ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

แท้จริงตามหลักวิทยาศาสตร์พระพุทธเจ้าสอนอะไร

เริ่มโดย กิมหยง, 00:07 น. 08 ธ.ค 54

คุณหลวง

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 21:37 น.  18 ธ.ค 54
ยังขอรับท่าน

ไม่จำก็ขอไปอยู่วัด ตัดขาดจากโลกภายนอก จนกว่าจะจำละกันท่าน

แต่จะตัดใจจากสาว ๆ จะทำอย่างไรกันดี

เฮ้อ เกิดเบื่ออะไรขึ้นมาล่ะท่าน ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกครับ ลองสอบใจดูก่อน
เอาแน่หรือเปล่า เอาอยู่จริงไหม เดี๋ยวบวช-สึกๆ มันน่าเกลียดน่า......

                                    สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณหลวง

     บทความ: วงการฟิสิกส์ปั่นป่วน(New Update)พบ นิวทรีโนที่วิ่งได้เร็วกว่าแสง
23 กันยายน 54 นักฟิสิกส์ได้เปิดเผยเรื่องการพบสสาร เรียก นิวทรีโน neutrino ที่สามารถวิ่งได้เร็วกว่าแสง 


    นิวทรีโน เป็นสสารเล็กมาก  เล็กกว่าอะตอม (sub-atomic particle) ที่เป็นกลางๆ ไม่มีประจุไฟฟ้า จึงสามารถวิ่งผ่านสสาร หรือวัตถุ (matter)ต่างๆได้โดยไม่มีปฏิกิริยาต่อพลังสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหมือนอีเล็ก ตรอน จึงเหมือนลูกกระสุนที่สามารถวิ่งผ่านม่านหมอกได้อย่างง่ายดาย
   
    องค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (Cern) อยู่ใกล้กรุงเจนีวาพรมแดนระหว่างสวิตเซอร์แลนด์กับฝรั่งเศส ซึ่งมีบทบาทในการจัดเตรียม เครื่องเร่งอนุภาคและโครงสร้างอื่นๆที่จำเป็นต่อการวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค (particle physics)  มีนักฟิสิกส์จากทั่วโลกราว ๓๐๐๐ คนทำงานอยู่ที่นี้   อันมีเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ (large Hadron Collider - LHC) ซึ่งเป็นอุโมงค์ใต้ดินรูปวงแหวนขนาดเส้นรอบวง ๒๗ กิโลเมตร มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ใต้ดินของฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์
     

    เมื่อไม่กี่วันมานี้ นักฟิสิกส์ได้ยิงนิวทรีโนลำหนึ่ง (a beam of neutrino)ให้วิ่งผ่านเปลือกโลกที่ไกล ๗๒๐ กิโลเมตร แต่อยู่ใต้ดินในหุบเขาแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี ปรากฏว่า นิวทรีโนได้วิ่งถึงที่หมายเร็วกว่าที่คำนวณไว้ถึง ๑๖ นาโนวินาที (เป็นเศษเสี้ยวของวินาที) ซึ่งเป็นความเร็วที่วิ่งเร็วกว่าแสง  ตอนแรกนักฟิสิกส์ไม่เชื่อว่าเป็นไปได้  จึงได้ทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง 15,000 ครั้งในช่วงเวลาหลายเดือน  โดยให้ทางห้องทดลองที่รัฐอิลินอยส์ลองทดสอบเช่นกัน  ผลปรากฏออกมาเหมือนกันว่า นิวทรีโนสามารถวิ่งได้เร็วกว่าแสงจริง จึงต้องประกาศให้ชาวโลกรับรู้เมื่อไม่กี่วันมานี้
     
    การค้นพบปรากฏการณ์นี้เปรียบเหมือนแผ่นดินไหวขนาด ๑๐ ริกเตอร์ ทิ่เกิดในวงการฟิสิกส์ ที่กำลังจะถอนรากถอนโคนความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านฟิสิกส์ที่เกี่ยวกับโลกและ จักรวาลอย่างสิ้นเชิง เพราะตั้งแต่การค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์นั้น  แม้ไอน์สไตน์จะไม่ได้พบจุดนิ่งในจักรวาลตามที่เขาต้องการค้นพบแต่แรกก็ตาม  อย่างน้อยที่สุด ทฤษฎีสัมพัทธภาพที่ได้ทำให้คนรู้จักสมการ e=mc2 นั้น  ตัว c คือ ความเร็วของแสงที่วิ่งได้อย่างคงเส้นคงวา คือ วิ่งได้ 186,000 ไมล์ต่อวินาที อันเป็นตัวเลขที่นักเรียนมัธยมต้องจำจนขึ้นใจ (แต่ตัวเลขจริงๆคือ  186,282 ไมล์ต่อวินาที) ไอน์สไตน์บอกว่า ไม่มีอนุภาคหรือสสารใดๆในจักรวาลนี้ที่จะสามารถวิ่งได้เร็วกว่าแสงแล้ว เนื่องจากแสงไม่มีอนุภาค ไม่ได้เป็นสสาร มันจึงวิ่งได้เร็วที่สุด 

     ฉะนั้น อะไรก็ตามที่เป็นอนุภาค มีความเป็นสสาร (matter) แล้วละก็  มันจะไม่สามารถวิ่งได้เร็วกว่าแสงอย่างแน่นอน  ความเร็วของแสงที่วิ่งอย่างคงเส้นคงวานี้จึงเป็นสิ่งที่นักฟิสิกส์ยังคงพึ่ง พาได้ในโลกแห่งสสารที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อันเป็นเนื้อหาของควอนตัมฟิสิกส์  ซึ่งความเชื่อเรื่องแสงวิ่งได้เร็วที่สุดได้เกิดขึ้นในปี 1905 อันเป็นปีที่ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของเขา ซึ่งไอน์สไตน์ไม่มีทางรู้เลยว่า 106 ปีหลังจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเขานั้น  ความรู้ของเขากำลังถูกท้าทายอย่างสิ้นเชิงด้วยอนุภาคเล็กๆที่เรียก นิวทรีโน 
     

     นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สามารถสนับสนุนความรู้เรื่องอนิจจังของพระ พุทธเจ้าได้ดีมาก ซึ่งรูปแบบ (pattern) เช่นนี้ ก็หาได้เปลี่ยนแปลงไม่ ราว ๕๐๐ ปีก่อน คนเชื่อว่าโลกนี้แบน แล้วก็มีคนพิสูจน์ว่าโลกไม่แบน แต่เป็นทรงกลม   และเคยเข้าใจว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล จนกระทั่ง นิโคลัส โคเปอร์นิคัส  1473 - 1543  บอกว่าไม่ใช่  ดวงอาทิตย์ต่างหากเป็นศูนย์กลางของจักรวาล  และแล้ว  359  ปีก่อน กาลิเลโอ (ค.ศ.1564-1642) ก็ได้มาปฏิวัติวิทยาศาสตร์ของยุคใหม่  โดยสามารถสร้างเครื่องมือที่มองดูดาวต่างๆได้ จนมั่นใจว่า พระอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาลเท่านั้น และยังพบดาวเคราะห์ดวงอื่นๆอีก 
     

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าในโลกของรูปหรือโลกของนาม  (สัพเพ ธัมมา) ล้วนตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงของการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น  ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ถาวร และพึ่งพาได้ เหมือนที่นักฟิสิกส์ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในบัดนี้ที่พบว่า นิวทรีโน  เป็นสสารที่สามารถวิ่งได้เร็วกว่าความเร็วของแสง ซึ่งก่อนหน้านี้ยังเป็นเรื่องที่ "เป็นไปไม่ได้" ซึ่งหมายความว่า ความรู้ทางโลกต่างๆไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ใดๆ ย่อมมีความพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่ต้องกล่าวถึงความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์ต่างๆที่เป็นผลจากการคิดอย่างมี เหตุผลของมนุษย์เท่านั้น 

    แม้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนรากฐานของการเฝ้าสังเกตการณ์ ทดลอง พิสูจน์ ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อความแน่นอนและแม่นยำของมันก็ตาม มันก็ยังถูกกฎอนิจจังท้าทายเสมอ  ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ระยะเวลาของมันเท่านั้น ที่จะเปิดเผยความเปลี่ยนแปลงของมัน  เหมือนผู้เชี่ยวชาญทางฟิสิกส์ท่านหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์ว่า จักรวาลนี้เต็มไปด้วยความลึกลับ ในขณะที่เราเชื่อว่า กฎนี้จะต้องเป็นไปตามที่เราได้พิสูจน์ไว้แล้วอย่างแน่นอน  และแล้ว เวลาเท่านั้น จักรวาลก็จะเปิดเผยตัวมันเองออกมาว่า  สิ่งที่เราเข้าใจนั้นผิดพลาดเสียแล้ว 

    ฉะนั้น ความรู้มากมายที่เรากำลังเชื่อมั่นในบัดนี้ว่าถูกต้องนั้น  ก็กำลังรอเวลาที่จะถูกท้าทายว่ามันผิดพลาดอย่างสิ้นเชิงในในอนาคต เมื่อมีเครื่องมือที่ทันสมัยมากขึ้น   

    นักฟิสิกส์คงยังต้องปลุกปล้ำกับการค้นพบปรากฏการณ์ใหม่นี้อีกพักใหญ่ก่อนที่ คนเดินถนนทั่วไปจะรู้ว่า การค้นพบปรากฏการณ์ใหม่นี้จะมีผลต่อการเป็นอยู่บนโลกนี้อะไร อย่างไร  จุดสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า  ตราบใดที่ยังไม่รู้สภาวะหนึ่งในธรรมชาติ ในจักรวาลที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว  นักวิทยาศาสตร์รวมทั้งมนุษย์ทั้งหลาย ก็จะไม่มีอะไรให้พึ่งพาได้อย่างแท้จริงเลย  และจะต้องประสบกับความผิดหวังอยู่ร่ำไปเมื่อพบว่า สิ่งที่ตนเองพึ่งพาอยู่ได้เปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว
   

    ดิฉันอยากจะคิดแทนไอน์สไตน์และเดาว่า  หากไอน์สไตน์ยังมีชีวิตอยู่  เขาคงไม่แปลกใจและเสียใจมากเท่าไรนัก ที่นิวทรีโน่มาท้าทายความผิดพลาดของทฤษฎีที่มีชื่อเสียงของเขา  เพราะไอน์สไตน์เกลียดชังความไม่แน่นอนของสรรพสิ่งในจักรวาล  เขาจึงหันหลังให้ควอนตัมฟิสิกส์ที่เขาเป็นผู้บุกเบิกเอง และไปเน้นหาคำตอบให้กับ "ทฤษฎีทุกอย่าง" The theory of everything ที่เขาคาดหวังว่าจะสามารถอธิบายปรากฏการณ์ทุกอย่างในจักรวาลได้  อันเป็นทฤษฎีที่นักฟิสิกส์รุ่นใหม่เช่นสตีเฟน ฮอว์คิง กำลังสานต่อเช่นกัน  ซึ่งไอน์สไตน์ได้ใช้เวลาถึง ๓๐ ปีเพื่อหาคำตอบให้กับทฤษฎีนี้ แต่ต้องตายไปโดยไม่มีคำตอบ  ทฤษฎีทุกอย่างนี้ ก็ไม่ใช่อะไรมากไปกว่า การค้นพบสัจธรรมสูงสุดที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั่นเอง
 
    บทบาทของพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาเอกของโลกคือ ในคืนที่ท่านตรัสรู้นั้น  ท่านได้ค้นพบสภาวะที่เที่ยงแท้ถาวร  ท่านเรียกว่าเป็นอสังขตธรรม  อสังขตธาตุ  คือ เป็นธาตุในธรรมชาติที่ "ไม่เปลี่ยนแปลง" เป็นธาตุที่สามารถพึ่งพาได้อย่างแท้จริง  ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะมาเกิดหรือไม่ก็ตาม อสังขตธาตุที่ไม่เปลี่ยนแปลงนี้ก็มีอยู่  เป็นอยู่ของมันเช่นนั้นแล้ว ตั้งแต่อนันตกาล และจะเป็นอยู่เช่นนี้ชั่วอนันตกาล (in eternity) การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็เพียงมาพบธาตุที่ไม่เปลี่ยนแปลงนี้  และนำมาป่าวประกาศให้คนรู้ว่าอสังขตาตุนี้มีอยู่ ท่านเรียกว่า นิพพาน เพื่อให้เข้าใจง่าย ดิฉันจึงนำมาประสานกับคำศัพท์เหล่านี้คือ สัจธรรมสูงสุด  ที่นี่ เดี๋ยวนี้  พระเจ้า เต๋า ต้นไม้แห่งชีวิต และผัสสะบริสุทธิ์  เพราะเป็นธรรมธาตุที่ไม่เปลี่ยนแปลง  มันจึงเป็นที่พึ่งของคนหมู่มากได้อย่างแท้จริง  ใครพึ่งธาตุที่ไม่เปลี่ยนแปลงนี้ได้  คนนั้นก็จะ "หายกลุ้มใจหรือหายทุกข์" ได้ 


