ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

หัดลูกให้เรียนรู้..ไม่ใช่รู้แต่จะหาที่เรียน

เริ่มโดย Mr.No, 23:32 น. 24 ส.ค 54

Mr.No


ผมอ่านกระทู้ "อย่าซ้ำเติมผู้ปกครอง"  แล้วรู้สึกหดหู่แปลก ๆ  แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจนัก เพราะกระทู้ทำนองนี้ไม่ใช่จะที่กิมหยงดอทคอมที่เดียว แต่จะว่าไปมันเป็นกระทู้มาตรฐานที่เวบไซด์ไหนในประเทศก็มีคนโพสเรื่องทำนองนี้.... เพราะเมืองไทย โรงเรียนไทย คนไทย และการศึกษาไทย  ก็ไม่ได้ต่างกัน....

ปัญหาระบบการศึกษาไทยทุกวันนี้ก็เป็นที่รู้กันว่ามันได้กลายเป็นปัญหาที่สร้างภาระให้แก่ผู้ปกครอง และสร้างความเครียดให้แก่เด็กไปพร้อม ๆ กัน...

ทุกวันนี้ ผู้ปกครองที่กำลังตั้งไข่ในชีวิตเริ่มของการเป็นพ่อเป็นแม่ ..ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องคิดว่า ลูกคนแรกต้องได้รับอะไรก็ตามที่ ดีที่สุด....เท่าที่พ่อแม่จะมีปัญญาสรรหาให้

เมื่อลูกวัยเด็กตั้งแต่เริ่มตั้งไข่... พ่อแม่ ก็สาละวนแต่ทำมาหาเงิน...และคนเดียวก็คงไม่พอกินเหมือนเพื่อน กลายเป็นต้องแม่มาร่วมทำมาหากินด้วย สุดท้าย ลูกที่ยังไม่หย่านม..ก็มีอันต้องระเห็จไปฝากคนอื่น...

ฝากปู่ย่า ตายาย พอทำเนา..... แต่ที่ไม่มี ก็ต้องเล็ง...พวกรับฝากเลี้ยงเด็ก หรือทีเรียกว่า เนสเซอรรี่...

ผมโชคดีที่เกิดในยุคโบราณ....กินน้ำข้าวใส่เกลือปะแล่มเป็นของว่าง  ไม่เคยเข้าเนอสเซอรี่ ... ไม่เคยสัมผัสชีวิตเด็กอนุบาล เริ่มต้นก็ว่ากันที่ ประถม 1 ไม่มีใครมาล้างก้นให้ เพราะผ่านการเรียนรู้จากพ่อแม่มาแล้วว่า กินเองได้...อึเองได้...ก็จัดการเองให้เป็น

ผมเกิดในยุคสมัยที่ครู...ยังมีจิตวิญญาณแห่งความเป็นครูสูง เพราะเป็นสัญญาที่ว่า เมื่อรับไม้ต่อจากพ่อแม่ที่ฝากฝัง ดังนั้น ภาระกิจึงต้องทั้งสอน ทั้งสั่ง ทั้งเฆียนด้วยรักและห่วงใย เพราะถือว่าศิษย์ เป็นลูกคนหนึ่ง...

ครูสมัยก่อนเงินเดือนน้อยนิด..ก็พออยู่ได้  ไม่จำเป็นต้องดัดจริตทำวิทยฐานะแบบปัจจุบันเพื่อยกระดับความเป็นครูให้มันเหนือกว่านี้....

ในยุคสมัยปัจจุบันที่ครู ต้องมีวิทยฐานะ เพื่อเป็นหลักประกันว่าครุต้องไม่โง่ตกยุค.. ทำให้ครูต้องหนีศิษย์หันไปหาความรู้เพื่อทำแบบประเมินให้ผ่านเกณฑ์จากระบบการศึกษาใหม่ ได้วิทยฐานะ ก็ได้เงินเพิ่ม.... ระบบการศึกษาห่วยมันก็เลยดึงครูออกจากศิษย์ไปส่วนหนึ่ง...

ครูหนึ่งคน สอนเด็ก 3-4 สิบคน จนปัญญาจะสร้างอัจฉริยะได้ในสภาพนี้.... ดังนั้น เมื่อสอนไม่ทัน...ก็ต้องข้ามๆ  ไปให้มันครบ จบเทอม...วัดกันที่สอบ  เด็กทำไม่ได้  ครูซวย... เพราะถูกประเมินจากสารพัน

ครูไทยเงินเดือนน้อยนิด....7-8 พันบาท จะคาดหวังอะไรนักหนา.... เทียบกับสิงค์โปร์ใกล้บ้าน เงินเดือนเป็นแสน ...ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ คนฉลาดในสิงค์โปร์ส่วนใหญ่มุ่งเป็นครู... เมื่อครูดี ครูฉลาด ไม่ต้องทำวิทยฐานะเพื่อหาเงินอีกน้อยนิดมาเลี้ยงตัวให้รอดไปเดือน ๆ เวลามันก็ทุ่มเทได้เต็มที่...

เมื่อครูถูกระบบมันครอบ และกดดัน... มันก็เพี้ยนได้... บางคนจากครูธรรมดา ...พอได้วิทยฐานะหน่อยมีคนเรียกอาจารย์ พาลตัวโตอีโก้เต็มตัว ... ใครเรียก "จาน จาน "โห มันตัวพองจะแตกเสียให้ได้...

ค่านิยมการส่งลูกเข้าเรียนก็เพี้ยนได้ที่.... แข่งกันตั้งแต่ลูกยังไม่เกิด คิดกันตั้งแต่ไก่โห่ว่าลูกกูโตจะฝากเข้าที่โน่น...จะเรียนที่นี่... ที่ไหนที่ว่าดี ตีความเอาจาก  "เค้าบอกว่า"

โรงเรียนอนุบาลบางแห่ง... ก็เหลือเกิน  ทำทุกอย่างให้คล้ายโรงเรียน แต่เบื้องลึกคิดแต่ "ผลกำไร"

เด็กตัวกระเปี้ยก..พอเดินยังไม่ทรงตัวดี  พวกเล่นยัดหนังสือเต็มเป้  ... เด็กเดินกันหลังแอ่น พกหนังสือเกือบ 5 โลทุกวัน...เมื่อถามว่าเล่มนี้ได้เรียนมั้ย... เด็กส่ายหัวบอกไม่เรียน ...เล่มนี้ละ..ก็ส่ายหัว... จึงสรุปว่า  ..ขายหนังสือเอาเงินยังไมพอ..สอนก็ยังไม่ทัน ...แถมทรมานสร้างกรรมกับเด็ก ให้แบกมันได้ทุกวี่ทุกวัน

คุณแม่..คุณพ่อ นี่ก็ตัวดี... อวดมั่ง อวดมี อวดบารมีวัดความร่ำรวยกันที่หน้าโรงเรียน ..
เด็ก 1 คน รถเก๋ง 1 คัน ...บางคันเล็กหน่อย ก็ค่อย ๆ ขับแบบเหนียม ๆ แอบไปจอดในซอย  แต่บางคันป้ายแดงคนโต กลัวคนจะไม่รู้ว่าตูจะโชว์ ก็เล่นจอดมันซ้อนคัน...หน้าตาเฉย ใครจะทำไม่
เด็ก 300 คน รถเก๋ง..ก็เลยเต็มช่องจราจรหน้าโรงเรียนวุ่นวาย.....จนกลายเป็นปัญหาให้คนอื่น (แต่โรงเรียน รับแต่ทรัพย์)

เด็กในโรงเรียนมีหลายร้อย... มีแค่สองคนสอบอะไรได้ดีหน่อย พวกเล่นขึ้นป้ายหรูหน้าโรงเรียน..... โฆษณาโรงเรียน (แต่ไม่จ่ายค่าโฆษณาให้เด็ก)
อีกหลายร้อย... เงียบฉี่สอบอะไรก็ไม่ได้ ตกลงว่า  โรงเรียนสอนดี  หรือ เด็กมันเอาดี ....

โรงเรียนดี.. ไม่ได้วัดกันที่   "เค้าบอกว่า"
ครูดี.... ก็ไม่ได้วัดกันที่      "ไหว้สวย"
ระบบการศึกษาดี... ไม่ได้วัดกันพวกที่ต้องผ่านเกณฑ์  ONET GAT-PAT  แต่มันวัดกันที่  รู้เท่าทันโลกนี้และเข้าใจการเรียนรู้เพื่ออยู่ในโลกนี้และสังคมดีเพียงพอหรือไม่

โรงเรียนที่ดีที่สุดของเด็กวัยอนุบาล คือ บ้าน.....
ครูที่ดีที่สุดของเด็กวัยนี้คือ................... พ่อ และ แม่

ไอนสไตน์...บีโธเฟ่น และอัจฉิรยะของโลก ไม่ได้เติบโตมาเพราะผ่านโรงเรียนอนุบาลดังๆ  แต่โตเพราะมีแรงบันดาลใจ

แรงบันดาลใจ เกิดได้จาก พ่อแม่ และสิ่งใกล้ชิด.....

พ่อแม่ฝรั่ง... นิยมพาลูก เที่ยวสวนสัตว์...เที่ยวพิพิทธภัณฑ์  พาลูกฟังดนตรีดี ๆ เที่ยวไปสอนลูกไป ...ให้ลูกเกิดจินตนาการและเรียนรู้ที่จะมี idol ในชีวิตครั้งแรก

พ่อแม่ไทย.... พาแต่ลูกเข้าห้างสรรพสินค้า....  ... พาลูกกินแมคฯ กินของหรูหราฟุ่มเฟือย เพราะกลัวลูกตก trend จึงไม่แปลกที่ลูกเมื่อโตขึ้น  จึงเรียนรู้ได้เพียงจบมาแล้วเป็นขี้ข้าคนอื่น... โดยเฉพาะ ฝรั่ง

เพราะพ่อแม่ไม่ฉุกคิด..... และฉีกกรอบสังคมจอมปลอมออกทิ้ง แล้วเริ่มปลูกฝังสิ่งที่ดี ๆ ควรค่า ให้ลูก และสร้างค่านิยมใหม่โดยยึดเอาตัวเอง เป็นครูที่ดีทีสุดก่อน แล้วค่อยผ่อนผันให้ค่อยมันช่วยแบ่งเบา...

ให้ลูกได้เกิดความมั่นใจและเอาเวลาทั้งหมดในการสร้างฝัน และจินตนาการ ไม่ใช่แค่ 4 ขวบก็ริอ่านเปรียบเทียบว่าคนโน้นรวย..รถเค้าสวย 

เด็กบ้านนอกแม่ขายไก่ชำแหละกลางตลาด.. ไม่รุ้จักไอติมแพงโคตรอย่างสเวนเซ่น... ก็คงไม่น่าละอายนัก แต่เด็กบ้านนอกมันเรียนวิชาชีววิทยา เกี่ยวกับเรื่องอนาโตมี ได้ก่อนเด็กเมือง....  เพราะมันรู้ว่า ในตัวไก่นั้น มีปอด มีตับ มีกึ๋น ไส้ใหญ่ ไส้เล็ก และเอ็นข้อไก่เส้นไหนทีเอามาดึง ๆ  แล้ว  ตีนไก่มันขยับได้กลายเป็นของเล่น...

การเรียนรู้ คือ หัวใจของเด็ก...ที่ พ่อแม่ เท่านั้นคือผู้สร้างได้ (ไม่ใช่ครูอนุบาล)
แรงบันดาลใจเกิดได้ด้วยการ เห็น...เรียนรู้... และประทับใจ

แรงบันดาลใจดี.... เด็กมีแววดี............ แรงบันดาลใจแย่....เด็กก็ทำโตขึ้นแว๊น..........แรงบันดาลใจไม่มี อันนี้ โทษ พ่อแม่มันห่วย....ว่ามั้ย
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

จ้ะ

โคตรถูกใจคำพูดพี่เลยครับ

โดนทุกดอก  ส.ตากุลิบกุลิบ

คิมยอง

หลวงก็คงเกิดสมัยเดียวกับผมแหละ ผมเข้า ป 1 เลย จริง ๆ มันมี ป เตรียม แหละ (บ้าน ๆ เรียก ป เกรียม) แต่ผมอ่านหนังสือออกก่อนเข้าเรียน(พ่อสอน)เลยเขาให้เข้า ป 1 เลย

มันก็เป็นเหมือนที่หลวงว่าแหละ เห็นดูก็แต่โบ๋เด็ก ๆ โดนยัดเยียดอะไรต่อมิอะไรมากมายจังหูแหม็ด แต่ลูกผมตั้งใจไว้แล้วว่า จะให้เรียน ศิลปะ ดนตรี หรือกีฬา ไม่เอาวิทย์ เคมี ฟิสิกส์ ไอไรพวกนั้น แจ็บหัวเหม็ดนิ

เรื่องครูก็ไม่โร้อีแหลงว่าพรื่อ มันคงเป็นกรรมเก่าของครูมั้ง

ดีใจที่ตัวเองรู้เท่าทันสังคมสมัยนี้

ครูโรงเรียนวัด

       เคยเรียนโรงเรียนวัดไม่เคยเรียนชั้นอนุบาล สอบได้ที่1ทุกปี สอบเข้าเรียนม.1โรงเรียนมัธยมดังคือม.ชายสมัยนั้น
ตอนนี้เป็นครูคศ.3 โรงเรียนวัดไม่ได้ดัดจริตทำแต่ทำเพราะความก้าวหน้าของตัวเองนำนวัตกรรมมาใช้กับนักเรียนสอบได้คะแนนอันดับต้นๆของเขตพื้นที่ ตอนนี้เงินเดือนห้าหมื่นต้นๆ
       ที่กล่าวมาทั้งหมดเพียงแต่จะบอกว่าเรียนโรงเรียนวัดก็ประสพความสำเร็จในชีวิตได้
       และอาชีพครูไม่ได้มีเงินเดือนแค่7-8พัน
       และที่ทำวิทยฐานะก็ไม่ได้ทำเพราะดัดจริต
       มีลูกหลานควรส่งเสริมให้เรียนครูเป็นครูที่ดีและมีความก้าวหน้าในอาชีพก็มีมาก
       และที่สำคัญคนที่เข้ามาโพสคงผ่านการเป็นศิษย์มีครูมาแล้วทุกคนโปรดอย่าดูถูกครูอีกเลย
คงมีครูไม่มากนักที่เป็นอย่างที่กล่าวถึงกันอย่างนั้นคงเรียกพนักงานรับจ้างสอนก็ไม่ผิดค่ะ
                 ขอขอบคุณคุณครูที่เคยสอนมาทุกๆท่าน ที่ทำให้ดิฉันมีวันนี้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้

คิมยอง

เขาไม่ได้ว่าครูหรอกครับ เขาพูดถึงระบบต่างหาก ระบบที่ไม่เอื้ออำนวยให้ครูเป็นครูมืออาชีพ
น่าเห็นใจครูนะครับ ครู ท 5 เคยมาระบายความอัดอั้นตันใจให้ฟังว่า ทุกวันนี้ทำงานไม่ใช่ 8 ชม. แล้ว แต่เป็น 10 กว่า ชม. เพราะงานเยอะมาก ทำไม่ทัน ดูแลหลายด้าน ให้ที่เขาว่าอะไรนะ ไอ้แท่ง ๆ อะไรนั่นที่เปลี่ยนมาจากซีน่ะ ไม่รู้แท่งอะไร แท่งไอติมรึปล่าว ก็ต้องทำ ต้องทำหมด ทำได้ไม่ดีก็โดนตำหนิ ทำดีก็เท่านั้นแหละ

แล้วไอ้ระบบ onet anet rnet enet gatpat แกทเพิท อะไรนี่ มันคืออะไรเหรอ มั่วตั้วเหมือนคั่วเคยไปหมด ให้ลูกเรียน กศน ดีมั้ยเนี่ย ต่างประเทศเขาเรียนแบบ กศน.นะ จะบอกให้ (หมายถึง เรียนน้อย เน้นปฏิบัติ ส่งเสริมระเบียบวินัยและความกล้าแสดงออก บ้านเราเด็กแต่งเครื่องแบบเรียบร้อย แต่ไม่ค่อยมีวินัยในตนเอง)

ครู


Mr.No

ผมเขียนกระทู้นี้ด้วยจิตสำนึกในการระลึกถึงพระคุณครูอย่างเต็มหัวใจ ...เขียนไป นึกภาพครูที่สอนสั่งให้ผมเป็นผู้เป็นคนในวันนี้ ผุดขึ้นมาในห้วงความจำได้.แม้นวันนี่ตัวท่านจะมีเพียงภาพในความทรงจำของผม.....

ก่อนจะคุยต่อกระทู้ ขออนุญาตนำข้อความที่ผมพบในเวบไซด์แห่งหนึ่งละแวกบ้านเราเมื่อเร็ว ๆนี้... มาให้อ่านกันกัน ครูอ่อนเยาว์ที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังที่จะสร้างศิษย์..สอบถามความเป็นจริงในโลกของครูถึง ผอ.สำนักงานเขตแห่งหนึ่ง...ลองอ่านซิครับ

ครูถาม...

"หนูเรียนจบปริญญาตรีทำการสอนอยู่ที่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามแห่งหนึ่งในจังหวัด""" ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีนักเรียนเกือบพันคน แต่ค่าตอบแทนครูที่ได้รับจากโรงเรียนในช่วงสองปีแรก เกือบๆห้าพันบาท ตอนนี้สอนมาสามปีแล้วเงินเดือนเพิ่งจะได้ห้าพันกว่าๆเท่านั้นเอง โดยที่หนูทราบมาจากเพื่อนๆที่สอนโรงเรียนอื่นๆว่าเขามีเงินเดือนเริ่มต้นที่ เจ็ดพันกว่าบาทเกือบแปดพัน แล้วโรงเรียนหนูมันทำไม อยากเรียนถามท่านผอ.ว่าสิทธิตรงดังกล่าวหนูสามารถเรียกร้องได้หรือไม่ หากได้สามารถเรียกร้องได้อย่างไร หนูทราบมาว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายเงินเดือนครู เป็นเงินของรัฐไม่ใช่เงินของโรงเรียนแล้วทำไมโรงเรียนถึงให้ไม่เต็มวุฒิ ป.ตรี ? และหนูอยากให้ สช.ออกประกาศให้สาธารณชนทั่วไปเขาทราบได้ใหมว่า ในแต่ละเดือนโรงเรียนนี้ได้รับเงินมาเท่าไร และโรงเรียนต้องเอาไปใช้จ่ายอะไรได้บ้าง และมีการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินอย่างไร
ฝาก ผอ.ด้วย เพื่อคุณภาพชีวิตของครูที่ดีและมีกำลังใจในการทำงาน"


ผอ.สนง การศึกษาฯ ท่านตอบ...

"เรื่องนี้ เป็นการสมยอมกันทั้งสองฝ่าย เอกสารหลักฐานถูกต้องหมด เอาเป็นว่าโรงเรียนอยู่ได้เพราะครู ครูอยู่ได้เพราะโรงเรียน ผมอยากให้หนูแสดงความสามารถในอาชีพครูให้เต็มกำลังความสามารถเป็นที่ประจักษ์ เช่น นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น ได้รับการยกย่องให้เป็นครูดีเด่น ฯ เป็นต้น น่าจะทำให้มีหลายโรงที่จ้องให้หนูไปสอน ส่วนเงินอุดหนุนรายบุคคลที่รัฐอุดหนุนให้โรงเรียนนั้น โรงเรียนต้องใช้จ่ายโดยมีหลักเกณฑ์ครับ สช.จังหวัด......???และส่วนกลางก็เข้าไปกำกับดูแลและแนะนำให้เป็นไปตามระเบียบฯ ที่สำคัญสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจะเข้าไปตรวจสอบทุกโรงเรียน หากปฏิบัติไม่ถูกต้องก็จะเรียกเงินคืนครับ"

อ่านแล้วคงเข้าใจว่า เงินเดือนครูไทย...ไม่ใช่เริ่มที่หลายหมื่น ...ยิ่งครูเอกชนที่ต้องฝืนกลืน การกดค่าแรง..ค่าจ้างสารพัน..สอนดี เท่าตัว..เผลอดสอนมั่วไปนิด ชีวิตครู(เอกชน) จบสิ้น...

ทุกวันนี้ โรงเรียนกลายเป็นต้องเข้า ระบบ iso ไปแล้ว...ต้องมีผู้ประเมิน เพราะไม่เชื่อครูว่าจะประเมินตัวเองเป็นมั้ย....(แต่คนประเมินก็ไม่รู้ว่าจะมีใครไปประเมินก่อนหรือไม่)

โรงเรียนวัดวันนี้ต้องมี vision มี mission มี goal  มีศัพท์แสงบัญญัติใหม่พะรุง พะรังจนปวดหัว..... ไฉนเลยมาฟังนิทานแก้ปวดหมองกันดีกว่า.

สมัยก่อนเมื่อนานแล้ว.....มีหลวงพ่อชรารูปหนึ่งกำลังนั่งสอนเด็ก ในโรงเรียนวัด มีขอทานแขนด้วนเดินเข้ามาขอเงินกินข้าวกับหลวงพ่อ....
หลวงพ่อท่านบอกว่า  อยากได้เงินกินข้าว ก็ช่วยขนอิฐกองนี้ไปไว้ตรงนั้นให้หมดกอง ก็จะให้..  ขอทานด้วนทำหน้าเอ๋อ..บอก  ผมพิการแบบนี้จะทำอะไรได้ ถ้าได้ผมคงไม่ต้องขอทาน....

หลวงพ่อท่านเมตตา จึง เดินไปหยิบอิฐด้วยมือเพียงแขนเดียว เดินไปวางให้ดู..ขอทานก็ทำตาม

ด้วยแขนเดียว แม้ช้าหน่อย ไม่นาน อิฐกองนั้นก็ย้ายไปหมด......
หลวงพ่อชรา ให้เงินแก่ขอทานเป็นจำนวนมากกว่าคำว่า "ทาน" แต่กลายเป็น "ค่าจ้าง" พร้อมบอกว่า เงินที่ให้เป็นเงินที่เอ็งทำเอง... 
ขอทานดีใจได้เงินมากมาย...กราบลาหลวงพ่อ

เด็กในโรงเรียนพยักหน้าเข้าใจ เพราะความหมายถูกอธิบายด้วยภาพจริง และสถานการณ์จริง.....

หลายวันต่อมา  หลวงพ่อรูปเดิมนั่งสอนนักเรียนกลุ่มเดิม ก็มีขอทานแขนด้วน อีกคนเดินเข้ามากราบหลวงพ่อบอก ...
"ผมขอเงินกินข้าวหน่อยครับ"

หลวงพ่อ ยิ้มเล็ก ๆ ก่อนเอ่ยให้ขอทานแขนด้วย ช่วยย้ายอิฐที่กองอยู่ตรงโน้น มากองตรงนี้ให้หน่อย...แล้วจะให้เงิน

ขอทานนึกในใจโกรธหลวงพ่อ. ...ก่อนจะผลุนผลันเดินหนีไป ไม่ใยดี....

เด็กนักเรียนหลายคนงง ว่าทำไมหลวงพ่อชรา จึงสั่งให้ขอทานย้ายกองอิฐ ไป ๆ มา ๆ ...

หลายปีต่อมา...  ขณะเด็ก ๆ กลุ่มเดิมกลายเป็นเด็กโตขึ้นกำลังนั่งเรียนพร้อมกับครูคนใหม่ (ไร้หลวงพ่อชรา)
ก็มีรถเก๋งคันโต ขับเข้ามาจอด พร้อมกับหนุ่มใหญ่ใส่แขนปลอมก้าวลงจากรถ ถามหาหลวงตาอยู่ไหม...

เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งตอบทันใดว่า บัดนี้หลวงตาท่านมรณภาพไปแล้ว...... แล้วถามอย่างคุ้นหน้าว่าเคยเห็นท่านมาก่อนหรือไม่ 

หนุ่มใหญ่ตอบว่า.... เสียใจที่มากราบท่านไม่ทัน... เพราะถ้าไม่ได้ท่านวันนั้น ขอทานแขนด้วนคนนั้น คงไม่มีจิตใจจะสุ้ชีวิตและประสบความสำเร็จแบบวันนี้.... เพราะอุบายย้ายอิฐแท้ ๆ ...ทำให้ ความสำเร็จจากชีวิตสู้จึงอยุ่คู่กับคนที่เข้าใจ

ส่วนขอทานคนทีสอง...... ก็ยังเป็นขอทานอยู่เช่นเดิม....

เล่านิทานมา (ไม่รุ้จะเกี่ยวกับกระทู้มั้ย) ให้ฟัง.... คงได้แต่รำพึงลำพังว่า....    เด็กนักเรียนในสถาบันศึกษาบังคับมา 15 ปี ...ตกลง ได้แต่"เรียน" แต่ยังไม่เคยถามตัวเองว่า "รุ้" บ้างหรือไม่....


..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

อยากเห็นหาดใหญ่ดีขึ้น

ใช่ครับเดี๋ยวนี้ระบบการศึกษาของไทยสอนให้เด็กเป็นพวกพิการทางสมอง เป็นแต่รับอย่างเดียวไม่รู้จักค้นคว้าศึกษาด้วยตัวเอง เก่งแต่ในหนังสือแต่ไม่รู้จักการประยุกต์ใช้ ทุกวันนี้บัณฑิตจบใหม่คุณภาพไม่ต่างจากเด็กจบ ม.6  ส.งอน ส.งอน ส.งอน

นู๋ผักหวาน

อ้างจาก: อยากเห็นหาดใหญ่ดีขึ้น เมื่อ 08:37 น.  27 ส.ค 54
ใช่ครับเดี๋ยวนี้ระบบการศึกษาของไทยสอนให้เด็กเป็นพวกพิการทางสมอง เป็นแต่รับอย่างเดียวไม่รู้จักค้นคว้าศึกษาด้วยตัวเอง เก่งแต่ในหนังสือแต่ไม่รู้จักการประยุกต์ใช้ ทุกวันนี้บัณฑิตจบใหม่คุณภาพไม่ต่างจากเด็กจบ ม.6  ส.งอน ส.งอน ส.งอน

อือออ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้
แ๊ก๊งผัก

นู๋ผักหวาน

แ๊ก๊งผัก

หมดกำลังใจ

เคยเป็นครูเอกชนแห่งหนึ่ง สอนเต็มที่ ไม่เคยขาดสอน เข้มงวดเรื่องวิชาความรู้กับเด็กมาก ทุ่มเทสุดๆ ผลลัพธ์ เด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบ บางคนกล้าแสดงออก เดินเข้ามาบอกว่า จะเข้มงวดอะไรกันหนักหนา จบไปหนูก็กลับไปกรีดยางอยู่ดี ไม่ได้ใช้ความรู้ที่ครูให้หรอก ตกงานน่ะ   ปลายเทอมถูกเด็กประเมินการสอนแ่ย่สุดๆ รับไม่ได้ ลาออกไม่เป็นแล้ว  ครู 

ปัจเจกพุทธ

สมัยเรียน ปวช มีครูคนหนึ่ง เป็นครูภาษาจีน เพิ่งเข้ามาใหม่ เข้มงวดเรื่องการเรียนมาก เนื้อหาแน่นปึ้ก เด็กไม่ชอบเลย ถึงกับประชุมกันเพื่อเรียกร้องให้ครูคนนี้ลาออก ผ่านไป 1 ปี ครูคนนี้ถูกประเมินว่าสอนไม่ดี ครูจึงลดเนื้อหาลง 80% (ลดกระหน่ำ) แล้วสอนไป เด็กชอบ ครูก็อยู่ต่อไปได้ เพราะครูไม่อยากตกงาน แต่ครูก็เปลี่ยนนิสัยดุ ๆ ของตัวเองไม่ได้

หลายปีต่อมา ครูคนนี้โดนให้ออก สาเหตุเพราะ โยนรองเท้านักเรียนคนหนึ่งที่วางรองเท้าไม่เรียบร้อย ลงมาจากชั้น 4 พอดีผู้บริหารยืนอยู่ข้างล่าง เห็นเหตุการณ์ จึงให้ครูออกจากโรงเรียน ไปสอนที่อื่น

Mr.No

อ้างจาก: ปัจเจกพุทธ เมื่อ 10:36 น.  28 ส.ค 54
สมัยเรียน ปวช มีครูคนหนึ่ง เป็นครูภาษาจีน เพิ่งเข้ามาใหม่ เข้มงวดเรื่องการเรียนมาก เนื้อหาแน่นปึ้ก เด็กไม่ชอบเลย ถึงกับประชุมกันเพื่อเรียกร้องให้ครูคนนี้ลาออก ผ่านไป 1 ปี ครูคนนี้ถูกประเมินว่าสอนไม่ดี ครูจึงลดเนื้อหาลง 80% (ลดกระหน่ำ) แล้วสอนไป เด็กชอบ ครูก็อยู่ต่อไปได้ เพราะครูไม่อยากตกงาน แต่ครูก็เปลี่ยนนิสัยดุ ๆ ของตัวเองไม่ได้

หลายปีต่อมา ครูคนนี้โดนให้ออก สาเหตุเพราะ โยนรองเท้านักเรียนคนหนึ่งที่วางรองเท้าไม่เรียบร้อย ลงมาจากชั้น 4 พอดีผู้บริหารยืนอยู่ข้างล่าง เห็นเหตุการณ์ จึงให้ครูออกจากโรงเรียน ไปสอนที่อื่น

ส.หัว ส.หัว  เหล่าซือ แกคงมีวิบากกรรมที่ทำกันมากับผู้บริหารกระมังครับ.... ว่าแต่อยากทราบว่ารองเท้าที่โยนลงมา มันลงตรงจุดไหนละของผู้บริหารครับ ส.หัว
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

บ่าวเคว็จ

เห็นด้วยกับความคิดของท่าน MR.NO อย่างแรง +1  ส.ยกน้ิวให้ เป็นปัญหาระดับชาติทีเดียวครับ

ปัจเจกพุทธ

อ้างถึงเหล่าซือ แกคงมีวิบากกรรมที่ทำกันมากับผู้บริหารกระมังครับ.... ว่าแต่อยากทราบว่ารองเท้าที่โยนลงมา มันลงตรงจุดไหนละของผู้บริหารครับ

ตกใกล้ ๆ กับผู้บริหารครับ จริง ๆ ความผิดนี้ควรจะไล่ออกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผู้บริหารก็ไม่ค่อยชอบเหล่าซือคนนี้อยู่แล้ว เลยจัดการซะเลย

ตอนนั้นผมเห็นเหล่าซือแล้ว นึกถึงหนังจีนกำลังภายใน อาจารย์เข้มงวด ศิษย์ก็เป็นยอดยุทธ์ อาจารย์สอนบ้างไม่สอนบ้าง เนื้อหาหลวม ๆ ศิษย์ก็เป็นได้แค่จอมยุทธ์ปลายแถว

ลูกแมวตาดำๆ

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 23:32 น.  24 ส.ค 54

คุณแม่..คุณพ่อ นี่ก็ตัวดี... อวดมั่ง อวดมี อวดบารมีวัดความร่ำรวยกันที่หน้าโรงเรียน ..
เด็ก 1 คน รถเก๋ง 1 คัน ...บางคันเล็กหน่อย ก็ค่อย ๆ ขับแบบเหนียม ๆ แอบไปจอดในซอย  แต่บางคันป้ายแดงคนโต กลัวคนจะไม่รู้ว่าตูจะโชว์ ก็เล่นจอดมันซ้อนคัน...หน้าตาเฉย ใครจะทำไม่
เด็ก 300 คน รถเก๋ง..ก็เลยเต็มช่องจราจรหน้าโรงเรียนวุ่นวาย.....จนกลายเป็นปัญหาให้คนอื่น (แต่โรงเรียน รับแต่ทรัพย์)



โดนใจอย่างแรง โรงเรียนบางโรงเรียนกลางเมืองสงขลา ก็เป็นแบบนี้ แถมสะพานลอยมีหลังคา สะพานลอยสบายที่สุดแล้วในอำเภอนี้ ก็ไม่ค่อยมีเด็กข้าม เพราะ จราจร โบกให้ข้ามใต้สะพานลอย ในระยะ ไม่เกิน 100 เมตรจากสะพานลอย ด้วยซ้ำ ผิดกฎหมายชัดๆ ไปดูบางโรงเรียนทางเกาะยอดิ สะพานลอยไม่มีหลังคา ร้อนก็ร้อนแต่เด็กกว่า95% ข้ามสะพานลอย แต่ก็มีบ้างนิดๆหน่อยที่แอบข้ามใต้สะพานลอยแต่เป็นส่วนที่น้อยมากถ้าเทียบกับเด็กที่ข้ามสะพานลอย

ครูน้อย ๆ