น การกำจัดเห็บหรือหมัด เป็นต้น
.
3. การุณยฆาต
ใครเคยดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายคงเข้าใจเรื่องนี้ดี การตัดสินใจทำให้ผู้ป่วยตาย เพื่อให้เขาจากไปอย่างสงบ แม้จะทำด้วยความปรารถนาดี ก็ถือเป็นปาณาติบาต แม้บาปจะน้อยกว่าการฆ่าด้วยความโกรธแค้นก็ตาม ขอแนะว่า...พยายามช่วยเขาอย่างถึงที่สุด จนกว่าเขาจะไปเอง
.
4. ตำหนิพระที่ประพฤติไม่ดี
บาปหรือไม่บาปอยู่ที่เจตนา หากเตือนด้วยความปรารถนาดี ก็ไม่บาป!!! แต่ถ้าตำหนิต่อว่าด้วยความโกรธเกลียด อันนั้นจึงจะเป็นบาป เพราะทำด้วยเจตนาที่เป็นอกุศล
.
5. ทำบุญด้วยความอึดอัดใจ
แม้เราจะทำบุญให้ทานโดยไม่เต็มใจ ก็ยังถือว่าได้บุญ แต่ก็มีบาปหรืออกุศลธรรมปนอยู่ด้วย เพราะมีความหงุดหงิด หรือความรำคาญ เช่น การทำบุญกฐิน ผ้าป่า ปัญหาของคุณอยู่ที่ตรงที่ คุณกลัวคนแจกซองต่อว่าหรือเปล่า ถ้าคุณแคร์สายตาคนอื่นน้อยลง คุณก็จะไม่รู้สึกอึดอัด และเมื่อถึงเวลาที่คุณพร้อมจะทำบุญ  คุณก็จะทำด้วยความรู้สึกเป็นสุข เพราะคุณทำด้วยความเต็มใจ... ส.สู้ๆ

กองทัพมดแดง

ชาวพุทธเราต้องฉลาด ต้องศึกษาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้รู้ว่าพระแท้จริงเป็นอย่างไร พระปลอมเป็นอย่างไร พระแท้ท่านอยู่อย่างไรท่านปฏิบัติอย่างไร ไม่มีใครศึกษาสนใจกันเป็นชาวพุทธแท้ๆ แต่สู้คนที่ไม่ใช่เป็นชาวพุทธไม่ได้ พวกชาวต่างประเทศนี้เขาศึกษาถึงแก่นเลย เวลาเขาเข้าหาศาสนานี้เขาเข้าไปในพระไตรปิฎกเลย ศึกษาพระพุทธประวัติ ศึกษาพระธรรมคำสอน เขาจึงไม่หลงกัน เขามาเมืองไทยนี้เขามาบวช เขาไม่ได้มาเพื่อจะมาหาลาภสักการะต่างๆ

พวกเราเป็นเหมือนไก่ได้พลอย มีของดีกลับเขี่ยทิ้งไปชอบของไม่ดี ชอบตัวหนอนตัวไส้เดือน ชอบอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ชอบวัตถุมงคล ชอบเสกชอบเป่า ชอบฟังพระสวด พระสวดแล้วรู้สึกโอ้โหมีความสุขเหลือเกินได้บุญมาก แต่ไม่รู้ว่าสวดอะไรไม่เข้าใจความหมายเลย การสวดก็คือสวดพระธรรมคำสอนเป็นการสั่งสอน เพียงแต่ว่าไปสอนภาษาบาลีไม่สอนภาษาไทย คนฟังก็เลยไม่เข้าใจ เลยไม่ได้ปัญญา ถ้าตั้งใจฟังก็อาจจะได้สมาธิ คือเวลาฟังพระสวดแล้วตัวเองไม่ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ใจจดจ่ออยู่กับการฟัง ก็จะได้อานิสงส์ทำให้ใจสงบได้ แต่จะไม่ได้ปัญญา จะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราปฏิบัติอะไรกัน สอนให้เราร่ำรวยหรือสอนให้เรายากจน ถ้าปฏิบัติถ้าศึกษาแล้วจะรู้ว่าสอนให้เรายากจน เพราะความรวยนี้เป็นทุกข์ ความรวยดับความทุกข์ไม่ได้ ความร่ำรวยจะเป็นตัวสร้างความทุกข์ให้เกิดมากขึ้น เพราะรวยแล้วก็ไม่อยากจะจน กลัวความจน ความกลัวความจนนี้คือความทุกข์ แต่พวกเราทุกคน ในที่สุดก็ต้องจนกันหมด เวลาตายก็ไม่มีสมบัติเหลืออยู่เลยแม้แต่บาทเดียว เวลาจะตายนี้จะทุกข์มากคนที่กลัวความจน ความตายมันยังไม่ค่อยกลัว กลัวที่จะต้องจากทรัพย์สมบัติ จากสิ่งต่างๆไปมากกว่า คนที่ไม่มีอะไรจะจากนี้เวลาตายเขาไม่ค่อยเดือดร้อน อย่างขอทานนี้เวลาเขาตายนี้เขาไม่มีอะไรต้องเสียใจเสียดาย เขากลับดีใจว่าจะได้หมดทุกข์เสียที อยู่มาก็ทุกข์ทรมานเหลือเกิน

ศาสนาพุทธสอนให้เราให้มีความสุขใจ ให้รวยทางจิตใจ รวยด้วยทรัพย์ภายใน รวยด้วยทาน รวยด้วยศีล รวยด้วยภาวนา รวยด้วยมรรคผล นิพพาน เพราะอันนี้แหละเป็นทรัพย์ที่จะให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง และจะเป็นทรัพย์ที่จะติดไปกับเราทุกภพทุกชาติ

ก็ขอให้เราศึกษาธรรมะกันให้มากๆ เราจะได้ไม่หลงทางกัน จะได้ไม่ถูกหลอก นี่มันมีเหตุการณ์แบบนี้ เกิดขึ้นมาตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว พอจางหายไปสักสองสามปีก็โผล่ขึ้นมาใหม่ ลองนับมาซิ เวลาโผล่ขึ้นมาใหม่ๆ ก็ตื่นเต้นกันคิดว่ามีศาสดาองค์ใหม่มากันแล้ว แล้วเดี๋ยวก็เกิดเรื่องฉาวกันตามมา แล้วพอสงบตัวไปสักพัก ก็โผล่ขึ้นมาใหม่อีกแล้ว ก็มาแนวเดิมมาแนวอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ชาวบ้านก็ชอบเพราะชาวบ้านไม่เคยศึกษาธรรมะกัน ไม่รู้ว่าของที่วิเศษวิโสจริงๆนั้นเป็นอย่างไร คิดว่าอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นี้เป็นของวิเศษ ไม่ได้คิดว่าการดับความทุกข์นี้เป็นของวิเศษกัน เวลาสอนให้ดับความทุกข์นี้ไม่ชอบกันไม่อยาก ให้รักษาศีลไม่เอา ให้ภาวนาให้นั่งสมาธินี้ไม่เอา ถอยหนี ให้พิจารณาความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้ยิ่งไม่เอาใหญ่เลย พอคิดคำว่าตายเท่านั้นไม่เอาแล้วไม่มงคลแล้ว เพราะขาดการศึกษาเป็นพุทธแต่ชื่อ พุทธในทะเบียนบ้าน ไม่ใช่พุทธแท้

พุทธแท้ต้องรู้จักพระพุทธเจ้า ต้องรู้จักพระธรรมคำสอน ต้องรู้จักพระอรหันตสาวก นี่ไม่รู้เลย ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าวิเศษตรงไหน วิเศษอย่างไร คำสอนของพระพุทธเจ้าวิเศษอย่างไร พระอรหันตสาวกท่านวิเศษอย่างไรพวกนี้ไม่รู้จัก จะรู้จักแต่พระที่แจกวัตถุมงคลเท่านั้น ถ้าที่ไหนมีแจกวัตถุมงคลนี้ คนไปเป็นหมื่นเป็นแสน พอไปแจกธรรมะนี้กระจายเลย... ส.สู้ๆ


Red Politics


"ดูก่อน อานนท์ ! พุทธบริษัททั้ง สี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทำสักการะบูชาเราด้วยเครื่องบูชาสักการะทั้งหลายอันเป็นอามิส เช่น ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น หาชื่อว่าบูชาตถาคตด้วยการบูชาอันยิ่งไม่ อานนท์ เอ๋ย ! ผู้ใด ปฏิบัติตามธรรมปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติธรรมอันเหมาะสม ( ตัดรากเหง้าขาดแล้ว กิ่งก้านสาขาแม้ไม่ต้องตัด ก็ตายเอง )เหตุเพราะสุขทุกข์มี การยึดมั่นถือมั่นจึงมี เพราะสุขทุกข์ดับ การยึดมั่นถือมั่นจึงดับด้วย"สุขกับทุกข์ ถ้าพิจารณาโดยละเอียดแล้ว เป็นของติดกันอยู่ ครั้นวางสุข ทุกข์ไม่ต้องวาง มันก็หายไปเอง เข้าสู่พระนิพพานด้วยอาการแบบนี้ ให้ปลงเสียซึ่งการร้ายและการดี ที่บุคคลนำมากล่าว เช่น มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นินทาสรรเสริญ สุขทุกข์ อย่ายินดียินร้าย ถึงแม้ในปัจจัย๔ ก็ให้มักน้อยในปัจจัย คือให้ละความโลเลในปัจจัย คือ เมื่อได้อย่างดี อย่างปราณีต ก็ให้บริโภค อย่างดีอย่างปราณีต ได้อย่างเลวทรามต่ำช้า ก็ให้บริโภคอย่างเลวทรามต่ำช้า ตามมีตามได้ ไม่ให้ใจขุ่นมัวด้วย อย่าได้อาลัยถึงซึ่งความสุข ให้ปลงใจ วางใจในโลกธรรม ๘ เสียให้หมดสิ้น คือ วางสุข วางทุกข์ วางบาปบุญคุณโทษ วางโลภ โกรธ หลง วางลาภยศ นินทา สรรเสริญ เหมือนดั่งไม่มีหัวใจ จึงชื่อว่า จิตของบุคคลนั้นย่อมเป็นเหมือนแผ่นดิน ถ้ายังทำไม่ได้ อย่าหวังจะได้โลกุตระนิพพานเลย ถ้าทำตัวให้เหมือนแผ่นดินได้ในการใด พึงหวังเถิด ซึ่งโลกุตระนิพพาน คงได้ คงถึง โดยไม่ต้องสงสัย...ผู้นั้นแลชื่อว่าสักการะบูชาเราตถาคต ด้วยการบูชาอันยอดเยี่ยม...

การทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ร้ายแรงยิ่งกว่าประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัยอย่างไร การบิดเบือนพระธรรมเกิดจากอะไร?เกิดจากเราอยากได้ อยากมี อยากเป็น เมื่อมีคนนำพระธรรม มาบิดเบือนให้สอดคล้อง ตอบสนองดังใจเรา เราจึงขานรับ โดยไม่กังขาใจใดๆเลย พระพุทธเจ้าค้นพบความจริง แต่กิเลสในใจเรา ไม่ต้องการความจริง เพราะมันธรรมดา เมื่อบวชแต่กาย ใจไม่ได้บวช ผ้าเหลืองห่มกาย แต่ศีลธรรมไม่ได้ห่มจิตห่มใจอะไรเลย ถือว่าความวิปริตทางศาสนาเกิดขึ้นทุกรูปแบบ ทั้งโลภ ทั้งโกรธ ทั้งหลง ทั้งกิน ทั้งกาม ทั้งเกียรติ สิ่งที่ถือเอาเป็นตัวแทนพระองค์พระพุทธเจ้าคือ พระธรรมวินัย ( ปล่อยวางสุขในโลกธรรม ๘ ) ห้ามฝ่ายฆราวาสทั้งปวง อย่าให้ถวายเงินทองนากแก้วแหวนแลสิ่งของอันมิควร แก่สมณะเป็นต้น แลทองเหลืองทองขาวทองสำฤทธแก่ภิกษุสามเณร แลห้ามอย่าให้ถวายบาตร นอกกว่าบาตรเหล็กบาตรดิน แลนิมนตใช้สอยพระภิกษุสามเณร ให้ทำการสพการเบญจาแลให้นวดแลทำยา ดูลักขณะ ดูเคราะห แลวาดเขียนแกะสลักเปนรูปสัตว แลใช้นำข่าวสารการฆราวาสต่าง ๆ แลห้ามบันดาการภิกษุสามเณร กระทำผิดจากพระปาฎิโมกขสังวรวินัย ภิกษุพึงรักษาความประพฤติให้น่าเลื่อมใส ส่วนภิกษุต้องอาบัติด้วยความไม่ละอายอย่างไร? คือ ภิกษุรู้อยู่ทีเดียวว่าเป็นอกัปปิยะ ฝ่าฝืน ทำการล่วงละเมิด สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า ภิกษุ แกล้งต้องอาบัติ ปกปิดอาบัติ และถึงความลำเอียงด้วยอคติ ภิกษุเช่นนี้ เราเรียกว่า "อลัชชีบุคคล"...
ส.สู้ๆ

Red arrow bird

การทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ร้ายแรงยิ่งกว่าประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัยอย่างไร การบิดเบือนพระธรรมเกิดจากอะไร?เกิดจากเราอยากได้ อยากมี อยากเป็น เมื่อมีคนนำพระธรรม มาบิดเบือนให้สอดคล้อง ตอบสนองดังใจเรา เราจึงขานรับ โดยไม่กังขาใจใดๆเลย พระพุทธเจ้าค้นพบความจริง แต่กิเลสในใจเรา ไม่ต้องการความจริง เพราะมันธรรมดา เมื่อบวชแต่กาย ใจไม่ได้บวช ผ้าเหลืองห่มกาย แต่ศีลธรรมไม่ได้ห่มจิตห่มใจอะไรเลย ถือว่าความวิปริตทางศาสนาเกิดขึ้นทุกรูปแบบ ทั้งโลภ ทั้งโกรธ ทั้งหลง ทั้งกิน ทั้งกาม ทั้งเกียรติ สิ่งที่ถือเอาเป็นตัวแทนพระองค์พระพุทธเจ้าคือ พระธรรมวินัย ( ปล่อยวางสุขในโลกธรรม ๘ ) ห้ามฝ่ายฆราวาสทั้งปวง อย่าให้ถวายเงินทองนากแก้วแหวนแลสิ่งของอันมิควร แก่สมณะเป็นต้น แลทองเหลืองทองขาวทองสำฤทธแก่ภิกษุสามเณร แลห้ามอย่าให้ถวายบาตร นอกกว่าบาตรเหล็กบาตรดิน แลนิมนตใช้สอยพระภิกษุสามเณร ให้ทำการสพการเบญจาแลให้นวดแลทำยา ดูลักขณะ ดูเคราะห แลวาดเขียนแกะสลักเปนรูปสัตว แลใช้นำข่าวสารการฆราวาสต่าง ๆ แลห้ามบันดาการภิกษุสามเณร กระทำผิดจากพระปาฎิโมกขสังวรวินัย ภิกษุพึงรักษาความประพฤติให้น่าเลื่อมใส ส่วนภิกษุต้องอาบัติด้วยความไม่ละอายอย่างไร? คือ ภิกษุรู้อยู่ทีเดียวว่าเป็นอกัปปิยะ ฝ่าฝืน ทำการล่วงละเมิด สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า ภิกษุ แกล้งต้องอาบัติ ปกปิดอาบัติ และถึงความลำเอียงด้วยอคติ ภิกษุเช่นนี้ เราเรียกว่า "อลัชชีบุคคล"

เปรียบเหมือนผู้หนึ่ง ตกเข้าไปในกองเพลิง เมื่อรู้ว่าเป็นกองเพลิงก็รีบออกหนี จึงจะพ้นความร้อน ถ้ารู้ว่าตัวตกเข้าไปอยู่ในกองเพลิงแต่ไม่ได้พยายามหลีกหนีออก จะพ้นความร้อน ความไหม้อย่างไรได้ ข้ออุปมานี้ฉันใด บุคคลผู้รู้แล้วว่า สิ่งนี้เป็นโทษแต่ไม่ได้ละเสีย ก็ไม่ได้พ้นจากโทษ เหมือนกับผู้ที่ไม่พ้นกองเพลิง ฉะนั้น
การตัดสินพระธรรมวินัยแปดอย่าง พึงรู้ว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุศาสน์ (กล่าวคือคำสอนของพระศาสดา) จึงจะเป็นธรรมเป็นวินัยเป็นสัตถุศาสน์( ปล่อยวางสุขในโลกธรรม๘ ) คือ
๑. เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
๒. เป็นไปเพื่อความไม่ประกอบทุกข์
๓. เป็นไปเพื่อไม่สะสมกองกิเลส
๔. เป็นไปเพื่อความอยากน้อย
๕. เป็นไปเพื่อความสันโดษ
๖. เป็นไปเพื่อความไม่คลุกคลี
๗. เป็นไปเพื่อความพากเพียร
๘. เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย
มหาปเทส ๔

หมวดที่ ๒ เฉพาะในทางพระวินัย
๑. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ไม่ควร (อกัปปิยะ) ขัดกับสิ่งที่ควร (กัปปิยะ) สิ่งนั้นไม่ควร
๒. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ควร (กัปปิยะ) ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร (อกัปปิยะ) สิ่งนั้นควร
๓. สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ไม่ควร (อกัปปิยะ) ขัดกับสิ่งที่ควร (กัปปิยะ) สิ่งนั้นไม่ควร
๔. สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ควร(กัปปิยะ) ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร(อกัปปิยะ) สิ่งนั้นควร
จึงเห็นได้ชัดข้อ ๓. สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร เมื่อมาพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว พระพุทธเจ้าทรงให้วางลาภยศถาบรรดาศักดิ์ให้หมดสิ้น เพื่อตัดความกังวล( ปลิโพธ ๒ )แต่ปัจจุบันฆราวาสถวายเงินทองนากแก้วแหวนแลสิ่งของอันมิควร แก่สมณะ สิ่งนั้นจึงไม่ควร ตามพระธรรมวินัยนี้...
มหานิกาย กับ ธรรมยุต ก็มีพระธรรมวินัยเดียวกัน เมื่อเป็นพุทธสายเถรวาท คงต้องห้ามบัญญัติเพิ่ม หรือตัดทอนสิ่งที่พระองค์บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด ความเจริญก็พึงอยู่ได้ ไม่มีความเสื่อมเลย เป็นการมุ่งให้ถึงพระนิพพานเป็นเป้าหมายหลักของผู้ออกบวช มิใช่สิ่งอื่นนอกจากพระนิพพาน... ส.สู้ๆ

โก๊ะตี๋ อารามบอย


Red Politics religion

ก่อนปรินิพพาน พระพุทธองค์ ทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับบริษัท 4 เพราะเล็งเห็นว่า มีความเข้าใจในคำสอนของพระองค์ดีพอที่จะรักษาและธำรงพระพุทธศาสนาไว้ได้แล้ว จึงปรินิพพาน แต่บริษัท 4 ในกาลต่อมาไร้ซึ่งความเข้าใจ และถูกโลกธรรมครอบงำจิต นำพระพุทธศาสนาของพระองค์ไปแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ใส่ตนเองและพรรคพวก ยิ่งนานวันก็ยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้น จนสุดจะเยี่ยวยา หรือแก้ไขได้อีก จึงเปิดโอกาสให้ศาสนาอื่นๆ เข้ามารุกรานได้โดยง่ายดาย จึงไม่ต้องไปว่ากล่าวศาสนาอื่นๆหรอก พวกบริษัท 4 นั่นแหละ คือ ผู้ที่ทำลายพระพุทธศาสนาเสียเอง และทุกวันนี้ มันเลวร้ายจน ไม่สามารถจะแก้ไขได้แล้ว ถ้าหากจะแก้ไขจริงๆ จะต้องแก้ไขกัน "ทั้งระบบ" โดยทำให้พระพุทธศาสนา กลับไปเป็น พระพุทธศาสนาตามแบบอย่างของ "พระพุทธเจ้า" อย่างแท้จริงให้ได้เท่านั้น มิฉะนั้น ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ ส่วนพวกที่ออกมาประกาศตนว่า กระทำเพื่อช่วยปกป้องพระพุทธศาสนา ความจริงไม่ใช่ดอก เขาทำเพื่อปกป้องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่เขาและพรรคพวกมี และได้อยู่ต่างหาก เพราะหากถูกศาสนาอื่นทำลาย พวกเขานั่นแหละจะเป็นผู้ที่สูญเสียผลประโยชน์ที่มีและได้อยู่ทั้งหมด ถ้าถามผมว่า จะช่วยพระพุทธศาสนาอย่างไร ผมก็อยากจะตอบว่า ก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยเคร่งครัด อะไรที่ไม่ใช่พุทธศาสนาดั้งเดิม หรือเป็น พุทธศาสนาเนื้องอก ก็ให้ตัดทิ้งทำลายให้หมด แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ให้บริษํท 4 ที่เป็นพุทธแท้ ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยการเร่งปฏิบัติธรรมให้ได้เป็นพระอริยบุคคลให้ได้มากที่สุด และจึงมาช่วยเหลือคนพุทธอื่นๆที่ยังพอจะช่วยเหลือได้ นั่นแหละ จึงจะช่วยพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ต่อไปได้กว่าที่กำลังทำกันอยูในทุกวันนี้ ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อปกป้องรักษาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่ตนและพรรคพวกมีและได้ โดยการอาศัยพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้ามาแสวงหากินกันจนร่ำรวย จนมียศศักดิ์ใหญ่โต โดยไม่มีจิตละอายและเกรงกลัวต่อบาปกรรมกันเลย... ส.สู้ๆ

ท่านเปาบุ้นจิ้น

การลงโทษแก่ภิกษุที่ทำผิดตามวิธีของสงฆ์เป็นอย่างไร?

การลงโทษแก่ภิกษุโดยใช้วิธีของสงฆ์ เรียกว่า นิคคหกรรม (การทำการลงโทษ)

#นิคคหกรรม มี ๗ อย่างคือ
๑. #ตัชชนียกรรม คือกรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุผู้จะพึงขู่ เป็น
นิคคหกรรมซึ่งสงฆ์ลงแก่ภิกษุผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์
ผู้เป็นต้นบัญญัติคือ พระปัณฑุกะและโลหิตกะ

๒. #นิยสกรรม คือ กรรมอันสงฆ์พึงทำให้เป็นผู้ไร้ยศ ได้แก่ การถอดยศโดยให้กลับไปถือนิสสัยใหม่ เป็นนิคคหกรรมซึ่งสงฆ์ลงแก่ภิกษุผู้โง่เขลา ไม่ฉลาด ผู้มีอาบัติมาก ต้องอาบัติกำหนดไม่ได้ ชอบอยู่คลุกคลีกับพวกคฤหัสถ์ด้วยการคลุกคลีที่ไม่สมควร
ผู้เป็นต้นบัญญัติคือ พระเสยยสกะ

๓. #ปัพพาชนียกรรม คือ กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุผู้จะพึงถูกไล่ ได้แก่การขับออกจากหมู่ การไล่ออกจากวัด เป็นนิคคหกรรมซึ่งสงฆ์ลงแก่ภิกษุผู้ประทุษร้ายตระกูลคือประจบคฤหัสถ์ และประพฤติเลวทรามจนเป็นข่าวเซ็งแซ่ ปรากฏ เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป
ผู้เป็นต้นบัญญัติคือ พระอัสสชิและปุนัพพสุกะ

๔. #ปฏิสารนียกรรม คือ กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุผู้จะพึงถูกสั่งให้กลับไปขอขมาคฤหัสถ์ หมายถึงถ้ามีภิกษุบางรูปด่าว่าคฤหัสถ์ผู้มีศรัทธา เป็นทายก เป็นผู้ทำงานอุปถัมภ์สงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ สงฆ์พึงลงโทษภิกษุนั้นโดยให้สำนึกผิดแล้ว ให้กลับไปขอขมาคฤหัสถ์ที่ภิกษุนั้นด่าว่านั้น
ผู้เป็นต้นบัญญัติคือ พระสุธรรม

#อุกเขปนียกรรม คือกรรมอันสงฆ์พึงลงแก่ภิกษุผู้จะพึงยกเสีย เป็นนิคคหกรรมซึ่งสงฆ์ลงแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติแล้วไม่ยอมรับว่าเป็นอาบัติเป็นต้น แบ่งออกเป็น ๓ อย่าง คือ
๕. อุกเขปนียกรรมเพราะไม่เห็นอาบัติ
ผู้เป็นต้นบัญญัติคือ พระฉันนะ
๖. อุกเขปนียกรรมเพราะไม่ทำคืนอาบัติ
ผู้เป็นต้นบัญญัติคือ พระฉันนะ
๗. อุกเขปนียกรรมเพราะไม่สละทิฏฐิอันเลวทราม
ผู้เป็นต้นบัญญัติคือ พระอริฏฐะ
***ผู้ที่ถูกลงอุกเขปนียกรรม จะจัดเป็น #ภิกษุนานาสังวาสก์ ไม่มีสิทธิ์ร่วมสังฆกรรมกับภิกษุปรกติ

***ก็กรรม ๗ อย่างหล่านี้ #จะลงได้ก็ต่อเมื่อมีภิกษุผู้กระทำผิดร่วมอยู่ในสังฆกรรมด้วย (คือต้องระงับด้วยสัมมุขาวินัย) ดังนั้น ภิกษุผู้ลงกรรมลับหลัง จึงต้องอาบัติทุกกฏ

(ดูรายละเอียดได้ใน วิ.จูฬ. ๖/๑-๗๔/๑-๑๑๖, วิ.อฏฺ. ๓/๒๕๑-๕)

***การลงโทษภิกษุที่ทำผิดอีกวิธีหนึ่งที่ไม่ได้ทำโดยสงฆ์ แต่ทำโดยอุปัชฌาย์ของภิกษุรูปนั้นๆ เรียกว่า #ทัณฑกรรม ได้แก่ การใช้ให้ตักน้ำ ผ่าฟืน เป็นต้น... ส.สู้ๆ

แดง พุทธวจน

นำข่าวดีเกี่ยวกับศาสนาพุทธมาให้อ่าน  ทำไมคนอังกฤษถึงทยอยนับถือพระพุทธศาสนา?:

คนอังกฤษมักจะศึกษาพระพุทธศาสนากันเงียบๆ คนอังกฤษชอบอ่านหนังสือ ดังนั้น จะเห็นหนังสือพระพุทธศาสนาขายดีมากในอังกฤษ นอกจากนั้น คนอังกฤษจำนวนมากยังซุ่มทำสมาธิภาวนากันเป็นประจำ แม้กระทั่งสส.ในรัฐสภาก็นัดฝึกสมาธิกันทุกอาทิตย์

หน้าตึกบริติชมิวเซียม ไม่ห่างจากรัสเซลสแควร์เท่าใดนัก จะมีร้านขายหนังสืออยู่ร้านหนึ่งมีชื่อว่า Oriental Bookshop ร้านนี้เปิดมาหลายชั่วอายุคน มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจมาก

สมัยผมเรียนอยู่ลอนดอน ผมเป็นขาประจำร้านหนังสือร้านนี้ ผมพักอยู่หออินเตอร์ซึ่งเป็นหอรวมของนักศึกษามหาวิทยาลัยลอนดอนและอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินรัสเซล แสควร์ ผมแวะไปร้านนี้ประจำ  เจ้าของร้านเห็นว่าผมเรียนมาทางอินเดียศึกษาจึงคุยด้วยอย่างสนิทสนมเพราะแกก็สนใจพระพุทธศาสนาเถรวาท โดยเฉพาะสายพระป่าแกนับถือมาก

วันหนึ่ง เจ้าของร้านเล่าให้ผมฟังว่าเกือบจะศตวรรษมาแล้ว มีบาทหลวงใหญ่ของลอนดอนท่านหนึ่ง เดินเข้ามาที่ร้านหนังสือนี้แล้วตวาดใส่ปู่ของเจ้าของร้านในปัจจุบันว่า 'พวกคุณมาขายทำไมหนังสือพระพุทธศาสนา? รู้มั้ย พระพุทธศาสนาเป็นลัทธิเดียรถีย์กลุ่มหนึ่งที่ไม่เคารพพระเจ้า' ว่าแล้วก็บอกพิษภัยของลัทธิศาสนาประเภทอเทวนิยมอย่างพระพุทธศาสนาต่างๆ นานา

เจ้าของร้านก็ฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็พยายามอธิบายแบบถนอมน้ำใจว่า

'ถูกแล้วครับ พระพุทธศาสนาเป็นอเทวนิยม  เป็นอันตรายต่อศาสนาเทวนิยมอย่างศาสนาคริสต์เรามาก อันนี้ ผมเห็นด้วย แต่จะไม่เป็นการดีหรอกหรือครับถ้าเราจะอ่านหนังสือทางพระพุทธศาสนาให้ละเอียดเพื่อให้รู้เขารู้เรา และจะเป็นประโยชน์ต่อการเผยแผ่ศาสนาของเรา'

บาทหลวงท่านนั้นพยักหน้า พูดออกมาว่า 'เออจริง' เจ้าของร้านเห็นดังนั้นจึงรีบคะยั้นคะยอให้บาทหลวงท่านนั้นซื้อหนังสือของตนเอง บาทหลวงที่ว่าก็เลยควักกระเป๋า ขึ้นมาแล้วจ่ายเงินไปหลายร้อนปอนด์ซื้อหนังสือพระพุทธศาสนาหลายเล่ม รวมทั้งเรื่องราวกรรมฐานในประเทศไทยและพม่าด้วย เสร็จแล้ว ก็หอบหนังสือปึกใหญ่กลับไปอ่านที่บ้านด้วยวัตถุประสงค์หลักคือ 'ให้รู้เขารู้เรา'

วันดีคืนดี แกก็กลับมาซื้อหนังสือพระพุทธศาสนาอีก บอกว่า 'น่าสนใจอ่าน ยังไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาดีพอ' เจ้าของร้านดีใจมากที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้นแถมซื้อทีละมากๆ

หลังจากอ่านหนังสือพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นอเทวนิยมอยู่เป็นปี บาทหลวงท่านนั้นเปลี่ยนไปมาก ไม่เพียงแต่เป็นขาประจำซื้อหนังสือพระพุทธศาสนาอยู่บ่อยๆ เขายังเปลี่ยนไปเป็นพุทธมามกะและข้อสำคัญ ยังเป็นกรรมการพุทธสมาคมประจำกรุงลอนดอนที่นายคริสตมาส ฮัมฟรีย์ก่อตั้งขึ้นอีกต่างหาก เสียดาย ผมจำชื่อแกไม่ได้

เจ้าของร้านเคยเล่าให้ผมฟังครับ แม้ว่าคำบรรยายอาจจะแตกต่างไปบ้าง แต่เนื้อหาหลักๆ ประมาณนี้แหละครับ ที่เหลือท่านก็ไปคิดเอาเอง

ถ้าจะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุโรป พระสงฆ์มีกิจอยู่ ๒ อย่างที่จะต้องพัฒนาตัวเอง ๑.เรียนคัมภีร์พระพุทธศาสนาให้แตกฉาน หากจะเลือกสายปริยัติ อธิบายปรัชญาหรือตรรกะของพระพุทธศาสนาได้อย่างแตกฉาน ๒.ปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ถึงแก่นถ้าจะเลือกสายปฏิบัติ

ถ้าพระสงฆ์เก่งอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ แล้วฝรั่งมาเจอ จอดทุกป้ายแน่ แต่ถ้าไม่เป็นสักอย่าง อย่าไปเป็นพระธรรมทูตอยู่ต่างประเทศเลย อายเขา ท่านจะทำได้แค่ช่วยนำประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้คนไทยเท่านั้น

ใครคิดตามที่ผมเขียนได้ ก็ขออนุโมทนา
ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
๘ ธันวาคม ๒๕๖๐
http://www.dailynews.lk/2017/12/06/features/136449/brexit-buddhism

Banrai Reddy 4×100

แง่คิดดีๆ ....ถูก ผิด แล้วได้อะไร?

คุณคิดว่าข้อใดถูก
8 x 3 = 23 หรือ
8 x 3 = 24 ?

คุณตอบข้อไหน ?

เรื่องจริงที่เกิดกับ "เอี้ยนหุยและขงจื้อ"

เรื่อง 8 x 3 = 23
เอี้ยนหุย กับ พ่อค้า ขายผ้า ในตลาด

พ่อค้าบอกว่า 8 x 3 = 23

เอี้ยนหุย รีบบอก พ่อค้าทันทีว่า 8 x 3 = 24

(พ่อค้าไม่รู้ว่า เอี้ยนหุยเป็นลูกศิษย์ขงจื้อ)

ทั้งคู่เถียงกันอยู่นาน ในสิ่งที่ตัวเองถูก สั่งสอนมา
สุดท้ายก็เดินทาง ไปหาขงจื้อ
ด้วยกันเพื่อให้ ขงจื้อ ตัดสิน

เอี้ยนหุย ก็บอก ต่อหน้า ขงจื้อว่า

ถ้า 8 x 3 = 23 ผมจะถอดยศ ถอดหมวกออก

แต่ถ้า 8 x 3 = 24 พ่อค้าคนนี้ต้องโดนตัดหัว

ขงจื้อได้ยินดังนั้น ก็ตัดสินว่า "8 x 3 = 23"

เอี้ยนหุย รู้สึกเสียใจมากที่อาจารย์ผู้เป็นที่เคารพตัดสินเช่นนี้
คิดว่า ขงจื้อคงจะเลอะๆ เลือนๆ แล้ว
จึงถอดหมวกลง อย่างฉุนเฉียว แล้วตีตนจากไป
แต่ก่อนจะจากไป ขงจื้อ ก็ได้บอกกับ เอี้ยนหุยว่า

"เจ้าจงอย่าอยู่
ใต้ต้นไม้
และถ้าเจ้าจะ
คิดฆ่าใคร เจ้า จงคิดให้ดีเสียก่อน"

ระหว่างทางกลับมี ฝนตกหนัก
เอี้ยนหุย จึงรีบวิ่งเข้าไป หลบใต้ต้นไม้
พลันก็แว๊ปปขึ้นมาในหัวว่า อ.บอกไว้ว่า

"ห้ามอยู่ใต้ต้นไม้"

ก็รีบวิ่งออกมา จากต้นไม้

ทันใดนั้น ฟ้าก็ผ่าต้นไม้ ต้นนั้น !! เอี้ยนหุยตกใจมาก
แต่ก็รู้สึกขอบคุณ ขงจื้อมากที่เตือน
นึกในใจว่า ขงจื้อรู้ได้ยังไงว่า จะเกิดเรื่องนี้ ///

หลังจากนั้น ก็รีบเดินทาง กลับบ้าน
พอถึงบ้าน เนื่องจาก ดึกมากแล้ว ไม่อยากให้ภรรยาตื่น
จึงใช้มีดงัด ประตู เข้าไป แล้วใช้ มือคลำทางเอา

พอถึงห้องนอน เอี้ยนหุยคลำเจอคน 2 คนนอนอยู่
เขานึกใจในด้วย ความโมโหว่า

"อะไรกันเนี๊ยะ ข้าฯไป เรียนรู้วิชา กับ อ.ขงจื้อ
กลับมา ภรรยามีชู้เลยเหรอ"

ขณะที่กำลังจะเอามีดฟัน ก็นึกได้ว่า อ.เตือนไว้ว่า

"คิดจะฆ่าใคร ต้องคิดให้ดี"

เขาจึงจุดเทียนแล้ว ดูว่า 2 คนที่นอน อยู่นั้น เป็นใคร ?
สิ่งที่เขาเห็นนั้นคือ ภรรยาและน้องสาวของภรรยานอนอยู่ !!!!!!!!
เขานึกเลยว่าถ้าเขาไม่เชื่อคำของขงจื้อ ก็จะมีคนตาย 2 คน
ซึ่งเป็นภรรยาของเขาเอง และน้องสาว ของภรรยา!!

เอี้ยนหุย ไม่รีรอ ที่จะเดินทาง กลับไปถามขงจื้อ
ว่าท่านรู้ได้อย่างไร ว่าจะเกิดสิ่งต่างๆนี้

ขงจื้อจึงบอกว่า " ถ้าข้าตัดสินว่า 8 x 3 = 24 "

พ่อค้าคนนั้นต้อง ตาย ใช่ไหม ?

# จงใจสอนผิด เพื่อไม่ให้มีคน ล้มตาย

# แม้ไม่ใช่ คณิตศาสตร์ ที่ถูกต้อง

# แต่คุณธรรม ต่างหากที่ถูกต้อง

# เสียเกียรติ แต่ อย่าให้ผู้อื่น เสียชีวิต

# คนที่กำลังโกรธ ฉุนเฉียว มักจะ วู่วาม ทำอะไรโดย ไม่คิดหน้าคิดหลัง

..ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี

..ทะเลาะกับคนเฒ่าคนแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี

..ทะเลาะกับครู หรืออาจารย์ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี

..ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี

..ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี

..ทะเลาะกับเจ้านาย (ที่เป็นเพื่อน) หรือผู้มีอำนาจ ต่อให้ชนะก็แพ้อยู่ดี

*****************

ดังนั้น รู้จักยอม และหยุด แล้วพูดว่า"ไม่เป็นไร" แล้วค่อยหาหนทาง แก้ไขต่อไปอย่าง มีสติ จะได้ไม่ต้อง เสียใจ ภายหลัง... ส.สู้ๆ






Immi redblue

มีคุณครูมาหาหลวงปู่ชา เมื่อหลวงปู่ทราบว่า
เป็นคุณครู หลวงปู่จึงถามว่า

"เป็นครูสอนตัวเอง หรือสอนคนอื่น ?"

หลวงปู่ชา ท่านมอบโอวาทให้คุณครู ไว้ว่า

"เราควรจะเอาเยี่ยงอย่างพระพุทธเจ้า

มีอยู่คราวหนึ่ง พระองค์เทศน์ให้พระภิกษุทั้งหลายฟังในที่ประชุม
พระสารีบุตรก็นั่งฟังอยู่ด้วย พอพระองค์เทศน์จบลง
จึงตรัสถามพระสารีบุตรต่อหน้าภิกษุทั้งหลายนั้นว่า
สารีบุตร ที่เราแสดงธรรมให้เธอฟังนี้ เธอเชื่อไหม?

...พระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญา จึงประนมมือตอบว่า
ยังไม่เชื่อพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าท่านได้ฟังดังนั้น พระองค์จึงตรัสว่าดีละ
สารีบุตร ผู้มีปัญญาไม่ควรเชื่ออะไรง่ายๆ เมื่อได้ฟังอย่างใดแล้วจะต้องนำไปพิจารณาด้วยปัญญาของตนเองก่อน เมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นถูกต้องดีแล้ว มีเหตุมีผลดีแล้ว จึงเชื่อ อย่างนี้จึงจะชื่อว่า เป็นคนมีปัญญา
อย่างนี้เป็นต้น

เราสังเกตดูซิว่า พระพุทธเจ้าของเราท่านเก่งขนาดไหน?

ถ้าเป็นพวกเราทุกวันนี้ ลูกศิษย์ไม่เชื่อเป็นไล่หนีทันทีเลย โกรธให้เขาเสียแล้ว ชอบจะเป็นกันอย่างนี้

ดังนั้น เราทั้งหลายจะต้องสอนตัวเองด้วย สอนผู้อื่นด้วย เราจึงจะไม่เป็นทุกข์ ไม่แบกไม่หามลูกศิษย์
ถ้าไม่อย่างนั้น อาจารย์ก็ต้องเป็นทุกข์ทรมาน
เพราะลูกศิษย์

เด็ก ๆ สมัยนี้ไม่เหมือนก่อน
มันคอยจะสู้อาจารย์อยู่เรื่อย ข้อนี้ต้องระวังให้ดี
สอนเขาแล้วเราต้องปฏิบัติตัวเองด้วย
เด็กเขาต้องการตัวอย่าง เราต้องทำให้เขาดู
ไม่ใช่ดีแต่พูดอย่างเดียว และถ้าเขาไม่เชื่อ
เราก็ต้องหันมาสอนใจเราเอง อย่าไปโกรธให้เขา นี้จึงจะได้ชื่อว่า เป็นอาจารย์สอนคนอื่นได้ แต่ถ้าเราเองก็สอนตัวเองไม่ได้แล้ว เราจะไปสอนใครที่ไหนได้"...

Banrai Reddy 4×100

ชาวพุทธที่แท้ต้องยืนหยัดในความเป็นพุทธ ไม่ใช่ไปนับถือศาสนาอื่นปะปน แต่ใช่ว่าการเป็นพุทธหรือการเป็นศาสนิกชนอื่น จะเป็นการไปเหยียดหรือดูแคลนศาสนาอื่น แต่เราจำเป็นต้องยืนหยัดในความเป็นพุทธ
      การเป็นพุทธที่แท้ ไม่ใช่ว่าเราพบเจอศาสดาอื่น จะยอมรับหรือเคารพเฉกเช่นพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศาสดาของศาสนาพุทธ แต่แม้เราไม่ได้นับถือศาสนาอื่น ก็ใช่ว่าเราจะไปเหยียดหยาม ดูแคลนศาสนาอื่น ต้องเคารพสิทธิของแต่ละคน
           เครื่องชี้วัดว่าใครเป็นพุทธแท้หรือไม่ สามารถลองใช้มาตรฐานของ ดร.อัมเบดการ์  อดีตรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและกระทรวงยุติธรรมของอินเดีย และเป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญของอินเดีย ท่านถูกยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย" อีกด้วย ท่านยังเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย ท่านได้นำชาวอินเดียราว 500,000 คนเปลี่ยนศาสนาเป็นพุทธเมื่อปี 2499
           คำปฏิญาณ 22 ข้อเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2499 ของ ดร.อัมเบดการ์ เป็นดังนี้:
           1. ข้าพเจ้าจะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุต่อไป
           2. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่าพระราม พระกฤษณะ เป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เคารพต่อไป
           3. ข้าพเจ้าจะไม่เคารพบูชาเทวดาทั้งหลายของศาสนาฮินดูต่อไป
           4. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อลัทธิอวตารต่อไป
           5. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าคืออวตารของพระวิษณุ การเชื่อเช่นนั้น คือคนบ้า
           6. ข้าพเจ้าจะไม่ทำพิธีสารท และบิณฑบาตแบบฮินดูต่อไป
           7.ข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า
           8. ข้าพเจ้าจะไม่เชิญพราหมณ์มาทำพิธีทุกอย่างไป
           9. ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีศักดิ์ศรีและฐานะเสมอกัน
           10. ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อความมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน
           11. ข้าพเจ้าจะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 โดยครบถ้วน
           12. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญบารมี 10 ทัศ โดยครบถ้วน
           13. ข้าพเจ้าจะแผ่เมตตาแก่มนุษย์และสัตว์ทุกจำพวก
           14. ข้าพเจ้าจะไม่ลักขโมยคนอื่น
           15. ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติผิดในกาม
           16. ข้าพเจ้าจะไม่พูดปด
           17. ข้าพเจ้าจะไม่ดื่มสุรา
           18. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญตนในทาน ศีล ภาวนา
           19. ข้าพเจ้าจะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่ทำให้สังคมเลวทราม แบ่งชั้นวรรณะ
           20.ข้าพเจ้าเชื่อว่าพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริง
           21. ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ข้าพเจ้าหันมานับถือพระพุทธศาสนานั้นเป็นการเกิดใหม่ที่แท้จริง
           22. ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด
           ในข้อที่ 1-6, 8 และ 19 นั้นเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า เราต้องชัดเจนระหว่างพุทธกับพราหมณ์ ไม่ใช่ปล่อยให้ปะปนกัน หรือกลายเป็นการให้พราหมณ์ครอบงำพุทธ ส่วนในข้อที่ 7, 11-18, 20-22 เป็นการประกาศตนเป็นพุทธที่แท้จริงโดยยึดถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และข้อที่ 9 และ 10 ก็เป็นการยืนหยัดในหลักการของศาสนาพุทธแท้ที่เห็นคนเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ
           ในประเทศไทย คงมีบางคน บางกลุ่มที่ปากอ้างว่าเป็นชาวพุทธ แต่ที่แท้ (แอบ) นับถือศาสนาพราหมณ์อย่างฝังลึก เพียงใช้พระและกิจกรรมสวดมนต์เป็นดั่ง "เครื่องมือ" ในการอ้างว่าตนเป็นพุทธเท่านั้น จะสังเกตได้ว่าพวกเขาปฏิบัติกิจต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดจนตายตามหลักของศาสนาพราหมณ์ไม่ใช่หลักของศาสนาพุทธแต่อย่างใด คนกลุ่มนี้น่ากลัวเพราะในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผู้นำขบวนในศาสนาพราหมณ์พยายามบิดเบือนและทำลายล้างศาสนาพุทธจนแทบจะเหี้ยนไปจากอินเดีย
           เราต้องยืนหยัดในความเป็นพุทธ และขณะเดียวกันก็ต้องจับตาพวกศาสนาพราหมณ์ที่แทรกซึมเข้ามาครอบงำศาสนาพุทธ และเผยแพร่ความคิดที่ไม่ใช่พุทธ หรือที่ต่อต้านพุทธศาสนา...