ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เมื่อต้นไม้ใหญ่ต้องล้มลง เราจะอยู่กันอย่างไร (ตอนที่1)

เริ่มโดย อ่างขาง, 01:42 น. 21 ส.ค 55

อ่างขาง

อ่านตรงนี้ก่อน
ผมได้รับโจทย์จากเพื่อนเสื้อแดงท่านหนึ่ง นามว่า แจ๊ก โพธิ์แดง ได้ตั้งโจทย์ให้ผมต้องเขียนเรื่องนี้ "เมื่อต้นไม่ใหญ่ต้องล้มลง เราจะอยู่กันอย่างไร"และย้ำตลอดให้ผมต้องเขียนให้ได้ หลายสัปดาห์มาแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายเหลือเกิน ว่าผมจะกล้าเขียนไหม เขียนแล้วจะออกมาในรูปแบบใด
จนใจจริงๆ เลี่ยงไม่ได้ จึงต้องเขียนและเริ่มหาข้อมมูลเรื่องนี้มาเขียนให้ได้ จนได้ข้อมูลตรงกับโจทย์พอดี และข้อมูลที่เขียนมานี้ ยืนยันว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อนทั้งหมด และตัวละครที่เอ่ยถึง ทุกท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ทั้งสิ้น

แนะนำก่อน ที่ทุกท่านจะอ่าน
ท่าน เรวัต บุญทัพ ที่ผมขออนุญาตกล่าวถึงในข้อเขียนนี้ ปัจจุบัน ท่านคือ พล.อ.ณพล บุญทัพ รองสมุหราชองค์รักษ์ ในสมเด็จพระบรมราชินีนาถ


15ปีผ่านมา ย้อนรำลึกถึงอดีตในค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา

ณ.ขณะนั้นแม่ทัพภาคที่2มีนามว่า พล.ท.สุรยุทธ์ จุลานนท์
และ มีรองแม่ทัพนามว่า พล.ต.เรวัตร บุญทัพ
ทั้งคู่ล้วนเป็นนายทหารนักรบด้วยกันทั้งคู่ หลายต่อหลายสมรภูมิรบ สองท่านนี้ผ่านการเอาชีวิตเข้าแลกมาแล้วเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะพล.ต.เรวัติ บุญทัพ ในช่วงเขมรอพยพ การสู้กันเองของเขมรในประเทศท่านเป็นผู้บังคับกองร้อยและเป็นผู้บังคับบัญชาอยู่ที่นั่น ท่านเป็นลูกหม้อของทหารทัพภาคสองโดยแท้ เกิดและโตที่นั่นไม่เคยย้ายถิ่นฐานไปไหน ในชีวิตของท่านก่อนขึ้นเป็นรองแม่ทัพ ท่านเดินตามขั้นตอนมาอย่างถูกต้องทั้งสิ้น ไม่เคยโยกซ้ายโยกขวาไปหาผลประโยชน์ที่หน่วยงานไหนเลย ท่านโตตามขั้นตอนตามลำดับอย่างถูกต้องทุกประการ ทุกคนรู้ท่านคือทหารของฟ้าและท่านคือ อณาคตแม่ทัพภาค2 อณาคตผู้บัญชาการทหารบก

เหลือเฃื่อว่า "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" นั้นเรื่องจริง
ก่อนจะ สาธยายต่อว่า "ทำไมผมจึงกล่าวว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า" ผมขอย้อนรอยกลับไปถึงเกล็ดเล็กๆเรื่องหนึ่งที่เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อมาก
ท่านเรวัติ บุญทัพขณะเป็นรองแม่ทัพภาคที่สอง ท่านอาศัยอยู่ที่บ้านพักในค่ายทหารเหมือนกับนายทหารผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ บ้านพักของท่านเป็นบ้านสมัยใหม่"ลักษณะบ้านพักนายพล" สร้างเสร็จไม่กี่ปี แต่มีพื้นที่ภายนอกกว้างขวางมาก มีกรีนกอลฟ์ มีสนามไดร์ฟกอลฟ์ ภายในอณาเขตุที่พำนักของท่าน
และยังมีต้นไม้ยืนต้นเก่าแก่อยู่หลายต้น แต่มีอยู่สองต้นที่โดดเด่นมาก อยู่หน้าบ้านของท่านเลย ต้นไม้ทั้งสองต้นมีคนบอกว่าอายุไม่น้อยกว่า50ปีแล้ว คล้ายว่าทั้งสองต้นกำลังจะสิ้นอายุไขของมัน ใบของมันเริ่มเป็นสีคล้ำและร่วงหล่นลง ลำต้นคล้ายว่าเปาะบางเหลือเกิน กิ่งของมันล่วงหล่นลงเรื่อยๆ จนกระทั้งเหลือแต่ลำต้นที่เป็นลำของมันเองสูงตระหง่านอยู่เดียวดายแบบนั้น
คุณหญิง ที่เป็นภรรยาของท่านป่วยหนักมาก นอนอยู่ที่บ้านหลังนั้น มิได้เข้ารับใช้เบื้องยุคลบาทอีกแล้ว เรื่องที่เล่าได้เล่าต่อไปว่า มีซินแสผู้รอบรู้หลายคนมาแนะนำท่าน เรื่องต้นไม้ใหญ่อันเก่าแกนี้ ได้ให้คำแนะนำท่านว่า "ให้ท่านจงรักษามันไว้ให้ได้ อย่าให้มันต้องตายลงไป ถ้าต้นไม่ใหญ่นี้ตายไป ท่านเองจะมีเคราะห์กรรมและอาจจะไปไม่ถึงความฝันที่ท่านตั้งใจเอาไว้ และอาจจะต้องสูญเสียของรักไปด้วย"
ทุกคืนจะมีหมอดูและพวกไสยศาสตร์ทั้งหลายมาที่บ้านด้วยคำแนะนำจากใครต่อใครที่หวังดี มาเข้าทรงบ้าง มาทำพิธีเศกคาถาไล่เสนียดจัยไรบ้าง มากันทุกวันทั้งหมดนี้เพื่อรักษาต้นไม้นี้ให้ได้เท่านั้น
มีหมอต้นไม้เข้ามาดูแลรักษาต้นไม้ตอนกลางวันทุกวันมิได้ขาด มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาให้ยารักษา มีทหารคอยเฝ้าบำรุงรักษา แต่ไม่อาจทนทานอยู่ได้ ที่สุดต้นไม้ทั้งสองต้นนั้นก็ตายลงไป

อ่างขาง

ตอนที่2

ต่อมาไม่นาน คุณหญิงท่านก็จากไป ตามที่มีคนทำนายไว้ทุกประการ

ช่วงนั้นบังเอิญการเมืองเปลี่ยนขั้ว พล.อ.ชวลิตร ยงใจยุทธ์ตั้งรัฐบาล ทหารหลายนายที่อยู่นอกขั้วต้องกระเจิงไปไกล
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์เป็นแม่ทัพภาค2มา4ปีแล้วในฐานะเป็นลูกป๋า ไม่ยอมขยับซักที บิ๊กจิ๋วผู้ไม่กลัวใคร จัดส่งท่านสุรยุทธ์ไปเข้ากรุ ในอัตราพล.อ. ตำแหน่งผู้ชำนาญการกองทัพบกซะเลย
แล้วก็เอาท่านเรวัติ บุญทัพขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่2แทน
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าในชีวิตราชการของท่านได้หมดโอกาส ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกแล้ว เหตุ เพราะท่านต้องทนนั่งรอ ในตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพนานเกินไป
เมื่อท่านขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่2 ท่านย้ายบ้านออกจากที่เดิม ที่คิดว่าดีที่สุดแล้วในค่ายสุรนารีแห่งนั้น ท่านไปพักอยู่ที่ ตำหนักที่สมเด็จท่านทรงประทับอยู่แทน ที่มีสถานที่อยู่ในค่ายสุรนารีเหมือนกัน ซึ่งที่ประทับแห่งนี้ใช้สำหรับรับรองให้องค์สมเด็จท่านประทับพักผ่อนเปลี่ยนพระอิรยาบทเมื่อต้องเสด็จขึ้นภูพานราชนิเวศน์หรือเสด็จพระราชดำเนินมาเขตุอิสาน
นั่นหมายความว่า บ้านแม่ทัพตัวจริงที่ท่านสุรยุทธ์เองเคยอาศัยอยู่ ท่านเองก็ไม่ยอมไปพัก และบ้านที่ท่านอาศัยอยู่แล้วบูรณะไว้มากมายท่านก็ไม่ใส่ใจที่จะอยู่ต่อ
ท่านอาศัยอยู่ที่นั่น อยู่ในวังจริงๆ ให้เห็นกันจะจะไปเลยว่าท่านเองแน่แค่ไหน สายไหนกันแน่

ในฐานะแม่ทัพในตอนนั้น สิ่งที่ท่านทำเอาไว้ในตำแหน่งแค่ปีเดียว ท่านได้สร้างอะไรไว้มากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะกับเครดิสของท่านสุรยุทธ์ จุลานนท์ไม้เบื่อไม้เมา ตัวขัดขวางทางเดินของท่าน ท่านทำลายซะป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี
-รายได้จากสนามม้า รายได้จากสนามกอล์ฟ รายได้จากสถานีวิทยุทั้งภาคอิสาน ทั้งหมด ท่านประกาศมอบเป็นเงินให้กับนายทหารทุกคนแบ่งเฉลี่ยกันไปทุกเดือน โดยไม่เก็บเงินนั้นเข้ากระเป๋าตนเองเลย ทำบัญชีชัดเจนแล้วแจ้งให้ทราบโดยทั่วถึงกัน
-รายได้จากเงินเปอร์เซ็นต์ของค่าก่อสร้าง ซึ่งเมื่อถึงสมัยของท่านก็น้อยนิดแล้ว ซึ่งก็บังเอิญว่าท่านอยู่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำพอดี ในมหกรรมต้มยำกุ้ง แต่ท่านเองก็ไม่ยอมรับไว้เองเหมือนกัน ท่านประกาศให้นายทหารทุกคนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชารับทราบในที่ประชุมใหญ่ แล้วเอาเงินเปอร์เซ็นต์ที่ได้มานั้นไปทำประโยชน์ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาแทน ในสวัสดิการณ์รูปแบบต่างๆ
-ท่านเนรมิต บุ่งตาหลัวขึ้นมาเป็นสวนสาธารณะอย่างเหลือเชื่อ จากน้ำคลำสกปรกกลิ่นเหม็น ที่อาบน้ำม้า ที่มั่วงสุมเสพยาของเหล่ามิจฉาชีพ ท่านเนรมิตรซะจนโด่งดังเป็นสถานที่ท่องเที่ยงของโคราชไปซะเลย ประชาชนชาวโคราชสัมผัสได้ตรงนี้ถ้วนหน้า ทั้งที่ท่านไม่มีเงินมาดำเนินการเลย
ทั้งหมดที่ท่านทำ ก็เพียงจะบอกว่า ท่านสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นแม่ทัพมา4ปีเต็ม งบประมาณหลายหมื่นล้านบาท ท่านเอาไปไหนหมดแค่นั้น
และก็เปรียบเทียบให้เห็นว่า ถ้าจงรักภักดีจริง ต้องทำเพื่อประชาชนและประเทศชาติจริงๆ ไม่ใช่ทำเพื่อตนเองและพวกพ้องเท่านั้น พร้อมสั่งสอนให้เห็น "ทหารของพระราขา ต้องเป็นแบบไหน"

