ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

จาก"เมืองในสวน" ถึง เมืองสีเขียว.."คุณหลอกดาว!??"

เริ่มโดย Mr.No, 14:10 น. 17 ก.ย 60

Mr.No

[attach=1]
ภาพรถรางและเมืองสีเขียวที่สอดรับกันอย่างลงตัว

โลกวันนี้เปลี่ยนไปมาก...และภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกนั้นมากที่สุดก็คือวิวัฒนาการในการรับรู้และเรียนรู้เรื่องราวของคนบนโลกใบนี้เริ่มมีมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา

โลกใบนี้...ใบที่เคยอยู่ภายใต้สองฟากฝั่งที่ช่วงชิงชนะกันระหว่างเรื่อง "เรื่องจริง" กับ "ปดมดเท็จ" กำลังถูกท้าทายเพราะข้อมูลสองฝั่งจะปรากฏให้คนได้เห็นพร้อมๆกันและแยกแยะมันได้มากขึ้น

ผมนั่งอ่าน แผนปฎิบัติการล่าสุดของเมืองหาดใหญ่ ที่ท่านเรียกมันว่า แผนปฎิบัติการเมืองสีเขียว ซึ่งเทศบาลนครหาดใหญ่ระบุว่า เป็นการประกาศเจตนารมณ์การพัฒนาสู่เมืองสีเขียวภายใต้แผนงาน IMT-GT ที่จะเดินหน้าให้สำเร็จในห้วงเวลานับ 10 ปีจากนี้ไป (2560-2570)


ภายใต้สาระสำคัญที่ปรากฏในแผนดังกล่าว อ่านยังไงผมก็ยังไม่มีความมั่นใจแม้นแต่น้อยว่า ภายใต้กรอบเวลาแค่นี้ กับฝีไม้ลายมือของทีมงานบริหารที่เคยประกาศว่าจะทำให้หาดใหญ่เป็นสารพัดเมือง ไม่ว่าจะเป็น "มหานครแห่งความสุข", "เมืองในสวน"  วันนี้ขนาดแค่ "สวน" ยังไปไม่ถึงไหนนี่เหตุไฉนถึงหาญกล้าจะทำให้เมืองทั้งเมืองเป็น "สีเขียว" ได้....มันไม่ "ราคาคุย" กันหน่อยรึครับทั่น!

อ่านในแผนของเทศบาลนครหาดใหญ่แล้ว ..ถ้าเป็นสมัยยุคที่โซเชียลยังไม่เกิด ผมว่า มันน่าจะ Propaganda ชาวบ้านได้ในระดับหนึ่งและก็อาจใช้เป็นเครื่องมือในการกรุยทางเพื่อต่อสายการเมืองได้อีกไม่น้อย..............แต่!

แต่วันนี้..มันคงยากละครับ  เพราะด้วยความก้าวหน้าอย่างที่ผมบอก มันทำให้ สิ่งที่ท่านคิดและเขียน กับ ผลงานที่ท่านทำ ผ่านสายตาคนและโซเชียล มันพิสูจน์แล้วว่าต้องถึงเวลาที่ท่านต้อง เปลี่ยนจริงๆ!!

เปล่าครับ!.. ผมไม่ได้บอกว่า ถึงเวลาต้องเปลี่ยนผู้บริหารเมืองครับ...เพียงแต่อยากให้ท่านได้ "เปลี่ยนจริงๆ ซะที"  คือ เปลี่ยนเดิมเป็น "คิด..พูด......และทำให้สอดคล้องเป็นเรื่องเดียวกันที่เป็นรูปธรรรม"


ในแผนเรื่อง ความสะอาด....โดยเฉพาะเรื่อง การคัดแยกขยะ วันนี้มันก็ยังไม่ถึงไหน เพราะแม้นจะมีการแบ่งชุมชนต่างๆ มีผู้นำ,มีกรรมการ มีทุกอย่างที่เป็นองค์ประกอบช่วยงานครบ  แต่....การคัดแยกขยะก็ยังเป็นหน้าที่ของ  นักล่าสมบัติที่รื้อค้นในถังขยะเหมือนเดิม! ทุกอย่างยังคงยัดใส่ถุงดำวางไว้...เหมือนเดิม

นี่คงไม่ต้องพูดถึงปัญหาเรื่อง โรงงานเผาขยะที่ยังเผาไม่ทันไร...โรงงานก็เล่นจะออกอาการล้มเหลวเพราะปล่อยปัญหามลพิษจนชาวบ้านเค้าทนไม่ไหวมาแล้ว

ก่อนหน้า..คุยนักคุยหนาว่า โรงงานเผาแล้วผลิตไฟฟ้าได้ ..มันก็ได้  แต่ "ได้ไม่สมอย่างที่คิด"

สิงคโปร์..ลงทุนสร้างระบบเผาขยะไปสองหมื่นกว่าล้าน...ผลิตกระแสไฟฟ้าจ่ายคืนระบบได้..แถมขยะจากฝุ่นเผาเอาไปถมทะเล...เค้าทำแล้วคุ้ม   แพงก็ต้องทำ!


ของเราสร้างอะไรจำพวกนี้บอกแพง!..... ยังจำได้ที่ท่านอดีต ผอ.สนข สมัยก่อนตอบประชาชนหาดใหญ่ที่อยากได้ "รถราง"วันนั้นอย่างเย้ยๆ  ว่า "จะเอาเงินที่ไหนมาสร้าง...ใครจะ subsidize!"

พอฝ่ายการเมืองเสนอ "โมโนเรล"  ให้สนข...พวกบอกโอ้โห...ทุกอย่าง ฉลุย...ดี...เลิศ...ไม่แพง..คุ้มค่า....ซะงั้น!!.


ไอ้เรื่อง เมืองสีเขียว ถ้าไม่นับรวมสวนสาธารณะ ซึ่งถึงไม่ต้องไปทำอะไรมันก็เขียวอยู่ดี...เพราะนั่นมันเขาธรรมชาติเดิม แค่อาศัยอย่าให้ใครอุตริไปบุกรุกสร้างร้านรวง ขายหนมจีน.เทพนั่นเทพนี่อะไรให้ภูเขามันกลายเป็น หิ้งพระหิ้งเทวา อีกเขามันก็จะสมบูรณ์โดยธรรมชาติมันอยู่แล้ว

ที่พอเห็นเป็นโล้เป็นพายบ้าง ก็เห็นว่ามีถนนสามสิบเมตรนี่ละมังที่พอจะเห็นต้นไม้สองฝั่งที่เริ่มโตและกำลังโน้มเข้าหากันเพื่อให้เป็น "ร่มเงาธรรมชาติ" ใกล้ ๆนิยาม "เมืองสีเขียว" กันบ้าง


[attach=4]
[attach=5]
ภาพแรก google บันทึกภาพต้นประดู่ที่กำลังงามเริ่มให้ร่มงาน
ภาพสอง.....เรียบร้อย โรงเรียน เมืองในสวน

ส่วนถนนสัจจกุลนั่น...คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมันสนองแนวคิด "เมืองสีเขียว" ของท่านแบบประหลาดไปเรียบร้อย ด้วยการแอบตัดต้นประดู่ที่กำลังงามในยามคืนค่ำหฤโหด จนเหี้ยนเตียน ..ดีที่ google ยังเก็บหลักฐานภาพไว้ให้ชาวโลกดูหลายภาพว่า ตัดแบบถอนรากถอนโคน เค้าทำแบบไหน

นี่ไงครับ เมืองในสวน..ที่คนรัก "ต้นไม้"  อยากถามเหมือนกันว่า "สิ่งที่พูด..กับสิ่งที่ทำ"  บางที มันก็อธิบายกลับหัวกลับหางกันแบบนี้แหละ


ในแผน เมืองสีเขียว  ท่านพูดถึงเรื่อง "Monorail" ที่จะสนับสนุนให้เดินหน้าต่อ ...ซึ่งเรื่องนี้ใช่ว่าผมจะต่อต้าน เพราะอะไรก็ตามที่สร้างเพื่อให้ปัญหาจราจรที่กำลังจะจลาจลมันลดลงได้ มันก็ดีทั้งนั้นละครับ........ เพียงแต่

เพียงแต่...มันต้องกลับมาทบทวนกันซะทีดีมั้ยว่า ถ้าจะต้องควักกระเป๋าจ่ายกันเป็นกองมหึมา ระบบขนส่งมวลชนแบบใด..ชนิดไหนกันที่มันตอบโจทย์ปัญหาได้มากที่สุด

แนวคิดการนำโมโนเรลมาใช้ สร้างคร่อมถนนเดิม....มันหลักการเดียวกันกับความพยายามในการลดปัญหาจราจรด้วยการสร้างทางด่วน..หรือพวกโทลเวย์นั่นละครับ

กรุงเทพฯ ที่ใช้พวกรถไฟฟ้า (ลอยฟ้า) นั่นมันเป็นเหตุผลของ "พัฒนาการแบบจนตรอก" เพราะมองไม่เห็นทางจะแก้ไขเมืองไงครับ ...เค้าจึงเลือกใช้แบบลอยฟ้า

แต่หาดใหญ่...เมืองเล็ก ยังพอเยียวยาแก้ไข จึงมีกลุ่มต่าง ๆ พยายามหาหนทางทีจะนำเอาระบบขนส่งมวลชนที่ตอบโจทย์แบบทีเดียวได้นกหลายตัว  ....หลายเมืองเหล่านั้นจึงเข้าใจและยอมที่จะเลือก "รถรางเบา"  หรือ Tram ไงครับ

เพราะมันตรงจุด...ตรงใจ สำหรับการแก้ปัญหาได้แบบ    "ถูกโรค!"

แน่ละ...ระบบนี้...นักการเมืองใครมันจะชอบ เพราะอะไรก็ตามถ้ามันเป็นการแก้ไขปัญหา สิ่งแรกที่ต้องเจอก็คือ "การต่อต้าน" และมันจะพาลไปถึง "อาชีพ" ไง

ไม่เชื่อ..ท่านลองรื้อแผงลอย..ทางเท้าออกให้ได้ซิครับ เพราะนั่นมันคือ หนึ่งใแนวคิด "เมืองสีเขียว" เช่นกันนะครับ

เพราะพวกทางเท้าเหล่านี้...ถ้าวันหนึ่งไฟฟ้าลงดินได้...ต้นไม้ก็เติบโตขึ้นทะลุฟ้าได้โดยไม่ต้องกังวลคนคอยตัดได้เช่นกัน...

[attach=2]
แนวคิดจอดรถส่วนตัวแล้วใช้รถราง (Park and ride)

เรื่อง รถรางแก้ปัญหาเมือง  ต้องยอมรับว่า...ถ้าไม่ทำวันนี้...วันหน้า มันก็เละ.....เละแบบที่ กอทอมอ เจอมาไง!
วันนี้ท่านไม่ลองมองไปบ้านเมืองอื่นเค้าบ้างรึครับว่าเค้ากำลังทำอะไรกันและ...มันกำลังจะเกิดอะไร
ภูเก็ต, ขอนแก่น,โคราช,อุดรธานี,สมุทรสาคร และอีกหลายๆ จังหวัดเค้าคุยกันจนลงตัวและเห็นภาพชัดว่า  "รถราง" มันจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการ "แก้ปัญหา" จริงๆ  ไม่ใช่ "เลี่ยงปัญหา"

เค้ากำลังสร้างเมืองของเค้าด้วยมือของคนเมืองเค้า..ด้วยเงินจากประชาชนเค้าผ่านการตั้งบริษัทที่เรียกตรงกันว่า "บริษัทพัฒนาเมือง"

บริษัทนี้..เกิดจากทุนที่นักธุรกิจในพื้นที่ลงขันกันทำเพื่อประกาศจะ สร้างบ้านเปลี่ยนเมืองด้วยศักยภาพของพวกเค้าเองและภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลกลางที่พร้อมจะรับฟังแนวทางที่เกิดจากประชาชนจริงๆ และ จะทำจริงๆ  ไม่ใช่ขายฝัน...หรือ ค้าความฝัน

บริษัทพัฒนาเมือง จะมีส่วนในการสร้างระบบขนส่งมวลชนจากง่ายที่สุดไปสู่ระบบอัจฉริยะในอนาคตที่จะรองรับการเดินทางของคนได้ตั้งแต่ลงจากหัวกะไดไปจนถึงที่หมาย

มีรถซิตี้บัสที่ปลอดภัย..มีรถรางไฟฟ้าเชื่อมต่อเมืองต่อเมือง..ฯลฯ  และเมื่อระบบต่างๆ เหล่านี้เข้ามา สิ่งที่จะออกไปจากระบบเดิมแบบไม่เต้องเชิญออกคือ ระบบขนส่งมวลชนเดิม ๆ ที่จะไม่สามารถเติมฝันร้ายให้ลูกหลานได้อีก.... ไม่ว่าจะเป็น รถสองแถวรับจ้างปาดซ้ายขวากันอลหม่าน..รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างวิ่งบนทางเท้า...เหล่านี้จะอันตรธานไปด้วยความไม่ศิวิไลซ์ของตัวมันเอง

จำได้ว่าไม่กี่วันมานี่...เค้าเชิญกลุ่มนักธุรกิจหาดใหญ่ไปดูงาน..ศึกษาเรื่องนี้กันมาแล้ว ก็นับว่าเป็นโอกาสดีที่อะไรดีๆ มันอาจจะเกิดได้เพราะมือของชาวบ้านเช่นกัน

[attach=3]

ผมเคยเขียนและยกตัวอย่างมานานมากแล้วว่า....รถรางไฟฟ้ามันจะช่วยทำให้ระบบเศรษฐกิจสองฝั่งที่ผ่านนั้นสามารถกลับมามีชีวิตชีวาและค้าขายได้เหมือนเดิม

ตัวอย่าง นิพัทธ์อุทิศ 1 ถึง 3 ยันศุภสารรังสรรค์ไปทะลุถนนสามสิบเมตร อย่างแรกที่น่าจะทำคือ ต้องทำให้มันตรงข้ามกับคนไทยเคยคิดว่าทำไม่ได้

ลดขนาดถนนให้เล็กลง...เพิ่มขนาดพื้นทางเท้าให้กว้างออกมา..ปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่น ให้มนุษย์เดินได้ 
เอารถรางเข้าไปวิ่งแทนพวกรถสองแถว...มอเตอร์ไซด์รับจ้าง 

พอถนนมันน่าเดิน..ไม่ร่มรื่น...รถราน้อยลง....ชีวิตชีวาก็เกิด แบบที่ฝรั่งเรียกว่า "Slow Life"
ทางเท้ามีแล้ว...ต้นไม้ก็มี....ถนนเล็กลง...ระบบขนส่งมวลชนดี ๆ เกิดขึ้น  คนก็เลิกบ้าออกรถ..หันมาใช้ระบบขนส่งมวลชน ..เงินเหลือในกระเป๋าไม่ต้องผ่อนรถตลอดชาติ....เหลือไว้ใช้สำหรับความสุขในปลายชีวิตได้  นี่...คนที่พัฒนาเค้าคิดแบบนี้!


จำได้ว่าเขียนแบบนี้แหละวันนั้น มีคนหัวร่อว่า "ผมบ้า!" ที่เสนอรถรางเข้าไปในถนนที่กำลังวุ่นวาย!   

ผมก็ยอมรับว่า "โยนแมวใส่จอหนังตะลุง" หรือพวก "คนบ้าแบบผม" น่าจะมีไม่น้อย

อเมริกาที่เป็นต้นแบบ "บ้าสร้างถนน..บ้าผลิตรถ" กำลังกลับหลังหันและมุ่งสร้างรถราง..สร้างชีวิตอีกครั้ง

ญี่ปุ่น,จีน,ยุโรป เค้าใช้รถราง...และพัฒนารถรางไปจนถึงขีดที่ใครได้นั่งแล้วยิ้มบอกว่า "โคตรนิ่ม..เงียบและสบายกว่าเก๋ง" กันแล้ว

คนแก่ยักแย่ยักยัน..ก็มีสิทธิได้ใช้ระบบขนส่งมวลชนแบบนี้ เพราะ low floor มันเอื้อทั้งคนแก่และคนพิการ

ถ้าจะว่า "บ้า"  ก็โน่น...อย่างอีตา เอนริเก้ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองโบโกต้า ประเทศโคลัมเบียที่ "บ้า"จนเปลี่ยนเมืองจาก "เมืองอาชญากรรม" กลายเป็นเมืองสำหรับคนเดินและจักรยานได้มันก็น่าจะบ้าไม่น้อย

โบโกต้ามีประชากรเกือบ 8 ล้าน...แกกล้าทำ เพราะแก "ไม่กลัว" ถ้าประชาชน "จะไม่เลือก" กลับเข้ามาเที่ยวหน้า

แต่หาดใหญ่มีประชากรแค่แสนกว่าคน..รวมทั้งจังหวัด(สงขลา) ก็แค่ 1.7 ล้านคนเศษ..เทียบกับโบโกต้ามันห่างกันแยะ...

ต้องไม่ลืมว่า  ตราบที่คนยังน้อย..มันยังทำได้ง่าย...ยังมีแผ่นดิน,มีทีว่าง มีกฎหมายหลัก มีเทศบัญญัติที่จะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือทำได้ทุกอย่าง เพียงแต่  "ทำแล้วมันจะได้ผลสมประสงค์หรือไม่?"   แต่ที่มันน่ากังวลที่สุดก็คือ พวกที่ "ไม่กล้าทำ" นี่ซิน่าเป็นห่วง!
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.