ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เรื่องการบวชของพระพุทธเจ้า

เริ่มโดย คุณหลวง, 07:03 น. 09 พ.ย 54

คุณหลวง

    สะบายดี...

    อันเนื่องมาจาก ๒-๓ วันก่อน เปิดเจอเรื่องที่คุณที่ใช้ชื่อว่าสงสัยถามเรื่องว่าที่ประเทศไทยไม่เจริญเพราะนับถือพระพุทธศาสนานั้นมีความคิดเห็นกันอย่างไร กับเรื่องว่าพระพุทธศาสนาสอนให้หนีโลก พอดียุ่งๆอยู่ก็เลยไม่ได้ตอบทันทีที่เปิดเจอ

    พอมาเปิดอ่านอีกที กะว่าจะตอบก็หาไม่เจอ คาดว่าคงโดนลบไปแล้ว ผมเคารพทั้งท่านสงสัยและผู้ดูแลเว็บที่ต้องลบ แต่ผมยังต้องพูดเพราะว่าการทำความเข้าใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่องที่ผมถือว่าเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่ง เพราะว่าเรื่องทั้งสองนี้ ผมเคยพบเจอมาบ้างในชีวิตตัวเอง เมื่อก่อนก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน เพราะตัวเองก็ไม่เคยสนใจพระศาสนาอยู่แล้ว

    แต่มาวันนี้ พระศาสนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่สำคัญ และผมพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถดับทุกข์ได้จริง แม้ว่าผมจะได้รับผลเพียงเล็กน้อย แต่ก็มีความเชื่อมั่นและวางใจลงได้แล้ว

    วันนี้ผมขอพูดเรื่องว่าพระพุทธศาสนาสอนให้คนหนีโลกจริงหรือไม่ ส่วนอีกเรื่องนั้นจะมาพูดอีกทีในคราวหลังเพราะเวลาไม่มากนัก

    ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะยืนมองชีวิตผู้คนที่เต็มไปด้วยทุกข์นั้น พระองค์ดำริว่า สัตว์โลกทั้งหลายนี้ล้วนแต่มีความทุกข์อยู่ด้วยความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และปริเวทนาการต่างๆ และเมื่อมีการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ ก็น่าที่จะยังมีการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายได้เช่นกัน พระองค์จึงทรงดำริต่อว่าจะหาหนทางที่ช่วยให้คนทั้งหลายพ้นจากความทุกข์ให้ได้

    ความจริง ในฐานะของเจ้าชายผู้เป็นพระยุพราช พระองค์สามารถใช้ใครต่อใครก็ได้ให้ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ แต่กับเรื่องนี้ ใครล่ะที่จะทำให้พระองค์ได้ เพราะคนที่จะคิดเรื่องนี้นั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย พระองค์จึงตั้งพระทัยที่จะสละตัวเองเพื่อทำการนี้ เพราะการที่จะบอกเรื่องการดับทุกข์แก่ผู้อื่นนั้น ตัวเองจะต้องดับทุกข์ของตัวเองให้ได้ก่อน

    พระองค์จึงสละทุกสิ่งทุกอย่างออกบวช เพราะเห็นว่าเป็นวิถีเดียวที่จะสะดวกต่อการทำการนี้ หลังจากเรียนรู้ ศึกษาจากสำนักต่างๆและไม่เห็นว่าสามารถทำการพ้นทุกข์ได้จริง พระองค์จึงออกมาค้นหาด้วยตัวเอง เมื่อค้นพบอย่างแท้จริงแล้วพระองค์ก็ออกสั่งสอนสัตว์ บอกทาง ชี้ทางแก่คนทั้งหลาย จนมีผู้รู้ตามจำนวนมาก และสืบต่อมากว่าสองพันห้าร้อยปีแล้ว

    ถามว่า การออกบวชของพระองค์เป็นการละทิ้งสังคมหรือ? หรือเป็นการฟูมฟักตัวเองให้พร้อมจริง มีความรู้จริง แล้วออกมาทำงาน?

    ในสังคมทุกวัน เราก็พบคนที่อวดตนว่ารู้ หรือมีอุดมการณ์แต่ขาดความรู้และความมั่นคงในจิตใจ ทำให้ทำอะไรได้อย่างครึ่งๆกลางๆ และไม่สามารถเห็นผลได้มากมาย ซ้ำร้ายยังกลายเป็นตัวก่อปัญหาแก่สังคมไปเสียเองก็มากมาย

    การทำตัวเองให้พร้อม มีความมั่นคง มีความบริสุทธิ์ใจจริงก่อนการทำงานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้สามารถทำงานได้อย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ด้วยความรู้ และความตั้งใจอย่างบริสุทธิ์ การหลบตัวเองออกไปเพื่อฟูมฟักตัวเองจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อผู้ที่จะทำการใหญ่

    ยกตัวอย่างในปัจจุบัน อย่างท่านพุทธทาสเอง ท่านรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับการเผยแผ่ บำรุงพระศาสนานี้ แต่ท่านก็จำเป็นที่จะต้องหลบไปฝึกฝนตนเองอย่างจริงจัง ผู้เดียวอยู่ระยะเวลาหนึ่ง เมื่อพร้อมแล้วท่านก็ออกมาสู่สังคมอย่างสง่างาม จริงจัง และไม่มีอามิสใดทำให้ท่านเขวไปจากแนวทางได้

    สุดท้าย เป็นอย่างไร ผลงานของท่านเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก และท่านกลายเป็นผู้ที่พลิกฟื้นพระสัทธรรมให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หลังจากที่จมบ่อโคลนของการอยู่เพื่อพระศาสนาอย่างไร้แก่นสารอย่างที่เป็นกันอยู่มากในหมู่สงฆ์ไทย แม้กระทั่งการเรียนการสอนระดับมหาบัณฑิตพุทธศาสน์ยังไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่พระ(ที่เคยถูกกล่าวหาว่า)บ้าอย่างท่านทำได้

    การทำงานเพื่อสังคมนั้นดี แต่คุณมีความพร้อมจริงหรือไม่ ร่างกายคุณ จิตใจคุณ มีความพร้อมจริงหรือไม่ มิฉะนั้นการเข้าไปแก้ปัญหาสังคมก็กลายเป็นการสร้างปัญหาแก่สังคมไปเสียได้

    อีกอย่างหนึ่งนั้น การไม่ละทิ้งสังคมคืออะไร หากการสอนให้คนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องของพระสงฆ์ เป็นการละทิ้งสังคม การเป็นครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่เอาแต่สอนอยู่หน้าชั้นจะไม่เป็นการละทิ้งสังคมด้วยหรือ นักวิชาการที่เอาแต่ค้นคว้าแต่ไม่เคยลงมาบุกลุยกับชาวบ้านก็ละทิ้งสังคมใช่หรือไม่?

    การที่คุณจะช่วยเหลือคนให้พ้นจากการจมน้ำ เพียงการสอนให้เขารู้จักน้ำ รู้จักกระแสน้ำ รู้จักการพยุงตัว รู้จักว่ายน้ำได้ รู้จักมองหาเครื่องช่วยเหลือได้ ก็น่าจะนับว่าเป็นการช่วยเหลือสังคมอยู่แล้ว หรือว่าคุณต้องคอยกระโดดลงไปช่วยคนจมน้ำอยู่ทุกคนร่ำไปเล่าท่านเอย

    ผมว่าคนที่พูดอย่างนั้น ออกจะเป็นความเห็นแก่ตัวไปหน่อย และมองสังคมด้านเดียว คือด้านที่ตัวเองเป็นอยู่เท่านั้น ลองมองอย่างรอบด้านสิครับ พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่ามองอะไรเพียงด้านเดียว อย่างมองแบบแยกส่วน และอย่ามองเพียงภาพใหญ่ แต่ให้มองเห็นทั้งภาพใหญ่และความสืบเนื่องกันของส่วนต่างๆแล้วจะเห็นความจริงที่แท้จริง

อย่าเป็นตาบอดคลำช้างเลยครับ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

Mr.No

อ้างจาก: คุณหลวง เมื่อ 07:03 น.  09 พ.ย 54
    สะบายดี...

    อันเนื่องมาจาก ๒-๓ วันก่อน เปิดเจอเรื่องที่คุณที่ใช้ชื่อว่าสงสัยถามเรื่องว่าที่ประเทศไทยไม่เจริญเพราะนับถือพระพุทธศาสนานั้นมีความคิดเห็นกันอย่างไร กับเรื่องว่าพระพุทธศาสนาสอนให้หนีโลก พอดียุ่งๆอยู่ก็เลยไม่ได้ตอบทันทีที่เปิดเจอ

    พอมาเปิดอ่านอีกที กะว่าจะตอบก็หาไม่เจอ คาดว่าคงโดนลบไปแล้ว ผมเคารพทั้งท่านสงสัยและผู้ดูแลเว็บที่ต้องลบ แต่ผมยังต้องพูดเพราะว่าการทำความเข้าใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่องที่ผมถือว่าเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่ง เพราะว่าเรื่องทั้งสองนี้ ผมเคยพบเจอมาบ้างในชีวิตตัวเอง เมื่อก่อนก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน เพราะตัวเองก็ไม่เคยสนใจพระศาสนาอยู่แล้ว

    แต่มาวันนี้ พระศาสนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่สำคัญ และผมพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถดับทุกข์ได้จริง แม้ว่าผมจะได้รับผลเพียงเล็กน้อย แต่ก็มีความเชื่อมั่นและวางใจลงได้แล้ว

    วันนี้ผมขอพูดเรื่องว่าพระพุทธศาสนาสอนให้คนหนีโลกจริงหรือไม่ ส่วนอีกเรื่องนั้นจะมาพูดอีกทีในคราวหลังเพราะเวลาไม่มากนัก

    ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะยืนมองชีวิตผู้คนที่เต็มไปด้วยทุกข์นั้น พระองค์ดำริว่า สัตว์โลกทั้งหลายนี้ล้วนแต่มีความทุกข์อยู่ด้วยความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และปริเวทนาการต่างๆ และเมื่อมีการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ ก็น่าที่จะยังมีการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายได้เช่นกัน พระองค์จึงทรงดำริต่อว่าจะหาหนทางที่ช่วยให้คนทั้งหลายพ้นจากความทุกข์ให้ได้

    ความจริง ในฐานะของเจ้าชายผู้เป็นพระยุพราช พระองค์สามารถใช้ใครต่อใครก็ได้ให้ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ แต่กับเรื่องนี้ ใครล่ะที่จะทำให้พระองค์ได้ เพราะคนที่จะคิดเรื่องนี้นั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย พระองค์จึงตั้งพระทัยที่จะสละตัวเองเพื่อทำการนี้ เพราะการที่จะบอกเรื่องการดับทุกข์แก่ผู้อื่นนั้น ตัวเองจะต้องดับทุกข์ของตัวเองให้ได้ก่อน

    พระองค์จึงสละทุกสิ่งทุกอย่างออกบวช เพราะเห็นว่าเป็นวิถีเดียวที่จะสะดวกต่อการทำการนี้ หลังจากเรียนรู้ ศึกษาจากสำนักต่างๆและไม่เห็นว่าสามารถทำการพ้นทุกข์ได้จริง พระองค์จึงออกมาค้นหาด้วยตัวเอง เมื่อค้นพบอย่างแท้จริงแล้วพระองค์ก็ออกสั่งสอนสัตว์ บอกทาง ชี้ทางแก่คนทั้งหลาย จนมีผู้รู้ตามจำนวนมาก และสืบต่อมากว่าสองพันห้าร้อยปีแล้ว

    ถามว่า การออกบวชของพระองค์เป็นการละทิ้งสังคมหรือ? หรือเป็นการฟูมฟักตัวเองให้พร้อมจริง มีความรู้จริง แล้วออกมาทำงาน?

    ในสังคมทุกวัน เราก็พบคนที่อวดตนว่ารู้ หรือมีอุดมการณ์แต่ขาดความรู้และความมั่นคงในจิตใจ ทำให้ทำอะไรได้อย่างครึ่งๆกลางๆ และไม่สามารถเห็นผลได้มากมาย ซ้ำร้ายยังกลายเป็นตัวก่อปัญหาแก่สังคมไปเสียเองก็มากมาย

    การทำตัวเองให้พร้อม มีความมั่นคง มีความบริสุทธิ์ใจจริงก่อนการทำงานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้สามารถทำงานได้อย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ด้วยความรู้ และความตั้งใจอย่างบริสุทธิ์ การหลบตัวเองออกไปเพื่อฟูมฟักตัวเองจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อผู้ที่จะทำการใหญ่

    ยกตัวอย่างในปัจจุบัน อย่างท่านพุทธทาสเอง ท่านรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับการเผยแผ่ บำรุงพระศาสนานี้ แต่ท่านก็จำเป็นที่จะต้องหลบไปฝึกฝนตนเองอย่างจริงจัง ผู้เดียวอยู่ระยะเวลาหนึ่ง เมื่อพร้อมแล้วท่านก็ออกมาสู่สังคมอย่างสง่างาม จริงจัง และไม่มีอามิสใดทำให้ท่านเขวไปจากแนวทางได้

    สุดท้าย เป็นอย่างไร ผลงานของท่านเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก และท่านกลายเป็นผู้ที่พลิกฟื้นพระสัทธรรมให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หลังจากที่จมบ่อโคลนของการอยู่เพื่อพระศาสนาอย่างไร้แก่นสารอย่างที่เป็นกันอยู่มากในหมู่สงฆ์ไทย แม้กระทั่งการเรียนการสอนระดับมหาบัณฑิตพุทธศาสน์ยังไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่พระ(ที่เคยถูกกล่าวหาว่า)บ้าอย่างท่านทำได้

    การทำงานเพื่อสังคมนั้นดี แต่คุณมีความพร้อมจริงหรือไม่ ร่างกายคุณ จิตใจคุณ มีความพร้อมจริงหรือไม่ มิฉะนั้นการเข้าไปแก้ปัญหาสังคมก็กลายเป็นการสร้างปัญหาแก่สังคมไปเสียได้

    อีกอย่างหนึ่งนั้น การไม่ละทิ้งสังคมคืออะไร หากการสอนให้คนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องของพระสงฆ์ เป็นการละทิ้งสังคม การเป็นครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่เอาแต่สอนอยู่หน้าชั้นจะไม่เป็นการละทิ้งสังคมด้วยหรือ นักวิชาการที่เอาแต่ค้นคว้าแต่ไม่เคยลงมาบุกลุยกับชาวบ้านก็ละทิ้งสังคมใช่หรือไม่?

    การที่คุณจะช่วยเหลือคนให้พ้นจากการจมน้ำ เพียงการสอนให้เขารู้จักน้ำ รู้จักกระแสน้ำ รู้จักการพยุงตัว รู้จักว่ายน้ำได้ รู้จักมองหาเครื่องช่วยเหลือได้ ก็น่าจะนับว่าเป็นการช่วยเหลือสังคมอยู่แล้ว หรือว่าคุณต้องคอยกระโดดลงไปช่วยคนจมน้ำอยู่ทุกคนร่ำไปเล่าท่านเอย

    ผมว่าคนที่พูดอย่างนั้น ออกจะเป็นความเห็นแก่ตัวไปหน่อย และมองสังคมด้านเดียว คือด้านที่ตัวเองเป็นอยู่เท่านั้น ลองมองอย่างรอบด้านสิครับ พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่ามองอะไรเพียงด้านเดียว อย่างมองแบบแยกส่วน และอย่ามองเพียงภาพใหญ่ แต่ให้มองเห็นทั้งภาพใหญ่และความสืบเนื่องกันของส่วนต่างๆแล้วจะเห็นความจริงที่แท้จริง

อย่าเป็นตาบอดคลำช้างเลยครับ

สวัสดีคุณหลวงที่รัก...

พักหลัง ๆ ไม่ค่อยเห็นกระทู้ธรรมวิ่งสักเท่าไหร่... อาจเป็นเพราะบรรยากาศบ้านเมืองในยามนี้ มันชวนให้หดหู่ เหี่ยวใจยังไงพิลึก!

กระทู้ที่มีผู้ตั้งนั้น ผมก็ได้อ่าน .. แต่จริงๆ จะว่าไป หัวข้อกระทู้นั้นผมยังคิดว่าไม่ควรลบทิ้ง ... เพราะคิดว่า ถ้าจะอ่านแบบหยาบ ๆ อาจมองได้ว่า เป็นกระทู้เกรียน...ทว่า ความจริงในสาระแห่งกระทู้นั้น ผมกลับมองว่าน่าสนใจที่จะช่วยกันขยายความกันต่อไปให้ชัดเจนกว่า  ...

เพราะผมเชื่อว่า ไม่เฉพาะผู้ตั้งกระทู้ที่ถามเท่านั้น แต่หลายคนจำนวนมากก็ยังสับสนว่า สุดท้ายแล้ว  พุทธศาสนา หรือการบวชพระในพุทธศาสนานั้น สอนให้คนหนีโลก ..จริงหรือ?

คุณหลวงยกตัวอย่างท่านพุทธทาส... ผมก็เห็นว่า ตรง...  เพราะหลายครั้งที่ท่านพยายามสอนให้คนรู้ว่า  การดำรงชีวิตในการเป็นคนธรรมดาที่มีกิเลสนั้น จะดำรงอย่างไรให้สอดคล้องและมีความสุขตามอัตภาพ ในฐานะฆราวาส...

ตัวอย่าง   "การทำงานคือการปฏิบัติธรรมะ" นี่เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ... ซึ่งผมพยายามนำมาปฏิบัติใช้ โดยมีโฟกัสไปที่ "งาน" มิใช่ "อามิสจากงาน" หรือผลจากงาน เช่น ทำงานนี้ต้องรวยเท่านั้น...ทำงานชิ้นได้กำไรเท่านั้น ฯลฯ 

ดังนั้น ผมเห็นว่า ศาสนาพุทธ มิได้สอนให้คนหนีโลก...หนีปัญหา แต่ให้เข้าใจและตระหนักอย่างเป็นสัจธรรมว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนมีทุกข์เป็นเหตุปัจจัย ดังนั้นมนุษย์ย่อมทำทุกสิ่งเพื่อหนีทุกข์นั้น... แต่สุดท้ายทุกข์มันก็ยังไม่หมดสิ้น เพราะเราไม่ยอมรับว่ามันมีอยู่จริง......

ทุกวันนี้เราทำงานหนัก... เพื่อให้ได้เงิน โดยคิดว่า "เงิน" คือตัวแทนของความสุข  ....แต่สุดท้าย เราก็ทุกข์ เพราะสับสนว่า ปริมาณของเงินมากเท่าใด จึงจะสุข.. เพราะเมื่อเรามีล้าน...คนอื่นมี ห้าล้าน..เราก็ยังทุกข์... เพราะทุกข์มันเกิดจาก "กิเลส" ฯลฯ

การทำงาน.. การใช้ชีวิต ทีสอดคล้องกับแนวทางพุทธนั้น ผมคิดว่า พุทธองค์ท่านทรงสอนไว้ชัดว่า ให้เรารู้เท่าทัน "ทุกข์" และภายใต้การรู้เท่าทันนั้น  "การปฎิบัติธรรม" ช่วยได้มาก  ดังนั้น เมื่อเข้าใจว่าทุกข์ครั้งที่ "ทุกข์" มันมาเยือน เราก็ยอมรับ และ "ปลง"กับมันว่า เป็นธรรมดาเช่นนี้ ๆ ... เราก็เดินต่อไปได้อย่างไม่ขาดสติ ...

ผมเคยเห็น คนที่เป็นหนี้สินนับหลายล้านบาท จนกลายเป็นคนล้มละลาย... แต่ยังอยู่ได้ เพราะมีสติ คิดได้ว่า "เมื่อมี..วันหนึ่งมันก็(อาจ)หมด"  ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป .... มองไปที่ตะวันออก ตะวันดวงเดิมยังขึ้นสว่างไสว...

แล้วผมก็เคยเห็นบางคนที่มีหนี้สินเพราะโดนธนาคารฟ้องเพียงไม่กี่แสนบาท ..กลับเครียดจนถึงพยายามฆ่าตัวตาย เพราะรับไม่ได้กับ "ทุกข์" ที่มันมา...

นี่คือตัวอย่างที่ว่า ธรรมะ และ ศาสนา สอนให้คนสู้ชีวิต...ไม่ได้หนีชีวิต 
พุทธองค์ ท่านทรงสละใช้ชีวิตของตน เป็นเครื่องมือ... เป็นอุปกรณ์ในการค้นหา ความจริงแห่งชีวิต ทั้งที่ท่านเองนั้นก็มีชีวิตที่เรียกว่า "สุข" แบบ "มหาสุข" ด้วยซ้ำ   แต่สิ่งที่ท่านต่างจากมนุษย์ทั่วไปก็คือ  ท่านทรงมีสติคิดได้....

เพียงเห็นความจริงที่ว่า ทำไม่มนุษย์ เมื่อเกิดถึงลำบากยากว่า วัว ควาย ที่ต้องมีคนอุ้มชูเลี้ยงดูกันยากเข็ญกันเล่า...(เกิด)
เพียงเห็นความจริงที่ว่า. ทำไมต้องหมดสวย หมดหล่อ กันเล่า (แก่)
เพียงเห็นความจริงที่ว่า..ทำไมต้อง เจ็บ ต้อง ป่วย กันเล่า (เจ็บ)
เพียงเห็นความจริงทีว่า..ทำไมต้องตาย...ร่างกายเน่าเหม็น..กันเล่า (ตาย)

ความจริงสี่ประการ ทำให้เกิดสภาวะ "ฉุกคิด" เพื่อค้นหาคำตอบ สุดท้าย ท่านกลายเป็นผู้สละชีวิตทั้งชีวิตในการค้นหาแทนพวกเรา.....
ท่านได้คำตอบเป็นสุทธิว่า...แท้จริง ทุกข์สรรพสิ่งล้วนมีทุกข์เป็นองค์ประกอบทั้งสิ้น ดังนั้น การหลุดพ้นแห่งทุกข์ คือ การเข้าใจตัวตนของมัน  เมื่อเข้าใจก็อยู่ได้อย่างหมดทุกข์.....

ดังนั้น การบวชในพระพุทธศาสนานั้น คือ การฝึกมนุษย์ให้เข้าถึงแก่นแท้ที่ใกล้เข้าไปในการ รู้จักทุกข์  รู้เท่าทัน และกำจัดทุกข์ ด้วย "ธรรมะ"  และพร้อมที่จะเดินหน้าเผชิญปัญหาได้อย่างมีสติ

ท่านคุณหลวง..คิดว่า ผมคิดเช่นนี้ ถูกหรือไม่ขอรับ...
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

samrit

ขอขอบคุณทั้งสองท่านที่ให้ความรู้ในเรื่องพระพุทธศาสนา   

"การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง"  ส.ยกน้ิวให้
คิดดี พูดดี ทำดี ชีวิตก็จะพบแต่สิ่งที่ดีๆ...

คุณหลวง

    สะบายดี...

    ขอบคุณท่าน Mr.No ครับ ที่ช่วยขยายให้กระจ่างยิ่งขึ้น เพราะปัญญาอย่างผมบางทีก็พูดวกวนไปเยอะ ท่านพูดออกมาอย่างประสบการณ์ตรง น่าฟัง น่าศึกษามากครับ

    ขอบคุณท่านแทนผู้ที่อ่านแล้วได้รับประโยชน์ส่วนนี้ด้วยครับผม
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅนเกาะเสือ

พระพุทธเจ้า - บวชทำไม ?

อนึ่ง บวชทำไม ? ปัญหานี้ ตอบตามทางพิจารณาดูตามประวัติของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้านั้น เมื่อทรงเป็นพระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นพระราชกุมาร ก็ทรงมีความสมบรูณ์พูนสุขทุกประการแต่ได้ทรงปรารภถึง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่มีครอบงำสัตวโลกทุกถ้วนหน้า จึงทรงประสงค์จะพบโมกขธรรมคือธรรมะเป็นเครืองพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย เมื่อได้ทรงประสบพบเห็นสมณะคือนักบวช ก็ทรงเลื่อมใสในการบวช ทรงเห็นว่าจะเป็นทางแสวงหาโมกธรรมคือธรรมะเป็นเครื่องพ้นจากความทุกข์ดั่งกล่าวนั้นได้ จึงได้เสด็จออกบวช เพราะฉะนั้น จุดมุ่งหมายแห่งการบวชของพระพุทธเจ้า จึงได้มุ่งโมกขธรรม ธรรมะเป็นเครื่องพ้นจากความทุกข์ของโลก คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย พร้อมทั้งความเกิด ผู้ที่บวชตามพระพุทธเจ้าในชั้นแรก ก้มีความมุ่งเช่นนี้ ดังเช่นพระสาวกในครั้งพุทธกาลรูปหนึ่ง ชื่อว่า พระรัฏฐปาละ ท่านเป็นลูกเศรษฐี แต่ก็ได้สละทรัพย์สมบัติออกบวชปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง วันหนึ่ง พระเจ้าแผ่นกินของแคว้นนั้น พระนามว่าพระเจ้าโกรัพยะ ได้ถามท่านว่า ท่านบวชทำไม ? เพราะคนโดยมากนั้น บวชกันเพราะเหตุว่ามีความเสื่อมเพราะชราบ้าง มีความเสื่อมเพราะความป่วยไข้บ้าง มีความเสื่อมทรัพย์สมบัติบ้าง มีความเสื่อมญาติบ้าง แต่ว่าท่านรัฏฐปาละเป็นผู้ที่ยังไม่มีความเสื่อมใดๆ ดั่งกล่าวนั้น ไฉนท่านจึงออกบวช ท่านก็ตอบว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัส ธัมมุทเทส ไว้ ๔ ข้อ คือ
๑. โลกอันชราย่อมนำเข้าไป ไม่ยั่งยืน
๒. โลกไม่มีอะไรต้านทานจากความเจ็บป่วย ไม่เป้นใหญ่
๓. โลกไม่ใช่ของๆตน เพราะทุกๆคนจำต้องละสิ่งทั้งปวงไป ด้วยอำนาจของความตาย และ
๔. โลกพร่องอยู่ ไม่มีอิ่ม เป็นทาสของตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก
ท่านได้ปรารภธัมมุทเทส คือการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ ประการนี้ จังได้ออกบวช.
แม้ ความรู้อันน้อยนิด อาจช่วยชีวิต คนเป็น ร้อย

กิมหยง

เราไปบวชกันดีกว่า

จะเริ่มท่องบทเอสาหัง กันยังไงดี
สร้าง & ฟื้นฟู

Mr.No

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 17:30 น.  09 พ.ย 54
เราไปบวชกันดีกว่า

จะเริ่มท่องบทเอสาหัง กันยังไงดี

โห..  คุณกิมฯ แกจะบวชแบบธรรมยุติด้วย..

ว่าแต่ เวลาบวชเนี่่ยะต้องขอภรรยานะครับ... ส.หัว   ถ้าภรรยาไม่อนุญาต พระท่านก็บวชให้ไม่ได้นา... ส-เหอเหอ
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

คุณหลวง

    สะบายดี...

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 20:37 น.  09 พ.ย 54
โห..  คุณกิมฯ แกจะบวชแบบธรรมยุติด้วย..

ว่าแต่ เวลาบวชเนี่่ยะต้องขอภรรยานะครับ... ส.หัว   ถ้าภรรยาไม่อนุญาต พระท่านก็บวชให้ไม่ได้นา... ส-เหอเหอ

    แหม...ท่าน Mr.No ครับ ต้องขอภรรยา ถ้าภรรยาไม่อนุญาต พระท่านก็บวชให้ไม่ได้นา...แล้วถ้าภรรยาให้ จะออกมาบวชไหวหรือครับ     ส-เหอเหอ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

กิมหยง

กำลังเตรียมตัวอยู่ครับ

มีเคล็ดลับในการท่องหรือเปล่าครับ

ตอนบวชพกมือถือแทบเล็ตไว้ข้าง ๆ ได้หรือเปล่า

จำยากมาก

เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ ละเภยยาหังภันเต
ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง ละเภยยายัง อุปะสัมปะทัง

ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง

มีแบบนี้อีก 4 หน้า
สร้าง & ฟื้นฟู

samrit

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 12:32 น.  10 พ.ย 54
กำลังเตรียมตัวอยู่ครับ

มีเคล็ดลับในการท่องหรือเปล่าครับ

ตอนบวชพกมือถือแทบเล็ตไว้ข้าง ๆ ได้หรือเปล่า

จำยากมาก

เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ ละเภยยาหังภันเต
ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง ละเภยยายัง อุปะสัมปะทัง

ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง

มีแบบนี้อีก 4 หน้า


ท่อง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ... เดี่ยวก็จำได้เอง

วัดที่ผมบวช หากท่องไม่ได้ ไม่บวชให้ครับ

คนที่เครียดไม่ใช่ผม แต่เป็นพ่อผม เพราะกลัวผมท่องไม่ได้ เดี่ยวพอได้อายคน

ก่อนถึงวันบวชจริง มีการซ่อมย่อย และซ่อมใหญ่

ซ่อมย่อยที่บ้านโดยพ่อผม เมื่อเห็นว่าได้แล้ว ต้องไปซ่อมใหญ่กับพระที่วัด

ถึงวันบวช  ก็มีตะกุกตะกักบ้าง  แต่พระอาจารย์ก็ขึ้นต้นหรือนำให้

สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี  แต่ที่เกือบตายไม่ใช่คำท่อง แต่เป็นท่านั่งครับ 

ก็ท่าที่นั่งตอนทำพิธีบวช เขาให้นั่งคุกเข่าก้นวางที่ส้นเท้า

เพราะนั่งไปสักพัก จะเจ็บข้อเท้าหรือเจ็บส้นเท้ามาก  ซ่อมๆ นั่งไว้บ้างนะครับ
คิดดี พูดดี ทำดี ชีวิตก็จะพบแต่สิ่งที่ดีๆ...

