ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

การบวชภิกษุณี สามเณรี ในประเทศไทยทำได้หรือไม่เห็นที่เกาะยอทำแล้ว

เริ่มโดย หาดใหญ่ใหม่, 11:42 น. 03 ธ.ค 57

คนชอบถาม

ความเห็นของหลวงพ่อพระพยอม ดูกลางๆ

ไตร่ตรองให้ดี  โดย พระพยอม กัลยาโณ

"อาตมาเคยสัมผัสมาบ้าง เวลาผู้หญิงมาบวชมีอะไรแปลกๆ มีเรื่องหยุมหยิม แย่งที่อยู่ แย่งที่นั่งสวดมนต์ แย่งที่ตากผ้าเล็กๆน้อยๆแบบไม่น่าจะเป็น แต่ผู้หญิงก็มีเรื่องหยุมหยิมที่จะเป็นได้ นี่พูดถึงเรื่องส่วนเสียก่อน แต่ส่วนดียังไงก็ต้องมี อย่างที่เคยพูดว่า ถ้าสตรีที่มีทุกข์จะมาปรึกษากับพระหรือค้างวัดก็น่าเกลียด แต่ถ้าไปสำนักภิกษุณีหรือนักบวชหญิงด้วยกันอาจทำให้คลายทุกข์ เพราะเข้าใจในหัวอกเดียวกัน สามารถที่จะพูดจาให้ข้อคิดสะกิดใจ ตรงนี้มีประโยชน์แน่นอน"

http://www.lokwannee.com/web2013/?p=115920

คนชอบถาม

นำมารวบรวมไว้ที่นี่เลย จะได้เป็นแหล่งข้อมูล

ปัญหาภิกษุณี คิดให้ดีก็ไม่ยาก พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป.อ.ปยุตฺโต )
https://www.youtube.com/watch?v=8kDirPLm9YY

Mr.No

อ้างจาก: คนเมืองสง เมื่อ 22:40 น.  12 ม.ค 58
https://www.youtube.com/watch?v=De7gPaVuDGg

คลิปที่ท่านคนเมืองสง ยกเอา หลวงปู่เกษม มาให้ดูเพราะผมว่าผมดูจนแทบจะจำลีลาท่าทาง ซดชาจีนของท่านได้แทบหมด..

ว่ากันตามจริง...ดูเหมือนว่าท่านก็เป็นภิกษุที่เอาจริงเอาจังในการรักษาพระธรรมวินัยและใช้พระธรรมวินัยในการใช้ชีวิตสมณะ ..แต่ดันมาพลาดกับสิ่งที่ทำให้ชาวพุทธรู้สึกไม่ค่อยดีกะท่านก็อีตอนที่ท่านเล่นเอาเท้าลูบพระพุทธรูปบ้าง เหยียบพระพุทธรูปบ้าง....ซึ่งภายหลังก็บอกว่าสิ่งที่ท่านทำไปก็รู้ว่าผิด โดยเฉพาะผิดในการทำให้จิตใจพุทธศาสนิกชนนั้นรู้สึกเศร้าหมอง กระทำการเช่นนั้น

ขนาดสาวฝรั่งมันแต่งสั้นจู๋ใส่เสื้อในถ่ายภาพยืนค้ำเศียร์พระพุทธรูป..คนไทยเห็นก็จะเป็นจะตายเร่งให้จัดการพวกหมิ่นศาสนา  (เค้าใช้คำว่า หมิ่นศาสนา)

แต่หลวงปู่นี่..เล่นตรงๆ  แบบช๊อคเทอราพีคนไทย...ทั้งที่ตัวเองก็รู้อยู่ว่าเป็นใคร

ท่านบอกว่า ..ที่ท่านทำถือเป็นกุศโลบายที่จะสอนให้คนได้เข้าใจในพระธรรมวินัยว่าพระพุทธเจ้าห้ามมิให้ยึดถือเอาพวกก้อนดินหินปั้นเป็นสรณะ เพราะมันช่วยอะไรหรือดลบันดาลอะไรให้ไม่ได้....อันนี้ก็เข้าใจได้อยู่ว่า พุทธองค์ท่านทรงห้ามไว้ แต่ท่าน  แร๊งส์!  ราวกับเกรงว่าจะไม่ดัง ก็เลยเล่นทำอะไรที่มันพิลึกพิลั่นผิดอาการสำรวมอย่างที่ภิกษุพึงกระทำ

ขนาดเจ้าประคุณชั้นสมเด็จ พระเถรานุเถระ ตั้งแต่ยุคสุโขทัยไล่เรื่อยมาจนรัตนโกสินทร์ เช้าเย็นก็ยังต้องกราบตัวแทนพระพุทธองค์เพื่อทำวัตรทุกวัน....แล้วนี่ท่านเป็นใคร ถึงได้หาญกล้าเอาขนาดนั้น

บางเรื่องจะสอนคนต้องใช้ปัญญา...ต้องใช้เวลา และทีสำคัญ  ต้องสำรวมและระวังทัั้งกายและจิตไม่ใช่ใช้วิธี  "ห่ามๆ"  สอนธรรม   หรือคนไทยมันยังไม่ฉลาดในสายตาท่านจึงต้องใช้แบบ "เถื่อน ๆ" 

ประเด็นที่ท่านอ้างเรื่องภิกษุณีสงฆ์ท่านก็อ่านพระไตรปิฎก...ซึ่งผมว่าผู้สนใจเรื่องนี้ใคร ๆ ก็อ่านก็ฟังกัน แต่ท่านยืนยันว่า ท่านเป็นเถรวาทท่านรับไม่ได้  (แต่ทีเถรวาทไทยกราบไหว้พระพุทธรูปกันไหง๋ท่านดันรับไม่ได้ ทั้งที่นิกายเดียวกัน)  ก็สรุปเหมือนกันตรงที่ท่านยังยึดติดกับความเป็นนิกายเหมือนกัน

ผมว่าวันนี้... หลวงปู่เกษมท่านอาจจะเชื่อว่า  มนุษย์เปรียบเหมือนบัว 4 เหล่าอยู่ละมัง!??   เพราะท่านชำนาญด้านอรรถกถาจาร์ยมากกว่า พุทธโอษฐ์.



..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

คนเมืองสง

อ้างจาก: คนชอบถาม เมื่อ 11:24 น.  13 ม.ค 58
ความเห็นของหลวงพ่อพระพยอม ดูกลางๆ

ไตร่ตรองให้ดี  โดย พระพยอม กัลยาโณ

"อาตมาเคยสัมผัสมาบ้าง เวลาผู้หญิงมาบวชมีอะไรแปลกๆ มีเรื่องหยุมหยิม แย่งที่อยู่ แย่งที่นั่งสวดมนต์ แย่งที่ตากผ้าเล็กๆน้อยๆแบบไม่น่าจะเป็น แต่ผู้หญิงก็มีเรื่องหยุมหยิมที่จะเป็นได้ นี่พูดถึงเรื่องส่วนเสียก่อน แต่ส่วนดียังไงก็ต้องมี อย่างที่เคยพูดว่า ถ้าสตรีที่มีทุกข์จะมาปรึกษากับพระหรือค้างวัดก็น่าเกลียด แต่ถ้าไปสำนักภิกษุณีหรือนักบวชหญิงด้วยกันอาจทำให้คลายทุกข์ เพราะเข้าใจในหัวอกเดียวกัน สามารถที่จะพูดจาให้ข้อคิดสะกิดใจ ตรงนี้มีประโยชน์แน่นอน"

http://www.lokwannee.com/web2013/?p=115920
พรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่นาน
[๕๑๘] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
พระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม ๘ ประการแล้ว พระมาตุจฉา
ของพระผู้มีพระภาค อุปสมบทแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือนบวช
เป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นาน
สัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอดพันปี ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว บัดนี้ พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัท
ธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง ๕๐๐ ปีเท่านั้น ดูกรอานนท์ สตรีได้ออกจากเรือนบวชเป็น
บรรพชิตในธรรมวินัยใด ธรรมวินัยนั้นเป็นพรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่ได้นาน เปรียบ
เหมือนตระกูลเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีหญิงมาก มีชายน้อย ตระกูลเหล่านั้นถูกพวก
โจรผู้ลักทรัพย์กำจัดได้ง่าย อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนหนอนขยอกที่ลงใน
นาข้าวสาลีที่สมบูรณ์ นาข้าวสาลีนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน อีกประการหนึ่ง เปรียบ
เหมือนเพลี้ยที่ลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน ดูกรอานนท์
บุรุษกั้น ทำนบแห่งสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้น้ำไหลไป แม้ฉันใด เราบัญญัติ
ครุธรรม ๘ ประการแก่ภิกษุณี เพื่อไม่ให้ภิกษุณีละเมิดตลอดชีวิต
ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ

Mr.No

อ้างจาก: คนเมืองสง เมื่อ 09:30 น.  13 ม.ค 58
อันนี้คือข้อวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์
(หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท สิริวฑฺฒโน)(วาระ   2465   - 2480)   วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้าลำดับ ๑๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระองค์ได้ทรงวินิจฉัยไว้โดยรอบคอบและออกเป็นประกาศท่ามกลางหมู่ราชบัณฑิตด้านการศาสนาทั้งหลายมาแล้ว
ไม่ปรากฎว่าเคยมีผู้ใดนำข้ออ้างอิงอื่นมาหักล้างได้ คุณ MR.NO โปรดจงอ่านคำวินิจฉัยนั้นให้ครบทุกตัวอักษร

เรื่องนี้ผมอ่านมานานแล้วครับ...(อยากให้ย้อนกลับไปอ่านที่ผมเขียนความเห็นแต่แรก) แต่มันคนละประเด็นกันกับเรื่อง ที่จะนำไปสู่ความเห็น

สาระสำคัญที่ท่านยกมาคือ  พยายามจะดึงเอาคำสั่งของสมเด็จฯ ท่านมาเป็นตัวประกันราวกับว่า นี่นะท่านมียศฐาตำแหน่งขนาดนี้ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ  แบบนี้มันเรื่อง  คำสั่งทางโลกนะครับ  เอามาใช้ในการพินิจเรื่องพระธรรมวินัยไม่ได้หรอก

ผมว่าเขียนไปก็วนไปวนมา โดยเฉพาะในข้อที่ท่านยกมาบอกว่า  "ต้องบวชด้วยสงฆ์สองฝ่าย แต่สงฆ์สายเถรวาทเรามันขาดไปนานแล้ว ก็ต้องถือว่าไม่รู้จากหาภิกษุณีสงฆ์ที่ไหนมาร่วมกันทำให้อุปสมบทสำเร็จไปได้"  นี่ต่างหากคือปัญหาเพราะตัดมาจำเพาะพระธรรมวินัยที่ตีความไปในทางที่ผมว่าไม่แฟร์ต่อพระพุทธเจ้านะ

