ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

งงกับ23อาจารย์ที่เอาเหตุการณ์ 2475 ไปรวมกับรัฐประหาร คิดได้ไงบอกชิ

เริ่มโดย พิณ ลำโขง, 16:18 น. 03 ต.ค 54

พิณ ลำโขง

คาใจเรื่องนี้มาก

ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา แม่ค้าพ่อขาย หรือกรรมกรคนยากคนจน
ที่มีความเข้าใจอย่างนั้น ก็เพราะขาดการศึกษาประวัติศาสตร์
(แต่ก็ประมาทชาวบ้าน คนยากจนไม่ได้ เพราะบัดนี้คนกลุ่มมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ปี 2475 เพิ่มมากขึ้น)

แต่งุนงงสงสัย... นอกจากระดับมันสมองแบบด็อกเตอร์ตั้งแต่อาจารย์สมคิดแล้ว
ยังมีอาจารย์อีกยี่สิบกว่าท่าน ยังเข้าใจแบบนี้อยู่ โชว์กึ๋นแบบชาวบ้านที่ขาดการศึกษาประวัติศาสตร์ปี 2475
ยังคิดว่าเหตุการณ์ในปี 2475 เป็นสถานการณ์แบบเดียวกับรัฐประหารของสุจินดา ประภาส ถนอม สฤษดิ์ จอมพลป.

อาจารย์สมคิดเปิ่นคนเดียวไม่พอ มีเพื่อนออกมาช่วยเปิ่นผสมโรงกันอีกคณะ

ชาวบ้านอย่างเราๆ ที่เคยอ่านประวัติศาสตร์ไทยมา
กลับเข้าใจว่า.. การเปลี่ยนแปลงในปี 2475 นั้นเป็นการเปลี่ยนผ่านระบอบการปกครอง
จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย
เปลี่ยนผ่านอำนาจนั้นมาสู่มือประชาชน

แต่การรัฐประหารนั้น ไม่ว่าจะเป็นประภาส ถนอม สุจินดา หรือสนธิ ล้วนเป็นการยึดเอาอำนาจออกไปจากมือประชาชน
แล้วเอาอำนาจนั้นไปอยุ่ในมือคณะบุคคลไม่กี่คน และกดหัวประชาชนมาแล้วหลายยุคหลายสมัย

อาจารย์สมคิดและ 23 อาจารย์ช่วยออกมา confirm อีกทีว่า
ชาวบ้านคิดผิด ส่วนคณาอาจารย์ทั้งหลายนั้นคิดถูก

ส่วนข้อโต้แย้งทางกฎหมายนั้น เราไม่ขอออกความเห็น เนื่องจากว่าเป็นวิชาการด้านกฎหมาย
เชิญอาจารย์ด้านกฎหมายถกเถียงกันให้พอ ถกเถียงกันให้ตกผลึก ถกกันให้แตก
ภายใต้หลักวิชาการ ภายใต้หลักนิติธรรม ตามหลักสากลประเทศ
อย่าได้แถออกนอกกรอบนี้ด้วยการสร้างวาทกรรมบ้าๆ บอๆ อีกเลย


จับฉ่าย



ช่ายๆไปนับรวมทำไม ถ้าไม่มีปฏิวัติครั้งนั้น ก็ไม่มีทักษิณวันนี้

ซัมเบ้ Note 7 Jr.

2475 น่าจะเรียกว่า เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง มากกว่านะครับ

รัฐประหาร  ยึดอำนาจ  กันกี่ครั้งก็เรียกว่า ยังอยู่ในระบอบเดิมๆได้

แต่ กรณี 2475 ไม่เรียกว่า รัฐประหาร หรือ ยึดอำนาจ อย่างสิ้นเชิง

จาก สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็น ประชาธิปไตย  คนละระบอบครับ
อีกนัยหนึ่ง อาจเรียกว่า ปฎิวัติ นั่นเองครับ คือ เปลี่ยนระบอบการปกครองแบบถอนรากถอนโคน
แต่ คนไทยเรา มักเรียกการ ยึดอำนาจ หรือ รัฐประหาร ว่าเป็นการ ปฎิวัตร แทบทุกครั้ง
ตรงนี้ อาจเกิดการเข้าใจผิดกันได้ครับ

ปฎิวัติ ระบอบการปกครอง ในเมืองไทยมีครั้งเดียว ก็คือ เปลี่ยนจาก สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็น ประชาธิปไตย นั่นเอง
ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป

ไม่งง

เมื่อ "พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล" นศ.กฎหมาย ป.ตรี วิพากษ์ "แถลงการณ์โต้นิติราษฎร์" ของ "23 คณาจารย์"
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล นักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เขียนบทความวิพากษ์ "แถลงการณ์ 23 คณาจารย์" ที่ตั้งคำถามโต้แย้งข้อเสนอของ "คณะนิติราษฎร์" ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวของตนเอง มติชนออนไลน์เห็นว่าบทความดังกล่าวมีสาระน่าสนใจชวนถกเถียง จึงขออนุญาตนำเนื้อหาบางส่วนมาเผยแพร่ต่อดังนี้
ผมได้อ่านข่าว "คำแถลงการณ์ของคณาจารย์นิติศาสตร์" รายชื่อท้ายแถลงการณ์จำนวน 23 คน ... แก่นของ "แถลงการณ์ 23 คณาจารย์" คือ "อย่าไปต้านรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญในลักษณะที่จะทำให้ทักษิณได้ประโยชน์จากการต่อต้านสิ่งที่ไม่ชอบธรรมในระบบกฎหมาย" ทั้งๆ ที่ผู้ซึ่งได้รับผลประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่ นาย ก. นาย ข. ฯลฯ หากแต่เป็นสามัญชนทั้งหลายที่อยู่ภายใต้ระบบกฎหมายที่จะรอดพ้นจากการใช้ อำนาจที่ไม่ชอบธรรมในวันนี้และภายหน้า
1.ก่อนอื่น ควรเท้าความก่อนว่า คณะนิติราษฎร์ ออกแถลงการณ์ "ข้อเสนอทั้ง 4 ข้อ" บนจุดยืน ′นิติรัฐ-ประชาธิปไตย′ ด้วยเหตุนี้ คณะนิติราษฎร์ จึงเสนอให้ "ลบล้าง" ผลพวงจากการกระทำที่มุ่งต่อผลในทางกฎหมายของคณะรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ (นับแต่ การรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญครั้งแรก 2490 เป็นต้นมา) การที่ "23 คณาจารย์" เสนอแนะให้ลบล้างไปถึง 24 มิถุนายน 2475 นั่นย่อมหมายได้โดยปริยายว่า "23 คณาจารย์" มุ่งให้ย้อนกลับไปปกครองในระบอบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ใช่หรือไม่
ควรอธิบายให้เป็นวิทยาทานแก่สติปัญญาของ "คณาจารย์ทั้ง 23 คน" ด้วยว่า คณะราษฎร สถาปนา ′รัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์อักษร′ เป็นการใช้ "อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญแบบดั้งเดิม" (pouvoir constituant originaire) เพื่อก่อตั้ง ′ผู้ทรงอำนาจอธิปไตย′ ขึ้นใหม่ (หมายความว่า throw out อำนาจดั้งเดิม ไปเสีย โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร) ปลดโซ่ตรวนพันธนาการจาก "การเมืองแบบเลือกไม่ได้" (การเมืองที่ต้องการพันธุกรรมสายเลือดเดียวกัน ; การเมืองที่ไม่ต้องการความหลากหลาย ; การเมืองที่ต้องการความสมานฉันท์หรือเอกภาพ ; การเมืองที่ต้องการความเงียบเชียบ)
การกระทำของคณะราษฎร จึงเป็น "รัฐประหารเพื่อสถาปนารัฐธรรมนูญ" ตามแนวคิด constitutionalism ขึ้นเป็นครั้งแรก
กล่าวในเชิงรูปธรรมได้ว่า การกระทำของคณะราษฎร ซึ่งใช้วิธีการ coup d′état เพื่อ revolution (จัดทำรัฐธรรมนูญ) มิใช่ coup d′état เพื่อย้อนกลับไปสู่อำนาจระบอบเดิม (ทำลายรัฐธรรมนูญ)
(คำว่า revolution เป็น "คุณค่า" (ในทางที่ดี หรือ ในทางที่เลว ก็ได้) ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดย 2 ลักษณะ คือ violent action หรือ nonviolent action ก็ได้ ขึ้นอยู่กับ "วิธีการ"
ส่วน coup d′état เป็น "วิธีการ" ซึ่งมีลักษณะ violent action (โดยสภาพของการกระทำ ไม่ว่าจะมีการนองเลือดหรือไม่ เพียงว่า กระทำโดยผิดต่อรัฐ) รากศัพท์ของ coup d′état คือ การกระทำผิดต่อรัฐ
ถามว่า "วิธีการ" ที่เป็นลักษณะ nonviolent action จะนำไปสู่ revolution ได้หรือไม่ (คำตอบคือ ยาก/นานนม เหมือนการวิวัฒนาการจาก สัตว์มีหาง กลายเป็น สัตว์ไร้หาง) และอาจต้องพิเคราะห์ violent ในทางนิยามว่า การอบรมสั่งสอนให้เชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเด็ดขาด จัดเป็น violent หรือไม่
เมื่อสิ่งหนึ่ง เป็น "คุณค่า" กับ อีกสิ่ง เป็น "วิธีการ" ดังนั้น การนำสองเรื่องมาเทียบเคียง/จำแนกความแตกต่าง ย่อมผิดฝาผิดตัว (เป็นคนละเรื่อง) ครับ)
2."23 คณาจารย์" ควรอ่านแถลงการข้อเสนอนิติราษฎร์โดยใช้สติปัญญาอันพึงมี ก่อนที่จะวิจารณ์ แถลงการณ์ "การลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549" ณ วันที่ 25 กันยายน 2554 กล่าวคือ โดย หลักทั่วไป ต้องลบล้างผลทางกฎหมายเหล่านั้นทั้งหมด แล้วมา valid ทีละเรื่อง โดยคำนึงถึงหลักความสุจริตและคุ้มครองหลักความเชื่อถือไว้วางใจของบุคคล ด้วยเหตุนี้ คณะนิติราษฎร์ จึงไม่เสนอให้ลบล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นการทั่วไป หากแต่เสนอให้ลบล้างเฉพาะมาตรา 36 และมาตรา 37 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ซึ่งบัญญัตินิรโทษกรรมความผิดฐานก่อกบฎล้มล้างรัฐธรรมนูญ ให้ถือเสมือนว่า เสียไป และไม่เคยเกิดผลขึ้นในระบบกฎหมาย
3.หลักในเรื่องต้นไม้เป็นพิษ อาจใช้ได้ในกรณีที่เป็น "คำสั่ง" หรือ "ประกาศ" ที่มุ่งโดยตรงต่อผลทางกฎหมายบังคับแก่บุคคลโดยเฉพาะเจาะจง แต่สำหรับกรณี "คำสั่ง" หรือ "ประกาศ" ที่ส่งผลไปยังบุคคลภายนอกเป็นการทั่วไปซึ่งกระทบต่อบุคคลจำนวนมาก ทาง "23 คณาจารย์" ควรสำเหนียกถึงหลักการพื้นฐานของหลักนิติรัฐ ที่ต้องประกันความเชื่อถือไว้วางใจของเอกชนที่มีต่อระบบกฎหมายของรัฐ สำหรับ หลักต้นไม้เป็นพิษ ซึ่งเป็นหลักคิดในทางข้อเท็จจริงที่ส่งผลยุติเฉพาะคู่ความเป็นรายคดี หาได้ส่งผลบังคับผูกพันเป็นการทั่วไปบังคับแก่บุคคลทั้งหลายไม่ การหยิบยกหลักดังกล่าวมาโจมตี "ข้อเสนอนิติราษฎร์" จึงเป็นไปโดยความมักง่ายของ "23 คณาจารย์" โดยแท้
4.คณะนิติราษฎร์ ไม่เคยเสนอให้ลบล้าง "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549" และ "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" เป็นการทั่วไป หากแต่ลบล้างเฉพาะบทบัญญัติมาตรา ที่รับรองความชอบด้วยกฎหมายของคณะรัฐประหาร โดยอาศัย "อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ" โดยกระบวนการแก้รัฐเพิมเติมรัฐธรรมนูญ แล้วนำร่างแก้ไขฯ ไปลงประชามติ อันส่งผลเป็นการใช้ "อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ" จากการลงประชามติครั้งใหม่ในอนาคตจะลบล้างและยืนยัน "สถาปนารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549" ไปพร้อมกันโดยสภาพ
5.เนื่องจาก "23 คณาจารย์" ชี้แจงหลักวิชาชีพและศีลธรรม น่าพิจารณา "บรรดา 23 คณาจารย์แต่ละคน" นะครับ ในฐานะที่พวกคุณเป็น คนสอนกฎหมาย (บางท่านก็ไปรับจ๊อบ เวลามีรัฐประหาร) คงทราบดีว่า บรรดา ข้อกล่าวหาทางการเมืองทั้งหลาย เป็นเพียงความเห็น ตราบที่ยังไม่มีการพิสูจน์โดยกระบวนการยุติธรรมในระบบกฎหมายที่ปกติ (มิใช่ผลโดยตรงจากความมุ่งหมายของการทำรัฐประหาร รวมทั้งปราศจากการแต่งตั้ง หรือ ดำเนินการทั้งหมด หรือบางส่วนมาจากบุคคลซึ่งรับคำสั่งจากคณะรัฐประหาร) บรรดาข้อกล่าวหาชั่วบ้าง เลวบ้าง ก็ยังเป็นข้อกล่าวหาทางการเมือง (เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง - อาจจริงหรือเท็จ ในข้อความนั้น) หาใช่ "ความจริง" ที่ผ่านกระบวนการโดยชอบด้วยกฎหมายที่ตราขึ้นและดำเนินการโดยชอบในระบบกฎหมาย ปกติ
6.กรณีที่ท่านยังมีทรรศนะต่อประชาชน ว่ายังไม่ฉลาดเท่าทันนักการเมือง, เช่นนี้ คณาจารย์ทั้ง 23 คน ก็เป็น ประชาชนของรัฐนี้ล่ะครับ ... และพึงสังวรณ์ถึงความป่าเถื่อนทางความคิดของ "คณาจารย์ทั้ง 23" ที่วางเจตจำนงทางการเมืองของตนเป็นที่ตั้ง แล้วยัดเยียดความโง่ให้ ประชาชนคนอื่นๆ ซึ่งอาจจะหมายถึง ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ของรัฐด้วยโดยนัย

เด็กคลองแห

อ่านแล้วงง ใครก็ได้ช่วยสรุปเรื่องให้หน่อยครับ ไม่ค่อยได้ตามข่าว

ชิลๆ

ไม่เห็นต้องงงอะไร เค้าถือหางกันคนละฝ่าย ก็เหมือนคนในนี้แหละ
ชอบทักษิณ ก็เชียร์ คณะนิติราษฎร์ แล้วก็ งงกับ 23 คณาจารย์
ใครเกลียดทักษิณ ก็ด่าคณะนิติราษฎร์  แล้วก็ เห็นด้วยกับ 23 คณาจารย์

ขอถามชิลๆ

""ไม่เห็นต้องงงอะไร เค้าถือหางกันคนละฝ่าย ก็เหมือนคนในนี้แหละ""

แล้วคุณถือหางใครกันล่ะ  ถ้าทั้งสองฝ่ายมีหางคุณก็ต้องมีหางด้วย ผมเห็นว่าต้องมีฝ่ายหนึ่งผิดแน่นอน

""ชอบทักษิณ ก็เชียร์ คณะนิติราษฎร์ แล้วก็ งงกับ 23 คณาจารย์""

ไม่จริงเลยคนที่บอกว่า คณะนิติราษฏร์คิดถูก เพราะว่า ถ้ามีการปฏิวัตินั่นคือไม่มีประชาธิปไตย 100 % ถูกต้องครับ

ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยและต่อต้านแสดงว่าชอบการปฏิวัติเห็นด้วยกับเผด็จการ

""ใครเกลียดทักษิณ ก็ด่าคณะนิติราษฎร์  แล้วก็ เห็นด้วยกับ 23 คณาจารย์""

คนที่เกลียดทักษิณก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดหรือไม่ชอบคณะนิติราษฏร์ก็ได้ แต่ไม่เห็นด้วยกับ 23 คณาจารย์แน่นอน

เพราะไม่ต้องการเห็นการปฏิวัติ  23 คณาจารน์คิดได้ไงว่าคณะนิติราษฏร์ไม่ดี ยังงี้ต้องกลับไปเรียนใหม่แล้วมาเป็น

อาจารย์แบบนี้สอนเด็กยิ่งโง่ยิ่งสับสนไปใหญ่  เห็นด้วยกับการปฏิวัติแสดงว่าไม่รู้จักคำว่าประชาธิปไตยเลยจริงๆ

ความจริงประชาธิปไตยง่ายๆหรอกตามประสาชาวบ้านธรรมดาๆ มีการเลือกตั้งจะดีหรือไม่ดีก็ประชาชนเลือกมาแล้ว

นับว่าเป็นตัวแทนเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนทั้งหมด  แล้วอีกอย่างที่อยากจะบอก 23 คณาจารย์ด้วยว่า

เสียงข้างมากในสภาลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี และเสียงส่วนใหญ่ในสภานี้ไม่ใช่เผด็จการรัฐสภาเป็นประชาธิปไตยครับ

23 คณาจารย์ไปโง่มาจากไหนหรือที่บอกว่า เป็นเผด็จการรัฐสภา ในรัฐสภามีเผด็จการไม่ได้นะครับ

ในรัฐสภาเป็นประชาธิปไตยที่มีการลงมติ ต้องใช้เสียงข้างมาก ขอให้เข้าใจด้วยไม่งั้นจะเรียกว่าประชาธิปไตยหรือ ?

คิดผิดคิดใหม่ได้น่ะ  ไม่มีวันสายถ้ามีความตั้งใจแก้ไขในสิ่งผิด


ขอมุงด้วยคน

มันเกี่ยวข้องกันซิ ในเมื่อ ร.7 พระองค์มีพระประสงค์ที่จะถ่ายโอนอำนาจให้ไปสู่ประชาชนทั้งแผ่นดินของพระองค์ ตามแบบหลักประชาธิปไตย ที่นานาอารยะประเทศเขาปฏิบัติกัน แต่ในความเป็นจริงอำนาจของพระองค์กลับไปตกอยู่ในมือของกลุ่มข้าราชการกลุ่มหนึ่งซึ่งเทียบได้กับเหล่าอำมาตย์ทั้งหลาย โดยคนกลุ่มนี้เสพติดอำนาจไม่ยอมปล่อยให้อำนาจส่วนนี้มาสู่ประชาชนอย่างแท้จริง และได้สืบทอดการถ่ายโอนอำนาจมาจนถึงปัจจุบัน อย่างที่เห็นว่ารัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามามักจะโดนทำรัฐประหารทุกครั้ง ผิดกับรัฐบาลรัฐประหารมักจะเข้ามาแก้ไขกม.รัฐธรรมนูญเพื่อเอื้อผลประโยชน์และปกป้องอำนาจของตัวเอง พวกนี้ไม่เคยยอมรับและเข้าใจในพระราชประสงค์ของ ร.7 ที่พระราชทานอำนาจประชาธิปไตยให้แก่ประชาชน คืออำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ไม่ใช่ของกลุ่มอำมาตย์และพวกพ้องตั้งแต่หลังปี 2475 ที่มันมีลักษณะคล้ายๆการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะอำนาจแทบไม่เคยตกถึงมือประชาชนเลยจริงๆซะที ส.อ่านหลังสือ ส.อ่านหลังสือ ส.อ่านหลังสือ

ซัมเบ้ Note 7 Jr.

ผมยังสงสัยอยู่ว่า
ร.7 พระองค์ท่าน"โดนบีบบังคับ"หรือเปล่า
ผมคิดว่า ร.7 ท่านก็มีแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอยู่เช่นกัน แต่ คณะราษฎร"ชิง"ลงมือก่อนนั่นเอง
พระราชอำนาจ ร.7 จึงถูกริดรอนไปด้วย
ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป

nangnol

เพราะแต่ละคนได้ลิมขิมรสขาติแล้วผลปรากฎออกมาว่าอร่อย.......หนำซ้ำไม่พอก๊แบ่งกันกินให้อิ่มหมีพีมันไงล่ะ

ปชปหัวก้าวหน้า

อ้างจาก: ชิลๆ เมื่อ 09:01 น.  04 ต.ค 54
ไม่เห็นต้องงงอะไร เค้าถือหางกันคนละฝ่าย ก็เหมือนคนในนี้แหละ
ชอบทักษิณ ก็เชียร์ คณะนิติราษฎร์ แล้วก็ งงกับ 23 คณาจารย์
ใครเกลียดทักษิณ ก็ด่าคณะนิติราษฎร์  แล้วก็ เห็นด้วยกับ 23 คณาจารย์


สรุป คือ ฝ่ายที่สนับสนุนเผด็จการ กับฝ่ายที่สนับสนุน ประชาธิปไตย ต่างหาก

คณะนิติราษฎร์เสนอ (เอาเฉพาะ สอง ประเด็นดัง ๆ)

1 ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กย 49

2 ยกเลิก กม.นิรโทษกรรมตัวเอง ของคณะรัฐประหาร

เหตุผลสนับสนุนข้อ 1

-เมื่อคุณกระทำหรือได้อำนาจมาโดยไม่ถูกต้อง ย่อมปราศจากความยุติธรรม ความเป็นกลาง และการยอมรับ ฉะนั้นการที่คณะรัฐประหารได้จัดตั้ง คตส.หรือองค์กรอิสระต่างๆ และจัดคนของตัวเองเข้าไปเพื่อรองรับ ที่จะกำจัดฝ่ายตรงข้าม นั้น ถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม

-ผลของการยกเลิกผลพวง ไม่ได้ยกเลิกผลการกระทำของนักการเมืองที่โกงกินที่ถูกตัดสินและคดีสิ้นสุดแล้ว ตามความเป็นจริง เราสามารถที่จะเริ่มกระบวนการไต่สวนเอาผิดกับนักการเมื่อง นั้นได้ โดยใช้กระบวนการยุติธรรม ในภาวะการเมืองปกติ เป็นธรรม โดยไม่ได้ถูกควบคุมโดยอำนาจใดๆ

- ทำไมยกเลิกผลพวงเฉพาะ 19 กย.49 เพราะผลพวงมันมีผลกระทบมากและ ยังดำรงอยู่ โดยไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ เกิด ผลเสียมากมายมหาศาล

เหตุผลการสนับสนุนข้อ 2

- เป็นการป้องปราม การรัฐประหาร ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า


สรุปโดยรวม ประชาชนที่สนับสนุนคณะนิติราษฎร์ นั้น มีหลากหลายพวก เช่น

กลุ่มที่ไม่ชอบทักษิณ แต่ไม่ชอบรัฐประหาร เพราะผลพวงรัฐประหารมีมากมาย

กลุ่มที่ชอบ ทักษิณ แต่ไม่ชอบรัฐประหาร เพราะ คดีความต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะถูกรื้อและไต่สวนกันใหม่ ภายใต้การเมืองปกติ เป็นกลาง เป็นธรรม มิใช่กล่าวหากันเป็น "ข้อกล่าวหาทางการเมือง"

กลุ่มที่รักประชาธิปไตย กลุ่มนี้ไม่ชอบเผด็จทหาร ไม่ชอบอำมาตย์ หรือไม่ชอบกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง รัฐประหาร เพราะมองว่า นักการเมือง หรือ ประชาชน ไม่ใช่ตัวต้นเหตุ แต่ที่ทำรัฐประหารเพราะต้องการปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนโดยทั่วไป