    ต่อคำถามที่ว่าจะต้องทำอย่างไร จึงจะเข้าถึงธาตุที่ไม่เปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อถือเอาเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าก็ได้ให้คำตอบไว้ชัดเจนแล้ว คือ ต้องเข้าถึงด้วยมรรคมีองค์แปด อันประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา  แต่จะพูดอย่างรวบรัด ก็ต้องฝึกเรื่องเดียวเท่านั้น คือ สติปัฏฐานสี่ (เอาสติมาตรึงที่ฐาน)  หรือ ฝึกวิปัสสนา  ซึ่งดิฉันเรียกว่า พาตัวใจกลับบ้าน  ใครที่ฝึกเรื่องนี้ได้แล้วก็เท่ากับมีการเดินตามทางแห่งองค์มรรคทั้งแปด แล้ว  ก็เท่ากับมีที่พึ่งที่ถาวรอยู่กับตนเองแล้ว  เพราะสามารถเข้าถึง ธาตุธรรมชาติที่ไม่เปลี่ยนแปลงได้ 
ภาพที่ดิฉันนำมาถ่ายทอดนี้

    คงจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ตลอดจนปัญญาชนทั้งหลายเข้าใจได้ชัดเจนว่าทำไมเรา จึงพึ่งพาความรู้ทางโลกไม่ได้  เพราะความรู้ทางโลกทั้งหมดล้วนเป็นความรู้ที่เกิดเบื้องหลังคุกชีวิต มันจึงตกอยู่ในกฎอนิจจังที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีเพียงสัจธรรมสูงสุดเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง  พึ่งพาได้ และจะเข้าถึงได้ด้วยการเอาสติมาตรึงที่ฐานเท่านั้น



    เป็นบทความของคุณศุภวรรณ กรีน จากเว็บไซต์ของท่าน ผมลอกมาให้อ่านดู ตอนนี้ผมเองก็ยังไม่ได้อ่าน เพียงดูคร่าวๆเท่านั้น ท่านผู้อ่านต้องพิจารณากันเอง ผมยังไม่มีความเห็นใดๆจนกว่าจะได้อ่านอย่างละเอียด แต่เห็นว่าน่าสนใจดีครับ  เป็นคนๆเดียวกับที่คุณปัจเจกพุทธเคยเอ่ยถึงนั่นล่ะครับ

    มีภาพประกอบครับ แต่ผมเอาออกจากวินโดว์ไม่เป็นเพื่อมาใช้ เลยไม่เอามาครับ เป็นภาพที่บอกว่าความรู้ทางโลกทั้งสิ้นไม่สามารถนำพาสู่ความพ้นทุกข์ได้ ประมาณนั้นครับ

                                                   สะบายดี...

สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณหลวง

อ้างจาก: หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม เมื่อ 17:09 น.  16 ธ.ค 54
ญาณ เป็นอย่างไร ส.ยักคิ้ว

   กวีรัตนโกสินทร์ นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เล่าให้ฟังถึงการมาสวนโมกข์และพบท่านอาจารย์ครั้งแรกในชีวิตว่า
         
    "ผมจำได้ว่า มักจะถามท่านด้วยความอวดรู้ คือทุกคำถามที่เราถาม ท่านบอกว่ามันเป็นแค่คำถามปรุงแต่ง มันไม่ใช่ปัญหาจริงๆ คือบางทีเราถามเพื่อที่จะแสดงว่าเรารู้อะไร พบท่านผมก็ถามว่า ผมไม่ได้จบนักธรรมเอก หรือนักธรรมอะไรมาเลย การมาปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์นี่ ผมจะต้องใช้ปัญญาระดับไหนครับ ท่านอาจารย์บอกว่า ปัญญาที่ทำให้มาสวนโมกข์ก็ใช้ได้แล้ว (หัวเราะ) แล้วท่านก็ให้ท่านอาจารย์โพธิ์จัดแจงกุฏิที่อยู่ให้ผม
         

    แล้ววันหนึ่งผมก็ใจกล้าไปถามท่านอาจารย์อีก ทั้งที่ถามทีไรแล้วหน้าแตกทุกทีเลย เพราะเรามีปัญหาปรุงแต่งเยอะ เช่น ปฏิบัติธรรมที่นี่ต้องทำอะไรมั่ง อะไรอย่างโน้นอย่างนี้ ปัญหาไม่ได้เรื่องเลย ท่านอาจารย์บอกว่า พระที่นี่ไม่ได้ปฏิบัติอะไรหรอก เป็นกุลีกันทั้งนั้น ช่วงนั้นพอดีมีการสร้างอาคาร ผมก็เลยปฏิบัติเป็นกุลีด้วย ไปช่วยเทปูน จนกระทั่งเจ็บป่วย ถึงกำหนดที่ผมจะต้องกลับ ต้องสึกออกไป ผมก็ไปกราบลาท่านอาจารย์ เล่าความจำเป็นที่จะต้องไป ว่าผมต้องไปสึกแล้ว ขอคติธรรมเตือนใจสักข้อ เอาอีกแล้ว ปรุงแต่งอีก ท่านอาจารย์บอกเรียบ ๆ ว่า "ทำจิตให้เป็นปกติ" ผมฟังแล้วรู้สึกสว่างวาบเลย อยู่สวนโมกข์มา ๒ เดือน แต่ผมไม่สว่างเลย จิตไม่เป็นปกติเลย แต่เมื่อลากลับ ท่านให้คำนี้ถึงเข้าใจ เลิกปรุงแต่ง แล้วก็เข้าใจ
         

    ผมรู้สึกว่า ท่านอาจารย์มีคำพูดที่เรียบง่ายแต่แทงใจดำคนได้ เพื่อนผมคือเทพศิริ สุขโสภา ซึ่งเป็นนักเขียนรูปและนักเล่านิทาน เขาเป็นคนไม่ยอมเชื่อใครง่าย ๆ เขาตั้งคำถามท้าทายท่านอาจารย์ เมื่อท่านบอกว่าการปฏิบัติธรรมเหมือนการกินปลาไม่ให้ถูกก้าง ใช้ศิลปะในการกินปลาไม่ให้ถูกก้าง เทพศิริเขาถามทันทีเลยว่า แล้วผมอยากจะกินก้างจะเป็นอย่างไร ท่านบอกว่า อยากกินก็กินได้ แต่ระวังจะตำปากเอา"


                                                                                               สะบายดี...                   
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คนค้าแก้ว

คุณหลวงครับรบกวนอธิบายคำของหลวงพ่อที่ว่า ทำจิตให้เป็นปกติ เพิ่มเติมหน่อยซิครับ ถ้าตามความคิดของผมหมายถึงว่าจิตปกติของผมคือรับรู้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไร ทำอะไรอย่างนี้หรือเปล่าครับ
ไม่ต้องบินสูงอย่างใครเขา จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ

คุณหลวง

    สะบายดี...


    ครับ ปกติ ก็คือ ปกติ หรือ ไม่ผิดปกติ ไม่ลึกมากและลึกสุดพระนิพพาน

    การรับรู้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไร ทำอะไร ก็เป็นปกติอย่างหนึ่ง เพราะมีสติอยู่กับจิตหรืออิริยาบถ

ปกติจิต คือ จิตที่ตื่นเต็มที่ สบาย คลายรึงรัด พร้อมแก่การงาน และปกติได้ แม้ขณะคิดเรื่องนอกตัว แม้คิดอดีต หรืออนาคต เพียงมีใจอยู่กับปัจจุบัน
ปกติจิต คือ จิตที่อิ่มใจ พอใจในตน ไม่ดิ้นรน ทะเยอทะยานอย่างโง่เขลา บ้าคลั่ง ทำด้วยความพอดีแก่ตน
ปกติจิต คือ จิตที่ไม่หวั่นไหวเพราะสรรเสริญและนินทา
ปกติจิต คือ ..................................ฯลฯ
ปกติจิต คือ จิตมีสติ ไม่รับเอาผัสสะที่มากระทบมาเป็นตัวเป็นตน ให้เกิดตัณหาต่อวัฏฏะ  สารพัดจะพูดครับ สรุปง่ายๆ อย่าคิดมาก เดี๋ยวก็ดีเอง ครับ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

พบพระ

ท่านคุณหลวงรู้จริง ผมขอรับรอง
เหมือนผม ผมศึกษาทั้งวิทยาศาสตร์ และพุทธศาสนา ลองปฏิบัติ คิด วิเคราะห์ เชื่อตามพระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์ แล้ว
พระพุทธศาสนา เป็นของจริง ใครไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ ผมไม่สงสัยเลย เคยมีคำกล่าวของพระอริยสงฆ์ ว่า จำนวนคนทีเข้าใจ
ในคำสอนของพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนจำนวนเขาขอโค เทียบกับจำนวนเส้นขนของโค หนึ่งตัว

คุณหลวง

 ส-เขิน ๑๐๐หน๑๐๐๐หน

ผมไม่ถึงขนาดนั้นดอกท่าน เขินตายเลย

    ที่จริง ผมว่าที่ท่านพี่คนค้าแก้วสงสัยว่าไอ้ทำจิตให้ปกตินั้นเป็นอย่างไรนั้น ไม่ใช่พี่สงสัยประโยคนี้ แต่ที่พี่สงสัยจริงๆคือ ไอ้คำว่า สว่างวาบ ต่างหาก ทำไมท่านมหากวีมณีนพเก้าจึงสว่างวาบกับประโยค(วลี)แค่นั้นได้ ทั้งๆที่เราก็(น่าจะ)ทำจิตเป็นปกตินี่นา ทำไมไม่วาบบ้างล่ะ

    หากเป็นอย่างที่ผมคาดมาแล้วนี้ ผมก็ขออวดรู้อีกหน่อยว่า ทำไมท่านมหากวีจึงวาบขึ้นมาได้ ทำไมเราไม่วาบ มันต่างกันอย่างไร

    ท่านนวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ก่อนบวชนี่ ท่านอกหักมาน่ะครับ คือทุกข์มากเพราะอกหัก การมาบวชเพราะสิ้นหวังทางโลก แสวงสุขจากการบวช แม้ไม่ตั้งใจบวชตลอด แต่ขอพักใจพึ่งพิงอิงธรรมสักพักก็ยังดี ทีนี้ คนที่ทุกข์มากนี่ มักรับการศึกษาและปฏิบัติธรรมได้ง่าย เพราะมันสัมผัสทุกข์อยู่ (พระที่มาบวชเพราะอกหักจึงมักอยู่นานกว่าคนธรรมดาๆ)

    บวกกับท่านศึกษาธรรมท่านพุทธทาสมาบ้างแล้ว เกิดศรัทธาเชื่อถือท่านพุทธทาสไม่น้อย เลยลงมาอยู่กับท่าน บวกอีกทีกับอหังการวิญญาณกวี ที่สังเกตุ คิด ไตร่ตรอง จำ ศึกษา และมีสายตาละเอียดกว่าคนธรรมดา(อีกแล้ว) ท่านจึงเป็นคนที่รู้มากคนหนึ่ง

    แต่การมาอยู่กับมหาคุรุที่ตนศรัทธามาก่อนพบตัวจริง ศรัทธาจากผลงาน เมื่อมาอยู่ด้วยแล้วกลับพบว่าท่านมหาคุรุมิได้มีท่าทีว่ายิ่งใหญ่อย่างคิด เลยเกิดความอยากรู้และท้าทาย อวดรู้ขึ้นมา ความรู้ที่ได้จากการศึกษา คิด วิเคราะห์ก็ออกมาเป็นคำถามเพื่ออวดรู้ต่อคุรุแห่งตน ทุกทีที่ท่านมหาคุรุพุทธทาสไม่ตอบ หรือ บอกแค่ว่า คำถามปรุงแต่ง ไม่น่าสนใจ จึงเป็นเหตุให้ท่านนวรัตน์ต้องศึกษาต่อไปอีก

    เป็นการบ่มเพาะอินทรีย์แห่งธรรมได้เป็นอย่างดี

    เปรียบเสมือนคนที่ร้อนแดดอยู่ ไม่มีร่มกาง แต่ความรู้เรื่องร่มมีอยู่ ความรู้เรื่องความร่มเย็นจากการกางร่มมีอยู่ การถามจึงเป็นการอวดรู้ เพราะไม่เห็นว่าท่านอาจารย์จะมีอะไรให้ดู การที่อาจารย์ย้อนกลับไปเรียบๆก็คล้ายบอกให้เขาเหลาไม้ เหลาไม้ ประดิษฐ์ร่มไปเรื่อยๆ แต่ไม่บอกว่าทำอะไรเท่านั้น

    เมื่อร่มเสร็จ กับทันเวลาที่ต้องจาก ความอหังการในความรู้ของตนก็ถูกพักวางไว้ เพราะไหนๆต้องจากแล้วก็คารวะด้วยความเคารพ จิตท่านจึงวางความรู้ ความอวดตัวลงชั่วขณะ และขอคำเตือนใจเป็นแนวทางชีวิต ท่านอาจารย์ก็บอกเขาว่า

    "กางร่มสิ" แล้วพลันเขาก็รู้ว่านี่คืออะไร กางร่มสิ ก็คือ คำที่บอกว่า ทำจิตให้เป็นปกติ สว่างวาบ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาจิตไม่เคยเป็นปกติเลย อกหักก็ทุกข์อยู่แล้ว มาวนเวียน คิดมากกับความรู้ของตนอีก จิตไม่เคยนิ่ง ปรุงแต่งตลอดเวลา ไม่เคยปกติ มันเห็นชัด เมื่ออาจารย์บอกว่า ทำจิตให้ปกติ จิตมันรู้ตัวทันทีเพราะมันสั่งสมความไม่ปกติมานาน การที่ท่านพุทธทาสไม่ตอบจึงเป็นเจตนาบ่มอินทรีย์ของศิษย์ หรือเห็นว่าไร้สาระก็ได้

    ส่วนเราๆท่านๆ ฟังแล้วก็ไม่วาบ เพราะเราสั่งสมกำลังธรรมไม่พอครับ หรือก็ไม่ตรงจริตเรา แต่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียใจแต่อย่างใด มันต้องก้าวไปตามกำลังตนครับ มันถึงจนได้แหละน่า

    ป.ล.พี่คนค้าแก้วครับ มีคนอยากรู้ว่าพี่ค้าแก้วแบบไหน ยังไง ร้านอยู่ไหน เพราะเขาค้าแก้วเช่นกัน เลยอยากรู้ว่าเหมือนกันไหม เผื่อจะติดต่อการค้ากันได้ ประมาณนั้นครับ


                                                ...สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

กิมหยง

เอ่อ มีใครจะร่วมทำบุญปูทางเดินระหว่างกุฎิวัดป่าแสงธรรมบ้างครับ

พอฝนตกน้ำจะขังทางเดินเป็นโคลนเลอะเทอะไปหมดเลยครับ

สร้าง & ฟื้นฟู

ฟ้าเปลี่ยนสี

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 11:30 น.  27 ธ.ค 54
เอ่อ มีใครจะร่วมทำบุญปูทางเดินระหว่างกุฎิวัดป่าแสงธรรมบ้างครับ

พอฝนตกน้ำจะขังทางเดินเป็นโคลนเลอะเทอะไปหมดเลยครับ



แล้วจะร่วมบุญ กันยังไงล่ะท่าน
ส.กลิ้ง  ส.กลิ้ง  ส.กลิ้ง
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

กิมหยง

เดี๋ยวจะสรุปให้อีกทีหนึ่งครับท่าน
สร้าง & ฟื้นฟู

ตาปู

ดีใจ จัง วันนี้
ผมมีโอกาสได้ อ่าน กระทู้นี้
มีคนคุยกันเรื่องแบบนี้ ได้สนทนาธรรม
มีคนที่ธาตุธรรมเกิดขึ้นแล้วหลายท่านเลย ดีครับ
ดีใจมาก เดี๋ยววันหลังมีเวลาผมจะมาคุยกับท่านกิมครับ
ขอให้มีความสุข กาย สุขใจ มีตังใช้ตลอดปีครับ

คุณหลวง

                                     พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์

    เมื่อพูดถึง วิทยาศาสตร์ บางคนก็ไม่สนใจ เห็นเป็นเรื่องของคนอีกพวกหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่เรื่องของเรา, อาตมาก็เห็นใจคนเหล่านี้;แต่ก็จะงดไม่พูดด้วยคำคำนี้ก็ไม่ได้ เพราะว่ามันกำลังมีปัญหา ดังที่จะได้กล่าวให้ทราบต่อไป.

    คำว่า วิทยาศาสตร์ นั้น เรายังเข้าใจกันอยู่แต่เพียงว่าเป็นเรื่องวัตถุ เป็นเรื่องโลกๆ เป็นเรื่องของใหม่ๆ เป็นของทำ
เทียม เป็นของทำปลอม อะไรขึ้นมาหลอกคน, เข้าใจคำว่าวิทยาศาสตร์ ไปเสียอย่างนี้ แล้วมันก็จะ พูดกันไม่รู้เรื่อง.

    ที่จริงคำว่า วิทยาศาสตร์ นั้น ใช้เป็นคำเรียก สิ่งที่มีความจริง, และจริงชนิดที่ปรากฏเห็นๆอยู่ และจริงชนิดที่พิสูจน์ได้ ทดลองได้ไม่ต้องอาศัยการคำนึงคำนวณ, ไม่ต้องอาศัยความเชื่ออย่างงมงาย,ไม่ต้องอาศัย ความยึดมั่น อย่างละเมอเพ้อฝัน. อาตมาใช้ชื่อชุดการบรรยาย นี้ว่า ธรรมะในฐานะวิทยาศาตร์ นี่ก็เพราะว่ามันเป็นความจริง ที่ธรรมะนั้น มันเป็นวิทยาศาสตร์, เราไม่รู้ความจริงข้อนี้ ก็เลยไม่เข้าใจ ก็เกิดความชะงักงัน หรือยังเป็นหมัน ในการที่จะใช้ธรรมะ อย่างกะว่า เป็นวิทยาศาสตร์

    สิ่งซึ่งมิใช่วิทยาศาสตร์ นั้น มีอีกมากมาย ที่เขาพอใจ หลงใหลกันนัก ในสมัยนี้ ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า ปรัชญา, คล้ายกับว่า โลกสมัยนี้ เป็นโลกที่ เห่อปรัชญา, การเห่อปรัชญา ก็จะเป็นโรคระบาดเต็มโลก; อาตมาก็ต้อง ป้องกันตัว ไว้เสียก่อน คือป้องกันตัวของพระพุทธศาสนา หรือป้องกันตัวให้แก่พระพุทธศาสนาว่าอย่าให้โรคเห่อปรัชญา มาครอบงำเอาพระพุทธศาสนา,

    ให้พุทธศาสนาสามารถจะแยกตัวออกมาอยู่ในรูปของวิทยาศาสตร์สำหรับจะได้เรียนกันอย่างเรียนวิทยาศาสตร์, สำหรับจะได้ปฏิบัติกัน อย่างปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ จึงได้พยายามชี้ให้เห็นว่าธรรมะในฐานะวิทยาศาสตร์.

    ทีนี้ ก็จะทำความเข้าใจให้ชัดลงไปอีกว่า คำว่า ธรรม ในที่นี้คืออะไร คำว่า ธรรมในที่นี้ ก็คือ คำที่เราใช้เป็นชื่อของสิ่งที่เรามักเรียกกันว่า ศาสนา, ซึ่งข้อนี้ก็เคยพูดมามาก แล้วว่าในสมัยโบราณ โดยเฉพาะครั้งพุทธกาล นั้นเขาใช้คำว่า ธรรมเรียกชื่อ สิ่งที่เราเรียกกันในปัจจุบันนี้ว่า ศาสนา, เช่น ปัจจุบันนี้ถามกันว่า ท่านถือศาสนาอะไร? ในครั้งกระโน้น เขาจะถามกันว่า ท่านถือธรรมะอะไร, ธรรมะข้อไหน, ธรรมะของใคร? ฉะนั้น ตัวศาสนาก็คือตัวธรรมนั่นเอง, 

    และการที่เอามาพูดในวันนี้คำว่าธรรม ในที่นี้ก็หมายถึง ระบบของพระพุทธศาสนา, พุทธศาสนาทั้งระบบ เราเอามาเรียกด้วยชื่อสั้นๆว่า ธรรมหรือธรรมะ, แล้วอยากจะให้รู้จัก สิ่งที่เรียกว่า ธรรม หรือ ธรรมะนี่แหละ ว่ามันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์, มันไม่ใช่เรื่องปรัชญา.

    ถ้าเป็นเรื่องปรัชญา จะไม่เป็นตัวธรรมที่เป็นตัวศาสนา หรือดับความทุกข์ได้, มันจะเป็นธรรมชนิดที่ไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ มันจะเป็นเพียงธรรมสำหรับเรียน สำหรับรู้ สำหรับถกเถียงกันเท่านั้นเอง. ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายสนใจให้ดีว่าเมื่อพูดถึงธรรมในที่นี้ ก็คือ ธรรมที่เป็นตัวศาสนาที่สามารถปฏิบัติได้, และครั้งปฏิบัติแล้วก็ดับทุกข์ได้.

    ในบัดนี้ มีปัญหาคาราคาซัง กันอยู่ในที่ทั่วๆไป คือมีคนบางพวก กำลังเถียงกันอยู่ เกี่ยวกับคำว่า ศาสนา หรือคำว่าธรรมในที่นี้. เขาเถียงกันว่า พุทธศาสนานี้เป็นปรัชญา ไม่ใช่เป็นศาสนา อย่างนี้ก็มี; นี่เพราะเขาไม่รู้ ความหมาย ของคำว่าศาสนา หรือรู้เป็นอย่างอื่นไปเสีย. อาตมา เคยบอกมาหลายครั้งหลายหนแล้วว่า ถ้าเป็นศาสนา จะต้องเป็นวิทยาศาสตร์,

    ถ้าเป็นพุทธศาสนา จะต้องเป็นใน รูปของวิทยาศาสตร์, ไม่เป็นไปใน รูปของปรัชญา ซึ่งเราจะต้อง ทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนต่อไป. เดี๋ยวนี้ มัวแต่ เถียงกันไป เถียงกันมา ว่าพุทธศาสนา เป็นปรัชญา ไม่ใช่เป็นศาสนา ดังนี้บ้าง, และยังมีที่เถียงกัน พูดกันว่า พุทธศาสนานั้น ขัดกับวิทยาศาสตร์ดังนี้บ้าง.

    การพูดว่าขัดกับวิทยาศาสตร์นั้น สำหรับคนในสมัยปัจจุบันนี้เขาถือว่ามันเป็นเรื่องใช้ไม่ได้, ถ้ามันขัดกับหลักวิทยาศาสตร์แล้ว มันก็ไม่เป็นความจริง. นี้เขาหาว่า พุทธศาสนา ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์; เราบอกว่า ไม่ใช่เป็นอย่างนั้น, พุทธศาสนานั่นแหละ เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เสียเอง, บางคนเป็นไปมากจนถึงกับว่าพุทธศาสนามิใช่ศาสนาไปเสียอีก อย่างนี้ก็มี, ด้วย

    เขาไปหลงในปรัชญาให้พุทธศาสนากลายเป็นปรัชญา, เขาจึงเรียนพุทธศาสนากัน แต่ในรูปแบบของปรัชญา เลยทำให้ ดับทุกข์ไม่ได้ นี่ขอให้สนใจคำที่อาตมากำลังยืนยันว่า ถ้าเรียนพุทธศาสนา กันใน รูปแบบของ ปรัชญา แล้ว จะไม่ดับทุกข์,มันจะไม่เป็นการดับทุกข์. เราต้องเรียน พุทธศาสนา กันในรูปแบบของ ศาสนา ที่มีลักษณะ เป็นวิทยาศาสตร์ แล้วก็ปฏิบัติลงไปได้จริงๆ จนดับทุกข์ได้.

    พุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา, พุทธศาสนาไม่ใช่วิชาจิตวิทยา,พุทธศาสนาไม่ใช่วิชาตรรกวิทยา, พุทธศาสนาไม่ใช่ลัทธิสำหรับเชื่ออย่างงมงาย; แต่พุทธศาสนาเป็นเรื่องจริงของธรรมชาติ อย่างที่เรียกกันว่า เป็นวิทยาศาสตร์ สำหรับปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ตามกฏของธรรมชาติ โดยตรง.

    ฉะนั้น เราจงมารู้จักพุทธศาสนา ในฐานะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ กันเสียให้ถูกต้อง, จะได้ป้องกันโรคเห่อปรัชญา ที่กำลังระบาด จะคลุมโลกทั้งหมด; โรคเห่อปรัชญานี้ กำลังระบาดมาก จะคลุมโลกทั้งหมด เป็นโรคเสียอย่างนี้เสียแล้ว ก็ศึกษาพุทธศาสนา ให้สำเร็จประโยชน์ไม่ได้, จึงขอโอกาส มาทำความเข้าใจ เรื่องนี้ กันเสีย สักคราวหนึ่ง ให้ถึงที่สุด. อาตมาก็รู้สึกว่า คงเป็นที่เบื่อหน่าย ของท่านทายกทายิกาบางคน เพราะมันเป็น เรื่องที่ฟังดูแล้ว มันคล้ายกับ คนละเรื่องของตน, แต่อาตมาก็ได้บอกแล้วข้างต้นว่า มันเป็นความจำเป็น ที่จะต้องพูดกันเรื่องนี้ จึงขอโอกาสพูดเรื่องนี้ โดยชี้แจง ให้ชัดเจนเป็นตอนๆ ไปตามลำดับ จนกว่า จะเพียงพอ.

    นี่สรุปความว่า เหมือนกับขอให้ท่านบางคนทนฟัง เรื่องที่ไม่ชวนฟัง สำหรับท่าน, แต่อาจจะชวนฟังอย่างยิ่ง สำหรับคนบางคน หรือ บางท่าน, อาตมาจะทำอย่างไรก็ลองคิดดู มันต้องพูดเพื่อความจริง ให้รู้ความจริง แล้วก็พูดเพื่อให้สำเร็จประโยชน์ในการที่จะใช้พระพุทธศาสนาให้เป็นประโยชน์, แล้วก็จะป้องกันพระพุทธศาสนาให้พ้นจากภัยอันตราย ของโรคระบาด คือการเห่อปรัชญา ให้หันมามองดู พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์.



                                                                            สะบายดี...





    เว็บไซต์พุทธทาส.คอม คัด จาก หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ ฉบับประมวลธรรม เล่ม ๒ เรียบเรียงโดย นาย พินิจ รักทองหล่อ พิมพ์ ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๔๐ โดย ธรรมทานมูลนิธิ ผม(คุณหลวง)คัดต่อมาอีกทีครับ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณหลวง

     จิตนั้นไร้รูปร่าง เหมือนสุญญากาศ และมีพลังอันยิ่งใหญ่แฝงอยู่ พระพุทธเจ้า เรียกว่า "สุญญตา" คือ ความว่าง ความโปร่ง ความโล่ง ความเบาและสบาย ละเอียดยิ่งกว่า "สุญญากาศ" เข้าถึง "พลังแห่งจิต" เข้าถึงโลกและจักรวาล พระศาสดาผู้เข้าถึงพลังนี้ พระองค์จึงเรียกขานตัวเองว่า เราคือโลก โลกคือเรา จิตคือ โลก โลกคือจิต จิตคือเรา เราคือจิต         
     
       จิตทุกดวงมีพลังอมตะ และเท่าเทียมกัน ต่างกันตรงที่คนคนนั้นจะเข้าถึงจิตของตนมากน้อยอย่างไร บุคคลนั้นๆ จะเปิดประตู แห่งวิญญาณไปรู้จักหน้าตาแห่งจิตแท้ๆ อย่างละเอียด หยาบ สุขุม ลุ่มลึก หรือรู้จักแบบความไม่มีอะไรให้ยึดถือได้     

       เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงสอนให้เราเข้าถึงจิตของตนและพระองค์ก็ทรงชี้ประโยชน์แห่งการเข้า ถึงจิตของตนว่าคน คนนั้นจะดับและเย็น นั่นคือ "นิพพาน" ซึ่งผู้มีบุญหรือมีเพียงพลังงาน อนันต์ไม่สามารถผลักดันให้ถึงนิพพาน อันแปลว่าดับและเย็นได้ พลังงานชนิดเดียวเท่านั้นที่ทำให้เข้าถึงนิพพานได้ คือ พลังแห่งจิต
     
       พลังงานซึ่งเป็นพลังงานอมตะนั้น ไม่ใช่ได้มาจากที่อื่นไม่ใช่ได้มาจากครูคนใด ไม่ใช่ได้มาจากพระพุทธเจ้าประทานให้ แต่ได้มาจากหัวใจที่เอื้ออารี และเต็มเปี่ยมด้วยคุณความดีที่เรียกขานกันว่า "ผู้มีบุญ "และมันก็ได้มาจากการทำกรรมดี ที่ เรียกว่า "ทำบุญ" แต่สุดท้ายต้องไม่ยึดติดใน " บุญ "


     สะบายดี...คำอรรถาแห่งหลวงปู่พุทธะอิสระนี้ คงทำให้ท่านกิมเข้าใจมากขึ้นนะครับ แล้วทางเดินนั้นว่าไงก็บอก ยินดีช่วยตามกำลังครับผม
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

นิพพานัง


คุณหลวง

อ้างจาก: นิพพานัง เมื่อ 19:06 น.  30 ธ.ค 54
.


...นิพพานเป็นอนัตตาใหม.... ส-ดีใจ ส-เหอเหอ


                                                                                                                                                                                                                            สะบายดี...


    สัจธรรมสูงสุด มิอาจเรียกได้ว่าเป็นอะไร ไม่มีคำพูดจะพูดได้ พระพุทธองค์ทรงสมมติเรียกว่า นิพพาน เพื่อสื่อสารกันในโลกสมมติเท่านั้น แม้คำพูดทุกคำก็เป็นสมมติเพื่อสื่อสารกันระหว่างมนุษย์ หรือสัตว์ก็มีการสื่อสาร แต่เป็นสมมติแบบสัตว์นั้นๆเช่นกัน

    แต่เมื่อท่านถาม ผมว่าคงมีคนอยากรู้ และอยากถามอย่างท่านเช่นกัน แต่เจตนาจะเป็นเช่นเดียวกับท่านหรือไม่

    ...นิพพานเป็นอนัตตาใหม.... ส-ดีใจ ส-เหอเหอ ตอบว่า นิพพานเป็นเพียงคำสมมติเรียกสัจธรรมสูงสุดเท่านั้น และผมสามารถตอบได้เพียงแค่นี้ครับ

    ๑. หากเกิดความยึดถือในนิพพาน นิพพานนั้นก็เป็นอัตตาของผู้นั้น แต่จะเป็นนิพพานแท้จริงหรือไม่ ต้องตอบตัวเองครับ
        ๑.๑ แม้เกิดความยึดถือนิพพานว่าเป็นอนัตตา นิพพานนั้นก็กลายกลับเป็นอัตตาของผู้นั้นไปอยู่ดี

    ๒. หากไม่ยึดถือในนิพพาน นิพพานนั้นก็เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น ที่มิอาจใช้คำพูดใดๆไปควบคุม ตัดสิน ได้ เพราะคำพูดนั้นเป็นเพียงสมมติ แต่สัจธรรมสูงสุดเป็นวิมุติ
        ๒.๑ ความไม่ยึดถือในนิพพาน ประการแรกเกิดจากความไม่รู้ ไม่สนใจ ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ ไม่สนใจความดับทุกข์ ไม่ใส่ใจทางดับทุกข์ ใช้ชีวิตไปตามโลกเท่านั้น
        ๒.๒ ความไม่ยึดถือในนิพพาน ประการที่สอง เกิดจากความสนใจในการดับทุกข์ แต่เรียนรู้ผิด เข้าใจผิด จิตเลยวางอย่างโง่ๆจมอยู่ในตัวตนอันละเอียดกว่า เป็นต้น
        ๒.๓ ความไม่ยึดถือในนิพพาน ประการที่สาม เกิดจากความรู้แจ้ง เห็นจริงในธรรมชาติ เกิดความละวางความรู้สึกว่าเป็นตัวตนอย่างหมดจด บริสุทธิ์

   

    ท่านหลวงปู่ชา เตือนเรื่องติดความรู้ว่า เป็นดั่งใบลานเปล่า ท่านพุทธทาส เคยเตือนเรื่องการติดในความรู้ว่าเป็นดั่งความมืดสีขาว ท่านพุทธะอิสระ เปรียบเป็นขยะกองโต คนฉลาดเลือกเฉพาะประโยชน์ คนโง่หอบขยะอยู่ทั้งกอง ดังโศลกของท่านว่า

    "ลูกรัก คัมภีร์ อักษร ภาษา เหมือนขยะกองโต คนฉลาดเท่านั้นจึงจะพึงเอาสิ่งดีมีประโยชน์มาใช้ได้ดังหวัง  ส่วนคนโง่ก็จะยึดเอาไว้ทั้งกอง"


    สาธุในความสนใจธรรม หวังความนิรทุกข์จงมีแด่ท่านดั่งปรารภเถิด  สาธุ.....
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คนค้าแก้ว

สวัสดีครับคุณหลวงขอบคุณครับที่ให้ความกระจ่างต่อคำถามของผม อย่างที่ท่านว่าแหละครับสงสัยตรงที่ท่านกวีสว่างวาบขึ้นมาอย่างผู้บรรลุแล้ว คืออยากมีความรู้สึกเช่นนั้นบ้างจะพยายามสั่งสมความรู้จากผู้รู้หลายๆท่านในเว็ปนี้ และหวังว่าสักวันเราจะมีความรู้สึกเช่นนั้น
สำหรับที่คุณหลวงกรุณาถามถึงอาชีพของผม ครับผมรับซื้อเศษแก้วจำพวกเศษขวดต่างๆนั่นแหละครับ เอาง่ายๆว่าเป็นร้านรับซื้อของเก่าครับ ร้านอยู่ริมถนนสายเอเซียเส้นไปพัทลุงเยื้องกับทางเข้าอุตสาหกรรมภาคใต้(ฉลุง) ติดต่อได้ครับที่เบอร์ 0819572301 ยินดีที่จะได้รู้จักครับ
ไม่ต้องบินสูงอย่างใครเขา จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ

คุณหลวง

ขยะกองโต คนฉลาดเท่านั้นจึงจะพึงเอาสิ่งดีมีประโยชน์มาใช้ได้ดังหวัง  ส่วนคนโง่ก็จะยึดเอาไว้ทั้งกอง.....อืมๆๆๆ


เข้ากันกับท่านเลยพี่คนค้าแก้ว  ส-ดีใจ

ยินดีครับ ว่างๆผ่านไปจะแวะกินกาแฟสักแก้ว เบียร์สักลัง  อืมๆๆ อย่างน้อยๆก็ช่วยพี่ได้ขวดอีกโหลนึงแน่ะ  ส.หัว


                                                                                     สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คนค้าแก้ว

อ้าวพี่คุณหลวงตอนนี้ผมกำลังหาวิธียึดไว้ทั้งกองอยู่ ผมว่าเศษขยะบ้านเรามันน่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่าในปัจจุบันนะพี่  ส.โบยบิน
ยินดีค้อนรับครับ ถึงสถานที่จะไม่สวยหรูแต่จิตใจคนอยู่งดงามครับ  ส-เขิน  ส-เขิน  ส-เขิน
ไม่ต้องบินสูงอย่างใครเขา จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ

คุณหลวง

อ้างจาก: คนค้าแก้ว เมื่อ 13:44 น.  08 ม.ค 55
อ้าวพี่คุณหลวงตอนนี้ผมกำลังหาวิธียึดไว้ทั้งกองอยู่ ผมว่าเศษขยะบ้านเรามันน่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่าในปัจจุบันนะพี่  ส.โบยบิน
ยินดีค้อนรับครับ ถึงสถานที่จะไม่สวยหรูแต่จิตใจคนอยู่งดงามครับ  ส-เขิน  ส-เขิน  ส-เขิน

ยินดีค้อนรับ สะดุ้งเลยแฮะ เสียวหัวยังไงไม่รู้สิ  ส.หัว ส.หัว ส.หัว

จริงครับ ขยะน่าจะทำประโยชน์ได้มาก พี่ลองหาข้อมูลของมูลนิธิฉือจี้ (รู้สึกว่าชื่อนี้นะ) ของไต้หวัน ที่เริ่มมาจากแม่ชี คนหนึ่ง กับแม่บ้านว่างงานกลางวันไม่กี่คน ตอนนี้กลายเป็นองค์กรที่ไม่แสวงกำไรที่รียูส รีไซเคิล รี...อะไรอีกตัว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีระบบการจัดการที่ยอดเยี่ยม จิตสาธารณะน่าชื่นชม สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน สร้างอาชีพ ฯลฯ

เชื่อมั้ย เค้าไม่เอาเงินมูลนิธิมาใช้ส่วนตัวเลย แม้กระทั่งการเดินทางไปช่วยเหลือชาวบ้านประสบภัย ค่าเดินทางต้องออกเองครับ เงินมูลนิธิเพื่อชาวบ้านเท่านั้น

ลองหาข้อมูลดูสิครับ มีอะไรดีๆมากจากที่นั่น ผมไม่ได้เข้าหาทางเว็บสักที เจอจากหนังสือหลายครั้งแล้ว

   สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณหลวง

อ้างถึงสงสัยตรงที่ท่านกวีสว่างวาบขึ้นมาอย่างผู้บรรลุแล้ว คืออยากมีความรู้สึกเช่นนั้นบ้าง

    การสว่างวาบขึ้นในธรรมนั้น มิใช่สิ่งที่เราสามารถคิดเอง หรือ กำหนดเองได้เลยครับ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่น้อยนิด สิทธิ์นั้นทั้งหมดอยู่ที่เหตุปัจจัยที่ถึงพร้อมตามธรรมชาติ เรามีหน้าที่สร้างเหตุปัจจัยนั้นให้ถึงพร้อมขึ้นมาก็พอ และถึงพร้อมตอนไหนก็ไม่ใช่เราจะตัดสินได้อีกอยู่ดี ธรรมชาติมันตัดสินเองครับ

    ครูบาอาจารย์ที่สามารถ ท่านรู้ภาวะของศิษย์ ท่านจึงมีแนววิธีที่จะบ่มศิษย์ของตนให้มีความถึงพร้อม แล้วก็กระทุ้งทีเดียว ก็สัมฤทธิ์ผลไปตามลำดับ หลายคนจึงพยายามแสวงหาอาจารย์ด้วยเหตุผลที่อยากให้อาจารย์ช่วย แต่ไม่มีอาจารย์คนไหนช่วยได้ หากศิษย์คนนั้นไม่กระตือรือร้น(ล้น)ที่จะฝึกฝนตน อาจารย์ที่ดีจึงตะเพิดผู้ที่ไม่เอาไหนอย่างไม่ไว้หน้า

    ครูบาอาจารย์ที่ดี ท่านไม่แสวงหาศิษย์ แต่ศิษย์ที่ดีจะทนต่อการบดขยี้ทางจิตวิญญาณของอาจารย์ได้ แล้วเค้าจะเก่ง

    แต่การที่ทำเอง ปฏิบัติเอง มิใช่สิ่งที่ไม่สามารถ เพียงแต่มักไม่สำเร็จ เพราะความรีบร้อนหวังผล ไม่อดทนรอผลตามธรรมชาติ ปลูกต้นไม้หวังผล ไม่มีสิทธิ์คั้นผลออกมาได้ แต่สร้างเหตุปัจจัยแห่งการเกิดผลให้ได้เถอะ แล้วผลจะออกมาเอง แม้นอกฤดูกาลก็ตาม

    การสั่งสมไปเรื่อยๆนั้นเป็นสิ่งที่ดีต่อภาวะคนครองเรือน ตั้งใจมั่นไว้ว่าเราจะไปยังจุดนั้น แล้วทำไปเรื่อยๆพร้อมๆกับการทำหน้าที่ทางโลก อย่าใจร้อน เมื่อกำลังแห่งธรรมถึงพร้อม ทั่วฟ้าจบดินก็ห้ามไม่ได้

สาธุในความตั้งใจในธรรมของทุกท่านในไตรโลก    สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป