ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

พรรคเพื่อไทยเลือดไหลไม่หยุด ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ !!

เริ่มโดย ฟานดี้, 15:32 น. 15 ธ.ค 53

ฟานดี้



ที่ผ่านมาบรรยากาศความขัดแย้งแตกแยกในลักษณะช่วงชิงการนำ แบ่งออกเป็นหลายก๊กหลายเหล่าเกิดขึ้นมาช้านานแล้ว แต่ก็ถูก "กลบเกลื่อน" เอาไว้ตลอด ขณะเดียวกันสังคมภายนอกก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องแบบนี้มากนัก


ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า พรรคเพื่อไทย ซึ่งถือว่าเป็นพรรคใหญ่ที่สุด มี ส.ส.มากที่สุด แต่กลับปรากฏว่าจนถึงบัดนี้ยังไม่มีการเสนอชื่อ บุคคลเป็น "ผู้นำฝ่ายค้าน" ในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียที แม้ว่ากรณีนี้ในเบื้องลึกอาจเป็นเรื่อง "ละเอียดอ่อน" แต่ผ่านมานานกว่าสองปีแล้วก็น่าจะเคาะออกมาได้แล้ว

ความขัดแย่งแตกแยกดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ล่าสุดยังต้องไปตามตัว ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ให้กลับมารั้งตำแหน่งอีกรอบหลังจากประกาศกลับไปเลี้ยงหลานที่บ้านเงียบๆในบั้นปลาย ซึ่งการรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ ยงยุทธ มองได้หลายด้าน แต่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องการให้มา "ขัดตาทัพ" เอาไว้ก่อน ยื้อเวลาพรรคแตกออกไปให้นานที่สุด

เพราะต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมามีบุคคลพยายามเสนอตัวเข้ามามากมาย มีทั้งเข้ามาในรูปแบบการแสดงบทบาทนำ จากนั้นค่อยเสนอตัวให้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ก็มี ซึ่งเท่าที่เห็นในตอนนี้ก็มักคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เช่น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่กลับมารับตำแหน่งประธานพรรค ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส. หรือบุคคลอื่นๆที่มีข่าวมาเป็นระยะอย่าง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ก็เคยถูกระบุว่าพยายามต่อสายหรือไปพบกับ ทักษิณ ชินวัตร "เจ้าของ" พรรคมาแล้วหลายครั้ง รวมไปถึงคนอื่นๆ เช่น มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน เป็นต้น แต่ในที่สุดจนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีการตอบรับออกมาให้เป็นที่ชัดเจน และจนถึงบัดนี้ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ก็ยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ต่อไป แม้ว่าถ้ามองกันตามสภาพที่เป็นจริงแล้วแทบจะไม่มีบทบาทอะไรให้จดจำได้เลย

อย่างไรก็ตามบรรยากาศแบบนี้สังคมภายนอกได้รับรู้กันดีอยู่แล้ว ไม่ต้องมาอธิบายกันซ้ำซาก แต่สิ่งที่ชวนให้ภาพของพรรคเพื่อไทยเริ่มถดถอย และกระแสของ ทักษิณ ชินวัตร ติดลบลงเรื่อยๆ ก็เริ่มมาจากการที่สังคมเริ่มรับรู้ความจริงจากคำพิพากษาคดีทุจริตต่างๆที่ทยอยออกมาเป็นหางว่าว รวมไปถึงการอยู่เบื้องหลังการยุยงปลุกปั่นให้คนเสื้อแดงก่อการจลาจลเผาเมืองถึงสองปีซ้อน โดยเฉพาะเหตุการณ์ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน ต่อเนื่องจนถึงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้สังคมรับรู้ความจริง และเห็นธาตุแท้ชัดเจนขึ้น

ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็ปรากฎว่า การยืนระยะได้นานเกินคาดของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม้ว่า ทักษิณ ได้ทุ่มกำลังทุกทางเท่าที่มีเพื่อหวังโค่นล้ม โดยมองข้ามช็อตจะเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่แบบถอนรากถอนโคน ซึ่งในทางตรงกันข้าม ณ นาทีนี้กลายเป็นว่าฝ่ายตรงข้ามมีความเข้มแข็งขึ้นทุกวันจนน่ากลัว

นอกจากนี้ ฝ่าย "คนทรยศ" ที่นำโดย เนวิน ชิดชอบ ที่แตกตัวออกไปสร้างพรรคภูมิใจไทยและเกาะเกี่ยวอำนาจอยู่กับ อภิสิทธิ์ ก็เติบใหญ่ สามารถเดินทับรอยสะสมสะเบียง กระสุนดินดำเอาไว้พร้อมสรรพ และที่น่าเจ็บใจก็คือการเติบใหญ่ดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อบ่อนเซาะกำลังของพรรคเพื่อไทยอีกด้วย


อย่างไรก็ดีทุกสิ่งทุกอย่างก็มาสรุปเอาตอนที่รับทราบผลการเลือกตั้งซ่อมทั้ง 5 เขต ซึ่งมีทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด แต่ที่น่าจับตาก็คือพื้นที่เขตเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา สุรินทร์ และขอนแก่น ส่วนสาเหตุที่ต้องมองข้ามพื้นที่กรุงเทพฯไปก่อน เนื่องจากได้พิสูจน์กันมาหลายรอบแล้วว่า "ตกเป็นรอง" และเริ่มถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ

ดังนั้นในสี่จังหวัดที่เหลือหากกล่าวโดยสรุปไล่เรียงทีละจังหวัด เช่น ขอนแก่นที่เพื่อไทยเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ได้ขาดลอยหลายช่วงตัว ขณะที่ประชาธิปัตย์ได้แค่ 36,000 คะแนน แต่ต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้าได้แค่ 7 พันคะแนนเท่านั้น

สำหรับพื้นที่สำคัญคือ นครราชสีมากับสุรินทร์ ถ้าพิจารณาอย่างผิวเผินก็ต้องบอกว่าเป็นการขับเคี่ยวกันกับพรรคภูมิใจไทย โดย เนวิน ชิดชอบ กับเพื่อไทยโดยพึ่งพา "กระแสทักษิณ" แบบเดิมๆไม่เปลี่ยนแปลง หรือถ้าเรียกง่ายๆก็คือยังหากินอยู่กับภาพของทักษิณ นั่นเอง ขณะเดียวกันด้วยองค์ประกอบปลีกย่อยอื่นๆไม่ว่าจะเป็นอำนาจรัฐ รวมไปถึงปัจจัยนอกระบบอื่นๆ แต่ในที่สุดเมื่อผลออกมาพบว่า ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยต้องพ่ายแพ้มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้ "ตาสว่าง" กันเสียที

พื้นที่อยุธยา ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะไม่ใช่พื้นที่เดิมของพรรคเพื่อไทยก็ตาม แต่ในบรรยากาศที่ผ่านมาถือว่าเป็นพื้นที่หลักของคนเสื้อแดง แต่ก็สู้ไม่ได้

ดังนั้นถ้าให้สรุปในภาพรวมๆและความเป็นจริงที่ออกมาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า "พ่ายแพ้อย่างหมดรูป" ผิดไปจากคาดหมาย เนื่องจากคิดว่าพื้นที่ภาคอีสานเป็นของ ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย

เมื่อทุกอย่างกลับตาลปัตร แบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้อง "ขวัญเสีย" หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยปกปิดเอาไว้มันก็ถูกเปิดออกมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้หากติดตามความเคลื่อนไหวมาอย่างใกล้ชิดก็จะพบเห็นการแตกแยกชิงดีชิงเด่นกันภายในมาตลอด

ผลการเลือกตั้งซ่อมที่ออกมาดังกล่าวมันก็ยิ่งเปิดแผลความแตกแยกออกไปอีก ซึ่งก็มาจากคู่กรณีเดิมต่างฝ่ายต่างก็ชี้หน้าต่อว่ากันโทษกันไปมา และคนที่ต้องถูกกำหนดให้ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะผู้อำนวยการเลือกตั้งในต่างจังหวัด จนต้องออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนตามสไตล์

ขณะเดียวกันเมื่อผลการเลือกตั้งออกมาแบบนี้มันก็เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า "กระแสทักษิณ" ได้ลดลงเรื่อยๆ ซึ่งแม้แต่เลขาธิการพรรคเพื่อไทย สุพล ฟองงาม ยังยอมรับว่าการไม่มีหัวหน้าพรรคที่ชัดเจนทำให้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ถดถอยมากขึ้น



อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาจากปัจจัยและองค์ประกอบเท่าที่มีอยู่ตอนนี้ทำให้สรุปได้ว่าผลจากการเลือกตั้งดังกล่าวจะนำไปสู่การแตกแยกที่รุนแรง และจะมี ส.ส.ย้ายพรรคออกไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย หรือแม้แต่พรรคชาติไทยพัฒนาในการเลือกตั้งครั้งหน้า ต่อไปนี้จะมี ส.ส.ทยอยออกมาแสดงตัวมากขึ้นหลังสงวนท่าที เพราะยังกลัวสอบตก แต่นาทีนี้เมื่อผลการพิสูจน์ออกมาให้เห็นทำให้ หลายคนที่เป็นประเภท "เขี้ยวลากดิน" ที่เรียกว่าเป็น "ดาวฤกษ์" มีพลังอยู่ในตัวเอง อยู่ได้ด้วยตัวเอง คนพวกนี้เมื่อได้รับข้อเสนอประเภทที่ "ปฏิเสธไม่ได้" ก็ย่อมตัดสินใจย้ายออกไป ซึ่งข่าวว่าเบื้องต้นมีไม่น้อยกว่า 10 คน


ประกอบกับเมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำให้เขตเลือกตั้งเล็กลงเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองได้เปรียบ อีกทั้งเมื่อได้รับข้อเสนอที่ดีกว่า และเชื่อว่ายิ่งใกล้วันเลือกตั้ง "พลังดูด" จะยิ่งรุนแรงขึ้น และถ้าถึงเวลานั้นเมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ปลงตกประเมินแล้วว่าโอกาสชนะนั้นริบหรี่ก็จะไม่ยอมลงทุน มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน !!