ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

"เจ" อย่างมีสติ

เริ่มโดย Mr.No, 07:59 น. 09 ต.ค 56

Mr.No

[attach=1]

ช่วงนี้ถือเป็นช่วงเทศกาลงานบุญ ...บุญหมายถึง การทำกิจการงานที่มีเป้าหมายเพื่อการทำความดี โดยเงื่อนไขและกระบวนการในการไปสู่ความดีนั้น ต้องอุดมไปด้วยจิตที่คิดดี ตั้งแต่ต้น..ท่ามกลาง..และปลาย

ถ้าจิตมีกุศล...ดำเนินไปอย่างงดงาม  สุดท้ายปลายทางคือ "บุญ" ที่ตั้งเป้าไว้ก็สามารถบรรลุได้ด้วยความสวยงามและสอดคล้องกับความหมายที่ถูกต้อง

จริง ๆ ว่าจะไม่โพสเกี่ยวกับเรื่อง เทศกาลเจ เพราะเป็นเรื่องของ "การทำความดี" และการละเว้น,หลีกเลี่ยงหรือการตัดออกซึ่งการพรากชีวิตของสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกนั้น แม้นจะเพียงแค่ไม่กี่วัน ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความตั้งใจดี และน่ายกย่อง

แต่ที่ต้องเอาเรื่องนี้มาถกกัน...เพราะดันมีข่าว เด็กน้อยที่กำลังอยู่ในวัยเรียนและมีอนาคตต้องมาจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพราะเหลือบที่เคลือบแฝงอยู่บนประเพณีเทศกาลกินเจ และที่น่ากังวลและควรนำมาขยายความกันเพื่อการสร้างสรรค์ประเพณีที่ดีงามและถูกต้องให้อยูกับร่องกับรอย เราก็ควรจะได้ใส่ใจและปฎิบัติธรรมอย่างมีสติ....

กรณีม้าทรง..แสดงอิทธฺฤิทธ์บังคับให้เด็กกินน้ำมนต์เข้าไป ...ซึ่งผิดปกติมนุษย์มนาทำก็คือ น้ำที่ให้กินเล่นเอาถึง 18 ลิตร ..บังคับให้เด็กกินจนชักเกร็งเป็นสัญญานแล้ว  ...ยังไม่หนำใจยังยัดเยียดบังคับให้เด็กกินอีกโดยอ้างว่ามีภูติผีปีศาจอยู่ ฯลฯ สุดท้ายเด็กแน่นิ่งสิ้นใจ ....

สิ่งเหล่านี้ สาธูชนผู้ศรัทธาในการปฎิบัติธรรม.....เห็นอะไรบ้าง?
เรื่องเหล่านี้...ผู้มีจิตกุศลในการสร้างความดี.......ได้สติอะไรกับ  เส้นบาง  ๆ  ระหว่าง  "ศรัทธา" และ "งมงายจนไร้สติ" กันบ้างไหม?

พัฒนาการทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทย....ส่วนใหญ่มักเริ่มด้วย "ความดี" แต่มักจบด้วย  "ความโง่" และ "ผลประโยชน์" ร่ำไป

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย...หน่วยงานที่ให้การสนับสนุนด้านเทศกาลเหล่านี้ ส่วนใหญ่ เห็นแก่ประโยชน์เฉพาะตน เพราะเป้าหมายถึง "รายได้" จากคนที่มาร่วมบุญ!

วิวัฒนาการของการแห่พระ...หรือทรงเจ้าเข้าผี  ดูเหมือนจะไม่ได้พัฒนาไปสู่การสร้างให้มนุษย์ได้เกิดความสงบ..เมตตา

แต่บรรยากาศ ดูจะเป็นเรื่องที่ฝรั่งมักเปรียบเป็นพวก  Devil's event มากกว่า

เพราะนวัตกรรมแห่งการทรมาน..การใช้ความรุนแรง...การสร้างอิทธิปาฎิหารย์เกินมนุษย์ ยิ่งฉุดให้คนเริ่มผิดเพี้ยนและเห็นความรุนแรง..เลือดท่วมจอ เป็นเรื่อง "สะใจของเทพ" ไปซะแล้ว

คำว่า "เทพ" นั้นคือผู้ปฎิบัติธรรมหรือทำความดีจวบจนชีวิตสิ้น ..และ "ความดี" หรือ "ปฎิบัติดี" ส่งให้เชื่อว่า ท่านได้กลายเป็นผู้ควรได้รับการยกย่องกราบไหว้และกล่าวขาน

"เทพ" ที่ดีย่อมไม่สร้างปัญหา...และทีสำคัญ ย่อมไม่แฝงด้วย อวิชชาที่ยึดติดกับความสุขที่ได้ทรมานทรกรรมตัวเองจนเลือดสาด โชว์พาว์ให้ชาวประชาเห็นอิทธิฤทธิ์

ทุกครั้งที่องค์ลง....เราจะเห็นร่างทรง เอาของแหลมทิ่มแก้มซ้ายไปออกขวา...เอาขวานสับ..เอามีดเชือด ฯลฯ ตามร่างกายตัวเอง ...

เมื่อถามว่า ขณะที่ทำกิจกรรมเหล่านี้ เทพกำลังสถิตย์อยู่หรือ? จึงได้กระทำเช่นนั้น  ส่วนใหญ่มักเชื่อว่า "ใช่"

เมื่อตั้งสติคิดได้ก็คงต้องปลงสังเวชว่า...ขนาดเทพที่อยู่บนดินแดนอันพึงคนดีจะสถิตย์ ยังมีจิตคิดแต่เรื่องความรุนแรง และยังแกล้งมนุษย์ให้ได้รับทุกข์เวทนา เพราะ สับๆๆๆ เชือด ๆ บนตัวของคนไม่ใช่ตัวเทพ!

ดังนั้น ถ้า เหล่า ทวยเทพ มีจิตคิดอกุศล ชอบความรุนแรงที่มิได้แสดงถึงความเมตตา..หรือการสร้างปัญญาให้มนุษย์ ยังคงดำรงวิทยายุทธ์ในการโชว์ความรุนแรงต่อไป ..
เราจะหมายพึ่งพาเทพให้สามารถเดินไปสู่การเป็นคนดีมีเมตตาและลดละการฆ่า..ทำร้าย..ทำลายได้เช่นใด

เทพ...ก็อาจผิดเพี้ยนเปลี่ยนไปเป็น "มาร" ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องสำราญที่ทุกปีผ่าน ต้องมานั่งจัดงานบูชา เหล่า "มาร" กันใช่หรือไม่่?

ผมเขียนเรื่องนี้อย่างเจ็บปวดใจที่เห็นเด็กน้อยน่ารัก..ต้องกลายเป็นเหยื่อ......

และถ้าทุกถ้อย..ที่เขียนกระทบกระเทือนในความศรัทธาของท่านใดก็ขอได้โปรดเข้าใจว่า...ผมเคารพและเชื่อในเรื่องการ "ปฎิบัติดี"

การกินเจ... จะกินด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม   แต่ภาพงดงามของการทีละและงดเว้นทำให้สัตว์ตกไปในช่วงเวลาหนึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีและควรสนับสนุน

แต่อยากให้สติของ เหล่าผู้อยู่เบื้องหลัง..ไม่ว่าจะเป็นสำนัก..ศาลเจ้า หรือทุกหน่วยงาน พึงใช้ การสูญเสียของเด็กน้อย เป็นอุทธาหรณ์สอนใจ..กันเสียที

ฝากบอก ม้าทรง ให้เพลา ๆ บ้าง.... เพราะเชื่อว่า หลายท่านสามารถ control เหล่าม้าทรงได้ ว่าจะให้ออกแนวงดงาม..สง่า หรือจะให้ออกมาในแนว  ม้าทรงน้ำท่อม..ไร้สติ

เพราะร่างที่เต้นยึกยักแบบไร้สติเลือดท่วมน่ะ...ถ้าคนมีสติใช้ปัญญาพิจารณาก็จะสามารถ ปลงธรรมสังเวช เห็นถึงแก่นว่า 

ไอ้ที่เต้นเร่า ๆ บ้าคลั่งนั้น..แท้จริง ไม่มีเทพองค์ไหนท่านจะกล้าลง...จะมีก็แต่  "ไอ้ตัวอะไร" มากกว่า ที่กำลังลงอยู่!
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

Olympic Hatyai

มีความคิดเห็นไปทิศทางเดียวกันกับผู้เขียน ฟังข่าวน้องผู้ชายที่ร่างทรงให้ดื่มน้ำปริมาณ เป็นลิตรๆ ให้หมดจนเสียชีวิต
ก็สะเทือนใจมาก....ไม่คิดเลยว่าความศรัทธาและความหลงงมงายจะอยู่ใกล้กันจนใครหลายคนแยกไม่ออก
ขอบคุณมาก ที่ท่านผู้เขียนเป็นผู้กล้าทางธรรมอย่างแท้จริง จุดประกายความหลงให้ใครหลายคนไตร่ตรองใหม่ พร้อมมีสติอยู่ตลอดเวลา

ฅ ฅน

.

.....มิสเตอร์โน เขียนได้ดีครับ


อีกอย่างที่นครสวรรค์ชอบเอาเด็กมาปีนป่ายเสาสูง เคยมีคนตกลงมา แต่ก็ไม่ฟัง ส.หลก ส.โกรธอย่างแรง

Mr.No

อ้างจาก: ฅ ฅน เมื่อ 08:29 น.  11 ต.ค 56
.

.....มิสเตอร์โน เขียนได้ดีครับ


อีกอย่างที่นครสวรรค์ชอบเอาเด็กมาปีนป่ายเสาสูง เคยมีคนตกลงมา แต่ก็ไม่ฟัง ส.หลก ส.โกรธอย่างแรง

[attach=1]
ชัด ๆ


..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

คุณหลวง

    ศรัทธา มันเป็นปัญหาต่อเมื่อไม่ได้ใช้ปัญญามากำกับ หากสังเกตุธรรมที่พระพุทธองค์แสดงไว้ ธรรมหัวข้อใดที่เริ่มต้นด้วยศรัทธาเป็นข้อแรกธรรมหัวข้อนั้นจะลงท้ายด้วยปัญญาทุกครั้งไป

    แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้คนไม่ศรัทธาในสิ่งที่เราเรียกกันว่าอิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหาริย์ เพราะมันตื่นเต้น ล่อความอยากของจิตได้ดีนัก

    เปรียบคล้ายกับคนที่ชอบดูกีฬา มวย ฟุตบอล ฯลฯ ดูแล้วตื่นเต้น พวกเขามีความสามารถเกินที่เราสามารถมี เขาเลยเป็นปาฏิหาริย์ล่อใจให้เราต้องติดตามดูอย่างจริงจังร่ำไป

    อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มันสนุก เร้าใจ ล่อใจ สมกับความต้องการของจิตที่มุ่งพึ่งสิ่งภายนอก เพราะความไม่เท่าทันใจตนจนอ่อนแอ สิ่งที่เกินธรรมดาเราๆท่านๆจึงเป็นสิ่งที่มักจะถูกมองว่าดี วิเศษไว้ก่อนเสมอ เราจึงเห็นของปลอมอวดสรรพคุณเกลื่อนเมือง ดูดทรัพย์เป็นว่าเล่น

    และธรรมดาที่มักมีความผิดพลาดเกิดขึ้นเสมอๆ เพียงแต่มันเล็กน้อยเกินกว่าจะเข้าไปขวางหน้าอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่ปรากฏ(แม้จะปรากฏแค่ในความเชื่อของคนก็ตาม) แม้แต่เรื่องเด็กตายครั้งนี้ จะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

    ประเพณีจะคงเดินหน้ากันต่อไป และจะเปลี่ยนรูป(หรืออย่างน้อยก็ส่งเสริมเติมแต่งรูป)ไปตามสิ่งที่เข้ามาสนับสนุน อย่างเมื่อจัดประเพณีเพื่อหาเงินก็จะต้องต่างจากประเพณีรูปแบบเดิมๆเพื่อให้เงินเข้ามามากที่สุด เมื่อการเมืองมาสนับสนุนก็ต้องเปลี่ยนให้ประเพณีรับใช้การเมืองได้ ไม่ต่างกับที่นักการเมืองชอบจัดมวยถ่ายทอดสด

    แต่เราจะทำอย่างไรให้แก่นสารแห่งประเพณีอยู่ได้นานที่สุด ก็น่าจะอยู่ที่การให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเพณีนั้นๆแก่ผู้สนใจมากที่สุด และในสังคมสำเร็จรูป เรา(คนส่วนใหญ่ซึ่งถูกชี้นำโดยกระแส)ไม่ได้ต้องการแก่นสาร เราต้องการกระแส

    เพราะกระแสจะไม่ทำให้เราแปลกแยกจากสังคม สังคมที่สอนให้เรารู้สึกแปลกและกลัวเมื่อต้องแตกต่าง

    แล้วจะมีสักกี่คนที่กล้าสวนกระแส?

สะบายดี...

   

สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅ ฅน

.
...เห็นชื่อคุณหลวง จึงเข้ามาดู




ไม่ผิดหวังเลยทุกครั้ง ได้ข้อคิดดีดี


ฅนจังหวัดหาดใหญ่ ไม่ไปร่วมประท้วง ที่ กท ด้วยหรือ อย่ามัวแต่ สบายดี ส.ก๊ากๆ ส.สู้ๆ ส.ก๊ากๆ

ตาในแจ้ง

ของจริงมันมี ใช้กรอบตรรกกะทางโลกเข้าพิสูจน์ วิทยาการเทคโนโลยีมันยังไปไม่ถึงขั้นยังหยาบอยู่
ฝึกจิตให้ละเอียดและเร็วจนถึงระดับนึงจะสัมผัสได้ว่ามันมีอยู่จริงเป็นไปได้ทั้งนั้น  แต่ของปลอมแอบแฝงเยอะ
อวิชชาที่พวกเหล่าท่านๆเข้าไม่ถึงและยังไม่ฝึกจิตโน้มเข้าไปหามัน มันก็ไม่เชื่อไม่เจอและสัมผัสไม่ได้
ไม่เชื่อดีแล้ว ไม่นอกเส้นทาง อยู่ในใบไม้ธรรมกำมือเดียวของพระโคตม แต่ถ้าได้ฝึกปฏิบัติทางจิตภาวนาเป็นนิจแล้วแตกเป็นวิปัสนาใคร่ครวญ แตกฉาน แล้วรับประกันได้ว่า โอ้โห มันมีอยู่ แต่เป็นใบไม้ธรรมนอกกรรมมือ ก็แล้วแต่ใครแวะชมเอาติดตัวไปเล่น หรือ เกื้อหนุน หรือไปปะทะกับเหล่า โอปปาติกะ เทวดามารที่มีฤทธิ์ ลูกเล่นทางจิตมีเยอะมาก อย่าหลงหมกมุ่นมาก เ
พราะเป็นใบใม้นอกกำมือ แต่ใช้เกื้อหนุนธรรมได้วกเข้าหาธรรมได้ แต่ถ้าใช้มาหากินบูชามารจะมีเทพเทวดาที่ดีซึ่งมีมากกว่าอยู่ได้ด้วยบุญความดี จะมาปราบมารเหล่านั้น โดยจำแลงแปลงเนรมิตร หรือ awatal jit ผ่านใครผู้ใด ลงมาบ่อย โอปปาติกะแฝงตัวอยู่ในโลกก็เยอะ เค้าเนียนกว่ามีกายทิพย์จำแลงแปลงนรมิตรชั่วพริบตา ดูสังเกตุด้วยอายตนะทั้งห้าก็ไม่ทันกิน มีแน่นอนรับประกันว่ามี ลองปรับจูนจิตตัวเองปรับแต่งหาวิธีฝึกให้รับสัญญาณได้ แล้วพวกท่าน สำรวจอะไรด้วยจิตก็ได้โดยที่ร่างกายหยาบอยู่ที่ไหนก็ได้อยู่กับที่ในถ้ำหลุมหุบเหวไหนใช้จิตสำรวจตรวจวาระจิตไป

ทำตาในให้แจ้ง

โทรจิตมีจริง การสื่อกันทางจิต การรู้วาระจิตมีจริง มันต้องคิดไม่หยุดเลยแบบต่อเนื่องยาวๆนานๆคิดซ้อนคิดวิปัสนาแตกเป็นปัญญาใคร่ครวญไม่รู้จักหยุดหย่อนไม่เหนื่อยไม่ต้องพักสมองเลยเมื่อองค์ความรู้พอ ปัญญาเกิดจากการคิดแบบไม่หยุดหย่อนแต่พอจะออกกลับมาสู่ภาวะปัจจุบันต้องกำหนดภาวนาซัก5นาที ลองดูๆ เผื่อไปกันได้

Mr.No

อ้างจาก: คุณหลวง เมื่อ 22:35 น.  13 ต.ค 56
    ศรัทธา มันเป็นปัญหาต่อเมื่อไม่ได้ใช้ปัญญามากำกับ หากสังเกตุธรรมที่พระพุทธองค์แสดงไว้ ธรรมหัวข้อใดที่เริ่มต้นด้วยศรัทธาเป็นข้อแรกธรรมหัวข้อนั้นจะลงท้ายด้วยปัญญาทุกครั้งไป

    แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้คนไม่ศรัทธาในสิ่งที่เราเรียกกันว่าอิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหาริย์ เพราะมันตื่นเต้น ล่อความอยากของจิตได้ดีนัก

    เปรียบคล้ายกับคนที่ชอบดูกีฬา มวย ฟุตบอล ฯลฯ ดูแล้วตื่นเต้น พวกเขามีความสามารถเกินที่เราสามารถมี เขาเลยเป็นปาฏิหาริย์ล่อใจให้เราต้องติดตามดูอย่างจริงจังร่ำไป

    อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มันสนุก เร้าใจ ล่อใจ สมกับความต้องการของจิตที่มุ่งพึ่งสิ่งภายนอก เพราะความไม่เท่าทันใจตนจนอ่อนแอ สิ่งที่เกินธรรมดาเราๆท่านๆจึงเป็นสิ่งที่มักจะถูกมองว่าดี วิเศษไว้ก่อนเสมอ เราจึงเห็นของปลอมอวดสรรพคุณเกลื่อนเมือง ดูดทรัพย์เป็นว่าเล่น

    และธรรมดาที่มักมีความผิดพลาดเกิดขึ้นเสมอๆ เพียงแต่มันเล็กน้อยเกินกว่าจะเข้าไปขวางหน้าอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่ปรากฏ(แม้จะปรากฏแค่ในความเชื่อของคนก็ตาม) แม้แต่เรื่องเด็กตายครั้งนี้ จะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

    ประเพณีจะคงเดินหน้ากันต่อไป และจะเปลี่ยนรูป(หรืออย่างน้อยก็ส่งเสริมเติมแต่งรูป)ไปตามสิ่งที่เข้ามาสนับสนุน อย่างเมื่อจัดประเพณีเพื่อหาเงินก็จะต้องต่างจากประเพณีรูปแบบเดิมๆเพื่อให้เงินเข้ามามากที่สุด เมื่อการเมืองมาสนับสนุนก็ต้องเปลี่ยนให้ประเพณีรับใช้การเมืองได้ ไม่ต่างกับที่นักการเมืองชอบจัดมวยถ่ายทอดสด

    แต่เราจะทำอย่างไรให้แก่นสารแห่งประเพณีอยู่ได้นานที่สุด ก็น่าจะอยู่ที่การให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเพณีนั้นๆแก่ผู้สนใจมากที่สุด และในสังคมสำเร็จรูป เรา(คนส่วนใหญ่ซึ่งถูกชี้นำโดยกระแส)ไม่ได้ต้องการแก่นสาร เราต้องการกระแส

    เพราะกระแสจะไม่ทำให้เราแปลกแยกจากสังคม สังคมที่สอนให้เรารู้สึกแปลกและกลัวเมื่อต้องแตกต่าง

    แล้วจะมีสักกี่คนที่กล้าสวนกระแส?

สะบายดี...

   


สวัสดีท่านคุณหลวง..

ไม่ค่อยได้เสวนากันเป็นทางการพอสมควรนะครับ....
ผมเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนไหว..โดยเฉพาะ เรื่องใด ๆ ก็ตามที่ "เด็ก" หรือผู้อ่อนแอที่ขาดโอกาสและประสบการณ์ในการต่อสู้ในสังคมถูกกระทำและเอารัดเอาเปรียบ!

ผมนั่งดูภาพของเด็กแฝดสองพี่น้องที่กำลังอยู่ในวัยที่ควรจะเป็นที่รักของครอบครัว ..ต้องมาสูญเสียเพียงเพราะ  "เชื่ออย่างผิด ๆ " แล้วรู้สึกว่าผิดไปด้วย...เพราะ ปัญหาที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อเด็กนั้น มันเกิดมาจากสิ่งที่ผมคิดว่า "สังคมไทยกำลังป่วยหนัก" และพวกเราก็ไม่ได้ช่วยเยียวยาสังคมนี้กันมากพอ!

ไม่อยากฟื้นฝอยหาประเด็นว่ากรณีดังกล่าวควรจะโทษ...ตำหนิใครบ้าง? 
แต่อยากให้สิ่งเหล่านี้เป็นกรณีของการศึกษา ธรรมะและเรียนรู้เข้าใจในความหมายของคำว่า "ศรัทธา" อย่างมี "สติ"

พุทธองค์ท่านทรงเปรียบปัญญาของมนุษย์ดั่งบัวสี่เหล่า...ถือเป็นเรื่องที่ท่านทรงเข้าพระทัยในข้อแตกต่างของมนุษย์ที่อาจมีพื้นฐานในการเรียนรู้...รับรู้เรื่องราวของโลกธรรม ที่อาจแตกต่างกัน

การสอน..การให้ข้อเท็จจริง..การตีความหมายใด ๆ เพื่อให้คนทุกเหล่าได้เข้าถึง ปรมัตถธรรม อันมุ่งตรงต่อเป้าหมายเดียวคือ "การไม่ยึดถือสิ่งใด...การเข้าใจถึงสภาวะแห่งการไม่มีแก่นสารแห่งตัวตน เพื่อมุ่งสู่ "พระนิพพาน" คือหลุดพ้นนั้น อาจต้องใช้หลากหลายกลวิธีในการสอน..การแนะ

มนุษย์ เป็นสัตว์โลกที่ถือว่าอ่อนแอที่สุดชนิดหนึ่ง...แต่เป็นสัตว์โลกที่ธรรมชาติให้ด้านบวกมาก็คือ "สมอง" และตราบใดที่มนุษย์ได้พัฒนาสมองไปในทางที่ถูกต้อง สิ่งที่ตามมาก็คือ "สติ" และ "ปัญญา" ถ้าสองอย่างนี้ลงตัวในทางดี โลกนี้คงไม่หยำเปแบบที่เป็น!

เราใช้ "บุญ" ที่อาจตีความถึง "ผล" ในภาพของสิ่งจับต้อง,สภาวะตอบแทนอันพอใจ...หรือภพภูมิอันบรรเจิด เพื่อเป็นอุบายให้บัวบางเหล่าได้หัดเริ่มปฎิบัติแล้วคาดหวังว่า เมื่อผู้นั้นปฎิบัติธรรมไปจนพอจะเริ่มเข้าใจ สารัตถะแห่งธรรม อันแท้จริงแล้ว คงอาจจะค่อยผ่อน..ค่อยปลด และอาจซึมซาบความหมายของ "บุญ" ไปในทางที่เป็นเรื่องของกุศโลบายเพื่อผ่อนคลายคามยึดติด..เสียสละเพื่อให้จิตมันคลายความ "อยากมี..อยากเป็น...อยากเก็บ"  ออกจนเบาตัว


แต่..คนบางกลุ่มกลับใช้ "บุญ" เป็นเครื่องมือในการกอบโกย...และขยายความหมายของคำว่า "บุญ" ไปในทางที่ส่งเสริมกิเลสให้เรากลับรีบเร่งสร้าง "บุญ"   เพื่อ "เอา"  เพื่อเป้าหมายทั้งในชาตินี้ที่หมายถึง ลาภยศ หรือชาติใด ๆ ที่จะเป็นเรื่องของ "มีมากขึ้น"

สังฆมณฑล..ในยามนี้ก็เอาตัวไม่ค่อยจะรอด  เพราะ "ลาภสักการะ" มันมาจนตัวพอง...ไม่เว้นตั้งแต่ชั้น ตำบล ถึง ระดับภาค

เดี๋ยวนี้.... แค่พระชั้นสมณศักดิ์  ก็ต้องติดไวนิลประกาศ..แสดงความยินดีกันเกลื่อนเมือง!
สั่งพิมพ์เอง....ลูกศิษย์สั่ง  ทุกอย่างเป็นเรื่องของการ  "ยินดีในลาภสักการะ" ค่อนข้างน่ากังวล

เขียนเรื่อง "เจ" เป๋ไปออกเรื่อง "หลวงพี่..หลวงพ่อ" จนได้ ....
ส.หัว
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

ฅ ฅน

.

...มาอ่านของทุกคน รวมทั้ง นายตาในแจ้ง.. ส-เหอเหอ ส.ยกน้ิวให้ ส.ก๊ากๆ

ผ่านมา

ชื่นชมความคิดเเห็นของคุณจริง ๆ  MR.No

awatal jit

034 ความสำคัญของจิตใจ

ปัญหา มีบางคนกล่าวว่า ในบรรดาการกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจนั้น การกระทำทางกายสำคัญที่สุด เพราะก่อให้เกิดผลเห็นได้ชัด เช่น ฆ่าเขาตายด้วยกาย ย่อมมีผลเสียหายมากกว่ากล่าวอาฆาตด้วยวาจา และการคิดจะฆ่าด้วยใจ พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไรในเรื่องนี้ ?

พุทธดำรัส ตอบ "..... ดูก่อนตัปสสี บรรดากรรมทั้ง ๓ ประการ ที่จำแนกออกแล้วเป็นส่วนละอย่างต่างกันเหล่านี้ เราบัญญัติมโนกรรมว่ามีโทษมากกว่า ในการทำบาปกรรม ในการเป็นไปแห่งบาปกรรม เราจะบัญญัติกายกรรมวจีกรรมว่ามีโทษมากเหมือนมโนกรรมหามิได้"
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว อุบาลีคฤหบดีผู้เป็นสาวกของนิครนถนาฏบุตรก็ยังยืนยันอยู่นั่นเองว่า กายกรรมมีโทษมากกว่า พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า "ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะสำคัญในความข้อนั้นเป็นไฉน นิครนถ์ในโลกนี้เป็นคนอาพาธ มีทุกข์ เป็นไข้หนัก ห้ามน้ำเย็น ดื่มแต่น้ำร้อน เมื่อเขาไม่ได้น้ำเย็นจะต้องตาย ดูก้อนคฤหบดี ก็นิครนถนาฏบุตรบัญญัติความเกิดของนิครนถ์ผู้นี้ ณ ที่ไหนเล่า?"
อุบาลีคฤหบดี "..... ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เทวดาชื่อว่ามโนสัตว์มีอยู่นิครนถ์นั้นย่อมเกิดในเทวดาจำพวกนั้น.... เพราะนิครนถ์ผู้นั้นเป็นผู้มีใจเกาะเกี่ยวทำกาละ...."
ก็เป็นอันว่า อุบาลีคฤหบดีย่อมรับว่ามโนกรรมสำคัญกว่า แต่เขายังยืนยันต่อไปว่า กายกรรมสำคัญกว่า พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า "ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน นิครนถ์ในโลกนี้ พึงเป็นผู้สำรวมด้วยการสังวรโดยส่วน ๔ คือ ห้ามน้ำทั้งปวง ประกอบด้วยการห้ามบาปทั้งปวง กำจัดบาปด้วยการห้ามบาปทั้งปวง อันการห้ามบาปทั้งปวงถูกต้องแล้ว เมื่อเขาก้าวไป ถอยกลับ ย่อมถึงการฆ่าสัตว์ตัวเล็ก ๆ เป็นอันมากดูก่อนคฤหบดี นิครนถนาฏบุตรบัญญัติ วิบากเช่นไรแก่นิครนถ์ผู้นี้ ?"
อุบาลี "ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ นิครนถนาฏบุตรมิได้บัญญัติกรรม อันเป็นไปโดยไม่เจาะจงว่ามีโทษมากเลย"
พระผู้มีพระภาค "ดูก่อนคฤหบดี ก็ถ้าจงใจเล่า ?"
อุบาลี ".... เป็นกรรมมีโทษมาก"
พระผู้มีพระภาค "... ก็นิครนถนาฏบุตรเจตนาลงในสวนไหน ?"
อุบาลี "... นิครนถนาฏบุตรบัญญัติเจตนาลงในส่วนมโนทัณฑะ" (มโนกรรม)
ก็เป็นอันว่า อุบาลีคฤหบดี ยอมรับด้วยถ้อยคำของตนเองว่ามโนกรรมสำคัญกว่า แต่ก็ยังยืนยันว่ากายกรรมสำคัญกว่าต่อไปอีก พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า "ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บ้านนาฬันทานี้ เป็นบ้านมั่งคั่งเป็นบ้านเจริญ มีชนมาก มีมนุษย์เกลื่อนกล่น.... พึงมีบุรุษคนหนึ่งเงื้อดาบมา เขาพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เขาจักทำสัตว์เท่าที่มีอยู่ในบ้านนาฬันทานี้ ให้เป็นลานเนื้ออันเดียวกัน ให้เป็นกองเนื้ออันเดียวกัน โดยขณะหนึ่ง โดยครู่หนึ่ง ดูก่อนคฤหบดี ท่านจักสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะสามารถทำสัตว์เท่าที่มีอยู่ในหมู่บ้านนาฬันทานี้ให้เป็นลานเนื้อันเดียวกันได้หรือ ?"
เมื่ออุบาลีทูลว่า ทำไม่ได้ พระพุทธองค์จึงตรัสต่อไปว่า "ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ถึงความเป็นผู้ชำนาญในทางจิต พึงมาในบ้านนาฬันทานี้.... พึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจักทำบ้านนาฬันทานี้ให้เป็นเถ้า ด้วยจิตคิดประทุษร้ายดวงเดียว ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์.... นั้น จะสามารถทำบ้านนาฬันทานี้ให้เป็นเถ้า ด้วยจิตประทุษร้ายดวงหนึ่งได้หรือหนอ ?"
อุบาลีคฤหบดียอมรับว่าทำได้ ซึ่งแสดงให้เป็นว่ามโนกรรมสำคัญกว่าแต่ก็ยังยืนยันต่อไปว่ากายกรรมสำคัญกว่า พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า "ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะสำคัญกว่า พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า "ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ป่าทัณฑดี ป่ากาลิคะ ป่ามาตังคะ เกิดเป็นป่าไปท่านได้ฟังมาแล้วหรือ ?
อุบาลี ".... ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้ว...."
พระผู้มีพระภาค "... ท่านได้ฟังมาว่าอย่างไร เกิดเป็นป่าไปเพราเหตุไร ?"
อุบาลี "... เพราะใจประทุษร้าย อันพวกเทวดาทำเพื่อฤาษี"
ในที่สุด อุบาลีคฤหบดีก็ยอมรับว่ามโนกรรมสำคัญกว่า และประกาศตนเป็นสาวกของพระบรมศาสดา

นัยอุปาลิวาทสูตร ม. ม. (๖๔-๗๐)
ตบ. ๑๓ : ๕๕-๖๕ ตท.๑๓ : ๕๔-๖๑
ตอ. MLS. II : ๓๘-๔๓

ฅ ฅน

.


..มาอ่านจิตอวตาร ส.หลก ส.หัว

หน่องแหน้ง

ใช้หลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์ ส.โอ้โห ส.โบยบิน ส.โบยบิน ส.โบยบิน

คุณหลวง

สวัสดีครับท่านพี่Mr.No

    ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบการพูดอย่างเป็นทางการเท่าไหร่ดอกครับ นิสัย(สันดาน)มันขี้เล่นจนไม่ค่อยน่าไว้วางใจ ส.หัว เพื่อนๆเขาเลยไม่ค่อยปรึกษาความกับผมเท่าไหร่ เขาว่าผมชอบชักใบให้เรือเสีย

    เข้าใจความรู้สึกที่ท่านพี่เป็นนะครับ แม้จะไม่ทั้งหมด แต่ก็พอเข้าใจคนที่มีจิตใจรักธรรมชาติ รักนก(?) ชอบจักรยานอย่างท่านพี่

    อย่าเสียเวลาว่าควรตำหนิใคร หรือจะหวังพึ่งอะไรจากใครเลยครับ(ขอยกเรื่องสังฆมณฑลเอาไว้ เพราะท่านพี่คงรู้ลึกกว่าผมมากนัก) และอย่าให้มันกัดกร่อนความรู้สึกว่าเป็นความผิดตน เพราะสิ่งเหล่านี้มันโทษใครไม่ได้จริงๆ

    เพราะไม่มีใครทำให้คนสามารถเข้าใจอรรถเข้าใจธรรมได้ทั้งหมด ไม่ว่าคนๆนั้นจะเกิดมาด้วยบารมีมากมายสักเท่าไหร่ก็ตาม ทุกคนล้วนสามารถทำได้เท่าที่กำลังตนเท่านั้น(เพียงกำลังต่างกันไป) แม้พุทธประวัติก็ยืนยันชัดว่าคนที่เกิดมาพบพระพุทธเจ้าก็มีมากที่ปฏิเสธ ไม่เชื่อ ไม่ยอมรับ ไม่ฟัง และรวมถึงพยายามทำลาย

    สำมะหาอะไรกับคนอย่างเราครับ

    ดังนั้น ในคำพระจึงมีคำสอนให้เราทำอย่างเต็มที่โดยมิต้องหวังผลว่าจะเกิดมากน้อยอย่างไร อย่าให้จิตเกิดกังวลกับคนอื่นๆมากเกินไป เพราะบัวสี่เหล่านั้น ย่อมต่างกันไป ต่างทั้งกำลังบารมี ปัญญา ความเพียร ต่างจริต ต่างนิสัย และต่างมีวิถีแห่งตนที่ดำรงมา

    พระพุทธองค์เองก็ไม่สามารถสอนทุกคนได้ บ่อยครั้งพระองค์จึงให้พระสาวกสอนแทนพระองค์เพราะทราบดีว่าผู้รับสารนั้นมีจริตตรงกับพระสาวกรูปใด อันสามารถสื่อต่อกันได้ดีกว่า เราจึงต้องทำด้วยความปล่อยวาง เพราะจิตที่เศร้าหมองจะทำให้เราเสื่อมในสิ่งที่ตนควรได้ควรมี

    ตอนที่ท่านพุทธทาสตั้งคณะธรรมทาน ท่านต้องขอทุนก้อนแรกจากโยมแม่ของท่าน ต้องอธิบายกันมากมายให้แม่เข้าใจว่าทำไมการสร้างสื่อธรรมะจึงมีค่ากว่าโบสถ์อันตระการตา เมื่อแม่เข้าใจพร้อมมอบทุน(เงินเพื่อนผีของตน)ให้แล้วมีคำถามว่า

    "สิ่งที่ลูกจะทำนั้น มันใหญ่มาก ไม่คิดว่าจะเป็นการพลิกแผ่นดินไปหรอกหรือ" นั่นคือความห่วงใยจากผู้เป็นแม่ที่เห็นความตั้งใจของลูกและเห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นมันใหญ่มากจริงๆ
    "ไม่คิดว่าจะเป็นการพลิกแผ่นดินหรอก เราก็ทำตามกำลังของเราเท่านั้น แต่หากวันนึงจะมีผู้มีทุนทรัพย์เห็นดีเห็นงามร่วมทำด้วยมันก็อาจเป็นการพลิกแผ่นดินไปก็ได้"ท่านตอบแม่ไปอย่างนั้น

    ทำตามกำลังของเรา พร้อมด้วยการปล่อยวางมิให้จิตขุ่นมัวด้วยสิ่งที่เราไม่สามารถทำ(เพราะเกินกำลัง)จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

    กระมังครับ ส.สู้ๆ


สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅ ฅน

.


.ได้เวลาสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้วขอรับ

อย่ามัวอยู่แต่ในลานบุญ มาสู่ลานประชาธิปไตยกันบ้าง ส.สู้ๆ ส.ยกน้ิวให้ ส.สู้ๆ ส.หลก