ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

แหล่งรวมบทความสารคดี

เริ่มโดย อินดี้, 01:23 น. 27 ส.ค 56

อินดี้

บล็อกจัดอันดับของกินร้านอร่อย จัดอันดับชีวิตสัตว์ ไขปริศนาคดีดัง บทความน่ารู้ ความรู้รอบตัว มาดูกันได้ที่  จัดอันดับ

















































50 อาหารแปลกขายดีของญี่ปุ่น

อาหาร 100 อย่างตามทางรถไฟสายยามาโนเตะ

10 อันดับอาหารหม้อไฟของญี่ปุ่น

50 เมนูอาหารญี่ปุ่นบนทางด่วน

30 อันดับขนมหวานเมืองคามาคูระประเทศญี่ปุ่น

5 สุดยอดร้านกระเพาะปลาในกรุงเทพ

5 สุดยอดร้านกุ้งอบวุ้นเส้น

5 สุดยอดร้านเกาเหลาเลือดหมู

5 สุดยอดร้านโจ๊กในกรุงเทพ

ย้อนรอยคดีพิศวาสฆาตกรรม นวลฉวีและศยามล

ไขปริศนาใครคือแจ๊คเดอะริปเปอร์ (Jack The Ripper)

คดีฆาตกรรมในโรงนาสีแดง (Red Barn Murder)

โจโจ้ซัง แม้เป็นเพียงเกอิชาก็ขอมีรักแท้

10 อันดับสัตว์ยอดแหยะ

20 พืชผักแปลกสายพันธุ์เก่าแก่ 

คดีวิตถาร ครูสาวทำช็อคฆ่าข่มขืนนักเรียนหญิง 

ย้อนรอยคดีซีอุยฆ่ากินเครื่องในเด็ก 

10 อันดับสัตว์แปลกที่คนไทยนิยมเลี้ยงมากที่สุด 

10 เกมส์ทำอาหารน่าเล่น 

แนะนำเกมส์ทำอาหาร 2 Tasty Too

สมุนไพรต้นเหงือกปลาหมอ

ย้อนรอยคดีเพชรซาอุ

ว่าด้วยเรื่องราวความ หลากหลายของเครื่องดื่มทั่วโลก

ตำนานธอร์ (Thor) เทพสายฟ้า 

20 เมนูกับข้าวยอดนิยมของญี่ปุ่น

แนวข้อสอบใบขับขี่ คู่มือสำหรับผู้ทดสอบเพื่อขอใบอนุญาตขับรถ ชุดที่ 1

แนวข้อสอบใบขับขี่ คู่มือสำหรับผู้ทดสอบเพื่อขอใบอนุญาตขับรถ ชุดที่ 2

เอเลี่ยนสปีชี่ส์ หายนะจากต่างแดน ผักตบชวา ไมยราบยักษ์ ปลาซัคเกอร์ หอยเชอรี่

10 วิธีขาวใสไม่พึ่งกลูต้าไธโอน 

คดีโหดแห่งเขาแอลป์

รื้อคดี นาตาลี วู้ด อุบัติเหตุหรือฆาตกรรม

ขุนศึกหญิงแดนมังกร มู่กุ้ยอิง หวางชิงเอ๋อ และฮัวมู่หลาน

ลีโอ ตอลสตอย เมื่อความรักฆ่านักปราชญ์ 

มฤตยูในสายน้ำ แมงกะพรุนกล่อง 

วิเคราะห์นิยายเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์

วิธีตั้งเลขพยากรณ์ ดูดวงตำราพรหมชาติ 



อินดี้


อินดี้

ขายการ์ตูน pdf ออนไลน์ ดูรายละเอียดแต่ละเรื่องเลยจ้า
ติดต่อแม่ค้า
ไลน์ fattycatty

สแกนคิวอาร์โค้ดเพิ่มไลน์ได้ที่นี่


อีเมล์ richyamazon@gmail.com









เหิรฟ้าไปคว้ารัก

การ์ตูน princess

มนต์รักลมหนาว

ยกหัวใจให้ใครดี

เล่ห์รักปักหัวใจ

อินดี้

TOM CLANCY'S GHOST RECON:WILDLANDS
ครั้งแรกของเกมซีรีส์ Tom Clancy's Ghost Recon สำหรับการสวมบทบาทเป็นทหารหน่วยพิเศษพร้อมพวก อีก 3 กับเกมยิงออนไลน์รูปแบบ "โอเพ่นเวิลด์" ทุกพื้นที่ในเกมจึงกลายเป็นภารกิจสุดท้าทายในเขตรอยต่อระหว่าง โบลิเวียและเปรู ต้องปะทะกับเหล่าองค์กรค้ายาเสพติด ที่กฎหมายกลายเป็นสิ่งไร้อำานาจใดๆ เป้าหมายคือต้องหาทางทลายองค์กรเหล่านี้และยังต้องหาทางโค่นล้มรัฐบาลฉ้อโกงลงให้จงได้

ULTIMATE MARVEL VS. CAPCOM 3
เกมมันส์ห้ำหั่นกันกับสามกลุ่มนักรบอย่างอัศวิน ไวกิ้ง และซามูไร ใช้ทักษะการต่อสู้แตกต่างกัน รวมถึงไหวพริบในการวางแผนรุกเข้าฐานกองกำาลังศัตรูฝ่ายตรงข้าม สามารถเล่นพร้อมกันได้ถึง 8 คน แบบ4 ปะทะ 4 คอนเฟิร์มว่ากราฟิกงดงามสมจริงและสุดโหด

MASS EFFECT: ANDROMEDA
ปฏิบัติการของพลซุ่มยิงที่แม่นราวกับจับวางชื่อว่าคาร์ล แฟร์เบิร์น ผู้เข้าร่วมกับกลุ่มนักสู้ชาวอิตาเลียนในกองกำาลังต่อต้านลัทธิเผด็จการชาตินิยมอย่าง เบนิโต มุสโสลินี อันเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง สามารถเล่นคนเดียว หรือเล่นร่วมกันได้

KINGDOM HEARTS HD I.5 + II.5 REMIX
เกมซิ่งของสิงห์มอเตอร์ไซค์ภาคที่สอง มาสนองนักบิดผู้กระหายความเร็วและความท้าทาย ไปกับรถจักรยานยนต์ระดับแรงๆ มากกว่า 200 รุ่น จากหลากหลายแบรนด์ดัง เพิ่มเติมภาพการแข่งขันและสนามหลากหลายท่ามกลางสภาพอากาศที่ยากเกินคาดเดา

เล่าเรื่องสยองขวัญ สยองกลางทุ่ง
10 โรคมฤตยูที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
10 อันดับฆาตกรต่อเนื่องที่อำมหิตที่สุดในโลก
10 สุดยอดคนสมองเพชรที่ฉลาดที่สุดในโลก
เล่าเรื่องสยองขวัญ นั่งซากหวาดผวา ศพล่อเสือ
25 การทรมานสุดโหดในประวัติศาสตร์
มนุษย์กินคนในตำนาน ซอว์นี่ บีน (Sawney Bean)
25 อาหารแปลกจากทั่วโลก
10 อันดับสุดยอดเรื่องเล่าสยองขวัญเดอะช็อค
จัดอันดับ
เรื่องเล่าสยองขวัญ
ประวัติศาสตร์
เมนูอาหาร
สุขภาพ
เทคโนโลยี

อินดี้

กำเนิดเอกภพ



เมื่อมองขึ้นไปบนฟากฟ้า คุณเคยสงสัยมั้ยว่า ดวงดาวที่กระพริบระยิบระยับเหล่านั้น อยู่ห่างไกลจากเราเพียงไหน ในสมัยกรีก เราเคยเชื่อว่าโลกแบนและคิดว่าโลกเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งในจักรวาล มีดวงดาวและดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ไปรอบๆโลก จนกระทั่งนิโคลัส โคเปอร์นิคัสค้นพบว่าดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ โลกและดาวเคราะห์ล้วนโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงกลม เมื่อกาลิเลโอ กาลิเลอี ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ได้สำเร็จ เราจึงสามารถสังเกตการณ์วัตถุต่างๆ บนท้องฟ้าได้ และค้นพบสิ่งแปลกใหม่อีกมากมาย รวมถึงดวงจันทร์สี่ดวงที่โคจรรอบๆ ดาวพฤหัสบดี ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง โจฮันนส์ เคปเลอร์ ก็ได้ค้นพบกฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ ที่บอกว่าพื้นที่สามเหลี่ยมจากดาวเคราะห์ไปยังดวงอาทิตย์ในเวลาที่เท่ากันจะมีพื้นที่เท่ากัน จากนั้นปริศนาแห่งจักรวาลก็ค่อยๆคลี่คลายขึ้นทีละน้อย เมื่อเซอร์ไอแซค นิวตัน ค้นพบกฎของแรงโน้มถ่วงและการเคลื่อนที่ของวัตถุ  เพราะนั่นคือคำอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ บนโลกและการโคจรรอบดวงอาทิตย์ของดาวเคราะห์ได้เป็นอย่างดี

ในขณะที่ เอ็ดมัน แฮลลีย์ เป็นผู้สำรวจพบว่า ดาวหางดวงหนึ่งโคจรมาให้ชาวโลกเห็นทุกๆ 75 ปี  เมื่ออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ศึกษาพบว่า แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง เมื่อแสงเข้าใกล้วัตถุที่มีแรงโน้มถ่วงสูงและทุกสิ่งในเอกภพเคลื่อนที่ไปไม่หยุดนิ่ง เขาจึงได้ค้นพบสมการที่ไขปริศนาความลับการเปลี่ยนแปลงระหว่างสสารกับพลังงาน นั่นคือ E=mc2  เอ็ดวิน ฮับเบิ้ล ได้เสนอทฤษฎีว่าด้วยการขยายตัวของเอกภพที่เราเรียกกันว่า ทฤษฎีบิ๊กแบง (Big Bang Theory) เพราะเขาสังเกตเห็นว่ากาแล็คซี่ทั้งหลายเคลื่อนตัวหนีห่างจากกันและกัน จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 20 สตีเฟน ฮอว์คิง จึงได้นำทฤษฎีพื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนมาอธิบายความเป็นไปในจักรวาล ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของการระเบิดใหญ่ที่ทำให้เอกภพนี้ถือกำเนิดขึ้น การระเบิดใหญ่ที่เรารู้จักกันในชื่อว่าบิ๊กแบง

เอกภพของเรามีขนาดมหึมาและรวมทุกสิ่งทุกอย่างในอวกาศเอาไว้ ทั้งโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์และกาแล็คซี่จำนวนมาก ระยะทางอันแสนไกลในอวกาศสามารถระบุได้ด้วยอัตราเร็วของแสง  เนื่องจากแสงเดินทางได้เร็วที่สุดเกือบ 3 แสนกิโลเมตร ในหนึ่งวินาที แม้ดวงอาทิตย์จะอยู่ห่างจากโลก 150 ล้านกิโลเมตร แต่แสงก็ใช้เวลาเดินทางเพียง 8 นาทีเท่านั้น ในระยะเวลา 1 ปี แสงจะเดินทางได้ 9ล้าน 5 แสนล้าน กิโลเมตร เราเรียกระยะทางนี้ว่า 1 ปีแสง ระบบสุริยะของเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งในแกแล็คซี่ทางช้างเผือก ซึ่งประกอบรวมกับกาแล็คซี่อีกจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นเอกภพ โดยกาแล็คซี่ขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เราที่สุดอยู่ห่างจากโลกถึงสองล้านปีแสง นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าเอกภพของเราเริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นสามพันล้านปีถึงหนึ่งหมื่นสี่พันล้านปีมาแล้ว โดยการระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่าบิ๊กแบง

เอกภพอุบัติขึ้นจากพลังงานมหาศาล ซึ่งมีอุณหภูมิสูงมากประมาณ สิบยกกำลังสามสิบสององศาเคลวิน แต่มีขนาดเล็กเป็นจุดเล็กๆ ที่รวบรวมสสารและพลังงานทั้งเอกภพหลังจากเกิดบิ๊กแบง ในตอนแรกเอกภพอยู่ในรูปของพลังงาน เนื่องจากสสารและตัวต้านสสารทำลายล้างกันได้เช่นเดียวกับพลังงาน  โชคดีสำหรับเราที่สสารเป็นฝ่ายชนะทำให้เอกภพของเรามีสสารมากมาย เอกภพทั้งหมดซึ่งมีสสารและพลังงานได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับลดอุณหภูมิลง เอกภพจึงมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มีอุณหภูมิต่ำลงเรื่อยๆ เหลือ 3,000 องศาเคลวินในปัจจุบัน เมื่อเอกภพขยายตัวขึ้น แรงโน้มถ่วงก็เริ่มทำงาน แรงโน้มถ่วงคือสิ่งที่ควบคุมเอกภพ เป็นแรงที่ดึงวัตถุเข้าหากัน ยึดเหนี่ยวกันจนกลายเป็นก้อนก๊าซและกลายเป็นดาวฤกษ์ กระจุกดาวฤกษ์ขนาดมหึมานี้นะถูกยึดเหนี่ยวเข้าด้วยกันด้วยแรงโน้มถ่วงกลายเป็นกาแล็คซี่ อย่างที่เราเห็นเป็นรูปไข่และรูปสไปรัลกันในปัจจุบัน แต่กาแล็คซี่ก็ยังมีดาวฤกษ์ใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ รวมถึงยังมีแรงโน้มถ่วงดึงดูดกาแล็คซี่ข้างเคียงมาเรื่อยๆอีกด้วย และเมื่อถูกดึงดูดมารวมกัน กาแล็คซี่ก็สามารถเปลี่ยนรูปร่างไปได้อีก

กาแล็คซี่ที่อยู่ในเอกภพไม่ได้กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่เป็นแผ่นกว้างหรือเรียงเป็นเส้นสายหรือเป็นกลุ่ม บางแห่งเป็นครอบครัวใหญ่ของกาแล็คซี่จำนวนมากเรียกว่ากระจุกกาแล็คซี่ กาแล็คซี่ที่เราอยู่เรียกว่า กาแล็คซี่ทางช้างเผือก ซึ่งประกอบด้วยดาวฤกษ์สองแสนล้านดวงถึงสี่แสนล้านดวง ดาวเคราะห์กับเมฆฝุ่นกับก๊าซที่เรียกว่าเนบิลล่า ถ้าเรามองดูกาแล็คซี่ทางช้างเผือกจากในอวกาศ เราจะเห็นเป็นกาแล็คซี่แบบสไปรัล กาแล็คซี่ทางช้างเผือกเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นล้านถึงหนึ่งหมื่นสี่พันล้านปีมาแล้ว จากกลุ่มก๊าซขนาดใหญ่ที่หมุนรอบตัวเองช้าๆ แรงโน้มถ่วงดึงก๊าซเข้าสู่ศูนย์กลาง ทำให้ก๊าซยุบตัวลงเป็นรูปจานคว่ำประกบกัน นูนออกตรงกลาง ที่จุดศูนย์กลางของกาแล็คซี่มีหลุมดำอยู่ที่นั่น เราสามารถสังเกตเห็นวัตถุเคลื่อนที่รอบศูนย์กลางของกาแล็คซี่ด้วยความเร็วที่สูงมากหรือบางครั้งพบก๊าซร้อนที่หมุนวนรอบศูนย์กลาง นี่คือหลุมดำที่มีแรงโน้มถ่วงสูงดึงทุกสิ่งทุกอย่างลงไปในหลุม แม้แต่แสงสว่างซึ่งมีความเร็วสูงที่สุดก็ยังไม่สามารถหลุดออกมาได้ เราจึงเห็นหลุมนั้นมืดมิด แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งพลังงานจำนวนมากจากสสารที่ดึงดูดเข้าไปนั้นออกมา ในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 แสนปีแสง มีหลุมดำที่มีมวลสารมากกว่าดวงอาทิตย์หลายล้านเท่า เป็นที่น่าสนใจว่า จากบริเวณศูนย์กลางที่มีขนาด 20 ปีแสง มีคลื่นวิทยุที่มีความร้อนแผ่กระจายออกมาด้วยความเข้มเท่ากับดวงอาทิตย์ 80 ล้านดวง

ภายในหลุมดำที่มนุษย์มองไม่เห็น มีความลับอีกมากมายที่ชวนให้เราค้นหา ในขณะที่นักดาราศาสตร์กลุ่มหนึ่งเชื่อว่า เอกภพจะยืดแผ่ขยายไม่มีที่สิ้นสุด เนื่องจากกาแล็คซี่เคลื่อนที่ถอยห่างกันไม่หยุดยั้ง นักดาราศาสตร์อีกกลุ่มกลับเชื่อว่า สักวันหนึ่งกาแล็คซี่จะถดถอยหวนกลับเกิดการชนผนึกครั้งใหญ่ รวมกันเป็นก้อนใหญ่อีกครั้ง ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 การศึกษาเรื่องราวของเอกภพยังก้าวหน้าไปไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ.2546 นักวิทยาศาสตร์ได้
ค้นพบว่าที่ดาวเคราะห์ดวงที่สิบ ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปจากดาวพลูโต ดาวเคราะห์ดวงที่เก้าของเรา ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 15,000 ล้านกิโลเมตร และอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ถึง 97 เท่าของโลก ปัจจุบันดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ระหว่างการตั้งชื่อโดยมีชื่อเรียกชั่วคราวว่า 2003-UB313 เพราะการศึกษากาแล็คซี่และเอกภพ เป็นการศึกษาอดีต และเป็นสิ่งที่มนุษย์คาดว่าจะทำให้เราล้วงรู้ความเป็นไปของโลกในอนาคตได้ เราจึงค้นคว้ากันอย่างจริงจัง เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ ที่สำคัญและอาจหมายรวมถึงเรื่องราวอีกมากมายที่มนุษย์พยายามไขปริศนา เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีอารยธรรมอื่นในเอกภพที่เกิดขึ้นและดับสูญไปนานก่อนโลกของเรา เอกภพนี้จะถึงกาลอวสานหรือไม่ แม้กระทั่งว่าเราคือสิ่งมีชีวิตเดียวในจักรวาลหรือไม่ ความลึกลับของเอกภพยังคงรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ค้นหา

เมื่อมองขึ้นไปบนฟากฟ้าอีกครั้ง... คุณนึกถึงอะไร?

ที่มา สวทช

5 ปริศนาที่ไร้คำอธิบายของจักรวาล
กำเนิดดวงอาทิตย์
กำเนิดเอกภพ
7 สิ่งมหัศจรรย์ในระบบสุริยะจักรวาล
สตีเฟ่น ฮอว์คิง (Stephen Hawking) กับคำถามสำคัญของเอกภพ
จักรวาลและดาวเคราะห์

แหล่งรวมบทความจัดอันดับ สารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  https://www.anyapedia.com

อินดี้

ประวัติศาสตร์กำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China)



ประเทศจีนที่ซึ่งประวัติศาสตร์และตำนานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ จนบางครั้งมันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกเรื่องจริงออกจากนิทานในดินแดนที่สสารไม่จีรัง เหมือนหมอกยามเช้าในหุบเขาลุ่มแม่น้ำเหลือง กองหินมหึมาที่เรียกว่ากำแพงเมืองจีน โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินทันทีทันใดเหมือนมังกรหลับใหล หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณและโลกปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ของมันถูกห้อมล้อมด้วยเรื่องเล่าขานของเหตุการณ์นองเลือดและความบ้าคลั่ง มันถูกกล่าวว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ยาวที่สุดในโลก มังกรหินขนาดมหึมาที่ขนาดของมันไม่เพียงแต่น่าเกรงขาม แต่ยังเป็นแนวคิดของมันเอง มันเป็นการเปลี่ยนสัญลักษณ์ของความอัปยศ ความขัดแย้งของชาติ เป็นหลักการทางจิตวิทยาและวัฒนธรรมของประเทศจีนสมัยใหม่ด้วย

กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างไม่เป็นทางการของประเทศจีนในปี 1972 เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เดินเข้าไปในระหว่างการเยือนเพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศจีน เขากล่าวว่า "ผมคิดว่าคุณต้องพูดได้ว่า มันต้องเป็นกำแพงอันยิ่งใหญ่ ถูกสร้างโดยคนของประเทศที่ยิ่งใหญ่" แต่ชาวจีนเองไม่รู้สึกภูมิใจกับมันเสมอไป มุมมองเดิมของจีนต่อกำแพงก็คือพวกเขาคิดว่า มันเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่กดขี่ ความอ่อนแอทางทหารและความไร้ประโยชน์ มันเป็นสัญลักษณ์ของการทนทุกข์ของชาวจีนภายใต้การปกครองแบบกดขี่ มันเริ่มขึ้นที่บริเวณภูเขาบรรจบกับทะเล ที่ชางไห่กวนและทอดยาวผ่านภาคเหนือของจีนไปจรดขอบทะเลทรายโกบี ก่อให้เกิดระบบที่เรียกว่ากำแพงยาวซึ่งกินระยะทางหลายพันไมล์ของดินแดนจีน และความสง่างามของมันได้รับการเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวางทั้งในนิทานและในตำนาน

ถึงกระนั้นโลกตะวันตกก็ไม่ได้รับรู้ถึงการปรากฏอยู่ของกำแพงเมืองจีนเป็นเวลากว่า 1,500 ปี ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มันไม่ปรากฏอยู่ในภาพวาดของจีนสมัยนั้น หรือในบันทึกของมาโคโปโลตอนที่เขามาประเทศจีนในศตวรรษที่ 13 ในความเป็นจริงชาวจีนไม่ได้เรียกมันว่ากำแพงอันยิ่งใหญ่ จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 ที่โลกตะวันตกหลงใหลมันจนตั้งชื่อนี้ให้ ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 เริ่มมีแนวคิดแบบตะวันตกที่สถาปนาให้กำแพงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของประเทศจีน และชาวจีนก็ยอมรับแนวคิดนี้ เพื่อให้มันกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมสมัยใหม่ของประเทศจีน

ในปี 1908 นักเขียนและนักผจญภัย วิลเลี่ยม เอดการ์ กิล (William Edgar Geil) กลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่เดินทางตลอดแนวกำแพง ข้อสังเกตของเขาเป็นคำเชื้อเชิญมากกว่าคำชมเชย และคำประกาศอันน่าอับอายของเขาถูกนำมากล่าวซ้ำจนถึงปัจจุบันว่า "กำแพงเมืองจีนคือสัญลักษณ์แห่งยุคทองของจีน มันยาว 1,700 ไมล์ และเป็นสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ที่มองเห็นด้วยตาเปล่าจากดวงจันทร์" ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่สามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากดวงจันทร์ เรื่องราวนี้ถูกแพร่ออกไปตอนที่มีการขึ้นสู่อวกาศ และมันก็เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักบินอวกาศ ในหมู่คนที่เคยออกไปอยู่ในอวกาศว่า คุณไม่สามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากอวกาศได้ และนักบินอวกาศมักจะบอกว่า มีคนไม่น้อยที่ถามคำถามนี้ แต่เรื่องเล่าอื่นๆยังคงอยู่และแทบไม่เคยได้รับการยืนยันจากวิทยาศาสตร์

มีการคำนวณทุกชนิดในศตวรรษที่ 19 ออกมาว่า คุณเอาหินทุกก้อนจากกำแพงมาเรียงใหม่ได้รอบเส้นศูนย์สูตร หรือว่ามันมีมวลเท่ากับบ้านทุกหลังในอังกฤษและสก็อตแลนด์ และเรื่องเหล่านี้ก็อยู่มาจนถึงในศตวรรษที่ 20 ตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันมีกำแพงเมืองจีนจริงหรือไม่ มันเต็มไปด้วยความสงสัยว่ากำแพงเมืองจีนเคยปรากฏอยู่ในฐานะแนวป้องกันชิ้นเดียวยาวต่อเนื่องข้ามภาคเหนือของประเทศจีน มันน่าจะเป็นกำแพงไม่ต่อเนื่องหลายชุดที่สร้างในเวลาต่างๆ กัน โดยผู้คนต่างๆ กัน เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ กัน แล้วนำมาต่อกัน ปล่อยให้ผุพัง สร้างใหม่ และขยายออกในช่วงราวๆ 2,000 ปี เมื่อคนคิดถึงกำอพงเมืองจีน พวกเขาคงจะคิดถึงสิ่งก่อสร้างใหญ่โต ยาวต่อเนื่องกันหลายพันไมล์ข้ามประเทศจีน แน่นอนว่าความจริงมันต่างจากนั้นมาก กำแพงถูกสร้างเป็นชิ้นๆ ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าซากปรักหักพังทางโบราณคดีเลย และในพื้นที่ห่างไกลของจีนส่วนใหญ่มันก็ถูกทับถมไปแล้ว

ส่วนของกำแพงที่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิงที่ยังเหลืออยู่ ส่วนที่พวกเขาสร้างในศตวรรษที่ 16 นั้นน่าทึ่งมาก มันเป็นกำแพงอิฐตันอยู่บนภูเขาสูงชันพร้อมด้วยหอสังเกตการณ์ และมันก็ยากมากที่จะจินตนาการว่าพวกเขาสร้างมันจนเสร็จได้อย่างไร สำหรับขนาดอันใหญ่โตและมิติอันหนักแน่นของมัน กำแพงเมืองจีนยังคงมีปริศนาซ่อนอยู่ มันไม่เคยได้รับการสำรวจอย่างทั่วถึง และแม้แต่ในปัจจุบัน ไม่มีใครแน่ใจถึงความยาวและเส้นทางแท้จริงของมัน ประวัติศาสตร์กำแพงเมืองจีนที่ตกมาถึงเรา คือการผสมผสานอันแปลกประหลาดของความจริงและจินตนาการ หลักฐานอันหนักแน่นเพียงเล็กน้อยหลอมรวมกับเรื่องเล่าขานและตำนาน และมันก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกมันออกจากกัน

ไม่เคยมีอารยธรรมใดที่ดูจะนิยมการสร้างกำแพงมากกว่าชนชาติจีนอีกแล้ว การตั้งถิ่นฐานครั้งแรกสมัยยุคหินกลางหรือนีโอลีธิก (Neolethics) ส่วนสำคัญของเมืองถูกล้อมรอบด้วยคันดินถม อันที่จริงแล้วคำว่าชางที่แปลว่าเมืองในภาษาจีนยังแปลว่ากำแพงอีกด้วย กำแพงเมืองจีนคือกำแพงซ้อนกำแพง กำแพงเมืองจีนเป็นส่วนปกป้องกำแพงที่ซ้อนกันอยู่ทั้งปวง รวมถึงกำแพงของบ้านพักอาศัยด้วย กำแพงเป็นส่วนลึกล้ำทางประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมจีน พวกเขาสร้างกำแพงล้อมรอบบ้านและวัด เทพเจ้าของกำปพงและอาคารมีอำนาจเหนือขอบเขตความเป็นและความตาย คนจีนสร้างกำแพงเพื่อระบุขอบเขตของพวกตน เพื่อป้องกันผู้แปลกหน้าจากที่ห่างไกล กำแพงในบางแห่งอาจมีความสำคัญในบางพิธีกรรมด้วย ประเทศจีนสมัยก่อนเป็นอาณาจักรที่ปราศจากความสงบ การที่ชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือและอาณาจักรข้างเคียงที่ตื่นตัวทุกครั้งเมื่อมีสัญญาณของความอ่อนแอ กำแพงจึงถูกมองว่าเป็นความจำเป็นทางยุทธศาสตร์

จนสิ้นศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล บริเวณที่กลายเป็นประเทศจีนได้ก้าวเข้าสู่ยุคของความขัดแย้งระหว่างรัฐที่ยาวนานถึง 500 ปี มันประกอบด้วยรัฐที่ปกครองด้วยระบบขุนนางและรัฐเล็กๆ ที่ปกครองด้วยระบบศักดินาที่มารวมตัวกันหลายแห่งมารวมตัวกันอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซึ่งมีอำนาจทางจิตใจและพิธีกรรมมากกว่าในทางปฏิบัติ จนถึงกลางศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล เกียรติยศและพันธไมตรีที่มอบให้จักรพรรดิต้องหลีกทางให้กับความเห็นแก่ตัวและการเข่นฆ่า มันคือช่วงสงครามระหว่างแคว้นที่ชาวจีนเริ่มสร้างกำแพงขึ้นอย่างจริงจัง แคว้นฉีสร้างกำแพงขึ้นตามแนวชายแดนด้านใต้เพื่อป้องกันศัตรูจากแคว้นฉู แคว้นฉูสร้างกำแพงตามแนวชายแดนด้านเหนือเพื่อป้องกันตนเองจากแคว้นฉิน แคว้นเยนและแคว้นเฉาสร้างกำแพงเพื่อป้องกันตนเองจากพวกเร่ร่อนทางเหนือและจากกันและกัน กำแพงมีความยาวทั้งหมดประมาณ 2,800 ไมล์ กำแพงถูกสร้างขึ้นตามแนวชายแดนของแคว้นต่างๆ ที่ทำสงครามกัน

ในยุคหนึ่งมีแคว้นต่างๆ ถึง 120 แคว้น เมื่อถึงช่วงสูงสุดของสมัยสงครามระหว่างแคว้น และมีเพียง 7 แคว้นที่เหลืออยู่ มีการทำลายแคว้นเล็กๆ มากมายทั่วทั้งประเทศจีน ที่หลงเหลือมาจากสมัยสงครามระหว่างแคว้นคือ ปรัชญาชีวิตหลักของจีนที่เริ่มก่อตัวขึ้น ขณะที่มีผู้มีความรู้พยายามคิดว่า สิ่งใดผิดพลาดและจะแก้ไขมันอย่างไร ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ขงจื๊อเห็นถึงความจำเป็นในการเคารพกฎและความสำคัญระหว่างมนุษย์และสวรรค์อย่างเคร่งครัดและเสียใจกับการมีสงครามและกำแพง ลัทธิกลุ่มหนึ่งคือลัทธิเต๋าค้นพบคำตอบในธรรมชาติและเชื่อว่า ทุกสิ่งมีสภาพเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาพลังหยินและหยาง เพราะฉะนั้นการดิ้นรนและสงครามจึงเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าปรัชญาเหล่านี้กลายเป็นนโยบายระหว่างรัฐ มันคงเป็นไปได้ยากที่กำแพงจะถูกสร้างขึ้นมา

แต่แคว้นฉินใช้ระบอบการปกครองเบ็ดเสร็จด้วยกฎหมายการลงโทษและการให้รางวัล มีเรื่องเล่าที่ดีมากเกี่ยวกับคนดูแลมงกุฏและคนดูแลเสื้อคลุม ในคืนหนึ่งที่ฮ่องเต้หลับอยู่หน้าบริเวณเตาผิง คนดูแลมงกุฏจึงนำเสื้อมาคลุมให้ท่าน ฮ่องเต้ตื่นขึ้นมาถามว่า ใครห่มเสื้อคลุมให้ฉัน ผู้ดูแลมงกุฏก็ตอบว่าข้าเอง แล้วฮ่องเต้ก็สั่งให้นำตัวไปประหารทันทีเพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่ของเขา เรื่องเหล่านี้เป็นแนวทางของกองทัพฉินในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล พวกเขาเริ่มเคลื่อนกำลังข้ามแผ่นดินจีนผนวกเอาแคว้นต่างๆ เข้าไปเหมือนหนอนไหมกัดกินใบหม่อนตามบันทึกนักประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น 246 ปี ก่อนคริสตกาล เหตุการณ์สำคัญก็เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องที่เกิดขึ้น เด็กชายอายุ 13 ก้าวเข้าสู่บัลลังค์ของแคว้นฉิน เขาเป็นที่รู้จักในนามของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิคนแรกของประเทศจีน ตำนานกล่าวว่าเขาบินไปยังดวงจันทร์ด้วยพรมวิเศษในความฝัน เมื่อมองลงมาเขาเห็นอาณาจักรของเขามีภัยคุกคามจากศัตรูมากมาย เขาปลุกบรรดาที่ปรึกษาขึ้นมาแล้วบอกว่า ข้าจะสร้างกำแพงที่ยิ่งใหญ่

ในปี 1974 ชาวนาที่กำลังขุดบ่อน้ำพบหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าทึ่ง มันคือหลุมฝังตุ๊กตากระเบื้องพลทหาร พลธนู รถม้าศึกและม้า ทั้งหมดนี้มีขนาดเท่าของจริงและแต่ละตัวนั้นแตกต่างกันดูราวกับว่ามีต้นแบบมาจากของจริง ทุกวันนี้ตุ๊กตามากกว่า 6,000 ตัวถูกขุดขึ้นมา กองทัพกระเบื้องเคลือบที่ถูกออกแบบให้สู้ศึกเพื่อฮ่องเต้ในโลกหน้า หรือบางทีเพื่อคุ้มกันการหลับใหลชั่วนิรันดร์ในอาณาจักรของพระองค์ ในบริเวณใกล้เคียงเป็นหลุมฝังพระศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีน หรือที่ขนานนามกันว่าปฐมกษัตริย์ ตามบันทึกที่ตกทอดสู่ราชวงศ์ต่อมา การขึ้นครองราชย์ของจิ๋นซีฮ่องเต้มีที่มาค่อนข้างคลุมเครือ พระมารดาของพระองค์เป็นนางระบำสาวเสน่ห์แรงและเป็นภรรยาน้อยของพ่อค้าเร่ผู้มีเล่ห์เหลี่ยมมากพอกับความร่ำรวย ขณะที่เข้ามาค้าขายในพระราชวัง พ่อค้าขอให้เธอเต้นรำกับรัชทายาทของราชวงค์ฉิน เมื่อพระองค์ตกหลุมรักเขาก็ยกเธอให้พระองค์ โดยไม่เคยเอ่ยปากเลยว่านางกำลังตั้งครรภ์บุตรของเขาอยู่ องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์หลังขึ้นครองราชย์ไม่นาน แล้วจากนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้ก็สืบทอดบัลลังค์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย

ขณะที่ฮ่องเต้น้อยเติบโตขึ้น พระองค์เริ่มแสดงอุปนิสัยแปลกๆ และเกิดอาการวิตกกังวล พระองค์สั่งเนรเทศพระมารดา และสั่งพระบิดาอดีตพ่อค้าที่ว่าราชการแทนในวัยเยาว์ของพระองค์ให้ฆ่าตัวตาย พระองค์เรียกโหร หมอผี และที่ปรึกษาเจ้าเล่ห์ ไร้ศีลธรรมหลายคนให้เข้ามารับใช้ใกล้ชิด ประมาณ 234 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ส่งกองทัพออกไปเพื่อพิชิตแผ่นดินจีนที่บรรพบุรุษได้เริ่มไว้ เมื่อเกิดสงครามระหว่างแคว้นก็มีแคว้นอิสระแยกตัวออกมา และท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสองแคว้น จนเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล ประเทศจีนก็รวมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อแคว้นฉินทำลายแคว้นฉีจนได้ จิ๋นซีฮ่องเต้ประกาศว่าตนคือจักรพรรดิของแผ่นดินใหม่ที่พระองค์ตั้งชื่อว่าจีน ตามราชวงค์ของพระองค์ และรีบรวมอำนาจอย่างรวดเร็ว จิ๋นซีฮ่องเต้สร้างอาณาจักรขึ้น ซึ่งมันไม่เคยมีมาก่อน พระองค์สร้างระบบถนนภายในประเทศ พระองค์สร้างมาตรฐานให้กับอักษรจีน พระองค์รวมสกุลเงินจีนต่างๆเป็นหนึ่งเดียว พระองค์สร้างมาตรฐานให้อาณาจักร พระองค์ทำให้มันเป็นเอกภาพ พระองค์ยังสนใจเรื่องเวทมนต์ การเล่นแร่แปรธาตุอย่างเหลือเชื่อ และเชื่อว่าพระองค์สามารถเอาชนะความตายและเป็นอมตะได้ พระองค์อยากเป็นคนครองโลก

จิ๋นซีฮ่องเต้ตั้งมาตรฐานการชั่ง ตวง วัด ด้วยระบบที่มีพื้นฐานอยู่บนเลขหก อันเป็นเลขมหัศจรรย์ของพระองค์ พระองค์ประกาศว่าสีดำคือสีที่มีพลังลึกลับของพระองค์เป็นสีทางการสำหรับเสื้อผ้าและธงของอาณาจักรและสถาปนาตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ และออกพระราชบัญญัติว่าราชวงศ์ฉินจะปกครองตลอดไป จากนั้นพระองค์ก็ตัดสินพระทัยสร้างกำแพง ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าความคิดของการสร้างกำแพงเมืองจีนเข้ามาอยู่ในพระทัยของจักรพรรดิเมื่อใด หรือทำไมพระองค์ตัดสินพระทัยสร้างมัน ตำนานหนึ่งเล่าว่าหนึ่งในโหรของพระองค์ทำนายว่าราชวงค์ของพระองค์จะล่มสลายด้วยฝีมือของเผ่าคนเถื่อนจากภาคเหนือ ส่วนเรื่องอื่นก็เกี่ยวกับความฝัน ลางบอกเหตุ และความตั้งพระทัยของจักรพรรดิที่จะสร้างอนุสรณ์ถึงความรุ่งเรืองของพระองค์เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส

จิ๋นซีฮ่องเต้แต่งตั่งให้นายพลเม้งเทียน นายทหารผู้แข็งขันและมากด้วยความสำเร็จรับผิดชอบการสร้างกำแพง เพื่อจะแบ่งแยกผู้คนที่มีอารยธรรมจากพวกคนเถื่อน และปีศาจร้ายที่อาศัยอยู่พื้นที่ว่างเปล่าทางเหนือ  กำแพงเริ่มต้นตั้งแต่ทะเลเหลืองทางตะวันออกไปจนถึงทะเลทรายโกบีทางตะวันตก มันต้องมีความสูง 24 ฟุต และมีความกว้างมากพอที่นายทหาร 8 นายจะเดินเรียงหน้ากระดานได้ กำแพงต้องสร้างตามลักษณะภูมิประเทศตราบเท่าที่เป็นได้และต้องไม่สร้างเป็นเส้นตรง เพราะเชื่อว่าปีศาจเดินทางได้เป็นเส้นตรงเท่านั้น เทคนิคการสร้างกำแพงแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละที่ และมีกำแพงของจิ๋นซีฮ่องเต้เหลืออยู่น้อยมากจนไม่สามารถบอกได้ว่ามันถูกสร้างอย่างไร กระนั้นนักวิชาการเชื่อว่ามันถูกใช้เป็นแนวไว้สำหรับสร้างเพิ่มเติมตามรากฐานของมัน

นายพลเม้งเทียนเริ่มด้วยการสร้างหอคอยก่อน โดยสร้างจากอิฐและหินโดยมีฐานเป็นเศษหิน หอคอยเหล่านี้สูงประมาณ 40 ฟุต มีฐานเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 40 ฟุต เมื่อสร้างหอคอยเสร็จแล้วมันจะถูกเชื่อมเข้าด้วยกำแพงหิน เพื่อป้องกันผู้รุกรานและปีศาจร้าย ป้อมปราการที่ใหญ่พอที่จะบรรจุทหารได้หลายร้อยนายถูกจัดวางอยู่ในระยะธนู 2 ดอก เพื่อให้สามารถคุ้มกันพื้นที่ระหว่างนี้ได้ หอคอยโผล่ออกมาจากกำแพงเหมือนป้อมปืน ดังนั้นฝ่ายป้องกันสามารถยิงใส่ผู้รุกรานได้ตลอดแนวกำแพง มีการประมาณว่าชาวแคว้นฉินภายใต้การดูแลของนายพลเม้งเทียน ก่อสร้างกำแพงใหม่หลายร้อยไมล์ส่วนที่เหลือเป็นการก่อสร้างเพิ่มจากของเดิมที่แคว้นอื่นทำไว้แล้วรวมกับของใหม่ สิ่งที่พวกเขาทำก็คือการเชื่อมกำแพงรุ่นก่อนๆที่สร้างในสมัยสงครามระหว่างแคว้น พวกเขาใช้เทคนิคการบดอัดดิน เป็นเทคนิคเดียวที่พวกเขารู้จัก ซึ่งมันไม่ได้แตกต่างจากกำแพงในยุคนีโอลีธิกส์เลย เพียงแต่มันมีขนาดที่ใหญ่กว่าเท่านั้นเอง

ในภูเขาทางทิศตะวันออก ดินแห้งถูกนำมาถมระหว่างกำแพงหินหรืออิฐจนได้ระดับที่แน่นพอเพียง จากนั้นหินหรืออิฐจะถูกนำมาเรียงทับหน้าเพื่อป้องกันฝนชะล้างและใช้เป็นถนน ห่างออกไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นหินตะกอนละเอียดที่เรียกว่าดินเหลือง คนงานจะเทดินที่ผสมกับน้ำลงในพิมพ์ไม้แล้วนำไปก่อเป็นโครงสร้างให้แข็งแรงเมื่อมันแห้งแล้ว บนพื้นที่แห้งแล้งของที่ราบฝั่งตะวันตก กำแพงถูกสร้างจากใบต้นปาล์ม ต้นกก แสม กับกรวดและโคลน ไปจนสิ้นสุดที่ริมทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เลยไปจากนั้นเป็นดินแดนที่สิงสถิตย์ของวิญญาณร้าย นายพลเม้งเทียนสร้างกำแพงเหล่านี้เสร็จภายในเวลาน้อยกว่า 10 ปี หรือเสร็จก่อน 210 ปีก่อนคริสกาล แต่เรื่องราวที่คาดการณ์เกี่ยวกับมูลค่าของมันในแง่ความทุกข์ทรมานและชีวิตที่สูญเสีย เรื่มแพร่กระจายออกไปแล้ว

แรงงานจำนวนมากมาจากการเกณฑ์ชาวนาผสมกับนักโทษ ทหารที่ถูกจับได้ ขุนนางตกยาก นักปราชญ์ และคนอื่นๆที่ถูกเรียกว่าเป็นศัตรูของอาณาจักร เป็นที่กล่าวกันว่าทุกๆสิบคนที่ถูกเกณฑ์มา มีเพียงสามคนรอดกลับบ้าน จักรพรรดิมีคำสั่งอีกว่า ใครก็ตามที่แอบหลับจะต้องถูกฝังทั้งเป็นไว้บนกำแพงนั่นเอง ความทรงจำอันแพร่หลายของการสร้างกำแพงก็คือ ชาวนาถูกกวาดต้อนมาทำงานแล้วก็ไม่เคยกลับไปอีกเลย โดยถูกใช้งานเยี่ยงทาสจนเสียชีวิตในผืนป่าที่ห่างไกล มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก และมีเรื่องเล่าว่า ศพของชาวนาถูกโยนทิ้งลงไปในช่องว่างระหว่างกำแพง ซึ่งเป็นที่ใส่เศษหิน ความเลวร้ายนี้ถูกระบายออกมาผ่านบทกวีมากมาย ชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือตำนานของคุณนายเม็ง หนึ่งในเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่เด็กๆเรียนในช่วงยี่สิบปีแรกของการปกครองระบบสังคมนิยม เป็นเรื่องของหญิงคนหนึ่งตามหาสามีของเธอที่ถูกจิ๋นซีฮ่องเต้ส่งไปเป็นแรงงานทาสที่กำแพงนั่น แล้วเธอก็พบว่าเขาตายแล้วและอาจจะถูกฝังอยู่ในกำแพงเหมือนกับหลายๆคน ดังนั้นกำแพงจึงถูกมองว่าเป็นผลงานของความกดขี่ของระบอบขุนนาง ซึ่งถูกสร้างโดยหยาดเหงื่อของคนธรรมดาภายใต้การทารุณของทรราชย์ ขณะที่ในตอนนี้กำแพงนั้นถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของประเทศจีน ความยั่งยืนของอารยธรรมของมัน เป็นการแสดงพลังอำนาจ ประวัติศาสตร์

เมื่อการก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด หนึ่งในโหรของจักรพรรดิกล่าวว่า กำแพงจะไม่มีวันเสร็จ ถ้าไม่มีการฝังคนหนึ่งหมื่นคนทั้งเป็นในนั้น จักรพรรดิรู้สึกว่าพระองค์ไม่อาจเสียคนขนาดนั้นได้ จิ๋นซีฮ่องเต้แก้ปัญหาด้วยการหาชายคนหนึ่ง ซึ่งชื่อของเขามีตัวอักษรที่มีความหมายว่าหนึ่งหมื่นมาฝังไว้ในกำแพงแทน ประมาณกันว่ามีคนงานสร้างกำแพงหนึ่งล้านคนระหว่างการทำงานที่ยาวนานหลายปีในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีผู้เสียชีวิตมากมายจากภูมิอากาศ ความเหนื่อยล้า และความอดอยาก แม้กระทั่งทุกวันนี้ยังมีเรื่องเล่าที่ว่าศพของพวกเขาถูกฝังตรงที่เสียชีวิตอยู่ในสุสานยาวที่สุดในโลกตลอดกาล หลังจากรวมประเทศจีนเข้าเป็นหนึ่งเดียวไม่ทันถึงสิบปี การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีก โครงการสาธารณะเช่น คลอง ถนน และระบบเกษตรกรรม ได้รับการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ขณะนี้เมื่อมีกำแพงใหญ่ล้อมรอบ จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงประกาศว่าไม่มีใครจะเอาชนะอาณาจักรของพระองค์ได้ แต่มีสุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า สูงสุดคืนสู่สามัญ

แม้ขณะที่กำแพงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง จิ๋นซีฮ่องเต้ยังคงถลำลึกลงไปในเรื่องไสยศาสตร์และความวิปลาส สองร้อยสิบสามปีก่อนคริสกาล พระองค์ตัดสินพระทัยว่าประวัติศาสตร์ควรเริ่มต้นที่พระองค์และสั่งให้เผาหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหมด ใครที่พบว่ามีหนังสือเหล่านี้อยู่ในครอบครองหลังการประกาศจะถูกส่งไปใช้แรงงานสร้างกำแพง หรือถูกฝังทั้งเป็น ประมาณการว่านักปราชญ์ 460 คนเสียชีวิต เมื่อบุตรชายองค์โตและเป็นรัชทายาทของพระจักรพรรดิคัดค้านนโยบายนี้ เขาก็ถูกเนรเทศให้ไปช่วยงานนายพลเม้งเทียนทางเหนือ ขณะที่จักรพรรดิมีพระชนม์มายุเพิ่มขึ้น ความลุ่มหลงกับความตายของพระองค์ก็เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้จะมีบันทึกว่าพระองค์เข้าเยี่ยมชมการก่อสร้างกำแพงของพระองค์เพียงครั้งเดียว และมีรายงานว่าพระองค์ออกเดินทางค้นหายาที่จะทำให้เป็นอมตะถึง 5 ครั้ง แต่พระองค์ก็สิ้นพระชนม์เมื่อมีอายุได้ 49 พรรษา ในการเดินทางครั้งหนึ่ง การสิ้นพระชนม์ของพระองค์อาจเกิดจากยาที่มีสารอันตรายอย่างตะกั่วหรือสารหนูที่พระองค์เสวยเข้าไปเพื่อเสาะหาชีวิตอมตะ

ราชวงค์ของพระองค์ล่มสลายด้วยน้ำมือของบุตรชายคนที่สองที่ชื่อ อู๋ไห่ การที่รัชทายาทอันชอบธรรมอยู่ระหว่างการถูกเนรเทศ ทำให้อู๋ไห่ขึ้นครองราชย์อาณาจักรฉิน พร้อมความเจ้าเล่ห์ โหดร้ายที่เหมือนพระบิดา แต่ขาดซึ่งความเข้มแข็งและความเป็นผู้นำแบบจิ๋นซี เขาสั่งขังที่ปรึกษาทั้งหมดของพระบิดา รวมทั้งนายพลเม้งเทียน ผู้ซึ่งฆ่าตัวตายหลังจากไตร่ตรองความโชคร้ายของตนและกล่าวว่า เขาสมควรตาย เพราะเขาละเมิดชี่ อันเป็นการไหลของพลังงานโลกด้วยการก่อสร้างกำแพงที่ละเมิดพื้นที่ภูเขา แม่น้ำ และพื้นที่ธรรมชาติอื่นๆ  อู๋ไห่ครองราชย์ได้เพียงสี่ปี ก่อนที่ฝ่ายกบฏจะล้มล้างเขา และประเทศจีนกลับเข้าสู่สงครามกลางเมืองอีกครั้ง ราชวงค์อันยิ่งใหญ่ที่หวังจะได้อยู่ตลอดกาล กลับได้อยู่เพียง 15 ปี นับเป็นการปกครองที่สั้นที่สุดที่เคยปกครองจีน

แหล่งรวมบทความจัดอันดับ สารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  http://www.anyapedia.com

เล่าเรื่องสยองขวัญ สยองกลางทุ่ง
10 โรคมฤตยูที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
10 อันดับฆาตกรต่อเนื่องที่อำมหิตที่สุดในโลก
10 สุดยอดคนสมองเพชรที่ฉลาดที่สุดในโลก
เล่าเรื่องสยองขวัญ นั่งซากหวาดผวา ศพล่อเสือ
25 การทรมานสุดโหดในประวัติศาสตร์
มนุษย์กินคนในตำนาน ซอว์นี่ บีน (Sawney Bean)
25 อาหารแปลกจากทั่วโลก
10 อันดับสุดยอดเรื่องเล่าสยองขวัญเดอะช็อค
จัดอันดับ
เรื่องเล่าสยองขวัญ
ประวัติศาสตร์
เมนูอาหาร
สุขภาพ

อินดี้

Japanese Legends And Myth

The exciting and mysterious Japanese legends reveal much about the culture and way of life of this fascinating country. We invite you to know them in this post.

Japanese legends
The millennial Japan, a country of so many riches in terms of myths and legends, offers us through its stories the opportunity to know its culture, its moral foundations and its way of conceiving the world.

Based on these foundations, the Japanese people have managed to build a mythology that fascinates the Western world, by virtue of the different perspective with which they approach the situations that arise daily. This has been the case for a long time and the myths of antiquity reflect it and are still valid in the legends of today.




A particularity of Japan is that it is one of the places where everything related to terror is enjoyed and it is assumed in a very different way from other latitudes, especially in Latin America. This particularity is also found in Celtic mythology.

This has generated that the Japanese legends in which not only ghosts abound, but also spirits, which are always immersed in the plots of the stories. In them, the psychological factor plays a very important role, since through suggestion it is possible to create tension in who hears or reads them.

Such a peculiarity, of course, produces curiosity in our western society, which has encouraged its popularity and increased the interest of the audience in this part of the world.




In the past, there were numerous Japanese myths and legends that were transmitted from the ancient inhabitants of the island, who tried to explain the world from its primitive approach, until today, with a plot that continues to inspire multiple writers and artists.

In this post we want to invite you to meet Japan through its various legends with themes that deal with love, terror, moral principles, urban customs, among others.

Characteristics Regarding the characteristics, it is important to keep in mind that the legends of Japan include stories with distinctive aspects that identify them culturally with the country, of course keeping the particularities of the moment in which they were written and of the genre developed. The Mexican mythology also presents indigenous aspects of the country. Let's look at some of those features:




At first they were an important part of the oral tradition of the country, in the absence of writing.
They are imaginary stories that people create by mixing fantastic and supernatural elements, which in many cases come from folklore.
A combination of authentic information is made with fictional data, which cannot be verified.
They are based on their customs and folk beliefs.
Questions are raised about the existence of elements of nature.
They include gods, creatures and spirits typical of their mythological creation.
Likewise, the personification of animals, trees, flowers or any other object is used.
Some of the Japanese legends are fables that leave a sobering message.
Many of them are dedicated to highlighting important elements of the geography of your country.

Categories of Japanese legends
The most popular categories that we normally find in the mythology of Japan are presented below. In each of them it is possible to identify ancient legends and other more modern ones. There are several types of categories that could be pointed out, but we have wanted to include them into four main types; namely:

JAPANESE LEGENDS OF LOVE

JAPANESE HORROR LEGENDS

JAPANESE URBAN LEGENDS

PRETTY JAPANESE LEGENDS

A succinct description of the category follows and the best-known Japanese legends are noted for the reader's enjoyment and to encourage them to inquire and read others.

Japanese legends of love
This is a very common theme in Japanese legends due to the interest that this feeling arouses in the population. Some are so famous that writers, playwrights and film producers have taken them to make books, plays, films, series and cartoons in which they seek to exalt and promote this beautiful feeling.

Certainly, there are many Japanese legends inspired by love in which its creators have captured it as the central element, evidencing their own experiences or those of their closest ones, sometimes with a certain tinge of veracity, others invented.




A peculiarity in the Japanese tradition about these stories is that the couple or lovers involved can be represented by men and women, but also by animals, trees, flowers or any other object.

In general, we can say that Japanese mythology is emotional and romantic and its legends reflect its opinion regarding the predestination of love when it has to occur.

There are many short Japanese myths that have become popular and become world famous, and in this sense. some of the most relevant are presented below.

Examples
These stories have been selected considering their popularity for being the most requested by lovers of Japanese mythology and, also, because they reflect the uniqueness of Japanese on this subject.

Sakura and Yohiro
This is one of the Japanese legends that explains, from a love story, the birth and development of one of the most beautiful and symbolic trees of the Japanese Nation: the cherry tree.

This story began hundreds of years ago in ancient Japan at a time of many bloody strife. In it we are told that in a certain region there was a forest in which beautiful trees grew with abundant crowns full of flowers, which gave them great splendor.




Fortunately, there was no fighting in this forest, which allowed all the trees to remain intact. Except for one, who was a young specimen whose flowers never bloomed.

He looked like he was dead, which caused no one to approach him because of his dry and decrepit-looking appearance, resulting in him always being alone. Even the animals did not approach because their appearance caused fear and around them did not grow grass, which increased their loneliness.

One good day a compassionate fairy, seeing the sad and deplorable situation of the tree, was moved and decided to help him. He proposed to her that he would cast a spell on her whereby she could feel the same as a human heart for twenty years.

In this way, the fairy hoped that with the experience of this emotion the tree would manage to bloom again. In addition, the fairy told him that during that period he could transform into a human being, if he so desired.

However, he pointed out that there was a condition to fulfill and that was that, if after those years he did not manage to regain his vitality and flourish, he would die immediately.

The tree accepted the proposal to have the ability to feel and transform and for a time it became human. but, by virtue of the war and death that he found in the mortal world, disappointed he decided to become a tree again.

The years went by slowly and the tree could not feel any emotion to bloom again, so I was losing hope. However, one afternoon, the tree died of boredom, decided to become human again and went to a stream, where he met a beautiful and sweet young woman, named Sakura, who greeted him and treated him with kindness.




Impressed by its beauty, the tree approached and to reciprocate it helped her carry water to her home. They talked about many topics and thus the friendship between them began.

Sakura asked the tree its name and it managed to stammer Yohiro, which means hope. They began to see each other every day to talk, laugh and sing. They also read books with wonderful stories. A deep friendship was emerging that little deepened until it became love.

Yohiro felt the need to always be by her side, so one day he confessed his love to Sakura , along with the fact that she was a tree about to die. The young woman was very impressed and was silent for a few minutes. She loved him too much, so she couldn't stop looking at the tree.

Time passed and the end of the twenty years of the spell came and Yohiro became a tree again. But even though he didn't expect it, Sakura confessed her love to him and hugged him.

It happened, at that moment, that the moved fairy appeared and asked Sakura that she had to choose if she wanted to remain a woman or be part of the tree and be united forever with Yohiro. She thought about it for only a few seconds and chose to forever merge with Yohiro.

Thus the miracle was done and, instantly, the dry tree in the middle of the forest grew green, filling with splendorous flowers. Since then it has been called the Sakura tree , which means "cherry blossom". Since then, the love of both can be seen during the cherry blossom. perfuming the fields of Japan.

The red thread of destiny
In Japanese mythology it is taken as a reliable fact that every human being is predestined, from birth, to have an affective bond with the love of his life, which is carried out by means of a red thread that unites the couple regardless the years how long it takes to materialize it.

In fact, there is a popular belief among the Japanese who asserts that this red thread really exists regardless of when and how the couples are to meet and that said thread cannot be broken, although it sometimes seems to be very tense.




That thread leaves our little finger, which receives blood from the same artery that leads to the middle finger, and then it arrives and is tied to the little finger of the person we are destined to meet and establish a close bond with.

The legend that we present to you now tells us about predestination applied to love and specifically refers to that link that is established by the red thread.

She tells us that many years ago, an emperor received the news that in one of the provinces of his kingdom lived a powerful sorceress with the ability to visualize the red thread of destiny.

The emperor ordered the witch to be brought before him to ask her to help him find what was to be his wife. When the sorceress arrived, the emperor ordered her to find the other end of the thread tied to her little finger and take it to the place where her future wife would be.

The witch agreed to this request and began her search, which led them to a market. There he went to a stall for selling products run by a peasant woman who was holding a baby in her arms.

The sorceress then told the emperor that her thread ended there. But upon hearing this and seeing that it was a poor peasant, the emperor thought that the sorceress was mocking and enraged pushed the peasant who still had her little laden. The push made the baby fall to the ground and make a large wound on her forehead.

The really annoying emperor ordered his guards to arrest the witch and execute her by cutting off her head and returned to the palace.

Years later, the moment came, that according to what was indicated by the advisers, the emperor should marry and his court recommended that the best thing was that he marry the daughter of a very powerful general of the country, whom he could not see until today. of the wedding. He accepted.

On the day of the wedding, it was time to see for the first time the face of his wife, who entered the temple dressed in a beautiful and elegant outfit and a veil that covered her completely.

When he saw her face for the first time, the emperor realized that his future wife had a scar on her forehead, the product of a fall when she was a baby, with which the prediction of the sorceress was evidently fulfilled; In other words, the woman who was going to share his life was the peasant's baby.

The legend of the weaver princess, origin of Tanabata
Japanese legends surprise us both for the beauty or terror they produce, as well as for the depth and sensitivity with which they treat their themes. In the story that we present to you below that reflects that quality. It refers to the celebration of Tanabata , which is one of the most popular festivals in Japan.

From this festival, exciting legends have been derived that have given rise to rituals and traditions, in which the streets and houses of Japan are adorned, once a year, with colorful colored papers, always coinciding with the seventh day of the seventh month of the calendar lunar.

This story of the weaver princess tells us about the young Orihime, daughter of Tentei , the heavenly king, who wears a monotonous and routine, since her only task was to weave beautiful fabrics always on the banks of the Amanogawa River. She was, yes, the best weaver in the whole kingdom and her fabrics were truly magnificent, which filled her father with great pride.

This Tentei king had the power to control the weather at will, so that it was always clean and clear, if he was in a good mood, but if he got angry, the whole sky would turn overcast and a torrential rain would fall.

The responsibility of always knitting to keep her father pleased took up most of Orihime's day. This, of course, prevented him from meeting other people, much less falling in love.

Her father, worried for her seeing her so sad, arranged a meeting with a shepherd who lived on the other side of the river. This one was called Hikoboshi, who was a good boy, of noble feelings, hard-working and, in addition, attractive.

Upon seeing each other, the young people fell in love immediately and were soon married. But once they were married, they both began to neglect each other's work by taking care of each other and their relationship. Orihime stopped weaving and no longer remembered her obligation to the king, and Hikoboshi no longer tended to her flock, which dispersed throughout the field.

Such was the abandonment of the couple that made the king enraged, so he made the decision to separate the lovers. He ordered each one to stand to one side of the Amanogawa River , unable to see each other, speak to each other, or touch each other.

Poor Orihime , desperate to no longer have her husband with her, crying uncontrollably, begged her father to let her see him at least once more. Even if it was only once a year.

The king agreed with a single condition, that she continue doing her work as a weaver, only then would she allow them to see each other once a year on the seventh day of the seventh lunar month.

However, there was a small trap in that agreement and that is that they could only see each other, but not touch, because there was the river that separated them, which they were forbidden to cross, because the bridge there was not very safe and you could fall.

This, of course, caused Orihime great sorrow , which again made her cry bitterly for not being able to be near her beloved, that a flock of magpies passing by took pity and came to her aid. They formed a bridge with their wings a bridge so that the lovers could embrace.

And they continue to do so every year, because the magpies promised to return to form the bridge, as long as it did not rain, because if it did rain, they would have to wait until the following year.

Tradition in Japan
That day scheduled for Orihime and Hikoboshi to meet is the day of Tanabata or the "festival of the stars", which is celebrated in Japan on the seventh day of the seventh month of the Japanese circumsolar calendar.

For this tradition, people in Japan usually celebrate it by writing their wishes on small strips of colored paper, called tanzaku . They are then hung on the branches of bamboo trees near rivers.

Japanese horror legends
These legends are an important part of Japanese mythology, they are truly chilling and due to their strong content and the way they are told, they are preferred by people who are passionate about horror literature and because of this they have gained popularity.

They have spread throughout the world thanks to the making of very famous films such as The Ring and The Curse of the Mummy and many others that are based on these legends. The appearance of ghosts, dead and ghosts are essential to capture the attention of the reader or viewer.

Examples
There are numerous horror stories that Japanese mythology offers us. In this case we will present two of the best known.

Kuchisake-onna or the woman with the cut face
It is a story that despite time continues to be of public interest, generating fascination for lovers of terror and the supernatural.

It is the legend that says that a long time ago there was a woman of great beauty, but in whose soul there was only vanity. She was married to a samurai, but for her beauty she was courted by many men, whom she accepted and with whom she cheated on her husband. It was called Kuchisake-onna.

The samurai learned of his wife's adventures and infidelities, so one day, rapt by jealousy, in a moment of fury, he cut her mouth from one side of her face to the other, while yelling at her: Do you think you are beautiful? Now who's going to think that you're beautiful?

Since then it is said that at nightfall an enigmatic woman with her face covered with a mask appears wandering the streets of Japan and when she meets a young man she approaches him and asks: Am I beautiful?

In Japan it is normal to wear face masks to avoid diseases and not to breathe polluted air, so when men see the beautiful eyes of this woman and her delicate features, they answer that yes, she is beautiful.

At that moment Kuchisake-onna uncovers her face by removing the mask and showing the horrible slit that extends from ear to ear with a creepy smile. And he asks again: What do you think now? Anyone who answers NO, or who is scared, or shouts or shows their fear, the spirit of the woman cuts off her head immediately with giant scissors.

If the victim tells her again that YES, she is beautiful, then she will only cut her mouth from side to side so that she feels and suffers the same thing that she is suffering.

It should be noted that there are versions that indicate that if the woman answers affirmatively both times, what she does is follow the victim to the front door of the house where she finally murders him.

Most versions say that you cannot escape from Kuchisake-Onna, because, even if you try to run away, she will appear from the other side. However, there are other legends that ensure that there is the possibility of slipping away in various ways.

Some say that the woman can be answered with another question, such as: And me? Am I beautiful ?, in such a way as to confuse her, which will give time to escape. Other versions indicate that you have to have candy to offer her and leave her happy and entertained with the sweets.

The Legend of Yuki-Onna
The story is about a yokai , which is a spirit, in this case in a female form, called Yuki-Onna, which means snow woman, since it appears on nights of snow storms. This yokai seeks, every time it appears, to feed on the vital energy of those who have dared to enter its territory and lose themselves in it.

Once all of their energy has been removed, he transforms their bodies into frozen statues. This is what happened to Mosaku and Minokichi , in the story that we relate below and that shows us death by freezing.

The legend tells us of the day when the two lumberjacks and carpenters, Mosaku, the teacher, and Minokichi , were going back to their house in the forest, when suddenly a heavy snowstorm broke out that blocked the roads, so they had to take refuge in a cabin they found, where they fell asleep.

Suddenly a strong gust opened the door and a woman dressed in white appeared, who approached Master Mosaku directly , absorbing all his life energy, freezing him and killing him. Young Minokichi froze in fear.

Seeing his youth, Yuki-Onna decided to forgive him, as long as he never revealed what happened and, if he did not comply, he would kill him immediately. The young man agreed.

A year later, Minokichi met a young woman named O-Yuki and soon married her. They had children and had a happy relationship. Until one day, the young man decided to tell his wife what he had experienced and, just at that moment, O-Yuki changed his appearance, discovering himself as Yuki-Onna.

She was already willing to kill Minokichi for having broken the pact, but she decided to forgive him because he had been a good father, so she left her children and left never to return.

Japanese Urban legends
These are those stories that the ancient inhabitants of the island told each other, and even wrote them, recounting strange situations in their daily lives, which in turn were exaggerated to attract attention and cause tension to those who listen or read.

Many of them have endured through the years and have served as inspiration for many other writers in the modern world.

Of these urban stories, a compilation has been made of the most outstanding and those that have caused the greatest impact on the reading public. This is the Kojiki , which is a compilation of all those ancient legends. It is considered the oldest book on myths and stories in Japan. There is also the work Nihonshoki , which would be the second book on this subject.

Among these Japanese legends we can mention in this urban genre, and that are already part of the Japanese cultural heritage, the following:

Aka Mantle
There are numerous urban legends that exist and among them the one about Aka Manto stands out, which means "Red Cape" in Japanese, and which tells us the story of the woman murdered in a public bathroom, whose ghost was cloistered in the depths of all the public toilets in Japan where he appears with a long red cloak, in order to identify his murderer and take revenge.

It is said that he usually hides in the last of the toilets to frighten and then murder whoever uses it. Part of the legend reveals that in the past, Aka Manto was always humiliated by her classmates.

To the point that on one occasion they took her to the toilet in the last bathroom and they buried her head in it for several seconds that she almost drowned. This was done to her several times, which created hatred and despair in this girl, until one day she took a rope and hung herself in the last bathroom.

Since then, her spirit hides in the most secluded toilet of the public baths and waits for anyone to enter to approach her. Once inside he asks the person: "Red or blue paper?" showing two rolls of paper with these colors.

If the person chooses red, Aka Manto appears to him and peels off the skin little by little so that he feels the pain as he bleeds out. But if the victim chooses the blue paper, the evil spirit strangles her until her skin turns blue.

According to mystery connoisseurs, there is no way to escape this spirit, as dodging the question does not work, as Aka Manto will harass until a color is chosen.

Likewise, if a color other than red or blue is chosen, a hole will open from one of the walls from which white hands will emerge, dragging the victim into absolute darkness.

In some versions of the legend it is said that to get rid of the diabolical spirit, you have to run away as soon as you hear the voice. But in other stories it is said that if this is done, Aka Manto could appear at the door blocking the exit and ending the person's life in the same way.

Other versions are even more terrifying, since they assert when the spirit appears, the bathroom is hermetically closed so that the victim cannot leave.

Even though it seems that there is no escape from this horrifying apparition, some say that it could be answered calmly that no paper is needed, with the slight hope that Aka Manto will allow the person to continue living.

Teke-teke
This modern-day urban horror story tells us how a young introvert, who was bullied, was transformed into a spirit that roams the country's train stations.

Legend has it that she was the victim of constant humiliation and humiliation and, due to her weak character, she did not know how to defend herself. One day his bullies played a very bad joke on him, which ended worse than expected.

On that occasion the young woman was alone at the train station, absorbed in her thoughts, waiting to board him to return home. Her bullies saw her and taking advantage of the fact that it was the cicada season, they took a cicada from the road and, stealthily, one of them approached her and placed it on her shoulder.

When the shy young woman felt something move on her shoulder and saw that it was an insect, she jumped in fright, shaking it off, but slipped and fell to the track just as the train passed. The girl died dismembered with her body split in two.

Horrified, the bullies fled the place and never said anything and everyone in the town thought that the young woman had committed suicide.

Since then it is said that at night a strange noise that sounded was heard in lonely stations: teke-teke. As the noise grew louder, the dead girl's upper body would appear crawling with her clawed nails, desperately seeking her other half.

When he meets on his way, he asks if he has seen his legs, and sometimes of the hatred that seizes him, he attacks with his claws and it is said that he has tried to push some people to the train track to kill them and transform them into creatures like her.

Pretty Japanese Legends
Japanese mythology also includes among its legends, beautiful stories, many of which have real life foundations. Some of these Japanese legends have become famous for their beauty of content that has even received recognition, not only nationally but also internationally. In addition, that with them it has been possible to exalt and strengthen many human principles and values.

In particular, they have been very well received in the Western world, so much so that they have been used to produce great classics for film and television.

Mirror
It is a beautiful story that tells us the life of a young samurai and his family. He lived in a humble home with his beautiful and shy wife and daughter, in which there was little furniture, only the essentials.

One day, there was a change of king in the kingdom, so all the young samurai were summoned to attend the palace to appear before the new monarch and enjoy a party that he had prepared for them. The samurai attended the meeting, but his wife, who was introverted, stayed home with her daughter.

While in the kingdom, the husband decided to bring his wife and daughter a present from the party, so with all his savings he bought his daughter a beautiful doll and his wife, a small mirror, because he knew that she I did not have.

For the woman it turned out to be a mysterious gift because she had never seen a mirror and when she looked into it for the first time, she asked her husband in surprise:

- Who is this beautiful woman in the mirror,?

- What do you mean, who is it? Are you! It's your reflection, my dear!

The woman felt bad and sorry to know that this was a mirror. She took it and put it in a drawer so that her husband's gift wouldn't break.

Time passed and the girl was already a beautiful young woman, while the woman had aged. A few years passed and the woman fell ill and shortly before dying, she said to her daughter:

- My dear daughter, I know that I have little time left, but I will always be with you. I want to ask you that when I die, you take out an object that is in the drawer of my dresser and when you look in it, you will see me.

Finally, the woman died and the daughter remembered the request that she had made. So he went to the drawer and took out the mirror. Looking at herself, she saw a very pretty young woman who was smiling just like her.

He dedicated himself to looking in the mirror every day and said words of love that came from his heart. One day her father found her talking to the mirror and asked her:

- What are you doing, my daughter?

She excitedly showed him the mirror and said:

- Look dad, it's mom! He laughs with me every time I smile at him. He is here with us. She is beautiful and looks young, right?

His father, surprised and very excited, could not help but smile and replied:

- It certainly is. Is beautiful. You see it in that mirror and I see it in you.

The Bamboo Cutter and the Princess of the Moon
The legend below tells us about a married couple who always wanted to have children, but despite everything they tried to have them, they never succeeded.

They were very poor, but very humble. They both worked collecting bamboo and with this they manufactured various objects, which they later sold in the village market.

One night when the man was doing his routine job of choosing the best bamboo pieces to use, he was suddenly struck by one that had a glow inside. He moved closer to look at her more carefully and found that there was a tiny girl inside.

Exalted, the man took her in his arms and running began to call his wife and gave him the little girl. The emotion was so great that they decided to keep it, because they considered it a reward that the moon had sent them for the great love they had for each other and because they never lost faith. They called her Princess Moonlight. The girl grew up and during all those years she was a good daughter of great company and happiness for the couple.

Furthermore, the bamboo branch where the man found the girl, prodigiously and magically began to produce gold and gems, which made the bamboo cutter a rich man in no time.

The girl grew up and became a beautiful woman of normal size, and over time she became known in the village of her great beauty. so many gentlemen began to claim her, who came to ask for her hand.

On one occasion, five honorable gentlemen came to the house, invited by the bamboo cutter, who wanted to convince his adopted daughter to marry, since he was already very old and did not want to leave her alone. She refused and every time she could, she asked each suitor for things that were difficult to obtain to make them discouraged.

News of the existence of such a beautiful young woman reached the emperor of the region, so he asked her to go to his court. She, of course, refused, so he went to visit her.

When he saw her, he was captivated with love for her, so he tried to make her go with him to his palace and start preparing for the wedding. She again refused and warned that if forced, she would transform into a shadow, disappearing.

Luz de Luna only observed the sky every night and was saddened, because the time was coming to return to her place of origin, so she had to confess to her adoptive father with tears that her stay on earth should end, because she had come from the moon and there he had to return.

The emperor learned of this and wanted to prevent it by sending his guards to the house of the bamboo cutter, to prevent the princess from returning to her home planet.

Some time later, in one night it was observed that the moon was covered with a cloud that descended towards the earth, obscuring the sky. Then a chariot guided by luminous beings looked for the princess.

She left a letter and a small bottle containing the Elixir of Life to be delivered to the emperor, but the emperor, frightened, ordered that both be burned on the highest and most sacred mountain in that region.

อินดี้

ทานอาหารล้างพิษ
สารพิษเข้าสู่ร่างกายได้หลายทางและก่อให้เกิดโรคต่างๆตามมามากมาย  เราเคยได้ยินการล้างสารพิษในร่างกาย และมีวิธีการง่ายๆใกล้ตัวที่สามารถล้างพิษในร่างกายได้คือ การทานอาหารนั่นเอง แต่ว่าจะใช้อาหารล้างสารพิษได้อย่างไรนั้น เรามาฟัง พล.อ.ต. นพ.ขวัญชัย เศรษฐนัน สถาบันการแพทย์ผสนผสานตรัยยา โรงพยาบาลปิยะเวท อธิบายกันค่ะ
ในวันๆหนึ่งเราสามารถรับสารพิษได้จากทางใดบ้าง

ร่างกายคนเรารับสารพิษได้ร่างทาง ไม่ว่าจะเป็นการหายใจรับควันพิษ  การทานอาหาร พืชผักผลไม้ เนื้อสัตว์ ที่ผ่านการผลิตจากการเลี้ยงในฟาร์ม พืชที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เนื้อของสัตว์ที่ถูกเลี้ยงโดยใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ในทุกวันที่เราทานอาหารเราก็รับสารพิษ และสารพิษเหล่านี้ก็จะทำลายร่างกายทีละน้อย เมื่อเราทำงานหนัก ออกกำลังกายน้อย มีผลทำให้ร่างกายทรุดโทรมลง ก็จะปรากฏอาการของโรคเรื้อรังทั้งหลายออกมา ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันสูง หลอดเลือดตีบ โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานต่างๆ  สารพิษต่างๆเหล่านี้จะไปสะสมที่ตับ ในชั้นไขมัน ในสมอง หรือส่วนต่างๆในร่างกายเรา เราจึงต้องมีการล้างสารพิษต่างๆที่สะสมอยู่ในร่างกายออกบ้าง  การเลือกทานอาหารก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกาย และอาหารแบบใดที่ช่วยได้ 

อาหารที่ล้างพิษดีที่สุดนั้นมี 2 อย่าง
อันที่ 1 ก็คือน้ำ น้ำจะเป็นตัวชะล้างเอาสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในร่างกายทั้งหลายให้ออกมา ถ้าเราดื่มน้ำไม่พอ ร่างกายจะทรุดโทรมเร็ว การดื่มน้ำต้องดื่มให้เป็น ไม่ควรดื่มน้ำเยอะในระหว่างทานอาหาร เพราะมีผลต่อระบบการย่อย  ควรดื่มน้ำในตอนเช้า ประมาณ 3-4 แก้ว หรือดื่มให้ได้ประมาณ ครึ่งลิตร - 1 ลิตร เพราะว่าน้ำที่เราดื่มในตอนเช้าจะช่วยให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น  ช่วงกลางวันควรดื่มน้ำก่อนและหลังอาหารสัก 1 ชั่วโมง น้ำที่ดื่มควรเป็นน้ำที่อุณหภูมิห้อง ไม่ใช่น้ำเย็น และไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำอุ่น   

อาหารอันที่ 2  ก็คืออาหารพวกที่มีกากใยสูง พวกผักสดผลไม้ทั้งหลาย อาหารที่คนทุกเพศทุกวัยทานได้และแนะนำให้ทานก็คือ เม็ดแมงลักเพราะจะช่วยกวาดสิ่งสกปรกในลำไส้ได้ดี
ผักใบเขียวก็เป็นอาหารที่มีกากใยสูงและยังช่วยในการดูดซึมสารอาหาร  และผลไม้ที่ใช้ทานล้างสารพิษควรเป็นผลไม้ที่ไม่หวาน  วิธีการล้างพิษในร่างกายที่เรียกว่า fasting ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยล้างสารพิษ เป็นการไม่ทานอาหารประเภทใดเลยนอกจากผักสดผลไม้ที่มั่นใจว่าปลอดสารเคมีประมาณ 3 วัน และทำในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ร่างกายจะลดภาระที่ต้องย่อยอาหารประเภทโปรตีน ไขมัน หรือลดภาระในการกำจัดสารพิษต่างๆ โดยวิธีการล้างพิษนี้จะเลือกผักหรือผลไม้เพียงชนิดเดียว เช่น ฝรั่ง ชมพู่ ส้มโอ ควรงดส้มหรือแตงโม เพราะมีน้ำตาลมาก

ประโยชน์ของการทานอาหารล้างสารพิษ
- ช่วยให้ร่างกายแก่ช้าลง เนื่องจากผักผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งจะช่วยบำรุงฟื้นฟูเซลล์ต่างๆในร่างกาย
- ระบบขับถ่ายดีขึ้น ท้องไม่อืด แบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ก็มีมากขึ้น ร่างกายมีความสมดุล
ทั้งนี้การทานอาหารล้างสารพิษควรทำควบคู่กับการออกกำลังกายที่เหมาะสม และการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอและเป็นเวลาก็จะช่วยให้ร่างกายมีความสมดุล  สุขภาพแข็งแรงไม่เป็นโรคร้ายต่างๆ

ที่มา ทานอาหารล้างพิษ รายการคนสู้โรค

ดูเรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สุขภาพ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เทคโนโลยี อื่นๆได้ที่นี่  http://megatopic.blogspot.com



อินดี้

10 อันดับสัตว์มีพิษ

อันดับที่ 10 ทากทะเล



ทะเลเป็นบ้านของสัตว์ต่างๆ ที่มีสารเคมีเป็นอาวุธ บางชนิดใช้มันเพื่อฆ่าเหยื่อ แต่บางชนิดใช้มันเพื่อขับไล่นักล่า สัตว์ชนิดนี้ไม่ได้สร้างพิษของมันเอง แต่มันใช้สารพิษจากดอกไม้ทะเล ดอกไม้ทะลมีสารพิษนิวโรท็อกซิน (Neurotoxin) อันทรงพลัง ซึ่งเก็บอยู่ในเซลล์เข็มจิ๋วจำนวนมาก เข็มพิษเหล่านี้สามารถเผยโฉมในเสี้ยววินาที แต่มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถปลดอาวุธดอกไม้ทะเลนั่นก็คือทากทะเล ทากทะเลก็เหมือนหอยทากทะเล แต่ไม่มีเปลือกมาปกป้องตนเอง ดังนั้นสัตว์ชนิดนี้จึงต้องหาวิธีอื่นในการระวังตนเอง ทากทะเลไม่เพียงแค่กินดอกไม้ทะเล พวกมันยังขโมยเซลล์เข็มของดอกไม้ทะเลและเก็บเอาไว้ในปลายอวัยวะที่ยื่นออกมาจากปลายหลังของมัน นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จริงๆ ว่าทากทะเลสามารถกลืนเซลล์เข็มของดอกไม้ทะเลโดยไม่เป็นอันตรายได้อย่างไร มีข้อสันนิษฐานว่า ในระบบการย่อยของมันทำให้สารพิษมีความเป็นกลางเมื่อย่อยแล้วเซลล์เข็มเหล่านี้ก็เดินทางไปสู่ส่วนปลายที่หลังของมัน ทากทะเลไม่สนเรื่องการพรางตัว มันแสดงความเป็นพิษของมันด้วยสีที่ฉูดฉาดและลวดลายที่เด่นชัด

อันดับที่ 9 กิ้งกือ ( Millipede)
มันเป็นสัตว์ที่รู้เรื่องแก๊สพิษเป็นอย่างดี ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่ากิ้งกือเป็นสัตว์กินพืชทีไม่มีอันตราย แต่ถ้ามันถูกคุกคามมันสามารถปล่อยกลิ่นที่แม้แต่นักล่าที่หิวโหยที่สุดยังต้องอุดจมูก ระบบป้องกันทางเคมีของกิ้งกือไม่ได้มาจากเท้าของมัน และทั้งๆที่มันมีเท้าถึง 750 ข้าง กิ้งกือก็ไม่สามารถวิ่งได้เร็วนัก ถ้ามันถูกคุกคามมันจะขดตัวม้วนเป็นก้อนกลม และปล่อยแก๊สพิษออกมาจากช่องข้างลำตัว กิ้งกือหนึ่งตัวสามารถผลิตแก๊สพิษที่เป็นสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ได้เกือบ 1 ออนซ์ นั่นมากพอที่จะฆ่าสัตว์ที่มีขนาดเท่าๆกับหนูได้อย่างสบาย ที่แปลกก็คือตัวแบล็ก ลีเมอร์ (Black Lemur) แห่งมาดากัสการ์ พัฒนาจมูกให้สามารถป้องกันพิษของกิ้งกือ ก่อนอื่นมันจะแหย่กิ้งกือให้ปล่อยพิษออกมา จากนั้นก็จะจับกิ้งกือถูเข้ากับตัวเองไปมา มันค้นพบว่ากลิ่นของกิ้งกือช่วยป้องกันยุงได้ดี และพิษของกิ้งกือมีผลเพียงเล็กน้อยกับตัวแบล็ก ลีเมอร์หรือมนุษย์

อย่างไรก็ตามมนุษย์คนนึงค้นพบวิธีประหลาดที่ใช้สารเคมีจากแมลงชนิดหนึ่ง นับหลายร้อยปีมาแล้ว มนุษย์เคยได้ยินเรื่องพลังของยาโป๊วที่ชื่อว่า แมลงวันสเปน ตัวยาเกิดจากแมลงปีกแข็งก่อกวนแมลงวันสเปนแล้วมันจะหลั่งของเหลวมีพิษคล้ายกับเนย ซึ่งถ้ากินเข้าไปจะเพิ่มการหมุนเวียนของโลหิต และกระตุ้นความต้องการทางเพศ นั่นเป็นสาเหตุที่มาคีส์ เด เซด (Marquis De Sade) ผสมแมลงวันสเปนไปในของหวานให้กับแขกของเขา โชคร้ายที่พวกเขาทานมากเกินไป ดังนั้นแทนที่จะรู้สึกถึงอารมณ์แห่งรัก พวกเขากลับล้มป่วย มาคีส์ถูกจองจำและถูกตัดสินในฐานะนักโทษอุกฉกรรจ์ ไม่มีใครใช้สารเคมีจากกิ้งกือในการทำเสน่ห์ อาจเป็นเพราะการดมไฮโดรเจนไซยาไนด์อาจทำลายอารมณ์โรแมนติกใดๆ ก็ได้

อันดับที่ 8 ผีเสื้อโมนาร์ช (Monarch Butterfly)



เมื่อคุณมีพิษเต็มตัวก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่สัตว์ในอันดับที่ 8 มีสีส้มดำฉูดฉาด นี่คือผีเสื้อโมนาร์ช (Monarch) ทุกฤดูหนาวของภูเขาใน Central Mexico คุณสามารถพบเห็นผีเสื้อโมนาร์ช 20,000 ตัวบนกิ่งไม้ และออกันอยู่ในบริเวณนี้กว่า 220 ล้านตัว พวกมันปลอดภัยอย่างแท้จริง เพราะไม่มีสัตว์ตัวไหนกล้าแตะต้องพวกมัน ก็เพราะต้นไม้ที่ชื่อ มิลค์วีด (Milkweed) มีสารพิษที่ชื่ออัลคาลอยด์ที่มีพิษร้ายแรงขนาดปริมาณแค่ 1 ออนซ์ ก็สามารถฆ่าแกะได้ ผีเสื้อโมนาร์ชตัวเมียอาศัยต้นมิลค์วีดเหล่านี้เพื่อเลี้ยงดูลูกของมัน ดักแด้ของโมนาร์ชกินมิลค์วีดกันอย่างเดียว พวกมันจำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักจากแรกเกิดอีก 15 เท่า พวกมันถึงจะพร้อมกลายเป็นผีเสื้อ พวกมันจะสะสมอัลคาลอยด์ในเนื้อเยื่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันต้องกินยาพิษที่ช่วยปกป้องพวกมันจากนักล่าในช่วงที่พวกมันมีชีวิต ผีเสื้อโมนาร์ชเป็นสัตว์ที่มีพิษในอันดับที่ 8 เพราะการกลืนอัลคาลอยด์จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน และหัวใจหยุดเต้นได้

ผีเสื้อโมนาร์ชไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวที่ใช้สารพิษจากพืช มนุษย์ก็เช่นกัน ผู้ปกครองของโรมโบราณทราบดีถึงการใช้ต้นไม้มีพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นเบลลาดอนนา (Belladonna) หรือ เดธลี่ ไนท์เชด (Deathly Nightshade) ที่เต็มไปด้วยอัลคาลอยด์ที่เต็มไปด้วยอะโทรปิน (Atropine) ซึ่งเป็นสารพิษ ในปริมาณที่พอเพียงสิ่งนี้อาจทำให้หัวใจล้มเหลว หนึ่งในนักโทษที่อื้อฉาวในประวัติศาสตร์ ลิเวียพระชายาของจักรพรรดิ ออกุสตัส (Augustus) บางคนเชื่อว่าพระนางใช้เบลลาดอนนา เพื่อวางยาพิษเหยื่อที่ไม่ได้คาดคิดรวมถึงพระสวามีของพระนาง

เมื่อตัวเต็มวัยของผีเสื้อโมนาร์ชออกจากดักแด้ของมัน พิษของตัวเต็มวัยก็พอๆ กับในตัวดักแด้เพราะมันสะสมอัลคาลอยด์อยู่ในเกล็ดบนปีกของมัน อย่างไรก็ตามมีการศึกษาว่าพิษของผีเสื้อโมนาร์ชลดลงตามอายุของมัน ก็เพราะเวลาที่ล่วงเลยเกล็ดบนปีกของมันก็เริ่มจะร่วงหล่น

อันดับที่ 7 แมลงปีกแข็งบอมบาร์ดิเออ (Bombardier)



บางครั้งคุณไม่ต้องการห้องทดลองที่ใช้ผสมยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก สัตว์ในอันดับ 7 ของเราสามารถผลิตระเบิดในบั้นท้ายของมันเอง มันคือแมลงปีกแข็งบอมบาร์ดิเออ (Bombardier) มันไม่รอให้นักล่ามาลิ้มรสเรือนร่างที่มีพิษของมัน เมื่อแมลงบอมบาร์ดิเออเจอปัญหา มันปกป้องตัวเองด้วยการพ่นสารเคมีที่แสบร้อนจากด้านหลังของมันเอง ต่อมที่อยู่ด้านหลังของแมลงบอมบาร์ดิเออ ผลิตไฮโดรควิโนน สารเคมีมีพิษที่เราใช้เหมือนกับน้ำยาล้างฟิล์ม ต่อมอีกต่อมหนึ่งสร้างสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สารเคมีแบบเดียวกับที่เราใช้เป็นเชื้อเพลิงจรวด เมื่อสารเคมีทั้งสองอย่างถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน ปฏิกิริยาความร้อนมีมากถึง 212 องศาเซลเซียส ละอองพิษที่แสบร้อนถูกดันออกไปจากหัวฉีดเล็กๆ ด้วยแรงระเบิดที่รวดเร็วสุดๆ มันสามารถฉีดพิษได้ถึง 700 ครั้งต่อวินาที

อันดับที่ 6 คางคกเคน (Cane Toad)



สัตว์ตัวนี้ผลิตพิษที่ทรงพลังพอที่จะทำให้หัวใจหยุดเต้น คางคกเคนอาจดูอ่อนแอแต่มันเต็มไปด้วยพิษ ต่อมที่ผลิตสารพิษอยู่ในผิวหนัง แต่พวกมันมารวมตัวกันอยู่ในบริเวณตรงหัวไหล่ ต่อมพวกนี้อยู่ในตำแหน่งที่ดีเยี่ยมเพื่อให้พิษเข้าไปในปากของนักล่าได้รวดเร็ว มันเป็นสัตว์ที่รักสงบและปล่อยสารพิษเมื่อรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอันตรายเท่านั้น ไม่เคยมีใครตายเพราะคางคกเคนในออสเตรเลีย แต่มีครั้งหนึ่งที่คางคกมีส่วนในการฆาตกรรม เมื่อนักโบราณคดีขุดพบที่ตั้งมายันโบราณในอเมริกากลาง เขาพบกระดูกของคางคกหลายพันตัว มีข้อสันนิษฐานว่า นักบวชมายันรีดพิษของคางคกเพื่อใช้มันในพิธีบูชายัญ มันคือยาวิเศษในพิธีบวงสรวงของพวกเขา เมื่อเสพยาพิษนี้เข้าไป เหยื่อบูชายัญจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และถูกสังเวยให้กับเทพเจ้าที่น่ากลัว

อันดับที่ 5 งูเห่า (Cobra)



สัตว์ชนิดนี้พบวิธีพิเศษเพื่อใช้พิษในการหลบหนีปัญหา เลื้อยมาสู่อันดับที่ 5 นั่นก็คืองูเห่า พิษงูเห่าน้อยกว่า 1/10 ช้อนชา ก็สามารถฆ่ามนุษย์ได้แล้ว และมันสามารถใช้พิษของมันโดยไม่ต้องกัดเหยื่อ ในการขู่ของมัน มันสามารถพ่นพิษออกไปได้ไกล 11 ฟุต อย่างแม่นยำ การวิจัยระบุว่างูเห่าจะเล็งไปที่เนื้อเยื่อดวงตาที่มีความรู้สึกไว ที่ซึ่งพิษดูดซึมอย่างรวดเร็วและสามารถทำให้ตาบอดถาวร ได้มีการจำลองติดดวงตาไว้ที่หุ่น และแม้ว่าจะเปลี่ยนตำแหน่งไปที่ไหน งูเห่าก็จะพ่นพิษไปที่ดวงตาทุกครั้ง ความลับในความแม่นยำของงูเห่าอยู่ในโครงสร้างของเขี้ยว ในงูส่วนใหญ่พิษเดินทางผ่านช่องโพรงภายในฟันด้วยแรงดันต่ำ แต่ในงูเห่าพ่นพิษ ช่องทางเปิดในมุมที่เหมาะสมที่ปลายเขี้ยว พ่นพิษออกไปด้วยแรงดัน ก็เหมือนกับงูทุกชนิดพิษของงูเห่าประกอบด้วยโปรตีนและเอนไซม์ที่แตกต่างกันหลายร้อยชนิด ขณะที่งูเห่าพ่นพิษใช้มันเพื่อให้นักล่าถอยห่าง

อันดับที่ 4 นกพิทุย (Pitohui Bird)



นี่คือสัตว์ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่ามีพิษจนกระทั่งปี 1989 ก่อนหน้านั้นไม่มีใครรู้ว่าหนึ่งในนกกว่า 9,000 ชนิดจะมีพิษ จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งใช้ตาข่ายจับนกในปาปัวนิวกินีเพื่อศึกษา หลังการตรวจสอบนกที่มีชื่อว่า พิทุย (Pitohui) นักวิจัยเอานิ้วเข้าไปแหย่ในปาก เขาไม่รู้ว่าเขาถูกวางยาจนกระทั่งริมฝีปากและลิ้นของเขาเริ่มชา เขาเก็บตัวอย่างจากนกเพื่อส่งกลับสู่ห้องทดลอง การทดสอบยืนยันว่าผิวหนังและขนของนกพิทุยมีพิษที่ชื่อว่า เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) สามารถฆ่าหนูในไม่กี่นาที และยิ่งกว่านั้นยิ่งพิษแรงแค่ไหนนกก็จะยิ่งมีสีสดเท่านั้น มีการค้นพบว่านกพิทุยมีพิษน้อยที่สุดในสามพันธุ์ นกพิทุยสลับสีมีพิษปานกลาง และนกพิทุยที่มีแผงคอสีสดมีพิษมากที่สุด เชื่อกันว่าพิษของนกพิทุยอาจช่วยป้องกันปรสิตและป้องกันตัวจากนักล่า พิาไม่แรงพอที่จะฆ่าคนแต่มันอธิบายได้ว่าทำไมชาวปาปัวนิวกินีถึงตั้งฉายานกพิทุยว่านกสวะ พวกเขารู้ดีว่าถ้ากินนกพิทุย กลิ่นปากของพวกเขาจะเหม็นสุดๆ เมื่อนักวิจัยไปเยี่ยมนักธรรมชาติวิทยาชาวนิวกินี เพื่อค้นหาว่านกมีพิษได้อย่างไร พวกเขาร่วมกันวิจัยค้นพบว่า แมลงปีกแข็งที่นกพิทุยกินเข้าไปนั้นมี เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) เช่นกัน ดูเหมอืนว่านกพิทุยเป็นดั่งคำฝรั่งที่ว่า You are wat you eat จริงๆ และเป็นเรื่องน่าแปลกที่ไม่เฉพาะนกพิทุยที่มีพิษชนิดนี้เท่านั้น เราจะพบพิษนี้ได้ในสัตว์พิษอันดับต่อไป

อันดับที่ 3 หมึกบลูริงก์ (Blue Ring Octopus)



มันเป็นสัตว์มีพิษที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย และขนาดเพียงแค่ลูกกอล์ฟก็สามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คน มันก็คือหมึกบลูริงก์ (Blue Ring Octopus) ชื่อของมันมาจากวงแหวนสีฟ้าสดใสของมัน และจะเปล่งแสงเตือนเฉพาะเวลาที่มันถูกคุกคาม มันมีสารพิษที่ชื่อนิวโรท็อกซิน (Neurotoxin) ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าไซยาไนด์ หมึกใช้สารพิษเพื่อป้องกันตัวเองและจู่โจมเหยื่อ หมึกชนิดนี้สร้างพิษของมันโดยต่อมน้ำลายที่ถูกดัดแปลงสองต่อม แต่ละต่อมใหญ่เท่ากับสมองของมัน ขณะที่มันล่าเหยื่อ อาจจะขาดความแม่นยำอย่างงูเห่าพ่นพิษ แต่มันสามารถพ่นน้ำลายพิษหรือฉีดพิษเข้าไปจากการกัดโดยจงอยปากอันทรงพลังของมัน สารพิษจะค้นหาเซลล์ประสาทและปิดกั้นการควบคุมแรงดันไฟฟ้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ในชั่วเวลาแค่ไม่กี่วินาที เหยื่อเป็นอัมพาตทันที ระบบหายใจเริ่มหยุดทำงาน หมึกบลูริงก์ก็จะกินอาหารโดยไม่มีการต่อสู้ มันไม่ได้สร้างพิษของมันเอง นักวิจัยค้นพบว่ามันเป็นพวกแบ็คทีเรียที่ผลิตนิวโรท็อกซินที่ร้ายแรง แบคทีเรียเหล่านี้อาศัยอยู่ในต่อมน้ำลายของหมึก

อันดับที่ 2 ปลาปักเป้า (Puffer Fish)



มันไม่ได้ดูอ่อนแอเหมือนอย่างที่เห็น อาวุธของมันคือสารพิษเตตร้าด็อกซิน (Tetrodotoxin) หนึ่งในสารพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก เหมือนกับหมึกบลูริงค์ปลาปักเป้ามีแบ็คทีเรียในร่างกายที่ผลิตสาร เตตร้าด็อกซิน ว่ากันว่าร้ายแรงกว่าไซยาไนด์ 275 เท่า และทำให้เส้นประสาทของระบบหายใจเป็นอัมพาตไปเลย ปลาปักเป้าสะสมเตตร้าดอกวินไว้ในตัวของพวกมันได้ เพราะมันพัฒนาระบบประสาทให้มีภูมิต้านพิษ อย่างไรก็ตามมนุษย์ไม่มีภูมิต้านทานพิษชนิดนี้อย่างแน่นอน การกลืนชิ้นเนื้อปลาปักเป้าที่มีพิษเพียงขนาดเพียงหัวเข็มหมุด สามารถทำให้ถึงตายได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้บางคนหยุดยั้งที่จะกินมัน ในญี่ปุ่นปลาปักเป้าเรียกว่า ฟุกุ เนื้อปลาปักเป้าเป็นอาหารชั้นหนึ่งที่ต้องเตรียมโดยผู้เชี่ยวชาญ พิษเตตร้าด็อกซินมีอยู่หนาแน่นในรังไข่ ลำไส้ และตับปลา ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้ต้องขจัดออกอย่างระมัดระวัง และเนื้อต้องล้างอย่างทั่วถึงก่อนการเสิร์ฟ

อันดับที่ 1 กบลูกดอกพิษ (Poison Dart Frog)



สัตว์ที่มีพิษมากที่สุดในโลกอยู่ลึกไปในป่าฝนของอเมซอน โชคดีที่หาตัวพวกมันได้ง่าย มันคือกบลูกดอกพิษ พวกมันมีขนาดเพียงแค่ราวหัวแม่มือเท่านั้น และกบเพียงตัวเดียวมีพิษในผิวหนังที่จะฆ่าคนได้ถึง 50 คน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเหล่านี้ได้ชื่อของพวกมันก็เพราะชาวพื้นเมืองทาสารหลั่งจากผิวหนังของกบชนิดนี้ไว้ที่ปลายลูกดอกที่ใช้ล่าสัตว์ พิษรุนแรงกว่าเตตร้าด็อกซินที่พบในปลาปักเป้าถึงสิบเท่า และทำงานโดยการปิดกั้นการส่งผ่านของการกระตุ้นของเส้นประสาท และที่น่าแปลกก็คือพิษที่อยู่ในผิวหนังของพวกมันคือสาร เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) สารตัวเดียวกับที่พบในนกพิทุย (Pitohui)  ในปาปัวนิวกินีที่อยู่ไกลออกไป แต่สารนี้พบในนกพิทุยในปริมาณที่น้อยกว่ามาก เป็นเรื่องแปลกว่า กบลูกดอกพิษและนกพิทุยเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร จนเมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบว่า แมลงปีกแข็งที่นกพิทุยกินในปาปัวนิวกินี ก็พบในโคลัมเบียที่ซึ่งกบอาศัยอยู่เช่นเดียวกัน

*** นิวโรทอกซิน (Neurotoxin)  เป็นกลุ่มสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ในสัตว์ทะเลที่มีพิษส่วนใหญ่จะเป็นสารพิษในกลุ่มนี้ ยกตัวอย่างเช่นสารพิษ Tetrodotoxin ที่พบในปลาปักเป้าและหมึกบลูริงก์ ***

ดูเรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สุขภาพ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เทคโนโลยี อื่นๆได้ที่นี่  https://www.anyapedia.com

นายไข่นุ้ย

DO YOU KNOW ME? I AM A CAT 28 YEARS. AND YOU?    แมวแท้สู (แมวยิ้ม)

อินดี้

10 อันดับสัตว์สถาปนิก
คำเตือน อาจมีภาพและเรื่องน่าขยะแขยง

ถ้าคุณคิดว่าบ้านของคุณสร้างให้คงทนได้นาน โปรดชมจ้าวแห่งการก่อสร้างของโลกธรรมชาติซะก่อน เราจะนับถอยหลังไปสู่สิบอันดับสุดยอดสัตว์สถาปนิกและเปรียบเทียบกับสิ่งก่อสร้างพิสดารของมนุษย์ ค้นพบการวางแผนที่ดีที่สุดระหว่างมดกับคน เมื่อการปรับปรุงบ้านก้าวไปแบบสุดยอด

อันดับที่ 10 ปลานกแก้ว (Parrotfishes)



ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเราเรียกถ้ำว่าเป็นบ้านของเรา แต่ด้วยความทะเยอทะยาน ช่างคิดประดิษฐ์ที่มากขึ้น เราก็สร้างโครงสร้างที่ใหญ่และดียิ่งขึ้นจนขณะนี้ท้องฟ้าเป็นแค่เขตจำกัด ด้วยเวลาและเงินที่เพียงพอ เราสามารถสร้างบ้านให้แปลกประหลาดกว่าใครๆได้ แต่คงจะไม่มีใครที่จะสร้างบ้านที่เหมือนกับสัตว์ที่จะนำเสนอต่อไปนี้ เมื่อดวงอาทิตย์ลับฟ้าบนแนวประการัง ถึงเวลาที่ปลานกแก้วจะสร้างบ้านหลังใหม่ มันถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่สิบเพราะมันสร้างบ้านจากน้ำมูกได้ ถุงนอนที่มันสร้างขึ้นมานี้ทำมาจากเสมหะจากต่อมพิเศษในผิวหนังของมัน ฟังดูน่ารังเกียจแต่ถุงเมือกนี้จะคอยกันกลิ่นให้ปลานกแก้ว มันจำเป็นอย่างยิ่งเพราะมีนักล่าที่ดมกลิ่นปลาที่หลับอยู่และป้องกันตัวเองไม่ได้ เมื่อรอดพ้นจากอันตรายยามค่ำคืนแล้วปลานกแก้วก็กิน โพลิป (Polyp) ที่เป็นตัวสร้างหินปูนปะการังได้เต็มที่ เมื่อมันเคี้ยวหินมันก็ต้องถ่ายออกมาเป็นทรายจำนวนมาก ในแต่ละปีแค่ปลานกแก้วเพียงตัวเดียวกสามารถผลิตทรายปะการังได้ถึง 1 ตัน

การให้มือเปรอะเปื้อนกองมูลที่ถ่ายออกมาจากปลานกแก้วนั้น เป็นฝันของเด็กๆ ที่เล่นก่อทราย และไม่ใช่เพียงเด็กเท่านั้นที่เล่นมัน นักออกแบบหลายต่อหลายคนได้ปั้นปราสาททรายที่สุดยอด งานปั้นที่น่าเหลือเชื่อนี้อยู่ในเบลเยี่ยม ในงานปฏิมากรรมทรายที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป หลายร้อยชั่วโมงที่ต้องฉีดน้ำอัดทรายจนแน่นเพื่อให้สามารถแกะ เซาะทรายเป็นรูปร่างอันน่าตื่นตาได้ ปลานกแก้วไม่ได้ใช้ความพยายามขนาดนั้นในการสร้างที่อยู่ชั่วคราว แต่ความยากในการทำถุงเมือกขนาดใหญ่ของปลานกแก้วนี้ไม่ได้ยากมากนัก เราจึงจัดให้มันอยู่แค่อันดับที่สิบในการจัดอันดับการออกแบบบ้านของสัตว์ในครั้งนี้

อันดับที่ 9 ปูนักตกแต่ง (Decorator Crab)



ที่มาภาพ wikipedia

สัตว์ในอันดับนี้ทำให้การสร้างบ้านเป็นที่ๆ สุดยอด มันดึงดูดความน่าสนใจโดยมันไม่หยุดการตกแต่งบ้านของมันเลย เพิ่มชิ้นนี้ที่นั่น เปลี่ยนชิ้นนี้ที่โน่น ไม่ต้องสงสัยเลยที่มันถูกเรียกว่าปูนักตกแต่ง มันมีเครื่องมือพร้อมสรร มีมือที่เป็นคีมไว้ตัดเศษพืช แล้วมัดไว้กับขนเล็กๆที่ขาและหลังของมัน เศษพืชหรือสาหร่ายทะเล เสียบติดกับตัวเหมือนเป็นเส้นผมของร่างกายมัน สิ่งที่ทำให้ปูนี้เป็นสุดยอดก็คือ ไม่ว่ามันจะเดินไปไหนมันก็จะตกแต่งตัวมันไปพร้อมๆ กัน ปูชนิดอื่นต่างพยายามหลีกเลี่ยงตัวเองจากสัตว์นักล่า แต่เจ้าปูนักตกแต่งนี้กลับใช้ชีวิตอยู่ในที่โล่ง เจ้าแห่งการพรางตัวนี้ทำตัวให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมใหม่อย่างรวดเร็ว ตามแต่ว่ามันจะหาเศษสิ่งต่างๆที่ได้จากบริเวณที่มันเดินผ่านไปนั้นมีอะไร

ผู้หญิงคนหนึ่งก็สามารถเปลี่ยนเศษสิ่งต่างๆ ให้เป็นบ้านได้อย่างน่าเหลือเชื่อเช่นเดียวกัน นี่คือคุณยายพริสบรี้ (Prisbrey) แห่งซิมิวัลเลย์ แคลิฟอร์เนีย (Simi valley california) ในปี 1956 คุณยายได้เก็บรวลรวมดินสอไว้มากกว่า 17,000 แท่ง และเมื่ออายุได้ 61 ปี เธอได้ตัดสินใจที่จะสร้างบ้านเพื่อเก็บดินสอเหล่านี้ไว้ทั้งหมด สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือหาวัสดุที่จะใช้ทำบ้านเช่นเดียวกับปูนักตกแต่ง เริ่มเก็บรวบรวมสิ่งต่างๆที่วางทิ้งไว้ทั่วไป วัสดุที่คุณยายชอบที่สุดก็คือขวด และหลังจากใช้เวลา 25 ปีในการเก็บสะสม คุณยายพริสบรี้ก็ได้ออกแบบมันขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ มันไม่ใช่บ้านแต่มันเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านขวดของคุณยายพริสบรี้ประกอบไปด้วยบ้าน 13 หลังและปฎิมากรรม 22 ชิ้น ทั้งบ่อน้ำ ที่ตั้งบูชาและทางเดิน มีรวมทั้งหมดรวมกันแล้วมากกว่า 1,000,000 ขวด ในผลงานของเธอ ใจกลางความหลากหลายนี้เริ่มต้นจากตัวบ้านที่เธอสร้างขึ้นมาไว้ใช้เก็บชุดดินสอสะสมทั้งหลาย คุณยายพริสบรี้เสียชีวิตในปี 1988 และผลงานสุดพิเศษของเธอยังคงอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้

การออกแบบของปูนักตกแต่งยังเป็นแบบชั่วคราวอยู่มาก มันอยู่แค่อันดับที่ 9 ในการจัดอันดับ เพราะเวลาที่มันหิวเมื่อไหร่มันก็เอาชิ้นส่วนที่อยู่บนหลังของมันเอามากินเมื่อนั้น

อันดับที่ 8 ด้วงจอมฝัง (Burying Beetles)


ที่มาภาพ http://en.wikipedia.org/wiki/Nicrophorus_orbicollis

การจัดอันดับของนักออกแบบบ้านที่สุดยอดยังคงเกี่ยวกับบ้านซึ่งดีพอที่จะกินได้เลย คล้ายกับบ้านของนางแม่มดที่ลวงให้เฮนเซลและเกรเทลเข้ามาติดกับดัก ลูกกวาดและเค้กอาจเป็นวัสดุสร้างบ้านที่วิเศษที่สุดสำหรับเด็กที่หลงทางในป่าลึก แต่มันไม่มีอะไรน่ากินเลยในบ้านของสัตว์อันดับที่ 8 นี้ มันเดินทอดน่องอย่างมีความสุขในป่ามืดๆและป่าช้ารกร้าง สัตว์ที่คลานเข้ามาในอันดับที่ 8 มันก็คือตัวด้วงจอมฝัง มันกำลังหาบ้านที่ทำให้เฮนเซลและเกรเทลคลื่นไส้ ซากหนูตายนั้นเป็นที่อยู่สุดเริ่ด ยิ่งถ้ามีเห็บหรือไข่แมลงวันอยู่ด้วยยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เมื่อด้วงคู่หนึ่งมาเจอเข้า มันจะออกแบบสถานที่เลี้ยงเด็ก ขั้นตอนแรกก็คือใช้น้ำลายและอุจจาระของมันทาซากศพจนทั่วเพื่อให้มันเน่าช้าลง จากนั้นก็เคลื่อนย้ายซากหนูตายที่หนักกว่าตัวของมันภึง 200 เท่า เมื่อแบกขึ้นใส่หลังมันสามารถทำให้ซากศพสมดุลและเลื่อนไปเรื่อยๆ ราวกับอยู่บนสายพานขนของ หนึ่งชั่วโมงต่อมาซากศพก็อยู่ในหลุมเรียบร้อย ซากหนูตายจะอยู่เป็นอาหารให้ลูกๆ ของพวกมันไปอีกนานแสนนาน

อันดับที่ 7 แมงมุม



การจัดอันดับสุดยอดนักออกแบบบ้านในอันดับที่ 7 เป็นสัตว์ที่ทำให้มนุษย์ต้องอิจฉา เราคิดว่าเราฉลาดที่สามารถทำเหล็กเส้นขนาดเท่าเส้นสปาเก็ตตี้ที่สามารถรับน้ำหนักได้มากกว่าครึ่งตันได้ เมื่อนำเหล็กเส้นมามัดรวมกันเป็นเส้นใหญ่ๆ คุณคงคิดว่ามันเป็นแบบการก่อสร้างที่ต้านทานภัยธรรมชาติได้ทุกอย่าง ย้อนไปปี 1940 วิศวกรคิดอย่างนั้น พวกเขาใช้เวลาสองปี สร้างสะพานแขวนที่ข้ามช่องแคบทาโคมาในรัฐวอชิงตัน เขาคิดว่าเขาสร้างสิ่งที่ เบา อ่อนช้อยและยืดหยุ่นที่สุด มันยืดหยุ่นได้จริงๆ วิศวกรออกแบบสะพานที่ทำหน้าที่เหมือนปีกเครื่องบินในลมสูงๆ หลังจากเปิดใช้ได้เพียงสี่เดือนสะพานก็พัง และถึงแม้ในปัจจุบันเราก็มีสิ่งก่อสร้างที่สู้สิ่งที่สัตว์ในอันดับที่ 7 นี้สร้างไม่ได้ แมงมุมชักใยข้ามช่องว่างในอากาศที่มีสัตว์ผ่านพลุกพล่าน มันจึงดักอาหารจากท้องฟ้าได้ ลองนึกดูว่าสิ่งปลูกสร้างของเราจะเป็นอย่างไรถ้าใช้วัสดุที่สามารถรับน้ำหนักได้มากกว่าน้ำหนักตัวของเราได้ถึง 4,000 เท่า และยึดยิดด้วยกาวเท่านั้น ใยแมงมุมเป็นอย่างนั้นนั่นแหละและมันเป็นวัสดุตามธรรมชาติที่อัศจรรย์จริงๆ

ลองนึกภาพดูว่าถ้าคุณพ่นเส้นใยแมงมุมออกมาได้ เมื่อเทียบน้ำหนักแล้วใยแมงมุมแข็งแรงกว่าเหล็กถึง 5 เท่า และที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือใยแมงมุมยืดหยุ่นกว่าไนล่อนถึงสองเท่า ใบแมงมุมสามารถมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 6 ฟุต บางใยก็อยู่บนต้นไม้สูง 30 ฟุตและแข็งแรงพอที่จะจับนกเล็กๆ ได้ ใยแมงมุมบางชนิดสามารถใช้จับปลาได้ด้วย ในนิวกินีนักสำรวจชาวยุโรปยุคแรกๆ พบว่าคนท้องถิ่นรู้ถึงความแข็งแรงอย่างเหลือเชื่อของใยแมงมุม พวกเขาให้แมงมุมมาชักใยในกรอบโค้งๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ แค่ไม่กี่ชั่วโมงพวกเขาก็ได้ตาข่ายจับปลาที่แข็งแรงมากๆ มันสามารถดักปลาที่หนัก 1 ปอนด์ในลำธารขึ้นมาบนฝั่งได้



และมีแมงมุมที่สร้างใยในน้ำแต่ไม่ได้ไว้ใช้สำหรับดักปลา มันคือแมงมุมประดาน้ำ มันใช้อากาศหายใจเหมือนกับพันธุ์อื่นๆ และมันอยู่ใต้น้ำ มันชักใยที่ป้องกันไม่ให้ฟองอากาศลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ มันใช้อากาศในใยนี้หายใจ แล้วออกไปจับปลาหรือลูกอ๊อดต่างๆ แล้วมันก็ขึ้นไปบนผิวน้ำแล้วใช้ก้นที่มีขนของมันเก็บเอาฟองกาศลงมาเพื่อเติมอากาศที่เก็บไว้ในใยแมงมุมใต้น้ำสำหรับดำน้ำต่อไป

อันดับที่ 6 นกนางแอ่น



ในเอเชียอาคเนย์ที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยที่สุดนั้นหาได้ในถ้ำ มันอุ่น แห้ง และไกลจากปากของนักล่าที่หิวโหย มีปัญหาอย่างเดียวก็คือบนผนังหินเรียบๆ นี้ ไม่มีอะไรให้แขวนนอกจากคุณจะเป็นนกนางแอ่น มันพบวิธีสร้างบ้านบนเพดานถ้ำโดยใช้น้ำลาย น้ำลายของมันเหนียวและเหมือนกับกาวที่ติดกับผนังหินได้



พวกมันใช้จงอยปากทอน้ำลายเหนียวๆ ให้เป็นเบ้าแข็งๆ ถึงพ่อและแม่จะช่วยกันถุยน้ำลายตลอดเวลาก็ยังต้องใช้เวลาเกินหนึ่งเดือนถึงจะเสร็จ มนุษย์บางคนก็สร้างบ้านจากของเหลวเหมือนกัน บ้านที่ว่านี้มันไม่เหนียวแต่มันแข็ง กระท่อมน้ำแข็งที่สร้างจากหิมะแข็งๆ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในขั้วโลกมาหลายร้อยปีแล้ว แต่ถ้าอยากเห็นกระท่อมน้ำแข็งแบบสุดยอด จองห้องในโรงแรมน้ำแข็งดูเลย ทุกปีตรงแม่น้ำโทนาในสวีเดนมีโรงแรมที่สร้างจากน้ำแข็ง 10,000 ตัน และหิมะมากกว่า 30,000 ตัน น้ำแข็งจากแม่น้ำถูกแกะสลักเป็นทุกอย่างตั้งแต่หน้าต่างไปจนถึงบาร์ โรงแรมนี้รับแขกได้ 100 คนและพวกแขกก็ดีใจที่เตียงไม่ได้ทำจากน้ำลายแช่แข็ง แต่บางคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลงทุนเดินทางแสนไกลไปหารังเหนียวๆ ของนกนางแอ่น แม้ว่าจะต้องทรงตัวอยู่ในไม้ไผ่บอบบาง อยู่สูงจากพื้นถ้ำ 500 ฟุตก็ตาม การเก็บรังนกเป็นธุรกิจที่ให้กำไรงาม เพราะมันเป็นวัตถุดิบอาหารอย่างหนึ่งที่คนชอบในรสชาติและเชื่อว่ามันช่วยบำรุงสุขภาพ

อันดับที่ 5 ตัวต่อ



นักออกแบบบ้านในอันดับนี้อาศัยอยู่ในป้อมปราการ และการป้องกันตัวของมันก็คือการโจมตี ป้อมปราการของมันเริ่มต้นจากโครงสร้างกระดาษที่เหมือนกับรวงผึ้ง มันเลี้ยงตัวต่องานรุ่นแรกๆในรูเล็กๆนี้ ซึ่งต่อมาจะเติบโตและช่วยสร้างป้อมปราการใต้ดินต่อไป ตัวต่อเหล่านี้เคี้ยวเส้นใยไม้และใช้น้ำลายยึดติดมันเข้าไว้ด้วยกัน มันสร้างรังที่เหมือนกับกระดาษแปะกาว อาณานิคมของมันจะขยายลงไปข้างล่าง โดยสร้างรวงต่อลงไปเรื่อยๆ เริ่มต้นจากแค่รังเล็กๆ รังส่วนใหญ่จะโตเท่ากับลูกฟุตบอลและมีช่องใส่ตัวอ่อนมากกว่า 10,000 ช่องด้วยกัน ปกติแล้วรังจะร้างในหน้าหนาว แต่ในที่ๆ อากาศอบอุ่นมันจะสร้างรังต่อไปอีกหลายฤดูกาล รังของมันเป็นการออกแบบที่ประณีตอย่างเหลือเชื่อ และใช้วัสดุที่ธรรมดา หลายล้านปีก่อนที่เราจะพบวิธีทำกระดาษ ตัวต่อค้นพบและใช้มัน ตัวต่อบางตัวผสมทรายเข้าไปด้วยเพื่อให้มันแข็งแรงและแข็งขึ้น

อันดับที่ 4 นกกระจาบ



ทุกวันนี้ไม่ค่อยมีใครใช้ฟางสร้างบ้านกันแล้ว เพราะคนคิดว่ามันกันสภาพอากาศหรือหมาป่าไม่ได้ ในเรื่องหมูสามตัว เจ้าหมูพวกนั้นน่าจะมาคุยกับเจ้านกเล็กๆ ชนิดนี้ เรื่องการสร้างบ้านด้วยฟางนั้นไม่มีใครเก่งกว่านกกระจาบอีกแล้ว ตัวผู้เป็นผู้สร้างหลักโดยไปเก็บใบไม้ที่เป็นเส้นๆ พวกหญ้า เถาวัลย์ต่างๆ มา จากนั้นก็เอามาผูกกับกิ่งไม้โดยใช้แค่จะงอยปากและเท้า ถ้าทำครั้งแรกไม่สำเร็จมันก็จะพยายามไปเรื่อยๆ นกแต่ละตัวใช้หญ้ามากกว่า 1,000 เส้นและใช้เวลาสร้างถึง 1 สัปดาห์จะเสร็จ เสร็จแล้วก็พยายามเรียกตัวเมียมาเข้ารังรัก ตัวเมียจะเลือกนกตัวผู้ในฝันจากคุณภาพของรัง ถ้ามันไม่รีบนำตัวเมียมาครอบครองให้ได้ รังจะแห้งเป็นสีน้ำตาลและเมื่อนั้นก็จบกัน มันต้องเลาะรังออกและเริ่มสร้างใหม่อีกครั้ง มันได้เป็นอันดับที่สี่ เพราะรังของมันเป็นผลงานทางวิศวกรรมที่น่าทึ่งมาก มันยืดหยุ่นอีกทั้งยังแข็งแรงแต่ไม่ใช่ครั้งนี้เพียงครั้งเดียวที่เพศหญิงเป็นแรงบันดาลใจในการก่อสร้างที่น่าทึ่ง

ย้อนกลับไปปี 1612 ชายาทัชมาฮาล อภิเษกสมรสกับจักรพรรดิชาจาฮาลที่ปกครองดินแดนที่เป็นอินเดียในปัจจุบัน เมื่อพระนางสิ้นพระชนม์จากการประสูติบุตรองค์ที่ 14 จักรพรรดิก็ทรงเสียพระทัยมาก พระองค์ดำหริที่จะสร้างสิ่งที่ระลึกถึงนางตลอดไป จึงตัดสินพระทัยที่จะสร้างสุสานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับชายาผู้เป็นที่รัก อนุสรณ์ของความรักชั่วนิจนิรันดร์ ทั้งช่างก่อหิน ช่างเจียระไนเพชรพลอย ช่างปูหินอ่อนกว่า 20,000 คนสร้างมันอย่างเหนื่อยยาก นานถึง 22 ปี ตำนานเล่าว่าช่างฝีมือที่สร้างโดมและช่างทำยอดแหลมของตึก 4 คนถูกตัดมือหลังจากสร้างเสร็จ เพราะพวกเขาจะได้สร้างอะไรที่สวยเท่าอาคารหลังนี้ไม่ได้อีก ความฝันของจักรพรรดิเป็นจริง เพราะปัจจุบันไม่มีสุสานไหนเทียบเท่ากับทัชมาฮาลนี้ได้เลย

อันดับที่ 3 แพรี่ด็อก (Prairie dog)



ที่มาภาพ http://en.wikipedia.org

มันอาศัยอยู่ในเมืองที่แผ่ขยายไปทั่วทุ่งหญ้าในอเมริกา ว่ากันว่าเมืองหนึ่งมีผู้อยู่อาศัยถึง 400 ล้านตัวและกระจายไปทั่วพื้นที่ๆใหญ่กว่าลอสแอนเจลิสถึง 20 เท่า และเมืองที่ว่านี้อยู่ใต้ดิน มันคือตัวแพรี่ด็อก เจ้าสัตว์ตระกูลหนูตัวอ้วนนี้สร้างบ้านในบริเวณทุ่งหญ้า แต่อยู่ต่ำลงไปจากผิวหน้าดิน 10 ฟุต สัญลักษณ์เดียวที่บ่งบอกว่ามันทำรังอยู่คือจะมีเนินดินตรงทางเข้าโพรง แพรี่ด็อกพยายามอย่างมากในการรักษาเนินดินนี้ไว้ ไม่ใช่แค่ไว้สำหรับเป็นที่ระวังภัยแต่ในทุ่งหญ้าเรียบๆนี้ น้ำท่วมอาจเป็นปัญหาสำคัญถ้าไม่สร้างกำแพงดินป้องกันไว้ตรงปากทางเข้า และเพื่อป้องกันสัตว์นักล่าผู้หิวโหยด้วย แพรี่ด็อกจึงขุดอุโมงค์หนีเอาไว้หลายทางเสมอ การสร้างอุโมงค์นั้นเป็นเรื่องภายในครอบครัว ตัวผู้หนึ่งตัวสามารถมีตัวเมียได้ถึง 4 ตัว มันจะช่วยกันขุดโพรงและเก็บหญ้าไปปูรังข้างล่าง

การขุดอุโมงค์ของเจ้านักขุดนี้สุดยอดจริงๆ เมื่อเข้าไปในโพรงของแพรี่ด็อก คุณจะเจอเข้ากับอุโมงค์ซับซ้อนวกวนที่ยาวถึง 15 ฟุต พวกมันสร้างที่เลี้ยงเด็ก ห้องนอน ห้องอาหาร ห้องน้ำและทางออกฉุกเฉิน และส่วนที่น่าประทับใจที่สุดของโครงสร้างอุโมงค์ก็คือระบบปรับอากาศที่เจ้าแพรี่ด็อกคิดขึ้นมาเอง เนินดินตรงปากโพรงของแพรี่ด็อกจะมีความสูงที่แตกต่างกัน เพราะที่สูงๆ จะมีลมแรงกว่าและที่ปากทางเข้าบนเนินดินความกดอากาศจะลดลง จึงเป็นการดูดอากาศออกจากอุโมงค์ ขณะเดียวกันเนินดินที่ต่ำกว่ามีความกดอากาศที่สูงกว่าจึงดันอากาศเข้าโพรงได้ตลอดเวลา

มันเป็นระบบที่เอามาใช้ได้ในทะเลทรายร้อนระอุในออสเตรเลีย เพราะที่นี่คนหายไปอยู่ข้างล่างเหมือนเมืองของแพรี่ด็อก ขอต้อนรับสู่คูเบอร์พีดี้ (Coober Pedy) ที่มีประชากรประมาณ 3,500 คนและประมาณ 70% ของเมืองนี้อยู่ใต้ดิน เพราะบนผิวหน้าทะเลทรายเครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักเพื่อสู้กับอุณหภูมิที่ขึ้นสูงมากกว่า 120 องศาฟาเรนไฮต์ แต่ที่ใต้ดินบ้านจะมีอุณหภูมิ 70 องศาฟาเรนไฮต์ทั้งปี บ้านใต้ดินบางหลังเป็นคฤหาสถ์ที่มีสระว่ายน้ำด้วย น่าแปลกที่ราคาถูกกว่าบ้านธรรมดาถึง 30% เพราะเครื่องขุดเจาะขนาดใหญ่สามารถขุดบ้านขนาดสี่ห้องนอนได้ภายในเวลาแค่วันเดียว แต่ข้อดีที่สุดในการออกแบบบ้านในส่วนนี้ของทะเลทรายก็คือบางครั้งก็ได้ค่าบ้านตอนขุด คูเบอร์พีดีเป็นแหล่งพลอยโอปอล์แหล่งใหญ่ของโลก บ้านหลายต่อหลายหลังเมื่อก่อนเป็นเหมืองพลอยโอปอล์และบ่อยครั้งด้วยที่คนเจออัญมณีนี้ในตอนก่อสร้างมากพอที่จะจ่ายค่าบ้านทั้งหลังได้เลย

อันดับที่ 2 บีเวอร์ (Beaver)



เจ้าตัวนี้เป็นวิศวกรระบบนิเวศน์ที่มีอิทธิพลที่สุดในอเมริกาเหนือ ไม่มีสัตว์ตัวไหนที่ส่งผลต่อภูมิประเทศได้เท่ากับเลื่อยยนต์มีขนในธรรมชาติ ไม่มีต้นไม้ต้นไหนปลอดภัยจากฟันสิ่วของบีเวอร์ได้ และแค่เพียงเสียงน้ำไหลก็ทำให้เจ้าตัวบีเวอร์เคลื่อนที่ทำนบอย่างรวดเร็ว บีเวอร์สร้างบ้านโดยใช้แค่ฟัน หาง และเท้า



ทำนบของมันสามารถกลายเป็นหุบเขาได้ โดยสร้างทะเลสาบส่วนตัวเป็นป้อมปราการเพื่อให้มันปลอดภัยจากสัตว์นักล่าในป่าทั้งหลาย ในช่วงเวลา 1 ปี บีเวอร์คู่หนึ่งอาจจะตัดต้นไม้ลงมามากถึง 400 ต้นได้ และทำให้น้ำท่วมได้หลายเอเคอร์เลยทีเดียว ทำนบที่ใหญ่ที่สุดของบีเวอร์ยาวกว่า 2,000 ฟุต ยาวพอๆกับสะพานบรู้คลินได้เลย ฝรั่งถึงชอบพูดกันว่า ยุ่งเหมือนกับตัวบีเวอร์



คงมีมนุษย์นักออกแบบไม่กี่คนที่เลือกสร้างบ้านในหนองน้ำ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่สร้างปราสาทในนั้น ปี 1972 ปฏิมากรฮาร์เวิร์ด โซโลมอนหาที่เงียบๆ เพื่อทำงาน เขาไปเจอที่ในหนองน้ำใจกลางฟลอริด้า แต่พอเขารู้ว่าที่ดินที่เขาซื้อไม่พอที่จะสร้างปราสาทในแนวราบเลยสร้างมันในแนวดิ่งแทนซะเลย ตอนนี้ปราสาทของโซโลมอนสูงสามชั้นและผิวภายนอกของปราสาทก็ปกคลุมด้วยแผ่นพิมพ์อลูมิเนียม ที่โรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นทิ้งแล้ว ปราสาทนี้ถูกใช้เป็นห้องแสดงปฏิมากรรมของโซโลมอนจำนวนหลายร้อยชิ้น

อันดับที่ 1 ปลวก (Termites)



ตึกระฟ้าบนที่ราบในแอฟริกาเป็นของนักออกแบบบ้านที่สุดยอดจริงๆ แมลงเล็กๆ เหล่านี้สร้างบ้านโดยใช้แค่ปากผสมน้ำลาย ดิน และอุจจาระเข้าด้วยกัน มันอาจจะดูสกปรกแต่ส่วนผสมนี้คล้ายคอนกรีตและสามารถปั้นเป็นรูปแบบประหลาดๆ ต่างๆ ทั้งระบบปรับอากาศ บ่อน้ำ ทางเดินที่มีผนังปิด บันได และสวนใต้ดิน อย่างเดียวที่มันไม่สร้างก็คือหน้าต่าง เพราะนักออกแบบบ้านที่สุดยอดเหล่านี้ตาบอดสนิท จอมปลวกสามารถสูงได้มากกว่ายีราฟ น้ำหนักกว่า 60 ตันและมีแมลงอยู่มากกว่า 5 ล้านตัว บ้านสุดยอดนี้บางหลังอยู่ได้นานกว่า 100 ปี แต่สิ่งปลูกสร้างอย่างนึงของมนุษย์อยู่ได้นานกว่านั้นมาก ประมาณ 5,000 ปีก่อนบนที่ราบซาลบี้ในอังกฤษมีคนสร้างสโตนเฮนจ์ขึ้นมา อนุสาวรีย์โบราณที่สร้างจากแผ่นหินแกรนิตขนาดใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าอะไรดลใจให้มนุษย์ในสมัยยุคหินใหม่ จัดวางแผ่นหินแกรนิตขนาด 25 ตันรอบๆ ทุ่งโล่ง แต่เรารู้ว่าอนุสาวรีย์เหล่านี้จัดวางไว้รอบแกนตรงกลางอย่างมีสัดส่วนรับกัน ช่องของมันชี้ตรงไปยังจุดตรงขอบฟ้าที่ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นครั้งแรกในวันที่ 21 มิถุนายนเป็นวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลจากเส้นศูนย์สูตรโลกที่สุด และวันนี้ของทุกๆปีดวงอาทิตย์จะขึ้นเหนือยอดหินและตรงกลางของช่องพอดี มันเป็นการออกแบบที่สุดยอดมากสำหรับคนที่ใช้เทคโนโลยีในสมัยที่ยุคหิน

แต่สัตว์ที่มีสมองเท่ากับหัวเข็มหมุดก็ทำแบบเดียวกันนี้ได้มาเป็นเวลาหลายล้านปีแล้ว มันเป็นจอมปลวกแม่เหล็กและจอมปลวกเหล่านี้หันหน้าเข้าหาทิศเหนืออย่างแม่นยำ เพิ่งมีการต้นพบมาไม่นานนี้ว่าปลวกสามารถรับรู้สนามแม่เหล็กของโลกได้ มันเป็นสิ่งที่ช่วยให้พวกมันไม่ต้องตายด้วยความร้อนที่สุดยอดในทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ดวงอาทิตย์เป็นเหตุผลหนึ่งที่ปลวกแม่เหล็กต้องสร้างจอมปลวกที่แปลกแบบนี้ จอมปลวกของมันกว้างมากและก็บางมากๆ ด้วย ปลวกต้องคอยอพยพอยู่ในรัง เพราะอุณหภูมิของด้านที่อยู่ในเงากับด้านที่โดนแดดนั้นแตกต่างกันถึง 40 องศาเลยทีเดียว และในตอนเที่ยงมีเพียงขอบบนบางๆ เท่านั้นที่โดนแดด ความร้อนที่รังของมันดูดซับเข้ามาจึงน้อย

ขณะที่การจัดวางทิศทางอย่างถูกต้องเป็นเรื่องของความอยู่รอดของปลวกแม่เหล็ก บางคนเชื่อกันว่าทิศทางการหันหน้าของบ้านมนุษย์มีอิทธิพลต่อสุขภาพ ความร่ำรวยและความสุขได้ ก็เพราะแบบนี้ถึงต้องเสียเงินเรียกผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบอย่างหนึ่งที่นิยมทั่วอเมริกา แองจี้ มาวอ เป็นเจ้าแม่ฮวงจุ้ยแห่งลอสแอนเจลิส ฮวงจุ้ยในภาษาจีนแปลว่าลมและน้ำ มาจากความคิดที่ว่าภูมิประเทศ อาคารหรือแม้แต่เมืองทั้งเมืองนั้นมีพื้นที่ของพลังหรือฉีซ่อนอยู่ พลังนี้สามารถถ่ายเทได้โดยรูปร่าง สี ขนาดของอาคาร อาคารที่ฉีไหลผ่านเข้าไปได้จะนำความรุ่งเรืองและความสำเร็จมาให้ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่จะต้องดูให้แน่ใจว่าบ้านของลูกค้ามีสภาพแวดล้อม การจัดวางหรือออกแบบอย่างถูกต้องหรือไม่ เพราะแบบนี้นี่เองถึงต้องจัดวางสิ่งของในบ้านของลูกค้าให้สัมพันธ์กับทิศทางของเข็มทิศพิเศษเช่นเดียวกับเจ้าปลวกแม่เหล็ก เพราะทิศทางเหล่านี้ควบคุมลักษณะต่างๆ ของชีวิต เธอจัดวาง สี ตุ๊กตารูปสัตว์ ตัวเลข และวัตถุต่างๆที่ตอบรับพลังในพื้นที่ๆ ลูกค้าอยากให้เพิ่มพลัง โดยการวางสิ่งของให้ถูกที่ แองจี้เชื่อว่าชีวิตคุณก็จะมีความสุขและดีขึ้น

ฮวงจุ้ยธรรมชาติทำให้ปลวกแม่เหล็กสุขภาพดี จึงไม่มีสัตว์ตัวไหนเทียบกับสัตว์นักออกแบบตาบอดพวกนี้ได้เลย พวกมันสร้างจอมปลวกที่มีระบบปรับอากาศและการจัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสมโดยใช้แค่ดินและอุจจาระ และเพราะเหตุนี้เมื่อพูดถึงสถาปัตยกรรมของสัตว์ ปลวกจึงเป็นสัตว์ที่สุดยอดที่สุด

ที่มา รายการ the most extreme animal planet

ดูเรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สุขภาพ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เทคโนโลยี อื่นๆได้ที่นี่  http://megatopic.blogspot.com

อินดี้

10 อันดับสัตว์สุดยอดคุณพ่อ

ถ้าคุณคิดว่าพ่อรู้ดีที่สุด โปรดรู้ไว้ด้วยว่าเขาเทียบไม่ได้กับคุณพ่อในโลกธรรมชาติหรอก เรากำลังนับถอยหลัง 10 สุดยอดคุณพ่อในหมู่สรรพสัตว์ และเปรียบพวกมันกับความพยายามของมนุษย์

อันดับ 10 สิงโต



หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเจ้าสิงโตตัวผู้ที่เรามักจะได้ยินว่ามันให้สิงโตตัวเมียหาอาหารให้ถึงเป็นสุดยอดคุณพ่อได้ มันเป็นคุณพ่อที่สุดยอดจริงๆ ฉุนเฉียวที่สุดและเกียจคร้านที่สุด มันสามารถจะงีบหลับอย่างมีความสุขร่วม 20 ชั่วโมงต่อวัน แต่แม้ว่าจะเป็นพ่อที่ดุร้ายที่สุดก็ไม่ได้รับความเคารพจากลูก ลูกๆของมันมักจะเข้ามาแหย่ตอนที่มันหลับเป็นประจำ สิงโตตัวผู้ตัวหนึ่งสามารถมีลูกที่อยากรู้อยากเห็นได้มากถึง 20 ตัว เพราะมีตัวเมียหลายตัวในหนึ่งฝูง การเลี้ยงลูกนั้นเป็นเรื่องของตัวเมีย เพราะเจ้าพ่อตัวนี้คือนักสู้ เมื่อมีสิงโตหนุ่มตัวอื่นที่อยากแย่งชิงตัวเมีย ในฐานะพ่อของฝูงจึงเป็นหน้าที่ของเจ้าพ่อตัวนี้ที่จะหยุดสิงโตหนุ่มเหล่านั้น เพราะว่าถ้ามันพลาดเจ้าตัวผู้หน้าใหม่พวกนี้จะฆ่าลูกของมันทั้งหมด สิงโตเป็นอันดับสิบในการนับถอยหลังเพราะว่าถึงเวลาที่ต้องดูแลครอบครัว อย่ามีปากเสียงกับจ้าวแห่งพงไพรเด็ดขาด

อันดับ 9 แอนทีไคนัส (Antechinus)



ผู้แข่งขันรายต่อไปของเราอาศัยอยู่ในออสเตรเลียและเป็นคาสโนว่าของการนับถอยหลัง มันเป็นหนูที่มีกระเป๋าหน้าท้องที่เรียกว่า แอนทีไคนัส เมื่ออายุ 11 เดือนก็จะถึงวัยเจริญพันธุ์และเหลือเวลาใช้ชีวิตแค่สามสัปดาห์ เมื่อมันพบตัวเมียมันจะเกิดอาการคันที่ต้องเกาจริงๆ แอนทีไคนัสอยู่ในอันดับที่ 9 เพราะมันง่วนกับการสร้างลูกจนลืมทุกอย่างไปเลย ทั้งกินและนอน มันจะยืนหยัดทำหน้าที่ทำลูกถึง 12 ชั่วโมง ถ้าไม่ถูกขัดจังหวะโดยคู่แข่งที่รุนแรงพอๆ กัน ซึ่งเพ้อฝันถึงการเป็นพ่อ มันถูกผลักดันเข้าสู่ความบ้าคลั่งทางเซ็กซ์โดยสเตอรอยด์ตามธรรมชาติที่อยู่ในกระแสเลือด ต่อสู้เพื่อแย่งตัวเมียและถ้ามันแพ้มันจะจากไปหาตัวเมียที่มีศักยภาพตัวใหม่ คู่แข่งที่เป็นมนุษย์ของแอนทีไคนัส มีเพียงคนเดียว พ่อที่สุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์

ตามสมุดบันทึกมนุษย์แอนทีไคนัสอาศัยอยู่ในโมร็อกโค ในศตวรรษที่ 16 พระองค์คือจักรพรรดิอิสเมลผู้กระหายเลือด เขามีชายา 4 องค์และมีฮาเร็มที่มีนางสนมอีก 500 คน กล่าวกันว่าพระองค์จะทำสถิติเป็นพ่อของลูก 888 คน อิสเมลต้องเป็นพ่อที่ยุ่งมากจริงๆ เป็นความลำบากทางชีววิทยาอย่างมาก นั่นเป็นเพราะสถิติของภาวะเจริญพันธุ์ แสดงให้เห็นว่า 10% ของนางสนมมีแนวโน้มที่จะเป็นหมัน และผู้หญิงทั้งหมดมีช่วงเวลาที่เหลือสั้นๆ ที่จะมีลูกได้ตามรอบเดือนของพวกเธอ อย่าลืมว่ามีโอกาสที่จะตั้งครรถ์มีแค่ 15% และผู้ที่ตั้งครรภ์ได้จริงๆ มักจะแท้งลูกได้ นักวิจัยคนหนึ่งคำนวณว่าการเป็นพ่อของลูก 888 คน จักรพรรดิจะต้องมีอะไรกับผู้หญิง 4.8 คนทุกวันเป็นเวลา 4 ทศวรรษ แต่จักรพรรดิอิสเมลก็ไม่ต้องจบลงเหมือนแอนทีไคนัสตัวผู้ ที่ต้องตายเพราะพิษจากสเตอรอยด์ในเลือดของมัน

อันดับที่ 8 หมาป่าแจ็คเคิล (Jackal Wolf)



ในผืนแผ่นดินที่แห้งผากของอินเดียตอนเหนือ สุนัขแจ็คเคิลสีทองใช้ชีวิตในป่าอย่างซ่อนเร้นและลักลอบในภูมิประเทศที่แห้งผากโดยการกินเศษซากเป็นอาหารแจ็คเคิลจะกินทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นลูกเล็กๆที่บ้าน มันจำเป็นต้องกินทุกสองชั่วโมง มันเป็นงานหนักของผู้เป็นแม่ แต่โชคดีมันมีคู่หูที่พึ่งพาได้ ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวอื่นๆ เกือบทั้งหมด แจ็คเคิลจับคู่เพื่อชีวิต เมื่อแม่และพ่อออกล่าพร้อมๆ กัน อัตราความสำเร็จของมันมีมากกว่าสามเท่า มากกว่าที่พวกมันออกล่าตามลำพัง ตัวผู้จะคอยช่วยตัวเมียเสมอ นั่นคือสาเหตุที่แจ็คเคิลได้เป็นอันดับที่ 8 ในการนับถอยหลังสุดยอดคุณพ่อ ถ้าพ่อตายก็ไม่น่าเป็นไปได้ว่าพวกที่เหลือของครอบครัวจะรอดชีวิตโดยปราศจากการช่วยเหลือของพ่อ พ่อแจ็คเคิลมีวิธีที่น่ารังเกียจในการให้อาหารลูกๆ ของพวกมัน มันจะสำรอกอาหารที่กินเข้าไปให้ลูกๆ ของพวกมัน โชคดีของเจ้าลูกสุนัขแจ็คเคิลที่มีพ่อสุนัขแสนดีที่จะไม่มีวันจากบ้านไปไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม

อันดับ 7 แมงดายักษ์



เพื่อหาผู้เข้าแข่งขันรายต่อไปนี้คุณต้องดำลงไปในนาข้าวของญี่ปุ่น มันคือแมงดายักษ์ หนึ่งในคุณพ่อที่อุทิศตัวมากที่สุดในโลก เมื่อตัวเมียออกไข่บนต้นข้าวข้างบนน้ำ ตัวผู้จะคอยเฝ้าไข่ คอยพ่นน้ำไม่ให้ไข่แห้งจนไม่สามารถฟักเป็นตัวได้ แถมยังมีแมงดายักษ์บางคู่ที่ตัวเมียออกไข่บนหลังของตัวผู้ การแบกลูกๆ ของมันนานนับเดือนคือกรรมกรที่เหนื่อยยากอย่างแท้จริง ถ้าเพียงมนุษย์ผู้พ่อทั้งหมดอุทิศตัวดูแลบ้านและเลี้ยงลูกที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็นงานของผู้หญิง ทุกวันนี้สิ่งต่างๆ กำลังเปลี่ยนไป มีพ่อที่อยู่บ้านมากขึ้น และมีการวิจัยว่าพ่อที่อยู่กับบ้านมีวี่แววจะตายไวกว่า พ่อที่อยู่กับบ้านมีอัตราการตายด้วยโรคหัวใจสูงกว่าพ่อที่ออกไปทำงานนอกบ้าน 82% นั่นอาจจะหมายถึงงานบ้านและงานเลี้ยงลูกที่ในอดีตเป็นงานของคุณแม่นั้นหนักหนากว่างานที่ทำนอกบ้านจริงๆ

อันดับที่ 6 เรีย (Rhea)



ผู้แข่งขันรายต่อไปของเราถูกซ่อนอยู่สูงในเทือกเขาแอนดีส (Andes) พบกับเรีย (Rhea) นกกระจอกเทศแห่งอเมริกาใต้ ตัวผู้จะมีตัวเมียในฮาเร็ม 5 ตัวที่ผลัดกันออกไข่ในรังของมัน หลังจากที่ออกไข่ตัวเมียก็จะหนีไป สำหรับตัวเมียพวกนี้พวกมันต้องการที่จะแค่เล่นสนุก นกเรียตัวผู้ถูกทิ้งให้ดูแลครอบครัวและมันรับผิดชอบกับงานของมันมากๆ มันจะใช้เวลาสองเดือนอยู่ในรัง มันกินอาหารน้อยลงและอยู่รอดได้จากอาหาร 1 ใน 4 ส่วนจากปกติ มันไม่สามารถทิ้งรังนานๆ ได้ เพราะมันต้องเฝ้าะวังไข่จากผู้รุกรานทุกประเภท และสำหรับพ่อผู้ฉายเดี่ยวตัวนี้ การนั่งเฝ้าตลอดทั้งวันเป็นแค่หน้าที่ส่วนแรกเท่านั้น อีกไม่นานมันจะมีลูกประมาณ 20 ตัวให้ดูแลไปอีกร่วมสองปี

อันดับที่ 5 ปลาสติ๊กเกิลแบ็ก (Stickleback Fish)



ในบึงแห่งหนึ่งที่ญี่ปุ่นตอนเหนือ ปลาสติ๊กเกิลแบ็กจะทำรังเพื่อให้ตัวเมียมาวางไข่โดยใช้กาวที่ขับออกมาจากไตของมัน รังของมันอาจจะดูเล็กแต่มันก็สร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ ทันทีที่ปลาตัวเมียวางไข่มันจะพุ่งเข้าไปแล้วปล่อยน้ำเชื้อเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ มันจะล่อให้ตัวเมียมาวางไข่ที่รังของมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปลาสติ๊กเกิลแบ็กสามารถทำให้ไข่ของตัวเมียสูงถึง 5 ตัวปฏิสนธิได้ แต่ตามทฤษฎีแล้วไม่มีอะไรเทียบได้กับพลังของมนุษย์เพศชาย ในช่วงชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งสามารถผลิตเซลล์สเปิร์มได้ถึง 2 ล้านล้านตัว และมีสเปิร์มเพียงแค่ตัวเดียวที่ปฏิสนธิ ในทางทฤษฎีทุกครั้งที่ผู้ชายมีอะไรกับผู้หญิง มันมากพอที่จะปฏิสนธิกับผู้หญิงทุกคนในยุโรปได้เลย หรืออัตราประชากรของโลกสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ในวันเดียวโดยใช้ผู้ชายแค่ 23 คน

การทำให้ไข่ปฏิสนธิเป็นเรื่องง่ายแต่การเลี้ยงดูพวกมันเป็นเรื่องยาก ปลาสติ๊กเกอร์แบล็กได้เป็นอันดับ 5 เพราะมันพยายามอย่างสุดยอดในการดูแลลูกๆ ของมัน มันโบกพัดไข่เพื่อให้ออกซิเจนกับตัวอ่อนที่กำลังเติบโตและเพื่อชะล้างของเสียใดๆก็ตามออกไป มันเหนื่อยมากและมันจะใช้เวลาสองในสามของวันพัดสูงถึง 400 ครั้ง

อันดับ 4 นกจาคาน่า (Jacana)



มันอาศัยอยู่ในที่ราบน้ำท่วมของบราซิลที่ซึ่งฝนตกอย่างหนัก นกจาคาน่า (Jacana) มันยังถูกเรียกว่าลิลลี่  ทร็อทเตอร์ (Lily Trotters) นกจาคาน่าตัวผู้คือสุดยอดของความขี้ขลาด มันดูแลรังที่เต็มไปด้วยไข่แต่คู่ของมันหายไป วันดีคืนดีมีตัวเมียตัวใหม่เข้ามาใกล้รังของมันและจิกกินไข่ที่เกือบจะฟักเป็นตัวเป็นอาหารโดยที่ตัวผู้ไม่สามารถทำอะไรได้เลย และต่อมาตัวเมียตัวนี้ก็จะส่งสัญญาณว่ามันพร้อมที่จะผสมพันธุ์และเจ้าตัวผู้ที่ความจำเสื่อมผสมพันธุ์กับฆาตกรที่ฆ่าลูกของมัน ต่อมาตัวเมียตัวใหม่จะออกไข่ในรังของมัน แต่เนื่องจากตัวเมียมีคู่ขามากมาย ตัวผู้จะไม่รู้ว่าไข่นี้จะเป็นลูกของมันหรือลูกของตัวผู้ที่โดนโขกสับรายอื่นๆ

อันดับ 3 กบบูลฟร็อก (Bullfrog)



เมื่อถึงหน้าร้อนในแอฟริกาตอนใต้ฝนหมดไป ลูกอ๊อดที่เพิ่งเกิดมีอายุเพียงสองวัน สระน้ำที่พวกมันอาศัยกำลังแห้งเหือดอย่างรวดเร็ว โชคดีที่มันมีพ่อที่อุทิศตัวอย่างที่สุด พ่อของพวกมันคือแอฟริกัน บูลฟร็อก ตัวใหญ่ยักษ์ มันเป็นงานของพ่อกบที่ต้องปกป้องลูกๆ 6,000 ตัว มันช่วยขุดสระที่แห้งขอดเพื่อช่วยลูกของมันออกมา ขาที่ทรงพลังของมันจะช่วยขุดทางน้ำเชื่อมไปยังสระที่ใหญ่กว่า เพื่อช่วยครอบครัวของมันจากหายนะ

อันดับ 2 เพ็นกวิ้นจักรพรรดิ (Emperor Penguin)



ขอต้อนรับสู่ทวีปแอนตาร์กติก ที่ๆหนาวเย็นที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ในฤดูหนาวที่นี่นั้นหนาวเย็นจนกระทั่งทุกอย่างแข็งตัวรวมถึงมหาสมุทร ก้อนน้ำแข็งยักษ์ก้อนนี้เป็นที่ๆ โหดร้ายที่สุดที่จะมีชีวิตบนโลก แต่มันเป็นบ้านของสัตว์สุดยอดคุณพ่อในอันดับที่สอง ฝูงนกเพ็นกวิ้นจักรพรรดิเดินทางสู่ทวีปแอนตาร์กติกเพื่อผสมพันธุ์ในฤดูหนาว พวกมันสามารถไถลไปได้กว่า 50 ไมล์สู่แหล่งผสมพันธุ์ที่หนาวจัดของพวกมัน ปกติที่นี่มีอุณหภูมิติดลบ 40 องศา และสิ่งที่ทำให้ที่นี่เลยร้ายยิ่งขึ้น มันเป็นเวลาอีก 4 เดือนกว่าดวงอาทิตย์จะโผล่ขึ้นมาอีกครั้งเหนือเส้นขอบฟ้า เข้าสู่ความมืดมิดที่หนาวจัดนี้ตัวเมียออกไข่ 1 ฟอง สุดยอดคุณพ่อเพ็นกวิ้นจักรพรรดิจะช่วยตัวเมียกกไข่ มันสร้างสมดุลให้ไข่โดยกกไว้บนปลายเท้านาน 65 วัน ตัวเมียทั้งหมดจากไปนานแล้ว ตัวผู้ถูกทิ้งให้อยู่รวมกันในที่ๆ หนาวเย็นเลวร้ายที่สุดบนโลกใบนี้

ในที่สุดเมื่อดวงอาทิตย์กลับมา ก็มีชีวิตใหม่เกิดขึ้นมาลืมตาดูโลก มันมีปัญหา คุณจะป้อนอาหารลูกนกที่หิวโหยได้อย่างไรเมื่อตู้เย็นว่างเปล่าและคุณไม่ได้กินอะไรเลยมาสี่เดือน แต่พ่อเพ็นกวิ้นจักรพรรดิสามารถป้อนอาหารลูกด้วยสารพิเศษที่สร้างขึ้นมาจากในท้องที่ดูคล้ายกับนมเล็กน้อย และผ่านไปอีกสองเดือนตัวเมียกลับมาพร้อมกับปลาเต็มท้อง

อันดับ 1 ม้าน้ำ (Seahorse)



ในทะเลมีสุดยอดตัวผู้ที่เสียสละที่สุด มันก็คือม้าน้ำ ม้าน้ำตัวผู้โรแมนติกอย่างที่สุด เมื่อพวกมันอยู่ในอารมณ์แห่งรัก พวกมันจะเต้นรำเป็นเวลา 3 วัน การเต้นรำทำให้ดูพุงพลุ้ยใหญ่และนั่นทำให้ม้าน้ำตัวเมียสนใจอย่างแท้จริง เมื่อผสมพันธุ์กันตัวเมียจะออกไข่หลายร้อยฟองเข้าไปในตัวผู้ ม้าน้ำเป็นอันดับหนึ่งเพราะมันเป็นตัวผู้ที่ตั้งท้อง ท้องที่ใหญ่นั้นเป็นกระเป๋าฟักไข่อย่างแท้จริง ผนังช่องท้องของมันเป็นอาหารบำรุงไข่ที่เติบโตอยู่ภายใน และเป็นเวลาสี่สัปดาห์ที่ยาวนาน มันก็ให้กำเนิดลูกออกมา ลูกม้าน้ำมีพ่อที่พิเศษอย่างแท้จริง

แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  http://megatopic.blogspot.com

อินดี้

อาหารญี่ปุ่น  101 เมนู อาหารญี่ปุ่นชนิดต่างๆ

1. มากิซูชิ (Maki-zushi)



มากิซูชิคือข้าวห่อสาหร่าย มีไส้หรือท็อปปิ้งหลากหลาย มีชื่อเรียกตามไส้หรือท็อปปิ้ง เช่น
- กัปปะมากิ (Kappa Maki) คือข้าวห่อสาหร่ายไส้แตงกวาเรียกตามชื่อกัปปะด้วยความเชื่อที่ว่าตัวกัปปะปิศาจในความเชื่อโบราณของญี่ปุ่นนั้นชอบกินแตงกวา
- เท็กกะมากิ (Tekka Maki) คือข้าวห่อสาหร่ายไส้ปลาทูน่าหมักโชยุและมิริน(น้ำส้มหมักของญี่ปุ่น)หั่นเป็นชิ้น
- เนกิโทโร่มากิ (Negitoro Maki) คือข้าวห่อสาหร่ายไส้หรือท็อปปิ้งเป็นปลาทูน่าส่วนท้องสับกับต้นหอม
- ทูน่ามาโย (Tsunamayo) คือข้าวห่อสาหร่ายไส้หรือท็อปปิ้งเป็นปลาทูน่ากับมายองเนส
- คัมเปียวมากิ (Kampyo Maki) คือข้าวห่อสาหร่ายไส้หรือท็อปปิ้งเป็นคัมเปียว (ฟักหรือน้ำเต้าหมักด้วยโชยุและน้ำตาล หั่นเป็นเส้นๆแล้วตากแห้ง)

2. โซบะ (Soba)



เส้นก๋วยเตี๋ยวบัควีทเรียวเล็กเสิร์ฟในน้ำซุปเย็นหรือร้อน ใส่เครื่องหลากหลาย เช่น กุ้งเทมปุระ นารุโตะ(ลูกชิ้นปลาหั่นสไลด์) ต้นหอมซอย ผักภูเขา

3. โซเมน (Somen)



หมี่เย็นเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นเรียวเล็กทำจากข้าวสาลี เสิร์ฟเย็นทานกับซอสทสึยุรสอ่อน เป็นเมนูที่นิยมทานในหน้าร้อน

4. ทาโกะยากิ (Takoyaki)



ทาโกะยากิทำจากแป้งทอดในหลุมขนมครกวางตรงกลางด้วยชิ้นปลาหมึกยักษ์ก่อนปิดด้วยแป้งแล้วหมุนแป้งในหลุมให้เป็นก้อนกลมๆ ลักษณะแป้งด้านนอกจะเหลืองกรอบด้านในจะนุ่มๆหยุ่นๆ เวลาเสิร์ฟนิยมโรยหน้าด้วยซอสทาโกะยากิรสชาติหวานๆเค็มๆ มายองเนส สาหร่ายป่น ปลาคัตสึโอะตากแห้งสไลด์ ทาโกะยากิมีต้นกำเนิดมาจากโอซาก้า สามารถทำได้เองที่บ้าน ประชาชนนิยมทานเป็นอาหารว่างและในงานเทศกาล

5. ข้าวปั้น,โอนิกิริ (Onigiri)



ข้าวปั้นที่นิยมปั้นเป็นรูปสามเหลี่ยม มีไส้หลากหลาย ที่นิยมก็เช่น ไส้ปลาทูน่า ไส้ปลาแซลมอน ไส้บ๊วยดอง (อุเมโบชิ,Umeboshi) แล้วห่อด้วยแผ่นสาหร่าย โอนิกิริมีขายทั่วไปตามคอนวีเนียนสโตร์หรือร้านสะดวกซื้อและราคาไม่แพง

6. โมจิ (Mochi)



โมจิเป็นก้อนแป้งข้าวเหนียว ย่างๆไฟทานกับสาหร่าย น้ำตาลหรือผงคินาโกะ(ผงซอสโชยุ) หรือนิยมใส่โมจิเป็นท็อปปิ้งอาหารต่างๆเช่น ราเม็งหรือพิซซ่า และเป็นส่วนประกอบหลักในขนมญี่ปุ่นหลายชนิดเช่นดังโกะ โอเซนไซ(โมจิกับถั่วแดงต้ม) ในเวันขึ้นปีใหม่นิยมทำโมจิแบบโบราณคือตำด้วยครกไม้เพื่อฉลองเทศกาล

7. อุด้ง (Udon)



อุด้งเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวแบบเส้นกลมขนาดใหญ่ทำจากแป้งสาลี นิยมเสิร์ฟในน้ำซุปร้อนๆ มีเครื่องเคียงเป็นเทมปุระ เต้าหู้ทอดกรอบ อย่างไรก็ตามมีวิธีการกินและปรุงอุด้งหลากหลายแบบ มีทั้งกินในน้ำซุปแบบเย็น หรือลวกเส้นอุด้งร้อนๆแล้วตอกไข่ดิบลงไปราดโชยุ แล้วคลุกกินตอนไข่กึ่งสุกกึ่งดิบ หรืออาจจะทานกับวาซาบิก็ได้

8. ชาฮั่ง (Chahan)



ชาฮั่งเป็นคำในภาษาญี่ปุ่นที่ใช้เรียกข้าวผัด ข้าวผัดที่เป็นที่นิยมในญี่ปุ่นจะมีรสอ่อนกว่าข้าวผัดของจีน

9. โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki)



ทำจากแป้งที่ผสมด้วยไข่ กะหล่ำปลีซอย ส่วนประกอบอื่นเช่น เนื้อสัตว์ เบคอน อาหารทะเลต่างๆ หรือชีส ตามที่ต้องการ คำว่าโอโคโนมิแปลว่าอะไรก็ได้ที่คุณชอบ ผสมส่วนผสมทั้งหมดแล้วเทแผ่เป็นวงกลมบนกะทะเหล็กแบนร้อน กลับไปมาให้สุก เสร็จแล้วโรยหน้าคล้ายกันกับทาโกะยากิ คือซอสรสออกเค็มหวาน มายองเนส คัตสึโอะบูชิ(ปลาคัตสึโอะสไลด์ตากแห้ง) โอโนริ(สาหร่ายแห้งหั่นเป็นเส้นๆ) เบนิโชกะ(ขิงดอง) ตามใจชอบ

10.คาเรไรสึ, ข้าวหน้าแกงกะหรี่ (Kare Raisu)



แกงกะหรี่ถูกนำเข้ามาตั้งแต่สมัยเมจิ และมีการปรับปรุงรสชาติให้ถูกปากคนญี่ปุ่นคือมีรสอ่อน เผ็ดน้อย แกงกะหรี่นิยมใส่ผักเช่นแครอท มันฝรั่ง หัวหอม และบางครั้งเสิร์ฟคู่กับหมูชุบเกล็ดขนมปังทอดหรือกุ้งเทมปุระ

11. นิกิริซูชิ (Nigiri Sushi)



เป็นข้าวปั้นซูชิแบบทั่วไปคือข้าวปั้นเป็นก้อนรูปวงรีแล้ววางด้านบนด้วยเนื้อปลาหั่นสไลด์หรืออาหารทะเลต่างๆ เช่นปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาหมึกยักษ์ ไข่หวาน กุ้ง ปลาไหล

12. ยากิโตริ (Yakitori)



เป็นเมนูไก่เสียบไม้ปิ้ง ทานเป็นกับแกล้มเบียร์ โดยทั่วไปจะใช้ส่วนประกอบต่างๆของไก่ ในบางร้านอาจจะมีเนื้อหมูบ้าง ใช้ส่วนประกอบต่างของไก่เช่น เนื้อ หนัง ตับ ไส้ ปรุงรสด้วยเกลือหรือซอสโชยุตามแต่ละสูตรของร้าน

13. อิคูระ (Ikura)



อิคูระหรือไข่ปลาแซลมอนมีสีส้มสด แวววาว รูปร่างกลม ขนาดค่อนข้างใหญ่ถ้าเทียบกับไข่ปลาทั่วไป ส่วนใหญ่ใช้วางเป็นหน้าซูชิหรือข้าวปั้น โดยแช่ซอสโชยุเพื่อปรุงรสชาติ ส่วนใหญ่ทานดิบ

14. ซาชิมิ (Sashimi)



ซาชิมิหมายถึงอาหารทะเล หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ ต้องสดใหม่ คุณภาพสูง เพราะจะทานแบบดิบๆโดยแล่เป็นแผ่นบางๆ ให้เคี้ยวง่าย ในญี่ปุ่นการจัดเรียงซาชิมิในจานเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่เชฟให้ความสำคัญ เพื่อให้ดูน่าทาน เพราะอาหารดิบๆถ้าไม่สวยหรือจัดวางไม่เรียบร้อยจะทานยากและดูน่าพะอืดพะอมมากกว่าน่ากิน

15. ยากินิคุ (Yakiniku)
ยากินิคุใช้เรียกอาหารปิ้งย่างหรือบาร์บีคิวตามสไตล์ญี่ปุ่น เวลากินหรือทานจะเป็นแบบนั่งล้อมโต๊ะอาหารที่มีเตาย่างตรงกลาง ร้านยากินิคุเหมาะสำหรับคนที่ต้องการสังสรรค์กับเพื่อนๆและดื่มเบียร์ เพราะย่างไป กินไป คุยกันไปเพลินดี

16. โอกินาว่าโซบะ (Okinawa soba)
โอกินาว่าโซบะ จะใช้เส้นก๋วยเตี๋ยวแบบเส้นหนาทำจากแป้งสาลี น้ำซุปรสค่อนข้างเข้ม วางเนื้อหมูหรือหอยเชลล์ ลูกชิ้นปลาเป็นเครื่องเคียง โรยหน้าด้วยต้นหอมซอยกับขิงดองสีแดงสด

17. โอเด้ง (Oden)



เป็นเมนูหนึ่งที่ใช้ส่วนประกอบหลากหลายต้มอยู่ในน้ำซุปที่ปรุงรสอ่อนๆด้วยโชยุหรือมิโสะ(เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น) ส่วนประกอบที่นิยมในโอเด้งได้แก่ หัวไชเท้า ไข่ต้ม ก้อนบุกคอนเนียคุ ลูกชิ้นปลา แครอท กะหล่ำปลีสอดไส้ เต้าหู้ จิคุวะ(ลูกชิ้นปลาแบบแท่งหลอดยาว) นิยมทานในหน้าหนาวและถือเป็นเมนูกับแกล้มในร้านเบียร์ ในร้านโอเด้งที่มีชื่อเสียงบางร้านในโตเกียวออกมายืนยันว่าไม่เคยเปลี่ยนน้ำซุปเก่าออกหมดเป็นเวลาถึง 60 ปี

18. เมนไทโกะ (Mentaiko)



เมนไทโกะเป็นไข่ปลาพอลล็อค(Pollock) ที่นำไปหมักด้วยโชยุ หรือพริก แล้วแต่สูตรของผู้ผลิต ทานเป็นไส้ข้าวปั้นหรือทานเดี่ยว มีรสชาติเข้มข้นเด่นเป็นเอกลักษณ์  ชาวญี่ปุ่นเองหลายคนก็ชอบและไม่ชอบในรสชาติของมัน เป็นที่นิยมทั่วไปถึงขนาดทำเป็นรสมันฝรั่งทอด

19. โอชะสุเกะ (Ochazuke)



เป็นเมนูที่ทานร้อนๆ โดยการรินน้ำชาในข้าว วางท็อปปิ้งด้วยของดองเค็มต่างๆเช่น ผักดอง สาหร่าย งา บ๊วยดอง อาหารทะเลดอง ตามใจชอบ อาจเสริมรสด้วยวาซาบิก็ได้

20. เมล่อนปัง (Melon Pan)



ขนมปังรสเมล่อน บางร้านใช้น้ำและเนื้อเมล่อนแท้ในการปรุงกลิ่นและรส มีขายทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อ

21. อันปัง (Anpan)



ขนมปังของหวานที่มีมาตั้งแต่สมัยเมจิ นิยมสอดไส้ด้วยถั่วแดงกวน

22. ข้าวหน้าไข่ออมเล็ต, ออมไรสึ (Omu Raisu)



เป็นเมนูที่หาทาได้ทั่วไปตามร้าน ส่วนใหญ่จะทำเป็นข้าวผัดใส่ไก่แล้ววางด้านบนหรือห่อด้วยไข่ออมเล็ตทอดเป็นก้อนกลมๆรีๆ ราดด้วยซอสมะเขือเทศ แกงกะหรี่  ซอสฮายาชิ หรือเดมิกาซอส

23. Chanpuru



เป็นผัดมะระสไตล์โอกินาว่า ที่ใส่ทั้งมะระ หัวหอมใหญ่ แฮม เต้าหู้และไข่

24. Champon
จัมปงคือเมนูก๋วยเตี๋ยวที่มีต้นกำเนิดจากนางาซากิ มีความหลากหลายใส่ทั้งเนื้อสัตว์ ผัก อาหารทะเล ซึ่งจัมปงในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าการผสมผสาน คิดค้นครั้งแรกโดยพ่อครัวชาวจีน มีรสชาติค่อนข้างมันเพราะใส่มันหมู

25. ฮายาชิไรซ์ (Hayashi rice)
ฮายาชิเป็นเมนูที่ได้รับวัฒนธรรมจากตะวันตก คล้ายสตูเนื้อ แคร็อท เห็ด และที่สำคัญเดมิกาซอสที่มีส่วนผสมของไวน์ ต้มเคี่ยวจนงวดและเปื่อย ราดบนข้าว

26. Katsu-sando
แซนด์วิชหมูทอดที่ใส่ซอสหวานอมเปรี้ยวแบบวูสเตอร์ซอส

27. เทมากิ (Temaki)



ซูชิโรลที่ห่อด้วยแผ่นสาหร่าย ทำเป็นรูปร่างคล้ายไอศครีมโคน นิยมทานด้วยมือเพราะทานด้วยตะเกียบจะไม่ถนัด

28. ทงคัตสึ (Tonkatsu)
เนื้อหมูหั่นแป็นแผ่นแบนชุบแป้งหรือเกล็ดขนมปังทอด นิยมรับประทานเป็นกับข้าวเคียงด้วยกะหล่ำปลีซอยราดด้วยซอสหวานที่เรียกว่าโซสุซอส

29. จิราชิ (Chirashi)
เรียกได้ว่าเป็นข้าวหน้าซูชิรวมแบบใส่เป็นชามก็ว่าได้ ใส่หน้าของทะเลหลายอย่างทั้งแบบดิบและปรุงสุก ได้แก่ไข่ปลาแซลมอน ไข่หวานย่าง ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาอาจิ ไข่หอยเม่น  ข้าวหน้าปลาดิบรวมนี้นิยมทานกันในเทศกาลเด็กผู้หญิงในเดือนมีนาคมอีกด้วย

30. มิโสะซุป (Miso soup)
เป็นซุปที่ปรุงรสด้วยมิโสะ สาหร่ายคอมบุ ปลาโอตากแห้ง เต้าหู้หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ต้นหอมซอย เสิร์ฟร้อนๆ เป็นครื่องเคียงทานกับข้าวหน้าต่างๆ บางคนก็ทานข้าวสวยกับมิโสะซุป เสิร์ฟโดยไม่มีช้อนให้คือให้ซดน้ำซุปจากชามเลย

31. คุตชิคัตสึ (Kushikatsu)
อาหารชุบแป้งหรือเกล็ดขนมปังทอด ใช้วัตถุดิบหลากหลาย ตั้งแต่ผักไปจนถึงเนื้อสัตว์ต่างๆ นิยมเสิร์ฟแบบเสียบไม้ ทานเป็นกับแกล้มเบียร์ จิ้มซอสหวานแบบทงคัตสึซอส บางร้านก็จะมีเป็นซอสมิโสะข้นๆ

32. ชาบูชาบู (Shabu-shabu)
เป็นอาหารญี่ปุ่นแบบต้มหรือลวกในหม้อน้ำซุปร้อนที่วางกลางโต๊ะแบบล้อมวงกินกัน ส่วนประกอบที่นำมาต้มก็เป็นพวกเนื้อสัตว์สไลด์เป็นแผ่นบางๆ ผักต่างๆ อาหารทะเล เต้าหู้ นิยมทานในหน้าหนาวเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย

33. โซนิ (Zoni)
โซนิเป็นอาหารฉลองปีใหม่ของชาวญี่ปุ่น เป็นน้ำซุปใสใส่ก้อนโมจิ และผักตากแห้งต่างๆ เมนูนี้กำเนิดมาจากเหล่าซามูไรที่ทำอาหารนี้ขึ้นในสนามรบ เพราะส่วนผสมเหล่านี้ง่ายในการพกพาและเก็บรักษา โซนิมีแคลอรี่สูงด้วยพลังงานจากก้อนโมจิซึ่งเหมาะมากกับซามูไรในศึกสงคราม แต่ส่วนประกอบในปัจจุบันนิยมใส่เป็นผักสด อาจมีเพิ่ม ไก่ ปลา ตามใจชอบ

34. คาราเกะ (Karaage)
เป็นเมนูไก่ชิ้นพอดีคำหมักด้วยโชยุ กระเทียม ขิง แล้วชุบแป้งทอดแบบกรอบนอกนุ่มใน

35. Agedashi dofu
เต้าหู้ทอดใส่ในน้ำซุป โชยุ มิริน โรยด้วยต้นหอม

36. Edamame



ฝักถั่วแระญี่ปุ่นต้มหรือนึ่งโรยเกลือเล็กน้อย ทานเป็นกับแกล้มเบียร์

37. Tamago kake gohan



ข้าวราดไข่ดิบ เหยาะโชยุนิดหน่อยโรยต้นหอมซอย

38. ไข่ตุ๋นญี่ปุ่น (Chawan mushi)



ตีไข่ผสมน้ำซุป ใส่เห็ดหอมหรือชิ้นปลาไว้ที่ด้านล่าง นึ่งไฟไม่แรงทำให้เนื้อไข่ตุ๋นเนียนเรียบสวย ทานเป็นของเรียกน้ำย่อยหรือเคียงกับข้าวหน้าต่างๆ

39. โคร้อกเกะ, Korokke (croquette)
แปลงมาจากอาหาร Croquett ของฝรั่งเศส เป็นเนื้อสัตว์และผักต่างๆหั่นเป็นชิ้นเล็กๆผสมมันฝรั่งนึ่งบดปั้นเป็นก้อนแล้วชุบเกล็ดขนมปังทอดแบบกรอบนอกนุ่มใน ทานกับซอสทงคัตสึ

40. ข้าวหน้าปลาไหลย่าง (Unadon)



ปลาไหลทั้งตัวแล่แบบแผ่ชิ้นแบนๆ ทาซอสออกหวานเค็มแล้วนำไปย่างออกเกรียมเล็กน้อยวางโปะบนข้าว บางที่อาจเสิร์ฟพร้อมน้ำชาเพื่อทานแบบโอชะสุเกะ

41. บ๊วยดอง (Umeboshi)



มีรสจัดทั้งเปรี้ยวและเค็ม ส่วนใหญ่ทานกับข้าว บางคนทานเป็นข้าวกล่องอาหารกลางวัน หรือใสเป็นไส้ในข้าวปั้น

42. ราเม็ง (Ramen)



ราเม็งเป็นก๋วยเตี๋ยวของคนญี่ปุ่นที่เน้นรสชาติของน้ำซุปที่เข้มข้น อาจทำจากกระดูกหมู ไก่ หรือจากปลา ปรุงรสด้วยโชยุ มิโสะ หรือเกลือ มีราเม็งหลายประเภทมากในญี่ปุ่นมีชื่อเรียกหลายอย่างตามวัตถุดิบหรือเครื่องเคียง ใส่หมูชาชู ไข่ต้มยางมะตูม สาหร่าย และต้นหอมซอยหรือตามแต่เชฟจะสร้างสรรค์

43. Himono



ปลาตากแห้ง

44. ผักดองญี่ปุ่น (Tsukemono)



มีหลายอย่าง รับประทานเป็นเครื่องเคียงหรือเป็นกับข้าว มีสีสันสดใส มีชื่อเรียกหลายอย่างเช่น เบนิโชกะ(ขิงดอง) เบ็ตตะระสึเกะ(หัวแรดิชดอง) การิ(ขิงอ่อนดองหวาน)  และนาสึคาระชิสึเกะ(มะเขือม่วงดอง)

45. ขนมไทยากิ (Taiyaki)



เป็นขนมยอดนิยมที่ทำกันในเทศกาลต่างๆ เป็นแป้งรูปร่างเหมือนปลาไส้เป็นถั่วแดงกวนออกหวานๆ

46. Sunomono



อาหารทะเลหรือผักที่หมักในน้ำส้มสายชู โดยทั่วไปที่นำมาหมักได้แก่ ปู แตงกวา วากาเมะ

47. Ohitashi



ผักสีเขียวต้มอย่างเช่นผักโขม เสิร์ฟเย็นอาจโรยด้วยงาขาวคั่ว

48. Motoyaki



อาหารทะเลโรยหน้าด้วยมายองเนสแล้วนำไปอบ

49. Osechi



เป็นอาหารชุดที่เตรียมทำกันในการฉลองวันขึ้นปีใหม่

50. ข้าวหน้าไข่กับไก่, โอยาโกะด้ง (Oyakodon)



เป็นข้าวราดหน้าที่มีส่วนผสมของไข่กับไก่ เป็นที่มาของชื่อโอยาโกะที่หมายถึงแม่กับลูก

51. Hiyayakko



เต้าหู้เย็นโรยหน้าด้วยผิมส้มยูสึ ขิง ปลาโอสไลด์ตากแห้ง และดอกเมียวกะ

52. เทมปุระ (Tempura)



อาหารชุบแป้งทอด แป้งจะค่อนข้างนิ่ม ไม่กรอบเหมือนทงคัตสึหรือคุตชิคัตสึ

53. Ankimo



ตับปลามั๊งฟิชนึ่ง เป็นชนิดอาหารญี่ปุ่นหนึ่งที่ละเอียดละอ่อนและประณีตในการปรุง

54. Yakizakana



ปลาสดชนิดต่างๆย่างไฟ

55. Higashi



ขนมญี่ปุ่นชิ้นเล็กๆ เป็นลูกกวาดที่ทำเป็นรูปร่างและสีสันต่างๆ ทำจากน้ำตาลล้วนๆ หรือแป้ง

56. ข้าวหน้าเนื้อ (Gyudon)



เป็นเมนูข้าวราดหน้าด้วยเนื้อหั่นชิ้นบางๆต้มกับหัวหอมใหญ่ปรุงรสด้วยโชยุ น้ำตาล เวลาเสริ์ฟอาจโรยหน้าด้วยไข่ดิบ ขิงดอง

57. Kushiyaki
เป็นอาหารที่เหมือนยากิโตริแต่ใช้เนื้อแทน รวมทั้งของเสียบไม้ชุปแป้งทอดกรอบเช่นเต้าหู้ พริกหยวก หน่อไม้ฝรั่งพันเบคอน

58. Hanabira mochi
ฮานาบิระโมจิ เป็นโมจิขนมหวานที่เป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น สอดไส้หวานด้วยส่วนประกอบได้หลายชนิด จะทานกันในเทศกาลสำคัญต่างเช่นในวันขึ้นปีใหม่

59. Imagawayaki
ขนมแป้งโดสอดไส้ถั่วแดงทอด

60. Tecchiri
หม้อไฟปลาปักเป้ากับผักต่าง เป็นอาหารจากเมืองโอซาก้า

61. Manju
ขนมมันจูเป็นขนมหวานชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น เป็นขนมแป้งสอดไส้ถั่วแดงกวน นำไปนึ่งอบหรือย่าง

62. Sukiyaki
สุกียากี้ของญี่ปุ่นเป็นหม้อไฟเนื้อหั่นสไลด์บาง หัวหอมใหญ่ เต้าหู้ ต้มในน้ำซุปออกหวานๆ (โชยุ น้ำตาล มิริน) ส่วนประกอบอื่นๆที่ใส่ก็เป็นพวกผักใบเขียวต่างๆ รวมทั้งเส้นอุด้ง สุกียากี้จะทานกับข้าว ทานโดยจิ้มไข่ดิบก่อนแล้วทานกับข้าว และเหมือนกับอาหารหม้อไฟอื่นๆที่นิยมทานในหน้าหนาว

63. Anmitsu



อันมิตสึเป็นของหวานญี่ปุ่นที่ประกอบไปด้วยวุ้นชิ้นสี่เหลี่ยม ถั่วแดงกวน ผลไม้กระป๋องชนิดต่างๆเช่น สับประรดกระป๋อง เชอรรี่กระป๋อง ลูกพีชกระป๋อง อาจเพิ่มไอศครีมตามใจชอบ

64. Kinpira gobo
ผัดโกโบใส่ซอส รสชาติออกหวานเค็ม โกโบเป็นรากไม้ชนิดหนึ่งมีสรรพคุณลดไขมัน

65. Kakigori
เป็นขนมหวานน้ำแข็งไสโปะไอศครีมไว้ข้างบน

66. Hamburger
เนื้อแฮมเบอร์เกอร์ เป็นอาหารทานกับข้าว เนื้อสับกับหัวหอมใหญ่สับ ปั้นเป็นก้อนๆ ย่างบนกะทะออกเกรียมๆหน่อย โปะไข่ดาว ราดด้วยน้ำเกรวี่

67. Oshiruko



เป็นของหวานแบบเสริ์ฟร้อน โมจิในซุปถั่วแดงหวาน

68. Gyoza
เกี๊ยวซ่า แป้งเกี๊ยวห่อไส้เนื้อกับผัก เกี๊ยวซ่าญี่ปุ่นนิยมใส่กระเทียมเยอะ ทอดเป็นแพราดน้ำแป้งให้ติดกัน พอแป้งด้านนอกเริ่มกรอบก็ตักเสิร์ฟ

69. Kakuni



หมูสามชั้นหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมต้มเค็มคล้ายพะโล้ ต้มไฟอ่อนเป็นเวลานานจนหมูนุ่ม เสิร์ฟพร้อมไข่ต้ม

70. Nikujaga



สตูเนื้อวัวแบบญี่ปุ่น ใส่มันฝรั่งกับแครอท และหัวหอมใหญ่ ปรุงรสชาติออกหวานเค็ม

71. จังโกะนาเบะ Chankonabe
เป็นอาหารหม้อไฟสำหรับนักกีฬามวยปล้ำซูโม่ ใส่ส่วนประกอบต่างๆที่ให้พลังงานและสารอาหารสูง เช่นเนื้อไก่ติดหนัง เนื้อวัว เต้าหู้ หัวผักกาด ผักบ็อกชอย

72. Sakuraniku
เนื้อม้าซาชิมิ เนื้อม้าสดแล่บางทานดิบๆ ที่เรียกว่าซากุระเพราะมีสีชมพูสดเหมือนกับดอกวากุระ

73. Soki
ซี่โครงหมูติดกระดูกอ่อน นิยมใส่ในโซบะ เป็นเมนูชื่อดังจากโอกินาวะ คือโอกินาว่าโซกิโซบะ

74. Tekkadon
ข้าวหน้าปลาดิบที่ใช้ปลาทูน่าใส่ใบโอบะ

75. Imoni
อาหารชื่อดังจากโทโฮคุ เป็นซุปใส่เนื้อกับมันฝรั่ง

76. ขนมดังโกะ Dango



ขนมแป้งโมจิลูกกลมๆเสียบไม้ย่างราดด้วยซอสโชยุหวานเหนียวข้น

77. ขนมปังแกงกะหรี่ Curry bread
ขนมปังไส้แกงกะหรี่ชุปเกล็ดขนมปังทอดแบบกรอบนอกนุ่มใน

78. Uiro
เป็นขนมชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น ทำจากแป้งข้าวจ้าว แป้งมัน หรือแป้งสาลี เหนียว นุ่ม รสสัมผัสต่างกันเล็กน้อยกับโมจิ

79. Zosui



เมนูข้าวตุ๋นน้ำซุป นิยมทำทานจากน้ำซุปที่เหลือจากกินหม้อไฟ

80. คิริทัมโปะ (Kiritanpo)



คิริทัมโปะ เป็นอาหารที่ทำจากข้าวสวยบดปั้นเสียบไม้ยาวๆย่างไฟ นิยมใส่ในอาหารหม้อไฟเป็นเมนูคิริทัมโปะนาเบะ

81. Sumashijiru



เป็นเมนูพวกน้ำซุปใสต่างๆ

82. Tonjiru
ซุปหมูทงจิรุ น้ำซุปใส่เนื้อหมู ใส่แครอท หอมหัวใหญ่ หัวผักกาด คอนเนียคุ เต้าหู้ ปรุงรสด้วยมิโสะ

83. Amanatto
ขนมถั่วเคลือบน้ำตาล นิยมใช้ถั่วแดง

84. Ebi furai
กุ้งชุบแป้งทอดกรอบ ใส่ในข้าวกล่องเบนโตะหรือใส่เป็นท็อปปิ้งอุด้งหรือราเม็ง

85. Shiokara
อาหารทะเลหมักรสชาติคล้ายปลาร้าเพราะหมักใส่เกลือและข้าวสาลี นิยมเอาปลาหมึกมาทำ ทานเป็นกับแกล้มเหล้าสาเก

86. Rice Congee
ข้าวต้มเครื่อง ทานตอนป่วย

87. Karasumi
ไข่ปลาดองเกลือ

88. จิคุวะ (Chikuwa)



เป็นอาหารที่ทำจากเนื้อปลาตีให้เหนียวแล้วปั้นเป็นท่อยาวๆ ย่างไฟให้เกรียมออกสีน้ำตาล ทานเป็นของว่าง ส่วนใหญ่เป็นท่อกลวง  แต่บางที่ก็ยัดไส้ด้วยชีส

89. ขนมปังยากิโซบะ (Yakisoba Pan)



ขนมปังยากิโซบะ ขนมปังแบบก้อนวงรียาวผ่าตรงกลางใส่ผัดยากิโซบะด้านใน

90. Teriyaki
เป็นเนื้อสัตว์หมักซอสเทริยากิย่างไฟ ซอสเทริยากิประกอบไปด้วย โชยุ มิริน น้ำตาลหรือน้ำผึ้ง

91. Fugu
ปลาปักเป้า นิยมทานเป็นซาชิมิหรือใส่ในหม้อไฟ แต่ปลาปักเป้าเป็นปลาที่มีพิษ พ่อครัวที่ทำอาหารเกี่ยวกับปลาปักเป้าต้องมีใบรับรองว่าสามารถแล่ปลาเพื่อเอาต่อมพิษออกได้

92. Sekihan
ข้าวเหนียวหุงถั่วแดง

93. เซมเบ้ (Senbei)



ขนมเซมเบ้ ลักษณะเหมือนข้าวเกรียบ มีหลายรูปร่าง รสชาติ แล้วแต่ผู้ผลิต

94. Yuba
ฟองเต้าหู้

95. Koyadofu



เต้าหู้ต้มซีอิ้ว

96. Japanese potato salad
สลัดมันฝรั่งแบบญี่ปุ่นนิยมใช้มันฝรั่งบดปรุงรสด้วยมายองเนส ใส่รวมกับผักต่างๆ

97. สาหร่ายฮิจิกิ (Hijiki)



ฮิจิกิเป็นสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล มีแคลเซียมและแมกนีเซียมสูง

98. Motsunabe
หม้อไฟเครื่องในวัวหรือหมู

99. ชิราโกะ (Shirako)



ชิราโกะเป็นถุงน้ำเชื้อปลาอังโกะ นิยมทานเป็นหน้าซูชิ

100. Kaki furai
หอยนางรมชุบแป้งทอด

101. Natto
นัตโตะหรือถั่วหมัก นิยมทานกับข้าวสวย โดยเหยาะโชยุ โรยต้นหอม หรือไข่ดิบ มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ มีลักษณะยืดๆ ขมนิดๆ บางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ

ที่มา https://www.japan-talk.com/jt/new/101-kinds-of-japanese-food

แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  https://www.anyapedia.com

อินดี้

101 เมนูซูชิ



ซูชิเป็นอาหารชื่อดังของญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย หลายคนคงเคยได้กินซูชิมาแล้ว ซูชินิยมใช้อาหารทะเลสดๆ หั่นหรือแล่เป็นแผ่นบาง จัดวางอย่างสวยงาม ขนาดพอดีคำเพื่อรสสัมผัสที่อร่อยและดูน่าทาน การปั้นซูชิและการจัดวางซูชิเพื่อเสิร์ฟให้ลูกค้าถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ ทั้งนี้เพราะซูชินิยมใช้อาหารทะเลหรือเนื้อสัตว์สดๆมาทำ ถ้าทำไม่ดีหรือใช้ของไม่สดจะทำให้ดูไม่น่ากินและรสชาติแย่ ซูชิมีชื่อเรียกตามวัตถุดิบและรูปร่าง มาดูกันซิว่าซูชิทั้ง 101 อย่างมีอะไรบ้าง

1. ข้าวปั้นหน้าปลามากุโร่, มากุโร่ นิกิริ (Maguro Nigiri)



ข้าวปั้นหน้าปลาทูน่าเนื้อแดง ใช้ปลาทูน่าทุนนัส (Thunnus Tuna) หรือ ปลาทูน่าครีบเหลือง เนื้อแดงไขมันต่ำ เป็นปลาทูน่าพันธุ์เล็ก

2. ข้าวห่อสาหร่ายไส้แตงกวา, กัปปะมากิ (Kappa Maki)



มากิก็คือข้าวห่อสาหร่าย ส่วนที่เรียกว่ากัปปะเพราะว่า ตัวกัปปะปิศาจชนิดหนึ่งของญี่ปุ่นชอบกินแตงกวา

3. ข้าวปั้นซูชิหน้าปลาแซลมอน, ซาเกะนิกิริ (Sake Nigiri)



4. ข้าวห่อสาหร่ายหน้าไข่ปลาแซลมอน (Ikura Gukan)



5. ข้าวปั้นซูชิหน้าปลาทูน่า (Toro)



โทโร่เป็นเนื้อส่วนท้องที่มีไขมันเยอะของปลาทูน่าครีบน้ำเงินหรือปลาทูน่ายักษ์

6. ข้าวปั้นซูชิหน้าไข่หอยเม่น, อุนิ (Uni)



จริงๆ แล้วอุนิไม่ใช่ไข่หอยเม่นแต่มันคืออัณฑะหรือรังไข่ของหอยเม่น

7. ข้าวปั้นซูชิหน้ากุ้งแบบดิบ, อามะเอบิ นิกิริ (Amaebi)



8. ข้าวปั้นซูชิหน้ากุ้งแบบปรุงสุก, เอบิ นิกิริ (Ebi Nigiri)



9. ซูชิปลาฮามาจิ (Hamachi)



ฮามาจิเป็นชื่อเรียกปลาบุรี (ปลาหางเหลือง) ขนาดที่ยังเล็กอยู่

10. ซูชิหน้าปลาไหล, อานาโกะ (Anago)



ปลาอานาโกะเป็นปลาไหลชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ในน้ำเค็ม ปลาไหลที่นำมาทำเป็นซูชินิยมปรุงสุกโดยการย่างหรือต้ม น้ำซอสที่ใช้ปรุงจะนิยมให้ออกรสหวานเค็ม

11. ซูชิหน้าปลาหมึก (Ika Nigiri)



12. ซูชิหน้าหอยโอตาเตะ (Hotate Nigiri)



โฮตาเตะหรือหอยเชลล์ญี่ปุ่น

13. ซูชิหน้าไข่หวานย่าง (Tamagoyaki)



14. ซูชิหน้าปลาหมึกยักษ์ (Tako Nigiri)



15. ซูชิหน้าปลากะพง (Tai)



16. ซูชิหน้าปลาอาจิ (Aji)



ปลาอาจิ (Japanese Jack Mackerel) เป็นปลาทูสายพันธุ์หนึ่ง

17. ข้าวห่อสาหร่ายไส้ปลาทูน่า, เท็กกะมากิ (Tekkamaki)



18. ซูชิหน้าปลาซาบะ (Saba)



ส่วนใหญ่จะนำปลาซาบะมาดองเค็มก่อนแล้วทำเป็นหน้าซูชิ

19. แคลิฟอร์เนียโรล (California Roll)



เป็นซูชิสไตล์ตะวันตกที่เป็นที่นิยมมาก คือเป็นมากิที่ม้วนกลับด้านให้สาหร่ายถูกข้าวห่ออยู่ด้านใน เป็นข้าวห่อม้วนสาหร่ายไส้ในเป็นแตงกวา อาโวคาโด ปูอัด หรือแล้วแต่เชฟสร้างสรรค์

20. ฟุโตะมากิ (Futomaki)



เป็นข้าวห่อสาหร่ายที่มีส่วนประกอบของไส้ในที่หลากหลาย ที่นิยมก็คือ คัมเปียว (ฟักหรือน้ำเต้าหมักด้วยโชยุและน้ำตาล หั่นเป็นเส้นๆแล้วตากแห้ง) ไข่หวาน แตงกวา เห็ด

21. ซูชิหน้าปลาอุนากิ (Unagi)



อุนากิเป็นปลาไหลน้ำจืด ต้มในน้ำซอสหวาน

22. ซูชิหน้าปลาอายุ (Ayu)



23. ข้าวห่อสาหร่ายไส้นัตโตะหรือถั่วหมัก(Natto Maki)



24. ซูชิหน้าปลาซันมะ (Sanma)



25. เนกิโทโร่ (Negitoro)



เนื้อส่วนท้องปลาทูน่าบลูฟินสับกับต้นหอม ทำเป็นไส้ข้าวห่อสาหร่าย

อ่านต่อที่นี่ค่ะ
101 เมนูซูชิ part 2 -->
101 เมนูซูชิ part 3 -->
101 เมนูซูชิ part 4 -->

แหล่งรวมบทความจัดอันดับ สารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  เว็บจัดอันดับ

อินดี้

อาหารประเทศอาเซียน


ประเทศไทย ต้มยำกุ้ง (Hot and Sour Shrimp Soup)

ต้มยำกุ้งเป็นอาหารประเภทต้ม เป็นจำพวกอาหารคาว นิยมรับประทานกับข้าวสวย รับประทานกันทั่วทุกภาคในประเทศ โดยเน้นรสเปรี้ยวและเผ็ดเป็นหลัก จะออกเค็มและหวานเล็กน้อย ชาวต่างชาติจะรู้จักต้มยำกุ้งมากกว่าต้มยำชนิดอื่นๆ โดยต้มยำจะใส่เนื้อสัตว์อะไรก็ได้เช่น กุ้ง หมู ไก่ ปลา หัวปลา หรือจะไม่ใส่เนื้อสัตว์เลยก็ได้ ผักสมุนไพรที่ใส่ในต้มยำเพื่อให้ได้กลิ่น รส ได้แก่ ใบมะกรูด ตะไคร้ ข่า พริก ส่วนผักที่นิยมใส่เพื่อรับประทานในต้มยำคือ มะเขือเทศ เห็ดหูหนู เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า หัวปลี เครื่องปรุงที่ใส่ในต้มยำคือ มะนาว น้ำปลา น้ำตาล น้ำมะขาม น้ำพริกเผา โดยอาหารชนิดนี้ถือว่าเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยและต่างชาติ

ประเทศกัมพูชา อาม็อก(Amok)



อาม็อกเป็นอาหารยอดนิยมของกัมพูชา ลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย โดยมากแล้วนิยมปรุงเนื้อปลาลวกด้วยพริกเครื่องแกงและกะทิแล้วทำให้สุกโดยการนำไปนึ่ง บางตำราอาจใช้เนื้อไก่หรือหอยแทน สาเหตุที่คนในประเทศกัมพูชานิยมทานปลาเนื่องจากหาได้ง่ายและสภาภูมิประเทศที่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ทำให้เหมาะต่อการรับประทานปลาเป็นพิเศษ

ประเทศบรูไน อัมบูยัต(Ambuyat)



อัมบูยัตเป็นอาหารยอดนิยมของบรูไนโดยมีลักษณะเด่นคือมีลักษณะเหนียวข้นคล้ายข้าวต้มหรือโจ๊ก ไม่มีรสชาติ มีแป้งสาคูเป็นส่วนผสมหลัก วิธีทานก็ใช้ไม้ไผ่สองขาคล้ายตะเกียบ ม้วนแป้งรอบๆแล้วจุ่มในซอสผลไม้เปรี้ยว ทานคู่กับเครื่องเคียงอีกสองสามชนิดเช่น เนื้อห่อใบตองย่าง เนื้อทอดเป็นต้น การรับประทานอัมบูยัตให้ได้รสชาติต้องรับประทานร้อนๆ พอประมาณและกลืนโดยไม่ต้องเคี้ยว

ประเทศพม่า ลาเพ็ต (Lahpet)



ลาเพ็ตเป็นอาหารยอดนิยมของพม่าคือใบชาหมักกับเครื่องเคียง เช่นกระเทียมเจียว ถั่วชนิดต่างๆ งาคั่ว ขิง มะพร้าวคั่ว ลาเพ็ตจัดว่าเป็นอาหารว่างคล้ายกับยำเมี่ยงบ้านเรานั่นเอง ลาเพ็ดเป็นแชอาหารที่ขาดไม่ได้ในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญ ว่ากันว่าไม่มีงานเลี้ยงหรืองานเฉลิมฉลองใดจะสมบูรณ์ได้ หากไม่มีอาหารยอดนิยมอย่างลาเพ็ด

ประเทศฟิลิปปินส์ อะโดโบ้ (Adobo)



อะโดโบ้เป็นอาหารยอดนิยมจากประเทศฟิลิปปินส์ทำจากเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ที่ผ่านกรรมวิธีหมักและปรุงรส โดยจะใส่น้ำส้มสายชู ซีอิ๊วขาว กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ แล้วนำไปทำให้สุกโดยอบในเตาอบหรือทอด โดยรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ ในอดีตอาหารนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักเดินทาง เพราะส่วนผสมและวิธีการปรุงทำให้อะโดโบ้สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน เหมาะสำหรับพกไว้เป็นเสบียงอาหารสำหรับการเดินทาง ปัจจุบันก็เป็นอาหารยอดนิยมทุกที่ ทุกเวลาของนักเดินทางและชาวต่างชาติที่เข้ามาหารับประทานกัน

ประเทศสิงคโปร์ ลักซา (Laksa)



ลักซาเป็นอาหารยอดนิยมของสิงคโปร์ เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่น้ำกะทิ ลักษณคล้ายข้าวซอยของไทย น้ำแกงเข้มข้นด้วยรสชาติของกะทิ กุ้งแห้งและพริก โรยหน้าด้วยกุ้งสดต้ม หอยแครง ลักซามีหลายประเภททั้งแบบใส่กะทิและไม่ใส่กะทิ ลักซานั้นมองเผินๆแล้วก็คล้ายกับก๋วยเตี๋ยวแกงบ้านเรานั่นเอง

ประเทศอินโดนีเซีย กาโดกาโด (Gado Gado)



กาโดกาโดอาหารยอดนิยมของอินโดนีเซียประกอบด้วยผักและธัญพืชหลากชนิด ประกอบด้วยมันฝรั่ง กะหล่ำปลี ถั่วงอก ถัวเขียว เสริมโปรตีนด้วยเต้าหู้และไข่ต้มสุก รับประทานกับซอสถั่วที่รสชาติใกล้เคียงกับซอสสะเต๊ะ กาโดกาโดนั่นก็ใกล้เคียงกับสลัดแขกบ้านเรานั่นเอง

ประเทศลาว สลัดหลวงพระบาง (Luang Prabang Salad)



สลัดหลวงพระบางเป็นอาหารขึ้นชื่อชนิดหนึ่งของประเทศลาว มีรสชาติกลางๆ ทานได้ทั้งชาวตะวันออกและตะวันตก ส่วนประกอบสำคัญที่สุดคือผักน้ำเป็นผักป่าพบขึ้นตามริมธารน้ำไหลที่สะอาด เชื่อกันว่าผักน้ำช่วยรักษาอาการป่วยเกี่ยวกับปอดได้ดี ส่วนประกอบอื่นๆ ได้แก่ มันแกว แตงกวา มะเขือเทศ ไข่ต้ม ผักกาดหอม หมูสับต้มสุก ราดด้วยน้ำสลัดชนิดใส โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวและถั่วลิสงบดหยาบ

ประเทศมาเลเซีย นาซิเลอมัก (Nasi Lemak)



นาซิเลอมักอาหารยอดนิยมของมาเลเซียคือข้าวหุงกับกะทิและใบเตย ทานกับเครื่องเคียงสี่อย่าง ได้แก่ปลากะตักทอดกรอบ แตงกวาหั่น ไข่ต้มสุกและถั่วอบ โดยนาซิเลอมักแบบดั้งเดิมนั้นจะห่อด้วยใบตองและมักรับประทานเป็นอาหารเช้า ปัจจุบันเป็นอาหารยอดนิยมที่ทานได้ทุกมื้อและแพร่หลายไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และภาคใต้ของไทย

ประเทศเวียดนาม ปอเปี๊ยะเวียดนาม (Vietnam Spring Rolls)



ปอเปี๊ยะเวียดนามถือว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่โด่งดังในเวียดนาม แผ่นแป้งทำจากข้าวจ้าวนำมาห่อไส้ซึ่งอาจเป็น ไก่ หมู กุ้ง หรือหมูยอ รวมกับผักที่มีสรรพคุณเป็นยานานาชนิด เช่น สะระแหน่ ผักกาดหอม แครอท แตงกวาทานคู่กับน้ำจิ้มมีรสหวานอมเปรี้ยว บางครั้งอาจมีเครื่องเคียงอื่นๆอีกด้วย

แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  https://www.anyapedia.com

อินดี้

10 อันดับสัตว์สุดยอดคุณพ่อ

ถ้าคุณคิดว่าพ่อรู้ดีที่สุด โปรดรู้ไว้ด้วยว่าเขาเทียบไม่ได้กับคุณพ่อในโลกธรรมชาติหรอก เรากำลังนับถอยหลัง 10 สุดยอดคุณพ่อในหมู่สรรพสัตว์ และเปรียบพวกมันกับความพยายามของมนุษย์

อันดับ 10 สิงโต



หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเจ้าสิงโตตัวผู้ที่เรามักจะได้ยินว่ามันให้สิงโตตัวเมียหาอาหารให้ถึงเป็นสุดยอดคุณพ่อได้ มันเป็นคุณพ่อที่สุดยอดจริงๆ ฉุนเฉียวที่สุดและเกียจคร้านที่สุด มันสามารถจะงีบหลับอย่างมีความสุขร่วม 20 ชั่วโมงต่อวัน แต่แม้ว่าจะเป็นพ่อที่ดุร้ายที่สุดก็ไม่ได้รับความเคารพจากลูก ลูกๆของมันมักจะเข้ามาแหย่ตอนที่มันหลับเป็นประจำ สิงโตตัวผู้ตัวหนึ่งสามารถมีลูกที่อยากรู้อยากเห็นได้มากถึง 20 ตัว เพราะมีตัวเมียหลายตัวในหนึ่งฝูง การเลี้ยงลูกนั้นเป็นเรื่องของตัวเมีย เพราะเจ้าพ่อตัวนี้คือนักสู้ เมื่อมีสิงโตหนุ่มตัวอื่นที่อยากแย่งชิงตัวเมีย ในฐานะพ่อของฝูงจึงเป็นหน้าที่ของเจ้าพ่อตัวนี้ที่จะหยุดสิงโตหนุ่มเหล่านั้น เพราะว่าถ้ามันพลาดเจ้าตัวผู้หน้าใหม่พวกนี้จะฆ่าลูกของมันทั้งหมด สิงโตเป็นอันดับสิบในการนับถอยหลังเพราะว่าถึงเวลาที่ต้องดูแลครอบครัว อย่ามีปากเสียงกับจ้าวแห่งพงไพรเด็ดขาด

อันดับ 9 แอนทีไคนัส (Antechinus)



ผู้แข่งขันรายต่อไปของเราอาศัยอยู่ในออสเตรเลียและเป็นคาสโนว่าของการนับถอยหลัง มันเป็นหนูที่มีกระเป๋าหน้าท้องที่เรียกว่า แอนทีไคนัส เมื่ออายุ 11 เดือนก็จะถึงวัยเจริญพันธุ์และเหลือเวลาใช้ชีวิตแค่สามสัปดาห์ เมื่อมันพบตัวเมียมันจะเกิดอาการคันที่ต้องเกาจริงๆ แอนทีไคนัสอยู่ในอันดับที่ 9 เพราะมันง่วนกับการสร้างลูกจนลืมทุกอย่างไปเลย ทั้งกินและนอน มันจะยืนหยัดทำหน้าที่ทำลูกถึง 12 ชั่วโมง ถ้าไม่ถูกขัดจังหวะโดยคู่แข่งที่รุนแรงพอๆ กัน ซึ่งเพ้อฝันถึงการเป็นพ่อ มันถูกผลักดันเข้าสู่ความบ้าคลั่งทางเซ็กซ์โดยสเตอรอยด์ตามธรรมชาติที่อยู่ในกระแสเลือด ต่อสู้เพื่อแย่งตัวเมียและถ้ามันแพ้มันจะจากไปหาตัวเมียที่มีศักยภาพตัวใหม่ คู่แข่งที่เป็นมนุษย์ของแอนทีไคนัส มีเพียงคนเดียว พ่อที่สุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์

ตามสมุดบันทึกมนุษย์แอนทีไคนัสอาศัยอยู่ในโมร็อกโค ในศตวรรษที่ 16 พระองค์คือจักรพรรดิอิสเมลผู้กระหายเลือด เขามีชายา 4 องค์และมีฮาเร็มที่มีนางสนมอีก 500 คน กล่าวกันว่าพระองค์จะทำสถิติเป็นพ่อของลูก 888 คน อิสเมลต้องเป็นพ่อที่ยุ่งมากจริงๆ เป็นความลำบากทางชีววิทยาอย่างมาก นั่นเป็นเพราะสถิติของภาวะเจริญพันธุ์ แสดงให้เห็นว่า 10% ของนางสนมมีแนวโน้มที่จะเป็นหมัน และผู้หญิงทั้งหมดมีช่วงเวลาที่เหลือสั้นๆ ที่จะมีลูกได้ตามรอบเดือนของพวกเธอ อย่าลืมว่ามีโอกาสที่จะตั้งครรถ์มีแค่ 15% และผู้ที่ตั้งครรภ์ได้จริงๆ มักจะแท้งลูกได้ นักวิจัยคนหนึ่งคำนวณว่าการเป็นพ่อของลูก 888 คน จักรพรรดิจะต้องมีอะไรกับผู้หญิง 4.8 คนทุกวันเป็นเวลา 4 ทศวรรษ แต่จักรพรรดิอิสเมลก็ไม่ต้องจบลงเหมือนแอนทีไคนัสตัวผู้ ที่ต้องตายเพราะพิษจากสเตอรอยด์ในเลือดของมัน

อันดับที่ 8 หมาป่าแจ็คเคิล (Jackal Wolf)



ในผืนแผ่นดินที่แห้งผากของอินเดียตอนเหนือ สุนัขแจ็คเคิลสีทองใช้ชีวิตในป่าอย่างซ่อนเร้นและลักลอบในภูมิประเทศที่แห้งผากโดยการกินเศษซากเป็นอาหารแจ็คเคิลจะกินทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นลูกเล็กๆที่บ้าน มันจำเป็นต้องกินทุกสองชั่วโมง มันเป็นงานหนักของผู้เป็นแม่ แต่โชคดีมันมีคู่หูที่พึ่งพาได้ ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวอื่นๆ เกือบทั้งหมด แจ็คเคิลจับคู่เพื่อชีวิต เมื่อแม่และพ่อออกล่าพร้อมๆ กัน อัตราความสำเร็จของมันมีมากกว่าสามเท่า มากกว่าที่พวกมันออกล่าตามลำพัง ตัวผู้จะคอยช่วยตัวเมียเสมอ นั่นคือสาเหตุที่แจ็คเคิลได้เป็นอันดับที่ 8 ในการนับถอยหลังสุดยอดคุณพ่อ ถ้าพ่อตายก็ไม่น่าเป็นไปได้ว่าพวกที่เหลือของครอบครัวจะรอดชีวิตโดยปราศจากการช่วยเหลือของพ่อ พ่อแจ็คเคิลมีวิธีที่น่ารังเกียจในการให้อาหารลูกๆ ของพวกมัน มันจะสำรอกอาหารที่กินเข้าไปให้ลูกๆ ของพวกมัน โชคดีของเจ้าลูกสุนัขแจ็คเคิลที่มีพ่อสุนัขแสนดีที่จะไม่มีวันจากบ้านไปไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม

อันดับ 7 แมงดายักษ์



เพื่อหาผู้เข้าแข่งขันรายต่อไปนี้คุณต้องดำลงไปในนาข้าวของญี่ปุ่น มันคือแมงดายักษ์ หนึ่งในคุณพ่อที่อุทิศตัวมากที่สุดในโลก เมื่อตัวเมียออกไข่บนต้นข้าวข้างบนน้ำ ตัวผู้จะคอยเฝ้าไข่ คอยพ่นน้ำไม่ให้ไข่แห้งจนไม่สามารถฟักเป็นตัวได้ แถมยังมีแมงดายักษ์บางคู่ที่ตัวเมียออกไข่บนหลังของตัวผู้ การแบกลูกๆ ของมันนานนับเดือนคือกรรมกรที่เหนื่อยยากอย่างแท้จริง ถ้าเพียงมนุษย์ผู้พ่อทั้งหมดอุทิศตัวดูแลบ้านและเลี้ยงลูกที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็นงานของผู้หญิง ทุกวันนี้สิ่งต่างๆ กำลังเปลี่ยนไป มีพ่อที่อยู่บ้านมากขึ้น และมีการวิจัยว่าพ่อที่อยู่กับบ้านมีวี่แววจะตายไวกว่า พ่อที่อยู่กับบ้านมีอัตราการตายด้วยโรคหัวใจสูงกว่าพ่อที่ออกไปทำงานนอกบ้าน 82% นั่นอาจจะหมายถึงงานบ้านและงานเลี้ยงลูกที่ในอดีตเป็นงานของคุณแม่นั้นหนักหนากว่างานที่ทำนอกบ้านจริงๆ

อันดับที่ 6 เรีย (Rhea)



ผู้แข่งขันรายต่อไปของเราถูกซ่อนอยู่สูงในเทือกเขาแอนดีส (Andes) พบกับเรีย (Rhea) นกกระจอกเทศแห่งอเมริกาใต้ ตัวผู้จะมีตัวเมียในฮาเร็ม 5 ตัวที่ผลัดกันออกไข่ในรังของมัน หลังจากที่ออกไข่ตัวเมียก็จะหนีไป สำหรับตัวเมียพวกนี้พวกมันต้องการที่จะแค่เล่นสนุก นกเรียตัวผู้ถูกทิ้งให้ดูแลครอบครัวและมันรับผิดชอบกับงานของมันมากๆ มันจะใช้เวลาสองเดือนอยู่ในรัง มันกินอาหารน้อยลงและอยู่รอดได้จากอาหาร 1 ใน 4 ส่วนจากปกติ มันไม่สามารถทิ้งรังนานๆ ได้ เพราะมันต้องเฝ้าะวังไข่จากผู้รุกรานทุกประเภท และสำหรับพ่อผู้ฉายเดี่ยวตัวนี้ การนั่งเฝ้าตลอดทั้งวันเป็นแค่หน้าที่ส่วนแรกเท่านั้น อีกไม่นานมันจะมีลูกประมาณ 20 ตัวให้ดูแลไปอีกร่วมสองปี

อันดับที่ 5 ปลาสติ๊กเกิลแบ็ก (Stickleback Fish)



ในบึงแห่งหนึ่งที่ญี่ปุ่นตอนเหนือ ปลาสติ๊กเกิลแบ็กจะทำรังเพื่อให้ตัวเมียมาวางไข่โดยใช้กาวที่ขับออกมาจากไตของมัน รังของมันอาจจะดูเล็กแต่มันก็สร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ ทันทีที่ปลาตัวเมียวางไข่มันจะพุ่งเข้าไปแล้วปล่อยน้ำเชื้อเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ มันจะล่อให้ตัวเมียมาวางไข่ที่รังของมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปลาสติ๊กเกิลแบ็กสามารถทำให้ไข่ของตัวเมียสูงถึง 5 ตัวปฏิสนธิได้ แต่ตามทฤษฎีแล้วไม่มีอะไรเทียบได้กับพลังของมนุษย์เพศชาย ในช่วงชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งสามารถผลิตเซลล์สเปิร์มได้ถึง 2 ล้านล้านตัว และมีสเปิร์มเพียงแค่ตัวเดียวที่ปฏิสนธิ ในทางทฤษฎีทุกครั้งที่ผู้ชายมีอะไรกับผู้หญิง มันมากพอที่จะปฏิสนธิกับผู้หญิงทุกคนในยุโรปได้เลย หรืออัตราประชากรของโลกสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ในวันเดียวโดยใช้ผู้ชายแค่ 23 คน

การทำให้ไข่ปฏิสนธิเป็นเรื่องง่ายแต่การเลี้ยงดูพวกมันเป็นเรื่องยาก ปลาสติ๊กเกอร์แบล็กได้เป็นอันดับ 5 เพราะมันพยายามอย่างสุดยอดในการดูแลลูกๆ ของมัน มันโบกพัดไข่เพื่อให้ออกซิเจนกับตัวอ่อนที่กำลังเติบโตและเพื่อชะล้างของเสียใดๆก็ตามออกไป มันเหนื่อยมากและมันจะใช้เวลาสองในสามของวันพัดสูงถึง 400 ครั้ง

อันดับ 4 นกจาคาน่า (Jacana)



มันอาศัยอยู่ในที่ราบน้ำท่วมของบราซิลที่ซึ่งฝนตกอย่างหนัก นกจาคาน่า (Jacana) มันยังถูกเรียกว่าลิลลี่  ทร็อทเตอร์ (Lily Trotters) นกจาคาน่าตัวผู้คือสุดยอดของความขี้ขลาด มันดูแลรังที่เต็มไปด้วยไข่แต่คู่ของมันหายไป วันดีคืนดีมีตัวเมียตัวใหม่เข้ามาใกล้รังของมันและจิกกินไข่ที่เกือบจะฟักเป็นตัวเป็นอาหารโดยที่ตัวผู้ไม่สามารถทำอะไรได้เลย และต่อมาตัวเมียตัวนี้ก็จะส่งสัญญาณว่ามันพร้อมที่จะผสมพันธุ์และเจ้าตัวผู้ที่ความจำเสื่อมผสมพันธุ์กับฆาตกรที่ฆ่าลูกของมัน ต่อมาตัวเมียตัวใหม่จะออกไข่ในรังของมัน แต่เนื่องจากตัวเมียมีคู่ขามากมาย ตัวผู้จะไม่รู้ว่าไข่นี้จะเป็นลูกของมันหรือลูกของตัวผู้ที่โดนโขกสับรายอื่นๆ

อันดับ 3 กบบูลฟร็อก (Bullfrog)



เมื่อถึงหน้าร้อนในแอฟริกาตอนใต้ฝนหมดไป ลูกอ๊อดที่เพิ่งเกิดมีอายุเพียงสองวัน สระน้ำที่พวกมันอาศัยกำลังแห้งเหือดอย่างรวดเร็ว โชคดีที่มันมีพ่อที่อุทิศตัวอย่างที่สุด พ่อของพวกมันคือแอฟริกัน บูลฟร็อก ตัวใหญ่ยักษ์ มันเป็นงานของพ่อกบที่ต้องปกป้องลูกๆ 6,000 ตัว มันช่วยขุดสระที่แห้งขอดเพื่อช่วยลูกของมันออกมา ขาที่ทรงพลังของมันจะช่วยขุดทางน้ำเชื่อมไปยังสระที่ใหญ่กว่า เพื่อช่วยครอบครัวของมันจากหายนะ

อันดับ 2 เพ็นกวิ้นจักรพรรดิ (Emperor Penguin)



ขอต้อนรับสู่ทวีปแอนตาร์กติก ที่ๆหนาวเย็นที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ในฤดูหนาวที่นี่นั้นหนาวเย็นจนกระทั่งทุกอย่างแข็งตัวรวมถึงมหาสมุทร ก้อนน้ำแข็งยักษ์ก้อนนี้เป็นที่ๆ โหดร้ายที่สุดที่จะมีชีวิตบนโลก แต่มันเป็นบ้านของสัตว์สุดยอดคุณพ่อในอันดับที่สอง ฝูงนกเพ็นกวิ้นจักรพรรดิเดินทางสู่ทวีปแอนตาร์กติกเพื่อผสมพันธุ์ในฤดูหนาว พวกมันสามารถไถลไปได้กว่า 50 ไมล์สู่แหล่งผสมพันธุ์ที่หนาวจัดของพวกมัน ปกติที่นี่มีอุณหภูมิติดลบ 40 องศา และสิ่งที่ทำให้ที่นี่เลยร้ายยิ่งขึ้น มันเป็นเวลาอีก 4 เดือนกว่าดวงอาทิตย์จะโผล่ขึ้นมาอีกครั้งเหนือเส้นขอบฟ้า เข้าสู่ความมืดมิดที่หนาวจัดนี้ตัวเมียออกไข่ 1 ฟอง สุดยอดคุณพ่อเพ็นกวิ้นจักรพรรดิจะช่วยตัวเมียกกไข่ มันสร้างสมดุลให้ไข่โดยกกไว้บนปลายเท้านาน 65 วัน ตัวเมียทั้งหมดจากไปนานแล้ว ตัวผู้ถูกทิ้งให้อยู่รวมกันในที่ๆ หนาวเย็นเลวร้ายที่สุดบนโลกใบนี้

ในที่สุดเมื่อดวงอาทิตย์กลับมา ก็มีชีวิตใหม่เกิดขึ้นมาลืมตาดูโลก มันมีปัญหา คุณจะป้อนอาหารลูกนกที่หิวโหยได้อย่างไรเมื่อตู้เย็นว่างเปล่าและคุณไม่ได้กินอะไรเลยมาสี่เดือน แต่พ่อเพ็นกวิ้นจักรพรรดิสามารถป้อนอาหารลูกด้วยสารพิเศษที่สร้างขึ้นมาจากในท้องที่ดูคล้ายกับนมเล็กน้อย และผ่านไปอีกสองเดือนตัวเมียกลับมาพร้อมกับปลาเต็มท้อง

อันดับ 1 ม้าน้ำ (Seahorse)



ในทะเลมีสุดยอดตัวผู้ที่เสียสละที่สุด มันก็คือม้าน้ำ ม้าน้ำตัวผู้โรแมนติกอย่างที่สุด เมื่อพวกมันอยู่ในอารมณ์แห่งรัก พวกมันจะเต้นรำเป็นเวลา 3 วัน การเต้นรำทำให้ดูพุงพลุ้ยใหญ่และนั่นทำให้ม้าน้ำตัวเมียสนใจอย่างแท้จริง เมื่อผสมพันธุ์กันตัวเมียจะออกไข่หลายร้อยฟองเข้าไปในตัวผู้ ม้าน้ำเป็นอันดับหนึ่งเพราะมันเป็นตัวผู้ที่ตั้งท้อง ท้องที่ใหญ่นั้นเป็นกระเป๋าฟักไข่อย่างแท้จริง ผนังช่องท้องของมันเป็นอาหารบำรุงไข่ที่เติบโตอยู่ภายใน และเป็นเวลาสี่สัปดาห์ที่ยาวนาน มันก็ให้กำเนิดลูกออกมา ลูกม้าน้ำมีพ่อที่พิเศษอย่างแท้จริง

แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  http://megatopic.blogspot.com

อินดี้

5 ปริศนาที่ไร้คำอธิบายของจักรวาล

"ดวงอาทิตย์ของเรามีคู่ปรับอันตรายที่จะทำให้ชีวิตบนโลกดับสูญหรือไม่"

"เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเดินทางข้ามเวลา มันเป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง"

"เกิดอะไรขึ้นกับคู่แฝดตัวร้ายของสสาร ความคิดของนักฟิสิกส์ทั้งหลายตามหาคำอธิบายนั้นอยู่"

"น้ำบนดาวอังคารหายไปได้อย่างไร"

"อะไรมาก่อนบิ๊กแบง นี่คือปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวิทยาศาสตร์ทั้งปวง"

คำถามสำคัญและวิทยาศาสตร์ล้ำยุค ปริศนาที่ไร้คำอธิบายของจักรวาล

1. อุกกาบาตชนโลกจนชีวิตดับสูญ
ในบรรดาปริศนาคำถามของจักรวาลนั้น มีเรื่องหนึ่งที่ต้องรีบหาคำตอบเป็นพิเศษ สำหรับมนุษย์ทุกคนที่ยังอาศัยอยู่บนโลก ชาวโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลกมีกำหนดเวลาที่ต้องถูกล้างเผ่าพันธุ์ทุกๆ 26 ล้านปีหรือไม่ และหากใช่อะไรคือสาเหตุที่ก่อความเสียหายที่รุนแรงนั้น คุณจะเจอการระเบิดอย่างใหญ่หลวง ทุกสิ่งภายในรัศมี 1,000 ไมล์จะตายหมด เราจะต้องเจอแรงระเบิด คลื่นสึนามิ ความร้อนมหาศาล ไฟลุกขึ้นทั่วโลก จากนั้นก็มืดสนิท เป็นเวลาหลายล้านปีแล้วที่วัตถุขนาดใหญ่จากอวกาศได้พุ่งชนโลก จนสร้างความหายนะอย่างร้ายแรง การพุ่งชนครั้งหนึ่งที่นอกชายฝั่งแหลมยูคาทันเป็นสิ่งที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เมื่อ 65 ล้านปีก่อน แต่นี่ไม่ใช่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่บนโลก และมันก็น่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย มีการสูญพันธุ์ที่ใหญ่กว่านั้นในยุคเฮอเมียส ทำให้สิ่งมีชีวิต 95% ในมหาสมุทรตายไป และราว 80% ของสัตว์บกด้วย ดังนั้นการสูญพันธุ์ที่รุนแรงได้เคยเกิดขึ้นแล้ว

นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าช่วงจังหวะการสูญพันธุ์และการทำลายล้างนี้จะมาเป็นระยะที่แน่นอน นักดึกดำบรรพ์วิทยาพบรูปแบบที่แปลกมาก สิ่งที่พวกเขาพบคือการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่ฆ่าไดโนเสาร์และครั้งอื่นๆ ด้วย มันไม่ได้เกิดแบบสุ่มๆ แต่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นตามกำหนด นั่นเป็นสิ่งแปลกมาก มันเกิดขึ้นทุกๆ 26 ล้านปี นั่นทำให้เราอยากรู้คำอธิบาย

นักแอสโตรฟิสิกส์ "ริชาร์ด มุลเลอร์" เชื่อว่าคำอธิบายของการทำลายล้างทุกๆ 26 ล้านปีนี้คือดาวแคระแดงสลัวที่ซ่อนอยู่ที่ขอบระบบสุริยะ ดาวฤกษ์ที่เขาเรียกได้อย่างเหมาะสมว่า "เนเมซิส" จากทฤษฏีของมุลเลอร์ เนเมซิสคือดาวคู่หูของดวงอาทิตย์ของเราที่ยังไม่ถูกค้นพบ มันเดินทางไปมาระหว่าง 1-3 ปีแสง จากศูนย์กลางของระบบสุริยะในวงโคจรทรงรียาว เมื่อเนเมซิสเคลื่อนมาใกล้กับดวงอาทิตย์ทุกๆ 26 ล้านปี วงโคจรของมันพามันผ่านกลุ่มเมฆออร์ต (Oort Cloud)ซึ่งเป็นกลุ่มดาวหางราวล้านๆ ดวงรอบๆ ระบบสุริยะของเรา นั่นคือตอนที่ระบบสุริยะเริ่มมีความปั่นป่วนเป็นพิเศษ

"เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น เนเมซิสเริ่มเข้าใหล้ดาวหาง และรบกวนวงโคจรของพวกมัน" มุลเลอร์กล่าว
จากทฤษฎีของมุลเลอร์ การรบกวนแรงดึงดูดที่เกิดจากดาวฤกษ์ที่ดูไร้พิษภัยนี้ ทำให้ดาวหางที่ยาวและไม่ถูกดึงดูดไว้ หนีออกจากวงโคจรในกลุ่มเมฆออร์ต ถูกดึงเข้าสู่ดวงอาทิตย์โดยแรงดึงดูด ดาวหางนับพันล้านดวงถูกส่งให้มุ่งเข้าสู่ระบบสุริยะวงใน บางดวงจะพุ่งมาสู่โลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทำให้เกิดแรงกระแทกและการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ขึ้น ข้ออ้างที่ว่าดวงอาทิตย์ของเรามีดาวสหายที่ยังไม่ถูกค้นพบนั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์เดี่ยวที่ไม่มีคู่ แต่ในจักรวาลนั้นดาวฤกษ์คู่หรือกลุ่มสามดวงที่อยู่ใกล้กันเพราะแรงดึงดูดเป็นเรื่องปกติ

"ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ในกาแล็คซี่ของเราเป็นดาวฤกษ์คู่หรือแบบสามดวง และดังนั้นแนวคิดที่ว่าดวงอาทิตย์อาจเป็นส่วนหนึ่งของระบบนั้นก็ไม่ได้สุดกู่นักจากมุมมองนั้น มันเป็นคำถามที่น่าสนใจ" เอเดรียน คูล (Adrienne Cool) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์หญิงกล่าว

แม้ว่าดวงอาทิตย์อาจจะมีสหายที่เป็นคู่กัน นักดาราศาสตร์ก็ไม่เคยเห็นดาวคู่ที่คู่ของมันอยู่ห่างกันอย่างที่มุลเลอร์อ้างว่าดวงอาทิตย์และเนเมซิสเป็นอยู่เลย มุลเลอร์ต้องการข้อพิสูจน์ว่าเนเมซิสมีจริง ในปี 1997 ภารกิจหนึ่งของนาซ่าเริ่มขึ้น ซึ่งจะมีโอกาสให้ความกระจ่างในปริศนานี้ กล้องทูไมครอนสกายเซอร์เวย์ (Two Micron Sky Survey) หรือทูแมส (2MASS) ใช้กล้องดูดาวอินฟราเรดคู่เพื่อส่องจักรวาลหาดาวฤกษ์ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ทูแมสเชี่ยวชาญการหาดาวหายาก ภายในและใกล้แกแล็คซี่ของเรา และถึงบัดนี้ได้ให้ภาพสองล้านภาพแล้ว หากมีเนเมซิสอยู่จริง ทูแมสควรจะมองเห็นมันแล้ว แต่กล้องนี้ยังไม่เคยตรวจจับสิ่งใดที่ตรงกับลักษณะดาวมรณะนี้ของมุลเลอร์เลย

"เราได้มองหาดาวมรณะนั้นอย่างมากแล้ว ดาวเนเมซิสนั่น และเราก็ไม่พบมันที่ไหนเลย" ดร.มิชิโอะ คากุ (Michio Kaku) ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์กล่าว

แต่มุลเลอร์ไม่แปลกใจที่กล้องทูแมสไม่พบดาวเนเมซิสของเขา

"เหตุผลก็คือด้วยระยะทางราว 1 ปีแสงเป็นระยะทางที่ไกลพอที่จะต้องโคจรเป็นเวลา 26 ล้านปี ความเคลื่อนไหวของมันจึงน้อยนิดมาก และมันน่าจะถูกมองพลาดไปโดยการสำรวจมาตรฐานที่มองหาดาวฤกษ์ในระยะไกลๆ" มุลเลอร์กล่าว

ความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือเนเมซิสอาจเป็นดาวแคระสีน้ำตาล ดาวฤกษ์ที่ใกล้ดับพวกนี้เล็กกว่าดาวแคระแดงมาก และด้วยวงโคจรที่หรี่มากๆ ดาวแคระน้ำตาลจะอยู่ห่างจากโลกเกือบตลอดเวลาและพ้นจากสายตาที่จ้องมองของนักดาราศาสตร์ หากเป็นเช่นนั้นจริงเนเมซิสก็น่าจะพ้นจากเรดาห์ของกล้องทูแมสได้ง่ายๆ

ริชาร์ดมุลเลอร์ปฏิญาณว่าจะมองหาต่อไปและวางแผนที่จะศึกษาอย่างละเอียดยิ่งขึ้น เขาเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วเนเมซิสจะต้องถูกพบ

"มีดาวฤกษ์อยู่มากมายบนนั้นมีเป็นล้านๆ ดวง แต่เมื่อคุณงมเข็มในมหาสมุทร คุณสามารถดูมันแล้วก็บอกได้ว่า โอ้ นั่นไม่ใช่เข็ม นี่ก็เช่นกัน เมื่อเราพบเนเมซิส เราก็จะวัดวงโคจรของมันและพิสูจน์ได้ว่ามันคือเนเมซิส" มุลเลอร์กล่าวทิ้งท้าย

2. การเดินทางข้ามกาลเวลา
ในบรรดาปริศนาไร้คำอธิบายทั้งหมดในจักรวาล บางทีสิ่งที่ยั่วเย้าและเป็นที่โต้เถียงมากที่สุดคือปริศนาที่ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเดินทางข้ามเวลา เราสามารถเดินทางย้อนเวลาได้หรือไม่ เราจะเปลี่ยนแปลงชะตาของเราได้หรือไม่ มันเป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง

ในปี 1955 รอน มาลเล็ต  มีอายุเพียงสิบขวบ เมื่อพ่อของเขาตายด้วยโรคหัวใจวาย ด้วยความโศกเศร้า หนูน้อยมาเล็นอยากหาวิธีที่จะพบพ่อของเขาอีกครั้ง และอาจจะช่วยชีวิตพ่อไว้

"ราวหนึ่งปีหลังจากเขาตาย ผมก็ได้เจอหนังสือ เดอะ ไทม์แมชชีน ของ H.G. WELLS และนั่นคือสิ่งที่ช่วยผม เพราะผมคิดว่าถ้าผมสามารถสร้างเครื่องย้อนเวลาอย่างที่ H.G. WELLS เขียนเรื่องนี้เอาไว้ได้ ผมก็สามารถกลับไปในอดีต ไปช่วยชีวิตพ่อผมเอาไว้และได้เห็นเขาอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นผมจึงหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่จะพยายามสร้างไทม์แมชชีนขึ้น

เดอะ ไทม์แมชชีน เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้น แต่มาลเล็ตค้นพบในไม่ช้าว่ามีเหตุผลที่สนับสนุนเรื่องการเดินทางข้ามเวลาที่ลึกลับนี้ และแหล่งนั้นไม่ใช่ใครนอกจากอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ไอน์สไตน์เสนอทฤษฎีว่าอวกาศและเวลาเชื่อมโยงกัน ดังนั้นเราสามารถจินตนาการอวกาศเวลาว่าเป็นเหมือนเส้นใยหรือแผ่นหยัก ด้วยทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของเขา ไอน์สไตน์แสดงให้เห็นว่าวัตถุขนาดใหญ่ เช่นดาวเคาะห์หรือดาวฤกษ์หรือหลุมดำจะทำให้เส้นใยของอวกาศและเวลาโค้งงอ จริงๆ แล้วไอน์สไตน์เชื่อว่าแรงดึงดูด พลังที่ดึงเราไว้ติดกับโลกและทำให้โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงผลของการโค้งงอนี้

สำหรับมาลเล็ต แนวคิดที่น่าปวดหัวระดับจักรวาลนี้มีความหมายที่กว้างไกล เพราะถ้าคุณสามารถสร้างแรงดึงดูดมากพอที่จะบิดเวลาจนเป็นวงได้ บางทีคุณก็อาจสร้างเส้นทางสำหรับเคลื่อนที่เดินหน้าหรือถอยหลังไปในเวลาได้ ทฤษฎีของไอน์สไตน์ปลุกพลังให้รอน มาลเล็ตเรียนรู้หาวิธีที่จะสร้างไทม์แมชชีนของเขาเอง แต่การเดินทางข้ามเวลาไม่ใช่หัวข้อที่จะศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ที่จริงจังได้อย่างเปิดเผย

"ว่ากันตามตรงแล้วผมใช้แนวคิดที่เข้ากันได้ในแบบของผม ผมศึกษาเกี่ยวกับหลุมดำ เพราะหลุมดำทำให้ผมเข้าใจว่าทฤษฎีของไอน์สไตน์ส่งผลต่อเวลาและอื่นๆ อย่างไร มันเป็นแนวคิดบ้าๆ แต่มันถูกมองว่าบ้าแบบมีหลักการ ดังนั้นผมจึงโตาในสายงานในการศึกษาสิ่งเหล่านั้น" รอน มาลเล็ตกล่าว

หลุมดำบริเวณส่วนที่เหลือของดาวฤกษ์ ส่วนที่ยุบตัวขนาดใหญ่ยักษ์ มีแรงดึงดูดที่แทบไม่มีสิ่งใดเทียบได้ที่จะบิดเบือนอวกาศและเวลา ซึ่งก็คือสิ่งที่มาลเล็ตต้องการทำ แต่เขาจะสร้างอุปกรณ์ในห้องแล็บที่มีสสารมากพอที่จะทำให้อวกาศและเวลาโค้งได้อย่างไร เพื่อหาแรงดลใจ มาลเล็ตหันไปหาไอน์สไตน์อีกครั้ง และสมการที่โด่งดังที่สุด E = mc2 ซึ่งแสดงว่าสสารและพลังงานเป็นเพียงรูปแบบที่ต่างกันของสิ่งเดียวกัน ดังนั้นจากทฤษฎีของไอน์สไตน์ก็อาจที่จะสามารถทำให้อวกาศและเวลาโค้งงอได้ เหมือนกัยที่วัตถุขนาดใหญ่ทำได้

"เราคุ้นเคยกับแนวคิดที่ว่าแรงดึงดูดเกิดขึ้นจากสสารจะกลับกลายเป็นว่าทฤษฎีของไอน์สไตน์ แสงสามารถสร้างแรงดึงดูดได้ และนั่นคือแนวคิดที่งานของผมอิงอยู่ พูดอีกอย่างนึงคือหากแรงดึงดูดมีผลต่อเวลา และแสงสามารถสร้างแรงดึงดูดได้ ดังนั้นแสงก็สามารถส่งผลต่อเวลาได้" รอน มาลเล็ตกล่าว

มาลเล็ตได้สร้างเครื่องมืออย่างหนึ่งขึ้นมาเพื่อสาธิตแนวคิดของเขาว่าแสงเลเซอร์ที่เกิดวนไปมาสามารถสร้างอุโมงค์แสงที่บิดอวกาศและเวลาได้

"มันมีแสงเลเซอร์ที่ตัดกันสี่เส้น พื้นที่ภายในลำแสงนั้นจะเป็นพื้นที่ที่อวกาศกำลังถูกบิดตัวอยู่ และในที่สุดเวลาก็จะถูกบิดไปด้วยโดยลำแสงนี้ และนี่จะทำให้เราเดินทางย้อนไปในอดีตได้" รอน มาลเล็ตกล่าว

สิ่งที่เดินทางข้ามเวลาได้อย่างแรกจะต้องเล็กกว่ามนุษย์มาก เช่น อนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม เช่น นิวตรอน

"สิ่งที่เราพยายามส่งไปไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมและข้อมูล และนั่นก็ถือเป็นก้าวใหญ่มากแล้ว เพราะนึกดูสิครับว่าถ้าเราสามารถส่งข้อมูลกลับไปในอดีตที่บอกถึงหายนะในอนาคตเพื่อที่จะสามารถป้องกันมันได้ เราสามารถเข้าใจว่าลำแสงที่วนเวียนสามารถบิดอวกาศและเวลาได้อย่างไรด้วยการเปรียบเทียบกับถ้วยกาแฟ ถ้าเราคิดว่ากาแฟในถ้วยเป็นอวกาศที่ว่างเปล่า และคิดถึงช้อนว่าเป็นลำแสงที่วนไปมา คุณก็จะเห็นว่าเกิดอะไรกับกาแฟในขณะที่ผมคนมัน กาแฟนั้นหมุนวน นี่คือสิ่งที่ลำแสงกระทำกับอวกาศที่ว่างเปล่า และเราสามารถเห็นผลเช่นนี้ในกรณีของกาแฟด้วยการใส่เมล็ดกาแฟแล้วคน เมล็ดกาแฟก็จะถูกเหวี่ยงไปรอบๆ ในกรณีของเลเซอร์ขณะที่ลำแสงวนไปมา เราใส่อนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม เร็วกว่านิวตรอนลงไป และเมื่อเราคน อากาศรอบๆ นิวตรอนจะถูกทำให้หมุนวนเหมือนเมล็ดกาแฟ ทีนี้จำได้ไหมว่าในทฤษฎีของไอน์สไตน์นั้นอวกาศและเวลานั้นเชื่อมโยงกัน ดังนั้นการหมุนวนของอวกาศจะทำให้เส้นตรงของเวลาหมุนวนเป็นวงกลม และในห่วงของเวลานั้นเราสามารถเดินทางจากอดีตไปปัจจุบันไปอนาคตและกลับไปในอดีตก็ยังได้"  รอน มาลเล็ตกล่าว

ในนิยายวิทยาศาสตร์ได้ให้ภาพไทม์แมชชีนว่า สามารถเดินทางไปข้างหน้าและย้อนเวลากลับได้อย่างไม่จำกัด แต่มาลเล็ตเตือนว่า นักเดินทางข้ามเวลา สามารถเดินทางกลับได้ไกลสุดเท่ากับตอนที่ไทม์แมชชีนเดินเครื่อง

รอน มาลเล็ต "พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าผมเปิดเครื่องวันนี้แล้วเปิดทิ้งไว้ร้อยปี และใครบางคนในอีกร้อยปีข้างหน้านั้นสามารถเดินทางกลับได้ถึงแค่ช่วงเวลาที่ผมเปิดเครื่องนี้ แต่พวกเขาไม่สามารถเดินทางย้อนไปกว่านั้นได้เพราะเครื่องนั้นยังไม่มีตัวตนขึ้นมา และเครื่องมือเป็นตัวทำให้เกิดผลนั้นขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้พวกเขาได้กลับมาหาหรือได้ปรากฏร่างขึ้น"

ข้อจำกัดนี้หมายถึงไทม์แมชชีนของมาลเล็ตไม่สามารถทำให้เขาเดินทางกลับไปปี ค.ศ. 1955 เพื่อช่วยชีวิตพ่อของเขาได้ การจะทำเช่นนั้นจะต้องใช้เทคโนโลยีที่มาจากนอกโลก ในทางทฤษฎี อารยะธรรมต่างดาวที่ล้ำยุค อาจมีไทม์แมชชีนที่เปิดทิ้งไว้เมื่อหลายพันปีก่อน

รอน มาลเล็ต "เราอาจสามารถใช้ไทม์แมชชีนของพวกเขาไปเยือนอดีตที่เก่าแก่ของเรา เพราะถ้าพวกเขาพัฒนาการเดินทางข้ามกาลเวลามาได้ เอาเป็นว่าหมื่นปีก่อนมันมีข้อจำกัดแบบเดียวกัน แต่ถ้าเราพบพวกเขา เราสามารถใช้มันได้ และบางทีในวันหนึ่ง เราสามารถไปเยือนอียิปต์ยุคโบราณหรือโรมยุคโบราณก็ได้"

สำหรับตอนนี้มาลเล็ตจดจ่ออยู่ที่การสร้างไทม์แมชชีนของเขา โครงการที่จะต้องใช้เงิน 250,000 เหรียญแค่ในการเริ่มต้นเท่านั้น เงินเป็นเพียงอุปสรรคหนึ่งที่นักฟิสิกส์ต้องเจอในการอาจหาญที่จะเดินทางข้ามเวลา และยังมีสิ่งขัดแย้งบางอย่างที่หลายคนเชื่อว่าจะทำให้การเดินทางข้ามเวลาเป็นไปไม่ได้ เช่นความขัดแย้งเรื่องคุณปู่ที่มักกล่าวถึงกัน ลองนึกดูว่าถ้าคุณย้อนเวลากลับไปแล้วฆ่าปู่ของคุณก่อนที่เขาจะพบกับย่าของคุณ ดังนั้นคุณจะไม่มีทางได้เกิดมา และดังนั้นจึงไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ตั้งแต่แรก แล้วเหตุการณ์จะถูกกำหนดว่าเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ เกิดขึ้นหรือไม่ได้เกิดขึ้น

แต่มาลเล็ตเชื่อว่าความก้าวหน้าล่าสุดในฟิสิกส์ ทฤษฎีบ่งชี้ว่าความขัดแย้งนี้ไม่ใช่ปัญหาใดใดเลย นักฟิสิกส์หลายคนในขณะนี้เชื่อในแนวคิดสุดขั้วที่ว่าจักรวาลของเราเป็นหนึ่งในจักรวาลขนานหลายๆ แห่ง ดังนั้นเมื่อคุณย้อนเวลากลับคุณอาจเข้าไปในจักรวาลคู่ขนาน ซึ่งคุณสามารถไปยังเหตุการณ์ต่างๆ โดยไม่ส่งผลต่อจักรวาลที่คุณจากมา

ดร.มิชิโอะ คากุ "เราเชื่อว่าแม่น้ำแห่งเวลาอาจมีการไหลวนได้ การไหลวนซึ่งคุณอาจใช้มันกลับไปเพื่อพบกับพ่อแม่คุณก่อนที่คุณจะเกิดมา หรืออาจจะแยกออกเป็นแม่น้ำสองสาย คุณสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตเพื่อให้เป็นจักรวาลอีกแห่งหนึ่ง ทั้งหมดนี้เป็นทฤษฎีที่อยู่ในระดับที่สูงมากๆ ของฟิสิกส์ยุคใหม่ทุกวันนี้

มาลเล็ตเชื่อว่าเราอาจต้องรออีกเพียงร้อยปีที่จะได้เดินทางข้ามเวลาโดยมนุษย์ แต่ก็ยังสายไปสำหรับเขาที่จะได้เดินทางกลับไปช่วยพ่อของเขา แต่ความสูญเสียส่วนตัวของเขาได้เปิดประตูไปสู่โลกใหม่สำหรับคนรุ่นหลังๆ

5 ปริศนาที่ไร้คำอธิบายของจักรวาล
กำเนิดดวงอาทิตย์
กำเนิดเอกภพ
7 สิ่งมหัศจรรย์ในระบบสุริยะจักรวาล
สตีเฟ่น ฮอว์คิง (Stephen Hawking) กับคำถามสำคัญของเอกภพ
จักรวาลและดาวเคราะห์

แหล่งรวมบทความจัดอันดับ สารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  http://www.anyapedia.com

อินดี้

อนาคอนด้า งูยักษ์แห่งอเมซอน



ไม่มีสัตว์ใดในลุ่มน้ำอเมซอนที่จะน่ากลัวและน่าเกรงขามไปกว่าปีศาจแห่งแม่น้ำนั่นคืองูอนาคอนด้า แม้มีสายตาที่คมเด็ดเดี่ยวแต่ก็ใช่ว่าจะเห็นมันได้ง่าย มันมีขนาดใหญ่และมีพลังมาก มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งความตาย ชื่อเสียงในอดีตคือเพชรฆาตเงียบแห่งลุ่มน้ำและป่าอเมริกาใต้ เมื่อโตเต็มวัยงูอนาคอนด้าจะมีความยาวถึง 30 ฟุต และอาจจะหนักถึง 250 กิโลกรัม เทียบโดยขนาดแล้วไม่มีสัตว์ใดในโลกที่จะเป็นศัตรูกับมัน นับว่าอนาคอนด้าเป็นราชาของสัตว์กินเนื้อที่ไม่มีสัตว์ใดเทียบในลุ่มน้ำอเมซอน

ณ ดินแดนอันไกลโพ้นแห่งลุ่มน้ำอเมซอน ผู้มาเยือนมักถูกกล่อมให้หลงใหลในสรรพชีวิตที่ไม่มีวันสิ้นสุดด้วยสี เสียงและกลิ่นที่ราวกับเชิญชวนให้เข้ามาในแดนสวรรค์ แต่ภาพลวงตาของสวนอันแสนสงบกลับแฝงด้วยอันตราย สิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบในป่าดงดิบต้องยืนหยัดต่อสู้แบบไม่มีวันจบสิ้นเพื่อให้อยู่รอด ดินแดนที่ชีวิตมีแต่ความทุกข์เสมอกับความตาย ไม่มีความสะดวกสบายหรือเห็นอกเห็นใจกันแม้แต่น้อย ในป่านั้นความเป็นจริงแห่งชีวิตช่างโหดร้าย ผู้อ่อนแอ ชราภาพและเชื่องช้าจะตายได้โดยง่ายดายเข้าสู่วงจรของห่วงโซ่อาหาร หรือถ้าเผลอตัวแค่เพียงวินาทีเดียวก็อาจตายได้

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า อนาคอนด้าเป็นหนึ่งในนักล่าที่มีพลังมากที่สุดในโลก มันจู่โจมอย่างรวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทันประมาณ 20 ฟุตต่อวินาที เร็วเท่ากับหมัดยักษ์ของนักมวยฝีมือเยี่ยม อนาคอนด้ามักจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำหรือบริเวณใกล้แม่น้ำ ที่ซึ่งมันจะหาอาหารได้หลากหลายประเภทรวมทั้งสัตว์เลื้อยคลานอย่างอีกัวน่าหรือจระเข้ เหยื่อของอนาคอนด้ายังมีพวกนกน้ำอย่างนกกระสาหรือนกกระเรียน นอกจากนี้มันยังกินกวาง หมูป่า และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กอย่างโคอาติมุนดี้ (Coatimundi) สัตว์สายพันธุ์เดียวกับแร็คคูนที่อาศัยอยู่ในอเมริกาใต้ ด้วยรูปร่างและขนาดพอๆ กับแมวบ้าน

โคอาติมุนดี้กลับมีธรรมชาติที่แตกต่างมันใช้เวลาส่วนใหญ่ในการหาตัวอ่อนของสัตว์เป็นอาหาร เช่นแมลงปีกแข็ง แมงป่อง หรือไส้เดือน อนาคอนด้าไม่มีประสาทรับเสียงเช่นสัตว์อื่น แต่มันสามารถจับความสั่นสะเทือนบนพื้นดินได้ สิ่งนี้สร้างขึ้นเพื่อชดเชยสายตาอันพร่าเลือน และรวมถึงความพิเศษของการรับรังสีอินฟราเรดที่ช่วยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่น้อยกว่า 1 องศาได้แม้ในระยะทางไกล เมื่ออยู่ยนพื้นดินอนาคอนด้าจะเชื่องช้า งุ่มง่าม แต่การเคลื่อนตัวอย่างช้าๆนี้ทำให้เหยื่อไม่รู้สึกตัวจนถึงระยะจู่โจมเพื่อรัดตัวโคอาติมุนดี้ อนาคอนด้าไม่ได้ฆ่าด้วยการรัดหรือบดขยี้ แต่มันฆ่าด้วยการขดเป็นม้วน สองถึงสามวงรอบๆ เหยื่อ แล้วก็รัดแน่นขึ้น แรงกดมหาศาลที่อนาคอนด้าสร้างขึ้นทำให้เกิดการหดตัวของเส้นเลือดใหญ่ที่ส่งเลือดเข้าไปยังหัวใจ เป็นผลให้ระบบหมุนเวียนของเลือดหยุดทำงาน แม้ว่าหัวใจจะยังคงเต้นอยู่ แต่เลือดก็ไหลไปเลี้ยงสมองไม่ได้ เพียงไม่กี่วินาที โคอาติมุนดี้ก็หมดสติ

อาณาจักรของอนาคอนด้าที่จริงนั้นอยู่ในน้ำและมันใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ใต้น้ำเพื่อคอยซุ่มโจมตีเหยื่อที่เดินเข้ามาใกล้ ใต้ผิวน้ำร่างขนาดยักษ์กลับลอยน้ำอย่างสบาย มันเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและงดงาม นี่คือเหตุผลที่ชาวเปรูเรียกอนาคอนด้าว่า "ยาโคมาม่า" หรือราชินีแห่งลุ่มน้ำ แม้ว่าอนาคอนด้าจะชอบซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนน้ำ แต่เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ในทุกๆ ปี จะเป็นยามที่แหล่งน้ำแห้ง ตัวผู้จะออกเดินทางตามหาตัวเมีย เป็นภาพที่หาดูได้ยากเพราะพวกมันไม่ค่อยพบกันบ่อยนัก อนาคอนด้าตัวเมียจะกระจายกลิ่นฮอร์โมนเพศซึ่งจะดึงดูดตัวผู้ได้ไกลถึง 3 ไมล์ อนาคอนด้าตัวผู้จะตอบรับต่อกลิ่นของตัวเมีย ในที่สุดอนาคอนด้าตัวผู้ก็เดินทางมาถึงตัวเมียที่อยู่ใต้น้ำ มันมักพบว่ามันไม่ใช่ตัวแรกที่จะทำตามความเรียกร้องทางชีววิทยา ไม่เหมือนสัตว์ตัวผู้ชนิดอื่นที่ต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิง อนาคอนด้าตัวเมียจะตอบรับตัวผู้ทุกตัวที่เดินทางมาหาเพื่อผสมพันธุ์กันเป็นกลุ่ม ขนาดของกลุ่มขึ้นอยู่กับจำนวนตัวผู้ที่เดินทางมารวมกัน การผสมพันธุ์ขนาดใหญ่อาจประกอบด้วยขดงูถึงครึ่งตัน ตัวผู้ถึง 12 ตัวจากที่ต่างๆ รวมกันอยู่กับตัวเมียเพียงตัวเดียว บางครั้งกลุ่มการผสมพันธุ์อาจกินเวลานานถึง 6 สัปดาห์

ความเร้นลับอีกเรื่องหนึ่งก็คือการใช้เดือยแหลมของอนาคอนด้าระหว่างการผสมพันธุ์ เดือยนี้เป็นร่องรอยทางธรรมชาติที่มีมาหลายล้านปี เมื่อสมัยที่งูยังมีขา ตัวผู้ดูเหมือนจะใช้เดือยนี้เพื่อปลุกอารมณ์ตัวเมียในยามที่มันผสมพันธุ์ แต่หน้าที่หลักของเดือยนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด ครั้นเมื่อตัวผู้จัดการยักย้ายตัวเมียให้อยู่ในตำแหน่งมันก็จะทำการผสมพันธุ์ซึ่งอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง ตัวผู้จะพยายามปล่อยจุกสเปิร์มโดยหล่นลงสู่น้ำเบื้องล่าง ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากโปรตีนช่วยในการเก็บสเปิร์มในตัวของมัน บางทีก็ช่วยกีดขวางตัวผู้ตัวอื่นให้ห่างจากการผสมพันธุ์ที่เพิ่งจะสำเร็จกับตัวเมีย อนาคอนด้ากลั้นลมหายใจได้นานถึง 10 นาที การรวมกลุ่มผสมพันธุ์อาจดูคล้ายการบิดกายเหมือนงูชนิดอื่น และพุ่งขึ้นผิวน้ำเพื่อสูดอากาศ การรวมกลุ่มผสมพันธุ์นี้เป็นภาพที่น่าสยดสยอง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเรื่องราวที่กล่าวขานถึงพลังที่เหนือธรรมชาติของอนาคอนด้า หลายชั่วโมงผ่านไปกลุ่มงูขนาดมหึมาที่บิดเป็นเกลียวก็เริ่มคลายตัวออก แล้วตัวเมียก็เคลื่อนตัวหนีจากไป

หลังจากนั้น 6 - 9 เดือน อนาคอนด้าก็ให้กำเนิดลูกของมัน ซึ่งโดยเฉลี่ยจะออกลูกครั้งละประมาณ 10 - 40 ตัว ในขณะที่มันเข้าสู่โลกกว้าง อนาคอนด้าที่ยังโตไม่เต็มที่ต้องใช้ชีวิตโดยลำพัง โดยสัญชาติญาณพวกลูกงูมักหาที่ปลอดภัยตามแหล่งน้ำ แต่ก่อนที่จะไปถึงบางส่วนมันก็กลายเป็นอาหารของจระเข้เคย์แมนหรือสัตว์นักล่าอื่นๆ การป้องกันตัวของลูกงูอนาคอนด้าทำได้เพียงการหลบซ่อน ไม่เพียงแต่จระเข้เคย์แมน พวกแมวป่าก็เป็นศัตรูตัวสำคัญที่มองว่าลูกงูอนาคอนด้าเป็นเหยื่ออันโอชะ โดยปกติแมวป่าจะไม่เข้าใกล้อนาคอนด้าที่โตเต็มวัย แม้ว่าลูกงูอนาคอนด้าที่เคลื่อนที่มาอย่างเชื่องช้ามาที่แม่น้ำได้ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่ามันจะปลอดภัย ปิรันย่าท้องแดงสัตว์ประจำลุ่มน้ำอเมซอนสามารถจับทุกระดับเสียงและกลิ่นในแม่น้ำได้ ปลาปิรันย่าที่หิวโหยสามารถทึ้งเหยื่อเป็นชิ้นๆ จนถึงกระดูกได้เพียงไม่กี่วินาที ความอยู่รอดขึ้นอยู่กับความสมดุล ความสมดุลในสิ่งแวดล้อมในถิ่นที่อยู่อาศัย กับความสมดุลของจำนวนสัตว์ อนาคอนด้าเกิดใหม่จะมีจำนวนรอดน้อยมากที่จะเติบโตต่อไป นี่คือวัฏจักรของชีวิต เพื่อให้สิ่งหนึ่งอยู่รอดอีกหลายตัวก็ต้องตาย

อนาคอนด้าเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตในแม่น้ำ และแม่น้ำทุกเส้นคือเส้นเลือดแดงของอเมซอน คนในแถบนั้นต้องระวังที่จะไม่ละเมิดข้อห้ามใดๆ ที่จะทำให้เทพคุ้มครองขุ่นเคือง ในหมู่บ้านบอร่าของชาวอินเดียนแดงที่อยู่ในลุ่มน้ำอเมซอนในเปรู บางครั้งอนาคอนด้าจะว่ายมาที่ลำธารเล็กๆ เพื่อหาเหยื่อ งูอนาคอนด้าที่โตเต็มที่สามารถเขมือบเด็กได้ และในป่าแห่งนี้ก็มีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับอนาคอนด้าที่กินเด็ก แต่งูตัวที่ใหญ่จริงๆ ตามเรื่องที่เล่าต่อกันมานั้นหาได้ยาก คนส่วนมากมักพบแต่อนาคอนด้าที่ยังเล็กอยู่ ซึ่งมีความยาวระหว่าง 10 - 15 ฟุต อนาคอนด้ากลายเป็นสิ่งปกติที่สามารถพบเห็นได้ที่นี่ แต่เมื่อใดก็ตามที่งูขนาดใหญ่ยักษ์ปรากฏตัว ความตื่นตระหนกจะบังเกิดพร้อมกับความวิตก อนาคอนด้าขนาดใหญ่ถูกพบเห็นที่ธารน้ำแห่งหนึ่งในใจกลางหมู่บ้าน ผู้อาวุโสของหมู่บ้านได้บอกกล่าวกับบิลลามอร์ นักสัตววิทยาทางสัตว์เลื้อยคลาน ผู้ที่ทำงานในเขตนี้มาหลายสัปดาห์ เขาต้องการให้บิลนำงูออกไปก่อนที่มันจะถูกชาวบ้านฆ่าตาย อีกทั้งยังกลัวว่ามันจะเป็นอันตรายกับสัตว์ที่เลี้ยงไว้หรือคนในหมู่บ้าน

บิลเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวบ้านบอร่า เขาทำงานด้านสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในป่าดงดิบ เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง บิลเข้าป่าเพื่อศึกษาชีวิตสัตว์ในดินแดนไกลโพ้นรวมถึงที่นี่ ผู้ส่งข่าวของชาวบ้านบอกว่างูมีขนาดใหญ่มากอาจจะยาวถึง 25 -30 ฟุต ซึ่งประสบการณ์ของบิลบอกว่าความตื่นเต้นนั้นอาจทำให้เกิดคำพูดที่เกินจริง ผู้อาวุโสของหมู่บ้านมีความเป็นห่วงว่างูยักษ์นั้นจะรุกล้ำเข้ามาในหมู่บ้าน เขากลัวว่ามันจะกินไก่หรือหมูที่เลี้ยงเอาไว้และที่แย่ไปกว่านั้นมันอาจทำร้ายเด็กๆ ด้วยความเกรงกลัวงู เขาต้องการให้บิลจับมันออกไปก่อนที่จะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น เมื่อบิลมาถึงเขาจับเจ้างูนั้นได้โดยง่าย น่าประหลาดที่อนาคอนด้าไม่ได้ขัดขืนมากนัก บิลคนเดียวคงไม่สามารถสู้กับงูยักษ์ที่ดุดันได้ เพราะถ้ามันตักสินใจที่จะรัดเขา เขาก็ไม่มีแรงที่จะป้องกันตัวเอง แต่งูกลับดินรนเพียงเล็กน้อย ในตอนแรกบิลคิดว่ามันคงจะป่วยหรืออาจได้รับบาดเจ็บ อนาคอนด้าตัวนี้ยาวกว่า 16 ฟุตและมีน้ำหนักถึง 180 ปอนด์ สาเหตุที่งูตัวนี้ดูใหญ่มากก็เพราะว่ามันเป็นตัวเมียที่ท้องแก่และตัวเมียก็มักจะมีลำตัวกว้างกว่าตัวผู้ที่มีความยาวใกล้เคียงกัน มันอาจจะกำลังมองหาที่ๆ ปลอดภัยเพื่อให้กำเนิดลูกน้อยของมัน บิลรู้ดีว่าไม่ใช่ชาวบ้านทั้งหมดที่จะเชื่อว่าอนาคอนด้ามีพลังเหนือธรรมชาติ แต่ถ้ามีงูมาคลอดลูกอยู่ใกล้ๆ พวกเขาก็อาจจะฆ่ามัน ดังนั้นบิลจึงคิดว่าจะปล่อยมันที่หนองน้ำที่ต้นน้ำ ที่ๆ มันและลูกน้อยจะได้มีโอกาสใช้ชีวิต

อนาคอนด้าทั่วไปมักถูกเรียกว่าอนาคอนด้าเขียว มักอาศัยอยู่ในเขตร้อนของอเมริกาใต้ตะวันออก และตอนใต้ของเทือกเขาแอนดีส รวมทั้งบนเกาะแคริบเบียนของรัฐตรินิแดด พันธุ์อิ่นที่เล็กกว่าจะเรียกว่าอนาคอนด้าลายจุด จะอยู่ในรัฐเฟรนซ์กิอาน่าซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ใกล้กับบราซิล และอนาคอนด้าเหลืองจะกระจายอยู่มากที่ปารากวัย ใจกลางบราซิลและบางพื้นที่ของโบลิเวียกับอาร์เจนติน่า ด้วยขนาดที่เท่ากับรัฐฟลอริด้า เมืองเพนทานอลของประเทศบราซิลนับว่าเป็นเขตที่ฝนตกชุกที่สุดในโลก ในช่วงนี้มันกำลังเข้าสู่ฤดูแล้งและนกกระยาง นกกระสาได้กลับเข้ามาทำรังตามปกติ แหล่งน้ำตื้นของเมืองเพนทานอลทำให้ฝูงนกกระยางและนกกระสาขนาดใหญ่ ออกมาหาอาหารในแหล่งที่มีปลาชุกชุม นี่คือเวลาล่าของอนาคอนด้าเหลือง เป้าหมายคือลูกนกกระสาที่กำลังจิกไซร้หาปลาอยู่ริมแม่น้ำ อนาคอนด้าพุ่งเข้าไปใช้ลำตัวพันรอบร่างเหยื่อ ทำให้ตายภายในเวลาไม่ถึงนาที มันจะเขมือบหัวของนกกระสาก่อน จากนั้นจึงเป็นลำตัว มันสามารถปลดขากรรไกรออกได้ 180 องศาและสามารถกลืนเม่นลงไปพร้อมขน อีกทั้งกวางตัวเล็กพร้อมเขาโดยท่กระเพาะของมันไม่ได้รับอันตรายเลย อนาคอนด้าใช้เวลา 8 ชั่วโมงในการเขมือบนกกระสา ประมาณ 2 สัปดาห์น้ำย่อยอันทรงพลังในกระเพาะจะละลายทุกสิ่งจนหมดสิ้น ทั้งขนนก กระดูกและจงอยปาก

กาลเวลาเปลี่ยนไป โลกปัจจุบันได้รุกล้ำเข้าไปในวิถีชีวิตของชาวบอร่า พวกเขากำลังปรับตัวเข้าสู่ชีวิตใหม่ พวกชาวบ้านที่เป็นชนพื้นเมืองของอเมซอนได้ตามล่างูเพื่อสนองความต้องการด้วยวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย ทั้งการนำงูไปใช้ในพิธีกรรมและการใช้เป็นยารักษาโรค พวกคนเก่าแก่ของชนเผ่าบอร่าก็ยังมั่นคงต่อประเพณี แต่ในขณะเดียวกันโลกของพวกเขาก็ถูกท้าทายด้วยแนวคิดใหม่ๆ  บางคนเห็นว่าโลกในยุคนี้เป็นเรื่องของอุปสงค์และอุปทาน ชนเผ่าพื้นเมืองได้เรียนรู้คุณค่าของเงินและเรียนรู้ที่จะตอบสนองความต้องการของสังคมภายนอกพื่อแลกเปลี่ยนมาเป็นเงิน ผู้ที่ตั้งรกรากอยู่ตามชายแดนของชาติที่เจริญแล้ว อนาคอนด้ากลายเป็นสินค้าที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขาจะล่าเพื่อเอาหนังของมัน หัว ถุงน้ำดี หรือว่าไขมันของอนาคอนด้าที่กลายมาเป็นยาที่มีผู้นิยม ด้วยเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงจากหมู่บ้านบอร่า

ที่ตั้งของหมู่บ้านชายแดนเมืองอิควิโตสประเทศเปรู วีดีโอที่แอบถ่ายมาจากตลาดตามถนนแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของอเมซอน ของถูกและผิดกฎหมายถูกนำมาวางเร่ขายตามแผงลอย บางที่ในตลาดได้ถูกจัดเป็นแผงลอยขายยาสำหรับชาวบ้าน ไขมันของอนาคอนด้าหรือที่เรียกว่าเมนทิคา เดอ โบ (Mentica De Boa) ถูกนำมาใช้เป็นยารักษาไขข้ออักเสบ ข้อต่ออักเสบและความเจ็บป่วยอื่นๆ  หนังของอนาคอนด้าจะถูกขายเป็นของหายากหรือเป็นของประดับตกแต่ง และส่วนหัวของอนาคอนด้านั้นถูกขายด้วยเหตุผลอันลี้ลับหลายประการ เช่นเพื่อสุขภาพที่ดีหรือเพื่อความรัก อนาคอนด้าเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่เหลือน้อยเต็มทีบนโลก มันมีบทบาทสำคัญหลากหลายในระบบนิเวศน์ และเป็นนักล่าผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่ส่วนบนของห่วงโซ่อาหารในธรรมชาติของป่าอเมซอน

แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  http://megatopic.blogspot.com

อินดี้

การพบเห็นมนุษย์ต่างดาวในประวัติศาสตร์

มีรายงานเรื่องการพบเห็น UFO มาจากทั่วทุกมุมโลก  หลายคนเชื่อว่าการเผชิญหน้ากับเอเลี่ยนคือปรากฏการณ์ในยุคปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงมีการรายงานเรื่องดังกล่าวมาหลายพันปีแล้ว ในทุกยุคอารยธรรมของมนุษย์มีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกทั้งนั้น ผู้คนจำนวนนับล้านทั่วโลกเชื่อว่าเคยมีชนต่างดาวมาเยี่ยมเยียนเรา ถ้าเป็นเรื่องจริงเอเลี่ยนโบราณได้มีส่วนในประวัติศาสตร์ของเราหรือไม่และถ้าเป็นเช่นนั้นเขามาจากไหนและใครคือผู้มาเยือน

Roswell, New Mexico เมืองเงียบเหงาแห่งนี้อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองหนึ่งที่รู้จักกันดีถึงฐานทัพอากาศยานขนาดใหญ่แต่มันได้เปลี่ยนไปในปี 1947 เมื่อคนเลี้ยงวัวได้รายงานว่ามียานอวกาศมาตกในเขตที่ดินของเขา หลายวันต่อมากองทัพอากาศออกมาให้ข่าวกับสื่อยืนยันว่าเป็นยานอวกาศจากต่างดาว และในวันรุ่งขึ้นกองทัพก็เปลี่ยนเรื่องแล้วบอกว่าสิ่งที่พบเป็นเพียงแค่บอลลูนตรวจสภาพอากาศ  รายงานที่มีความขัดแย้งกันส่งต่อเนื่องไปทั่วโลก การเดาว่าทำไมจึงมีการปกปิดเรื่องยานอวกาศตกที่ Roswell คือการเปิดเผยข้อมูลนี้อาจทำให้เกิดการระส่ำระสายไปทั่วโลก  ในปัจจุบันการสำรวจความคิดเห็นของสาธารณชนชี้ว่าประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวเคยมาที่นี่ และอะไรทำให้คนจำนวนมากเชื่อในเรื่องนี้ เมื่อมีมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก มุมมองที่มีต่อจักรวาลจึงได้เปลี่ยนไปตลอดกาล เหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ทำให้เกิดคำถาม หากว่ามนุษย์สามารถไปสำรวจโลกอื่นได้ แล้วทำไมสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นในห้วงจักรวาลจะทำแบบเดียวกันไม่ได้ พวกเขาอาจเคยมาเยือนโลกมานานแล้วหรือบางทีมนุษย์ต่างดาวอาจจะเคยอยู่ในโลกนี้มาแล้วก็ได้ ที่เปรูเมื่อ 2,000 ปีก่อน มีสถานที่หนึ่งที่เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของชนเผ่านาสคาแต่ในช่วงคริสตศักราชที่ 500 ชนเผ่านาสคาได้หายสาบสูญไป ในปี 1910 นักมนุษยวิทยามาที่นี่เพื่อศึกษาอารยธรรมของชนเผ่านาสคา  ระหว่างการขุดค้นเขาได้พบสิ่งที่น่าตกตะลึงอย่างหนึ่งเท่าที่เขาเคยเห็นมานั่นคือ หัวกระโหลกที่ดูเรียวยาวอย่างมาก มันมาจากไหนและทำไมถึงมาอยู่ที่นี่และมันคือหัวมนุษย์หรือไม่  แต่มีผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่ามันเป็นหัวกระโหลกที่ถูกทำให้ผิดรูป ได้มีการรายงานว่าชาวพื้นเมืองในคองโกที่มีชื่อว่าเผ่ามังเดตูได้ประกอบพิธีกรรมรัดหัวกระโหลก  เพื่อดัดแปลงแก้ไขรูปทรงหัวกระโหลกมนุษย์ พวกเขาจะทำการรัดกระโหลกเด็กอ่อนเอาไว้ให้เกิดแรงกดจนกระโหลกยื่นยาวออกมาและอาจยาวได้ถึง 2 เท่า



รูปลักษณะกระโหลกที่เรียวยาวสืบสานเรื่องราวไปที่ยุคอียิปต์โบราณนั่นคือ ฟาโรห์ ที่มีข้อถกเถียงกันมากที่สุดพระองค์หนึ่ง พระองค์คือหนึ่งในคนที่ต้องการเลียนแบบชาวต่างดาวหรือไม่ หรือว่ามีคำอธิบายอันน่าสะพรึงกลัวกว่านี้ พระองค์คือหนึ่งในพวกนั้นหรือไม่ นานมากก่อนที่ชาวอียิปต์จะสร้างพีรามิดหรือตั้งถิ่นฐานติดแม่น้ำไนล์ ตามตำนานเมื่อเทพเจ้าแห่งฟากฟ้าเดินทางลงมาสู่โลกด้วยเรือที่บินได้  โดยเปลี่ยนให้โคลนและน้ำกลายเป็นอาณาจักร  บางสิ่งที่เราเห็นในทุกอารยธรรมโบราณทั่วทั้งโลกนั้นมีอยู่ว่า พวกเขามีความรู้อย่างไม่น่าเชื่อในเรื่องดวงดาว ดาวเคราะห์ และสิ่งที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า และพบว่าผู้คนโดยเฉลี่ยในสมัยนั้นมีความรู้เรื่องพวกนี้มากกว่าคนในสมัยปัจจุบันเสียอีก  ขณะที่อารยธรรมอียิปต์โบราณเจริญมากขึ้น ผู้คนต่างเชื่อว่าฟาโรห์คือบุตรชายของโอเซริสหรือเทพเจ้า  งานศิลปะและภาพแกะสลักบนผนังพรรณาถึงมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ขณะที่ผู้คนบวงสรวงเทพเจ้าหลายองค์ แต่ฟาโรห์คือองค์ที่อยู่เหนือทั้งหมด ความเชื่อทางศาสนาของชาวอียิปต์มีอยู่นานเกือบพันปีจนกระทั่งฟาโรห์พระองค์หนึ่งเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ใครคือคนนอกรีตผู้นี้  พระองค์คือฟาโรห์แอเคนาเทน (Akhenaten) และในภาพสลักที่เหลืออยู่พระองค์มีรูปเศียรที่เรียวยาว พระองค์เป็นใครกัน ตามความเชื่อของชาวอียิปต์พระองค์สืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าที่เสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ทำไมหลายคนจึงเชื่อว่าพระองค์เสด็จลงมาจากดวงดาวจริงๆ ในปี 1352 ก่อนคริสกาล แอเคนาเทนเสวยราชสมบัติเป็นฟาโรห์ เกือบจะในทันที พระองค์ได้ทรงทำการเปลี่ยนแปลงความเชื่ออย่างถอนรากถอนโคน รวมถึงยกเลิกการบวงสรวงเทพเจ้าหลายองค์ พระองค์มีคำสั่งให้ย้ายรูปปั้นเทพเจ้าทั้งหลายออกไป ทรงอนุญาตเพียงอย่างเดียวก็คือสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ที่เป็นรูปทรงกลมพร้อมกับรังสีที่สาดส่อง



ในช่วงปีที่ 4 ของพระองค์ แอเคนาเทนสั่งให้มีการก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ให้ชื่อว่าอามาน่า และอุทิศให้กับพระอาทิตย์  แอเคนาเทนใช้เวลาต่อมาอีกสิบปีที่นี่ และในระหว่างนั้นพระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงทั้งงานศิลปะและวัฒนธรรม แล้วรวมถึงการบอกเล่าถึงตัวตนสู่สาธารณะ  จากหลักฐานภาพตามผนัง ฟาโรห์ในสมัยก่อนจะรูปร่างที่สวยงามมีไหล่กว้างและเอวคอดเล็ก แต่แอเคนาเทนต่างจากคนอื่น พระองค์ต้องการแสดงตัวตนที่แท้จริง มีรูปร่างที่แปลกออกไป มีหน้าตาที่แปลกประหลาด หากดูจากรูปปั้นของแอเคนาเทนก็จะเห็นว่ามีรูปลักษณะแปลกๆ มีลักษณะผสมของผู้หญิงและผู้ชาย มีหัวกระโหลกที่เรียวยาวมากๆ  การเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์ราชวงศ์แสดงให้เห็นว่า พระองค์มีรูปร่างมีรูปร่างแบบนั้น ทั้งพุงโตและอกยุบ ซึ่งขัดต่อลักษณะทางอุดมคติ ตามแบบแผนที่จิตรกรชาวอียิปต์จะแสดงถึงฟาโรห์ที่แข็งแรง มเหสีของแอเคนาเทนคือพระนางเนเฟอร์ติติ (Nefertiti) พระธิดาและพระโอรสก็มีศรีษระยาวเรียวเช่นกัน  ทำไมเศียรของแอเคนาเทนจึงผิดรูป มันผิดรูปเองโดยพันธุกรรมหรือตั้งใจ  แอเคนาเทนปกครองอยู่ยาวนานถึง 17 ปี หลังรัชสมัยของพระองค์ เมืองอามาน่ากลายเป็นเมืองร้าง วิหารแห่งดวงอาทิตย์ถูกทำลาย รูปสลักแอเคนาเทนถูกทำให้เสียหาย อียิปต์โบราณกลับคืนมาสู่หนทางเดิมของมันเอง กลับมาบวงสรวงเทพเจ้าหลายองค์  นี่คือการปฏิเสธความเชื่อของแอเคนาเทนหรือไม่ หรือเป็นการปกปิดตัวตนเอเลี่ยนของพระองค์เอง

ปี 1907 มีการพบร่างของแอเคนาเทนบนหุบเขาในอียิปต์โดยนักโบราณคดีชาวอังกฤษชื่อเอ็ดเวิร์ด อาร์ตัน และพบว่ากระโหลกของฟาโรห์องค์นี้ยาวเรียวผิดส่วน แอเคนาเทนประสบความสำเร็จในรุ่นลูก ตุตันคาเมนที่กลายมาเป็นฟาโรห์ชื่อดังตลอดกาล และมีการค้นพบหลุมฝังพระศพและพบว่าตุตันคาเมนมีกระโหลกยาวเรียวเช่นกัน พระองค์ก็มีเชื้อสายต่างดาวเหมือนกับพระบิดาจริงหรือไม่ แอเคนาเทนเปลี่ยนความเชื่อในอียิปต์เพราะพระองค์สืบเชื้อสายมาจากต่างดาวจริงหรือ ถ้าเป็นความจริงมีหลักฐานคล้ายๆกันบนโลกนี้อีกหรือไม่ บางทีเบาะแสที่ว่านี้อาจพบได้ห่างออกไปหลายพันไมล์อีกด้านหนึ่งของทวีปแอฟริกา  ประเทศมาลีอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแอฟริกา ลึกเข้าไปในหุบเขาห่างไกล มีชนเผ่าโดกอนซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าเร่ร่อนซึ่งมาตั้งรกรากที่นี่เมื่อคริสศักราชที่ 1000 ตำนานของชนเผ่าโดกอนกล่าวว่าเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าคืออัมม่า อัมม่าได้สร้างนอโม่ขึ้นมา ต่อมานอโม่ได้แตกออกเป็นหลายส่วน และหนึ่งในนั้นได้ทรยศต่ออัมม่า และอัมม่าก็ตอบโต้ด้วยการทำลายทำให้เถ้าถ่านกระจัดกระจายไปทั่วโลก บางเรื่องเล่าของเผ่าโดกอนเทพเจ้าให้ความรู้กับพวกเขา  ลงมาจากฟากฟ้าด้วยเรือเหาะที่มีไฟลุกและลงจอดในพายุ จนถึงทุกวันนี้ชนเผ่าโดกอนก็ยังฉลองเทศกาลเพื่อสรรเสิญถึงการมาเยือนในอดีต บางคนเห็นถึงความคล้ายคลึงอันน่าประหลาดระหว่างตำนานของชาวโดกอนและเรื่องราวลึกลับของฟาโรห์แอเคนาเทน

แอเคนาเทนเชื่อว่าพระองค์สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากอาเทนเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์  ส่วนนอโม่กล่าวกันว่าสร้างขึ้นมาจากอัมมาเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า เป็นเหตุบังเอิญหรือไม่ที่ทั้งสองวัฒนธรรมที่อยู่ห่างไกลกันหลายพันไมล์  กลับมีเรื่องเล่าของสิ่งที่ลงมาจากท้องฟ้าเหมือนๆกัน ทั้งนอโม่และแอเคนาเทนต่างก็ได้รับการพรรณนาว่ามีศรีษระเรียวยาว เป็นไปได้หรือไม่ว่าตำนานของทั้งสองมีพื้นฐานมาจากเหตุการณ์เดียวกัน  ชนเผ่าโดกอนมีความเชื่อกันว่าอัมม่าเทพเจ้าของพวกเขามาจากกลุ่มดาวนายพราน  บริเวณเดียวกันกับที่ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าเทพเจ้าโอเซริสถือกำเนิดขึ้น  นักวิทยาศาสตร์และนักมนุษยวิทยากล่าวว่าชนเผ่าโดกอนอาจเรียนรู้มาจากชาวตะวันตก อาจเคยได้ฟังมาแล้วจับมาเป็นตำนานของตน แต่ถ้ามันเป็นตำนานของพวกเขาจริงๆ รวมกับข้อมูลของนักดาราศาสตร์ นั่นหมายความว่าโลกเคยมีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนแล้วในยุคก่อนประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำไป

แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  http://megatopic.blogspot.com

อินดี้

โจน ออฟ อาร์ค วีรสตรีที่โลกไม่เคยลืม



ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1328 ราชวงศ์กาเปเซียงที่ครองฝรั่งเศสมานานมีอันต้องจบสิ้นลง เมื่อพระโอรสทั้งสามของกษัตริย์ฟิลลิปส์ เลอ เบล ด่วนสิ้นพระชนม์ไปจนหมดตั้งแต่เยาว์วัย เหล่าขุนนางจึงพร้อมใจกันอัญเชิญฟิลิป ดยุคแห่งวาลัวร์ขึ้นครองบัลลังก์แทน เป็นเหตุให้เกิดเรื่องยุ่งขึ้น เพราะในรอบสิบปีที่ผ่านมา มีเจ้านายอังกฤษกับเจ้านายฝรั่งเศสหลายพระองค์ถูกจับคู่ให้อภิเษกกัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ อังกฤษจกับฝรั่งเศสจึงมักถือโอกาสอ้างว่าตนมีสิทธิในราชบัลลังก์ของอีกฝ่ายอยู่เสมอ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ของอังกฤษทรงอ้างว่าพระองค์เป็นหลานของกษัตริย์ฟิลิป เลอ เบล เป็นสายเลือดใกล้ชิดกว่าดยุคแห้งวาลัวร์ บัลลังก์ของฝรั่งเศสจึงควรเป็นของพระองค์มากกว่า แต่มีหรือที่ขุนนางของฝรั่งเศสจะยอมให้อังกฤษมาฮุบเอาแผ่นดินไปง่ายๆ สงครามการชิงบัลลังก์จึงเริ่มขึ้น และดำเนินไปอย่างยาวนานถึงร้อยปีกว่าที่ฝรั่งเศสจะปราชัยในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 จนต้องยอมตกลงในสนธิสัญญา Pacte de Calais ที่กำหนดให้พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 แห่งอังกฤษอภิเษกกับเจ้าหญิงคาเธอรีน เดอ ฟรองซ์ของฝรั่งเศส และเมื่อทั้งสองมีทายาท บัลลังก์ฝรั่งเศสก็จะต้องตกเป็นของทายาทผู้นี้เพียงผู้เดียว ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานเลย หลังอภิเษกไม่กี่ปีเจ้าหญิงคาเธอรีนก็ตั้งท้องและมีพระประสูติกาลพระโอรส เจ้าชายเฮนรี่ที่ 6 ออกมา จึงเป็นอันแน่นอนว่าบัลลังก์ฝรั่งเศสจะต้องตกเป็นของเจ้าชายเชื้อสายอังกฤษคนนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 เองก็ทรงมีพระโอรสเช่นกัน เมื่อทรงสิ้นพระชนม์ลงในปี 1442 ขุนนางฝรั่งเศสเลยทำโมเมแกล้งลืมสัญญากันดื้อๆ และเตรียมการจะยกเจ้าชายชาร์ลส์ พระโอรสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป เล่นเอาอังกฤษเดือดผาง สงครามการชิงบัลลังก์ครั้งประวัติศาสตร์จึงเริ่มต้นขึ้นและเป็นจุดเริ่มแห่งการเดินทางของวีรสตรีที่ชื่อโจน ออฟ อาร์ค

ฌานน์ ดาร์ค (ที่ถูกคือ Jehanne Darc เป็นคำสะกดที่มาเปลี่ยนแปลงกันในยุคหลัง) หรือโจน ออฟ อาร์ค ในภาษาอังกฤษ เกิดเมื่อวันที่ 6 มกรคม 1421 ที่หมู่บ้านดองเรมี่ ในแคว้นลอร์เรน ประเทศฝรั่งเศส ชีวิตของเธออาภัพตั้งแต่ต้นจนจบฆ เนื่องจากแจ็ค ดาร์ค พ่อของโจนต้องการลูกชายเอาไว้ช่วยทำนา พอได้ลูกสาวเขาจึงหัวฟัดหัวเหวี่ยงเกลียดน้ำหน้าโจนตั้งแต่แรกเห็น ทำให้โจนต้องเตอบโตขึ้นมาอย่างลูกชัง ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ขวางหูขวางตาแจ็คไปเสียหมด อาจจะด้วยเหตุนี้เธอจึงกลายเป็นเด็กเงียบๆ ชอบเก็บตัวสวดมนต์อยู่ในโบสถ์ ผิดประหลาดไปจากเด็กวัยเดียวกัน

ความศรัทธาอันแรงกล้าต่อพระเจ้าของโจนให้ผลตอบแทนเมื่อเธอมีอายุได้ 13 ปี เธอเริ่มได้ยินเสียงทูตสวรรค์ถ่ายทอดพระดำรัสของพระเจ้ามาสู่เธอ พอถึงฤดูร้อนปี 1425 โจนอ้างว่าเธอได้ยินเสียงนักบุญทั้งสี่ อันได้แก่ เซนต์กาเบรียล เซนต์ไมเคิล เซนต์มาเกอริต และเซนต์แคเธอรีน บอกให้เธอช่วยเจ้าชายชาร์ลส์กอบกู้ฝรั่งเศสจากกรงเล็บของอังกฤษ ตามความประสงค์ของพระเจ้า

โจนลังเลอยู่นานถึง 14 ปี กว่าจะตัดสินใจออกเดินทางไปตามพระบัญชา โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่คฤหาสน์ของเคานท์บาว์ดริคอร์ท ขุนนางผู้ทรงอิทธิพลเพื่อขอให้ท่านเคานท์พาเธอไปหาเจ้าชายชาร์ลส์ ซึ่งท่านเคานท์ก็ดีใจหาย ยอมมอบเสื้อผ้าผู้ชาย ม้า และผู้ติดตามให้ 6 คน พาโจนเดินทางไปหาเจ้าชาย ซึ่งประทับอยู่ที่ประสาทจีนองในแคว้นลอร์เรน ขณะนั้นเมืองรอบๆ ลอร์เรนอยู่ในความครอบครองของขุนนางฝรั่งเศสที่สวามิภักดิ์ต่ออังกฤษหมดแล้ว การเดินทางของโจนก็ไม่ต่างอะไรกับการบุกเข้าถ้ำเสือดีๆ นี่เอง เธอต้องปลอมตัวเป็นชายเดินทางลัดเลาะไปในถิ่นของศัตรูไกลถึง 600 กิโลเมตร ใช้เวลาถึง 11 วันกว่าจะบากบั่นไปถึงประสาทจีนองได้สำเร็จ

ก่อนที่โจนจะเข้าเมือง ผู้ติดตามที่เคานท์ บาว์ดริคอร์ทมอบหมายมา ได้ถือจดหมายขียนโดยลายมือของท่านเคานท์เอง เข้าไปถวายเจ้าชายให้รู้ตัวล่วงหน้าแล้ว แต่เจ้าชายไม่ทรงเชื่อว่าผู้หญิงบ้านนอกคนหนึ่งจะได้ยินเสียงของพระเจ้าจริงๆ พระองค์จึงเตรียมบททดสอบไว้ต้อนรับโจนตั้งแต่นาทีแรกที่ย่างกรายเข้าสู่จีนอง ด้วยการให้คนสนิทแต่งตัวเป็นพระองค์ ส่วนตัวเจ้าชายเองกลับทรงฉลองพระองค์ในชุดข้าราชบริพารยืนปะปนอยู่ในหมู่มหาดเล็ก

แต่แล้วเหตุมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ทันทีที่โจนเหลือบเห็นเจ้าชายชาร์ลส์ เธอก็ตรงเข้ามาถวายบังคมโดยไม่เหลือบแลเจ้าชายกำมะลอเลย ความอัศจรรย์นี้เองที่ทำให้เจ้าชายหนุ่มยอมให้เธอเข้าเฝ้าในห้องเพียงลำพัง หลังจากคุยกันได้ไม่นานเจ้าชายก็เสด็จออกมาด้วยพระพักตร์ที่แช่มชื่น และประกาศให้ข้าราชบริพารทุกคนต้อนรับ "นางผู้นำสาส์น" ของพระเจ้าเป็นอย่างดี

โจนในฐานะใหม่กลายเป็นหัวหอกคนสำคัญในการต่อกรกับอังกฤษ เธอขี่ม้าศึกสีขาวปลอด สวมชุดเกราะ ติดกระบี่ที่ได้มาจากพระวิหาร มือข้างหนึ่งถือธงสีขาว มีสัญลักษณ์แห่งสวรรค์จารึกคำสรรเสริญพระเจ้าว่า "เยซู มารีอา" นำทัพฝรั่งเศสเข้าต่อสู้กับทหารอังกฤษอย่างห้าวหาญ ทัพของเธอบุกไปขับไล่ทหารอังกฤษออกจากเมืองออร์ลีน และสามารถปล่อยออร์ลีนเป็นอิสระได้ในอีก 7 เดือนให้หลัง ส่งผลให้ฝรั่งเศสกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ เจ้าชายชาร์ลส์จึงไม่ต้องยอมให้อังกฤษกดหัวอีกต่อไป ทรงประกาศว่าพระองค์พร้อมแล้วที่จะทำพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ ตามสิทธิอันพึงมีโดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งสิ้น

ทว่าก่อนที่พิธีสถาปนาจะเริ่มขึ้น โจนก็ได้ยินสุรเสียงจากเบื้องบนกระซิบบอกว่า พิธีราชาภิเษกของเจ้าชายชาร์ลส์จะต้องจักขึ้นที่เมืองแรงส์เท่านั้น เนื่องจากพระเจ้าคลอวิสที่ 1 ซึ่งเป็นต้นตระกูลของราชวงศ์ฝรั่งเศสได้รับศีลล้างบาปที่เมืองแรงส์นี้ และกษัตริย์ของฝรั่งเศสก็ประกอบพิธีราชาภิเษกที่นี่กันทุกพระองค์ คำบอกเล่าของโจนได้รับการตอบสนองจากเจ้าชายชาร์ลส์ทันที ถึงแม้ตลอดเส้นทางไปสู่เมืองแรงส์ ขบวนของพระองค์จะต้องปะทะกับกองทัพอังกฤษไปตลอดทางก็ตาม สุดท้ายเจ้าชายชาร์ลส์ก็ทรงขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศสในวันที่ 17 กรกฎาคม 1429

เมื่อชาร์ลส์ได้สิ่งที่ปรารถนาอย่างที่สุดแล้ว ก็ไม่ทรงคิดจะเหนื่อยยากทำสงครามขับไล่อังกฤษอย่างที่เคยตรัสไว้กับโจนอีก แต่กลับมีพระดำริจะประนีประนอมกับอังกฤแทน ชาร์ลส์เชิญดยุคแห่งเบอร์กันดี ข้ารับใช้ของอังกฤษมาเจรจาถึงในวัง โดยไม่สนใจคำแนะนำของโจนที่บอกให้เดินทัพต่อไปยังปารีส เพื่อกวาดล้างอำนาจของอังกฤษให้สิ้นซาก ดยุคแห่งเบอร์กันดีจึงถือโอกาสนี้เกลี้ยกล่อมให้กษัตริย์องค์ใหม่ตีตัวออกห่างจากโจน ซึ่งนับวันก็จะยิ่งเด่นดังเป็นที่รักของประชาชนมากกว่ากษัตริย์ตัวจริงไปแล้ว



ปรากฏว่าชาร์ลส์ทรงเป็นคนที่ยุขึ้น พระองค์และกลุ่มขุนนางจึงทำเฉไฉไม่ยอมออกรบร่วมกับโจนจนเธอต้องกรีธาทัพไปบุกปารีสเพียงลำพัง แต่มีหรือที่ทัพเล็กๆ ของเธอจะต่อกรกับกองทัพมหึมาของอังกฤษได้ โจนถูกจับและถูกขังไว้ในปราสาทเทรมุย แต่เธอก็อาศัยวามสามารถเหนือชั้นหลบหนีอกมาได้และรีบเดินทางไปสมทบกับกองทัพฝรั่งเศส ที่กำลังรบติดพันกับอังกฤษอยู่ที่กงปิแญ ทว่าขุนนางฝรั่งเศสกลับรวมหัวกันจับโจนส่งไปให้อังกฤษ เพื่อแลกกับเงินรางวัล 10,000 ฟรังก์

โจนถูกส่งไปอยู่ในความควบคุมของศาสนจักร และถูกจับขึ้นศาลไต่สวนความผิดหลายกระทง ข้อกล่าวหาสำคัญที่สุที่สาสนจักรใช้เล่นงานเธอคือการแอบอ้างตัวเป็นผู้นำสาสน์จากพระเจ้า ซึ่งศาสนจักรถือว่าเป็นการหักหน้ากันอย่างรุนแรง เพื่อสังเวยให้กับความเหิมเกริมนี้ บิชอป (ตำแหน่งทางสงฆ์เทียบเจ้าคณะจังหวัด) แชง ปิแอร์ โคชองและผู้นำกลุ่มสอบสวนจำนวน 60 คน จึงปรับปรำว่าโจนเป็นแม่มดที่มาหลอกลวงผู้คนเพื่อทำลายศาสนา ส่วนการที่โจนสามารถแยกพระเจ้าชาร์ลส์ออกจากกลุ่มผู้ติดตามได้ในทันทีที่เห็นนั้น ท่านบิชอปก็ฟันธงว่าผู้ติดตามของเคานท์บาว์ดริคอร์ท คงจะแอบบอกเธอไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่พระเจ้าทรงชี้นำเธออย่างที่ผู้คนเข้าใจ



โจนถูกลงโทษด้วยการเผาทั้งเป็น ซึ่งเป็นวิธีจัดการกับแม่มดในยุคนั้น ที่เมืองรูออง ในวันที่ 30 พฤษภาคม 1431 ร่างของเธอถูกเผาถึง 3 ครั้งด้วยกันเพื่อให้เหลือแต่เถ้าถ่านจริงๆ จากนั้นอัฐิก็ถูกนำไปโปรยในแม่น้ำแซน ตรงจุดที่เป็นที่ตั้งของสะพานฌาน ดาร์ก (Jeanne d'Arc) ในปัจจุบัน

อีก 25 ปีต่อมา ได้มีการพลิกคดีของโจนขึ้นมาวินิจฉัยใหม่ ศาลฝรั่งเศสยอมรับให้คำตัดสินที่รูอองเป็นโมฆะ โจนจึงพ้นมลทินจากการถูกตีตราว่าเป็นแม่มด อีกหลายร้อยปีต่อมา ในวันที่ 16 พฤษภาคม 1920 พระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ก็ยกเธอขึ้นเป็นนักบุญฌานน์ ดาร์ค เพื่อตอบแทนความกล้าหาญของวีรสตรีฝรั่งเศสคนนี้

ดูเรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สุขภาพ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เทคโนโลยี อื่นๆได้ที่นี่  http://megatopic.blogspot.com