ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

จุฬา...ขยับ แล้ว มอ.หาดใหญ่?

เริ่มโดย Mr.No, 06:00 น. 20 มิ.ย 59

ฝนทิ้งช่วง

ยอมรับความจริงเถอะครับ... ส.ยกน้ิวให้


Animals rule of law

ขอฝากทิ้งท้าย เนื่องจากทางวัดเขามีเกียรติ การให้อภัยทาน และ การแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ทั้งหลาย
ด้วยเจตนาและความบริสุทธิ์ใจ อย่างแท้จริง... ส.สู้ๆ

ลีลา.

ตัวละคร เยอะจริงๆ

ตื่นเถิดชาวพุทธ

ตถตา มันเป็นเช่นนี้เอง... ส.ยกน้ิวให้

JukHongJit


กาลามสูตร

.

โทมะชะยำใบเหลียง

จะปล่อยวาง หรือ จะถูกลากดึง

ช่วงขงเบ้งยำใบเหลียง


เก่ง จีนแดง

จานบินแดง โดนรุกฆาตแล้ว... ส.สู้ๆ

สตรี จ๊อบส์

อะไรที่มันหนัก ก็จงวางลงเถิด


สมคิด พรดี

เพิ่มเติมครับ

Prawit lek reddevils

เรื่องของ ความโลภ นั้น...ลองถ้าหากมันถูกปลุก ถูกกระตุ้น อย่างเป็นกิจจะลักษณะ ถูกขับเคลื่อนให้เดินหน้าแบบเต็มสูบ เต็มกำลัง อะไรๆ ก็เอาไม่อยู่ รั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ ไปด้วยกันทั้งนั้น และจนกว่าที่มันจะหมดเรี่ยว หมดแรง หมดพลังงาน เผาผลาญ ภายในตัวมัน...ทุกสิ่ง ทุกอย่าง รอบๆ ข้าง อาจหลงเหลืออยู่แค่เศษซากปรักหักพัง มีแต่ต้องฉิบหาย วายวอด กันไปเป็นแถบๆ...
-----------------------------------------------
สำหรับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งถูกออกแบบมาให้เป็นผู้รองรับ การปลุกกระแสความโลภแบบต่อเนื่อง ยาวนาน มาเป็นปีๆ จะถึงขั้นต้องฉิบหายในปีนี้ หรือปีหน้า ปีโน้น หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้ ชัดเจน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ถ้าหาก นโยบายจำนำข้าว ของรัฐบาล ยังคงเดินหน้าต่อไป แบบไม่คิดจะบันยะ บันยังใดๆ เอาเสียเลย ไม่วันหนึ่ง วันใด...คงไม่น่าจะเหลือเศษซากใดๆ เอาไว้ทำยา หรือเอาไว้ดูต่างหน้าแน่ๆ เรียกว่า ขนาดต้องควักเอาเงินรักษาสภาพคล่องออกมาใช้กันแล้ว...ก็ยังใช้ไม่พอ ขาดไปอีกนับเป็นหมื่นล้าน แสนล้าน เหลือ ตัวช่วย เพียงอีกตัวเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ ต้องสวดมนต์ภาวนาให้ ภาวะภัยแล้ง เป็นตัวช่วยหยุดยั้ง ช่วยลดปริมาณข้าวนาปรัง และนาปี ให้เหลืออยู่น้อยที่สุด เท่าที่จะน้อยได้...
--------------------------------------------------
แต่ไม่ใช่เฉพาะกลไก ที่ถูกออกแบบให้รองรับความโลภ อย่างธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เท่านั้น กระทั่งผู้ที่ถูกปลุกให้โลภ ถูกกระตุ้นให้โลภโดยตรง อย่างบรรดาเกษตรกร หรือชาวนาทั้งหลาย ผลพวงแห่งความโลภ ที่มันกำลังย้อนกลับกลายมาเป็น ผลกรรม นับวันดูจะแสดงตัวตน ให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดังที่ท่านผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ในด้านการเกษตรและด้านสุขภาพ ท่านได้รวมตัวจัดสัมมนา เพื่อชี้ให้เห็นคุณและโทษ ของการนำเอาสารเคมีการเกษตรมาใช้ เพื่อเร่งผลผลิตการเกษตร ณ เวทีสำนักงานสุขภาพแห่งชาติ และ เอ็กซ์ไซท์-ไทยโพสต์ ได้นำมารายงานเอาไว้เมื่อวานนี้ ซึ่งพอสรุปโดยคร่าวๆ ได้ว่า ด้วยเหตุที่ต้องการจะเร่งผลผลิต หรือต้องการจะปลูกข้าวให้ได้มากๆ เข้าไว้ จะได้เอามาจำนำกับรัฐบาลกันให้เยอะๆ บรรดาเกษตรกรส่วนใหญ่ จึงหันไปโหมใช้สารเคมีการเกษตร ระดับที่ทำให้ปริมาณการสั่งเข้า เพิ่มขึ้นเป็นกองภูเขา เลากา สูงกว่าตึกใบหยก ไปแล้วถึงขั้นนั้น...
----------------------------------------------------
ยิ่งแต่ละคน แต่ละราย ล้วนมีบัตรเครดิต รูดปรื๊ด...รูดปรื๊ด อยู่ในมือ ยิ่งส่งผลให้การใช้สารเคมีแต่ละประเภท เป็นไปแบบระเบิดเถิดเทิง หนักขึ้นไปใหญ่ เพราะการปลูกข้าว ผลิตข้าว ในแต่ละรุ่น มันได้กลายเป็น การลงทุน หรือกลายเป็น อุตสาหกรรมการเกษตร ไปแล้ว ไม่ใช่เป็น วิถีชีวิต แบบชาวนารุ่นก่อนๆ ดังนั้น...ไม่ว่าสารเคมีแต่ละประเภท มันจะ อันตราย หนักหนาสาหัสขนาดไหน หรือถึงขั้นบางประเทศ สั่งห้ามใช้กันไปแล้วก็มี แต่เพื่อให้ได้ปริมาณข้าวมากๆ เข้าไว้ เพื่อเอามาจำนำกับรัฐบาลกันให้เยอะๆ โดยจะเอาเงินที่ได้ ไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ตู้เย็น ทีวี เอาไปซื้อรถคันแรก บ้านหลังแรก หรือเอาไปใช้หนี้ค่าหวย ฯลฯ หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ แต่ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นจากราคารับจำนำ จากปริมาณผลผลิตที่เร่งปลูก เร่งใช้สารเคมี แทนที่จะทำให้ คุณภาพชีวิต ของเกษตรกรเหล่านี้ดีขึ้น มันกลับทำให้ชีวิตของเกษตรกรแต่ละชีวิต ถูกนำไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายเปื่อยๆ ยิ่งขึ้นทุกที...
--------------------------------------------------
อันตรายจากสารพิษที่อยู่ในสารเคมีการเกษตร ซึ่งถูกนำมาใช้ในการเร่งผลผลิตให้เยอะๆ เข้าไว้ เท่าที่ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ท่านได้แจกแจงเอาไว้ ต้องเรียกว่า...น่าขนหัวลุกเอามากๆ!!! ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่การทำให้เกิดความผิดปกติในดีเอ็นเอ ก่อให้เกิดมะเร็ง และโรคเรื้อรังนานาชนิด เกิดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง เพิ่มขึ้นถึง 4.4 เท่า เกิดการแบ่งตัวอย่างผิดปกติของเซลล์ตับ กระตุ้นให้เกิดเนื้องอก เกิดการรบกวนระบบต่อมไร้ท่อ ทำลายเอนไซม์ที่เยื่อหุ้มสมอง เกิดความผิดปกติของอสุจิ และการตายของอสุจิ สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ทำให้น้ำหนักลด กล้ามเนื้อกระตุก กินน้อย โลหิตจาง เกิดอาการสั่น สูญเสียการทรงตัว น้ำนมลดลง ลูกอาจตายตั้งแต่เกิด ไปจนกระทั่งสามารถทำให้เกิดอาการ กลายพันธุ์ ไปเลยถึงขั้นนั้น ฯลฯลฯลฯ และจากการสำรวจ โดยโครงการประเมินความเสี่ยงของเกษตรกร จากสารกำจัดศัตรูพืช ในปีที่ผ่านมา จากจำนวนเกษตรกรทั่วประเทศกว่า 500,000 ราย พบว่า เกษตรกรที่ตกอยู่ในอัตราเสี่ยงจากสาเหตุชนิดนี้ มีสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์เข้าไปแล้ว...
-------------------------------------------------------
พูดง่ายๆ ว่า...ถึงจะได้เงิน ได้ทอง มาสนองตอบความต้องการ สนองตอบความโลภกันในวันนี้ แต่ในวันข้างหน้า โอกาสที่จะตายกับตาย หรือถึงไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตนั้น ย่อมมีความเป็นได้สูงเอามากๆ และไม่ใช่แต่เฉพาะตัวเอง ที่เป็นพ่อๆ-แม่ๆ ผัวๆ-เมียๆ เท่านั้น แต่ในอนาคตที่ยาวไกลไปถึงลูกๆ หลานๆ ซึ่งจะเกิดมาในแต่ละรุ่น ดีไม่ดีอาจต้อง กลายพันธุ์ ไปเป็นสัตว์ประหลาด เป็นมนุษย์ต่างดาว เอาเลยก็ไม่แน่ ทั้งนั้น ทั้งนี้...ล้วนเนื่องมาจากสาเหตุของความโลภ ที่ถูกปลุก ถูกกระตุ้น กันอย่างเป็นระบบ อย่างเป็นกระบวนการ ไล่มาตั้งแต่ยอดถึงฐานนั่นเอง...
---------------------------------------------------------
ด้วยเหตุนี้...การที่มีผู้ออกมา เชลียร์เช็ด รัฐบาล ชนิดขนติดปาก ด้วยการให้ความยกย่อง เชิดชู นโยบายรับจำนำข้าว ถึงขั้นถือเป็นแนวนโยบาย ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปประเทศ การเปลี่ยนแปลงประเทศ ก็อาจไม่ถึงกับผิดพลาดอะไร มากมายซักเท่าไหร่นัก เพียงแต่ว่ามันอาจไม่ใช่การปฏิรูป อันมีความหมายเป็นไปในทางที่ดีขึ้น แต่ออกจะเป็นไปในแบบ ปฏิรูด ซะมากกว่า คือมีแต่รูดลงไปกองกับพื้น ก่อนจะไปไม่กลับ-หลับไม่ตื้น-ฟื้นไม่มี ไปอีกนานเท่านาน หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศจาก หน้ามือ ให้กลายเป็น หลังตีน ในชั่วเวลาข้ามคืน เพราะในเมื่อความโลภ มันได้ถูกปลุก ถูกกระตุ้น ถูกขับเคลื่อนให้เดินหน้าแบบเต็มสูบ เต็มกำลังเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็คงเอาไม่อยู่ กระทั่งรัฐบาลชุดนี้ ที่เป็นผู้คิดค้นนโยบายชนิดนี้เองก็เถอะ ลักษณะอาการทุกวันนี้...คงไม่ต่างอะไรไปจาก คนขี่เสือ ไม่กล้าลง หาทางลงไม่เจอ และเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องโดนเสือรับประทาน ก็คงต้องปล่อยให้ประเทศทั้งประเทศ โดนแดก จนกว่าจะฉิบหาย วายวอด กันไปทั้งประเทศ ด้วยประการฉะนี้...เทอญญ์ญ์ญ์!!!
-------------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จากสุนทโรวาท อิหม่าม อาลี....ความละโมบโลภมาก...คือ ระบบทาสที่ถาวร.


สงขลา อาหารเจ

มารทดสอบเพื่อดูว่า จริงหรือเท็จ พระหรือผี หินหรือหยก ไม่ว่าจะบำเพ็ญเพียรมาแรมนานแค่ไหนก็ตาม

ของโปรดมารหลักใหญ่ คือ

1.พวกที่เป็นผู้บำเพ็ญธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไป เช่น นักบวช ฆารวาสที่มีศีลมีธรรม หนทางแห่งความดี ย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อย่าคิดว่า มาทางธรรมแล้วจะได้เสพสุข จะไม่ได้เจออุปสรรค ความทุกข์ใดๆ เพราะธรรมะแท้จะทวนกระแสปุถุชน กระแสมาร ไม่ได้ไหลไปตามน้ำ
2. ผู้ที่มีจิตใจงดงาม ใจบุญ ใจเมตตา ใจพระ
3. ผู้ที่รู้ธรรมมากๆ ศึกษาทฤษฎีธรรมมาก อ่านมามาก และชอบสอนธรรมคนอื่น เป็นผู้ที่มีประสบการณ์มาก่อน เช่น ผู้ที่เป็นวิทยากร เป็นกูรู เป็นครูบาอาจารย์ที่เก่งและโด่งดัง เป็นผู้รู้มาก เป็นผู้บรรยายธรรม เป็นต้น
4. ศิราณีทั้งหลาย ชอบทำตัวเป็น consultant ผู้ที่เวลาสอนธรรมใคร มารจะจ้องทดสอบประชิดในจิตญาณทันที เช่น หากวันนี้ เราไปบอกคนอื่นให้มีเมตตาต่อสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ มารก็จะจัดสรรข้อสอบโดยที่เราไม่รู้ตัว บางคนสอนธรรมคนอื่นเรื่องรักษาศีล หรือคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ข้อใดก็ตาม ไม่นานนัก บุคคลที่สอนก็จะโดนทดสอบทันทีว่า ปากกับใจตรงกันจริงไหม พูดได้ ทำได้จริงไหม ช่วยคนอื่นได้แต่ตนเองเอาตัวรอดไหม พุดอะไรออกไป ให้สำรวมระวัง อย่าเป็นนักควบม้าที่ตกม้าตายเสียเอง
5. ผู้ที่หลงตนเองหรืออุปทาน ปรุงแต่งไปว่า ฉันคือพระอรหันต์ ฉันคือผู้เข้าถึงธรรม ฉันคือผู้ที่เก่งแล้ว รู้หมดแล้ว ใครสอนฉันไม่ได้ ฉันไม่เคยทำผิด คนเหล่านี้ดื้อมากๆ ego สูงมาก อัตตาตัวตน ตัวกูของกูมากและหนามากๆ (อันนี้ มีตั้งแต่ก่อนพุทธกาลจนถึงกึ่งพุทธกาลนี้ ยิ่งมากล้น เนื่องด้วยโลกวัตถุ ความรู้ได้พัฒนาไปมาก ยิ่งป็นอาหารโปรดของมารมากๆ เพราะว่า มารจะหลอกให้ตนเองหลงไปเรื่อยๆจนกู่ไม่กลับ แม้สร้างบาปเวรกรรมไปมาก ก็จะไม่รู้ตัว เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นผิดเป็นถูก)
6. พวกที่เคร่งครัดในรูปนามธรรมของศาสนา ลัทธิ ไม่เดินสายกลาง จิตใจแบ่งแยก ใจแคบ ยึดมั่นถือมั่นในอัตตา รูปลักษณ์ภายนอก รูปนาม เปรียบเทียบความแตกต่าง ธรรมะแท้ย่อมไร้รูปไร้นามโดยเช่นนั้น
7. พวกที่ยึดติด หลงอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์ ฌาณสมาธิ นั่งทางใน นิมิต อภิญญา เวทมนต์ คาถา ไสยศาสตร์มนต์ดำ ร่างทรง ร่างสื่อ ร่างแฝง กลลวงนี้อันตรายมากๆ พระพุทธองค์ไม่ค่อยใช้สิ่งเหล่านี้เพราะเป็นโลกียฌาณเท่านั้น มารสร้างภาพมายาหลอกจิตเราจนแยกไม่ออกเลยว่าจริงเท็จ อันนี้ ต้องไม่เข้าไปแวะข้องเลย เพราะถอดออกมายากมาก ต้องเห็นทุกข์ก่อน จึงจะเห็นธรรม เห็นนรก จึงจะสำนึกจริง การทำความดี มิจำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านี้มาเป็นเงื่อนไข เป็นคนดีได้ด้วยใจของตัวเองเท่านั้น ธรรมะคือธรรมชาติ คือ ธรรมดา Norm

สิ่งศักดิ์สิทธฺ์จึงเตือนย้ำว่า การจะชนะมารในใจได้ ต้องย้อนมองส่องตัวเองทุกเวลา สำนักขอขมา ขอบคุณ ขอโทษ อโหสิ อยู่อย่างปิดทองหลังพระ ทำความดีอะไร ก็อย่าไปป่าวประกาศเพื่อเรียกร้องสรรเสริญ ภาพพจน์ที่ดีใดๆทั้งนั้น เป็นคุณสมบัติของผู้ที่น้อมใจลงต่ำ อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนธรรมดาๆ เป็นไปอย่างธรรมชาติ แต่แฝงไปด้วยปัญญา การเป็นคนดี ไม่ได้เป็นคนจิตใจที่ดีงามอย่างเดียว แต่ต้องมีสติและปัญญาด้วย ถึงจะอยู่กับกิเลส กับมาร กับอุปสรรคทุกอย่างได้อย่างสันติสุข เรียบง่าย ทุกข์สุขล้วนอยู่ที่ใจ สร้างได้ ก็ต้องดับได้ด้วยตนเอง มารจะหลอกจิตตนเสมอว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี นี้คือ จิตของมาร จะทำให้เราท้อและถอยในที่สุด หรืออาจทำให้เรากลายเป็นคนชั่วไปเลยก็ได้ พระพุทธองค์เมตตาเสมอว่า จงอยู่ในความไม่ประมาท และอย่าล้อเ่ล่นกับหนทางธรรม ให้เคร่งครัดในกาย วาจา ใจทุกขณะจิตตลอดชีวิต

ประสาร นพดล

ร่วมด้วยช่วยกัน  ส.สู้ๆ

คุณหลวง

สวัสดีครับทุกท่าน
     
      ความเชื่อลงลึกแล้วมันแก้ยาก ติดดีเลวกว่าติดชั่ว ยิ่งเห็นตนดียิ่งไม่ฟังใคร
ยิ่งมีประโยชน์ทับซ้อนยิ่งซ่อนเงื่อน
     ยิ่งไม่ต้องหาสปิริต พระยังหน้าด้านไร้สำนึกในความงามแห่่งเพศตน ทำตน
เยี่ยงนักการเมืองเลว
      แก้ตัวอย่างสังคมงมโข่ง โมงยามของชีวิตมีค่าอันใด ภัยใหญ่เกิดเพราะอวดดี
แต่กรรมมีวิถีชดใช้ก็ต้องเจอ


ใช้โทรศัพท์มันไม่ถนัดพิมพ์ มาแล้วหายคิดถึงได้บ้าง ค่อยคุยยาวๆวันหลังครับ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

เกษม พอเพียง

สัตว์ทำงานด้วยความหิวทางกาย,  สัตว์ทำงานด้วยความหิวทางเนื้อหนังทางร่างกาย  กินแล้วก็อิ่ม  คนทำงานด้วยความหิวทั้งทางร่างกายและทางจิตใจคือกิเลส  หิวทั้งทางกายและหิวทั้งทางใจคือกิเลส  คนทำงานด้วยความหิวถึง ๒ ทาง...

ก็ดูที่ความฟุ่มเฟือย  เป็นอยู่อย่างฟุ่มเฟือยของคนสมัยนี้  อาหารการกินก็ฟุ่มเฟือย  การแต่งเนื้อแต่งตัวก็ฟุ่มเฟือย ที่อยู่ที่อาศัย  เครื่องใช้ไม้สอยก็ฟุ่มเฟือย,  แม้แต่จะบำบัดโรค  ก็ยังเป็นยารักษาโรคชนิดที่สำอาง  ชอบยาชนิดที่สำอาง  เอร็ดอร่อยหอมหวนชวนกิน  หรือว่าสบายไปเลย;   นี่มันมีความฟุ่มเฟือยที่ต้องการมากอย่างนี้  ซึ่งเป็นมูลเหตุให้ตกนรกทั้งเป็น

คอร์รัปชันทั้งหลายทุกชนิดในหมู่คนนั้นน่ะ มันก็มีมูลมาจากต้องการความฟุ่มเฟือย;   ถ้าต้องการเท่าที่อยู่  กินอยู่แต่พอดี  แล้วไม่ต้องคอร์รัปชั่น,  เงินเดือนพอใช้แน่ ๆ เกินพอใช้แน่ ๆ.  แต่มันต้องการความฟุ่มเฟือยทางจิตทางวิญญาณ  มันเลยต้องคอร์รัปชัน   

ไอ้คอร์รัปชันเป็นมูลเหตุให้เกิดความยุ่งยากลำบากอย่างอื่น  จนมีความวินาศติดตามมา  ก็เรียกว่าได้รับผลสมกันแล้ว  กับที่ว่ามันไม่รู้จักในสิ่งที่เรียกว่า  ชีวิตหรือหน้าที่การงาน  หรือธรรมะเอาเสียเลย

ขอได้พิจารณาดูให้ดี ๆ อย่าได้เป็นสัตว์ชนิดไหนก็ไม่รู้  ซึ่งมีความทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานไม่ตกนรกไปพลาง ทำงานไปพลาง,  หิวตามปกติ หากินตามปกติ อิ่มแล้วก็นอน หิวใหม่ก็ไปหากินอีก  อิ่มแล้วก็นอน   มันก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก

ส่วนคนนั้นน่ะ คนปุถุชน คนธรรมดานั้นน่ะ หิวก็ หากิน  กิน   ครั้นกินแล้วก็ยังต้องการอะไรก็ไม่รู้  ซึ่งเรียกว่า "ความหิวในทางวิญญาณ"  มันต้องการให้เอร็ดอร่อยสนุกสนานเพลิดเพลิน  ทางอายตนะ คือทางตา  ต้องการความบำรุงบำเรอทางตา  ทางหู ต้องการบำรุงบำเรอทางหู  ทางจมูก ต้องการการบำรุงบำเรอจมูก  ทางลิ้น ต้องการการบำรุงบำเรอทางลิ้น  ทางผิวหนัง ต้องการการบำรุงบำเรอทางผิวหนัง  ทางจิตใจก็ต้องการขับกล่อมบำรุงบำเรออันไม่รู้จักสิ้นสุด  จนหาการบำรุงบำเรอมาบำรุงบำเรอตลอดวันตลอดคืน

#จดหมายเหตุพุทธทาส

ป๋าคมกริช

คนทำอนันตริยกรรมก็ไม่ต่างอะไรกับ
คนที่ขึ้นทางด่วนไปสู่นรก
ชีวิตจะวิตกทุกข์ร้อน
อย่างหนักหนาสาหัสทันทีที่ลงมือทำ
กฎแห่งกรรมจะไม่รอช้า

Whoever commits a heinous crime
is no different from the one who is on the express way to hell.
His life will be extremely miserable as soon as he commits it.
The law of karma will never wait.  ส.สู้ๆ

ป๋ากริช ลองวัดใจ

นิพพานคือเสรีภาพ ไม่ถูกกักขังอยู่ในคุกใดๆ

คุกที่รุนแรงที่สุดก็คือ คุกแห่งอัตตา อัตตาเป็นคุกที่รุนแรงที่สุด หลุดออกมาเสียได้เรียกว่ามีเสรีภาพ หัวใจของพระพุทธศาสนาก็คือสอนเรื่องไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอัตตา แม้จะเรียกว่าอัตตามันก็มิใช่อัตตา ไม่ใช่อัตตา ไอ้ที่สิ่งที่เราหลงว่าเป็นอัตตา เป็นตัวเราของเรานั่น สิ่งนั้นไม่ใช่อัตตา จงมีไว้ในลักษณะที่มันไม่ใช่อัตตา ก็จะต้องขจัดมัน จัดการกับมันไปเรื่อยๆ อย่าให้มันเกิดเป็นอันตรายเลวร้ายอะไรขึ้นมา จนกว่าจะหมดความรู้สึกว่าอัตตา

นับตั้งแต่ว่า ตาเห็นรูปก็ตาเห็นรูป อย่ากูเห็นรูป นี่ หรือว่าลิ้นได้รับรสอร่อยหรือไม่อร่อยก็ว่าลิ้นเป็นผู้รับรส ไม่ใช่กู เปรียบเทียบกันดูเองเถอะ ลิ้นอร่อยกับกูอร่อย มันเกิดปัญหายุ่งยากต่างกันมาก ถ้าลิ้นมันไม่อร่อย ไอ้มือมันก็ว่าไปเติมน้ำปลา เติมน้ำตาล เติมอะไรพออร่อยได้ แต่ถ้าว่ากูไม่อร่อยแล้วมันก็จะเกิดเรื่องขึ้นมาทันที มันจะด่าแม่ครัวบ้าง มันจะสาดเทอาหารบ้าง นี่กูมันไม่อร่อย เพียงแต่ "ลิ้น" ไม่อร่อยกับ "กู" ไม่อร่อย มันต่างกับลิบลับเป็นฟ้าและดิน

ฉะนั้นเราอย่ามีตัวกู อะไรๆ อย่ามีตัวกู มีเพียงร่างกาย มีเพียงจิตใจ มีความรู้สึกถูกต้อง ดำเนินไปอย่างที่ควรจะดำเนินโดยไม่ต้องมีตัวกู ตาเห็นรูป ก็ตาเห็นรูป อย่ากูเห็นรูป หูได้ยินเสียง ก็หูได้ยินเสียง อย่าว่ากู กูได้ยินเสียง ถ้ากูได้ยินเสียงก็เกิดปัญหาไพเราะไม่ไพเราะขึ้นมา ก็ไปหลงใหลในความไพเราะ ต้องซื้อหา ต้องยุ่งยาก ต้องลำบาก

จมูกได้กลิ่นก็เหมือนกันเป็นเรื่องของจมูก ถ้าเป็นเรื่องของกูก็ต้องไปซื้อน้ำหอมมา

ลิ้นน่ะเป็นปัญหามากที่สุด เพราะมันเป็นเรื่องที่มีตลอดเวลามีทุกวัน ถ้าไปตกเป็นทาสของลิ้น เอาตัวกูเป็นใหญ่แล้วก็ มันก็ยุ่งยากแหละ คนนั้นจะยุ่งยาก ครอบครัวนั้นจะยุ่งยาก

สัมผัสผิวหนังก็เหมือนกันนั่นแหละ โดยเฉพาะทางกามารมณ์ ทางเพศตรงกันข้าม ถ้าเอาเป็นตัวกูละก็ มันก็เรื่องมันใหญ่โต ใหญ่โต จนฆ่ากันตายไม่หมด ไม่รู้จักหมดจักสิ้น ถ้าเพียงแต่ผิวหนังได้รับสัมผัส จัดการไปตามที่ถูกที่ควร มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ฉะนั้นศีลข้อนี้จึงสำคัญมาก ศีลเกี่ยวกับทางเพศ ทางเพศตรงกันข้าม เพราะเคยสนใจกันมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ในครั้งพุทธกาลอินเดียก็สนใจกันมาก มีพุทธกาลแล้วก็มาอยู่ในศีลสำคัญข้อที่ว่าไม่ประพฤติล่วงกาเม ฉะนั้นมันอยู่ในความเป็นระเบียบ

ไอ้ความคิดนี้ก็เหมือนกัน อย่าเอาเป็นตัวกูสิ มันเป็นเรื่องของจิตได้รับสิ่งแวดล้อมปรุงแต่งเข้ามาจากรอบด้าน มันก็คิดอย่างนั้น คิดอย่างนี้ ไปตามแบบของจิต ก็รู้ มีความรู้ว่ามันผิดหรือถูก มันชั่วหรือดี มันจะเลวร้ายหรือมันจะไม่เลวร้าย มันเป็นเรื่องของจิต อย่าเป็นเรื่องของกู อย่าเป็นเรื่องของกู เป็นเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าเป็นเรื่องของกู ก็ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส ไม่ตกเป็นทาสของอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เดี๋ยวนี้เราอยู่ในโลกนี้ในลักษณะที่เป็นทาสของอายตนะ เป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง ๖ อย่าง เพราะมันได้หลงไปเอาทั้ง ๖ อย่างนั้นมาเป็นตัวกู มันก็เลยอยู่เหนือสิ่งใดหมด เป็นทาสตา เป็นทาสหู เป็นทาสจมูก เป็นทาสลิ้น เป็นทาสสัมผัสผิวหนัง เป็นทาสความคิดความนึกรู้สึก ก็ไม่มีอะไรเหลือ มีแต่ปัญหา มีแต่ความยุ่งยาก

พุทธทาสภิกขุ
ที่มา แสดงธรรมล้ออายุ ปี พ.ศ. 2534 เรื่อง ธรรมจริยามีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุ
#จดหมายเหตุพุทธทาส 1415340527020

อิ้กคิวซัง

พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามไม่ให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่คำว่า "เศรษฐี" ในสมัยพุทธกาล ไม่ตรงกับความหมายของ "นายทุน" ในปัจจุบัน

" คำว่าเศรษฐี ครั้งพุทธกาล มันไกลกันลิบลับกับพวกนายทุนสมัยนี้ ในโลกปัจจุบันนี้ ระเบียบปฏิบัติหรือกฎบัญญัติมันก็ต่างกัน สำหรับนายทุนในโลกปัจจุบันนี้ ในโลกฝรั่งด้วยแล้ว เขาก็ไม่มีอะไร เขาก็เป็นเสรีประชาธิปไตย เขามีสติปัญญา เขาก็กว้าน กอบโกย กำไรมหาศาล จนไม่รู้ว่าจะมีกำไรกันอย่างไร เขาก็เป็นนายทุน ความคิดก็จะมุ่งอยู่แต่ที่จะหาให้มันมากไปอีก จนเป็นบ้าเพราะมีเงินมาก

ทีนี้ถ้าว่าเป็นเศรษฐีสมัยพุทธกาลมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเขายังรู้จักคำสอนที่ว่าให้รู้จักสันโดษ ให้รู้จักพอ แต่พร้อมกันนั้นก็ให้รู้จักเมตตากรุณาช่วยผู้อื่น ... เศรษฐีก็มีวิธีปฏิบัติ คือว่า จะต้องมีโรงทาน เขาเรียก อาวัสถะปิณฑะ ก้อนข้าวสำหรับคนอนาถา คนยากจน ใครไม่มีจะกินก็ไปเอาได้ที่โรงทาน

ฉะนั้นเศรษฐีคนไหนเป็นเศรษฐีร่ำรวยมากก็คือมีโรงทานนี้มาก ก็ชั่งหรือวัดเศรษฐีกันด้วยว่า มีโรงทานมาก หรือมีโรงทานน้อย

ฉะนั้น เศรษฐีก็ผลิตผลประโยชน์มาใส่ยุงฉาง ใส่คลังอะไรไว้ มันก็เพื่อใช้จ่ายเกี่ยวกับโรงทานเป็นส่วนใหญ่ ภิกษุวันไหนบิณฑบาตไม่ได้ จะไปเอาที่โรงทานอย่างนั้นก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ยังบัญญัติไว้ว่า เอาได้สองสามครั้งเท่านั้น เอาได้เพียงสองสามวัน แล้วอย่ามาเอาอีก เรื่องส่วนเกินมันไม่มีอยู่อย่างนี้

ฉะนั้นเศรษฐีก็คือผู้ที่พร้อม หรือว่าตลอดเวลานี้เขาทำสังคมสงเคราะห์ ฉะนั้น จึงมีความสมควรที่จะผลิตให้มาก ผลิตให้ตนเองเหลือเกิน แล้วก็ไปทำสังคมสงเคราะห์ ด้วยการสร้างโรงทานให้มากขึ้น"

พุทธทาสภิกขุ

#พุทธทาสภิกขุ #ธรรมะ_สวนโมกข์กรุงเทพ #BIA_Instagram

Dr.John

ความเห็นของเราขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้รับและวิธีการรับรู้ข้อมูลนั้นๆ ซึ่งอาจถูกบิดเบือนได้ทั้งสองฝ่าย  เราแน่ใจได้อย่างไรว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นถูกต้อง หรือต่อให้ถูกต้อง จะแน่ใจได้อย่างไรว่าข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์  เราคงแน่ใจไม่ได้หรอก  ทิฏฐิหรือข้อสรุปที่เกิดจากข้อมูลไม่ครบถ้วนอาจดูเป็นเหตุเป็นผลสอดคล้องกันดี แต่อาจทำให้เข้าใจไปคนละทิศละทางก็ได้  เราแน่ใจได้แค่ไหนว่าการรับรู้ข้อมูลของเรามีประสิทธิภาพเพียงพอ ไม่ลำเอียงทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว  ถึงจะมีระบบตรวจสอบและถ่วงดุลก็ยังมีช่องให้ผิดพลาดอยู่นั่นเอง

ด้วยการระลึกว่าทิฏฐิและความเชื่อของเรามีที่มาอันไม่น่าไว้ใจเสียทีเดียวและมีโอกาสผิดพลาดได้ เราย่อมจะอ่อนน้อมและมีปัญญามากขึ้น  การปักใจเชื่อว่าตัวเองถูกในเรื่องใดๆ อาจทำให้รู้สึกดีจริง แต่ก็เป็นสิ่งโง่เง่าและอันตรายด้วย  มีความทุกข์สักเท่าใดในโลกนี้ที่สร้างขึ้นโดยคนที่มั่นใจว่าตนเองเท่านั้นที่เป็นฝ่ายถูก

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ

Leang yo Bipolar

พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีลาภเป็นอานิสงส์

ภิกษุ ท.!
พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีลาภสักการะและเสียงสรรเสริญเป็นอานิสงส์
พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีลเป็นอานิสงส์
พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งสมาธิเป็นอานิสงส์
พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์

ภิกษุ ท.!
ก็เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบอันใด มีอยู่
พรหมจรรย์นี้มีเจโตวิมุตตินั่นแหละเป็นประโยชน์ที่มุ่งหมาย
เจโตวิมุตตินั่นแหละ เป็นผลสุดท้ายของพรหมจรรย์

บาลี มหาสาโรปมสูตร มู.ม. ๑๒/๓๗๓/๓๕๒. ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้เมืองราชคฤห์, ปรารถพระเทวทัต.

Code101

ความรู้  ความเข้าใจ  ความเห็นแจ้ง

     "สิ่งที่เรียกว่า "ความรู้" "ความเข้าใจ" และ "ความเห็นแจ้ง" ทั้ง ๓ อย่างนี้ ไม่ใช่เป็นของอย่างเดียวกัน
     อย่างแรก อาศัยการได้ยินได้ฟังก็พอแล้ว อาศัยความจำได้เป็นส่วนใหญ่
     ส่วนอย่างที่ ๒ ต้องอาศัยการทบทวนด้วยเหตุผล หรือการใช้เหตุผลขจัดปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นให้หมดเสียก่อน
     ส่วนอย่างหลังนั้น หมายถึงความรู้สึกอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดมาจากการที่ได้ผ่านสิ่งเหล่านั้นมาแล้วจริงๆ มีความรู้แจ้งในสิ่งเหล่านี้ด้วยใจของตนเอง ซึ่งยิ่งไปกว่าลำพังความรู้ หรือเพียงแต่ความเข้าใจไปตามเหตุผล อย่างที่กล่าวแล้วนั้น.
     เมื่อผู้ศึกษาได้ทราบถึงความตื้นลึกของการจำแนกธรรม ว่ามีอยู่เป็นชั้นๆ ดังนี้แล้ว ก็ควรพยายามอย่างยิ่งที่จะให้การศึกษาของตนดำเนินไปจนถึงขั้นสุดท้าย โดยการ"เพ่งพิจารณาอรรถะแห่งธรรมะ"นั้นๆให้ลึกเข้าไป จนเกินระดับแห่ง"ความรู้"และ"ความเข้าใจ" คือให้ถึงระดับแห่ง "ความเห็นแจ้ง" ให้จนได้.
     ความสำเร็จประโยชน์อันแท้จริงของธรรมะนั้น ย่อมขึ้นอยู่ในขั้นที่มีการเห็นแจ้งเท่านั้น ส่วนที่เราจะได้รับๆกันอยู่นั้น เป็นเพียงความรู้ ความเข้าใจ เท่านั้น จึงสำเร็จประโยชน์แต่เพียงในแง่ของ"ปริยัติ" คือ ได้แต่ พูดๆ สอนๆ ฟังๆ ทุ่มเถียง วิพากษ์วิจารณ์ กันไปตามเรื่อง อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น.

พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายเรื่อง"ว่าด้วยการจำแนกธรรม สำหรับศึกษาและปฏิบัติ"
เมื่อ วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๐๐