ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เมื่อฉันไม่เข้าใจในพระพุทธศาสนา

เริ่มโดย อยากรู้, 10:54 น. 03 ก.พ 54

อยากรู้

      พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่วิทยาศาสตร์ที่สุด  และเป็นจริงที่สุด แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าในเมื่อตอนมีชีวิต เราอาศัยบนดาวที่เรียกว่าโลก แต่เมื่อคนเราตายไปแล้ว เราจะไปอยู่ดาวดวงไหนในจักรวาล ที่ใครๆบอกว่าทำดีมากๆจะได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วได้ตกนรก        แล้วนรกสวรรค์มันอยู่ที่ดาวดวงไหน แล้วทำไมฆ่าสัตว์แต่ละชนิดถึงบาปไม่เท่ากัน ฆ่าสัตว์เล็ก,ฆ่าสัตว์ที่ไม่มีประโยชน์ เช่น แมลงสาป ยุง จึงบาปไม่เท่าการฆ่าสัตว์ใหญ่,มีประโยชน์ เช่น ช้าง ม้า ว้ว ควาย ในเมื่อทุกชีวิตก็รักชีวิตของตนเท่ากัน ถือเป็นการฆ่าหนึ่งชีวิตเหมือนกัน เราวัดบาปจากเกณฑ์ตรงไหน แล้วคนที่มีอาชีพเป็นชาวประมงทำมาหากินเลี้ยงลูกเมีย เป็นแม่ค้าพ่อค้าขายปลาในตลาด ฆ่าปลาทุกวัน อย่างนี้จะบาปมากรึปล่าว แล้วถ้าพวกเขาเกรงกลัวบาปไม่ทำ,ไม่ฆ่า เราก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์กัน แต่ถ้าเขาทำ เขากลับบาปอยู่คนเดียว     คนที่ซื้อมากินก็ไม่เห็นบาป ฉันว่ามันไม่ยุติธรรมเลย แล้วคนที่เป็นผู้พิพากษาตัดสินคดีความให้ประหารชีวิต อย่างนี้เขาก็บาปน่ะสิ     เพราะว่าสั่งฆ่าคน เขามีอำนาจทางกฏหมายก็จริง แต่จริงๆแล้วอำนาจการเป็นเจ้าชีวิตที่จะสั่งให้คนนี้ คนนั้นตายตามลมปากเขาไม่น่าจะมี หรือว่าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันน่ะ ยิ่งศึกษายิ่งไม่เข้าใจ พอแค่นี้ก่อนดีกว่า หากฉันเกิดในสมัยพุทธกาล ได้รับสดับฟังธรรมจากพระองค์สักครั้ง คงเป็นบุญของชีวิต สาธุ
   
                          ผู้ใดได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์อย่างถ่องแท้จนเข้าใจแล้ว

                                   ที่จะไม่เกิดศรัทธา(เชื่อ)ในพระธรรมคำสอนนั้นไม่มีเลย
 

ทุกศาสนาสอนให้คนทำความดี

การทำดีได้ดี  และ ทำชั่วได้ชั่ว เป็นหลักวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันของทุกคน ทุกศาสนาสอนให้คนทำความดี ไม่เบียดเบียนสรรพสิ่งต่างๆให้เดือดร้อนหรือได้ทุกข์จากเรา  หลักการทำดีได้ดี และทำชั่วได้ชั่วมีจริง จงดูไปนานๆและดูรอบๆตัวเราแล้วจะรู้เอง  ทุกอย่างมีเกิดและมีดับ 

auza

ตามหลักคำสอนของพุทธศาสนานั้น ที่ให้คนทำความดีละเว้นความชั่ว ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็เพื่อที่เราทุกคนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไงล่ะ ความวุ่นวายทั้งในจิตใจเราและในสังคมก็จะไม่เกิดขึ้น

จิตตพโล

แนะนำให้เข้าไปดูใน http://www.dhammada.net/   
ท่านสอนดีมากครับ ขอให้ปฎิบัติตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า โดยถือ ศีล สมาธิ และปัญญา     
ศีล  จะช่วยไม่ให้เกิดกิเลสอย่างหยาบ ให้กระทำแต่ความดี
สมาธิ  จะช่วยให้จิตใจสงบ โดยการการสวดมนต์ และ นั่งสมาธิ เมื่่อจิตใจสงบ จะเกิดปัญญา ขึ้นเอง
ปัญญา  โดยการภาวนา จะทำให้ จิตใจเข้าถึงหลักพระธรรม เห็นไตรลักษณ์ (อนิจัง ทุกขัง อนัตตา)

 
   แล้วท่านจะคลายสงสัย ครับ       

จิตตพโล

แนะนำ หรือเข้าไปฟังวิทยุที่ 103.5 เป็นของวัดสังฆทานมีตลอด 24 ชั่วโมง หลวงพ่อสนอง ท่านสอนธรรมะ เข้าใจง่าย   แล้วท่านจะเข้าใจในพระพุทธศาสนา ครับ

คุณหลวง

อ้างจาก: อยากรู้ เมื่อ 10:54 น.  03 ก.พ 54
      พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่วิทยาศาสตร์ที่สุด  และเป็นจริงที่สุด แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าในเมื่อตอนมีชีวิต เราอาศัยบนดาวที่เรียกว่าโลก แต่เมื่อคนเราตายไปแล้ว เราจะไปอยู่ดาวดวงไหนในจักรวาล ที่ใครๆบอกว่าทำดีมากๆจะได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วได้ตกนรก        แล้วนรกสวรรค์มันอยู่ที่ดาวดวงไหน แล้วทำไมฆ่าสัตว์แต่ละชนิดถึงบาปไม่เท่ากัน ฆ่าสัตว์เล็ก,ฆ่าสัตว์ที่ไม่มีประโยชน์ เช่น แมลงสาป ยุง จึงบาปไม่เท่าการฆ่าสัตว์ใหญ่,มีประโยชน์ เช่น ช้าง ม้า ว้ว ควาย ในเมื่อทุกชีวิตก็รักชีวิตของตนเท่ากัน ถือเป็นการฆ่าหนึ่งชีวิตเหมือนกัน เราวัดบาปจากเกณฑ์ตรงไหน แล้วคนที่มีอาชีพเป็นชาวประมงทำมาหากินเลี้ยงลูกเมีย เป็นแม่ค้าพ่อค้าขายปลาในตลาด ฆ่าปลาทุกวัน อย่างนี้จะบาปมากรึปล่าว แล้วถ้าพวกเขาเกรงกลัวบาปไม่ทำ,ไม่ฆ่า เราก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์กัน แต่ถ้าเขาทำ เขากลับบาปอยู่คนเดียว     คนที่ซื้อมากินก็ไม่เห็นบาป ฉันว่ามันไม่ยุติธรรมเลย แล้วคนที่เป็นผู้พิพากษาตัดสินคดีความให้ประหารชีวิต อย่างนี้เขาก็บาปน่ะสิ     เพราะว่าสั่งฆ่าคน เขามีอำนาจทางกฏหมายก็จริง แต่จริงๆแล้วอำนาจการเป็นเจ้าชีวิตที่จะสั่งให้คนนี้ คนนั้นตายตามลมปากเขาไม่น่าจะมี หรือว่าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันน่ะ ยิ่งศึกษายิ่งไม่เข้าใจ พอแค่นี้ก่อนดีกว่า หากฉันเกิดในสมัยพุทธกาล ได้รับสดับฟังธรรมจากพระองค์สักครั้ง คงเป็นบุญของชีวิต สาธุ
   
                          ผู้ใดได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์อย่างถ่องแท้จนเข้าใจแล้ว

                                   ที่จะไม่เกิดศรัทธา(เชื่อ)ในพระธรรมคำสอนนั้นไม่มีเลย

สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณหลวง

ตอบ คุณอยากรู้ครับ
        ผมเองไม่เคยเข้าใจในพระพุทธศาสนามาแต่ก่อนครับ เมื่ออ่านยิ่งรู้ ยิ่งเข้าใจ เพียงแต่ว่าอย่าตัดสินไว้ก่อนอ่าน อ่านไป คิดไปครับ เรื่องที่คุณสงสัยเป็นเรื่องที่เข้าใจยากหากคิดตรรกะอยู่อย่างนี้ ผมอยากอธิบายแต่เวลาในเน็ตมีน้อยเกินไปสำหรับผม นานๆจะได้เข้ามาที มาทีก็แป๊บๆ แนะนำให้คุณตั้งจิตให้มั่น น้อมรำลึกคุณครูบาอาจารย์ คุณพระรัตนะ 3 อธิษฐานขอให้คุณได้พบความกระจ่างในสิ่งที่สงสัย แล้วอ่านหนังสือธรรมะไปเรื่อยๆ อ่านเล่นๆไปประจำ คุณจะพบอย่างอัศจรรย์ ที่สำคัญฝึกสติเสมอๆครับ วันละเล็กน้อยก็พอ นอนก่อนหลับก็พุทโธตามลมเข้าออกไปเรื่อยๆจนหลับ จะเพิ่มพลังกุศลอย่างดีที่สุดครับ
        ปรับตัวเองไปเรื่อยๆครับ อ่าน อย่าเพิ่งตั้งคำถามแต่อ่านอย่างพินิจ แนะนำ ธรรมพุทธทาส หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่พุทธอิสระ หลวงพ่อชา หนอป่าพง หรือ ดังตฤณ ฝึกสติอย่างที่บอก ไม่มีเวลาก็เอาเฉพาะเวลาก่อนหลับครับ ฝึกไปๆเมื่อคุณพร้อม อาจารย์ของคุณจะปรากฏ เพราะ......เมื่อศิษย์พร้อม อาจารย์ก็ปรากฏ...ไม่มีอาจารย์ที่ดีคนไหนพยายามหาศิษย์ครับ แต่จะรอพบศิษย์เมื่อศิษย์พร้อมเท่านั้น
        มันอัศจรรย์ ยิ่งกว่าผิวขาวใน 7 วันนะครับ แต่ต้องอดทน และไม่สงสัยกระจุกกระจิก แค่ทำไปเรื่อยๆ เพราะคำตอบที่คุณสงสัยทั้งหมดรออยู่ข้างหน้า มีแต่คุณต้องเดินไปให้พบด้วยตัวเองและกัลยาณมิตรเท่านั้น

คำตอบรออยู่ คุณเริ่มเดินหรือยังครับ.......ด้วยความหวังดี และประสบการณ์
                                                                         คุณหลวง
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

Probass

อ้างจาก: อยากรู้ เมื่อ 10:54 น.  03 ก.พ 54
      พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่วิทยาศาสตร์ที่สุด  และเป็นจริงที่สุด แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าในเมื่อตอนมีชีวิต เราอาศัยบนดาวที่เรียกว่าโลก แต่เมื่อคนเราตายไปแล้ว เราจะไปอยู่ดาวดวงไหนในจักรวาล ที่ใครๆบอกว่าทำดีมากๆจะได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วได้ตกนรก        แล้วนรกสวรรค์มันอยู่ที่ดาวดวงไหน แล้วทำไมฆ่าสัตว์แต่ละชนิดถึงบาปไม่เท่ากัน ฆ่าสัตว์เล็ก,ฆ่าสัตว์ที่ไม่มีประโยชน์ เช่น แมลงสาป ยุง จึงบาปไม่เท่าการฆ่าสัตว์ใหญ่,มีประโยชน์ เช่น ช้าง ม้า ว้ว ควาย ในเมื่อทุกชีวิตก็รักชีวิตของตนเท่ากัน ถือเป็นการฆ่าหนึ่งชีวิตเหมือนกัน เราวัดบาปจากเกณฑ์ตรงไหน แล้วคนที่มีอาชีพเป็นชาวประมงทำมาหากินเลี้ยงลูกเมีย เป็นแม่ค้าพ่อค้าขายปลาในตลาด ฆ่าปลาทุกวัน อย่างนี้จะบาปมากรึปล่าว แล้วถ้าพวกเขาเกรงกลัวบาปไม่ทำ,ไม่ฆ่า เราก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์กัน แต่ถ้าเขาทำ เขากลับบาปอยู่คนเดียว     คนที่ซื้อมากินก็ไม่เห็นบาป ฉันว่ามันไม่ยุติธรรมเลย แล้วคนที่เป็นผู้พิพากษาตัดสินคดีความให้ประหารชีวิต อย่างนี้เขาก็บาปน่ะสิ     เพราะว่าสั่งฆ่าคน เขามีอำนาจทางกฏหมายก็จริง แต่จริงๆแล้วอำนาจการเป็นเจ้าชีวิตที่จะสั่งให้คนนี้ คนนั้นตายตามลมปากเขาไม่น่าจะมี หรือว่าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันน่ะ ยิ่งศึกษายิ่งไม่เข้าใจ พอแค่นี้ก่อนดีกว่า หากฉันเกิดในสมัยพุทธกาล ได้รับสดับฟังธรรมจากพระองค์สักครั้ง คงเป็นบุญของชีวิต สาธุ
   
                          ผู้ใดได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์อย่างถ่องแท้จนเข้าใจแล้ว

                                   ที่จะไม่เกิดศรัทธา(เชื่อ)ในพระธรรมคำสอนนั้นไม่มีเลย


ที่โพสมา เข้าใจผิดตั้งแต่แรกแล้ว จึงเกิดความสงสัย

ที่ใครๆบอกว่าทำดีมากๆจะได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วได้ตกนรก        แล้วนรกสวรรค์มันอยู่ที่ดาวดวงไหน
คำกล่าวที่ว่า สวรรค์อยู่ในอก นครอยู่ในใจ คงเป็นคำตอบได้  ใครจะทำดีทำชั่ว ความสุข ความทุกข์ ก็อยู่ในใจ
ดร.วรพัฒน์ เคยพูดในรายการเจาะใจว่า  เขาทำงานอยู่ นาซ่า ค้นหาวิธีการออกไปในอวกาศให้ไกลๆ  จนวันนึงได้อ่านหนังสือธรรมมะ จึงคิดได้ว่า จะไปให้ไกลถึงขอบจักรวาล ถ้าหาเจอแล้ว ..... แล้วยังไง สิ่งที่อยู่ในใจลึกไปในอกไม่กี่เซนติเมตร ยังค้นหาไม่ได้เลย


สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ บาปเหมือนกัน แต่สัตว์ใหญ่ มีวงจรชีวิตที่ใหญ่กว่า

ส่วนเรื่องซื้อปลา ถ้าไม่มีคนกินคนซื้อ ก็ไม่มีคนฆ่า การฆ่าเพื่อดำรงชีวิตนั้น ต่างกับการฆ่าเพื่อค้าขาย
สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม

ถ้าสังเกตุดีๆ ผู้บริหารเครือบ.ที่ผลิตอาหารครบวงจร ตั้งแต่ฟาร์มไปจนถึงอาหารที่เวฟแล้วกินได้เจ้าหนึ่ง  แต่ละปีเขาทำบุญเป็นล้าน เพื่อหวังล้างบาปที่เป็นธุรกิจของเขา
TUF ลุ้น break new high   UVAN @80 บาท --> 106.50 บาท

กิมซังอ๊ก

อย่าว่ากันนะถ้าผมบอกว่า ผิดทั้งหมด
ผมตอบคุณอยากรู้สั้น ๆ ดังนี้
1. ในความคิดของผม บาป คือ รู้สึกผิด ไม่บาป ไม่รู้สึกผิด เหล่าผู้รู้ทั้งหลายคงส่งเสียงโห่กันครืน แต่ผมคิดว่าต่างคนก็ต่างความคิด ต่างความเชื่อ
2. คนเราหลีกเลี่ยงการทำบาปไม่ได้ คนที่ไม่ต้องเป็นคนฆ่าหมู ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ก็โชคดีไป คนจน ๆ ไม่มีทางทำมาหากิน ไม่มีทางให้เลือกมากนัก ก็ต้องทำ ทำแล้วก็อย่าคิดอะไรมาก มันจำเป็น
3. สวรรค์ นรก ไม่มีจริง ผมคอนเฟิร์ม มันมีหลักการหลายอย่างที่บอกให้รู้ เช่น ตกนรกไปทำไม่ เมื่อมาเกิดใหม่ก็ลืมหมด ไม่มีประโยชน์เลย พระพุทธเจ้าก็ยังเคยตรัสไว้ว่าอันนรกนั้นเราเคยเห็นมาแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น ติดในการปรุงแต่ง อันสวรรค์นั้นเราเห็นมาแล้ว ไม่ยึดติดกับ สิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส สัมผัสทางกาย
4. กรรมแปลว่าการกระทำ พระพุทธเจ้าหมายถึง เราทำอะไรก็ได้ผลเช่นนั้น เช่น นักเรียนตั้งใจเรียน สอบได้ดี คนทำงานตั้งใจทำงาน ได้ผลตอบแทนดี เราไปลักขโมยของเขา สักวันเราต้องโดนจับติดคุก
แต่เราไปตีความให้มันพิสดาร พูดไปถึงชาติก่อน ชาติหน้า พระพุทธเจ้าไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้

เอาย่อ ๆ นะ ถ้าสงสัยอะไรเมลมาถามได้ รับรองคุณจะได้คำตอบไม่เหมือนใคร ไม่ได้จากที่อื่นมาก่อน ผมไม่เคยนั่งสมาธิ  วิปัสสนาอะไรต่าง ๆ แต่ผมก้สามารถเดินทางสู่นิพพานได้ สมาธิวิปัสสนาสำหรับผมแล้วเป็นทางอ้อม เป็นทางลำบาก ยังมีทางที่ง่ายกว่านั้น inghatyai@gmail.com

กิมซังอ๊ก

ขอแถมอีกนิด ที่ว่าพุทธศาสนาเป็นหลักวิทยาศาสตร์นั้น คำพูดนี้ไม่ค่อยตรงนัก ต้องพูดว่า พระพุทธศาสนา สอนให้เข้าใจธรรมชาติมากกว่า

มุสลิมหาดใหญ่

จากที่อ่านมาคำถามของคุณอยากรู้เราอยากที่จะนำเสนอบ้างเพราะทุกศาสนาก็มาจากที่เดียวกันนั้นแหละ เราขอตอบในรูปแบบ ศาสนาอิสลามน่ะ ทุกข้อมีคำตอบ เอาเป็นข้อ ๆ น่ะ
1.เรื่องสวรรณ์ และนรก ไม่ใช่ดวงดาว แต่จะเป็นภพ ๆ นึงที่คล้าย ๆ ละครที่เราดูนั้นแหละ ซึ่งถ้าเราตายแล้วจะอยู่อีกภพนึง ซึ่งขณะนั้นเราก็เหมือน วิญญาณหลุดออกไป
2.บาปมันมีน้ำหนัก คนที่จะตัดสินเราได้ก็คือคนที่สร้างเรามาใช่ป่ะ คิดแบบพื้น ๆ หากเขาไม่ได้สร้างเรามา เขาจะมีอำนาจในการตัดสินเราได้อย่างไร
3.ส่วนสัตว์ที่มีอยู่บนโลก จะแบ่งเป็นสัตว์ที่ถูกสร้างมาให้เป็นอาหาร สัตย์ที่ถูกสร้างมาเพื่อปรับระบบนิเวศบนโลก (กินไม่ได้)  แสดงว่าฆ่าสัตวืที่กินได้ ไม่บาป แต่ถ้าฆ่าโดยวิธีทรมานสัตว์ ก็บาปเช่นกัน

หนุ่มนครนอก

เธอจงระวังความคิดของเธอ
เพราะความคิดของเธอจะกลายเป็นความประพฤติของเธอ
เธอจงระวังความประพฤติของเธอ
เพราะความประพฤติของเธอจะกลายเป็นความเคยชินของเธอ
เธอจงระวังความเคยชินของเธอ
เพราะความเคยชินของเธอจะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ
เธอจงระวังอุปนิสัยของเธอ
เพราะอุปนิสัยของเธอจะกำหนดชะตากรรมของเธอชั่วชี

เข้ามาแล


คุณหลวง

อ้างจาก: กิมซังอ๊ก เมื่อ 15:31 น.  06 ส.ค 54
อย่าว่ากันนะถ้าผมบอกว่า ผิดทั้งหมด
ผมตอบคุณอยากรู้สั้น ๆ ดังนี้
1. ในความคิดของผม บาป คือ รู้สึกผิด ไม่บาป ไม่รู้สึกผิด เหล่าผู้รู้ทั้งหลายคงส่งเสียงโห่กันครืน แต่ผมคิดว่าต่างคนก็ต่างความคิด ต่างความเชื่อ
2. คนเราหลีกเลี่ยงการทำบาปไม่ได้ คนที่ไม่ต้องเป็นคนฆ่าหมู ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ก็โชคดีไป คนจน ๆ ไม่มีทางทำมาหากิน ไม่มีทางให้เลือกมากนัก ก็ต้องทำ ทำแล้วก็อย่าคิดอะไรมาก มันจำเป็น
3. สวรรค์ นรก ไม่มีจริง ผมคอนเฟิร์ม มันมีหลักการหลายอย่างที่บอกให้รู้ เช่น ตกนรกไปทำไม่ เมื่อมาเกิดใหม่ก็ลืมหมด ไม่มีประโยชน์เลย พระพุทธเจ้าก็ยังเคยตรัสไว้ว่าอันนรกนั้นเราเคยเห็นมาแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น ติดในการปรุงแต่ง อันสวรรค์นั้นเราเห็นมาแล้ว ไม่ยึดติดกับ สิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส สัมผัสทางกาย
4. กรรมแปลว่าการกระทำ พระพุทธเจ้าหมายถึง เราทำอะไรก็ได้ผลเช่นนั้น เช่น นักเรียนตั้งใจเรียน สอบได้ดี คนทำงานตั้งใจทำงาน ได้ผลตอบแทนดี เราไปลักขโมยของเขา สักวันเราต้องโดนจับติดคุก
แต่เราไปตีความให้มันพิสดาร พูดไปถึงชาติก่อน ชาติหน้า พระพุทธเจ้าไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้

เอาย่อ ๆ นะ ถ้าสงสัยอะไรเมลมาถามได้ รับรองคุณจะได้คำตอบไม่เหมือนใคร ไม่ได้จากที่อื่นมาก่อน ผมไม่เคยนั่งสมาธิ  วิปัสสนาอะไรต่าง ๆ แต่ผมก้สามารถเดินทางสู่นิพพานได้ สมาธิวิปัสสนาสำหรับผมแล้วเป็นทางอ้อม เป็นทางลำบาก ยังมีทางที่ง่ายกว่านั้น inghatyai@gmail.com

"อย่าว่ากันนะถ้าผมบอกว่า ผิดทั้งหมด" ประโยคนี้ มันหมายถึงคุณด้วยใช่ไหมครับ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

123ปลาฉลามขึ้นบก

บาปมาก บาปน้อย ไม่บาป มันอยู่ที่เจตนา ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับการกำหนดความคิดตัวเอง
การกระทำใด ทั้งกาย วาจา ใจ ที่แสดงเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น เดือดร้อนผู้อื่น ผู้อื่นทุกข์ร้อน ทรมาน สิ้นลม พิกลพิการ
ไม่ว่าเป็นหมูเห็ดเป็ดไก่ พ่อแม่ เพื่อนพ้อง คนไม่รู้จัก บาปแน่นอนอยู่แล้วครับท่าน

คุณหลวง

หากจำไม่ผิด องค์ 4 แห่งปาณาติบาต
   1.รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
   2.เจตนาที่จะฆ่า
   3.พยายามฆ่า
   4.สัตว์นั้นตาย
ความแรงของบาปอยู่ที่ 4 องค์นี้ครับ หากไม่รู้ว่าสัตว์มีชีวิต แล้วเผลอทำมันตายก็บาปน้อยลงครับ
เรียกว่าไมมีเจตนา เมื่อมีเจตนาแล้วมีความพยายามฆ่า ยิ่งพยายามมากก็บาปมาก หากพยายามแต่
ไม่ต่ยก็บาปฐานพยายามฆ่าครับ
    ชาวประมงอาจบาปไม่มากหากเจตนาของเขาไม่ใช่การฆ่า เพราะว่าบางทีเขาต้องการทำงานเพื่อเลี้ยงชีพครับ
ไม่ใช่ต้องการฆ่าสัตว์ แต่เมื่อสัตว์ตายลงเขาก็มีส่วนบาปในข้อนั้นๆ แต่น้อยลง เพราะเจตนามันน้อย
    ก็เหมือนโทษทางกฏหมายที่เอาผิดผู้ฆ่าโดยเจตนา กับประมาทต่างกัน และยิ่งแรงเมื่อมีการไตร่ตรอง
ไว้ก่อน

    ถามว่า ซื้อสัตว์ตายในตลาดมากิน บาปไหม ถามว่า คุณมีเจตนาทั้ง 4 นี้ไหมครับ

การศึกษาศาสนาสมัยนี้ ยากครับ เพราะหากไม่ไตร่ตรองจริงๆก็หลงง่าย มีหนังสือมากมายออกมาเพื่อบอก
ว่าตนเป็นผู้รู้ มีคนมากมายบอกว่าตนเป็นผู้รู้ และอ้างต่างๆอย่างน่าเชื่อถือ และมีมากมายที่ศึกษาศาสนาอื่น
เพื่อบิดเบือนให้เข้ากับลัทธิตน คนอย่างนี้สมควรประณามครับ เพราะว่าศาสดาของท่านไม่ได้สอนให้ด่า หรือ
บิดเบือนของคนอื่น แต่หากศาสดาท่านสอน ก็ต้องประณามไปถึงศาสดาของท่านด้วย
   ผมเคยอ่านมามาก จนเขวไปมาก กว่าตั้งหลักใจได้ก็ตอนที่ทดลอง คิด วิจารณ์ และวางใจให้สงบจึงได้มั่นใจ
ของอย่างนี้ ต้องกล้าลอง แต่อย่าลืม หลักกาลามสูตรนะครับ หาข้อมูลได้ไม่ยากหรอกครับ

   ขอแถมนิดหนึ่งที่คุณกิมซังอ๊กบอกว่า "ผมไม่เคยนั่งสมาธิ  วิปัสสนาอะไรต่าง ๆ แต่ผมก้สามารถเดินทางสู่นิพพานได้"
อันนี้แสดงชัดว่าคุณไม่รู้จักนิพพานเลยแม้แต่ปริยัติครับ ไม่ว่าคุณจะเดินทางด้วยกายหรือจิต คุณก็ไม่มีทางพบกับ
นิพพานได้ครับ ลองศึกษาใหม่นะครับ ย้ำว่าศึกษาใหม่ครับ อย่าสรุปเอาง่ายๆอย่างนั้น ส่วนที่คุณว่ามันเป็นทางอ้อม ลำบากนั้น ก็แล้วแต่ครับ เพราะว่าคนที่ปฏิบัติก็ยอมรับว่าลำบาก มันลำบากตั้งแต่การยอมรับตัวเองให้ได้แล้วล่ะครับ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

กิมซังอ๊ก

อ้างถึงขอแถมนิดหนึ่งที่คุณกิมซังอ๊กบอกว่า "ผมไม่เคยนั่งสมาธิ  วิปัสสนาอะไรต่าง ๆ แต่ผมก้สามารถเดินทางสู่นิพพานได้"
อันนี้แสดงชัดว่าคุณไม่รู้จักนิพพานเลยแม้แต่ปริยัติครับ ไม่ว่าคุณจะเดินทางด้วยกายหรือจิต คุณก็ไม่มีทางพบกับ
นิพพานได้ครับ ลองศึกษาใหม่นะครับ ย้ำว่าศึกษาใหม่ครับ อย่าสรุปเอาง่ายๆอย่างนั้น ส่วนที่คุณว่ามันเป็นทางอ้อม ลำบากนั้น ก็แล้วแต่ครับ เพราะว่าคนที่ปฏิบัติก็ยอมรับว่าลำบาก มันลำบากตั้งแต่การยอมรับตัวเองให้ได้แล้วล่ะครับ

การเดินทางไปสู่จุดหมายมีหลายวิธีครับ สมัยก่อนคนรู้จักแต่การเดิน และมีคนสร้างจักรยานขึ้นมา สร้างจักรยานยนต์ สร้างรถยนต์ รถไฟ เรื่อกลไฟ สมัยก่อนเมื่อพี่น้องตระกูลไรต์บอกว่าเราจะสร้างเครื่องบิน มีแต่คนไม่เชื่อ คนว่าบ้า แต่มันก็เป็นสิ่งที่สามารถมีขึ้นมาได้

นิพพานก็เช่นกัน แม้ผมจะเชื่อพระพุทธเจ้าว่า ทางเดียวสู่นิพพาน คือปฏิปัฏฐาน 4  วิปัสสนากมมฐาน แต่พระพุทธเจ้าก็บอกไว้เช่นกันว่า อย่าเชื่อตำรา อย่าเชื่อเพราะว่าคิดว่าเป็นอาจารย์ อย่าเชื่อเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ

แต่ละคนก็มีทางของตัวเองครับ ผมไม่ได้หวังนิพพาน เพราะถ้าหวังนิพพานก็จะไปไม่ถึงนิพพาน จะไปถึงหรือไม่ ทุกอย่างมีทางเดินของมัน

กิมซังอ๊ก

การเข้าสู่อรหัตผลก็ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่หลาย ๆ คนคิดกัน สมัยก่อน แค่ได้ยินว่า "ทุกสิ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา" คนก็บรรลุอรหันต์ได้แล้ว สมัยนี้คนกิเลศหน้า ฟังธรรม ฟังเทศน์แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจเอาเก็บมาคิด ฟังแล้วผ่านไป เลยต้องวนเวียนวุ่นวายอยู่อยางนั้น

กิมซังอ๊ก

อย่างพุทธประวัตินี่ ตอนที่ผมชอบที่สุด คือตอน ยสะกุลบุตร เรื่องมีอยู่ว่า พระยสะกุลบุตร เป็นบุตรของเศรษฐี พ่อรวยมีเงินมาก ถ้าเป็นสมัยนี้คงประมาณ เจ้าสัวซีพีได้มั้ง สร้างปราสาทให้อยู่ มีคนรับใช้มากมายคอยปรนนิบัติ คล้ายกับชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะ แต่บ้านของยสะนี่ นิยมจัดปาร์ตี้ มีเพื่อนฝูงเหล่าเด็กแนวมากมายมาปาร์ตี้กันบ่อย ๆ พ่อของยสะ ก็ไม่ว่าอะไร ขอแค่อย่ามียาอี อาไอซ์ ยาบ้าก็เป็นพอ ยสะก็ใช้ชีวิตแบบเพลบอย คาสโสว่า เรื่อยมา

วันหนึ่ง หลังจากปาร์ตี้เลิก เหล่าเด็กแนว เพื่อน ๆ ทั้งหลายรวมทั้งยสะ ก็นอนหลับเรียงแถวกันอยู่ที่ห้องโถง บังเอิญยสะกุลบุตร รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา อาจเป็นเพราะปวดปัสสาวะ หรืออย่างไรไม่อาจทราบได้

ตื่นมาก็มองเห็นเหล่าเพื่อนเด็กแนวทั้งหลาย นอนเรียงกันระเกะระกะ ยสะพิจารณาดูเหล่าเพื่อนและ สาวโคโยตี้ทั้งหลาย แล้วคิดได้ว่า "เออ ชีวิตเรานี่มันว่นวายนะ ไม่มีความสงบเลย" ว่าแล้วก็เดินออกจากปราสาท เข้าไปในป่า พลางบ่นออกมาว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ"
อย่างนั้นเรื่อยไป จนเดินหายเข้าไปในป่า ไกลออกไปจากปราสาท

ขณะนั้นพระพุทธองค์ ประทับนั่งอยุ่ใต้ต้นไม้ ได้ยินเสียงของยสะกุลบุตร เห็นหนุ่มน้อยหน้าใสเดินมา จึงตรัสว่า "ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง จงมาที่นี่เถิด เราจักแสดงธรรมให้ฟัง" ยสะกุลบุตรนั่งลงฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงปสดงธรรมอนุบุปพกถาทั้ง ๕ และอริยสัจจ์ ๔ ยสะกุลบุตรได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน ภายหลังบิดาท่านตามท่านมาจนพบและได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ท่านได้สดับตามและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์"

ถามว่า ธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงนั้น เป็นธรรมที่พวกเราชาวพุทธก็เคยฟังกันมาแล้ว หลายคนฟังธรรมทุกวัน แต่ทำไมไม่บรรลุธรรม เพราะเราไม่พิจารณาตามอย่างจริงจังนั้นเอง

เมื่อครั้งพุทธกาล มีภิกษุกลุ่มหนึ่ง ประมาณ 40 รูป เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ขากลับเดินทางผ่านทุ่งนาของชาวบ้าน เด็กคนหนึ่งร้องเพลง เนื้อเพลงมีใจความว่า "ชีวิตของนก เกิดมาหากิน ให้กำเนิดลูกนก ไม่นานก็ต้องตายจากโลกไป ชีวิตคนก็เช่นกัน เกิดมา อาศัยโลกนี้อยู่ก็เพียงไม่นาน สุดท้ายก็ต้องจากไปเช่นกัน" ภิกษุทั้ง 40 รูปนั้น ได้ยินเพลงและพิจารณาตาม ได้บรรลุอรหัตผลทั้งหมด

นี่แหละครับ มาสมัยนี้ ทั้งปฏิบัติ ทั้งปริยัติ ทั้งวิปัสสนา ทั้งกมมฐาน ทั้งหลาย ๆ อย่าง แต่ก็ไม่บรรลุกันสักที ไม่ได้ว่านั่งวิปัสสนาไม่ดีนะครับ แต่บางทีเราไปคิดให้มันยาก ทำใจให้สบายครับ พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น คงอยู่ ดับไป แค่นี้ก็ดีมากแล้วครับ สวัสดี

ผู้น้อยครับ

ทุก ๆ ท่าน ได้ศึกษา และเรียนรู้ธรรมะ ด้วยตนเองหรือจากอาจารย์ท่านใดก็แล้วแต่ จนรู้แจ้งเห็นจริงในตน ความเห็นทางธรรมที่แตกต่าง อาจเกิดจากหลายปัจจัยมากมาย ทั้ง ๆ ที่มีพระพุทธเจ้า พระองค์เดียวกัน และ พระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน ดังนั้นท่านผู้เจริญผู้รู้ในธรรมทั้งหลาย ก็อย่าได้ถกเถึยงกันเลย ท่านใดคิดว่าสิ่งที่ท่านศึกษาเรียนรู้มาว่าดีแล้ว ดีที่สุดแล้ว ถูกต้องแล้ว ถูกต้องที่สุดแล้ว ท่านใดจะไปแปลหรือไปตีความยังไงก็สุดแท้แต่ ก็ขอให้ปฏิบัติในแนวทางของท่านต่อไป เพียงแต่ขอให้ท่านระลึกอยู่เสมอว่า ธรรมะทั้งหลายต้องอยู่ในกรอบคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นัท สีเทพ

พุทธศาสนานั้นมีไว้เพื่อให้ผู้ที่สนใจศึกษา ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่สามารถที่จะรู้และเข้าใจได้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  พระองค์เป็นแต่เพียงผู้ชี้แนะหนทางเท่านั้น ถ้าใครอยากรู้ก็
จงศึกษาหนทางทที่พระองค์ทรงชี้แนะ

ไม่ใช่รู้ด้วยการนึกเอา
ไม่ใช่รู้ด้วยการคาดคะเนเอา

พระอานนท์ทูลถามพระองค์ตอนก่อนจะปรินิพพานว่า จะให้ใครเป็นตัวแทนของพระองค์
พระองค์ทรงตรัสว่า  ไม่มีใครแทนพระองค์ได้ นอนจากพระธรรม กับวินัย

ฉะนั้นเราก็จงช่วยกันศึกษาพระธรรม วินัยที่พระองค์ตรัสไว้  แล้วจะรู้สิ่งที่อยากรุ้

ซัมเบ้ Note 7 Jr.

นรก สวรรค์ มีจริงที่ไหน

มีอยู่ในใจ ไม่ตายก็เจอได้

ว่ามั๊ยครับ ...
ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป