ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เราควรร่วมกันเลิกอุดหนุนร้านค้า-ธุรกิจที่เอาเปรียบสังคม

เริ่มโดย ทีมงานบ้านเรา, 14:49 น. 24 เม.ย 61

ทีมงานบ้านเรา

ที่มา ตำรวจภูธรหาดใหญ่

เก็บ + ปรับ ต่อเนื่อง วางสิ่งของบนผิวการจราจร
24 เม.ย. 61 งานจราจร สภ.หาดใหญ่ ลงพื้นที่กวดขัน บังคับใช้กฎหมาย การกระทำผิดวางสิ่งของบนผิวการจราจร ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ

เสนอแนะเพิ่มเติม ภาคประชาชนน่าจะร่วมกันรณรงค์เลิกอุดหนุนร้านค้าที่ขายของบนถนนและทางเท้า ขนาเขาขายของเขายังเอาเก้าอี้ เสาปูน เศษเหล็กมาวางหน้าร้านเลยเราต้องจอดรถหน้าบ้านคนอื่นเพื่อมากินของร้านเขา แล้วเราจะไปอุดหนุนเขาทำไมว่าไหมครับ
สนับสนุนการขับเคลื่อนโดย
- ฮอนด้าพิธานพาณิชย์-อริยะมอเตอร์ www.phithan.co.th/hondaphithan
- ปาล์มสปริงส์ & ซิตี้รีสอร์ท บ้านและคอนโดคุณภาพจากเครืองศุภาลัย www.hatyainakarin.com
- ธีระการช่าง หาดใหญ่ (เยื้องบิ๊กซีคลองแห) โทร 086-4910345 www.facebook.com/teerakarnchanghy
- เอนกการช่าง ผู้นำการพัฒนาเครื่องจักรกลเกษตร โทร 081-7382622 www.an-anek.com/contact.php
รีวิวธุรกิจ เกาะติดบ้านเมือง ร้อยเรื่องท้องถิ่น TLP 0897384215

ไร้เส้น

ถ้าจะจัดระเบียบ ต้องเริ่มจากพวกที่ เอาพื้นที่ ถนน มาให้เช่า จัดงานกลางเมือง เก็บค่าเช่า พวกที่จัดงานวิ่งสารพัด แต่ รายได้เอาเก็บไว้เอง ห้างสรรพสินค้ากลางเมืองหาดใหญ่ เอาพื้นที่ บน ทางเท้า เปิดให้เช่าขายของ ทำตรงนี้ให้ได้ก่อนแล้ว ค่อยไปรังแก ร้านเล็กร้านน้อย ที่ไม่ได้มีเส้นมีสาย ถึงจะยุติธรรม เป็นตัวอย่างที่ดีก่อน แล้วค่อยเรียกร้องให้คนอื่นทำตาม นะจ๊ะ


จูน​ ขนนกยัน


ลุงตู่

นโยบายของผู้ใหญ่ๆของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเมืองหาดใหญ่ .. ไม่ได้เรื่อง​.. ปล่อยปละละเลยจนเละเทะ​ จนชาวบ้านเดือดร้อน

ตู้แดง ปันสุข

เศรษฐี ตามความหมายของคำว่า "เศรษฐี"
"เศรษฐี" แตกต่างกันกับ "นายทุนสูบเลือด"
.
❝ อยากจะเอามาเล่าให้ฟังกันหน่อย บางคนอาจจะยังไม่ทราบก็ได้ คำว่า "เศรษฐี เศรษฐี" น่ะ! ตัวหนังสือคำนี้มันแปลว่า "ประเสริฐที่สุด" เศรษฐี เศรษฐ นั้นแปลว่า "ประเสริฐ" เศรษฐีผู้มีความประเสริฐนั้นมันประเสริฐจริงๆ ถ้าเศรษฐีถูกต้องตามลักษณะของคำนั้น
.
แต่เดี๋ยวนี้ มันไม่มี ไม่มีเศรษฐีชนิดนั้น มันมีแต่ "นายทุนสูบเลือด" คนที่มั่งมีมากๆนั้นมันเป็นนายทุนสูบเลือดเพื่อนมนุษย์ ทำนาบนหลังคนไม่พอ แล้วมันทำนาบนหัวคน โน้น! เอากับมันสิ!
.
ถ้าว่าเป็นระบบเศรษฐีที่ถูกต้องนั้น เขาอยู่กันอย่างเพื่อนมนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีข้าทาสบริวาร แต่ว่ามันเป็นข้าทาสที่อยู่กันด้วยความรัก ไม่ใช่ซื้อมาใช้อย่างสัตว์ทรมาน
.
ฉะนั้น เศรษฐีก็เลี้ยงดูข้าทาสบริวาร แม้ที่เป็นทาสนั้นมันก็ยังได้รับประโยชน์เต็มตามที่ควรจะได้ ไปทำงานด้วยกันกับเศรษฐี วันพระไปวัดไปวาก็ไปด้วยกัน ทำงานด้วยกัน เหน็ดเหนื่อยด้วยกัน กินอยู่อย่างเดียวกัน .
.
แล้วเศรษฐีถ้ามีเงินเหลือกินแล้วก็ตั้งโรงทาน จัดโรงทานเพื่อจะให้แก่คนยากจนขัดสนพิกลพิการ หรือว่าบำรุงสมณะชีพราหมณ์ คือบรรพชิตนั่นแหละ บรรพชิตไม่ได้ทำนาทำไร่แต่มีประโยชน์สำหรับทำให้โลกนี้มีแสงสว่าง มีการเดินทางที่ถูกต้อง เห็นว่าจำเป็นจะต้องมีอยู่ในโลก พวกบรรพชิตเหล่านี้จึงอยู่ในฐานะที่ต้องได้รับการจุนเจือเกื้อหนุน ไม่ต้องไปทำนาเองก็มีชีวิตอยู่ได้ เพื่อทำหน้าที่ของตน คือเป็นแสงสว่างแก่มนุษย์ทุกคน ก็ตั้งโรงทานเพื่อประโยชน์แก่บรรพชิตเหล่านี้บ้าง เพื่อประโยชน์แก่คนพิกลพิการคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้บ้าง หรือว่าคนที่จำเป็นจะต้องพึ่งโรงทานก็ตั้งโรงทาน เพราะเขามีความรู้สึกในจิตใจว่า "เราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทุกคน"...❞
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ ภาคอาสาฬหบูชา ชุดสันติภาพของโลก ครั้งที่ ๒๓ เมื่อ ๒๗ กันยายน ๒๕๒๙
-----------------------------------------

"เศรษฐี" ในครั้งพุทธกาล
ต้องมี.."โรงทาน" ถ้าไม่อย่างนั้น
เป็นเศรษฐีนอกพระพุทธศาสนา
มีหลักที่สรุปเป็นใจความสั้นๆได้ว่า
ทำมาก กินเก็บแต่พอดี เหลือช่วยผู้อื่น"
.
พุทธทาสภิกขุ

ขุนทองแดง

เมื่อชาวจีนโบราณต้องการอยู่อย่างปลอดภัย
พวกเขาได้สร้างกำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา
โดยเชื่อว่าจะไม่มีมนุษย์หน้าไหนสามารถปีนมันได้
เพราะสูงมาก แต่ทว่า..!

ภายในร้อยปีแรกหลังการสร้างกำแพงนั้นเมืองจีน
กลับถูกรุกรานถึง 3 ครั้ง !!!

ในแต่ละครั้งกองทัพบกของศัตรูไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง
ทะลวงกำแพงหรือปีนมันเลยแม้แต่น้อย..!

แต่ทว่าในทุกครั้งพวกเขาใช้วิธี
#ติดสินบนยามเฝ้าประตูแล้วเข้าทางประตูนั่นแหละ.

แน่นอนว่าชาวจีนมัวแต่ห่วงเรื่องสร้างกำแพง
จนลืมสร้างคนเฝ้ากำแพง..!

เพราะการสร้างคนต้องมาก่อนการสร้างทุกสิ่ง
และนี่คือสิ่งที่คนหนุ่มสาวของพวกเราทุกวันนี้ต้องตระหนักให้มาก

นักบูรพาคดีคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า: ถ้าท่านต้องการทำลายอารยธรรม
ของประชาชาติหนึ่งประชาชาติใด มีขั้นตอนอยู่ 3 อย่างคือ:

1.ทำลายครอบครัว

2.ทำลายการศึกษา

3.ล้มบุคคลต้นแบบและตัวอย่างที่ดีงามของพวกเขา.

เมื่อพ่อแม่ที่ฉลาด ครูที่จริงใจ และต้นแบบที่ดีหายไป

ใครเล่าจะเลี้ยงดูต้นกล้าเยาวชนให้มีคุณธรรม??

Dr.Red Chana

ระบบดี คนดี ย่อมดีแน่
ระบบดี คนแย่ ต้องแก้ไข
ระบบแย่ คนดี มีทางไป
ระบบแย่ คนไม่ไหว บรรลัยมา

เหล่าข้าราช โกงชาติ อุบาทก์ยิ่ง
นักการเมือง โกงกิน นั้นยิ่งกว่า
เหล่าพ่อค้า โกงภาษี ชิงหมามา
นักวิชา หลักเหลว เลวพอกัน

ทนายดี ทำ"คดี" ไม่มี"ค (ควาย)"
แม้ชีพวาย ยอมตาย กลายเป็นผี
ทนายชั่ว มั่ว"คดี" " ี " ไม่มี
แต่แปลกที่ "ค(ควาย)"นำหน้า น่าอายใจ

บ้างก็ใช้ ทุนพระ บ้างทุนราษฎร์
ยังประกาศ ความดี ความซื่อสัตย์
แต่บ้างใช้ ทุนหลวง บ้างทุนรัฐ
แต่กลับจัด ช่วยคนชั่ว มั่วคนโกง

ยังองค์กร อิสระ ที่หวังพึ่ง
ก็ดันดึง พึ่งไม่ได้ ดังที่หวัง
ทั้งองค์กร ท้องถิ่น ที่ยินฟัง
นั้นก็ยัง กินสินบาท คาดสินบน

คอร์รับชั่นส์ โกงกิน เจียนสิ้นชาติ
กากกะบาท เลือกมา น่าผิดหวัง
ทั้งส.ว. ส.ส. สอพลอพัง
ประชายัง ไร้สมอง กรองคนดี

หวังแต่เอา ตัวรอด เป็นที่ตั้ง
ถึงชาติพัง ยังพึงใจ ได้เป็นฐาน
หว่านเงินเหลือ เผื่อใส่มือ พวกขอทาน
เดียรัจฉาน ยังมีค่า กว่ามากมาย

ศักดิ์ศรีความ เป็นไทย ไปไหนหนอ
แค่สอพลอ เลียหำ ทำหน้าหนา
อิ่มเยี่ยงหมา อดเยี่ยงเสือ ที่เชื่อมา
คงต้องหา ภาษิตใหม่ ไว้ใช้แทน

จริยธรรม อ้างมา เพียงลมปาก
ยุทธศาสตร์ สมานฉันท์ คือภาพสร้าง
ล้างคนจน จากแผ่นดิน สิ้นหนทาง
ถ้าไม่สร้าง คุณธรรม นำการเมือง

ชาติจะเรือง เมืองจะรุ่ง ต้องตามพ่อ
ต้องมุ่งพอ ก่อวินัย ให้ไพศาล
สามัคคี รู้รัก จักยืนนาน
ปณิธาน สานต่อ พ่อนำเอย... ส.สู้ๆ

หัวกระบือ(แดงส้ม)

...วิธีดูความจริงใจ
ของเพื่อนมนุษย์
ให้ดูตอนที่เราไม่สามารถ
ให้คุณหรือให้โทษเขาได้

มนุษย์ส่วนมาก
ใครให้คุณให้โทษได้
ก็จะทำดีด้วย

หากให้คุณให้โทษ ไม่ได้แล้ว
ไม่ต้องแปลกใจ
ที่เขาจะหลีกลี้หนีหายไป

จงรู้เถิดว่า
นี่คือมนุษย์ที่แท้จริง
ที่เป็นเพียงหุ่นเชิด
ของบุญและบาปเท่านั้น... ส.หลก

กบต้มส้ม

อย่าเคยชินกับความเคยชิน

——

ทฤษฎีกบต้ม
คือ หลักอธิบายเรื่องโทษของความชะล่าใจ
ให้เห็นภาพได้ชัดเจน
.
.
เรื่องมันมีอยู่ว่า
หากเราต้องการจะต้มกบ
เราก็ใส่น้ำลงในหม้อ จุดเตาไฟ
รอให้น้ำเดือดแล้วจึงค่อยหย่อนกบใส่ลงไป
ตอนที่กบเจอน้ำร้อน มันก็จะกระโดดหนีทันที
เพราะสัญชาตญาณมันเป็นเช่นนั้น
.
.
ถ้ายังใช้อุปกรณ์เหมือนเดิม
จะทำอย่างไร เพื่อให้กบไม่สามารถกระโดดหนีได้
.
.
วิธีการคือ
ต้องเอากบใส่หม้อพร้อมกับน้ำอุณหภูมิปกติ
จากนั้นก็เปิดไฟอ่อนๆ
.
.
และเพราะกบเป็นสัตว์เลือดเย็น
มันจึงสามารถปรับตัวตามอุณหภูมิน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นได้
น้ำเย็นก็อยู่ได้สบายๆ น้ำอุ่นก็รู้สึกเฉยๆ
.
.
นานเข้าๆ
น้ำก็เริ่มร้อนมากขึ้นๆ จนใกล้เดือด
กบเพิ่งรู้สึกตัวว่า ตอนนี้ตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
.
.
มันจะกระโดดหนี
แต่! ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ขามันสุกไปเรียบร้อยแล้ว
ฉากจบคงไม่ต้องบรรยาย

——

วานก่อนดูคลิปวิดีโอของผู้ติดไวรัสโคโรน่า ชาวไอร์แลนด์
เขากำลังนอนซมอยู่ในห้องไอซียู
บอกเล่าถึงอาการเจ็บปวดที่ปอดอย่างแสนสาหัส
มีอยู่ประโยคหนึ่งที่เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง คือ
.
.
"อย่าคิดว่าคุณจะไม่ติดไวรัสนี้  แม้แต่วินาทีเดียว"
.
.
นี่เป็นการสื่อสารที่ตรงประเด็นมาก เรียกว่า "พูดออกมาจากหัวใจ" เลย
รับรู้ได้เลยว่าประโยคนี้ เขาได้เรียนรู้และกำลังประสบมันด้วยตัวเอง
คงเป็นสิ่งที่เขาอยากจะบอกกับพวกเราผู้ยังไม่ติดเชื้อมากที่สุด
.
.
วันนี้ ตอนนี้
ท่านคงกำลังปรับตัวกับสถานการณ์วิกฤตนี้ได้
เริ่มรู้จังหวะอยู่บ้านบ้าง อาจจะหาโอกาสออกไปข้างนอกบ้าง
พออยู่คนเดียวเหงาๆ เบื่อๆ ก็หาทางไปรวมกลุ่มกันบ้าง
ล้างมือบ้าง ล้างแล้ว ไม่ล้างก็ไม่เป็นไร
พวกนี้คนรู้จักกันทั้งนั้น ใกล้กันหน่อยก็คงได้มั้ง
.
.
"ไม่เป็นไร" "ก็ได้" บ่อยๆ เข้า
หารู้ไม่ว่านั่นคือ "ความเคยชิน"
ที่กำลัง "เปิดช่อง" ให้เกิดโอกาสติดเชื้อ
.
.
พระพุทธเจ้าหลังจากตรัสรู้แล้ว
มีธรรมะข้อหนึ่งที่พุทธองค์ทรงตรัสสอนทุกวันๆ ละ ๒ ครั้ง
.
.
ลองคำนวนดู ๔๕ ปีๆ ละ ๓๖๕ วันๆ ละ ๒ ครั้ง
รวมเป็น ๓๒,๘๕๐  ครั้ง ที่พระพุทธองค์ทรงเตือนว่า
"อย่าประมาท"
.
.
ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสถามกะพระอานนท์ ว่า
"ดูก่อน อานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง"
พระอานนท์​ ผู้พุทธอุปฐาก กล่าวตอบ
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันละ ๗ ครั้งพระเจ้าข้า"
"ยังห่างมาก อานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก"

——

"นึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก" และ
"อย่าคิดว่าคุณจะไม่ติดไวรัสนี้  แม้แต่วินาทีเดียว"
.
.
เป็น ๒ ประโยคนี้มีความหมายเดียวกัน
คือ "อย่าประมาท"
.
.
หากท่านอ่านมาถึงบรรทัดนี้
หมายความว่า ท่านกำลังมีชีวิตอยู่
ด้วยเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมดทั้งมวล "ในอดีต"
ทำให้ท่านยังอยู่กลุ่มที่ยังมีชีวิต และยังไม่ติดไวรัส
.
.
แต่อะไรๆ ก็ไม่แน่ สำหรับวิกฤตการณ์นี้
จุดเปลี่ยนอยู่ที่ ท่าน "เคยชิน" หรือ "รู้สึกตัว"
และมันมีความสำคัญถึงชีวิต
.
.
การไม่ระมัดระวัง ทำสิ่งเดิมๆ ตามความเคยชิน
ก็ไม่ต่างจาก "กบ" ไม่ประสีประสา นอนแช่น้ำอุ่น
.
.
การไม่เชื่อฟังคำแนะนำของแพทย์และรัฐบาล
แล้วไม่สนใจอะไร ก็ไม่ต่างจากการปิดฝาหม้อเสีย
แล้วยอมโดนต้มแต่โดยดี
.
.
หากท่านหวงแหน และยังยินดีกับชีวิตที่มีอยู่
ขอจงสร้างเหตุปัจจัยใหม่ ในปัจจุบัน!
.
.
ยินดีปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และรัฐบาล
ยินดีที่จะระมัดระวังตัว
ยินดีกับการอยู่คนเดียว
.
.
ยินดีกับการรู้สึกตัว
ยินดีกับลมหายใจ
"ยิ้ม" และ "หายใจ" ให้กับชีวิตและทุกสิ่ง
.
.
ท่านจะปลอดภัยทั้งกายและใจ

——

แม้นม่านหมอกแห่งความกลัว ยังไม่หมดไป
แม้นแสงร่ำไรแห่งความหวัง ยังส่องมาไม่ถึง
ขอให้ยืนหยัดบนสองเท้า ด้วยจิตคิดคำนึง
ว่านี่เป็นอีกวันหนึ่ง เพื่อยินดีกับชีวิตและความจริง

——

อปฺปมาโท อมตํ ปทํ    ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
อปฺปมตฺตา น มียนฺติ    เย ปมตฺตา ยถา มตา ฯ
.
.
ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย
ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย
คนไม่ประมาท ชื่อว่าย่อมไม่ตาย
คนประมาทเหมือนคนตายทั้งเป็น... ส.หลก