ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ฝากคิดกับกิจกรรม "ละโมบบุญ"

เริ่มโดย Mr.No, 12:51 น. 13 ส.ค 58

การทำบุญในพุทธศาสนา

[size=18pญมาโดยตลอดมักใช้คำว่า ทำบุญบอกบุญ ในโอกาสที่ต้องการเรี่ยไร เพื่อสร้างวัตถุสถานหรืออื่นๆเป็นที่ทำกิจกรรมทางศาสนาหรือเป็นที่พึ่งทางใจ  จนคนรุ่นหลังมีความเข้าใจผิดว่า ศาสนาพุทธนั้นเน้นเรื่องการทำบุญเป็นหลัก ซึ่งอันที่จริงแล้ว การทำบุญเป็นส่วนประกอบเล็กๆส่วนหนึ่งของ หลักคำสอนในศาสนาพุทธ เท่านั้น เหมือนฟันเฟืองส่วนประกอบตัวหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมดและไม่ใช่ปลายทางที่ พุทธศาสนิกชนควรจะไป
หลักคำสอนของศาสนาพุทธ จะเน้นที่ การ มี สติ เพื่อก่อให้เกิดศีล สมาธิและปัญญา เป็นเครื่องชี้นำไปสู่เส้นทางของ พระนิพพานคนไทยที่เป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ แค่ในทะเบียนบ้านก็ไม่ได้เพิ่มเติมความรู้ด้านพุทธศาสนาเท่าไหร่เลย รู้แค่ว่าต้องสละทรัพย์เพื่อสร้างวัด สร้างพระในวัดเพื่อให้ คนในสังคมนับถือ และกราบไหว้ ยิ่งถ้าได้สลักชื่อ นามสกุล ใน ศาสนสถาน นั้นๆก็ถือเป็นความภาคภูมิใจของตนเองและวงศ์ตระกูล ยิ่งในประเทศไทย มีการเลื่อนลำดับขั้นทาง สมณะศักดิ์ตาม ผลงานที่สร้างวัตถุ พระเครื่อง วัด หรือ อื่นๆ ก็ยิ่งทำให้ชาวพุทธยิ่งเข้าใจผิด ว่า การทำบุญสร้างโน่นนี่ เป็นสาระสำคัญ ของศาสนาพุทธ ทั้งที่ การทำบุญหรือการสละทรัพย์หรือแรงงานเป็นเพียง กระบวนการเพื่อให้เกิดการขัดเกลาจิตใจ ทำให้จิตใจที่ถูกขัดเกลาเกิดความ เบาสบาย ทำให้เกิดสติ การทำบุญสละทรัพย์ 1 บาทของยาจกหรือ 1 ล้านบาทของเศรษฐี ก็มีค่าเท่ากันเพราะเกิดการขัดเกลาจิตใจให้รู้จักการเสียสละหรือเป็นผู้ให้เหมือนกัน  จิตที่อ่อนโยนปลอดโปร่งจะทำให้เกิดสติ เมื่อมีสติก็ มี ปัญญา สมาธิและรักษาศีล ซึ่ง 3 องค์ประกอบนี้ จะเป็นเหมือน กงจักร หมุนตัด กิเลสและตัณหา ทำให้รู้เท่าทัน แล้ว จิตก็เข้าสู่ ภาวะ นิพพาน ในที่สุด แต่ ธรรมกลาย อาศัย ความเข้าใจผิดในเรื่องการทำบุญส่วนนี้ ไปแสวงหา ทรัพย์ หรือเรียกว่า ตกทรัพย์ จากผู้ที่เชื่อในคำสอนที่ผิดเพี้ยนของลัทธินี้ และหลงในความเบาสบายของจิตใจที่ตนเองได้รับจากการสละทรัพย์ คิดว่า ตนเองมาถูกทางแล้ว จะได้ขึ้นสวรรค์ และไปยังสถานที่ที่สวยงามคือ นิพพาน จนกระทั่ง ชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมในลัทธินี้มากมาย เงินทองก็ไหลมาเทมาเข้าลัทธิ จนเจ้าลัทธิสามารถเข้ามามีอิทธิพลใน การปกครองของเหล่าสงฆ์ในประเทศ   เหมือนคำที่ว่า "มีเงินก็เรียกผีมาช่วยโม่แป้งได้"
การสอนให้ซื้อบุญ ผ่อนบุญ ทำบุญด้วยเงินและของมีค่าเท่านั้นจะได้ไปเกิดเป็นโน่นนี่ และการชักชวนให้ คนอื่นมามีส่วนร่วมให้มากที่สุดไม่ว่าจะเรี่ยไรเงินหรือใช้แรงงานมาช่วยในกิจกรรมของลัทธิ หรือเรียกว่าการทำบุญด้วยตัณหาหรือความอยากได้อยากมีอยากเป็นไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น การทำบุญคือการลงทุนในธุรกิจคือการลงทุนในชาติหน้าจึงถือเป็นหลักคำสอนหลักๆของลัทธิธรรมกลาย กิจกรรมทางการตลาดได้ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นโฆษณาชวนเชื่อหรืออวดอ้างสรรพคุณ ให้เกิดความน่าเชื่อถือ เช่น ผู้บวชในลัทธิล้วนเป็นอรหันต์  ตักบาตรพระ 10000 รูป  บวชฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายฯลฯ  ล้วนเพื่อต้องการขยายฐานการตลาดของตนเองออกไปเรื่อยๆเมื่อมีสาวกมากเงินทองก็จะหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย สามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนในด้านต่างๆได้โดยไร้กังวล ถ้าเป็นด้านธุรกิจก็ ทำให้สามารถแข่งขันกับนักธุรกิจรายใหญ่และรายย่อยได้อย่างสบายๆเพราะไม่ต้องกู้ไม่มีดอกเบี้ย มีเงินทุนหนา ผลกำไรจากธุรกิจก็เป็นของเจ้าลัทธิและสาวกคนสนิทที่สามารถช่วยเอาเงินไปทำให้งอกเงยได้ ถ้าลองคิดเปรียบเทียบดู ธรรมกลาย ก็เหมือน "ไกด์ผีระหว่างทาง" เพราะ พุทธศาสนิกชนทุกคน ล้วนต้องการไปให้ถึงพระนิพพาน ซึ่งต้องไปถึงด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดการละเลิกวาง ทางจิต ต้องศึกษาและฝึกฝน  แต่ ธรรมกลาย มาแนะนำทางว่า มันมีทางที่ไปถึงสถานที่พระนิพพานได้ง่ายสะดวกและรวดเร็ว เป็นความลับที่พระพุทธเจ้าซ่อนไว้ในคำสอน ธรรมกลายเป็นผู้ค้นเจอรหัส  คือต้องทำบุญสะสมบุญดึงคนเข้าธรรมกลาย ชักชวนให้พุทธศาสนิกชนหลายคนออกนอกลู่ทางที่ไปสู่พระนิพพานที่แท้จริงไปอย่างน่าเสียดาย จึงไม่น่าแปลกใจที่ เราจะเห็นว่าสาวกของธรรมกลาย ทุกคน จะพยายามชวนทำบุญสะสมบุญกับธรรมกลาย  ธรรมกลายจึง มีลักษณะเหมือน ไกด์ผี  ที่น่ากลัวมากๆ สำหรับพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย  ที่คอยดักอยู่ระหว่างทางของ ผู้หลงผิดคิดว่าเงินซื้อนิพพานได้ ให้เดินวกวนผิดทาง ต้องวนเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้อีกกี่พันกี่หมื่นขาติจึงจะหาทางออกไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้ ทั้งที่คนเหล่านั้นน่าจะเฉลียวใจคิดได้บ้างว่า ศาสนาพุทธสอนให้ ละเลิกวาง เพื่อการเป็นอิสระ สู่การเป็น พุทธะ  เพราะการสะสมละโมบบุญ ทำให้เกิดการยึดติดในบุญ หรือเรียกว่า หลงบุญทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ว่า บุญของฉันเยอะกว่าของเธอ เพราะฉันมีเงินซื้อบุญได้มากกว่า ทำให้เกิดความกลัวเพราะต้องคอยคิดว่าฉันต้องมีบุญเยอะกว่าคนอื่นต้องได้ที่หรือตำแหน่งที่ดีกว่าคนอื่นในสวรรค์หรือในชาติหน้า เกิดการวิตกกังวล เป็นทุกข์ จนจิต  ต้องกลับมาเวียนว่ายเพื่อ ให้หลุดจากบ่วงบุญที่ตนยึดติด ดังนั้นการสละทรัพย์หรือการทำบุญที่ควรคือการทำด้วยการมีพรหมวิหาร 4 คือมี เมตตา กรุณา มุทิตาและ อุเบกขา ไม่ทำให้ ตนเอง และผู้อื่นเดือดร้อนโดยเฉพาะคนใกล้ตัวและต้องไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน สุดท้ายคือ วิญญูชนทั้งหลายหรือผู้รู้ทั้งหลายยอมรับ และสรรเสริญ จึงจะเป็นการทำบุญที่ถูกต้องอย่างแท้จริง มิใช่ทำบุญด้วยความโลภ เมื่อทำได้เช่นนี้ ถึงท่านทำบุญไปเท่าไหร่ มันก็เหมือนท่านไม่ได้ทำอะไร เพราะจิตของท่าน จะหลอมรวมไปกับการกระทำ ไม่ต้องแยกแยะว่า บุญหรือบาป จิตจะเป็นอิสระ สู่การเป็น พุทธะ ที่แท้จริง (บางท่านอ่านมาถึงตอนนี้อาจยังไม่เข้าใจว่าผู้เขียน เขียนมีความหมายอย่างไร ขอให้ท่านศึกษา ธรรมะไปเรื่อยๆ ท่านจะเข้าใจเมื่อมาอ่านในครั้งต่อไป) จึงขอให้ท่านที่หลงผิด ได้โปรดอย่าทำร้ายตนเองและคนรอบข้างอีกต่อไป ขอให้ศึกษาพุทธศาสนา ศึกษาเพื่อให้รู้ว่าแก่นของพุทธศาสนาคืออะไร อย่ามองแค่ พิธีกรรม หรือวัตถุ ทางศาสนาที่เป็นเพียงเปลือกนอกหรือกระพี้ ที่ คนอย่างเราๆท่านๆก็สร้างเองได้ คนหัวล้านห่มเหลืองก็คือคนธรรมดาอย่าเราๆท่านๆ ใช้สติ ปัญญา สมาธิ เพื่อละวางเปลือก ที่คนสร้างขึ้นมากันเอง ด้วยการหวังในทรัพย์ แล้วเจาะไปถึงแก่น อย่าเป็นเครื่องมือให้แก่ลัทธิธรรมกลาย เพื่อ ตัวท่านเอง ขอได้โปรดพิจารณาt]การทำบุญในพุทธศาสนา เมื่อเปรียบเทียบกับ  ลัทธิธรรมกลาย[/size]     คนไทยในอดีตมีความเข้าใจผิดเรื่องการทำบุ  สาธุ

การทำบุญในพุทธศาสนา

การทำบุญในพุทธศาสนา เมื่อเปรียบเทียบกับ  ลัทธิธรรมกลาย     คนไทยในอดีตมีความเข้าใจผิดเรื่องการทำบุญมาโดยตลอดมักใช้คำว่า ทำบุญบอกบุญ ในโอกาสที่ต้องการเรี่ยไร เพื่อสร้างวัตถุสถานหรืออื่นๆเป็นที่ทำกิจกรรมทางศาสนาหรือเป็นที่พึ่งทางใจ  จนคนรุ่นหลังมีความเข้าใจผิดว่า ศาสนาพุทธนั้นเน้นเรื่องการทำบุญเป็นหลัก ซึ่งอันที่จริงแล้ว การทำบุญเป็นส่วนประกอบเล็กๆส่วนหนึ่งของ หลักคำสอนในศาสนาพุทธ เท่านั้น เหมือนฟันเฟืองส่วนประกอบตัวหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมดและไม่ใช่ปลายทางที่ พุทธศาสนิกชนควรจะไป
หลักคำสอนของศาสนาพุทธ จะเน้นที่ การ มี สติ เพื่อก่อให้เกิดศีล สมาธิและปัญญา เป็นเครื่องชี้นำไปสู่เส้นทางของ พระนิพพานคนไทยที่เป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ แค่ในทะเบียนบ้านก็ไม่ได้เพิ่มเติมความรู้ด้านพุทธศาสนาเท่าไหร่เลย รู้แค่ว่าต้องสละทรัพย์เพื่อสร้างวัด สร้างพระในวัดเพื่อให้ คนในสังคมนับถือ และกราบไหว้ ยิ่งถ้าได้สลักชื่อ นามสกุล ใน ศาสนสถาน นั้นๆก็ถือเป็นความภาคภูมิใจของตนเองและวงศ์ตระกูล ยิ่งในประเทศไทย มีการเลื่อนลำดับขั้นทาง สมณะศักดิ์ตาม ผลงานที่สร้างวัตถุ พระเครื่อง วัด หรือ อื่นๆ ก็ยิ่งทำให้ชาวพุทธยิ่งเข้าใจผิด ว่า การทำบุญสร้างโน่นนี่ เป็นสาระสำคัญ ของศาสนาพุทธ ทั้งที่ การทำบุญหรือการสละทรัพย์หรือแรงงานเป็นเพียง กระบวนการเพื่อให้เกิดการขัดเกลาจิตใจ ทำให้จิตใจที่ถูกขัดเกลาเกิดความ เบาสบาย ทำให้เกิดสติ การทำบุญสละทรัพย์ 1 บาทของยาจกหรือ 1 ล้านบาทของเศรษฐี ก็มีค่าเท่ากันเพราะเกิดการขัดเกลาจิตใจให้รู้จักการเสียสละหรือเป็นผู้ให้เหมือนกัน  จิตที่อ่อนโยนปลอดโปร่งจะทำให้เกิดสติ เมื่อมีสติก็ มี ปัญญา สมาธิและรักษาศีล ซึ่ง 3 องค์ประกอบนี้ จะเป็นเหมือน กงจักร หมุนตัด กิเลสและตัณหา ทำให้รู้เท่าทัน แล้ว จิตก็เข้าสู่ ภาวะ นิพพาน ในที่สุด แต่ ธรรมกลาย อาศัย ความเข้าใจผิดในเรื่องการทำบุญส่วนนี้ ไปแสวงหา ทรัพย์ หรือเรียกว่า ตบทรัพย์ จากผู้ที่เชื่อในคำสอนที่ผิดเพี้ยนของลัทธินี้ และหลงในความเบาสบายของจิตใจที่ตนเองได้รับจากการสละทรัพย์ คิดว่า ตนเองมาถูกทางแล้ว จะได้ขึ้นสวรรค์ และไปยังสถานที่ที่สวยงามคือ นิพพาน จนกระทั่ง ชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมในลัทธินี้มากมาย เงินทองก็ไหลมาเทมาเข้าลัทธิ จนเจ้าลัทธิสามารถเข้ามามีอิทธิพลใน การปกครองของเหล่าสงฆ์ในประเทศ   เหมือนคำที่ว่า "มีเงินก็เรียกผีมาช่วยโม่แป้งได้"
การสอนให้ซื้อบุญ ผ่อนบุญ ทำบุญด้วยเงินและของมีค่าเท่านั้นจะได้ไปเกิดเป็นโน่นนี่ และการชักชวนให้ คนอื่นมามีส่วนร่วมให้มากที่สุดไม่ว่าจะเรี่ยไรเงินหรือใช้แรงงานมาช่วยในกิจกรรมของลัทธิ หรือเรียกว่าการทำบุญด้วยตัณหาหรือความอยากได้อยากมีอยากเป็นไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น การทำบุญคือการลงทุนในธุรกิจคือการลงทุนในชาติหน้าจึงถือเป็นหลักคำสอนหลักๆของลัทธิธรรมกลาย  กิจกรรมทางการตลาดได้ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นโฆษณาชวนเชื่อหรืออวดอ้างสรรพคุณ ให้เกิดความน่าเชื่อถือ เช่น ผู้บวชในลัทธิล้วนเป็นอรหันต์  ตักบาตรพระ 10000 รูป  บวชฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายฯลฯ  ล้วนเพื่อต้องการขยายฐานการตลาดของตนเองออกไปเรื่อยๆเมื่อมีสาวกมากเงินทองก็จะหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย สามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนในด้านต่างๆได้โดยไร้กังวล ถ้าเป็นด้านธุรกิจก็ ทำให้สามารถแข่งขันกับนักธุรกิจรายใหญ่และรายย่อยได้อย่างสบายๆเพราะไม่ต้องกู้ไม่มีดอกเบี้ย มีเงินทุนหนา ผลกำไรจากธุรกิจก็เป็นของเจ้าลัทธิและสาวกคนสนิทที่สามารถช่วยเอาเงินไปทำให้งอกเงยได้ ถ้าลองคิดเปรียบเทียบดู ธรรมกลาย ก็เหมือน "ไกด์ผีระหว่างทาง" เพราะ พุทธศาสนิกชนทุกคน ล้วนต้องการไปให้ถึงพระนิพพาน ซึ่งต้องไปถึงด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดการละเลิกวาง ทางจิต ต้องศึกษาและฝึกฝน  แต่ ธรรมกลาย มาแนะนำทางว่า มันมีทางที่ไปถึงสถานที่พระนิพพานได้ง่ายสะดวกและรวดเร็ว เป็นความลับที่พระพุทธเจ้าซ่อนไว้ในคำสอน ธรรมกลายเป็นผู้ค้นเจอรหัส  คือต้องทำบุญสะสมบุญดึงคนเข้าธรรมกลาย ชักชวนให้พุทธศาสนิกชนหลายคนออกนอกลู่ทางที่ไปสู่พระนิพพานที่แท้จริงไปอย่างน่าเสียดาย จึงไม่น่าแปลกใจที่ เราจะเห็นว่าสาวกของธรรมกลาย ทุกคน จะพยายามชวนทำบุญสะสมบุญกับธรรมกลาย  ธรรมกลายจึง มีลักษณะเหมือน ไกด์ผี  ที่น่ากลัวมากๆ สำหรับพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย  ที่คอยดักอยู่ระหว่างทางของ ผู้หลงผิดคิดว่าเงินซื้อนิพพานได้ ให้เดินวกวนผิดทาง ต้องวนเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้อีกกี่พันกี่หมื่นขาติจึงจะหาทางออกไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้ ทั้งที่คนเหล่านั้นน่าจะเฉลียวใจคิดได้บ้างว่า ศาสนาพุทธสอนให้ ละเลิกวาง เพื่อการเป็นอิสระ สู่การเป็น พุทธะ  เพราะการสะสมละโมบบุญ ทำให้เกิดการยึดติดในบุญ หรือเรียกว่า หลงบุญทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ว่า บุญของฉันเยอะกว่าของเธอ เพราะฉันมีเงินซื้อบุญได้มากกว่า ทำให้เกิดความกลัวเพราะต้องคอยคิดว่าฉันต้องมีบุญเยอะกว่าคนอื่นต้องได้ที่หรือตำแหน่งที่ดีกว่าคนอื่นในสวรรค์หรือในชาติหน้า เกิดการวิตกกังวล เป็นทุกข์ จนจิต  ต้องกลับมาเวียนว่ายเพื่อ ให้หลุดจากบ่วงบุญที่ตนยึดติด ดังนั้นการสละทรัพย์หรือการทำบุญที่ควรคือการทำด้วยการมีพรหมวิหาร 4 คือมี เมตตา กรุณา มุทิตาและ อุเบกขา ไม่ทำให้ ตนเอง และผู้อื่นเดือดร้อนโดยเฉพาะคนใกล้ตัวและต้องไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน สุดท้ายคือ วิญญูชนทั้งหลายหรือผู้รู้ทั้งหลายยอมรับ และสรรเสริญ จึงจะเป็นการทำบุญที่ถูกต้องอย่างแท้จริง เมื่อทำได้เช่นนี้ ถึงท่านทำบุญไปเท่าไหร่ มันก็เหมือนท่านไม่ได้ทำอะไร เพราะจิตของท่าน จะหลอมรวมไปกับการกระทำ ไม่ต้องแยกแยะว่า บุญหรือบาป จิตจะเป็นอิสระ สู่การเป็น พุทธะ ที่แท้จริง (บางท่านอ่านมาถึงตอนนี้อาจยังไม่เข้าใจว่าผู้เขียน เขียนมีความหมายอย่างไร ขอให้ท่านศึกษา ธรรมะไปเรื่อยๆ ท่านจะเข้าใจเมื่อมาอ่านในครั้งต่อไป) จึงขอให้ท่านที่หลงผิด ได้โปรดอย่าทำร้ายตนเองและคนรอบข้างอีกต่อไป ขอให้ศึกษาพุทธศาสนา ศึกษาเพื่อให้รู้ว่าแก่นของพุทธศาสนาคืออะไร อย่ามองแค่ พิธีกรรม หรือวัตถุ ทางศาสนา  ที่เป็นเพียงเปลือกนอกหรือกระพี้ ที่ คนอย่างเราๆท่านๆก็สร้างเองได้ คนหัวล้านห่มเหลืองก็คือคนธรรมดาอย่าเราๆท่านๆ ใช้สติ ปัญญา สมาธิ เพื่อละวางเปลือก ที่คนสร้างขึ้นมากันเอง ด้วยการหวังในทรัพย์ แล้วเจาะไปถึงแก่น อย่าเป็นเครื่องมือให้แก่ลัทธิธรรมกลาย เพื่อ ตัวท่านเอง ขอได้โปรดพิจารณา  สาธุ

Mr.No


อ้างจาก: การทำบุญในพุทธศาสนา เมื่อ 22:54 น.  04 ก.ย 58

  คนไทยทำบุญมาโดยตลอดมักใช้คำว่า ทำบุญบอกบุญ ในโอกาสที่ต้องการเรี่ยไร เพื่อสร้างวัตถุสถานหรืออื่นๆเป็นที่ทำกิจกรรมทางศาสนาหรือเป็นที่พึ่งทางใจ  จนคนรุ่นหลังมีความเข้าใจผิดว่า ศาสนาพุทธนั้นเน้นเรื่องการทำบุญเป็นหลัก

   ซึ่งอันที่จริงแล้วการทำบุญเป็นส่วนประกอบเล็กๆส่วนหนึ่งของ หลักคำสอนในศาสนาพุทธ เท่านั้น เหมือนฟันเฟืองส่วนประกอบตัวหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมดและไม่ใช่ปลายทางที่ พุทธศาสนิกชนควรจะไป

   หลักคำสอนของศาสนาพุทธ จะเน้นที่ การ มี สติ เพื่อก่อให้เกิดศีล สมาธิและปัญญา เป็นเครื่องชี้นำไปสู่เส้นทางของ พระนิพพานคนไทยที่เป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ แค่ในทะเบียนบ้านก็ไม่ได้เพิ่มเติมความรู้ด้านพุทธศาสนาเท่าไหร่เลย รู้แค่ว่าต้องสละทรัพย์เพื่อสร้างวัด สร้างพระในวัดเพื่อให้ คนในสังคมนับถือ และกราบไหว้ ยิ่งถ้าได้สลักชื่อ นามสกุล ใน ศาสนสถาน นั้นๆก็ถือเป็นความภาคภูมิใจของตนเองและวงศ์ตระกูล ยิ่งในประเทศไทย มีการเลื่อนลำดับขั้นทาง สมณะศักดิ์ตาม ผลงานที่สร้างวัตถุ พระเครื่อง วัด หรือ อื่นๆ ก็ยิ่งทำให้ชาวพุทธยิ่งเข้าใจผิด ว่า การทำบุญสร้างโน่นนี่ เป็นสาระสำคัญ ของศาสนาพุทธ

  ทั้งที่การทำบุญหรือการสละทรัพย์หรือแรงงานเป็นเพียง กระบวนการเพื่อให้เกิดการขัดเกลาจิตใจ ทำให้จิตใจที่ถูกขัดเกลาเกิดความ เบาสบาย ทำให้เกิดสติ

   การทำบุญสละทรัพย์ 1 บาทของยาจกหรือ 1 ล้านบาทของเศรษฐี ก็มีค่าเท่ากันเพราะเกิดการขัดเกลาจิตใจให้รู้จักการเสียสละหรือเป็นผู้ให้เหมือนกัน  จิตที่อ่อนโยนปลอดโปร่งจะทำให้เกิดสติ เมื่อมีสติก็ มี ปัญญา สมาธิและรักษาศีล ซึ่ง 3 องค์ประกอบนี้ จะเป็นเหมือน กงจักร หมุนตัด กิเลสและตัณหา ทำให้รู้เท่าทัน แล้ว จิตก็เข้าสู่ ภาวะ นิพพาน ในที่สุด แต่

   ธรรมกลาย อาศัย ความเข้าใจผิดในเรื่องการทำบุญส่วนนี้ ไปแสวงหา ทรัพย์ หรือเรียกว่า ตกทรัพย์[/size] จากผู้ที่เชื่อในคำสอนที่ผิดเพี้ยนของลัทธินี้ และหลงในความเบาสบายของจิตใจที่ตนเองได้รับจากการสละทรัพย์ คิดว่า ตนเองมาถูกทางแล้ว จะได้ขึ้นสวรรค์ และไปยังสถานที่ที่สวยงามคือ นิพพาน จนกระทั่ง ชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมในลัทธินี้มากมาย เงินทองก็ไหลมาเทมาเข้าลัทธิ จนเจ้าลัทธิสามารถเข้ามามีอิทธิพลใน การปกครองของเหล่าสงฆ์ในประเทศ   เหมือนคำที่ว่า "มีเงินก็เรียกผีมาช่วยโม่แป้งได้"

  การสอนให้ซื้อบุญ ผ่อนบุญ ทำบุญด้วยเงินและของมีค่าเท่านั้นจะได้ไปเกิดเป็นโน่นนี่ และการชักชวนให้ คนอื่นมามีส่วนร่วมให้มากที่สุดไม่ว่าจะเรี่ยไรเงินหรือใช้แรงงานมาช่วยในกิจกรรมของลัทธิ หรือเรียกว่าการทำบุญด้วยตัณหาหรือความอยากได้อยากมีอยากเป็นไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น การทำบุญคือการลงทุนในธุรกิจคือการลงทุนในชาติหน้าจึงถือเป็นหลักคำสอนหลักๆของลัทธิธรรมกลาย

  กิจกรรมทางการตลาดได้ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นโฆษณาชวนเชื่อหรืออวดอ้างสรรพคุณ ให้เกิดความน่าเชื่อถือ เช่น ผู้บวชในลัทธิล้วนเป็นอรหันต์  ตักบาตรพระ 10000 รูป  บวชฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายฯลฯ  ล้วนเพื่อต้องการขยายฐานการตลาดของตนเองออกไปเรื่อยๆเมื่อมีสาวกมากเงินทองก็จะหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย สามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนในด้านต่างๆได้โดยไร้กังวล

  ถ้าเป็นด้านธุรกิจก็ ทำให้สามารถแข่งขันกับนักธุรกิจรายใหญ่และรายย่อยได้อย่างสบายๆเพราะไม่ต้องกู้ไม่มีดอกเบี้ย มีเงินทุนหนา ผลกำไรจากธุรกิจก็เป็นของเจ้าลัทธิและสาวกคนสนิทที่สามารถช่วยเอาเงินไปทำให้งอกเงยได้ ถ้าลองคิดเปรียบเทียบดู

  ธรรมกลาย ก็เหมือน "ไกด์ผีระหว่างทาง" เพราะ พุทธศาสนิกชนทุกคน ล้วนต้องการไปให้ถึงพระนิพพาน ซึ่งต้องไปถึงด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดการละเลิกวาง ทางจิต ต้องศึกษาและฝึกฝน  แต่ ธรรมกลาย มาแนะนำทางว่า มันมีทางที่ไปถึงสถานที่พระนิพพานได้ง่ายสะดวกและรวดเร็ว เป็นความลับที่พระพุทธเจ้าซ่อนไว้ในคำสอน ธรรมกลายเป็นผู้ค้นเจอรหัส  คือต้องทำบุญสะสมบุญดึงคนเข้าธรรมกลาย ชักชวนให้พุทธศาสนิกชนหลายคนออกนอกลู่ทางที่ไปสู่พระนิพพานที่แท้จริงไปอย่างน่าเสียดาย

  จึงไม่น่าแปลกใจที่ เราจะเห็นว่าสาวกของธรรมกลาย ทุกคน จะพยายามชวนทำบุญสะสมบุญกับธรรมกลาย  ธรรมกลายจึง มีลักษณะเหมือน ไกด์ผี  ที่น่ากลัวมากๆ สำหรับพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย  ที่คอยดักอยู่ระหว่างทางของ ผู้หลงผิดคิดว่าเงินซื้อนิพพานได้ ให้เดินวกวนผิดทาง ต้องวนเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้อีกกี่พันกี่หมื่นขาติจึงจะหาทางออกไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้ ทั้งที่คนเหล่านั้นน่าจะเฉลียวใจคิดได้บ้างว่า

  ศาสนาพุทธสอนให้ ละเลิกวาง เพื่อการเป็นอิสระ สู่การเป็น พุทธะ  เพราะการสะสมละโมบบุญ ทำให้เกิดการยึดติดในบุญ หรือเรียกว่า หลงบุญ ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ว่า บุญของฉันเยอะกว่าของเธอ เพราะฉันมีเงินซื้อบุญได้มากกว่า ทำให้เกิดความกลัว เพราะต้องคอยคิดว่าฉันต้องมีบุญเยอะกว่าคนอื่นต้องได้ที่หรือตำแหน่งที่ดีกว่าคนอื่นในสวรรค์หรือในชาติหน้า เกิดการวิตกกังวล เป็นทุกข์ จนจิต  ต้องกลับมาเวียนว่ายเพื่อ ให้หลุดจากบ่วงบุญที่ตนยึดติด

  ดังนั้นการสละทรัพย์หรือการทำบุญที่ควรคือการทำด้วยการมีพรหมวิหาร 4 คือมี เมตตา กรุณา มุทิตาและ อุเบกขา ไม่ทำให้ ตนเอง และผู้อื่นเดือดร้อนโดยเฉพาะคนใกล้ตัวและต้องไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน สุดท้ายคือ วิญญูชนทั้งหลายหรือผู้รู้ทั้งหลายยอมรับ และสรรเสริญ จึงจะเป็นการทำบุญที่ถูกต้องอย่างแท้จริง  มิใช่ทำบุญด้วยความโลภ

  เมื่อทำได้เช่นนี้ ถึงท่านทำบุญไปเท่าไหร่ มันก็เหมือนท่านไม่ได้ทำอะไร เพราะจิตของท่าน จะหลอมรวมไปกับการกระทำ ไม่ต้องแยกแยะว่า บุญหรือบาป จิตจะเป็นอิสระ สู่การเป็น พุทธะ ที่แท้จริง (บางท่านอ่านมาถึงตอนนี้อาจยังไม่เข้าใจว่าผู้เขียน เขียนมีความหมายอย่างไร ขอให้ท่านศึกษา ธรรมะไปเรื่อยๆ ท่านจะเข้าใจเมื่อมาอ่านในครั้งต่อไป)

จึงขอให้ท่านที่หลงผิด ได้โปรดอย่าทำร้ายตนเองและคนรอบข้างอีกต่อไป ขอให้ศึกษาพุทธศาสนา ศึกษาเพื่อให้รู้ว่าแก่นของพุทธศาสนาคืออะไร อย่ามองแค่ พิธีกรรม หรือวัตถุ ทางศาสนาที่เป็นเพียงเปลือกนอกหรือกระพี้ ที่ คนอย่างเราๆท่านๆก็สร้างเองได้ คนหัวล้านห่มเหลืองก็คือคนธรรมดาอย่าเราๆท่านๆ ใช้สติ ปัญญา สมาธิ เพื่อละวางเปลือก ที่คนสร้างขึ้นมากันเอง ด้วยการหวังในทรัพย์ แล้วเจาะไปถึงแก่น อย่าเป็นเครื่องมือให้แก่ลัทธิธรรมกลาย เพื่อ ตัวท่านเอง ขอได้โปรดพิจารณาt]การทำบุญในพุทธศาสนา เมื่อเปรียบเทียบกับ  ลัทธิธรรมกลาย  คนไทยในอดีตมีความเข้าใจผิดเรื่องการทำบุญ  สาธุ


แหม...ผมสงสัยว่า ผู้เขียนเป็นอุบาสก หรือ สมณะ กันนะ.. ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้
นี่ครับ... พุทธศาสนาจะธำรงไปอีกนานแสนนาน หากเราเข้าใจความหมายของ ธรรม ที่ถูกต้อง ได้ ส.ยกน้ิวให้



..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

ตื่นเถิดชาวพุทธ

อ้างจาก: คนเมืองสง เมื่อ 23:44 น.  29 ส.ค 58
แค่ประโยคแรกประโยคนี้ท่านก็บาปมากแล้วนะครับ ผมขอเตือนด้วยความปรารถนาดีถ้าท่านเป็นชาวพุทธ ท่านเองก็คงไม่ค่อยจะตักบาตรอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปตักก็ได้นี่ครับถ้าไม่ชอบ แต่ถ้าถึงขั้นอ้างเป็นบทความเชิญชวนผู้อื่นให้ทำอย่างท่านแถมให้ช่วยเผยแพร่ผมว่าท่านโหดร้ายไปนะครับ
เมื่อท่านจ้างให้บริษัทยามดูแลบ้านท่าน แต่ ยามบางคนทำตัวเป็นโจรปล้น ทรัพย์ ท่านยังจะจ้างบริษัทยามนั้นอยู่หรือไม่ ถ้าบริษัทยามนั้นไม่ทำการใดเพื่อการลงโทษ ยามบางคนผู้ปล้นทรัพย์ของท่าน หรือจับ ยามบางคนนั้นให้ติดคุกตาราง ทั้งบริษัทต้องรับผิดชอบร่วมกันหรือไม่ จำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุง กฎระเบียบ ของการจ้าง การแสดงพฤติกรรม หรือไม่ หรือ จะปล่อยทิ้งไว้ให้ ประชาชนเดือดร้อน ยุบ บริษัทยามนั้นทิ้งเสีย  ก็โปรดพิจารณา ใจร้ายในเรื่องที่จำเป็น คือ มหาเมตตากรุณา ใน ระยะยาว ..เพราะ มีเมตตา จึง ไร้เมตตา กระนั้นแล

คนเมืองสง

อ้างจาก: ตื่นเถิดชาวพุทธ เมื่อ 17:53 น.  24 ก.ย 58
   เมื่อท่านจ้างให้บริษัทยามดูแลบ้านท่าน แต่ ยามบางคนทำตัวเป็นโจรปล้น ทรัพย์ ท่านยังจะจ้างบริษัทยามนั้นอยู่หรือไม่ ถ้าบริษัทยามนั้นไม่ทำการใดเพื่อการลงโทษ ยามบางคนผู้ปล้นทรัพย์ของท่าน หรือจับ ยามบางคนนั้นให้ติดคุกตาราง ทั้งบริษัทต้องรับผิดชอบร่วมกันหรือไม่ จำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุง กฎระเบียบ ของการจ้าง การแสดงพฤติกรรม หรือไม่ หรือ จะปล่อยทิ้งไว้ให้ ประชาชนเดือดร้อน ยุบ บริษัทยามนั้นทิ้งเสีย  ก็โปรดพิจารณา ใจร้ายในเรื่องที่จำเป็น คือ มหาเมตตากรุณา ใน ระยะยาว ..เพราะ มีเมตตา จึง ไร้เมตตา กระนั้นแล
เรื่องของคนดี-คนเลว ก็ต้องว่าไปตามเกณ์ "ท่านตื่นเถิดชาวพุทธ" ได้ยกคำพูดผมซึ่งได้ตอบโต้ท่านผู้ออกความเห็นคนก่อน แบบนี้ก็ไม่เป็นธรรมสิครับ ผมตอบโต้เรื่องที่เขากล่าวเหมารวมว่า "อย่าไปทำบุญกับพระเลย...."

คนเมืองสง

อ้างจาก: ตื่นเถิดขาวพุทธ เมื่อ 14:47 น.  29 ส.ค 58
ขอแทรกให้ คห. หน่อยนะครับ ทำบุญกับเด็กกำพร้าคนชราคนพิการหรือคนป่วยมูลนิธิใน รพ.นะอย่าทำกับพระเลย..รอพระปฏิรูปก่อน แล้วค่อยไปทำบุญที่สัดไม่งั้นเสียดายของ
อ๋่อ..ความเห็นของ "ท่านตื่นเถิดชาวพุทธ" นี่เอง

ธรรมกายไม่ใช่พุทธ

นำเงินใส่บาตรพระหรือให้เงินทำบุญกับพระได้ไหม พระผิดอาบัติไหม ?

          ผู้ที่ใส่บาตรด้วยเงิน  และพระภิกษุที่รับเงิน  ชื่อว่าไม่เคารพในวินัย ไม่เคารพในผู้บัญญัติวินัยด้วย
          พระ ภิกษุในพระพุทธศาสนารับเงินทองไม่ได้  ถึงจะใช้ให้ผู้อื่น  คือไวยาวัจกรรับแทนก็ไม่ได้  โดยที่สุดยินดีเงินทองที่คนอื่น  คือไวยาวัจกรเก็บเอาไว้ให้  หรือที่เขาถวายวางไว้ใกล้ ๆ ก็ไม่ได้  หรือยินดีเงินทองที่อุบาสก  อุบาสิกา  ผู้มีศรัทธานำเงินทองมาถวายโดยฝากธนาคารไว้ให้  แต่มีชื่อพระภิกษุผู้เป็นเจ้าของบัญชีอยู่ก็ไม่ได้  เป็นอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ทั้งหมด  (สำหรับสามเณร  ก็ไม่ควรเหมือนกัน  เพราะผิดสิกขาบทข้อที่  ๑๐  ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้  ซึ่งเป็นผู้ควรแก่การทัณฑกรรมตามที่กล่าวไว้แล้วในมหาขันธกะ)   (วิ.มหา.  ๔/๒๘๕)
          การ รับเงินทองของพระภิกษุในปัจจุบันนี้เป็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขทั้ง ฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ผู้ได้นามว่า  พุทธบริษัท  ดูเหมือนว่า  การรับเงินทองเป็นเรื่องที่ดี  เป็นสิ่งที่น่ากระทำได้  เหมาะสมแก่กาลสมัยนิยม  ถึงเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่  มีเรื่องปรากฏในพระวินัยปิฎกว่า "ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ  ณ  วัดเวฬุวันวิหาร  ใกล้เมือง   ราชคฤห์  พระอุปนันทศากยบุตรเป็นภิกษุเข้าไปฉันเป็นประจำในตระกูลหนึ่ง  ซึ่งตระกูลนั้นจะแบ่งอาหารไว้ถวายท่านส่วนหนึ่งเสมอ  วันหนึ่งเขาได้เนื้อมา  ก็แบ่งไว้ถวายแก่ท่าน  ส่วนที่เหลือจากการแบ่งนั้นก็ได้ทำอาหารกินกัน  เมื่อได้อรุณแล้วก็ตื่นขึ้นมาทำอาหารไว้ถวายท่าน  บังเอิญเช้านั้นเด็กในบ้านตื่นขึ้นมาแต่เช้าร้องอ้อนวอนอยากกินอาหารนั้น  จึงให้เด็กกินเสีย
          เมื่อ ได้เวลาท่านอุปนันทะ  ก็เข้าไปฉันในตระกูลนั้น  เขาก็นิมนต์ให้ท่านนั่งแล้วก็ได้เล่าเรื่องที่ตนเก็บเนื้อไว้ถวายนั้น  ให้ท่านฟัง  พร้อมทั้งบอกต่อไปอีกว่า  ถึงแม้ว่าไม่ได้ถวายเนื้อนั้นแต่ก็เก็บมูลค่าของเนื้อนั้นไว้มีมูลค่า  ๑  กหาปณะ  พระคุณเจ้าจะให้กระผมจัดหาวัตถุอะไร  มาถวายขอรับ  ส่วนท่านอุปนันทะรู้อย่างนั้นแล้ว  บอกให้ถวายเงินทันที  หลังจากท่านกลับไปแล้วเขาก็ได้ติเตียนโดยประการต่าง ๆ ว่า  พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรทำไมจึงรับเงินเหมือนอย่างพวกเราหนอ
เมื่อ พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อง  ทรงติเตียนพระอุปนันทะอย่างรุนแรงว่า  "ดูก่อนโมฆบุรุษ  การกระทำของเธอนั้น  ไม่เหมาะ  ไม่สมควร  ไม่ใช่กิจของสมณะ  ใช้ไม่ได้  ไม่ควรทำ  ไฉนเธอจึงได้รับเงินและทองเล่า  การกระทำของเธอนั้น  ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส  หรือความเลื่อมใสยิ่งขึ้นของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว"
          พระ พุทธองค์จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามไว้ว่า  "อนึ่งภิกษุใด  รับเองก็ดี  ให้คนอื่นรับไว้ให้ก็ดี  ซึ่งทองและเงิน  หรือยินดีทองและเงินที่เขาเก็บไว้ให้  ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์"
(วิ.มหาวิ.  ๒/๙๔๐)
          สิกขาบท เกี่ยวกับการห้ามพระภิกษุสามเณร  รับเงินและทองนี้  เป็นพุทธบัญญัติที่สาธารณะแก่พระภิกษุทุกรูป  ไม่ว่าจะอดีต  อนาคต  หรือปัจจุบัน  ก็ยังเป็นสิกขาบทที่บัญญัติไว้ให้สาวกของพระองค์ได้ประพฤติปฏิบัติอย่าง เคร่งครัดอยู่เสมอ
          ปัจจุบัน มีพระภิกษุสามเณรจำนวนมากเข้าใจว่า  ธนบัตรไม่ใช่เงิน  เป็นกระดาษ  ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายกัน  เพราะฉะนั้น  จึงรับได้  ไม่เป็นอาบัติแต่อย่างใด  ส่วนเวลาโยมถวายเงินก็ใส่ซอง  เพื่อไม่ให้ประเจิดประเจ้อ  ไม่ให้คนอื่นเห็น  ทั้งไม่ให้พระเณรเห็นจำนวนเงิน  เดี๋ยวท่านจะคิดมาก  ให้ท่านไปลุ้นกันเองที่วัด  พระภิกษุบางรูปท่านก็ใช้ย่ามรับ  บางรูปใช้มือรับ  แล้วแต่ความถนัดของแต่ละท่าน  บางรูปท่านก็รับอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาแบบซื่อ ๆ บางรูปท่านก็รับแบบปกปิด  ซ่อนเร้น  รับเหมือนไม่อยากได้  คือ  ให้เด็กวัดเก็บเอาไว้ก่อน  พอไปถึงวัดค่อยแจกกัน  แลดูไม่น่าเกลียด  จัดหน้าฉากให้ดูดีไว้ก่อน  หลังฉากแล้วแต่กรณี  เรียกว่า  "จัดฉากรับ"
          กรณีการ ใช้จ่ายเงินของพระภิกษุสามเณรบางรูปในปัจจุบันนี้  เมื่อคราวขึ้นรถ  ลงเรือไปเหนือล่องใต้  จะใช้ในรูปแบบตั๋วแลกเงิน  ซึ่งจะมีราคาใบละ  ๕  บาท  ๑๐  บาท  เป็นต้น  สามารถนำไปแลกเงินจากที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งทั่วประเทศได้  พระเณรก็เอาตั๋วแลกเงินนี้ให้เป็นค่ารถ  ดูแล้วก็ไม่ได้ต่างกับธนบัตรเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบวิธีการเท่านั้น
          ใน สิกขาบทนี้  ไม่ใช่แร่เงิน  แร่ทอง  เงินรูปพรรณ  ทองรูปพรรณ  กหาปณะ  และมาสกเท่านั้น  แต่ยังรวมเอาวัตถุต่าง ๆ ที่ชาวโลกใช้เป็นมาตรา  สามารถให้สำเร็จการซื้อขายได้  จะเป็นโลหะ  ดิน  ครั่ง  ยาง  กระดูก  เปลือกหอย  หนัง  เมล็ดผลไม้  ไม้แก่น  ข้อไม้ไผ่  ใบตาล  แม้แต่กระดาษที่พิมพ์เป็นธนบัตรใช้กันทุกวันนี้  โลหะ  กิน  และครั่ง  เป็นต้นที่กล่าวมาทั้งหมด  จัดว่าเป็นรูปิยะ  เป็นอกัปปิยวัตถุ  เป็นวัตถุแห่งนิสสัคคีย์  พระภิกษุรับวัตถุเหล่านั้น  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ดัง ตัวอย่าง  ที่ท่านแสดงไว้ในกรรถกถาว่า  "กหาปณะที่เขาทำด้วยทองก็ดี  ทำด้วยเงินก็ดี  กหาปณะธรรมดาก็ดี  ชื่อว่ากหาปณะ  มาสกที่ทำด้วยแร่ทองแดง  เป็นต้น  ชื่อว่า  โลหะมาสก  มาสกที่ทำด้วยไม้แก่นก็ดี  ด้วยข้อไม้ไผ่ก็ดี  โดยที่สุด  แม้มาสกที่เขาทำด้วยใบตาลสลักเป็นรูป  ก็ชื่อว่า  มาสกไม้  มาสกที่เขาทำด้วยครั่งก็ดี  ด้วยยางก็ดี  ดุนให้เกิดรูปขึ้น  ชื่อว่า  มาสกยาง  ท่านสงเคราะห์เอามาสกทั้งหมด  ที่ใช้เป็นมาตราซื้อขายในชนบทโดยที่สุด  ทำด้วยกระดูกบ้าง  ทำด้วยหนังบ้าง  ทำด้วยเมล็ดผลไม้บ้าง  ดุนให้เป็นรูปขึ้นบ้าง  มิได้ดุนให้เป็นรูปบ้าง  วัตถุ  ๔  อย่าง  คือ  เงิน  ทองทั้งหมด  มาสกทอง  มาสกเงิน  มีประเภทดังกล่าวมาทั้งหมด  จัดเป็นวัตถุนิสสัคคีย์"     
(วิ.มหาวิ.อฏ.  ๒/๙๔๕)
          "จริงอยู่  วัตถุ  ๔  อย่าง  เหล่านี้คือ  ทอง  เงิน  กหาปณะ  และมาสก  จัดเป็นวัตถุนิสสัคคีย์"  (กงฺขา.  ๑๒๔)
          จาก หลักฐานที่ยกมานี้แน่นอนที่สุด  เงินกระดาษที่ใช้กันทุกวันนี้  พระภิกษุรับไม่ได้แน่นอน  ถึงให้คนอื่นรับแทนก็ไม่ได้  แม้ยินดีที่เขาเก็บไว้ให้ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน  เป็นอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ทั้งหมด  ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ เลย  เมื่อเป็นอย่างนี้  ทำไมพระภิกษุและสามเณรยังรับเงิน  ไม่กลัวผิดวินัยหรือ


โทษที่เกิดจากเงิน
          เมื่อ พระมีเงินมาก  ความคิดแบบอย่างสมณะวิสัยก็ค่อย ๆ เลือนหายไป  ความคิดความอ่านเหมือนอย่างโยมก็เข้ามาแทนที่  อยากจะได้อะไรก็ซื้อ  เห็นโยมมีอะไรก็อยากจะมีเหมือนกับโยม  เห็นโยมสร้างบ้านสวย ๆ   พระเห็นแล้วอยากได้ก็สร้างกุฏิสวย ๆ ด้วย  บ้านโยมติดแอร์  กุฏิก็ติดแอร์ด้วย  โยมมีรถเบนซ์คันหรูขับ  พระก็มีรถเบนซ์คันหรูขับด้วย  โยมมีมือถือยี่ห้อไหนรุ่นไหน  พระก็มีมือถือยี่ห้อนั้นรุ่นนั้นบ้าง  โยมมีโทรทัศน์  พัดลม  ตู้เย็น  เครื่องซักผ้า  เป็นต้น  พระก็มีเหมือนโยมหมด  ไม่ยอมน้อยหน้า  โยมมีเงินฝากธนาคาร  พระก็มีเงินฝากธนาคาร  โยมเรียนจบปริญญาตรี  โท  เอก  พระก็เรียนจบปริญญาตรี  โท  เอก  โยมมียศฐาบรรดาศักดิ์  ทำงานราชการ  มีเงินเดือน  พระก็มียศฐาบรรดาศักดิ์  ทำงานราชการ  มีเงินเดือน  เหมือนกับโยมทุกอย่าง  บางอย่างอาจจะดีกว่าโยมเสียด้วยซ้ำ  เพราะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมากกว่า  ตรงที่ใคร ๆ ก็ต้องเคารพกราบไหว้บูชา  โยมรับราชการเพียง  ๖๐  ปีเกษียณ  ส่วนพระ  ๘๐  ปีจึงเกษียณ  หรืออาจจะต่อได้อีก  บางตำแหน่งไม่มีเกษียณ  คือมรณภาพจึงเกษียณ
เมื่อ พระมีเงินมาก  จึงพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว  แบบก้าวกระโดด  ใช้เวลาไม่กี่ปี  ก็ขึ้นมาเทียบชั้นกับโยมได้อย่างน่าทึ่ง  คิดว่าต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้พระจะแซงหน้าโยมทุก ๆ ด้าน  เมื่อถึงเวลานั้น  โยมต้องมาเรียนรู้กับพระ  ยกเว้นด้านธรรมวินัยอย่างเดียวเท่านั้น  เพราะพระเดี๋ยวนี้ไม่เรียนไม่ศึกษาธรรมวินัย   ไม่เห็นประโยชน์ของธรรมวินัย  เห็นธรรมวินัยเป็นเรื่องโบราณ  เป็นประวัติศาสตร์ 
          สาเหตุ ที่ความคิดความอ่านและความประพฤติของพระเปลี่ยนไปในทางเสื่อม  เพราะเงินตัวเดียวแท้ ๆ พระรับเงิน  พระยินดีในเงิน  เงินทำให้พระเสียมามากต่อมาก
          เมื่อ สตางค์มี  สตรีก็มา  สังเกตว่า  พระภิกษุในปัจจุบันจะมีเรื่องอื้อฉาวกับสีกาบ่อยครั้ง  จนเป็นข่าวเรื่องราวใหญ่โต  ตามหน้าหนังสือพิมพ์  เรื่องเสื่อมเสียทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับคณะสงฆ์อยู่เป็นประจำนี้  ส่วนมากมีสาเหตุมาจากพระมีเงิน  ยินดีในเงินทอง
          เมื่อ พระภิกษุไม่มีเงิน  คงไม่เป็นเช่นนี้  คงไม่ห้าวหาญ  ไม่คึกคักอย่างนี้  เงินทองนี้มีโทษมากมาย  แต่ทำไมท่านเหล่านั้นจึงมองไม่เห็นโทษ  ไม่ว่าจะรับเงินทองไว้  เพื่อประโยชน์อะไร  ก็ไม่ได้ทั้งนั้น  ผิดทั้งหมด  ทำให้ต้องอาบัติทั้งสิ้น
          พระ พุทธองค์ทรงตำหนิติเตียน  พระภิกษะผู้รับเงินทอง  ยินดีในเงินทองอย่างรุนแรงถึงขั้นว่า  ไม่ใช่สมณะเชื้อสายศากยบุตรเลยทีเดียว  ดังพระพุทธองค์ตรัสกับนายบ้านชื่อมณีจูฬกะว่า  "ดูก่อนนายบ้าน  ทองเงินไม่เหมาะไม่ควรแก่สมณะเชื้อสายศากยบุตร  สมณะเชื้อสายศากยบุตรไม่ยินดีทองเงิน  ไม่รับทองและเงิน  วางแก้วมณีและทองทิ้งเสียแล้ว  เป็นผู้ปราศจากทองและเงิน  ทองและเงินสมควรแก่ผู้ใด  แม้กามคุณทั้ง  ๕  ก็สมควรแก่ผู้นั้น  กามคุณทั้ง  ๕  สมควรแก่ผู้ใด  เธอพึงจำผู้นั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า  "มีปกติไม่ใช่เชื้อสายพระศากยบุตร"  เราจะกล่าวอย่างนี้ว่า  "ผู้ต้องการหญ้า  พึงแสวงหาหญ้า  ผู้ต้องการไม้  พึงแสวงหาไม้  ผู้ต้องการเกวียน  พึงแสวงหาเกวียน  ผู้ต้องการบุรุษ  พึงแสวงหาบุรุษ"  แต่เราไม่กล่าวโดยปริยายไร ๆ ว่า  "สมณะพึงยินดี  พึงแสวงหาทองและเงินเลย"  (วิ.จุล.  ๗/๕๓๖)
          มี เงินทองอย่างเดียวก็เหมือนมีทุกอย่าง  เพราะเงินทองสามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้  พระภิกษุยินดีเงินทอง  ก็เท่ากับว่ายินดีในกามคุณ  ๕  (เครื่องผูกคือกาม  ได้แก่  รูป  เสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส)   เงินทองเป็นเหตุหนึ่ง  ที่ทำให้พระภิกษุในศาสนานี้เศร้าหมอง  ไม่ผ่องใส 
          พระ พุทธองค์ทรงแสดงโทษของเงินและทองไว้มาก  พระภิกษุผู้รับเงินทองยินดีในเงินทอง  จะไม่สง่างาม  ไม่ผ่องใส  มีแต่จะเศร้าหมอง  เป็นทาสของกิเลสตัณหา  ดุจเนื้อถูกความมืดปกคลุมไว้  ฉะนั้น  บวชมาแล้วควรประพฤติวัตร  ปฏิบัติธรรม  แต่กลับต้องมาติดข้องอยู่กับเงินทองเหล่านี้  อันเป็นเหตุทำให้ภพชาติยืดยาวต่อไป  อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
          สิ่ง ที่มีโทษมาก  ถ้ารู้จักใช้  คือใช้เป็น  ใช้ถูกวิธีก็มีคุณมาก  เรียกว่า  โทษมหันต์  คุณอนันต์  เช่น  เงินทองนี้ก็ดุจเดียวกัน  มีโทษมาก  แต่ถ้ารู้จักวิธีใช้แล้ว  ก็มีคุณมาก  มีประโยชน์มาก
พระพุทธองค์ทรงอนุญาต  ให้พระภิกษุใช้กัปปิยวัตถุที่เกิดจากเงินทองโดยผ่านไวยาวัจกร  หรือกัปปิยการก
          ถ้า ญาติโยมเกิดศรัทธาเลื่อมใส  เอาเงินทองมามอบไว้กับไวยาวัจกรแล้วสั่งว่า  "คุณช่วยเอาเงินทองนี้  จัดหาสิ่งของที่สมควรถวายแก่พระคุณเจ้าด้วยนะ"  พระยินดีสิ่งของที่สมควร  อันเกิดจากเงินทองนั้นได้  ไม่มีโทษ  ไม่ต้องอาบัติ  หรือพระต้องการอะไรก็ให้ไวยาวัจกรจัดหามาให้  ก็ไม่มีโทษ  ไม่ต้องอาบัติ
          พระ พุทธองค์ตรัสว่า  "ภิกษุทั้งหลาย  ที่ชาวบ้านมีศรัทธาเลื่อมใสมอบเงินทองไว้ในมือกัปปิยการกสั่งว่า  'พวกท่านจงจัดหาของที่สมควรมาถวายแก่พระคุณเจ้าด้วยเงินทองนี้'  ภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้ยินดีสิ่งของที่เป็นกัปปิยะจากเงินทองนั้น  แต่เรามิได้กล่าวไว้เลยว่า  'ภิกษุพึงยินดี  พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายไร ๆ ' "  (วิ.มหาวิ.  ๒/๑๔๙,  วิ.มหาวิ.อฏ.  ๒/๘๖๒)
          ถ้าพระไม่รับเอง  ไม่ให้ผู้อื่นรับเงินทองแทน  และไม่ยินดีเงินทองที่ผู้อื่นเก็บไว้ให้หรือวางไว้ใกล้ ๆ เพียงแต่ยินดีในปัจจัย  ๔  คือ  จีวร  บิณฑบาต  เสนาสนะ  และยารักษาโรค  ตลอดสมณบริขารที่สมควร  เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องอาบัติ  โดยให้ไวยาวัจกรไปจัดหาสิ่งของที่เป็นกัปปิยะมาให้  ตามที่ต้องการ  ก็ไม่มีโทษอะไร


โยมต้องการเอาเงินมาทำบุญควรทำอย่างไร
          เมื่อโยมมีศรัทธาต้องการเอาเงินมาทำบุญกับพระภิกษุควรทำให้ถูกต้องตามพระวินัย  วิธีที่ถูกต้องนั้น  มี  ๒  วิธี  คือ
          ๑.  โยมเขียนใบปวารณาเสร็จแล้ว  นำเงินเหล่านั้นไปมอบไว้กับไวยาวัจกรพร้อมสั่งว่า  "คุณช่วยจัดหาสิ่งของที่สมควรถวายแก่พระคุณเจ้า  เท่ากับจำนวนเงินนั้น"  แล้วนำเอาใบปวารณามาถวายพระ  ให้ท่านรับรู้รับทราบเฉพาะในใบปวารณาเท่านั้น
วิธี ที่หนึ่งนี้มีวิธีปฏิบัติเหมือน  ในเมณฑกสิกขาบทคือ  ทายกเป็นผู้ระบุชื่อไวยาวัจกรเอง  เพราะฉะนั้น  ภิกษุผู้ไม่ยินดีมูลค่า  (เงิน)   ยินดีแต่กัปปิยภัณฑ์  (สิ่งของที่สมควร)   จะขอกี่ครั้งก็ได้  ไม่มีกำหนด  แม้ตั้งพันครั้งก็ควร
          ๒.  โยมนำเงินเหล่านั้นมาแล้ว  พระถามว่า  "ที่วัดนี้มีไวยาวัจกรไหมครับ"  หรือพูดว่า  "ใครเป็นไวยาวัจกรเก็บรักษาเงินเหล่านี้"  ถ้าไวยาวัจกรอยู่ต่อหน้า  ท่านจะตอบว่า  "คนนี้เป็นไวยาวัจกร"  ถ้าไวยาวัจกรไม่ได้อยู่ต่อหน้า  ท่านก็จะตอบว่า  "คนชื่อนี้อยู่บ้านโน้นเป็นไวยาวัจกร"  ถ้าโยมไม่ถามก่อน  ท่านจะบอกอ้างไวยาวัจกรว่า  "เอาไปไว้กับคนนั้น  คนนั้นเป็นไวยาวัจกร"  อย่างนี้ไม่ได้  ไม่พ้นจากอาบัติ  ท่านได้แต่พูดปฏิเสธว่า  "อาตมาไม่รับเงิน  หรือพระรับเงินไม่ได้ต้องอาบัติ"
เมื่อ โยมเอาเงินเหล่านั้นไปมอบมห้ไวยาวัจกร  และสั่งเขาให้เข้าใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ก็เข้าไปหาพระบอกว่า  "โยมได้บอกไวยาวัจกรให้เข้าใจแล้ว  ท่านต้องการสิ่งของที่สมควร  ขอจงบอกนะครับ"  วิธีที่สองนี้  มีวิธีปฏิบัติเหมือนในราชสิกขาบท  คือ  พระภิกษุเป็นผู้ระบุชื่อไวยาวัจกร  มีกำหนดขอได้  ๓  ครั้ง  แต่ไม่เกิน  ๖  ครั้ง  (ขอได้  ๓  ครั้ง  ยืนได้  ๖  ครั้ง  ถ้าจะขออย่างเดียวขอได้ไม่เกิน  ๖  ครั้ง)

คนเมืองสง

ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้วครับ
"ถ้าพระคุณเจ้าประสงค์สิ่งหนึ่งสิ่งใดอันสมควรแก่สมณะบริโภคแล้ว ขอพระคุณเจ้าจงเรียกเอาจากไวยาวัจกร อันข้าพเจ้าทั้งหลายได้ฝากไว้นั้นเทอญ....."

รสพร

ชาวพุทธ ที่เห็นแก่ เพื่อนร่วมวัฏสงสาร ที่หลงผิด ควรช่วย สาวก ลัทธิ ธรรมกาย อย่างไรดี ช่วยกัน ออกความเห็นหน่อย

คนเมืองหาด

วัดนี้จำได้ว่าชอบชวนสร้างพระพุทธรูป อยากถามหน่อยต้องมีพระพุทธรูปมากสักเท่าไหร่ จิตใจคนถึงจะ ดีขึ้น วันๆก็เจอเยอะกราบกันจนเข่าด้าน ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น ถ้ากราบพระพุทธรูปแล้วพวกเราพ้นทุกข์ได้ ก็ดีสินะ แต่ที่แน่ๆ พระพุทธรูปยิ่งเยอะๆเงินในย่ามในบัญชี ของพระก็มากขึ้นตามจำนวนพระพุทธรูปที่สร้าง  ถ้าพระพุทธรูปใช้ทอง(ทองไม่เต็มตามที่บอกญาติโยมด้วยนะ)ใช้อัญมณีสร้าง ก็ต้องให้พระมานั่งเฝ้ายาม นี่เหรอกิจของ สงฆ์ แทนที่จะเอาเวลามาปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมะ สั่งสอนคน.... แล้วคนที่เค้าร่วมบริจาค ร่วมสร้างจะบาปไม๊... ทำให้พระมาเป็นยาม เฝ้าวัตถุ..อันนี้น่าคิดนะ.....เดี๋ยวนี้เจอพระก็เห็นชวนทำบุญสร้างโน่นสร้างนี่ช่วยโน่นนี่ อ้าปากก็บอกขอตังค์มาบอกบุญ ให้สะสมบุญ  ถ้าอ่านในเวปอื่น เค้าให้ เก็บภาษีวัด พระยังกระโดดหนี ไม่ยอมๆจะลุกมาประท้วง ไอ้ที่ว่าให้คนบริจาค สะสมบุญ คือ ตัวเอง(พระบ้าๆ)จะสะสมเงินเม้มเงินเข้าย่ามตัวเองให้ลูกให้เมียเก็บ สะมากกว่า แทนที่จะยินดี มีฝ่ายรัฐบาลมาเป็นพยานช่วยดูแลเรื่องการเงินให้ และน่าจะซาบซึ้งถ้ารัฐบาลเค้าจะกระจายเงินไปช่วยวัดที่ยากจนให้เป็นทุนการศึกษาพุทธศาสนาให้ คนในสังคม ทำให้ศาสนาพุทธรุ่งเรืองกันทั่วประเทศทั่วโลก เงินไม่กระจุกอยู่ในวัดของข้าวัดเดียว เงินก็ไม่ใช่ของตัว เค้าบริจาคให้เพราะไปหลอกเค้ามา เค้าเห็นแก่ศาสนาพุทธ ตัวเองเอาผ้าเหลืองมาหากิน ยังจะอิดออดเม้มเอาไว้เอง พระทุกรุปที่มาประท้วงการปฏิรูป คณะสงฆ์ มันยังเป็นพระกันอยู่เหรอ ตายไปคงเป็นเปรต สะมากกว่า แล้วเปรตที่ไหนจะส่งบุญให้เราไปสวรรค์ได้ลองคิดดู..ตำรวจไถยังด่าได้ พระไถนี่ มันอ้างว่าด่ามันแล้วบาป ห้ามด่า ห้ามประจานนะ ..เออแหนะมันยังจะเอาผ้าเหลืองมาปกป้องตัวมันอีก..นี่มันเหลือบของศาสนาชัดๆ มันจะบาปตรงไหนถ้ามันบวชเพราะอยากได้เงิน อยากเอาเปรียบคนอื่น อยากสบาย พระดีๆก็เหมือนตำรวจดีๆ เหมือนผี รู้ว่ามีแต่หาไม่เจอ..พระเห้..ๆเอาตีนเขี่ยหาแป๊ปเดียวก็เลอะติดตีนเต็มไปหมด..ที่ว่ามานี่พระดีๆไม่เกี่ยวนะท่านย่อมรู้แก่ใจ ว่าตัวเองทำอะไรไว้ ทำดี อุบาสกอุบาสิกาเค้าก็ชม ทำไม่ดีก็ต้องด่าก็ต้องว่า เพื่อให้ปรับปรุง..จุดประสงค์เพื่อปกป้องธำรงค์ไว้ซึ่งศาสนาพุทธให้ยาวนาน

Mr.No

อ้างจาก: คนเมืองหาด เมื่อ 16:33 น.  16 ต.ค 58
วัดนี้จำได้ว่าชอบชวนสร้างพระพุทธรูป อยากถามหน่อยต้องมีพระพุทธรูปมากสักเท่าไหร่ จิตใจคนถึงจะ ดีขึ้น วันๆก็เจอเยอะกราบกันจนเข่าด้าน ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น ถ้ากราบพระพุทธรูปแล้วพวกเราพ้นทุกข์ได้ ก็ดีสินะ แต่ที่แน่ๆ พระพุทธรูปยิ่งเยอะๆเงินในย่ามในบัญชี ของพระก็มากขึ้นตามจำนวนพระพุทธรูปที่สร้าง  ถ้าพระพุทธรูปใช้ทอง(ทองไม่เต็มตามที่บอกญาติโยมด้วยนะ)ใช้อัญมณีสร้าง ก็ต้องให้พระมานั่งเฝ้ายาม นี่เหรอกิจของ สงฆ์ แทนที่จะเอาเวลามาปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมะ สั่งสอนคน.... แล้วคนที่เค้าร่วมบริจาค ร่วมสร้างจะบาปไม๊... ทำให้พระมาเป็นยาม เฝ้าวัตถุ..อันนี้น่าคิดนะ.....เดี๋ยวนี้เจอพระก็เห็นชวนทำบุญสร้างโน่นสร้างนี่ช่วยโน่นนี่ อ้าปากก็บอกขอตังค์มาบอกบุญ ให้สะสมบุญ  ถ้าอ่านในเวปอื่น เค้าให้ เก็บภาษีวัด พระยังกระโดดหนี ไม่ยอมๆจะลุกมาประท้วง ไอ้ที่ว่าให้คนบริจาค สะสมบุญ คือ ตัวเอง(พระบ้าๆ)จะสะสมเงินเม้มเงินเข้าย่ามตัวเองให้ลูกให้เมียเก็บ สะมากกว่า แทนที่จะยินดี มีฝ่ายรัฐบาลมาเป็นพยานช่วยดูแลเรื่องการเงินให้ และน่าจะซาบซึ้งถ้ารัฐบาลเค้าจะกระจายเงินไปช่วยวัดที่ยากจนให้เป็นทุนการศึกษาพุทธศาสนาให้ คนในสังคม ทำให้ศาสนาพุทธรุ่งเรืองกันทั่วประเทศทั่วโลก เงินไม่กระจุกอยู่ในวัดของข้าวัดเดียว เงินก็ไม่ใช่ของตัว เค้าบริจาคให้เพราะไปหลอกเค้ามา เค้าเห็นแก่ศาสนาพุทธ ตัวเองเอาผ้าเหลืองมาหากิน ยังจะอิดออดเม้มเอาไว้เอง พระทุกรุปที่มาประท้วงการปฏิรูป คณะสงฆ์ มันยังเป็นพระกันอยู่เหรอ ตายไปคงเป็นเปรต สะมากกว่า แล้วเปรตที่ไหนจะส่งบุญให้เราไปสวรรค์ได้ลองคิดดู..ตำรวจไถยังด่าได้ พระไถนี่ มันอ้างว่าด่ามันแล้วบาป ห้ามด่า ห้ามประจานนะ ..เออแหนะมันยังจะเอาผ้าเหลืองมาปกป้องตัวมันอีก..นี่มันเหลือบของศาสนาชัดๆ มันจะบาปตรงไหนถ้ามันบวชเพราะอยากได้เงิน อยากเอาเปรียบคนอื่น อยากสบาย พระดีๆก็เหมือนตำรวจดีๆ เหมือนผี รู้ว่ามีแต่หาไม่เจอ..พระเห้..ๆเอาตีนเขี่ยหาแป๊ปเดียวก็เลอะติดตีนเต็มไปหมด..ที่ว่ามานี่พระดีๆไม่เกี่ยวนะท่านย่อมรู้แก่ใจ ว่าตัวเองทำอะไรไว้ ทำดี อุบาสกอุบาสิกาเค้าก็ชม ทำไม่ดีก็ต้องด่าก็ต้องว่า เพื่อให้ปรับปรุง..จุดประสงค์เพื่อปกป้องธำรงค์ไว้ซึ่งศาสนาพุทธให้ยาวนาน

ส.ยกน้ิวให้   เจ๋งง่ะ ชอบ..... ส-เหอเหอ ส-เหอเหอ
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

คนเมืองสง

อันที่จริงผมก็ไม่ได้เห็นชอบในแนวทางของธรรมกาย แต่ก็สังเกตเห็นว่าพวกเขาก็มีความเรียบร้อยดี ว่าไปแล้วก็มีระเบียบวินัย
กลุ่มผู้นับถือของพวกเขาก็มีความเรียบร้อยไม่ก้าวร้าว ดังนั้นจึงไม่สมควรที่จะถูกตำหนิอย่างแข็งกร้าวตามสำนวนท่านคนเมืองหาด ท่านคนเมืองหาดครับ ยังมีคนชั่วอีกมากมายในประเทศนี้ที่ควรรอรับการด่าของท่านอยู่ ผมว่าธรรมกายไม่น่าจะใช่รายแรกๆ

wareerant

คสช.ควรยึดธรรมกายเป็นของหลวง

ตื่นเถิดขาวพุทธ

อ้างจาก: neutral เมื่อ 14:05 น.  13 ส.ค 58
ถ้าไม่รู้จริง แล้วพูดก็บาปมากน่ะ  ไปพิสูจน์ดีกว่า
ถ้าเราขายเพชร เราย่อมต้องศึกษา วิธีดูเพชรแท้ เมื่อเจอเพชรเทียม เราก็จะมองออก ศาสนาก็เหมือนวิชาการประกอบอาชีพ ต้องอ่าน ธรรมะจากพระโอษ ตถาคต ก่อน พุทธวจนะ ที่เป็นของแท้ให้เข้าใจ ในหลักการ เมื่อมีคำสอนที่เบี่ยงไป เราจะรู้และไม่หลง ครับ แต่...อย่างธรรมกาย.คนที่อยู่มา19 ปีซึ่งน่าจะมากปีกว่าคุณ เค้าพิสูจน์มามากกว่าคุณ...ออกมาพูดแฉหมดเปลือกแล้วครับ..ดูคลิปเอานะ..https://www.youtube.com/watch?v=X2zowQYCpX8   นพ.มโน ชี้ ธรรมกายค้าอาวุธ ???? ช่วงนาทีที่8:25

คนหลงมา

อ้างจาก: wareerant เมื่อ 12:07 น.  22 ต.ค 58
คสช.ควรยึดธรรมกายเป็นของหลวง
ยึดวัดพระธรรมกายเป็นของหลวง ถ้าทำได้ก็ดีสิ. จะได้ริบเงินจากการฉ้อฉลเข้าท้องพระคลังเอามาหมุนเวียนในระบบ ตอนนี้คุณรู้หรือเปล่าว่ารัฐบาลเค้าจะเก็บภาษีเพิ่มจะเก็บจากหาบเร่แผงลอย พ่อค้าตลาดนัด สถาบันกวดวิชา ขึ้นแวตเป็น 10 เปอร์เซนต์ เพราะรัฐบาลไม่มีเงิน เงินไปอยู่ไหนหละก็ไปอยู่กับพวกตระกูล ชิน ดา วงษ์ และลิ่วล้อ รวมถึงวัดพระธรรมกายนี้ด้วย. เศรษฐกิจถึงได้แย่อยู่อย่างทุกวันนี้ พวกนี้โกงไปเป็นพันล้านหมื่นล้าน กองกันอยู่แต่สามตระกูล กับ 1 วัด เงินก็ไม่หมุน  ประชาชนตาดำๆอย่างเราลูกหลานเราก็เดือดร้อนรีบๆยึดมาเลยจะได้ไม่ต้องขึ้นภาษีและถ้าให้ดี เก็บภาษี วัดด้วย จะได้ถูกตรวจบัญชีทุกครึ่งปีแล้วต่อไปก็จะมีคนดีๆมาบวชเพราะคนชั่วมาบวชยังไงก็กินเงินบริจาคไม่ได้ เหลือแต่คนดีๆพระดีๆมาบวชเพื่อหาทางดับทุกข์สืบต่อศาสนาจริงๆ