Mr.No

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 12:32 น.  10 พ.ย 54
กำลังเตรียมตัวอยู่ครับ

มีเคล็ดลับในการท่องหรือเปล่าครับ

ตอนบวชพกมือถือแทบเล็ตไว้ข้าง ๆ ได้หรือเปล่า

จำยากมาก

เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ ละเภยยาหังภันเต
ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง ละเภยยายัง อุปะสัมปะทัง

ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง

มีแบบนี้อีก 4 หน้า

ตอนที่พระท่านขานนาค.... เมื่อท่านถามว่า ปุริโสสิ?  คุณกิมหยง อย่าเผลอไปตอบ "นัตถิ ภันเต" ล่ะ.. ส-เหอเหอ
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

คุณาพร.

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 12:32 น.  10 พ.ย 54
กำลังเตรียมตัวอยู่ครับ

มีเคล็ดลับในการท่องหรือเปล่าครับ

ตอนบวชพกมือถือแทบเล็ตไว้ข้าง ๆ ได้หรือเปล่า

จำยากมาก

เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ ละเภยยาหังภันเต
ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง ละเภยยายัง อุปะสัมปะทัง

ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง ส.ร้อง

มีแบบนี้อีก 4 หน้า

  ^

  ^

  ^

  ^

  จะบวชวันไหน   รบกวนประกาศไว้หน้าเว็บตัวใหญ่ๆด้วยนะท่าน   ส.หลก

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

กิมหยง

แล้วข้าพเจ้าจะบาปหรือไม่

เขากำลังสนทนาธรรมเรื่องพระพุทธเจ้าบวช
ทำไปทำมา กลายเป็นข้าพเจ้าบวชไปซะแล้ว
สร้าง & ฟื้นฟู

ฅนเกาะเสือ

ตอนบวช หลวงพ่อท่านบอกว่า  กุสลา พาเที่ยว..พาหุง..พุงเดียว ก็สงสัยถามอาจารย์ เลยไขข้อสงสัยว่าอย่างนี้ครับ
กุสลาพาเที่ยว..คือการรับนิมนต์ไปสวดศพ (ใช้ กุสลาสวดครับ)ไปหลายที่หลายแห่ง..คือ กุสลาพาเที่ยว
พาหุง..พุงเดียว..ก็คือการทำบุญที่วัด ฉลองวัตถุต่างๆ ถวายข้าวสังฆทาน ต่างๆ(ต้องใชพาหุง..มหาการุณิโก ครับ) รับเสร็จก็ ฉัน แคหนึ่งอิ่มครับ

นี่คือที่มาของคำ..กุสลา..พาเที่ยว..พาหุง..พุงเดียว

ผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมาณ.ที่นี้ด้วย ขอรับกระผม
แม้ ความรู้อันน้อยนิด อาจช่วยชีวิต คนเป็น ร้อย

คุณหลวง

    สะบายดี...

    ส.อืม   ท่าจะเอาจริงแฮะ...เห็นทุกข์แล้วกระมัง แล้วเหตุแห่งทุกข์ของท่านกิมฯคืออะไรครับ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณาพร.

  นั่งพิมพ์รายงานอยู่......เมื่อยๆเอว  เลยออกไปเดินสูดลมข้างนอกบ้าน
  คนข้างบ้านเดินผ่าน  พลางพูดออกมาเบาๆพร้อมถอนหายใจฟอดโต
  ................." การมีเมียเป็นทุกข์อันประเสริฐ "

  ปล.  คิคิคิ  ไม่มีต่อนะเออ  ส.หลก

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณหลวง

    สะบายดี...

อ้างจาก: คุณาพร. เมื่อ 22:40 น.  10 พ.ย 54

  ................." การมีเมียเป็นทุกข์อันประเสริฐ "


      ส.อืม  เข้าถึงชีวิตดีแฮะ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป