ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

การสร้างบุญบารมีที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา

เริ่มโดย บุญบารมี, 16:55 น. 25 ก.ย 60


Red arrow Yong


    "...ความมั่นคงเด็ดเดี่ยว ที่จะยึดมั่นในผลสำเร็จของงานและในความถูกต้องเป็นธรรม เป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับนักพัฒนาบริหาร เพราะความมีจิตใจมั่นคงในผลสำเร็จของงาน จะทำให้มุ่งมั่นที่จะกระทำต่อเนื่องไปโดยไม่ลดละ จนบรรลุผลเลิศ ส่วนความมั่นคงในคุณธรรมนั้น จะสร้างเสริมคุณสมบัติที่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้นได้มากมาย เช่นว่า จะทำให้เป็นคนสุจริต ไม่ทำ ไม่พูดำไม่คิดในสิ่งที่เป็นความชั่ว ความตำทรามทุกอย่าง ทำให้มีความจริงใจในกันและกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับกำจัดความกินแหนงแคลงใจบาดหมางแตกแยกกัน และช่วยสร้างเสริมความร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวให้เกิดขึ้น ทำให้มีความหนักแน่นในความคิดจิตใจ สามารถพิจารณาเรื่องราวและปัญหาต่างๆ ให้เห็นเหตุเห็นผลโดยแจ่มแจ้ง และหาทางปฏิบัติที่ถูกต้องเที่ยงตรงได้เหล่านี้ ถือว่าเป็นอุปกรณ์เครื่องประกอบและเกื้อหนุนวิชาการให้แน่นหนักสมบูรณ์ ช่วยให้นักพัฒนาบริหารสามารถใช้หลักวิชาได้อย่างถูกต้องเที่ยงตรง มั่นใจ บริสุทธิ์ใจ และได้ผลแน่นอนเต็มเปี่ยมตามเป้าหมาย..."

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ณ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ำวันจันทร์ที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๔

ร่างกายและจิตใจที่พร้อม     .สมบูรณ์
ย่อมจะทำประโยชน์เกื้อกูล   .ชาติได้
สังคมเศรษฐกิจได้เพิ่มพูน    .เจริญสุข
อย่าปล่อยประชาชนให้        .เสื่อมด้อยทั้งกายใจ

ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
11  เมษายน 2560
       
".....การรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย
เป็นปัจจัยของเศรษฐกิจที่ดี และสังคมที่มั่นคง  เพราะร่างกายที่แข็งแรงนั้น โดยปรกติ จะอำนวยผลให้สุขภาพจิตใจสมบูรณ์ด้วย และเมื่อมีสุขภาพสมบูรณ์ดี พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ย่อมมีกำลังทำประโยชน์สร้างสรรค์เศรษฐกิจ
และสังคมของบ้านเมืองได้เต็มที่
ทั้งไม่เป็นภาระแก่สังคมด้วย คือเป็นแต่ผู้สร้าง มิใช่ผู้ถ่วงความเจริญ ดังนั้น จึงใคร่ขอร้องให้
ทุกๆ คน ตั้งใจและพยายามปฏิบัติหน้าที่
ให้ได้สมบูรณ์จริงๆ อย่าปล่อยให้กำลังของชาติ
ต้องเสื่อมถอยลง เพราะประชาชนเสียสุขภาพ
อนามัย จะทำให้การสร้างความมั่นคง
ก้าวหน้าทางสังคมและทางเศรษฐกิจทุกอย่าง
เป็นได้โดยยาก ท่านทั้งหลายควรระลึก
ให้ได้เสมอ ว่าสุขภาพที่สมบูรณ์ในร่างกาย
และจิตใจนั้น เป็นรากฐานของการสร้างสรรค์
ในการจรรโลงประเทศอันจะเป็นทางขจัดปัญหา
ของสังคมส่วนสำคัญลงได้ และจะทำให้
การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ
บรรลุถึงความสำเร็จ มั่นคง และเจริญก้าวหน้า ประกอบพร้อมไปด้วยความเป็นอิสระ ยุติธรรม และความผาสุก....."

พระบรมราโชวาท
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
ของมหาวิทยาลัยมหิดล
ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร
วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม 2522

Cr. ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลและท่านเจ้าของภาพด้วยครับ
1. แหล่งข้อมูล : https://muarms.mahidol.ac.th/th/images/stories/king/01dowload/27_22102522.pdf

***หมายเหตุ :
1. ถ้าจะแชร์ ไม่ต้องขออนุญาตครับ
แต่โปรดอ้างที่มาให้ชัดเจน
2. หากจะวิจารณ์โปรดใช้คำสุภาพด้วยครับ
และโปรดสะกดคำให้ถูกต้องด้วยครับ... ส.สู้ๆ


Red Bird Yong

#กฐินเดาะ ฯ

        การทอดกฐินถ้าไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยแล้วกฐินก็เดาะตั้งแต่เริ่มขอเป็นเจ้าภาพกฐิน!! (กฐินเดาะคือกฐินที่ทำไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย เดาะนี้คือการรื้อกฐินหรือการทำไม่ได้ ทำไม่ถูกวิธี หมดทางแก้ ท่านเรียกว่า "เดาะ" เพราะฉะนั้นถ้าทำไม่ถูกก็เดาะเสียตั้งแต่ต้นทีเดียว

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม) เช่น พระในวัดนั้นไปขอกฐินจากญาติโยมให้มาทอด มีการกำหนดกองกฐินว่าเป็นเงินเท่านั้นเท่านี้ เป็นต้น พระคุณเจ้าผู้รับผ้ากฐิน เจ้าภาพกฐิน และสาธุชนที่ร่วมบุญ จะไม่ได้รับอานิสงส์กฐินอย่างเต็มที่
เพราะบุญกฐินนี้ใหญ่นักทำให้ดีได้รับอานิสงส์มากปีนี้หากได้รับซองกฐินที่ทอดเป็นกองๆ กำหนดว่ากองละเท่านั้นเท่านี้ หรือฎีกาแจ้งว่าทอดกฐินเพื่อการก่อสร้างต่างๆ ให้แล้วเสร็จเป็นต้น ก็ทำบุญช่วยวัดไปได้ตามศรัทธาแต่ให้ทราบว่าอานิสงส์ที่ได้นั้นไม่เต็มที่เพราะเป็นกฐินเดาะ เนื่องจากเจตนามุ่งหาปัจจัยให้ได้มากๆ เป็นโลภะ
         #พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ว่ากฐินคือผ้าผืนเดียว
จุดมุ่งหมายของกฐินคือเพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ ไม่ใช่เพื่อใช้โอกาสนี้เป็นทางรวบรวมปัจจัย

ดังนั้นชาวพุทธก็ต้องช่วยกันรักษาพระธรรมวินัยนี้ด้วย โดยทำความเข้าใจเรื่องกฐินให้ถูกต้อง และเผยแผ่กันต่อๆ ไป เพื่อจะได้ค่อยๆ แก้ไขแนะนำกันให้ทำให้ถูกต้องจากหมู่น้อยไปสู่หมู่มาก เป็นการช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาไว้ ว่ากฐินคืออะไร วัตถุประสงค์มีมาอย่างไรตั้งแต่สมัยพุทธกาล จึงไม่ควรให้ความสำคัญเรื่องปัจจัยที่จะถวายเป็นบริวารกฐิน (แม้จะถวายหลังทอดผ้ากฐิน แต่ก็ผิดตั้งแต่ใบฎีกาแล้ว) มากกว่าองค์กฐินคือผ้ากฐิน เพราะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นประจำว่า ผ้ากฐินที่ถวายนั้นถวายแล้วพระคุณเจ้าใช้ไม่ได้ ผิดสี ผิดขนาด ตัดเย็บผิดพระธรรมวินัย แต่เจ้าภาพคงจะไม่มีความรู้เรื่องนี้จึงไม่ได้ให้ความสนใจ กลับมุ่งเน้นหาปัจจัยและเจ้าภาพสายกฐินเพื่อรวบรวมเงินมากกว่า ด้วยคิดว่ายิ่งหาปัจจัยได้มากอานิสงส์ยิ่งมาก ซึ่งไม่ได้เป็นดังนั้น !!!

(จากพระธรรมเทศนา พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตฺโต)

Red arrow bird

"เหตุที่พุทธสูญสิ้น ที่อินเดีย"
โดย...(ป. อ. ปยุตฺโต)

๑.ใจกว้างจนลืมหลัก เสียหลักจนถูกกลืน
ชาวพุทธใจกว้าง แต่ศาสนาอื่นเขาไม่ใจกว้างด้วย บางทีก็กว้างเลยเถิดไป จนลืมหลัก ไม่มีหลัก ไม่ยืนหลักของตัวไว้ เลยกลายเป็นกลมกลืนกับเขา จนศาสนาของตัวเองหายไปเลย เป็นเหตุสำคัญให้พระพุทธศาสนาสูญสิ้นไป (คำสอนฮินดูปลอมปน+มุสลิมปราบฆ่าเผาวัดตำรา-บังคับเปลี่ยนศาสนา)

๒.จุดที่เสื่อม คือ ชาวพุทธลืมหลักกรรม
ไม่เอาการกระทำของตัวเองเป็นหลัก ไปหวังพึ่งเทพเจ้า-ฤทธิ์-ปาฏิหาริย์ ไม่กระทำด้วยตนเอง ก็งอมืองอเท้า มันก็มีแต่ความเสื่อมไป

๓.เฉยมิใช่ไร้กิเลส แต่เป็นเหตุให้พระศาสนาสิ้น
ภัยกระทบกระเทือนส่วนรวม ชาวพุทธไม่น้อยที่วางเฉย ไม่เอาเรื่อง แล้วเห็นลักษณะนี้เป็นดีไปว่าไม่มีกิเลส ในทางตรงข้าม ถ้าไปยุ่งก็ว่ามีกิเลส อันนี้ อาจจะพลาดจากคติพุทธศาสนาไปเสียแล้ว และจะกลายเป็นเหยื่อเขา คติที่ถูกต้องนั้น สอดคล้องกับหลักความจริงที่ว่า "พระอรหันต์ หรือ ท่านผู้หมดกิเลสนั้น เป็นผู้บรรลุประโยชน์ตนสมบูรณ์แล้ว หมดกิจที่จะต้องทำเพื่อตนเองแล้ว จึงมุ่งแต่จะบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น ขวนขวายในกิจของส่วนรวมอย่างเต็มที่"

๔. การฝากศาสนาไว้กับพระอย่างเดียว (ฆราวาสทอดธุระ)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระศาสนานั้นอยู่ด้วยบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่ใช่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่จะต้องช่วยกัน" เหมือนโจรผู้ร้ายเข้ามาปล้นบ้านของเรา แทนที่จะรักษาทรัพย์สมบัติของเรากลับยกสมบัตินั้นให้โจรไปเสีย... ส.สู้ๆ

มืดนกแจ้ง

นายนก เก็บขยะขายตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ก่อนตายยกเงินเก็บสองแสนบาทให้ลูก นายแจ้ง ทำงานบริษัทมาตั้งแต่หนุ่ม เมื่อเกษียณมีเงินเก็บหนึ่งล้านกว่าบาท เขาส่งทรัพย์สินต่อให้ลูกสองคน นางมืดเปิดโรงงานผลิตปลาหมึกกระป๋อง กิจการใหญ่ขึ้น มีบ้านห้าหลัง รถยนต์สิบคัน ก่อนตายก็ส่งต่อสิ่งทั้งหมดที่มีให้ลูกหลาน

การส่งทรัพย์สินต่อให้ลูกหลานเป็นระบบที่มนุษย์สร้างไว้มานานแสนนาน กติกาของเราคือทำงานสะสมทรัพย์สินให้เต็มที่ เมื่อตายก็ส่งต่อทรัพย์สินที่ดินให้ลูกหลานได้ ทำให้รู้สึกว่าคุ้มแก่การลงแรงทำงาน ดังนี้จึงเป็นภาพปกติที่เห็นพ่อแม่จำนวนมากก้มหน้าก้มตาหาเงิน เก็บเงินให้ลูก

จะว่าไปแล้ว ระบบนี้ใช้ตัณหาเป็นแรงขับเคลื่อน ตัณหาในที่นี้มิได้หมายความในเชิงร้าย แค่หมายถึงว่าใครทำงานมากกว่าก็ได้มากกว่า

มีผู้วิเคราะห์ว่าเหตุผลหนึ่งที่ระบอบคอมมิวนิสต์ล่มสลายก็เพราะมันสวนทางกับตัณหาของมนุษย์ ทำงานหนักแทบตายได้ค่าตอบแทนเท่าคนเกียจคร้าน ย่อมทำให้ทุกคนขี้เกียจเท่ากัน ระบอบคอมมิวนิสต์ในบางประเทศปัจจุบันจึงเป็นแค่เปลือก แก่นเปลี่ยนเป็นทุนนิยมไปแล้ว มหาเศรษฐีระดับโลกจำนวนมากเป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้เพราะระบอบการเมืองเปลี่ยนได้เสมอ แต่ธรรมชาติคนไม่เปลี่ยน ใครๆ ก็อยากได้ทรัพย์สมบัติมากๆ

............

เคยสังเกตไหมว่า เมื่อเราย้ายเข้าบ้านใหม่หรือห้องเช่าใหม่ กินเวลานานเท่าไรที่เปลี่ยนจากห้องว่างเป็นห้องที่มีข้าวของเต็มแน่น ส่วนใหญ่ไม่นาน เพราะเป็นสัญชาตญาณของเรา

คนเราเกิดมาก็เริ่มสะสม จนกลายเป็นนิสัย

สัตว์จำศีลเก็บอาหารเท่าที่ต้องกินตลอดฤดูหนาว แต่มนุษย์สะสมสิ่งของมากๆ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทรัพย์มากขนาดนั้น มันอาจเป็นความรู้สึกปลอดภัยเมื่อมีทรัพย์มากๆ ยิ่งมีมากยิ่งอบอุ่นใจ จนมันกลายเป็นความรู้สึกทางจิตวิทยามากกว่าความจำเป็น

การเก็บเงินทองมากจนใช้ทั้งชีวิตไม่หมด และไม่สามารถเอาไปไหนได้หลังตาย จึงเป็นการใช้เวลาที่สิ้นเปลืองเปล่าๆ

เคยถามตัวเองไหมว่าเราต้องการทรัพย์สินเงินทองมากเท่าไรจึงจะรู้สึกปลอดภัย? เราต้องการความปลอดภัยมากจนมันกลายเป็นนิสัยงกหรือไม่?

เราได้ยินข่าวมหาเศรษฐีซื้อกิจการนั้นกิจการนี้ ซื้อสโมสรกีฬาในต่างประเทศ ฯลฯ ซื้อๆๆๆ เพราะไม่รู้จะทำอะไรกับเงินที่มี บางคนซื้อๆๆๆ เพียงเพราะตนเองสามารถซื้อได้ ไม่ต่างจากคนที่พูดๆๆๆ เพียงเพราะมีสมาร์ทโฟน กลายเป็นทาสเงินตราไปโดยไม่รู้ตัว

มองดูดีๆ จะเห็นว่า มีเงินแล้วเหนื่อยกว่าเดิม! ยิ่งมีสมบัติมากก็ยิ่งมีห่วงผูกคอมากเท่านั้น เพราะเท่าไรก็ไม่เคยพอ

กลายเป็นชีวิตที่รุงรัง

สมมุติว่านายแจ้ง นายนก นางมืด อยู่คนเดียวไม่มีญาติมิตร ไม่มีผู้รับมรดก บางทีพวกเขาอาจเดินชีวิตช้าลง เพราะไม่รู้จะสะสมทรัพย์สินมากมายให้คนอื่นใช้ไปทำไม

ถ้าหากการไม่มีห่วงทำให้เรารู้สึกพอเพียงง่ายกว่า เราอาจลองลดห่วงโดยมองว่า การมอบสมบัติให้ลูกหลานมากเกินความจำเป็นอาจทำร้ายพวกเขามากกว่า

..............

ในช่วงสงครามใหญ่ เมื่อทั้งเมืองถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง จนมองไม่เห็นเส้นแบ่งที่ดิน แต่ละคนต้องเริ่มต้นใหม่ สร้างตัวใหม่จากศูนย์ เมื่อนั้นจึงพบสัจธรรมว่าความมั่นคงที่เกิดจากทรัพย์สินเป็นภาพลวงตา มนุษย์ไม่เคยเป็นเจ้าของอะไรทั้งสิ้น โฉนดที่ดินหรือใบกรรมสิทธิ์ เป็นเพียงสิ่งสมมุติในโลกมนุษย์ ออกแบบมาให้เราอยู่ร่วมกันได้

ทรัพย์สินพันล้านหมื่นล้านก็ไม่ได้ทำให้คนคนหนึ่งเป็นคนพิเศษขึ้นมา หากกอดสมบัตินั้นแน่น เพราะมันไม่ใช่ของเรา มันไม่เคยเป็นของเรา เราแค่ยืมธรรมชาติมาเท่านั้น

ดังนั้นทัศนคติว่าต้องมีมากกว่าคนอื่นอาจเป็นการสร้างโซ่ตรวนมาพันธนาการวิญญาณตัวเอง

แน่นอน มันย่อมมิใช่เรื่องเลวร้ายที่จะมีสมบัติพัสถานมาก หรือร่ำรวยล้นฟ้า แต่หากไม่สามารถอยู่เหนือความรวย ชีวิตก็ต้องเหนื่อยกับการแบกของหนักตลอดเวลา

ลองนึกภาพตัวเองเดินป่า ก่อนเข้าป่า ต้องการขนของชิ้นนั้นชิ้นนี้ ทุกชิ้นสำคัญ เข้าไปได้พักหนึ่ง ก็ลดความจำเป็นลงไปเรื่อยๆ เพราะพอเหนื่อยมากๆ สิ่งที่เคยจำเป็นเหลือเกินก็กลายเป็นความไม่จำเป็นแล้ว

เครื่องบินที่ประสบปัญหาขัดข้อง น้ำหนักมากไป ต้องทิ้งสัมภาระลงไป จึงตัวเบาขึ้น และบินต่อไปได้

เราไม่จำเป็นต้องทิ้งทุกอย่าง เพียงแต่อยู่เหนือทรัพย์สินเงินทอง เป็นเจ้านายมัน ไม่ใช่เป็นทาสมัน

ทานจึงเป็นเรื่องสำคัญทางพุทธ มันทำให้ตัวเราเบาสบาย คล่องตัว สมบัติยิ่งน้อยยิ่งเป็นอิสระ

ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวว่า "เวลาที่เราไม่มีอะไรเป็นของเราเลย นั่นแหละเป็นเวลาที่เรามีความสุขที่สุด"

ความหมายคือ เมื่อไม่มีอะไรเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา ก็จะว่างจากความทุกข์

วลี 'ไม่มีอะไร' น่าจะกว้างกว่าแค่ทรัพย์สิน ข้าวของ คน ชื่อเสียง แต่รวมเรื่องการปรุงแต่งของใจด้วย

เมื่อห้องของหัวใจว่างจากตัณหา ก็ไม่เป็นทุกข์

การปล่อยวางทางวัตถุต้องเริ่มที่ปล่อยวางทางจิต แต่ไม่ง่าย

หัวใจของการออกแบบศิลปะทุกชนิดคือความเรียบง่าย องค์ประกอบไม่มากจนรุงรัง ชีวิตก็เหมือนกัน

เราเลือกที่เกิดไม่ได้ เราเลือกพ่อแม่ไม่ได้ เลือกสีผิว ประเทศ ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเดินแบกของหนักหรือเดินแบบตัวเบาสบายไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ได้... ส.สู้ๆ

นกมืด ศรแดง

ในวงการพระศาสนาเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเราไม่ช่วยกันปรับปรุงแก้ไข สิ่งถูกต้องให้คงอยู่ ทำลายสิ่งผิดให้หายไป พุทธบริษัทก็เป็นแต่เพียงชื่อ ไม่ได้เป็นโดยน้ำใจ ไม่ได้เป็นโดยการปฏิบัติตามสัจจธรรม อันเป็นคำสอนในทางพระพุทธศาสนา พระศาสนาก็จะเสื่อมหายไป จะเหลืออยู่แต่เพียงโบสถ์ เหลืออยู่แต่พระพุทธรูป สำหรับคนไปไหว้ สั่นติ้ว ขอหวย ขอเบอร์ หรือไปขออะไรๆ ต่างๆ มันก็ไม่มีค่าอะไร ในทางดับทุกข์ ไม่มีค่าอะไรในทางที่จะขูดเกลากิเลเลส ให้หมดไปจากจิตใจของเราเป็นเด็กอมมือ นับถือศาสนาแบบเด็กอมมือไป อันนี้คือความเสื่อมมาโดยลำดับ ในวงการพระศาสนา
ความเสื่อมอย่างนี้เกิดขื้นเพราะอะไร ก็เพราะว่า เราเป็นคนใจกว้างมากเกินไป จนไม่รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร เราปล่อยกันเกินไป ไม่ประท้วงพุทธบริษัท ที่กระทำกิจนอกลู่นอกทาง ไม่เฉพาะแต่ญาติโยมชาวบ้าน แม้พระสงฆ์ในทางพระศาสนา ก็ไม่ได้กวดขันเคร่งครัด ให้ปฏิบัติถูกตรง ตามหลักธรรมคำสอนชองพระพุทธเจ้า
ในเมืองไทยเราเวลานี้ มีพระประเภทนอกรีดนอกรอย ตั้งตนเป็นครูบาอาจารย์ เป็นหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ในรูปต่างๆ ซึ่งอยากจะพูดให้เข้าใจว่า นั่นมันไม่ถูกต้อง ไม่ใช่หลักคำสอนใน ทางพระพุทธศาสนา การทำตนเป็นคนขลัง เป็นคนศักดิ์สิทธิ์เป็นหลวงพ่อ เป็นเกจิอาจารย์ที่โด่งดังกันอยู่ทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็นพวกนอกรีดนอกรอย ไม่ได้เข้าแนวทางคำสอนของพระพุทธศาสนา ไม่ได้เอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปสอนคน ให้รู้ให้เข้าใจ ให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แต่ว่าเอาไสยศาสตร์บ้าง เอาเรื่องอะไรๆ ต่างๆ ไปสอนประชาชน ทำให้คนเกิดการหลงผิดในพระพุทธศาสนา... ส.สู้ๆ

Dark Bird Go.

พุทธศาสนาสอนเรื่องความจริง
ไม่ได้สอนในเรื่องของความเชื่อ

พระพุทธศาสนาสอนให้ช่วยตนเอง ไม่ได้สอนให้พึ่งคนอื่น หรือไปพึ่งเทพเจ้าองค์ใด

พระพุทธศาสนาสอนในเรื่องกฎแห่งการกระทำ
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

พระพุทธศาสนาสอนว่าในทุกสรรสิ่งในทุกสรรพชีวิตบนโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน

ทุกๆสิ่งมีเกิดขึ้น แปรเปลี่ยน แล้วดับสลายไป

แม้แต่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขต่างๆที่อยู่บนโลกนี้ไม่มีความแน่นอน มีเกิดดับเป็นธรรมดาธรรมชาติของเขาเอง ไม่มีอำนาจใดๆมาบังคับกฎแห่งธรรมชาติได้

เมื่อเรายอมรับความจริงในข้อนี้ จิตใจก็สบายใสๆสบายๆ

อะไรจะเกิดก็เป็นเรื่องธรรมดา
อะไรจะดับจะแปรเปลี่ยนก็สบายๆธรรมดาๆ... ส.สู้ๆ



Bird darkness

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีทางอยู่สองทาง คือทางหนึ่งไปสู่ลาภสักการะ ทางหนึ่งไปสู่ความดับกิเลส เราไม่สรรเสริญเส้นทางที่จะให้ไปสู่ลาภสักการะ เราไม่พอกพูนเส้นทางนั้น แต่เราสรรเสริญเส้นทางที่จะเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เพื่อความขูดเกลา เพื่อพระนิพพานมากกว่า" อันนี้เป็นเครื่องชี้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า ขลังๆ หรือว่าศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีเดช

เราได้ยินคำว่าปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์มันมีอยู่ ๓ เรื่องด้วยกัน ในคัมภีร์ได้เอ่ยชื่อไว้ เอ่ยไว้ก็เพื่อจะบอกให้พระรู้ว่า ปาฏิหาริย์นั้นมีอะไรบ้าง มีอิทธิปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง

อิทธิปาฏิหาริย์ ก็คือการแสดงฤทธิ์เดชได้ต่างๆ เช่นว่าเหาะเหินเดินอากาศ ดำดินอะไรก็ตามเรื่องเถอะ เรียกว่าสำเร็จด้วยฤทธิ์ เรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ อย่างหนึ่ง,

อาเทสนาปาฏิหาริย์ หมายความว่า ทายใจคนได้ ทายความคิดของคนได้ ใครมานั่งลงคิดอะไร บอกว่า คุณกำลังคิดเรื่องนั้น คิดเรื่องนี้ นี่ทายใจได้ อย่างนี้เรียกว่า อาเทสนาปาฏิหาริย์ ไม่ใช่ว่าวิเศษวิโสอะไร มันเป็นวิชากลางบ้าน ที่มีอยู่ในประเทศอินเดียสมัยนั้น พระพุทธเจ้าท่านห้ามไม่ให้กระทำ ห้ามไม่ให้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ห้ามไม่ให้ใช้วิธีอาเทสนาปฏิหาริย์ คือการดักใจคน เพราะว่าการกระทำอย่างนั้น มันไปเหมือนกับวิชาเล่นกลหรือปาหี่ที่เขาเล่นกันอยู่ทั่วๆ ไป

นักบวชในพระพุทธศาสนาไม่ใช่นักบวชประเภทปาหี่ ประเภทแสดงกลให้คนดู อะไรต่างๆ เช่นเสกข้าวทิพย์บ้าง เสกอะไรให้เป็นปลา เสกเกสรบัวให้เป็นปลา เสกให้เป็นปลาช่อน เสกแล้วเอาไปขาย ได้เงิน
อุบาสกคนนั้นก็เล่าให้ฟังเหมือนกัน เมื่อวานนี้ บอกว่าที่วัดหน้าพระลานนี่ เคยมีพระองค์หนึ่งมาปักกลดในศาลา คือว่าเพียงแต่ปักกลดนอน ก็คือกางมุ้งนอนนั่นเอง แต่คนก็หลงไหลแล้ว หลงว่าพระองค์นี้อยู่ในกลด ความจริงกลด มันก็คือมุ้งนั่นเอง ไม่ใช่ของวิเศษวิโสอะไร ไปไหนที่แบกกลดนั่นก็เพื่อจะเอาไปกางนอน กางมุ้ง กลดก็คือมุ้ง อยู่ในกลดแล้ว ยุงมันไม่กิน ไม่ใช่ว่าเพิ่มความวิเศษอะไร
ทีนี้ก็อยู่ในกลดแล้วก็มีปาฏิหาริย์ว่า เสกดอกบัวให้เป็นปลาได้ อุบาสก

คนนี้เวลานั้นแกเป็นพระ สึกแล้วก็เลยเห็นว่าพระองค์นี้มาหลอกชาวบ้าน แกก็พยายามที่จะจับ ว่าจะทำอย่างไร คือให้คนไปซี้อปลาหมอบ้าง ปลาช่อนบ้าง ตัวเล็กๆ ทั้งนั้น ตัวใหญ่มันก็ลำบากหน่อย เล่นกลยาก ตัวมันใหญ่ลำบากเอามาใส่ไว้ในภาชนะ ซ่อนไว้ในกลดของตัวนั่นเอง แล้วเวลาจะเสกก็ต้องปิดกลดลงเสีย ให้นั่งห่างๆ นั่งใกล้กลมันก็แตกน่ะซิ แล้วก็เวลาเสกเอาดอกบัว เอาเกสรใส่ลงไปในบาตร แล้วก็นั่งเสกๆๆ ไป พอเสกไปนานๆ ก็ยกพระพุทธรูปมาองค์หนึ่ง พระพุทธรูปนี่ข้างล่างกลวง ก็เจาะรูไว้ เอาถุงปลาไปใส่ไว้ในรูนั้น แล้วเวลายกมาก็เปิดปากถุง เอาวางปากบาตร แล้วก็เสกคลำพระพุทธรูปเรื่อยๆ ไป ปลามันก็ได้น้ำ มันได้ไอน้ำ ก็รู้ว่าอ้ายนี่มีน้ำอยู่ในนี้ มันก็ออกจากถุงลงไปว่ายปร๋ออยู่ในน้ำ พอปลาลงไปว่ายสักพัก แล้วก็ยกบาตรมาวาง ในนั้นมีปลา กลีบบัวหายไป คือเก็บกลีบบัวไว้เสีย แล้วก็เอาปลาออกมา ญาติโยมก็ซื้อปลาตัวละพัน ถ้าเป็นปลาช่อนตัวละสามพัน ไม่ใช่เล็กน้อย ก็ได้เงินไปหลายเหมือนกัน

อุบาสกนั้นก็เข้าไปคัดค้าน คัดค้านมากเข้า เกือบไปเหมือนกัน อุบาสกที่คัดค้านนั้น คือเกือบถูกรุม ถูกรุมตีนรุมมือ เข้าให้กันเลยทีเดียว เพราะว่าคนโง่มันมากกว่าคนฉลาด เราไปคัดค้านคนโง่มันก็หาว่าไม่เชื่อ อ้ายนี่มันพวกนอกศาสนา คนในศาสนากลับหาว่าเป็นคนนอกศาสนา พวกนอกศาสนากลับยกตนเองว่าเป็นคนในศาสนา
ปัญญานันทภิกขุ

Bird red arrow

มีคนจำนวนไม่น้อย ...

ทั้งที่เป็นคนฉลาด ไม่ได้เป็นคนปัญญาอ่อน
แต่พอได้รู้ ได้เห็น ได้ฟัง อะไร เชื่อฝังใจเลย
__ ถ้าเรื่องที่เชื่อนั้น ถูก ก็ดีไป
แต่ถ้าเชื่อมาแบบผิดๆ บางทีก็ทำให้เกิดปัญหา

___ กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล
__ กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่

__ 1. มา อนุสฺสวเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
__ 2. มา ปรมฺปราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
__ 3. มา อิติกิราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
__ 4. มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
__ 5. มา ตกฺกเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเดาว่าเป็นเหตุผลกัน
__ 6. มา นยเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมานคาดคะเน
__ 7. มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเดาจากอาการที่เห็น
__ 8. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
__ 9. มา ภพฺพรูปตา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ
__ 10. มา สมโณ โน ครูติ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา

__ ต่อเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย
__. และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ...
ส.สู้ๆ

Red Darkness evil

มารยาทชาวไทย สืบสานจาก"ศีลาจารวัตร"

การบัญญัติมารยาท เป็นกฎเกณฑ์ใช้สืบต่อกันมา ต้นบัญญัติมารยาทต่างๆ ที่เก่าแก่และถือเป็นต้นแบบของมารยาทของชาวไทยปัจจุบัน คือ "เสขิยวัตร" ซึ่งเป็นหมวดพระวินัยในพระพุทธศาสนา

ความสง่างามใน "ศีลาจารวัตร" ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า #ยังความเลื่อมใสศรัทธาแก่ผู้พบเห็น และพระพุทธองค์ทรงอบรมสั่งสอนพระภิกษุสงฆ์ให้มี " ศีลาจารวัตร" ที่งดงามเรียบร้อย โดยทรงบัญญัติหมวด "พระวินัยเสขิยวัตร" ขึ้น

ครั้นเมื่อพระภิกษุสงฆ์ปฏิบัติตามพระวินัยหมวดนี้แล้ว ทำให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย สงบ สำรวม สง่างาม แก่ผู้ที่มาพบเห็นเข้า #เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษไทยต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกลงในประเทศไทย ชนชาติไทยจึงได้คุ้นเคยกับ "ศีลาจารวัตร" อันงดงามของพระภิกษุสงฆ์ จนซึมซับและถ่ายทอดกิริยามารยาทที่นุ่มนวลนั้น มาอบรมสั่งสอนลูกหลานสืบทอดต่อๆ กันมา

"เสขิยวัตร" จึงเปรียบเสมือน #เพชรน้ำหนึ่งที่ทำให้คนไทยพิเศษ มีความอ่อนโยน นุ่มนวล น่ารัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยมีปรากฏในชนชาติอื่นมากนัก

จึงสมควรที่ลูกหลานไทยยุคปัจจุบันจะต้องกลับมาทบทวน ฝึกฝนตนเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อรักษาวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า และเป็นเอกลักษณ์ของชนชาวไทยนี้ไว้... ส.สู้ๆ

Reddevils go

"สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ - 
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
- พุทธทาสภิกขุ

คราวหนึ่งมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า โดยทูลว่า พระพุทธวจนะทั้งหมดที่ตรัส
ถ้าจะสรุปให้สั้นเพียงประโยคเดียวได้หรือไม่ จะว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านว่าได้
พระองค์ตรัสว่า "สพเพ ธมมา นาลํ อภินิเวสาย" สพเพ ธมมา แปลว่า สิ่งทั้งปวง นาลํ แปลว่า ไม่ควร
อภินิเวสาย เพื่อจะยึดมั่นถือมั่น สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แล้วพระองค์ก็ย้ำลงไปอีกทีหนึ่งว่า
ถ้าใครได้ฟังความข้อนี้ คือได้ฟังทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ถ้าได้ปฏิบัติข้อนี้ก็คือได้ปฏิบัติทั้งหมด
ในพระพุทธศาสนา ถ้าได้รับผลจากการปฏิบัติข้อนี้ ก็คือได้รับผลทั้งหมดในพระพุทธศาสนา

ถ้าเรายอมรับสัจธรรมนี้ได้จิตใจของเราจะอ่อนลง ความยึดมั่นถือมั่นจะผ่อนคลายลง
อย่างที่ท่านเรียกว่า ปล่อยวาง มันลง เราก็จะหลุดออกจากความทุกข์ได้
เริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ สะสมความเย็น ความปล่อยวางนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะค่อย ๆเพิ่มขึ้นเอง
จนวันหนึ่งจะชัดเจนจนสังเกตได้ว่าเรื่องที่เราเคยทุกข์หนัก
พอพบเรื่องที่ควรจะทุกข์ เราจะทุกข์น้อยลง ....  ส.สู้ๆ


อ้อยแดงแจ้ง แช่มช้อย

ชาวพุทธเราต้องฉลาด ต้องศึกษาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้รู้ว่าพระแท้จริงเป็นอย่างไร พระปลอมเป็นอย่างไร พระแท้ท่านอยู่อย่างไรท่านปฏิบัติอย่างไร ไม่มีใครศึกษาสนใจกันเป็นชาวพุทธแท้ๆ แต่สู้คนที่ไม่ใช่เป็นชาวพุทธไม่ได้ พวกชาวต่างประเทศนี้เขาศึกษาถึงแก่นเลย เวลาเขาเข้าหาศาสนานี้เขาเข้าไปในพระไตรปิฎกเลย ศึกษาพระพุทธประวัติ ศึกษาพระธรรมคำสอน เขาจึงไม่หลงกัน เขามาเมืองไทยนี้เขามาบวช เขาไม่ได้มาเพื่อจะมาหาลาภสักการะต่างๆ

พวกเราเป็นเหมือนไก่ได้พลอย มีของดีกลับเขี่ยทิ้งไปชอบของไม่ดี ชอบตัวหนอนตัวไส้เดือน ชอบอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ชอบวัตถุมงคล ชอบเสกชอบเป่า ชอบฟังพระสวด พระสวดแล้วรู้สึกโอ้โหมีความสุขเหลือเกินได้บุญมาก แต่ไม่รู้ว่าสวดอะไรไม่เข้าใจความหมายเลย การสวดก็คือสวดพระธรรมคำสอนเป็นการสั่งสอน เพียงแต่ว่าไปสอนภาษาบาลีไม่สอนภาษาไทย คนฟังก็เลยไม่เข้าใจ เลยไม่ได้ปัญญา ถ้าตั้งใจฟังก็อาจจะได้สมาธิ คือเวลาฟังพระสวดแล้วตัวเองไม่ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ใจจดจ่ออยู่กับการฟัง ก็จะได้อานิสงส์ทำให้ใจสงบได้ แต่จะไม่ได้ปัญญา จะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราปฏิบัติอะไรกัน สอนให้เราร่ำรวยหรือสอนให้เรายากจน ถ้าปฏิบัติถ้าศึกษาแล้วจะรู้ว่าสอนให้เรายากจน เพราะความรวยนี้เป็นทุกข์ ความรวยดับความทุกข์ไม่ได้ ความร่ำรวยจะเป็นตัวสร้างความทุกข์ให้เกิดมากขึ้น เพราะรวยแล้วก็ไม่อยากจะจน กลัวความจน ความกลัวความจนนี้คือความทุกข์ แต่พวกเราทุกคน ในที่สุดก็ต้องจนกันหมด เวลาตายก็ไม่มีสมบัติเหลืออยู่เลยแม้แต่บาทเดียว เวลาจะตายนี้จะทุกข์มากคนที่กลัวความจน ความตายมันยังไม่ค่อยกลัว กลัวที่จะต้องจากทรัพย์สมบัติ จากสิ่งต่างๆไปมากกว่า คนที่ไม่มีอะไรจะจากนี้เวลาตายเขาไม่ค่อยเดือดร้อน อย่างขอทานนี้เวลาเขาตายนี้เขาไม่มีอะไรต้องเสียใจเสียดาย เขากลับดีใจว่าจะได้หมดทุกข์เสียที อยู่มาก็ทุกข์ทรมานเหลือเกิน

ศาสนาพุทธสอนให้เราให้มีความสุขใจ ให้รวยทางจิตใจ รวยด้วยทรัพย์ภายใน รวยด้วยทาน รวยด้วยศีล รวยด้วยภาวนา รวยด้วยมรรคผล นิพพาน เพราะอันนี้แหละเป็นทรัพย์ที่จะให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง และจะเป็นทรัพย์ที่จะติดไปกับเราทุกภพทุกชาติ

ก็ขอให้เราศึกษาธรรมะกันให้มากๆ เราจะได้ไม่หลงทางกัน จะได้ไม่ถูกหลอก นี่มันมีเหตุการณ์แบบนี้ เกิดขึ้นมาตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว พอจางหายไปสักสองสามปีก็โผล่ขึ้นมาใหม่ ลองนับมาซิ เวลาโผล่ขึ้นมาใหม่ๆ ก็ตื่นเต้นกันคิดว่ามีศาสดาองค์ใหม่มากันแล้ว แล้วเดี๋ยวก็เกิดเรื่องฉาวกันตามมา แล้วพอสงบตัวไปสักพัก ก็โผล่ขึ้นมาใหม่อีกแล้ว ก็มาแนวเดิมมาแนวอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ชาวบ้านก็ชอบเพราะชาวบ้านไม่เคยศึกษาธรรมะกัน ไม่รู้ว่าของที่วิเศษวิโสจริงๆนั้นเป็นอย่างไร คิดว่าอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นี้เป็นของวิเศษ ไม่ได้คิดว่าการดับความทุกข์นี้เป็นของวิเศษกัน เวลาสอนให้ดับความทุกข์นี้ไม่ชอบกันไม่อยาก ให้รักษาศีลไม่เอา ให้ภาวนาให้นั่งสมาธินี้ไม่เอา ถอยหนี ให้พิจารณาความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้ยิ่งไม่เอาใหญ่เลย พอคิดคำว่าตายเท่านั้นไม่เอาแล้วไม่มงคลแล้ว เพราะขาดการศึกษาเป็นพุทธแต่ชื่อ พุทธในทะเบียนบ้าน ไม่ใช่พุทธแท้

พุทธแท้ต้องรู้จักพระพุทธเจ้า ต้องรู้จักพระธรรมคำสอน ต้องรู้จักพระอรหันตสาวก นี่ไม่รู้เลย ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าวิเศษตรงไหน วิเศษอย่างไร คำสอนของพระพุทธเจ้าวิเศษอย่างไร พระอรหันตสาวกท่านวิเศษอย่างไรพวกนี้ไม่รู้จัก จะรู้จักแต่พระที่แจกวัตถุมงคลเท่านั้น ถ้าที่ไหนมีแจกวัตถุมงคลนี้ คนไปเป็นหมื่นเป็นแสน พอไปแจกธรรมะนี้กระจายเลย พอตั้งนะโมจะเทศน์เท่านั้นลุกหนีกันไปแล้ว... ส.สู้ๆ


แม่ค้าแดง

เมื่อวันก่อน ได้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นห้องเปิด จึงได้ยินเสียงหมอคุยกับคนไข้ซึ่งเป็นพระรูปหนึ่ง

พระรูปนั้นรูปร่างค่อนข้างท้วม มีปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการฉันอาหาร

หมอบอกว่าให้งดอาหารที่มีกะทิทั้งหมด เช่น แกงกะทิทั้งหลาย พระตอบว่าทำไม่ได้ เพราะญาติโยมตักบาตรมาอย่างนี้ ก็ต้องฉันเท่าที่มี

นี่เป็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ ไม่ค่อยมีคนพูดถึงเท่าไร เราฆราวาสมัวแต่คิดจะถวายอาหารให้พระ แต่ไม่ค่อยคำนึงถึงเรื่องสุขภาพพระ

อาหารที่ญาติโยมถวายมักเป็นอาหารถุง กะทิเพียบ ผงชูรสเต็มที่ สารกันบูด ข้าวขัดขาว ขนมหวานเจี๊ยบ สารพัด พระไม่มีทางเลือก ก็ต้องฉันไปตามนั้น

ตักบาตรแบบนี้แม้ทำด้วยใจ แต่ก็อาจสร้างบาปโดยไม่รู้ตัว เพราะสุขภาพเสื่อม คอเลสเตอรอลกับเบาหวานไม่เลือกหรอกว่าใครเป็นพระ ใครเป็นฆราวาส
สน
ก็ควรจะระวัง คิดสักนิด เลือกสักหน่อย ก็อาจทำให้พระมีสุขภาพดีขึ้น สมองแจ่มใส ทำเรื่องดีๆ แก่สังคม แทนที่จะต้องไปหาหมอเรื่อยๆ

เราอาจไม่สามารถบังคับให้พ่อค้าแม่ค้าผลิตอาหารแบบนี้ แต่เราสามารถกำจัดพวกนี้ออกไปได้ถาวร ก็โดยการเลิกซื้อ... ส.สู้ๆ



Red Politics


"ดูก่อน อานนท์ ! พุทธบริษัททั้ง สี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทำสักการะบูชาเราด้วยเครื่องบูชาสักการะทั้งหลายอันเป็นอามิส เช่น ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น หาชื่อว่าบูชาตถาคตด้วยการบูชาอันยิ่งไม่ อานนท์ เอ๋ย ! ผู้ใด ปฏิบัติตามธรรมปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติธรรมอันเหมาะสม ( ตัดรากเหง้าขาดแล้ว กิ่งก้านสาขาแม้ไม่ต้องตัด ก็ตายเอง )เหตุเพราะสุขทุกข์มี การยึดมั่นถือมั่นจึงมี เพราะสุขทุกข์ดับ การยึดมั่นถือมั่นจึงดับด้วย"สุขกับทุกข์ ถ้าพิจารณาโดยละเอียดแล้ว เป็นของติดกันอยู่ ครั้นวางสุข ทุกข์ไม่ต้องวาง มันก็หายไปเอง เข้าสู่พระนิพพานด้วยอาการแบบนี้ ให้ปลงเสียซึ่งการร้ายและการดี ที่บุคคลนำมากล่าว เช่น มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นินทาสรรเสริญ สุขทุกข์ อย่ายินดียินร้าย ถึงแม้ในปัจจัย๔ ก็ให้มักน้อยในปัจจัย คือให้ละความโลเลในปัจจัย คือ เมื่อได้อย่างดี อย่างปราณีต ก็ให้บริโภค อย่างดีอย่างปราณีต ได้อย่างเลวทรามต่ำช้า ก็ให้บริโภคอย่างเลวทรามต่ำช้า ตามมีตามได้ ไม่ให้ใจขุ่นมัวด้วย อย่าได้อาลัยถึงซึ่งความสุข ให้ปลงใจ วางใจในโลกธรรม ๘ เสียให้หมดสิ้น คือ วางสุข วางทุกข์ วางบาปบุญคุณโทษ วางโลภ โกรธ หลง วางลาภยศ นินทา สรรเสริญ เหมือนดั่งไม่มีหัวใจ จึงชื่อว่า จิตของบุคคลนั้นย่อมเป็นเหมือนแผ่นดิน ถ้ายังทำไม่ได้ อย่าหวังจะได้โลกุตระนิพพานเลย ถ้าทำตัวให้เหมือนแผ่นดินได้ในการใด พึงหวังเถิด ซึ่งโลกุตระนิพพาน คงได้ คงถึง โดยไม่ต้องสงสัย...ผู้นั้นแลชื่อว่าสักการะบูชาเราตถาคต ด้วยการบูชาอันยอดเยี่ยม...

การทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ร้ายแรงยิ่งกว่าประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัยอย่างไร การบิดเบือนพระธรรมเกิดจากอะไร?เกิดจากเราอยากได้ อยากมี อยากเป็น เมื่อมีคนนำพระธรรม มาบิดเบือนให้สอดคล้อง ตอบสนองดังใจเรา เราจึงขานรับ โดยไม่กังขาใจใดๆเลย พระพุทธเจ้าค้นพบความจริง แต่กิเลสในใจเรา ไม่ต้องการความจริง เพราะมันธรรมดา เมื่อบวชแต่กาย ใจไม่ได้บวช ผ้าเหลืองห่มกาย แต่ศีลธรรมไม่ได้ห่มจิตห่มใจอะไรเลย ถือว่าความวิปริตทางศาสนาเกิดขึ้นทุกรูปแบบ ทั้งโลภ ทั้งโกรธ ทั้งหลง ทั้งกิน ทั้งกาม ทั้งเกียรติ สิ่งที่ถือเอาเป็นตัวแทนพระองค์พระพุทธเจ้าคือ พระธรรมวินัย ( ปล่อยวางสุขในโลกธรรม ๘ ) ห้ามฝ่ายฆราวาสทั้งปวง อย่าให้ถวายเงินทองนากแก้วแหวนแลสิ่งของอันมิควร แก่สมณะเป็นต้น แลทองเหลืองทองขาวทองสำฤทธแก่ภิกษุสามเณร แลห้ามอย่าให้ถวายบาตร นอกกว่าบาตรเหล็กบาตรดิน แลนิมนตใช้สอยพระภิกษุสามเณร ให้ทำการสพการเบญจาแลให้นวดแลทำยา ดูลักขณะ ดูเคราะห แลวาดเขียนแกะสลักเปนรูปสัตว แลใช้นำข่าวสารการฆราวาสต่าง ๆ แลห้ามบันดาการภิกษุสามเณร กระทำผิดจากพระปาฎิโมกขสังวรวินัย ภิกษุพึงรักษาความประพฤติให้น่าเลื่อมใส ส่วนภิกษุต้องอาบัติด้วยความไม่ละอายอย่างไร? คือ ภิกษุรู้อยู่ทีเดียวว่าเป็นอกัปปิยะ ฝ่าฝืน ทำการล่วงละเมิด สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า ภิกษุ แกล้งต้องอาบัติ ปกปิดอาบัติ และถึงความลำเอียงด้วยอคติ ภิกษุเช่นนี้ เราเรียกว่า "อลัชชีบุคคล"... ส.สู้ๆ

Red arrow bird

-"ดูก่อนอานนท์ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราได้แสดงไว้ และ บัญญัติไว้ด้วยดี นั่นแหละจักเป็นพระศาสดาของพวกท่านสืบแทนเราตถาคต เมื่อเราล่วงไป แล้ว"บัญญัติไว้ด้วยดี นั่นแหละจักเป็นพระศาสดาของพวกท่านสืบแทนเราตถาคต เมื่อเราล่วงไปแล้ว การรักษาศีลพระปาติโมกข์ก็ดี การรักษาธุดงค์วัตร ๑๓ นั้นก็ดี ก็เป็นการลงประมวลในศีลทุกอย่าง ไม่ใช่จะรักษามากมายหลายสิ่งหลายอย่าง จนสิ้นจนหมดหามิได้ รักษาศีลพระปาติโมกข์ก็ดี รักษาธุดงค์วัตร ๑๓ ก็ดีก็ไม่มีเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เพื่อความระงับดับกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อรู้ว่ากิเลสเป็นเค้าเงื่อนของกองทุกข์ กองโทษ กองบาป กองกรรมเช่นนี้แล้ว"ข้อวัตรอันใดที่เป็นไปเพื่อยกตนให้ออกจากกิเลสได้ ก็จงกระทำข้อวัตรนั้นให้บริบูรณ์เถิด...เมื่อเรารู้ว่ารักษาเพื่อระงับดับกิเลส ไม่ได้รักษาเพื่ออย่างอื่นแล้ว แม้แต่รักษาแต่เล็กแต่น้อยโดยเอกเทศ ไม่ครบตามจำนวนพระปาติโมกข์ และธุดงค์วัตร ๑๓ ก็เป็นอันรักษาครบทุกอย่าง เพราะจับต้นจับรากเหง้าของกิเลสได้แล้ว( วางซึ่งสุขในโลกธรรม๘ ) ถ้าตัดรากเหง้าขาดแล้ว กิ่งก้านสาขาแม้ไม่ต้องตัด ก็ตายเอง บุคคลที่บวชในพระศาสนานี้ ก็เปรียบเหมือนคนตัดไม้ ฉะนั้นการบวชไม่ได้เพื่อการอื่น บวชเพื่อระงับดับกิเลสเท่านั้น ถ้าไม่หวังเพื่อระงับดับกิเลส ไม่ต้องบวชดีกว่า การที่บวชไม่ได้มุ่งระงับดับกิเลส จะมีความรู้วิเศษปานใด ก็ได้ชื่อว่า รู้เปล่าๆ แต่ว่าเป็นผู้มีความรู้ความฉลาด เราไม่ได้ติว่า เป็นไม่รู้ไม่ดี ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นกุศล ก็คงเป็นอันรู้กันดี เป็นบุญเป็นกุศลอยู่นั่นเอง แต่ว่าเป็นความรู้ที่ผิดจากทางพระนิพพาน... ส.สู้ๆ


แดง พุทธวจน

นำข่าวดีเกี่ยวกับศาสนาพุทธมาให้อ่าน  ทำไมคนอังกฤษถึงทยอยนับถือพระพุทธศาสนา?:

คนอังกฤษมักจะศึกษาพระพุทธศาสนากันเงียบๆ คนอังกฤษชอบอ่านหนังสือ ดังนั้น จะเห็นหนังสือพระพุทธศาสนาขายดีมากในอังกฤษ นอกจากนั้น คนอังกฤษจำนวนมากยังซุ่มทำสมาธิภาวนากันเป็นประจำ แม้กระทั่งสส.ในรัฐสภาก็นัดฝึกสมาธิกันทุกอาทิตย์

หน้าตึกบริติชมิวเซียม ไม่ห่างจากรัสเซลสแควร์เท่าใดนัก จะมีร้านขายหนังสืออยู่ร้านหนึ่งมีชื่อว่า Oriental Bookshop ร้านนี้เปิดมาหลายชั่วอายุคน มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจมาก

สมัยผมเรียนอยู่ลอนดอน ผมเป็นขาประจำร้านหนังสือร้านนี้ ผมพักอยู่หออินเตอร์ซึ่งเป็นหอรวมของนักศึกษามหาวิทยาลัยลอนดอนและอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินรัสเซล แสควร์ ผมแวะไปร้านนี้ประจำ  เจ้าของร้านเห็นว่าผมเรียนมาทางอินเดียศึกษาจึงคุยด้วยอย่างสนิทสนมเพราะแกก็สนใจพระพุทธศาสนาเถรวาท โดยเฉพาะสายพระป่าแกนับถือมาก

วันหนึ่ง เจ้าของร้านเล่าให้ผมฟังว่าเกือบจะศตวรรษมาแล้ว มีบาทหลวงใหญ่ของลอนดอนท่านหนึ่ง เดินเข้ามาที่ร้านหนังสือนี้แล้วตวาดใส่ปู่ของเจ้าของร้านในปัจจุบันว่า 'พวกคุณมาขายทำไมหนังสือพระพุทธศาสนา? รู้มั้ย พระพุทธศาสนาเป็นลัทธิเดียรถีย์กลุ่มหนึ่งที่ไม่เคารพพระเจ้า' ว่าแล้วก็บอกพิษภัยของลัทธิศาสนาประเภทอเทวนิยมอย่างพระพุทธศาสนาต่างๆ นานา

เจ้าของร้านก็ฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็พยายามอธิบายแบบถนอมน้ำใจว่า

'ถูกแล้วครับ พระพุทธศาสนาเป็นอเทวนิยม  เป็นอันตรายต่อศาสนาเทวนิยมอย่างศาสนาคริสต์เรามาก อันนี้ ผมเห็นด้วย แต่จะไม่เป็นการดีหรอกหรือครับถ้าเราจะอ่านหนังสือทางพระพุทธศาสนาให้ละเอียดเพื่อให้รู้เขารู้เรา และจะเป็นประโยชน์ต่อการเผยแผ่ศาสนาของเรา'

บาทหลวงท่านนั้นพยักหน้า พูดออกมาว่า 'เออจริง' เจ้าของร้านเห็นดังนั้นจึงรีบคะยั้นคะยอให้บาทหลวงท่านนั้นซื้อหนังสือของตนเอง บาทหลวงที่ว่าก็เลยควักกระเป๋า ขึ้นมาแล้วจ่ายเงินไปหลายร้อนปอนด์ซื้อหนังสือพระพุทธศาสนาหลายเล่ม รวมทั้งเรื่องราวกรรมฐานในประเทศไทยและพม่าด้วย เสร็จแล้ว ก็หอบหนังสือปึกใหญ่กลับไปอ่านที่บ้านด้วยวัตถุประสงค์หลักคือ 'ให้รู้เขารู้เรา'

วันดีคืนดี แกก็กลับมาซื้อหนังสือพระพุทธศาสนาอีก บอกว่า 'น่าสนใจอ่าน ยังไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาดีพอ' เจ้าของร้านดีใจมากที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้นแถมซื้อทีละมากๆ

หลังจากอ่านหนังสือพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นอเทวนิยมอยู่เป็นปี บาทหลวงท่านนั้นเปลี่ยนไปมาก ไม่เพียงแต่เป็นขาประจำซื้อหนังสือพระพุทธศาสนาอยู่บ่อยๆ เขายังเปลี่ยนไปเป็นพุทธมามกะและข้อสำคัญ ยังเป็นกรรมการพุทธสมาคมประจำกรุงลอนดอนที่นายคริสตมาส ฮัมฟรีย์ก่อตั้งขึ้นอีกต่างหาก เสียดาย ผมจำชื่อแกไม่ได้

เจ้าของร้านเคยเล่าให้ผมฟังครับ แม้ว่าคำบรรยายอาจจะแตกต่างไปบ้าง แต่เนื้อหาหลักๆ ประมาณนี้แหละครับ ที่เหลือท่านก็ไปคิดเอาเอง

ถ้าจะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุโรป พระสงฆ์มีกิจอยู่ ๒ อย่างที่จะต้องพัฒนาตัวเอง ๑.เรียนคัมภีร์พระพุทธศาสนาให้แตกฉาน หากจะเลือกสายปริยัติ อธิบายปรัชญาหรือตรรกะของพระพุทธศาสนาได้อย่างแตกฉาน ๒.ปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ถึงแก่นถ้าจะเลือกสายปฏิบัติ

ถ้าพระสงฆ์เก่งอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ แล้วฝรั่งมาเจอ จอดทุกป้ายแน่ แต่ถ้าไม่เป็นสักอย่าง อย่าไปเป็นพระธรรมทูตอยู่ต่างประเทศเลย อายเขา ท่านจะทำได้แค่ช่วยนำประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้คนไทยเท่านั้น

ใครคิดตามที่ผมเขียนได้ ก็ขออนุโมทนา
ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
๘ ธันวาคม ๒๕๖๐
http://www.dailynews.lk/2017/12/06/features/136449/brexit-buddhism

Banrai Reddy 4×100

แง่คิดดีๆ ....ถูก ผิด แล้วได้อะไร?

คุณคิดว่าข้อใดถูก
8 x 3 = 23 หรือ
8 x 3 = 24 ?

คุณตอบข้อไหน ?

เรื่องจริงที่เกิดกับ "เอี้ยนหุยและขงจื้อ"

เรื่อง 8 x 3 = 23
เอี้ยนหุย กับ พ่อค้า ขายผ้า ในตลาด

พ่อค้าบอกว่า 8 x 3 = 23

เอี้ยนหุย รีบบอก พ่อค้าทันทีว่า 8 x 3 = 24

(พ่อค้าไม่รู้ว่า เอี้ยนหุยเป็นลูกศิษย์ขงจื้อ)

ทั้งคู่เถียงกันอยู่นาน ในสิ่งที่ตัวเองถูก สั่งสอนมา
สุดท้ายก็เดินทาง ไปหาขงจื้อ
ด้วยกันเพื่อให้ ขงจื้อ ตัดสิน

เอี้ยนหุย ก็บอก ต่อหน้า ขงจื้อว่า

ถ้า 8 x 3 = 23 ผมจะถอดยศ ถอดหมวกออก

แต่ถ้า 8 x 3 = 24 พ่อค้าคนนี้ต้องโดนตัดหัว

ขงจื้อได้ยินดังนั้น ก็ตัดสินว่า "8 x 3 = 23"

เอี้ยนหุย รู้สึกเสียใจมากที่อาจารย์ผู้เป็นที่เคารพตัดสินเช่นนี้
คิดว่า ขงจื้อคงจะเลอะๆ เลือนๆ แล้ว
จึงถอดหมวกลง อย่างฉุนเฉียว แล้วตีตนจากไป
แต่ก่อนจะจากไป ขงจื้อ ก็ได้บอกกับ เอี้ยนหุยว่า

"เจ้าจงอย่าอยู่
ใต้ต้นไม้
และถ้าเจ้าจะ
คิดฆ่าใคร เจ้า จงคิดให้ดีเสียก่อน"

ระหว่างทางกลับมี ฝนตกหนัก
เอี้ยนหุย จึงรีบวิ่งเข้าไป หลบใต้ต้นไม้
พลันก็แว๊ปปขึ้นมาในหัวว่า อ.บอกไว้ว่า

"ห้ามอยู่ใต้ต้นไม้"

ก็รีบวิ่งออกมา จากต้นไม้

ทันใดนั้น ฟ้าก็ผ่าต้นไม้ ต้นนั้น !! เอี้ยนหุยตกใจมาก
แต่ก็รู้สึกขอบคุณ ขงจื้อมากที่เตือน
นึกในใจว่า ขงจื้อรู้ได้ยังไงว่า จะเกิดเรื่องนี้ ///

หลังจากนั้น ก็รีบเดินทาง กลับบ้าน
พอถึงบ้าน เนื่องจาก ดึกมากแล้ว ไม่อยากให้ภรรยาตื่น
จึงใช้มีดงัด ประตู เข้าไป แล้วใช้ มือคลำทางเอา

พอถึงห้องนอน เอี้ยนหุยคลำเจอคน 2 คนนอนอยู่
เขานึกใจในด้วย ความโมโหว่า

"อะไรกันเนี๊ยะ ข้าฯไป เรียนรู้วิชา กับ อ.ขงจื้อ
กลับมา ภรรยามีชู้เลยเหรอ"

ขณะที่กำลังจะเอามีดฟัน ก็นึกได้ว่า อ.เตือนไว้ว่า

"คิดจะฆ่าใคร ต้องคิดให้ดี"

เขาจึงจุดเทียนแล้ว ดูว่า 2 คนที่นอน อยู่นั้น เป็นใคร ?
สิ่งที่เขาเห็นนั้นคือ ภรรยาและน้องสาวของภรรยานอนอยู่ !!!!!!!!
เขานึกเลยว่าถ้าเขาไม่เชื่อคำของขงจื้อ ก็จะมีคนตาย 2 คน
ซึ่งเป็นภรรยาของเขาเอง และน้องสาว ของภรรยา!!

เอี้ยนหุย ไม่รีรอ ที่จะเดินทาง กลับไปถามขงจื้อ
ว่าท่านรู้ได้อย่างไร ว่าจะเกิดสิ่งต่างๆนี้

ขงจื้อจึงบอกว่า " ถ้าข้าตัดสินว่า 8 x 3 = 24 "

พ่อค้าคนนั้นต้อง ตาย ใช่ไหม ?

# จงใจสอนผิด เพื่อไม่ให้มีคน ล้มตาย

# แม้ไม่ใช่ คณิตศาสตร์ ที่ถูกต้อง

# แต่คุณธรรม ต่างหากที่ถูกต้อง

# เสียเกียรติ แต่ อย่าให้ผู้อื่น เสียชีวิต

# คนที่กำลังโกรธ ฉุนเฉียว มักจะ วู่วาม ทำอะไรโดย ไม่คิดหน้าคิดหลัง

..ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี

..ทะเลาะกับคนเฒ่าคนแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี

..ทะเลาะกับครู หรืออาจารย์ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี

..ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี

..ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี

..ทะเลาะกับเจ้านาย (ที่เป็นเพื่อน) หรือผู้มีอำนาจ ต่อให้ชนะก็แพ้อยู่ดี

*****************

ดังนั้น รู้จักยอม และหยุด แล้วพูดว่า"ไม่เป็นไร" แล้วค่อยหาหนทาง แก้ไขต่อไปอย่าง มีสติ จะได้ไม่ต้อง เสียใจ ภายหลัง... ส.สู้ๆ






Immi redblue

มีคุณครูมาหาหลวงปู่ชา เมื่อหลวงปู่ทราบว่า
เป็นคุณครู หลวงปู่จึงถามว่า

"เป็นครูสอนตัวเอง หรือสอนคนอื่น ?"

หลวงปู่ชา ท่านมอบโอวาทให้คุณครู ไว้ว่า

"เราควรจะเอาเยี่ยงอย่างพระพุทธเจ้า

มีอยู่คราวหนึ่ง พระองค์เทศน์ให้พระภิกษุทั้งหลายฟังในที่ประชุม
พระสารีบุตรก็นั่งฟังอยู่ด้วย พอพระองค์เทศน์จบลง
จึงตรัสถามพระสารีบุตรต่อหน้าภิกษุทั้งหลายนั้นว่า
สารีบุตร ที่เราแสดงธรรมให้เธอฟังนี้ เธอเชื่อไหม?

...พระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญา จึงประนมมือตอบว่า
ยังไม่เชื่อพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าท่านได้ฟังดังนั้น พระองค์จึงตรัสว่าดีละ
สารีบุตร ผู้มีปัญญาไม่ควรเชื่ออะไรง่ายๆ เมื่อได้ฟังอย่างใดแล้วจะต้องนำไปพิจารณาด้วยปัญญาของตนเองก่อน เมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นถูกต้องดีแล้ว มีเหตุมีผลดีแล้ว จึงเชื่อ อย่างนี้จึงจะชื่อว่า เป็นคนมีปัญญา
อย่างนี้เป็นต้น

เราสังเกตดูซิว่า พระพุทธเจ้าของเราท่านเก่งขนาดไหน?

ถ้าเป็นพวกเราทุกวันนี้ ลูกศิษย์ไม่เชื่อเป็นไล่หนีทันทีเลย โกรธให้เขาเสียแล้ว ชอบจะเป็นกันอย่างนี้

ดังนั้น เราทั้งหลายจะต้องสอนตัวเองด้วย สอนผู้อื่นด้วย เราจึงจะไม่เป็นทุกข์ ไม่แบกไม่หามลูกศิษย์
ถ้าไม่อย่างนั้น อาจารย์ก็ต้องเป็นทุกข์ทรมาน
เพราะลูกศิษย์

เด็ก ๆ สมัยนี้ไม่เหมือนก่อน
มันคอยจะสู้อาจารย์อยู่เรื่อย ข้อนี้ต้องระวังให้ดี
สอนเขาแล้วเราต้องปฏิบัติตัวเองด้วย
เด็กเขาต้องการตัวอย่าง เราต้องทำให้เขาดู
ไม่ใช่ดีแต่พูดอย่างเดียว และถ้าเขาไม่เชื่อ
เราก็ต้องหันมาสอนใจเราเอง อย่าไปโกรธให้เขา นี้จึงจะได้ชื่อว่า เป็นอาจารย์สอนคนอื่นได้ แต่ถ้าเราเองก็สอนตัวเองไม่ได้แล้ว เราจะไปสอนใครที่ไหนได้"...