ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ขำขำ อินผ้าเหลือง ๒ (รุกฆาต)

เริ่มโดย คุณหลวง, 15:19 น. 21 ธ.ค 54

คุณหลวง

รุกฆาต

    หลวงตาจงเป็นพระที่บวชในภายแก่ แต่ชาวบ้านนับถือมาก เพราะท่านเป็นพระที่ไม่ค่อยมีความเครียดนัก สนุกไปได้เรื่อยๆ คนที่เครียดๆเมื่อมาคุยกับท่านมักยิ้มออกและพบทางออกเสมอ

    ท่านไม่ยึดถือสมบัติใดๆ เงินได้มาจากงานนิมนต์ก็ซื้อขนม นม น้ำมาเลี้ยงเด็ก เลี้ยงพระ เรียกว่าหิวเมื่อไหร่ก็แวะมาที่กุฏิท่านได้เลย เลี้ยงไม่อั้นทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ท่านว่า เมื่อก่อน ท่านก็เก็บสะสมเหมือนกัน เก็บไว้เต็มกุฏิ จนกระทั่งมันเน่าเสียอยู่ภายในถัง(ชุดสังฆทาน)และในหีบห่อของมัน เพราะท่านก็ไม่ใช่คนกินมากโดยนิสัย

    วันที่ท่านเข้าไปเพื่อเอาของออกขายพ่อค้าเร่ที่มารับซื้อชุดสังฆทานกลับไปขายต่อแบบถูกๆนั่นแหละ จึงสมเพชตัวเองกับสภาพความเน่าเสียของสิ่งของมากมาย เกิดเป็นความละอายใจไร้ประโยชน์กับสิ่งที่คนถวายมาด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ว่าพระโง่ๆเอามากองเน่าไว้

    นับแต่นั้นมา ท่านก็เลยเอาออกมาตั้งหน้ากุฏิ เด็กๆมาเรียกมากิน ญาติโยมมาก็ได้กิน ไม่เคยเสียดมเสียดาย เงินได้มาก็ซื้อมาตั้งไว้เพื่อคนทั้งหลายที่ผ่านเข้ามา ผลหรือ ท่านมีเด็กๆเข้ามาช่วยกวาดลานวัดทุกวัน ท่านได้เล่านิทานให้เด็กฟังเสมอๆ ของกินมากมายได้รับมาเพราะคนเห็นว่าท่านแจกลูกหลานเขา เขาก็เอามาเพื่อให้ท่านมีแจกเด็กๆที่มาช่วยงานวัด ของจึงมีมากยิ่งกว่าตอนที่เก็บสะสมไว้เสียอีก

    "การให้ มันเหมือนกับการฝากธนาคารที่เรามองไม่เห็น" ท่านว่า "และมันถอนให้ ออกดอกให้โดยไม่ต้องเรียกร้อง และมักมีมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ คนไม่ให้ย่อมไม่รู้อานิสงส์ของการให้"

    มีอย่างเดียวที่เป็นข้อเสีย และท่านยอมรับว่าแก้ไม่ได้ คือ การที่ท่านชอบเล่นหมากรุกมากๆ ยิ่งเล่นกับคนที่ฝีมือใกล้เคียงกันล่ะก็ ถึงไหนถึงกัน ไม่กินไม่ถ่ายก็ยังได้ ให้ยอมกันไปข้าง

    วันหนึ่ง พ่อค้าเร่ขายของเข้ามาขอพักในวัด คนที่เป็นหัวหน้าเข้ามานั่งคุยกับหลวงตาจงอย่างถูกคอ ก็รู้ว่ามีฝีมือหมากรุกพอสมควร ก็เกิดการประลองกันขึ้น และช่างเป็นยอดฝีมือที่นานๆจะได้พบ เรียกว่าศรศิลป์ไม่กินกันเลยทีเดียว การเล่นจึงติดพันอย่างลืมเวลา

    มารู้ตัวอีกที หลวงพ่อเจ้าอาวาสมาเรียกให้ไปบิณฑบาตเสียแล้ว ก็เลยจำเลิก หลวงตาจงก็เดินสะลึมสะลือไปเรื่อย

    "ตอนเล่นหมากรุกน่ะมันไม่ง่วงเลยทั้งคืน พอออกบิณฯ โอ้โห ความง่วงมันมายังกะยุงสลัม" ท่านเล่าให้ฟัง จนมาบ้านลูกสาวของท่าน ซึ่งเป็นบ้านสุดท้าย ท่านยืนหลับตาแล้วลืมไปเลย ได้ยินแว่วๆในหู

    "ผ่อล้วงๆ ไส่ไหม่เปิ่ดบ่าตร" (อ่านออกเสียงนะครับ จะได้ฟีลลิ่งมากขึ้น)
    "เปิ้ดผรื้อ" หลวงตาตวาด "มึ้งไม๊แลพึดนิหน่ะ เห้นม้ายหว่าหมันอี่หรุ่กฆ่าตกู่โหย่ะห้าน"

กลายเป็นโจ๊กที่เล่ากันมากว่าสามปี ไม่มีเบื่อเล้ย

ป.ล. ในการพูดสุดท้าย ภาษากลางว่า
    "พ่อหลวงๆ ทำไมไม่เปิดบาตร"
    "เปิดได้ไง มึงไม่ดูบ้างรึ เห็นมั้ย ว่ามันจะรุกฆาตกูอยู่นั่น"   

                                                                                                สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คนค้าแก้ว

ชอบครับคุณหลวง โดยเฉพาะข้อคิดที่ว่ายิ่งให้ยิ่งมีมากขึ้นจะเอาไปสอนตัวและสอนลูกๆขอบคุณครับ
ไม่ต้องบินสูงอย่างใครเขา จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