1ปีผ่านการเมืองเปลี่ยนอีกแล้ว พรรคปชป.สร้างตำนานงูเห่าภาคแรกขึ้นมา กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ท่านสุรยุทธ์ จุลานนท์ ต้นไม้ใหญ่ของท่านยังอยู่งคงกระพัน ท่านกลับมาใหม่อีกครั้งในตำแหน่งใหญ่คับประเทศนั่นก็คือ ผู้บัญชาการททหารบก
เช่นเดียวกัน ท่าน เรวัติ บุญทัพ ท่านก็ขยับก้นไปอีกเหมือนกัน ไม่ยึดติด เข้ากรุงไปรับตำแหน่งผู้ช่วยผบ.ทบ. ด้วยเหมือนกัน เป็นลูกน้องสายตรง ท่านสุรยุทธ์อีกครั้งหนึ่ง
เกล็ดเล็กๆตรงนี้ มีเรื่องเล่ามากมาย แต่ เป็นแค่เรื่องเล่าที่คล้ายว่าตีวัวกระทบคราดกันไปมามาแค่นั้น ไม่กระเทือนถึงตัวตนทั้งสองฝ่ายผู้เขียนจึงไม่นำมาเล่าต่อให้เสียเวลา
จนกระทั้งเมื่อทั้งสองฝ่ายต้องปลดเกษียณกันไป
ท่าน สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ตำแหน่งเป็นองค์มนตรีรับใช้เบื้องยุคลบาทในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีคฤหาสใหญ่โตอยู่ในสนามกอล์ฟที่แม้แต่นักข่าวก็ไม่สามารถถ่ายภาพบ้าน ออกมาให้คนอื่นดูได้ และมีบ้านตากอากาศที่ทราบเป็นทางการอยู่อีกแห่งบนยอดเขายายเที่ยง ทั้งหมดที่ได้มาเป็นด้วยเงินบริสุทธ์ของท่านเองโดยแท้
ส่วนท่านเรวัติ บุญทัพ ที่ต้นไม้ใหญ่ล้มลงท่านก็เดินอีกเส้นทางหนึ่งไปเป็น สมุหราชองค์รักษ์ในสมเด็จท่าน และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ณพล บุญทัพ แทน




ยังมีตอนที่3 ต่อครับ

อ่างขาง

ตอนที่3

เวลาผ่านไป โลกหมุนไปเรื่อยๆของมัน ท่านสุรยุทธ์ได้ดิบได้ดี มีราชรถมาเกยได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ภายใต้สถาณการณ์มืดมิด ที่จะต้องปิดประตูตีแมว(แมวที่ว่านั้นชื่อทักษิณ) ซึ่งขณะนั้น แทบจะทุกกระบวนการของหน่วยงานราชการ ร่วมหอลงโลง เล่นงานด้วยอย่างต่อเนื่อง

แต่..ท่านณพล บุญทัพซึ่งเป็นรองสมุหราชองค์รักษ์อยู่ในขณะนั้น แหวกความมืดออกมา ท่านเองได้เชิญคุณหญิงอ๋อ ภรรยาของท่านทักษิณเป็นประธานเบิกเนตรรูปปั้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่โคราช ซะอย่างนั้น ในขณะที่ทุกอันนูของประเทศไทยกำลังระดมกันล้างสมองคนไทยให้เกลียดทักษิณอย่างต่อเนื่อง ท่านทำตัวเสมือนว่า"ท่านเองไม่อยู่ในกระบวนการนั้นด้วย"อะไรแบบนั้น
จนเป็นที่ฮือฮาจนถึงปัจจุบันนี้ ท่านอยู่ฝ่ายไหนกันแน่

ผมได้ติดค้างท่านผู้อ่านเอาไว้ในตอนที่1 ในข้อความที่ว่า "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" แท้จริงคือสิ่งใดกันแน่ แท้จริงผมจะบอกว่าอะไร
คำตอบก็คือ สามัญชนสองคน ที่บังเอิญต้องมาแข่งกัน ทั้งสองคนต่างมีผู้ส่งเสริมที่ดีด้วยกันทั้งคู่ ถ้าในสายตาเราๆ คนที่เส้นใหญ่กว่าประวัติดีกว่าคนนั้นต้องชนะใช่ไหม แต่เหตุการณ์นี้มันไม่ใช่ ไอ้ที่ว่าใหญ่แล้วยังมีคนที่ใหญ่กว่าอีก
ท่านที่หนึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประวัติท่านมิใช่โดดเด่นอะไรมากนัก มิหนำซ้ำ บิดาท่านเองยังมีประวัติที่เป็นภัยร้ายแรงต่อประเทศชาติและราชบัลลังก์ เพียงแต่ท่านได้รับการอุ้มชูจากสามัญชนคนธรรมดาอีกคนหนึ่งเหมือนกัน ท่านก็สามารถไต่เต้าขึ้นมาเหนือใครในแผ่นดินนี้ได้ คุมกำลังพลได้ทั้งประเทศไทย โดยการเขี่ยให้อีกคนที่มีเส้นใหญ่กว่าพ้นทางไปได้ เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเป็นอย่างไม่น่าเชื่อ

อีกท่านหนึ่งที่เป็นคู่แข่ง นามท่าน พล.อ.ณพล บุญทับ ประวัติท่านโดดเด่นมาก เป็นนักรบที่เก่งกาจสามารถ ระบือนาม เติบโตมาในสายการรบอย่างเดียวมาตลอด เป็นที่โปรดปราณของสมเด็จท่านเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่ตนเองมียศทางทหารแค่ พท. ภรรยาก็ได้สายสะพายถุกแต่งตั้งเป็นคุณหญิงแล้ว เป็นสิ่งที่มหศจรรย์มากสำหรับคนๆหนึ่งที่ได้เกิดมาในประเทศนี้แล้วได้รับความเมตตาถึงขนาดนี้ ซึ่งในชีวิตจริงของท่านเองน่าจะสามารถขีดเส้นทางการเดินได้เลยว่า ที่สุดจะอยู่ตรงไหนแต่ท่านก็ทำไม่สำเร็จ และสิ้นสุดลงแค่ตำแหน่งรองผบ.ทบ.เท่านั้น
อย่างที่กล่าว ถ้าเราเปรียบเทียบว่าฟ้าสูงแล้ว มิมีใครเอื้อมถึงได้
ยังมีสิ่งที่เราไม่คาดคิด สูงกว่าฟ้าขึ้นมาอีก
ดังตัวอย่างที่ยกมาให้เห็นนี้ นั่นคือเหนือฟ้ายังมีฟ้า

มาเข้าประเด็นในหัวข้อเรื่องอีกครั้ง
ถ้าจะเปรียบบุญบารมีของท่านผู้สูงศักดิ์ที่สุดของแผ่นดิน ว่า "ต้นไม้ใหญ่"
ถ้าจะมีอะไรที่เหนือกว่าต้นไม้ใหญ่ เราคงคิดไม่ถึงว่า สิ่งนั้นก็คือ "กาฝาก"
ไอ้ที่เราเห็นเขียวๆเจริญงอกงามใบเต็มต้นอยู่นั้น แท้จริงมันคือใบของกาฝากที่แอบแฝงอยู่ในต้นไม้ใหญ่ต่างหาก มันไม่ใช่ความเขียวชะอุ่มของต้นไม้จริงๆ ซึ่งต้นไม่จริงๆอาจถูกแมลงเจาะเป็นโพลงจนกลวงไปแล้วก็ได้ และสุดท้ายต้นไม้ก็ต้องตายไปเอง กลายเป็นตอไม้อย่างไร้ค่า

กรณีบุคคลทั้งสองท่านนี้ ผมมิบังอาจไปเปรียบเทียบ ใครคือต้นไม้ใหญ่ ใครคือกาฝากได้ เพียงแต่เขียนเป็นข้อคิดให้ท่านๆที่อ่านทั้งหลายช่วยกันวิเคราะห์ดูกันเองเท่านั้น

ดังนั้นคำถามที่ถามมาตั้งแต่ตั้งกระทู้ เมื่อต้นไม่ใหญ่ต้องล้มลง เราจะอยู่กันอย่างไร นั้น
ผมจึงตอบว่า คงไม่เป็นอะไร เพราะกาฝากที่อาศัยต้นไม้อยู่มันไม่ได้ตายไปด้วย มันแผ่สาขาไปทั่วแล้ว มันแอบไปเจริญเติบโตที่อื่นกันหมดแล้ว มันจึงไม่ต้องอาศัยต้นไม้ใหญ่กันอีกต่อไป จะล้มหรือไม่ล้มก็ไม่มีผลแล้วครับ