ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

“พล.ท.มนัส เปาริก” หัวหน้า “ชายชุดดำ”!? คนที่ คสช.ไม่รู้ว่าทำงานให้ใคร

เริ่มโดย itplaza, 12:46 น. 07 ก.ค 57

itplaza

หลายคนอาจจะตื่นเต้นกับการที่ศาลทหารอนุมัติหมายจับ "เจ๊เพ๊ญ-นายจักรภพ เพ็ญแข" กับพวกรวม 4 คน ในข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง หลังมีหลักฐานว่านายจักรภพ พัวพันและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจยึดอาวุธสงครามในหลายพื้นที่

       
       ยิ่งเมื่อให้ฟังคำยืนยันจาก "บิ๊กโด่ง-พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหาร ในฐานะเลขาธิการ คสช. ที่ประกาศชัดเจนว่า คสช. ไม่ได้กลั่นแกล้งนายจักรภพ แต่ดำเนินการตามพยานหลักฐานที่ได้สอบสวน และมีการซัดทอดไปถึง ก็ยิ่งสะใจ เพราะนี่เป็นคดีสำคัญคดีที่สองของเจ๊เพ็ญผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพผู้นี้
       
       กระนั้นก็ดี กรณีของเจ๊เพ็ญถือเป็นเรื่องจิ๊บๆ ถ้าหากเทียบกับการที่ศาลทหารออกหมายจับอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เคยรั้งตำแหน่งเป็นถึง "อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3" อย่าง "บิ๊กหยอย-พล.ท.มนัส เปาริก ในข้อกล่าวหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ที่ใช้เฉพาะในราชการสงครามที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง โดยฝ่าฝืนกฎหมายเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา
       
       เหตุที่บอกว่า การออกหมายจับ พล.ท.มนัสเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ธรรมดาก็เพราะบิ๊กหยอยไม่ใช่คนธรรมดา
       
       ประการแรก บิ๊กหยอยมียศเป็นพลโท
       
       ประการที่สอง บิ๊กหยอยเป็นอดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 ในยุคที่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตรเป็นแม่ทัพภาคที่ 3
       
       ประการที่สาม บิ๊กหยอยเป็นอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่นายฐานิสร์ เทียนทอง กระทั่งถึงนายประชา ประสพดี ด้วยผลงานจากการต่อสู้เคียงข้างคนเสื้อแดงตลอดหลายปีที่ผ่านมา
       
       ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมด้วยว่า อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ชื่อประชา ประสพดี นั้น มีเลขานุการชื่อ "สิทธิชัย กิตติธเนศวร" อดีต ส.ส. นครนายก พรรคเพื่อไทยที่ออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องหลังมีทหารเข้าไปจับกุมอาวุธสงครามได้ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งซึ่งนายสิทธิชัยเป็นเจ้าของ
       
       ประการที่สี่ พล.ท.มนัสคือนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ขณะนี้คือนักโทษชายหนีคดีอาญาแผ่นดิน
       
       แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้ก็คือบิ๊กย้อยกับ พ.ต.ท.ทักษิณมีความสัมพันธ์ในระดับพิเศษ เป็น "แขนและขา" ที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ และที่ผ่านมาเขาผู้นี้มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวและปฏิบัติการในทางลับจนมีอีกฉายาหนึ่งว่า "กุนซือผมขาว"
       
       นี่ไม่นับรวมสำหรับเพื่อน ตท.10 ซึ่ง พล.ท.มนัสทำหน้าที่เป็นหน่วยข่าวกรองลับจนได้รับขนานนานว่า "มอสสาด ตท.10" กันเลยทีเดียว
       
       กล่าวคือ ก่อนที่จะมีการรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บรรดานายทหารแตงโม ภายใต้การนำของ ตท.10 อย่าง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต และ พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต ได้ตั้งวอร์รูมตรวจสอบข่าวความเคลื่อนไหวของบิ๊กตู่อย่างใกล้ชิด ซึ่งแน่นอนว่า หัวเรือใหญ่จะเป็นใครมิได้นอกจากบิ๊กหยอย
       
       ทั้งนี้ ก่อนที่ พล.ท.มนัสจะถูกศาลทหารออกหมายจับ คสช. เคยมีคำสั่งให้ พล.ท.มนัส ไปรายงานตัวเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 และได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 28 พฤษภาคม 2557 ซึ่งถือเป็นคนแรกๆ ที่ คสช.มีคำสั่งให้ไปรายงานตัวเลยก็ว่าได้ นั่นแสดงว่า ในสายขาของ คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว บิ๊กหยอยไม่ใช่นายทหารแตงโมระดับธรรมดาๆ อย่างแน่นอน
       
       ยิ่งหากย้อนหลังกลับไปในยุคที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และบิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นผู้บัญชาการทหารบก และได้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อควบคุมการชุมนุมของคนเสื้อแดงซึ่งนำไปสู่การเผาบ้านเผาเมืองในปี 2553 ก็ยิ่งเห็นที่มาและที่ไปของเรื่องได้ดี เพราะพล.ท.มนัสเคยถูก ศอฉ.กล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกองกำลังชุดดำของคนเสื้อแดงมาแล้วดังที่เขาเคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเอาไว้ว่า...
       
       "ผมไม่ได้เป็นคนฝึกกองกำลังคนเสื้อแดง แต่ทาง ศอฉ. เคยกล่าวหาผมว่าผมจะทำหน้าที่แทน เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ตอนที่เขาถูกยิงตายไปแล้ว ผมไม่เกี่ยว คนเสื้อแดงเขาฝึกกันเอง มีการบอกต่อๆ กันมาว่า จะต้องทำยังไง ในเน็ตหาอ่านได้ ต้องเอาเหล็กเสียบตีนตะขาบรถถัง น้ำมันเครื่องราดจุด ไฟ เผา ผมไม่ต้องสอนหรอก"
       
       พล.ท.มนัสกล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นหัวหน้าชายชุดดำในเหตุการณ์ 2553 ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้นำไปสู่การทำให้ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมต้องเสียชีวิตและนายทหารอีกหลายนายได้รับบาดเจ็บล้มตาย
       
       นอกจากนั้น พล.ท.มนัสที่เคยสมญานามว่า "แม่ทัพต้านปฏิวัติ" ยังเคยแสดงความคิดเห็นกรณีหมู่บ้านเสื้อแดงเอาไว้อย่างน่าสนใจด้วยว่า "ไม่มีการปลูกฝังอุดมการณ์อะไร เป็นการรวมตัวของชาวบ้านที่คิดเหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงทั้งนั้น แต่ถ้ามีปฏิวัติทุกคนพร้อมใจกันไปต่อต้านแน่ ไม่ต้องฝึกอะไรมาหรอก ประชาชนมือเปล่านี่แหละ ดูซิ กองทัพจะสู้ประชาชนได้หรือเปล่า บทเรียนมีอยู่แล้ว"
       
       กระนั้นก็ดี ภายหลังศาลทหารออกหมายจับ พล.ท.มนัสได้มีผู้คนออกมาแสดงความคิดเห็นกันมากมาย
       
       หนึ่งนั้นก็คือ นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภาสรรหา
       
       30 มิ.ย.57 นายสมชาย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว สมชาย แสวงการ ระบุข้อความว่า...."คนอื่นรวมถึงนักข่าวทั่วไปอาจตื่นเต้นพาดหัวข่าวใหญ่โต ที่ศาลให้ออกหมายจับ นายจักรภพ เพ็ญเเข องค์กรเสรีไทยเถื่อนทาสระบอบทักษิณ ที่พัวพันกับข่าวจับอาวุธสงครามมากมาย แต่ผมกลับหัวใจพองโต สุดตื่นเต้นกับรายชื่อคนที่นักข่าวมองข้ามไปได้อย่างไร นั่นคือการออกหมายจับ นายมนัส เปาริก หรือ พล.ท.มนัส เปาริก เตรียมทหารรุ่น10 อดีต ผบ.พลทหารม้า อดีตรองเเม่ทัพภาค 3 นั้นสำคัญยิ่งกว่าข่าวใด ปริศนากำลังถูกเปิดเเล้วครับ"
       
       ต้องไม่ลืมว่า นายสมชายเคยเป็นคณะกรรมาธิการในการสอบสวนเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองจนนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างมากมายในปี 2553 โดยเฉพาะการไขปริศนาว่ามีกระบวนการ "ชายชุดดำ" เกิดขึ้นจริง
       
       เช่นเดียวกับ "นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์" บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก"Sermsuk Kasitipradit" โดยอ้างชื่อพล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ อดีตรอง ผบ.ทบ. และแม่ทัพภาคที่ 3
       
       "ไม่แปลกใจกับการที่ศาลจังหวัดทหารบกสระบุรี ออกหมายจับ พล.ท.มนัส หลังตำรวจพบหลักฐานพัวพันมีส่วนร่วมในการจัดหาอาวุธสงครามเพื่อใช้ในการก่อเหตุร้าย หลังยึดอาวุธได้จำนวนมาก ทั้งที่ขอนแก่น นครราชสีมา และที่พระนครศรีอยุธยา ในช่วงเดือนที่ผ่านมา และหลังการสอบสวนผู้ต้องหาได้ให้การซัดทอด"
       
       แน่นอนว่า ทั้งหลายทั้งปวงคือข้อสงสัย ซึ่งสุดท้ายแล้ว คงต้องให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสินและทำความจริงให้เป็นที่กระจ่าง
       
       กระนั้นก็ดี สิ่งที่จะต้องตั้งคำถามต่อไปมี 2 ประเด็นด้วยกันคือ
       
        หนึ่ง-จะสามารถจับกุม พล.ท.มนัสมาลงโทษจริงได้หรือไม่
       
       สอง-นอกจาก พล.ท.มนัสแล้วจะสามารถสืบสาวราวเรื่องไปถึง "นายใหญ่" ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ การจับ พล.ท.มนัสก็ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนัก
       
        และกาลเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสุดท้ายแล้ว คสช.จะรู้หรือไม่ว่า คนๆ นี้ทำงานให้ใคร

ขอบคุณ manager.co.th
ที่มา http://www.itplaza.co.th/update_details.php?type_id=1&news_id=37413&page=1