ผมย้ำว่า... ผมอ่านในพระวินัยปิฎกแล้ว ซึ่งผมก็ได้ยกมาให้ท่านอ่านแล้ว ว่า การอนุญาตให้บวชภิกษุณีสงฆ์นั้น ท่านทรงอนุญาตให้กระทำได้ โดยครั้งแรกที่บอกว่า พระนางประชาปดีฯ  ทูลถามพุทธองค์เกี่ยวกับเหล่านางสากิยานี (ซึ่งต้องการบวชพร้อมกันด้วย) จะทำอย่างไรดี   ท่านก็ทรงบัญญัติว่า "เราอนุญาตให้ภิกษุบวชภิกษุณีได้"   

ผมย้ำว่า ท่านทรงบัญญัติให้   "ภิกษุเป็นผู้บวชให้นะครับ"    ...เพราะภิกษุณีสงฆ์นั้น ท่านไม่ได้ทรงบวชให้เองแบบ เอหิภิกขุอุปสัมปทาอย่างพระอรหันต์ชายรูปอื่น ๆ ที่ท่านทรงบวชให้เองด้วยวิธีนี้

และเมื่อกาลผ่านจนกระทั่งมีภิกษุณีสงฆ์ได้พรรษาพอสมควรที่่จะเป็นอุปชาจารย์ฝ่ายหญิงท่านก็บัญญัติเพิ่มให้ บวชด้วยสงฆ์สองฝ่าย (ซึ่งการตีความเรื่องว่าเหตุใดท่านจึงทรงมีบัญญัติเพิ่ม อันนี้ผมด้อยปัญญาและไม่หาญกล้าจะไม่ตีความแทนพระองค์ผู้ทรงสัพพัญญูได้) 

ท่านคนเมืองสง ท่านอ้างคำสั่งคณะสงฆ์ซึ่งเป็นองค์กรปกครองที่เกิดมาทีหลัง...แต่จะไปล้างพระธรรมวินัย นั่นยิ่งไม่เป็นการไปตัดทอนพระธรรมวินัยเอาเสียเองดอกหรือครับ?

ขนาดพระศรัลังกาซึ่งก็ถือพระธรรมวินัยแบบเรา  ท่านก็รู้แต่เห็นต่างกันตรงที่ท่านตีความตรง ๆไม่ซับซ้อนว่าเมื่อมีทรงบัญญัติอนุญาตก็อนุญาต เพราะในพระธรรมวินัยหรือในพระสูตรไหนไม่ได้มีการจำเพาะให้ใช้เฉพาะนิกายใด

พอเข้าใจประเด็นมั้ยครับท่าน..


ส่วนกรณีที่บางท่านยกความเห็นของภิกษุหลาย ๆ รูปมาเปิดไว้ก็เป็นการดีที่จะทำให้ความคิดอ่านเรื่องนี้แตกออกไปไม่เป็นการตีความในทางที่แคบ

อย่าง เจ้าคุณประยุตฯ  ผมก็เคารพและชื่นชมท่านในฐานะที่ท่านมีความรอบรู้เกี่ยวกับด้านพระธรรมวินัย,พระสูตรและเรื่องราวทางพุทธประวัติศาสตร์อย่างแยบคายจนได้เป็นถึง  ราชบัณฑิต 

ผมเคยอ่านหนังสือที่ท่านเคยให้สัมภาษณ์ฝรั่งชื่อ ดร.มาร์ติน เกี่ยวกับเรื่องภิกษุณี  อ่านจนจบก็พบว่า ท่านก็มองในประเด็นทางโลกและการปกครองประกอบกันว่า  เมื่อเราเป็นเถรวาท ก็คงลำบากที่จะให้มีภิกษุณีสงฆ์เกิดขึ้นอีก ทั้งที่ท่านก็ยอมรับว่าในพระธรรมวินัยเองก็ทรงอนุญาตให้ทำได้  แต่ก็ยังเป็นความเห็นไปในทางประนีนอมว่า ถ้าจะให้ภิกษุณีเป็นเพียงนิกายหนึ่งในไทยอาทิเป็น มหายานก็น่าจะเป็นทางออก ..แต่ก็ยังไม่ชัดว่า ตกลงที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุบวชภิกษุณีนั้นมันไปตกหล่นเสียตรงไหน?

อย่างไรก็ตาม  ท่านคนเมืองสง อาจเข้าใจว่า ผมอาจเห็นดีเห็นงามให้มีภิกษุณีสงฆ์ได้ แต่ยังไงก็อยากสรุปความเห็นส่วนตัว(ย้ำว่าส่วนตัว) ว่าผมคิดอย่างไรต่อกรณีนี้

  1. ผมคิดว่า การที่มหาเถรสมาคมฯ อ้างและยกความเห็นเดิมคือ  บวชสองฝ่าย และการดึงเอาคำสั่งของสมเด็จพระสังฆราชทั้งสองพระองค์มาใช้เพื่อปฎิเสธไม่รู้ไม่เกี่ยว ดูเหมือนจะไม่ทำให้เกิดความสบายใจต่อฝ่ายปกครองนัก  เพราะเมือสืบสาวเรื่องนี้ก็ทราบว่า การบวชภิกษุณีที่เกาะยอได้มีการประสานไปยังหน่วยงานราชการ และสำนักนายกฯ ซึ่งก็ได้รับการอนุญาตให้มีการสนับสนุนด้วยซ้ำ และนี่จะทำให้ภิกษุณีได้รับการรับรองจากฝ่ายทางโลกไปแล้วโดยปริยาย

2. ข้อเท็จจริงหลายประการเห็นชัดว่า บรรดาภิกษุณีสงฆ์โดยเฉพาะที่บวชในต่างประเทศ บางรูปก็มีวัตรปฎิบัติที่ดีงาม แต่ก็มีที่พบกลับกำลังจะสร้างปัญหาให้สังคมด้วยการนำเอาการสอนวิปริตผิดไปจากที่พุทธองค์ทรงสอน เช่นการเสกเป่า,รดน้ำมนต์ อิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์,รู้อนาคต แก้กรรม กันแล้ว 

3. บรรดาภิกษุณีสงฆ์ที่มีอยู่ในประเทศ ต่างมีสำนักของตัวเองและสิ่งที่กำลังท้าทายพระธรรมวินัยก็คือ ภิกษุณีเหล่านั้นยังไม่ได้ปฎิบัติตามครุธรรม 8 ประการในทางที่ทรงให้ยึดถือไว้ตลอดชีวิตอย่างจริงจัง และเริ่มกล้าท้าทายในการตีความเจตนารมย์ของพุทธองค์เพื่อความง่ายและสะดวกเอาเอง

ดังนั้น สิ่งที่มหาเถรฯ ควรกระทำคือ

    1. หากตีความตามพระวินัยเดิมและอยากสร้างภิกษุณีสงฆ์สายเถรวาทจริงๆ  ก็สามารถที่จะบวชให้แก่หญิงคนแรก โดยถือเอาตามพุทธานุญาตแรก คือให้ ภิกษุบวชให้แก่หญิง และเริ่มกระบวนการควบคุมดูแลทั้งในการเป็นสิกขมานา และการตรวจสอบให้ภิกษณีสงฆ์ในอาณัตินั้น ปฎิบัติตามครุธรรม 8 อย่างเคร่งครัดไม่ให้นอกกรอบ

   2. หากไม่ทำตามข้อ 1 และถือว่า ภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นเป็นเพียงนิกายหนึ่งนิกายใด ก็ต้องส่งเรื่องให้ทาง สนง.พระพุทธฯ และกรมศาสนาและฝ่ายปกครอง ทราบและประกาศให้ประชาชนทราบอย่างเป็นทางการ ภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นมิใช่ภิกษุณีสงฆ์ตามแบบอย่างเถรวาท เพื่อฝ่ายกรมการศาสนาหรือหน่วยงานได้ควบคุมตรวจสอบมิให้การสอนหรือวัตรปฎิบัติของภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นไปก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อพุทธศาสนาเถรวาทเราเองและต่อศีลธรรมอันดีของคนไทย



                เรื่องง่าย  ๆ มันก็มีแค่นี้ละครับ....


..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

คนชอบถาม


เห็นด้วยกับ Mr.No ว่าต้องมีการควบคุม ไม่ข้อ 1 ก็ 2
เห็นได้จากข่าววันนี้ น่าสลด

หลวงแม่ ศ.ดร.พระภิกษุณีมโนรา รัตนนันดี
http://social.tnews.co.th/content/124505/

แค่วุฒิการศึหษาก็น่าสงสัยแล้ว ไม่รู้ได้แต่ใดมา


wareerant

ภิกษณีบวชได้มั้ย บวชได้แน่นอน ก็เขาบวชกันโครม ๆ ถึงพระไม่บวชให้ก็บวชได้ ก็ขนาดปริญญาใบแรก ยังมอบให้โดยคนไม่มีปริญญาเลย แล้วนับประสาอะไร ถ้าสังคมไม่ห้าม ก็บวชได้ บวชกันเองก็บวชได้ ช่างตัดผมก็บวชให้ได้

ม ส มีหน้าที่โดยตรง ที่จะตัดสินว่าบวชได้มั้ย ถ้าไม่ใช่ ม ส แล้วจะเป็นใครที่ไหน อย่ามัวนิ่งเฉย การนิ่งเฉยคือการยอมรับโดยดุษณี (ไม่ใช่ดุษฎี) ยิ่งนานภิกษุณีก็ยิ่งมากขึ้น มั่วตั้วมากขึ้น ควบคุมยากขึั้น

แม้จะบอกว่า บวชจากนิกายอื่น แต่นี่มันผืนแผ่นดินไทย บวชที่อื่น แต่มาอยู่ที่ประเทศไทย มันส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนไทย

ศาสนากับกฏหมายมันแยกกันไม่ออกหรอก ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ถ้ากฏหมายไม่กำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับศาสนา ป่านนี้ป่นปี้ไปหมดแล้ว บางครั้งพระไม่กลัวพระ แต่พระกลัวตำรวจ และเรื่องภิกษุณีนี้ ก็มีแต่กฏหมายห้ามแต่งกายเลียนแบบสงฆ์เท่านั้น ที่พอจะเอามาแก้ปัญหาได้ และถ้ามีใครสักคนไปแจ้งตำรวจเรื่องแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ แล้วตำรวจไม่ดำเนินการใด ๆ ก็ควรแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจ ข้อหาเจ้าหน้าที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ด้วย

ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความมีวินัย รู้จักสิทธิหน้าที่ เป็นสิ่งสำคัญที่คนในชาติต้องร่วมกันปฏิบัติ นี่คือสิ่งที่คนไทยยังขาดอยู่มาก แล้วก็มาบ่นว่า สังคมไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เพราะเราไม่ช่วยกัน เห็นอะไรไม่ดีก็เพิกเฉย คิดว่าธุระไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องของกู

และผมเชื่อเลยว่า ถึงแม้ว่า ม ส จะออกมาประกาศว่าห้ามบวชภิกษุณี ก็ต้องมีคนบวชกันจนได้ (ก็มีแล้วงัย) อย่างที่บอก พระไม่กลัวพระ พระหญิงก็ไม่กลัวพระ แต่ถ้าตำรวจล่ะก็น่าจะกลัวมากกว่า สรุปคือ ถ้าไม่อาศัยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง กฏหมายบ้านเมือง ม ส  ก็เป็นแค่เสือกระดาษ หลวงพี่หลวงพ่อ จะมาออกท่าออกทาง ก็คงกลัวเสียภาพพจน์ เสียเซลฟ์

ใคร ๆ ก็อ้างพระไตรปิฎก ก็อย่างที่บอก พระพุทธเจ้าไม่ได้เขียนพระไตรปิฎกเอง คนอื่นเขียน ที่เรียกว่า อรรถกถาจารย์ หรือ คันถรจนาจารย์ และก็เนื้อหาก็เพี้ยนมาเรื่อย และพระไตรปิฏกก็มีหลายอิดิชั่น ของมหายานก็มี ของเซนก็มี ของนิกายอื่น ๆ ก็มี ของศาสนาเชนก็ยังมี ต่างคนต่างก็ว่าของตนนี้แหละเป็นของจริงแท้แน่นอนออริจินอล แต่ที่สุดแล้ว ไตรปิฎกก็เป็นตำรา ซึ่งพระพุทธเจ้าก็บอกไว้ว่า อย่าเชื่อเพราะเห็นว่ามาจากตำรา

พระเกษมแกเพี้ยน ลบหลู่ตัวแทนพระพุทธเจ้า ไม่น่าจะเป็นพระแล้ว อย่าไปเอานิยมนิยายอะไรกับแกเลย เป็นพระแต่รักษาสำรวมไม่ได้ น่าจะพิจารณาตัวเองตั้งนานแล้ว

สุดท้ายนี้ขอบอกว่า ทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และเสื่อมไปเป็นธรรมดา ศาสนาพุทธก็เช่นกัน ยิ่งนานยิ่งกัดกร่อนลงไปทุกวัน ต่อไปคนอาจนับถือแค่ พระพุทธ กับพระธรรม เป็นทวิรัตนะ ก็....เป็น.....ได้....อิอิอิ


คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 16:35 น.  13 ม.ค 58

สาระสำคัญที่ท่านยกมาคือ  พยายามจะดึงเอาคำสั่งของสมเด็จฯ ท่านมาเป็นตัวประกันราวกับว่า นี่นะท่านมียศฐาตำแหน่งขนาดนี้ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ  แบบนี้มันเรื่อง  คำสั่งทางโลกนะครับ  เอามาใช้ในการพินิจเรื่องพระธรรมวินัยไม่ได้หรอก
ฯลฯ
ท่านคนเมืองสง ท่านอ้างคำสั่งคณะสงฆ์ซึ่งเป็นองค์กรปกครองที่เกิดมาทีหลัง...แต่จะไปล้างพระธรรมวินัย นั่นยิ่งไม่เป็นการไปตัดทอนพระธรรมวินัยเอาเสียเองดอกหรือครับ?
ฯลฯ


ดังนั้น สิ่งที่มหาเถรฯ ควรกระทำคือ

    1. หากตีความตามพระวินัยเดิมและอยากสร้างภิกษุณีสงฆ์สายเถรวาทจริงๆ  ก็สามารถที่จะบวชให้แก่หญิงคนแรก โดยถือเอาตามพุทธานุญาตแรก คือให้ ภิกษุบวชให้แก่หญิง และเริ่มกระบวนการควบคุมดูแลทั้งในการเป็นสิกขมานา และการตรวจสอบให้ภิกษณีสงฆ์ในอาณัตินั้น ปฎิบัติตามครุธรรม 8 อย่างเคร่งครัดไม่ให้นอกกรอบ

   2. หากไม่ทำตามข้อ 1 และถือว่า ภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นเป็นเพียงนิกายหนึ่งนิกายใด ก็ต้องส่งเรื่องให้ทาง สนง.พระพุทธฯ และกรมศาสนาและฝ่ายปกครอง ทราบและประกาศให้ประชาชนทราบอย่างเป็นทางการ ภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นมิใช่ภิกษุณีสงฆ์ตามแบบอย่างเถรวาท เพื่อฝ่ายกรมการศาสนาหรือหน่วยงานได้ควบคุมตรวจสอบมิให้การสอนหรือวัตรปฎิบัติของภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นไปก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อพุทธศาสนาเถรวาทเราเองและต่อศีลธรรมอันดีของคนไทย

                เรื่องง่าย  ๆ มันก็มีแค่นี้ละครับ....
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พระองค์ท่านเป็นผู้มีความสามารถ เป็นนักวิชาการด้านการศาสนา มีศีลปฏิปทาเคร่งครัด มีความรู้ด้านบาลีและพระไตรปิฎกเป็นที่ปรากฎมายาวนาน การวินิจฉัยของพระองค์ท่านจึงอยู่บนความรู้อันลึกซึ้งที่ว่านั้นย่อมมีที่อ้างอิง หาใช่คำสั่งที่ออกมาโดยจริตอย่างอื่นไม่ เพราะในประกาศนั้นพระองค์ท่านก็ได้แนบเหตุผลมาชัดเจนแล้ว เรามิได้เชื่อเพียงเพราะว่าพระองค์ท่านมียศมีตำแหน่ง แต่เราเชื่อว่าพระองค์ท่านเป็นผู้ทรงคุณความรู้ในพระไตรปิฏก ที่ท่าน Mr.No กล่าวหาว่าประกาศของพระองค์ท่านขัดต่อบทบัญญํติและลบล้างพระธรรมวินัย หรือตัดทอนพระวินัยนั้น ท่านมั่นใจหรือครับว่าท่านมีความรู้ที่ลึกซึ้งเท่าพระองค์ วันนี้พระองค์หาไม่ไปแล้ว จึงโต้ตอบท่านไม่ได้ เรื่องนี้จะไม่เป็นการลบหลู่พระอาจารย์หรือครับ หรือ Mr.No มีความรู้ดีกว่าพระองค์ท่าน
สิ่งที่มหาเถรสมาคมควรทำตามที่ท่านนิยามในข้อ 1. นั้น  สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ได้ทรงไม่เห็นด้วยมาก่อนหน้านั้นแล้ว และห้ามตามความรู้ของพระองค์ท่านแล้ว ลองอ่านใหม่ดีๆ
และหากเชื่อในคำวินิจฉัยของพระองค์ "เพราะเหตุนี้ ห้ามไม่ให้พระเณรทุกนิกายบวชหญิงเป็นภิกษุณีเป็นสิกขมานา และเป็นสามเณรีตั้งแต่นี้ไป" ก็ไม่ต้องแก้ปัญหาตามข้อ 2.
ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วนั้นเป็นเรื่องของผู้หลงผิดทั้งหลาย และย่อมคาราคาซังบ้างตามการอ้างสิทธิสตรีและเสรีภาพตามอนุสัญญาต่างๆที่ไทยร่วมเป็นภาคี จะไปโยนให้ มส.ท่านอย่างเดียวก็ไม่ยุติธรรม มส.ท่านไม่ควรจะรุกล้ำถึงขนาดต้อง
"ส่งเรื่องให้ทาง สนง.พระพุทธฯ และกรมศาสนาและฝ่ายปกครอง ทราบและประกาศให้ประชาชนทราบอย่างเป็นทางการ"
มส.ท่านเป็นพระนะครับ
"เพื่อฝ่ายกรมการศาสนาหรือหน่วยงานได้ควบคุมตรวจสอบมิให้การสอนหรือวัตรปฎิบัติของภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นไปก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อพุทธศาสนา" นี่ก็ผิดอีกนะครับ กรมศาสนาเป็นฆราวาสนะครับ จะให้ฆราวาสควบคุมนักบวชนั้นไม่ถูกนะครับ เพราะถ้าอธิบดีกรมศาสนาเป็นชาวลัทธิอื่น ก็อาจใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมต่อนักบวชได้

คนเมืองสง

   "หญิงซึ่งจักได้สมมติตนเป็นสามเณรี โดยถูกต้องพระพุทธานุญาตนั้น ต้องสำเร็จด้วยนางภิกษุณีให้บรรพชา เพราะพระองค์ทรงอนุญาติให้นางภิกษุณีมีพรรษา ๑๒ ล่วงแล้วเป็นปวัตตินี คือ เป็นอุปัชฌาย์ไม่ได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุเป็นอุปัชฌาย์ นางภิกษุณีหมดสาบสูญขาดเชื้อสายมานานแล้ว
    เมื่อนางภิกษุณีผู้รักษาขนบ ธรรมเนียมสืบต่อสามเณรีไม่มีแล้ว สามเณรีผู้บวชสืบต่อมาจากภิกษุณีก็ไม่มีเป็นอันเสื่อมสูญไปตามกัน ผู้ใดให้บรรพชาเป็นสามเณรีผู้นั้นชื่อว่าบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ บัญญัติเลิกถอนสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว เป็นเสี้ยนหนามแก่พระศาสนา เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
    เพราะเหตุนี้ ห้ามไม่ให้พระเณรทุกนิกายบวชหญิงเป็นภิกษุณีเป็นสิกขมานา และเป็นสามเณรีตั้งแต่นี้ไป"

ประกาศแต่วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๑
กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์

สรุปเนื้อหาที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ทรงวินิจฉัยดังนี้
๑.สามเณรีที่ถูกต้องตามพระพุทธานุญาตนั้น ต้องบรรพชาโดยนางภิกษุณี
๒.นางภิกษุณีที่จะทำการบรรพชาให้สามเณรีได้ หรือเป็นพระอุปัชฌาย์ของสามเณรี ต้องมีพรรษาการบวชมากกว่า ๑๒   พรรษา
๓.พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตให้ภิกษุบรรพชาสามเณรี
๔.นางภิกษุณีหมดสาบสูญขาดเชื้อสายมานานแล้ว
๕.สามเณรีจึงขาดตอนตามข้อ ๔.
๖.ภิกษุณีจึงขาดตอนตามข้อ ๕.
๗.ผู้ใดบรรพชาสามเณรีจึงชื่อว่าบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ และเลิกถอนสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว
๘.บุคคลผู้ยังมีแนวเช่นว่านี้เป็นเสี้ยนหนามแก่พระศาสนา เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี

Mr.No

อ้างจาก: คนเมืองสง เมื่อ 08:31 น.  14 ม.ค 58
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พระองค์ท่านเป็นผู้มีความสามารถ เป็นนักวิชาการด้านการศาสนา มีศีลปฏิปทาเคร่งครัด มีความรู้ด้านบาลีและพระไตรปิฎกเป็นที่ปรากฎมายาวนาน การวินิจฉัยของพระองค์ท่านจึงอยู่บนความรู้อันลึกซึ้งที่ว่านั้นย่อมมีที่อ้างอิง หาใช่คำสั่งที่ออกมาโดยจริตอย่างอื่นไม่ เพราะในประกาศนั้นพระองค์ท่านก็ได้แนบเหตุผลมาชัดเจนแล้ว เรามิได้เชื่อเพียงเพราะว่าพระองค์ท่านมียศมีตำแหน่ง แต่เราเชื่อว่าพระองค์ท่านเป็นผู้ทรงคุณความรู้ในพระไตรปิฏก ที่ท่าน Mr.No กล่าวหาว่าประกาศของพระองค์ท่านขัดต่อบทบัญญํติและลบล้างพระธรรมวินัย หรือตัดทอนพระวินัยนั้น ท่านมั่นใจหรือครับว่าท่านมีความรู้ที่ลึกซึ้งเท่าพระองค์ วันนี้พระองค์หาไม่ไปแล้ว จึงโต้ตอบท่านไม่ได้ เรื่องนี้จะไม่เป็นการลบหลู่พระอาจารย์หรือครับ หรือ Mr.No มีความรู้ดีกว่าพระองค์ท่าน
สิ่งที่มหาเถรสมาคมควรทำตามที่ท่านนิยามในข้อ 1. นั้น  สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ได้ทรงไม่เห็นด้วยมาก่อนหน้านั้นแล้ว และห้ามตามความรู้ของพระองค์ท่านแล้ว ลองอ่านใหม่ดีๆ
และหากเชื่อในคำวินิจฉัยของพระองค์ "เพราะเหตุนี้ ห้ามไม่ให้พระเณรทุกนิกายบวชหญิงเป็นภิกษุณีเป็นสิกขมานา และเป็นสามเณรีตั้งแต่นี้ไป" ก็ไม่ต้องแก้ปัญหาตามข้อ 2.
ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วนั้นเป็นเรื่องของผู้หลงผิดทั้งหลาย และย่อมคาราคาซังบ้างตามการอ้างสิทธิสตรีและเสรีภาพตามอนุสัญญาต่างๆที่ไทยร่วมเป็นภาคี จะไปโยนให้ มส.ท่านอย่างเดียวก็ไม่ยุติธรรม มส.ท่านไม่ควรจะรุกล้ำถึงขนาดต้อง
"ส่งเรื่องให้ทาง สนง.พระพุทธฯ และกรมศาสนาและฝ่ายปกครอง ทราบและประกาศให้ประชาชนทราบอย่างเป็นทางการ"
มส.ท่านเป็นพระนะครับ
"เพื่อฝ่ายกรมการศาสนาหรือหน่วยงานได้ควบคุมตรวจสอบมิให้การสอนหรือวัตรปฎิบัติของภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นไปก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อพุทธศาสนา" นี่ก็ผิดอีกนะครับ กรมศาสนาเป็นฆราวาสนะครับ จะให้ฆราวาสควบคุมนักบวชนั้นไม่ถูกนะครับ เพราะถ้าอธิบดีกรมศาสนาเป็นชาวลัทธิอื่น ก็อาจใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมต่อนักบวชได้

ผมเดาไม่ผิดว่า สุดท้าย ท่านคนเมืองสง ก็ไปดึงเอาคำสั่งสมเด็จพระสังฆราชมาใช้อ้างจนได้...ซึ่งมันก็เท่ากับที่เราคุยกันมาเพื่อหาข้อธรรมอันเป็น ปฎิปุจฉาวินีตาฯ  กันยาวเหยียดนั้นเสียไปเปล่า ๆ

ผมอุตส่าห์ข้ามเรื่องพระธรรมวินัยไปแล้ว เพราะยังไม่เห็นว่า จะมีใครออกมาชี้แจงว่าที่ผมยก พระวินัยปิฎกที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอุปสมบทภิกษุณีได้นั้น ตกลงท่านเอาไปแอบไว้ตรงไหน? แต่พอยกเรื่องนี้ ก็ดึงเอาคำสั่งของสมเด็จฯ ท่านมาอ้าง...มันก็วนไปวนมา หาประโยชน์แห่งการนำไปสู่ความรู้ในทางลึกและกระจ่างมิได้เลย

ยิ่งท่านบอก มส.ท่านเป็นพระ  จะให้ไปจัดการเรื่องนี้ท่านไม่เกี่ยว...แถมยังบอกว่า กรมศาสนาเป็นฆราวาส จะไปคุมนักบวชได้ไง???

ผมนี่ยิ่งงง.... เพราะอ่านที่ท่านตอบดูเหมือนท่านอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจทั้งในเรื่องของศาสนจักรและอาณาจักรอย่างกว้างขวางนัก

ตกลง...ถ้าไม่ใช่ มส,สนงพระพุทธฯ, หรือกระทั่ง กรมการศาสนา ท่านจะให้ใครไปคุม  เหล่าภิกษุณีที่ยังไม่รู้สถานะตอนนี้ละครับ...    โดยเฉพาะยิ่งภิกษุณีที่อาจสร้างปัญหาให้พุทธเถรวาทเอง และสุดท้ายมหาเถรสมาคมก็ต้องเดือดร้อนออกมาอยู่ดี ...หรือท่านคิดว่าเป็นหน้าที่ของตำรวจ???

ก็ถ้าความเห็นท่านเป็นเช่นนั้น... วันนี้ก็แจ้งความให้ตำรวจไปจับซิครับ  ข้อหาแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ก็ได้!!???

ท่านทราบมั้ยครับว่า... ขนาด พระนิกายมหายาน เรื่องที่เรามักเรียกกันว่า พระจีน อย่างนิกายในไทย ที่เรียกว่า อนัมนิกาย (ถ้าไม่รู้จักก็ลองไปดูที่วัดถาวรฯ แถวฉื่อฉาง นั่นละครับ) นั่นก็ขึ้นตรงกับพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชไทยนะครับ และก็อยู่ภายใต้การดูแลของมหาเถรสมาคม (เพราะสมเด็จพระสังฆราชท่านเป็นประธานโดยตำแหน่ง)

หรืออย่างพวกศาสนาอื่นในไทย ทั้งอิสลาม ฮินดู ,ซิกซ์,คริสต์ ฯลฯ ต่างก็อยู่ภายใต้การดูแลของกรมการศาสนา เพื่อให้ทุกศาสนาในประเทศดำเนินไปอย่างถูกต้องทั้งในแง่ของกฎหมายรัฐธรรมนุญที่ให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา และให้สอดคล้องกับพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงเป็น อัครศาสนูปถัมภก

ผมถึงเขียนไงครับว่า ทางออกของมหาเถรสมาคม สุดท้ายก็แค่ สองทางที่ผมเขียน เพราะขนาด พระมหานรินทร์ (คนที่เขียนบทความในกระทู้ที่ตั้ง) ท่านเองก็ยังบอกด้วยซ้ำว่า  เรื่องนี้ มหาเถรสมาคมต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้มันชัดเจน


อย่าลืมนะครับว่า ...วันนี้เป็นยุคที่โลกอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม  และสภาพกดดันของโลกที่พยายามยกเอาเรื่องความเสมอภาคแห่งสิทธิสตรีและจับตาเรื่องนี้กันแทบทั่วโลก

ผมยังคิดต่อแทนมหาเถรฯ เลยว่า  ถ้าเกิดท่านประกาศไปว่า  ภิกษุณีเหล่านั้น มิใช่ภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเถรวาทเฉกเช่นในประเทศไทย  คำถามก็คือ หากภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นบอกว่า ใช่แล้วโยม..ถูกแล้วพระคุณท่าน หลวงแม่..หลวงป้า มิใช่นิกายเถรวาท หากแต่เป็นภิกษุณีสงฆ์ที่ถือเป็นเอาพระไตรปิฎก ทั้งยึดถือพระธรรมวินัยของพระศาสดาแบบเดิมที่ไร้นิกายใดทั้งสิ้น  แบบนี้ท่านจะตอบอย่างไรโดยเฉพาะในสายตาของพุทธนิกายอื่นทั่วโลกที่ถือพระธรรมวินัยเดียวกันกับเรา(โดยเฉพาะสงฆ์นิกายอมรปุระที่เป็นผู้บวชฝ่ายสงฆ์)  แต่กลายเป็นเราตีความไปในทางไม่เอื้อเฟื้อต่อพระวินัยแบบนี้

หรือหากท่านประกาศว่า ภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้น เป็นเพียงนิกายหนึ่งนิกายใด  แต่เมื่อสอบในการปฎิบัติพระธรรมวินัยแล้วพบว่า ใช้พระไตรปิภฎ ศีลวัตรอย่างของเถรวาท แบบนี้ ภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นท่านจะรับว่าตนเองเป็นนิกายหนึ่งนิกายใดตามที่ทางมหาเถรสมาคมระบุให้เป็นหรือ? เพราะถ้าภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นยอมรับก็จบ...แต่ถ้าบอกไม่ใช่ เป็นภิกษุณสงฆ์ที่ไร้นิกาย ท่านจะว่าอย่างไร?

นี่เป็นเหตุผลที่ว่า เหตุใดที่ทางมหาเถรสมาคม จึงได้อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ในเวลานี้..

ผมถึงได้เขียนทางออกในทางที่ 1 ว่า น่าจะเป็นทางออกที่ตรงและสอดคล้องกับพระธรรมวินัยเดิมอันเป็นเถรวาท แต่ก็นับเป็นเรื่องยากเพราะหากใช้เรื่องของนิกายเป็นตัวตั้ง ก็คงยาก

แต่หากไม่ยึดติดเรื่องนิกาย...และใช้พระธรรมวินัยล้วน  โดยเฉพาะแม้นว่าพุทธองค์ท่านจะทรงบัญญัติให้บวชด้วยสงฆ์สองฝ่าย แต่เมื่ออีกฝ่ายขาดสูญไป ก็สามารถสร้างใหม่ได้ โดยยึดถือเอาตามพระธรรมวินัยทีทรงอนุญาตให้ภิกษุอุปสมบทภิกษุณีได้แบบเดียวกับครั้งพุทธกาล 

ผมมองว่างานนี้... ภิกษุณีสงฆ์ในไทย  อาจไปได้สวย  เพราะได้เปรียบแยะ ทั้งฝ่ายโลกทั้งในและนอกประเทศทีให้การสนับสนุน..และแถมในพระธรรมวินัยก็มิได้ไปมีอะไรที่ขัดขวาง

เผลอ ๆ ยิ่งสำนักภิกษุณีสงฆ์ไหนมีวัตรปฎิบัติดี ๆ สอนธรรมะในทางที่ถูกที่ควร และสร้างศิษยานุศิษย์กันจนเป็นล่ำเป็นสัน 

ในขณะที่วัดแบบเดิม ๆ ของพระไทยทั้งใหญ่โต...โบสถ์ราคาร้อยล้าน...กลับเป็นแค่  สถานที่รับบริจาค ไถ่ชีวิตวัวควาย..ทำบุญต่อชะตาทั้งโลงเป็นโลงตาย..สวดภาณยักษ์ใหญ่ยักษ์เล็ก  เจิมรถ สักยันต์ ครอบครู...ปริวาสกรรม,นิมนต์เจิมป้ายห้าง ฯลฯ 

งานนี้ไม่ต้องห่วงครับ...เพราะสุดท้ายเผลอ ๆ ผู้ที่ช่วยนำพาให้  พุทธศาสนาเรารอด อาจเป็น  เหล่าภิกษุณีสงฆ์ ที่ใคร ๆ ต่างพากันเบือนหนี(ปัญหา)เหล่านี้ในที่สุดละครับ.


ผมขอจบการต่อกระทู้นี้ครับ...เพราะคิดว่าได้แสดงความเห็นจนหมดแล้ว    เอาเป็นคุยกันเรื่องอื่นในกระดานนี้ครับ  สวัสดีและขอบคุณทุกท่านที่ร่วมแสดงความเห็นในทางธรรมกัน รวมทั้งท่านคนเมืองสงด้วยครับ.
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58

ผมอุตส่าห์ข้ามเรื่องพระธรรมวินัยไปแล้ว เพราะยังไม่เห็นว่า จะมีใครออกมาชี้แจงว่าที่ผมยก พระวินัยปิฎกที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอุปสมบทภิกษุณีได้นั้น ตกลงท่านเอาไปแอบไว้ตรงไหน? แต่พอยกเรื่องนี้ ก็ดึงเอาคำสั่งของสมเด็จฯ ท่านมาอ้าง...มันก็วนไปวนมา หาประโยชน์แห่งการนำไปสู่ความรู้ในทางลึกและกระจ่างมิได้เลย

เรื่องที่ท่านยกมาว่าไปแล้วอาจเปรียบเหมือนนโยบายที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอุปสมบทภิกษุณีได้ แต่วิธีปฏิบัตินั้น การอุปสมบทก็ต้องผ่านการบรรพชาก่อน และการบรรพชาสามเณรีก็ต้องเป็นไปตามที่พระเดชพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้าได้อธิบายไว้ ซึงก็เป็นไปตามนัยแห่งพระวินัย คุณ Mr.No ครับ ได้โปรดให้ความเป็นธรรมแด่องค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าด้วยว่านั่นไม่ใช่คำสั่งของพระองค์เอง แต่เป็นข้อวินิจฉัยตามที่พระองค์ได้ศึกษามา

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58
ผมเดาไม่ผิดว่า สุดท้าย ท่านคนเมืองสง ก็ไปดึงเอาคำสั่งสมเด็จพระสังฆราชมาใช้อ้างจนได้...ซึ่งมันก็เท่ากับที่เราคุยกันมาเพื่อหาข้อธรรมอันเป็น ปฎิปุจฉาวินีตาฯ  กันยาวเหยียดนั้นเสียไปเปล่า ๆ

ผมอุตส่าห์ข้ามเรื่องพระธรรมวินัยไปแล้ว เพราะยังไม่เห็นว่า จะมีใครออกมาชี้แจงว่าที่ผมยก พระวินัยปิฎกที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอุปสมบทภิกษุณีได้นั้น ตกลงท่านเอาไปแอบไว้ตรงไหน? แต่พอยกเรื่องนี้ ก็ดึงเอาคำสั่งของสมเด็จฯ ท่านมาอ้าง...มันก็วนไปวนมา หาประโยชน์แห่งการนำไปสู่ความรู้ในทางลึกและกระจ่างมิได้เลย

ยิ่งท่านบอก มส.ท่านเป็นพระ  จะให้ไปจัดการเรื่องนี้ท่านไม่เกี่ยว...แถมยังบอกว่า กรมศาสนาเป็นฆราวาส จะไปคุมนักบวชได้ไง???

ผมนี่ยิ่งงง.... เพราะอ่านที่ท่านตอบดูเหมือนท่านอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจทั้งในเรื่องของศาสนจักรและอาณาจักรอย่างกว้างขวางนัก

ต้องขอโทดที่กระผมเป็นคู่สนทนาที่หาประโยชน์มิได้

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58

อย่าลืมนะครับว่า ...วันนี้เป็นยุคที่โลกอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม  และสภาพกดดันของโลกที่พยายามยกเอาเรื่องความเสมอภาคแห่งสิทธิสตรีและจับตาเรื่องนี้กันแทบทั่วโลก

ผมยังคิดต่อแทนมหาเถรฯ เลยว่า  ถ้าเกิดท่านประกาศไปว่า  ภิกษุณีเหล่านั้น มิใช่ภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเถรวาทเฉกเช่นในประเทศไทย  คำถามก็คือ หากภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นบอกว่า ใช่แล้วโยม..ถูกแล้วพระคุณท่าน หลวงแม่..หลวงป้า มิใช่นิกายเถรวาท หากแต่เป็นภิกษุณีสงฆ์ที่ถือเป็นเอาพระไตรปิฎก ทั้งยึดถือพระธรรมวินัยของพระศาสดาแบบเดิมที่ไร้นิกายใดทั้งสิ้น  แบบนี้ท่านจะตอบอย่างไรโดยเฉพาะในสายตาของพุทธนิกายอื่นทั่วโลกที่ถือพระธรรมวินัยเดียวกันกับเรา(โดยเฉพาะสงฆ์นิกายอมรปุระที่เป็นผู้บวชฝ่ายสงฆ์)  แต่กลายเป็นเราตีความไปในทางไม่เอื้อเฟื้อต่อพระวินัยแบบนี้

หรือหากท่านประกาศว่า ภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้น เป็นเพียงนิกายหนึ่งนิกายใด  แต่เมื่อสอบในการปฎิบัติพระธรรมวินัยแล้วพบว่า ใช้พระไตรปิภฎ ศีลวัตรอย่างของเถรวาท แบบนี้ ภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นท่านจะรับว่าตนเองเป็นนิกายหนึ่งนิกายใดตามที่ทางมหาเถรสมาคมระบุให้เป็นหรือ? เพราะถ้าภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้นยอมรับก็จบ...แต่ถ้าบอกไม่ใช่ เป็นภิกษุณสงฆ์ที่ไร้นิกาย ท่านจะว่าอย่างไร?

ผมมองว่างานนี้... ภิกษุณีสงฆ์ในไทย  อาจไปได้สวย  เพราะได้เปรียบแยะ ทั้งฝ่ายโลกทั้งในและนอกประเทศทีให้การสนับสนุน..และแถมในพระธรรมวินัยก็มิได้ไปมีอะไรที่ขัดขวาง

เผลอ ๆ ยิ่งสำนักภิกษุณีสงฆ์ไหนมีวัตรปฎิบัติดี ๆ สอนธรรมะในทางที่ถูกที่ควร และสร้างศิษยานุศิษย์กันจนเป็นล่ำเป็นสัน 

ในขณะที่วัดแบบเดิม ๆ ของพระไทยทั้งใหญ่โต...โบสถ์ราคาร้อยล้าน...กลับเป็นแค่  สถานที่รับบริจาค ไถ่ชีวิตวัวควาย..ทำบุญต่อชะตาทั้งโลงเป็นโลงตาย..สวดภาณยักษ์ใหญ่ยักษ์เล็ก  เจิมรถ สักยันต์ ครอบครู...ปริวาสกรรม,นิมนต์เจิมป้ายห้าง ฯลฯ 

งานนี้ไม่ต้องห่วงครับ...เพราะสุดท้ายเผลอ ๆ ผู้ที่ช่วยนำพาให้  พุทธศาสนาเรารอด อาจเป็น  เหล่าภิกษุณีสงฆ์ ที่ใคร ๆ ต่างพากันเบือนหนี(ปัญหา)เหล่านี้ในที่สุดละครับ.


เข้าใจท่านแล้วครับ

นายช่างบ้านบ้าน

เลอะเทอะครับ ขาดหุ้นกันไปใหญ่แล้ว เห้อๆ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น บ่อเกิดของกิเลสครับ พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายป่าท่านเตือนเสมอครับ

คนเมืองสง

 กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม มีภารกิจเกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐด้านศาสนา โดยการทำนุบำรุง  ส่งเสริมและให้ความอุปถัมภ์คุ้มครองกิจการด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรอง ตลอดจนส่งเสริมพัฒนาความรู้คู่คุณธรรม  ส่งเสริมความเข้าใจอันดี  และสร้างความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา รวมทั้งดำเนินการเพื่อให้คนไทยนำหลักธรรมของศาสนามาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เป็นคนดีมีคุณธรรม   โดยให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) ทำนุบำรุง ส่งเสริมเพื่อพัฒนาความรู้คู่คุณธรรม
(2) เสริมสร้างศีลธรรม ปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม
(3) ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมกิจการฮัจย์ รวมทั้งกฎหมายและระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้อง
(4) ส่งเสริม ดูแล รักษาและทำนุบำรุงศาสนสถาน และศาสนวัตถุ
(5) ให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ที่ทางราชการรับรอง และสนับสนุนการดำเนินการขององค์การศาสนา
(6) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมหรือตามที่กระทรวงหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58

...มันก็วนไปวนมา หาประโยชน์แห่งการนำไปสู่ความรู้ในทางลึกและกระจ่างมิได้เลย

ยิ่งท่านบอก มส.ท่านเป็นพระ  จะให้ไปจัดการเรื่องนี้ท่านไม่เกี่ยว...แถมยังบอกว่า กรมศาสนาเป็นฆราวาส จะไปคุมนักบวชได้ไง???

ผมนี่ยิ่งงง.... เพราะอ่านที่ท่านตอบดูเหมือนท่านอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจทั้งในเรื่องของศาสนจักรและอาณาจักรอย่างกว้างขวางนัก

ตกลง...ถ้าไม่ใช่ มส,สนงพระพุทธฯ, หรือกระทั่ง กรมการศาสนา ท่านจะให้ใครไปคุม  เหล่าภิกษุณีที่ยังไม่รู้สถานะตอนนี้ละครับ...    โดยเฉพาะยิ่งภิกษุณีที่อาจสร้างปัญหาให้พุทธเถรวาทเอง และสุดท้ายมหาเถรสมาคมก็ต้องเดือดร้อนออกมาอยู่ดี ...หรือท่านคิดว่าเป็นหน้าที่ของตำรวจ???


          กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม มีภารกิจเกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐด้านศาสนา โดยการทำนุบำรุง  ส่งเสริมและให้ความอุปถัมภ์คุ้มครองกิจการด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรอง ตลอดจนส่งเสริมพัฒนาความรู้คู่คุณธรรม  ส่งเสริมความเข้าใจอันดี  และสร้างความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา รวมทั้งดำเนินการเพื่อให้คนไทยนำหลักธรรมของศาสนามาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เป็นคนดีมีคุณธรรม   โดยให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) ทำนุบำรุง ส่งเสริมเพื่อพัฒนาความรู้คู่คุณธรรม
(2) เสริมสร้างศีลธรรม ปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม
(3) ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมกิจการฮัจย์ รวมทั้งกฎหมายและระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้อง
(4) ส่งเสริม ดูแล รักษาและทำนุบำรุงศาสนสถาน และศาสนวัตถุ
(5) ให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ที่ทางราชการรับรอง และสนับสนุนการดำเนินการขององค์การศาสนา
(6) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมหรือตามที่กระทรวงหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย

สรุปว่ากรมการศาสนาไม่มีอำนาจในการควบคุมนักบวชนะครับ

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58

...มันก็วนไปวนมา หาประโยชน์แห่งการนำไปสู่ความรู้ในทางลึกและกระจ่างมิได้เลย

ยิ่งท่านบอก มส.ท่านเป็นพระ  จะให้ไปจัดการเรื่องนี้ท่านไม่เกี่ยว...แถมยังบอกว่า กรมศาสนาเป็นฆราวาส จะไปคุมนักบวชได้ไง???

ผมนี่ยิ่งงง.... เพราะอ่านที่ท่านตอบดูเหมือนท่านอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจทั้งในเรื่องของศาสนจักรและอาณาจักรอย่างกว้างขวางนัก

ตกลง...ถ้าไม่ใช่ มส,สนงพระพุทธฯ, หรือกระทั่ง กรมการศาสนา ท่านจะให้ใครไปคุม  เหล่าภิกษุณีที่ยังไม่รู้สถานะตอนนี้ละครับ...    โดยเฉพาะยิ่งภิกษุณีที่อาจสร้างปัญหาให้พุทธเถรวาทเอง และสุดท้ายมหาเถรสมาคมก็ต้องเดือดร้อนออกมาอยู่ดี ...หรือท่านคิดว่าเป็นหน้าที่ของตำรวจ???


เกี่ยวกับสำนักพุทธ
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีภารกิจเกี่ยวกับการดำเนินงานสนองงานคณะสงฆ์และรัฐโดยการทำนุบำรุงส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา ให้การอุปถัมภ์คุ้มครอง และส่งเสริมพัฒนางานพระพุทธศาสนา ดูแลรักษา จัดการศาสนสมบัติ พัฒนาพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งให้การสนับสนุนส่งเสริม พัฒนาบุคลากรทางศาสนา โดยมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(1) ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการคณะสงฆ์ กฎหมายว่าด้วยการกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา รวมทั้งกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
(2) รับสนองงาน ประสานงาน และถวายการสนับสนุนกิจการและการบริหาร การปกครอง คณะสงฆ์
(3) เสนอแนวทางการกำหนดนโยบายและมาตรการในการคุ้มครองพระพุทธศาสนา
(4) ส่งเสริม ดูแล รักษา และทำนุบำรุงศาสนสถานและศาสนวัตถุทางพระพุทธศาสนา
(5) ดูแลรักษา และจัดการวัดร้างและศาสนสมบัติกลาง
(6) พัฒนาพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา
(7) ทำนุบำรุงพุทธศาสนศึกษา เพื่อพัฒนาความรู้คู่คุณธรรม
(8) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานหรือนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย

นี่ก็ไม่มีหน้าที่ควบคุมนักบวชที่ถูกกฎหมายนะครับ

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58
ผมเดาไม่ผิดว่า สุดท้าย ท่านคนเมืองสง ก็ไปดึงเอาคำสั่งสมเด็จพระสังฆราชมาใช้อ้างจนได้...ซึ่งมันก็เท่ากับที่เราคุยกันมาเพื่อหาข้อธรรมอันเป็น ปฎิปุจฉาวินีตาฯ  กันยาวเหยียดนั้นเสียไปเปล่า ๆ

ผมอุตส่าห์ข้ามเรื่องพระธรรมวินัยไปแล้ว เพราะยังไม่เห็นว่า จะมีใครออกมาชี้แจงว่าที่ผมยก พระวินัยปิฎกที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอุปสมบทภิกษุณีได้นั้น ตกลงท่านเอาไปแอบไว้ตรงไหน? แต่พอยกเรื่องนี้ ก็ดึงเอาคำสั่งของสมเด็จฯ ท่านมาอ้าง...มันก็วนไปวนมา หาประโยชน์แห่งการนำไปสู่ความรู้ในทางลึกและกระจ่างมิได้เลย

ยิ่งท่านบอก มส.ท่านเป็นพระ  จะให้ไปจัดการเรื่องนี้ท่านไม่เกี่ยว...แถมยังบอกว่า กรมศาสนาเป็นฆราวาส จะไปคุมนักบวชได้ไง???

ผมนี่ยิ่งงง.... เพราะอ่านที่ท่านตอบดูเหมือนท่านอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจทั้งในเรื่องของศาสนจักรและอาณาจักรอย่างกว้างขวางนัก

ตกลง...ถ้าไม่ใช่ มส,สนงพระพุทธฯ, หรือกระทั่ง กรมการศาสนา ท่านจะให้ใครไปคุม  เหล่าภิกษุณีที่ยังไม่รู้สถานะตอนนี้ละครับ...    โดยเฉพาะยิ่งภิกษุณีที่อาจสร้างปัญหาให้พุทธเถรวาทเอง และสุดท้ายมหาเถรสมาคมก็ต้องเดือดร้อนออกมาอยู่ดี ...หรือท่านคิดว่าเป็นหน้าที่ของตำรวจ???


อำนาจหน้าที่มหาเถรสมาคม

(1)  ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม

(2)  ปกครองและกำหนดการบรรพชาสามเณร

(3)  ควบคุมและส่งเสริมการศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์

(4) รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา

(5) ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฏหมายอื่น
เพื่อการนี้ให้มหาเถรสมาคมมีอำนาจตรากฎมหาเถรสมาคม ออกข้อบังคับ วางระเบียบออกคำสั่ง มีมติหรือออกประกาศ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายและพระธรรมวินัยใช้บังคับได้ และจะมอบให้พระภิกษุรูปใดหรือคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการตามมาตรา 19 เป็นผู้ใช้อำนาจหน้าที่ตามวรรคหนึ่งก็ได้

มาตรา 15 จัตวา เพื่อรักษาหลักพระธรรมวินัยและเพื่อความเรียบร้อยดีงามของคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคมจะตรากฎมหาเถรสมาคม เพื่อกำหนดโทษหรือวิธีลงโทษทางการปกครอง สำหรับพระภิกษุและสามเณรที่ประพฤติให้เกิดความเสียหาย แก่พระศาสนาและการปกครองของคณะสงฆ์ก็ได้

พระภิกษุและสามเณรที่ได้รับโทษตามวรรคหนึ่งถึงขั้นให้สละสมณเพศต้องสึกภายในสามวันนับแต่วันทราบคำสั่งลงโทษ

มาตรา 19 สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งคณะกรรมการ หรือคณะอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ ตามมติมหาเถรสมาคม ประกอบด้วยพระภิกษุหรือบุคคลอื่นจำนวนหนึ่ง มีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องที่จะเสนอต่อมหาเถรสมาคม และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่มหาเถรสมาคมมอบหมาย โดยขึ้นตรงต่อมหาเถรสมาคม
การจัดให้มีคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ การแต่งตั้งกรรมหรืออนุกรรมการ การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ และระเบียบการประชุม ให้เป็นไปตามระเบียบมหาเถรสมาคม

อันนี้โอเคครับ มีอำนาจเพราะเป็นนักบวชด้วยกัน แต่ท่านก็บังคับจำเพาะนักบวชในสังกัดท่าน กับคนที่นักบวชในสังกัดของท่านบวชให้ นักบวชอื่นใดที่ไม่รับไม่ฟังมติท่าน และก็มิใช่บุคคลในสังกัดของท่านบวชให้ ไม่ได้ใช้ศาสนสถานของท่าน
ท่านก็ถือว่าไม่ใช่นักบวชในสังกัดท่าน
มติของท่านที่มีมาแล้ว ที่กำลังมีและที่จะมีต่อไป ถือเป็นกฏหมาย มีผู้รับสนองพระบัญชาเป็นเรื่องๆไป
เรื่องภิกษุณีท่านก็มีมติออกมาแล้วเมื่อเร็วๆนี้ ก็ต้องถือเป็นกฎหมาย กล่าวสรุปคือไม่ภิกษุณีในคณะสงฆ์ไทย
คุณ Mr.No คุณโนอย่างเดียวแบบถุ้มเถียงไม่หยุด และไม่ยอมรับมติ มีทางเดียวที่คุณจะรอดพ้นจากการผิดกฎหมาย
คือ ไปเสียจากคณะสงฆ์ไทย

คนเมืองสง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 21:28 น.  14 ม.ค 58

ผมอุตส่าห์ข้ามเรื่องพระธรรมวินัยไปแล้ว เพราะยังไม่เห็นว่า จะมีใครออกมาชี้แจงว่าที่ผมยก พระวินัยปิฎกที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอุปสมบทภิกษุณีได้นั้น ตกลงท่านเอาไปแอบไว้ตรงไหน?

ฯลฯ
ก็ในเมื่อในเมืองไทยเราไม่เคยมีพระภิกษุณีสงฆ์แม้แต่องค์เดียวดังเล่ามาแล้ว แล้วจะหาภิกษุณีสงฆ์จากไหนมาให้การบรรพชาอุปสมบท แก่สตรีผู้อยากบวชเป็นพระภิกษุณีแถวนี้ได้เล่า จะให้พระสงฆ์จัดการบวชแบบรวบรัดตัดตอนเอาเองก็เกรงจะไม่ต้องตามพระวินัยบัญญัติอีก ใครขืนทำก็เป็นการละเมิดกฎเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า เท่ากับว่าเป็นพระทรพีดีๆ นี่เอง

     อาจจะมีสตรีบางคนยกเอาข้อความในพระไตรปิฎกมาแย้งว่า "บวชได้" โดยพระสงฆ์นั่นแหละต้องบวชให้ เพราะมีพระพุทธบัญชาว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทำการอุปสมบทให้แก่ภิกษุณี" แต่ก็ขอบอกด้วยว่า ที่อ้างมาทั้งนี้ยังอ้างไม่หมด เพราะข้อความจริงๆ นั้นพระไตรปิฎกบันทึกไว้ว่า

     เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมี ได้รับครุธรรม 8 ประการแล้ว ก็จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลว่า "สำหรับสตรีศากยะ 500 นางเหล่านี้ ยังไม่ได้บรรพชาอุปสมบทเลย หม่อมฉันควรทำอย่างไร ?" พระพุทธองค์จึงทรงโปรดให้พระภิกษุสงฆ์ทำการบวชให้แก่สตรีศากยะเหล่านั้น นั่นเป็นเหตุการณ์จำเพาะ จะนำมาขยายผลเป็นวงกว้างไม่ได้

     ในเคสนี้มีข้อเปรียบเทียบ เช่นกรณีการให้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนานั้น แรกๆ คนยังไม่มากก็ทรงบวชให้เอง เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสมบท ต่อมามีผู้ประสงค์จะบรรพชามาก จึงทรงโปรดให้พระสาวกบวชให้เอง เรียกว่า ไตรสมณคมอุปสมบท ต่อมาอีก พระสาวกเริ่มย่อหย่อนในคุณสมบัติของผู้ขอบวช ทำให้เกิดข้อเสียหาย จึงทรงโปรดให้ตั้งเป็นคณะกรรมการ เรียกว่า คณะสงฆ์ เป็นจำนวน 10 รูปขึ้นไป ให้ร่วมกันวินิจฉัยคุณสมบัติของผู้ขอบวช เมื่อคณะสงฆ์ตกลงอย่างไรแล้ว ก็เป็นอันสำเร็จเสร็จสิ้น ทรงให้เกียรติแก่คณะสงฆ์มากมายเพียงนี้

     ทีนี้ถ้าจะมีคนอุตริไปยกเอาเหตุการณ์ตอนต้นพุทธกาล ที่ทรงอนุญาตให้พระสาวกทุกรูป สามารถบวชกุลบุตรได้โดยไม่ต้องผ่านคณะสงฆ์ (เพราะมิได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ต่อไปห้ามมิให้พระสาวกรูปไหนบวชให้แก่ใครๆ และต้องใช้ระบบคณะสงฆ์ซึ่งมีองค์ 10 เป็นผู้ทำการบวชเท่านั้น) แต่เพราะเคารพในพระพุทธเจ้า เมื่อทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ทำการแทนแล้ว แม้แต่พระอริยสาวกก็ยังต้องใช้ระบบคณะสงฆ์ทำการบรรพชาอุปสมบท จะเห็นได้ว่าเป็นไปด้วยความดีงามและอ่อนน้อม ไม่ใช่ก้าวร้าว แข็งกระด้าง หรือหยาบคาย แต่ประการใด
ฯลฯ

     ดังนั้น การตีความพระวินัยถึงสามารถกระทำได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องตั้งอยู่บนความซื่อสัตย์ซื่อตรงทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น มิใช่เอาผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง แล้วก็ตีความให้สอดคล้องอยู่ข้างเดียว ไอ้อย่างนั้นก็เถียงกันตาย นี่ต่างหากคือสาระสำคัญ !

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
เริ่มเขียน 29 กรกฎาคม 2547
เขียนเสร็จ 23 ตุลาคม 2547 เวลาเนวาด้า 12.15 p.m.


Mr.No

แหม ..ผมนึกว่าจะได้จบกระทู้นี้ไปเขียนอย่างอื่นบ้าง  ท่านคนเมืองสงก็ยังกระเง้ากระงอดไม่ยอมให้ผมทิ้งกระทู้นี้ซะที (ผมเย้าเล่น ไม่เคืองกันนะ..เราชาวพุทธคุยกันแบบ ชิว ๆ  ส.ตากุลิบกุลิบ)

ที่ผมเข้ามาต่อกระทู้เพราะเที่ยวนี้ท่านงัดเอาบทความของมหานรินทร์ มาใช้ ก็โอ.เค เพราะใกล้เคียงกับที่ผมอยากเสวนา เพราะเป็นประเด็นพระธรรมวินัย   แต่จริง ๆ ส่วนตัวผมก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจในสิ่งที่ท่านเขียนนัก เพราะเท่าที่ติดตามงานเขียนของท่าน ๆ ก็เขียนแต่ในส่วนที่ท่านคิดว่าใช่ ส่วนรูปไหนองค์ไหน แม้นขนาดสมเด็จหรือเจ้าประคุณรูปใดที่ไม่ได้ดังใจท่านก็เขียนติเตียนไปซะเรื่อย ตามประสาพระทีอยู่เมืองนอก (มีเสรีภาพแบบฝรั่งซะเคยชิน)

อ้างถึงดังนั้น การตีความพระวินัยถึงสามารถกระทำได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องตั้งอยู่บนความซื่อสัตย์ซื่อตรงทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น มิใช่เอาผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง แล้วก็ตีความให้สอดคล้องอยู่ข้างเดียว ไอ้อย่างนั้นก็เถียงกันตาย นี่ต่างหากคือสาระสำคัญ !

ผมอ่านแล้วก็งั้น ๆ  โดยเฉพาะท้ายประโยคท่านก็เขียนซะเองว่า ว่าการตีความพระวินัยนั้นกระทำได้ ผมก็มีคำถามว่า ตัวท่านเป็นใครถึงบังอาจจะไปตีความพระธรรมวินัยที่ทรงบัญญัติไว้

ก็มิใช่ไอ้การตีความนี่หรือที่ ทำให้พุทธศาสนาถึงได้เกิดนิกายกันนับร้อย ๆ!   
ไม่เพราะตีความเสริมแต่งกันดอกหรือ  ..เราจึงได้  "บัวสี่เหล่า" ทั้งที่พระองค์ทรงตรัสเพียงแค่ "สามเหล่า"
ไม่เพราะชอบตีความเสริมกันนักมิใช่หรือ ... เราจึงได้อรรถกถากันจนเชื่อว่า ทรงให้พระโมคคัลลานะเอาบาตรพระองค์เหาะขึ้นไปพรมน้ำมนต์ทั่งกรุงราชคฤห์  ทั้งที่ทรงตรัสห้ามและตำหนิชัดว่า เรื่องพวกนี้เป็นเดรัจฉานวิชชา ....นี่ทำให้พระทั่วไปวันนี้ก็ยัง พรม ๆ ๆๆ เสกๆ ทั้งที่ทรงห้ามกันอยู่เพราะใคร??
ไม่เพราะการตีความตามแบบตนหรือ ที่แม้นกระทั่งไทยก็ยังแยกออก เป็น ธรรมยุตนิกาย, มหานิกาย ทั้งที่เดิมเราก็มีแค่ มหานิกาย!
ก็ไม่เพราะไอ้การตีความพระวินัย...พระสูตรไปในแบบเฉพาะ เจ้ากู ...ถึงได้เกิดสำนักพิลึกพิลั่นจานบิน.กันจนน่าวิตกจนบัดนี้!


นี่คือเหตุผลที่พระองค์จึงทรงห้ามมิใช่หรือว่า ห้ามบิดเบือน..เสิรมแต่งพระธรรมวินัยของพระองค์

มหานรินทร์ท่านมักเขียนโจมตีสำนักจานบินอยู่บ่อย ๆ มิใช่หรือว่าบิดเบือนพระธรรมวินัย ตีความเอาแต่ตนเอง อย่างโน้นอย่างนี้  ดังนั้นหากกรณีเมื่ออีกฝ่ายที่เกิดสนับสนุนการบวชภิกษุณีท่านเกิดเขียนว่า บทความของท่านเขียนแล้วตู่ตีความพระวินัยเข้าข้างตัวเอง โดยไม่ยึดเอาพระธรรมวินัยเดิม อคติ..และมีลักษณะของการกดขี่เพศ ทั้งที่เห็นชัดว่าในยุคพุทธกาลนั้น ขนาดระบบวรรณะและกดขี่เพศมีสูงเพียงใด แต่พุทธองค์ท่านยังทรงกล้าที่จะมีพุทธานุญาตทั้งที่อาจทำให้คนทั่วไปในยุคนั้นติเตียน แต่สุดท้ายมาวันนี้วันที่ สิทธิสภาพของเพศเท่าเทียมกัน ก็พิสูจน์แล้วว่า พระธรรมวินัยทีทรงบัญญัตินั้นเป็น อกาลิโกจริง ๆ มิใช่หรือ?

ผมอ่านที่ท่านอุตส่าห์ copy มา ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยู่สองประการว่า ผมนี่คงแย่มากตรงที่สื่อความหมายและอธิบายอะไรได้ไม่เข้าใจ หรือมิฉะนั้น ท่านก็อาจมิได้พยายามทำความเข้าใจอะไรทั้งในสาระการคุยที่ไม่สามารถแยกประเด็นออกได้ และที่สำคัญ ยังไม่เข้าใจในอีกหลายองค์ประกอบขององค์กรชาวพุทธ โดยเฉพาะการทำหน้าที่และขอบเขตอำนาจ

อย่างแรก   ประเด็นที่คุยกัน  ผมก็ย้ำแล้วว่า คำสั่งของมหาเถรฯ ที่อ้างคำสั่งสมเด็จพระสังฆราชนั้น ผมก็เข้าใจและรับรู้มาตั้งแต่แรกกระทู้แล้ว  เพียงแต่ประเด็นที่อยากคุยและถกกันต่อก็คือ   ในพระธรรมวินัยที่ปรากฏต่าง ๆ ในพระไตรปิฎกที่เป็นพุทธบัญญัติของพระศาสดา(มิใช่คำสั่งทางโลก)  นั่นต่างหากคือประเด็น 

เพราะผมอรรถาธิบายและตั้งข้อสังเกตุว่า  ในพระธรรมวินัยนั้นท่านทรงอนุญาตไว้ชัด โดยครั้งแรก ผมก็บอกว่า ทรงอนุญาตให้ ภิกษุอุปสมบทภิกษุณีได้ ปรากฎตามนี้ 

"ครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวาย บังคม ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉัน จะปฏิบัติในนางสากิยานีพวกนี้ อย่างไร ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระนางมหาปชาบดีโคตมีเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทีนั้นพระนางมหาปชาบดีโคตมีผู้อันพระผู้มีพระภาคได้ทรง ชี้แจงให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณกลับไป ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรก เกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทภิกษุณี ฯ


พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒
หน้าที่ ๒๑๑/๒๗๙ ข้อที่ ๕๑๙-๕๒๐ (ฉบับหลวง)

ต่อมาซึ่งเป็นสาระสำคัญที่ปรากฏในพระไตรปิฎกจริงๆ (ไม่ใช่ผมตีความนะ)  กล่าวคือหลังจากที่มีการกำเนิดภิกษุณีขึ้นในโลกแล้ว ท่านก็ทรงบัญญัติเพิ่มเกี่ยวกับขั้นตอนในการบวชต่าง ๆ เพราะระหว่างนั้นมีการทูลถามหรือทูลให้ทราบถึงปัญหาต่าง ๆ แก่พุทธองค์เกี่ยวกับการบวชภิกษุณีหลายประการ  เช่นเมื่อภิกษุทำการอุปสมบทให้แก่ภิกษุณี ก็จะต้องมีการถามอันตรายิกธรรม แก่ผู้ขอเข้าอุปสัมปทา(ผู้ขอบวช) 

ปัญหาก็คือ  เมื่อพระองค์ได้ทรงวางข้อถามไว้ 28 ประการ ซึ่งหญิงที่จะบวชต้องตอบแก่ภิกษุสงฆ์ แต่ก็พบปัญหาว่ามีหลายข้อที่ภิกษุสงฆ์เมื่อถามอันตรายิกธรรมแก่หญิงผู้ขอบวช ก็เกิดการเขินและอับอาย เช่นถามว่า ตอนนี้เธอมีระดู(ประจำเดือน)อยู่หรือไม่,เป็นหญิงคล้ายชาย(ทอม)หรือไม่, เป็นพวกสองเพศ (มีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง)หรือไม่, สามีเธออนุญาตแล้วหรือไม่   ฯลฯ    เหล่านี้ทำให้เกิดปัญหา พุทธองค์จึงทรงบัญญัติเพิ่มให้ภิกษุณีสงฆ์ได้เป็นพระพี่เลี้ยงในการบวชให้ โดยเป็นผู้ซักซ้อม อันตรายิกธรรมเหล่านี้ให้แก่หญิงผู้ขอบวชเพื่อให้เธอเหล่านั้นได้เข้าใจและลดความเขินอาย (เพราะเมื่อบวชจริงก็ต้องให้ภิกษุสงฆ์ถามอยู่ดี)  เหล่านี้จึงเป็นที่มาของการทีทรงให้มีการบวชด้วยสงฆ์สองฝ่ายในเวลาต่อมาไงครับ

ดังนั้น คำถามของผมรวมทั้งผู้รู้อีกหลายท่าน(ไม่ใช่ที่นี่)  ได้เคยถามไปยังมหาเถรสมาคมท่านว่า  พุทธานุญาตที่ทรงอนุญาตนั้น ตกลงยังอยู่ใช่หรือไม่? และเหตุใดจึงอ้างแต่กรณีหลัง ซึ่งผู้ที่ไม่ทราบอาจสำคัญผิดว่า พุทธานุญาตหรือพระธรรมวินัยที่ปรากฏมีอยู่เพียงเท่านี้


นี่จึงเป็นประเด็นไง....และท่านคนเมืองสงก็ยังสับสน. เพราะเมื่อผมถามและให้ความเห็นในเรื่องพระธรรมวินัย ..ท่านตอบว่าเป็นคำสั่งสงฆ์ และเป็นเรื่องของนิกายเถรวาท  แบบนี้คุยกันถึง 2559 ก็ยังไม่ไปไหนหรอกครับ  นี่ทำให้ผมถึงขอสรุปและไม่ขอต่อความเห็นไงครับ

อย่างที่สอง
   ผมสงสัยจังว่า ท่าน copy ขอบเขตอำนาจมาหมดทั้ง ของ มหาเถรฯ, สำนักงานพระพุทธ, และกรมการศาสนา แต่ท่านกลับอ่านไม่เข้าใจซะงั้น?

วันนี้ขออนุญาตแนะนำท่านให้เข้าใจเกี่ยวกับ  กระบวนการด้านศาสนปกครอง เผื่อท่านจะได้ทราบว่า มันเกี่ยวข้องและเป็นขอบเขตหน้าที่สัมพันธ์กันอย่างไร

เอาเป็นผมยกกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงเมื่อไม่นานมานี้ ท่านอาจจะได้เห็นภาพชัดกว่าการอธิบายแบบหลักการ 
เรื่องจริงไม่นานจากกรณีที่มีฝรั่งเนเธอร์แลนด์ เกิดอุตริผลิตสบู่ถูตัว โดยตัวสบู่แกะเป็นรูปพระพุทธเจ้า  แถมภาพที่ปรากฏโฆษณา ก็คือนำไปวางไว้ในห้องน้ำที่มีหญิงสาวนุ่งผ้าขนหนูอาบน้ำถูตัว  กรณีที่เกิดเมื่อมีผู้ทราบจึงแจ้งให้ทางกระทรวงต่างประเทศทราบ  ซึ่งต่อมากระทรวงฯ ก็แจ้งมายัง มหาเถรสมาคมทราบเพื่อพิจารณา  เพราะเป็นหน้าที่สำคัญตามขอบเขตโดยเฉพาะในข้อ 3 และ ข้อ4 (ที่ท่านยกมานั่นละ)

กรณีมหาเถรสมาคม  จึงตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วจึงสั่งการให้ สำนักงานพระพุทธศาสนา ซึ่งถือเป็นหน่วยงานที่รับหน้าที่ต่อจากมหาเถรฯ (เพราะมหาเถรฯ ท่านมีแต่พระจึงไม่สะดวกที่จะไปกล่าวโทษ,ร้องทุกข์ได้)  ซึ่งต่อมาก็มีการประสานไปยังกระทรวงต่างประเทศ,รัฐบาลให้มีการร้องไปยังประเทศนั้นเพื่อให้ชี้แจง ว่ากรณีดังกล่าวเป็นการเข้าข่ายหมิ่นศาสนาพุทธ


หรืออีกกรณีที่มีผู้พบ ชายแต่งกายคล้ายพระ (แต่ดูยังไงก็ไม่ใช่พระไทย) เที่ยวเดินขอทานชาวบ้านแถมพูดไทยก็ไม่ได้ (ประมาณหลวงพี่เส้าหลิน) ตำรวจจะจับก็ไม่กล้าเพราะยังไม่มีผู้กล่าวโทษ และที่สำคัญตำรวจเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการวินิจฉัยว่านี่ใช่จริงหรือปลอมหรือเป็นพระนิกายใด  สุดท้ายก็ต้องเป็นหน้าที่ของพระวินนยาธิการ ท่านออกไปตรวจสอบก็พบว่า ไม่ใช่พระไทย และไม่ทราบเหมือนกันว่าสังกัดนิกายใด  จึงต้องประสานขอข้อมูลไปยังมหาเถรฯ และนิกายอื่นที่อยู่ภายใต้กรมศาสนาดูแลว่า นี่ตกลงอยู่ศาสนาใด..นิกายไหน ใบสุทธิมีหรือไม่ สุดท้ายก็ได้ความว่า หลบหนีเข้าเมืองแอบแต่งกายเป็นพระจีน  ก็จึงถูกกล่าวโทษ และตำรวจก็จับข้อหาแต่งกายเลียนแบบ, หลบหนีเข้าเมือง ฯลฯ จัดการไปตามระเบียบ

หรือที่เกี่ยวข้องกับกรมการศาสนา ตัวอย่างกรณี  สำนักจานบิน ที่เล่นบิดเบือนพระไตรปิฏก สอนให้ทำบุญมาก ๆ จะได้ รวย ๆ ๆ นะจ๊ะ ภายหลังก็ถูกคณะกรรมการกรมการศาสนาพิจารณาประเด็นแล้วส่งเรื่องให้เจ้าคณะภาคฯ ที่ดูแลปกครองสำนักนี้ให้จัดการสำนักเพี้ยนนี้ซะ  (สุดท้ายจัดการได้หรือไม่ อันนี้ก็รู้ ๆ กันอยู่)

เห็นตัวอย่างสามหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวข้องกันมั้ยครับ ดังนั้น กรณีภิกษุณีสงฆ์ ที่ท่านบอกว่า มส.ท่านไม่เกี่ยวไม่ยุ่งด้วยเพราะไม่ใช่พระในปกครองท่าน   เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าสิ่งที่อธิบายจะกลายเป็นเรื่องจริง  ผมแนะนำท่านอย่างนี้และกระบวนการจะเป็นอย่างนี้ครับ.(เพียงแต่ท่านจะกล้าหรือไม่อันนี้อีกประเด็น)

1. ถ้าท่านอยู่สงขลา ลองไปวัดแหลมทรายก็ได้ ที่นั่นมีพระวินยาธิการอยู่ บอกท่านว่ามาแจ้งความกล่าวโทษก็ได้ว่า มีผู้แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ หรือนิกายใดที่เป็นอันตรายต่อพระศาสนา  (แค่นี่ง่าย ๆ )  เมื่อท่านรับทราบแล้ว โดยหน้าที่ท่านต้องตรวจสอบว่ามีจริงหรือไม่  ถ้าจริงท่านก็ต้องแจ้งกลับไปยังเจ้าคณะจังหวัดส่งเรื่องขึ้นไปตามลำดับสุดท้ายถึงไหนรู้มั้ยครับ  ...... ก็ มหาเถรฯ ไงครับ

2. เมื่อมหาเถรฯ  พิจารณารับเรื่องแล้ว พบว่า ผู้แต่งกายเลียนแบบสงฆ์เหล่านั้นมิใช่ภิกษุหรือภิกษุณีเถรวาทหรือนิกายที่ประเทศไทยรับรอง และอาจทำให้พระธรรมวินัยเสียหาย ท่านก็ต้องส่งเรื่องไป สนง.พระพุทธศาสนา ให้กล่าวโทษกับเจ้าพนักงานตำรวจให้จับ  ตาม ป.อาญา หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ สงฆ์ ฯลฯ

อ่านแล้ว... ผมหวังว่าท่านคงไม่ทำตามที่ผมแนะนครับเพราะอาจเป็นสาเหตุให้เราทั้งคู่ไม่ได้อยู่คุยกันทางเวบอีก  ส-เหอเหอ

เพราะถ้าเกิด ภิกษุณีสงฆ์รูปนั้น ๆ ท่านได้สำเร็จด้วยการบวชตามพุทธานุญาต(ที่ไม่มีเรื่องคำสั่งหรือกฎหมายทางโลกมาเกี่ยวข้อง) ตามพระธรรมวินัยจริง ๆ  เท่ากับท่านกับผม(ในฐานะแนะนำ) ได้ร่วมกันสร้างอนันตริยกรรมคล้ายการฆ่าภิกษุ, ภิกษุณี แบบนี้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันนิรันดร์เชียวนะครับ  และเผลอ ๆ ท่าน(อันนี้ผมไม่เกี่ยวนา.. ส-เหอเหอ ส-เหอเหอ) อาจโดนศิษยานุศิษย์หรือผู้ทีเคารพศรัทธาในภิกษุณีสงฆ์เหล่านั้น ถามหาบ้านช่องที่อยู่ของท่านเพื่อมาแวะเยี่ยมเยือน อันนี้ก็อาจไม่ค่อยน่าจะคิดถึง   

และที่สำคัญจะยิ่งทำให้พระเถระหลายรูปหลายตำแหน่งในมหาเถรฯ ท่านเดือดร้อนรุ่มกลุ้มหนัก เพราะวันนี้ท่านก็เพิ่งจะปลดเจ้าคุณเสนาะ กรรมการมหาเถรฯ ออกจากตำแหน่งในข้อหาที่ท่าน เกิดความร่ำรวยมหาศาล กันไปหยก ๆ ท่านก็กระอักกระอ่วนกันเต็มทีแล้วแถมยังจะมีกรณีนี้อีก........  เฮ่อ!!.

เที่ยวนี้ขอจบจริง ๆ ครับ.
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

คนชอบถาม

บทบาทล่าสุดของ มส. วันนี้
มีความหวังครับ
ถ้า มส. มีมติเช่นนี้ ก็เป็นเพราะภาคสังคมร้องเรียนมิใช่หรือ
สาธุ