ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ฟันหมา / DOGTOOTH....มันคือโลกที่ผู้นำเป็นใหญ่ (บทวิจารณ์)

เริ่มโดย คุณาพร., 15:35 น. 31 ธ.ค 54

คุณาพร.

ฟันหมา / DOGTOOTH....มันคือโลกที่ผู้นำเป็นใหญ่ (บทวิจารณ์)


ช่วงเวลาส่งท้ายปี 2554 ผมมีเวลาว่างเพียงเล็กน้อยเลยใช้เวลาช่วงนี้แอบชมหนังนอกกระแส-หายากเรื่องหนึ่ง ตอนแรกกะว่าจะไปหาโหลดเอาจากเว็บบิททอเร้น แต่เพราะความขี้เกียจและเห็นมีหนังเรื่องนี้แอบฉายอยู่ในคลับแห่งหนึ่งอยู่แล้ว เลยไม่รีรอที่จะเข้าไปดูด้วยความอยากรู้
 
                  เคยเห็นหนังเรื่องนี้ปล่อยให้โหลดในเว็บบิททอเร้นนานแล้วแต่ไม่มีความคิดอยากจะโหลดมาชมเพราะมองดูหน้าปกหนังแล้วไม่เกิดแรงดึงดูดหรือกระตุ้นให้อยากดูเท่าไรนัก  ปกหนังเรื่องนี้อาจแค่สร้างความสงสัยในสิ่งที่ซ่อนแอบอยู่ภายในมากกว่าว่ามีแนวทางการนำเสนออย่างไร  เป็นอะไร  และแปลกแค่ไหน  แต่แล้วมีอยู่วันหนึ่งที่ผมเผลอเข้าไปในห้องฉายหนังของคลับแห่งหนึ่ง  มีหนังเรื่องนี้แสดงอยู่หน้าแรกๆ  เข้าไปอ่านไตเติ้ลใต้ปกหนังซึ่งมีเขียนไว้อย่างน่าสนใจ  ดังนี้

                  " นี้เป็นหนังจากประเทศกรีก  ผกก. ทำหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 ในชีวิต แต่มันกลับกวาดรางวัลไปมหาศาลประหนึ่งหนังจากผกก.ชั้นเซียน หนึ่งในนั้นคือ Prix Un Certain Regard จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ ปี 2009 (เป็นรางวัลสายรองที่จัดประกวด รางวัลนี้เจ้ยเคยได้มาแล้วจากสุดเสน่หา) หนังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสก้าร์ปี 2010 สาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยม เป็นหนังครอบครัวที่ได้รับการกล่าวขวัญว่าเลือดเย็น และชวนตระหนก ประหนึ่งผลงานของมิคาเอล ฮาเนเก้ ผกก. Funny Game, Hidden หนังเคยมาฉายในบ้านเรา ตอนเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2009 และทุกคนที่ได้ดูต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า แรงงงง นี้ไม่ใช่หนังสยอง แต่เป็นหนังป่วยจิต และนี้ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน " (วาทะของคุณหนึ่งจากคลับสยอง)

                   DOGTOOTH หนังเสื่อมจากแดนเทพนิยายกรีกในปี 2009 ผลงานการกำกับของ Giorgos Lanthimos บทหนังโดย Giorgos Lanthimos เเละ Efthymis Filippou นักแสดงนำในหนังประกอบไปด้วย Christos Stergioglou, Michele Valley เเละ Aggeliki Papoulia หนังออกฉายครั้งแรกในวันที่ 11 พฤศจิกายน ปี 2009 (ในประเทศกรีก) โดยใช้ชื่อในการฉายว่า DOGTOOTH หรือ Kynodontas โดยได้รับการจัดให้เป็นหนังในแนว Drama (ความยาวของหนังประมาณ 94 นาที)

                   DOGTOOTH เล่าเรื่องเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวสุดแปลกแยกครอบครัวหนึ่งในสังคมกรีกชน ประกอบไปด้วยพ่อ-แม่(วัยผู้ใหญ่อายุราว 45-55 ปี) และลูกๆอีก 3 คน(พี่สาว, น้องชาย  รวมถึงน้องสาวคนสุดท้อง / อายุทั้งสามน่าจะไล่เลี่ยกันที่ 20 ต้นๆ) ด้วย Character ของพ่อที่โดดเด่นสามารถขีดสร้างอำนาจสำแดงการตัดสินใจในทุกๆเรื่อง และทุกๆคนในครอบครัวก็ต้องเข้าใจรวมถึงปฏิบัติตามในสิ่งที่พ่อสั่งอย่างเคร่งครัด  พ่อสร้างบ้านหลังน้อยของตนเองให้กลายเป็นวิมานใน Control ของตนอย่าสมบูรณ์ รวมทั้งสร้างกรอบ-กฎขึ้นมาดั่งใจปรารถนา  ภรรยา-แม่ของลูกๆถูกขีดกรอบให้อยู่อาศัยแต่ในบริเวณบ้านห้ามออกไปไหนนอกบริเวณจนกว่าจะได้รับคำสั่ง ลูกๆทั้งสามถูกขีดเส้นให้มีชีวิตอยู่แต่ภายในรั้วบ้านหลังน้อย โดยมีพ่อและแม่เป็นผู้กรอกข่าวสารฝังหัวทั้งสามว่า "ข้างนอกมีแต่อันตราย สิ่งต่างๆล้วนอันตราย จงเชื่อฟังผู้ปกครองแล้วจะมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย"

                   จึงไม่แปลกที่ในหนังเรื่องนี้จะมีหลายๆฉากที่ทำเอาคนดูหนังถึงกับส่ายหน้า  DOGTOOTH เล่าถึงลูกชายคนกลางที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านและพบแขกแปลกหน้าผู้มาเยือนเป็นแมวบ้านหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู  ด้วยความที่สามพี่น้องถูกหัวหน้าครอบครัวเลี้ยงดูแบบกักบริเวณมาทั้งชีวิต เด็กหนุ่มอายุ 20 ต้นๆในชีวิตไม่เคยพบเจอแมวมาก่อน พี่สาวและน้องสาวต่างวิ่งเข้าไปอยู่ในบ้าน กอดกันตัวสั่นเพราะไม่เคยเจอแมว คิดว่าสิ่งมีชีวิตตนนี้มีอันตรายอย่างใหญ่หลวงกับชีวิต น้องชายใช้มีดตัดหญ้าฆ่าแมวน้อยตายคาสนามหญ้าหน้าบ้านด้วยความหวาดกลัวว่า "แมวคือศัตรู"  ผู้เป็นพ่อเมื่อรู้ว่าบุตรชายคนกลางฆ่าแมวในสนามหญ้าหน้าบ้านตายอย่าชวนสยดสยองจึงรีบขับรถกลับจากสถานที่ทำงาน ถึงบ้านก็เอาน้ำแดงราดตัวแล้วบอกกับลูกๆทั้งสามว่า "พี่ชายคนที่พ่อขับไล่ออกไปจากบ้านเพราะไม่เชื่อฟังคำสั่งของพ่อนั้น บัดนี้ได้ถูกแมวฆ่าตายที่หน้าบ้านเสียแล้ว เลือดของพี่ชายลูกเลอะเต็มตัวพ่อ  พ่อพยายามแล้วแต่ช่วยพี่ของลูกๆไว้ไม่ทัน เพราะฉะนั้นลูกๆทั้งสามต้องเรียนรู้ที่จะสู้กับภัยที่จะเข้ามาหาในภายภาคหน้า  ข้างนอกนั้นอันตรายมาก ถ้าเชื่อฟังคำสั่งของพ่อแล้วลูกทั้งสามจะปลอดภัย"  ปรากฏลูกๆทั้ง 3 ต่างร้องไห้กับระงม และเชื่อในสิ่งที่พ่อสั่งไว้ทุกประการ

                   มีอยู่ฉากหนึ่งที่เด็กสาวและเด็กชายต่างแสดงความไร้เดียงสาประหนึ่งผ้าขาวอันบริสุทธิ์(ทั้งๆที่มันควรจะละเลยวัยดังกล่าวมานานมากแล้ว) เด็กสาววัย 20 ต้นๆถามผู้เป็นแม่ว่ารู้จักรึเปล่าว่าคำว่า cunt (อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง) แม่นั่งนิ่งแล้วถามว่าลูกไปได้ยินมาจากไหน ลูกสาวตอบกลับมาว่าได้อ่านมาจากปกของวีดีโอเรื่องหนึ่ง แม่จึงอธิบายว่า "cunt หมายถึง โคมไฟส่องสว่างอันใหญ่ มันเป็นสิ่งที่ดี" ส่วนลูกชายก็ถามแทรกขึ้นมาว่าแล้วคำว่าซอมบี้หมายถึงอะไร เคยได้ยินเด็กสาวที่มาเยี่ยมเยือนบ่อยๆพูดว่า "ผมหน้าเหมือนซอมบี้เข้าไปทุกที" คนเป็นแม่อธิบายให้ฟังว่า "ซอมบี้ หมายถึง ดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กๆที่แสนสวยงามจ๊ะ" ลูกๆทั้ง 3 ต่างได้ฟัง-รับรู้ จึงอมยิ้มกันแก้มป่อง และภูมิใจกับสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้ในดินเนอร์ค่ำคืนนี้

                  พ่อและแม่มักสอนอยู่เสมอ(พูดกรอกใส่หัวลูกๆอยู่เสมอๆ)ว่า "โลกภายนอกอาณาบริเวณรั้วบ้านนั้นอันตรายมากๆ ถ้าลูกทั้งสามไม่แข็งแกร่งพอจะเป็นอันตราย  หากเมื่อใดก็ตามที่ลูกทั้งสามแกร่งพอ  ทำทุกเรื่องได้อย่างเข้มแข็งแล้ว  วันนั้นเอง ฟันหมา ของลูกจะหักลงและลูกจะได้ในทุกสิ่งที่ปรารถนา / ฟันหมา หมายถึง ฟันที่เป็นเขี้ยวด้านบนทั้งซ้ายและขวา  ข้างใดข้างหนึ่ง" บทส่งท้ายของหนังเรื่อง DOGTOOTH ก็คือลูกสาวคนโตในเรื่องใช้ DUMBBELL อันขนาดพอดีมือฟาดเข้าไปที่แก้มข้างขวาจนฟังหมาหักออกจากกรามอย่างน่าสยดสยอง  เธอกำลังยิ้ม-ยินดีปรีดาในอิสรภาพที่ใกล้เข้ามา อิสรภาพที่ทั้งชีวิตเธอไม่เคยสัมผัส เธอเข้าไปแอบหลบอยู่หลังท้ายรถเก๋งของผู้เป็นพ่ออย่างมีความหวัง  จวบจนคนทั้งบ้านออกตามหาเธอ  แต่หายังไงก็หาไม่พบ  พ่อบอกว่า "เธอทำผิดกฎ-เธอออกนอกเขตที่พ่อกำหนดให้ทุกชีวิตในบ้านดำรงอยู่ เธอเป็นคนไม่ดี"  แล้วพ่อก็ขับรถออกไปทำธุระในเมืองโดยทิ้งปัญหาเรื่องลูกสาวคนโตหนีออกจากบ้านไป  แม่และลูกอีกสองคนได้แต่คลานเห่าหอนด้วยความอาลัยลูกที่หายไป  อาลัยอยู่แต่ในรั่วบ้าน  เพราะไม่ได้รับคำสั่งจากเจ้าของบ้านยังไงก็ไม่มีสิทธิ์ออกมาข้างนอก มันเป็นกฎของบ้านหลังนี้  ฝ่ายลูกสาวคนโตเธอแอบหลบอยู่ในท้ายรถของพ่อ  พ่อขับออกไปโดยไม่รู้ว่ามีลูกสาวแอบซ่อนตัวอยู่ในท้ายรถเก๋ง  หนังยังดำเนินเรื่องไปจนสุดทาง กล้องซูมไปยังท้ายรถเก๋งของพ่อ  ปราศจากวี่แววของสิ่งมีชีวิต  ไร้การเคลื่อนไหวใดใดทั้งสิ้น  เธอคงกำลังฝันหวานถึงอิสรภาพที่จะได้รับในไม่ช้า

                   DOGTOOTH เปรียบเสมือนโลกแห่งหนึ่งที่ชนชั้นผู้นำผู้เป็นใหญ่สามารถสร้างความถูกต้องชอบธรรมให้กับตนเองและพวกพ้องได้อย่างชาญฉลาด สร้างสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูก ชี้นกให้เป็นไม้ ชี้หมาให้เป็นแมว ครอบงำความนึกคิด การกระทำของผู้อยู่ใต้การบังคับปกครองอย่างเบ็ดเสร็จ เป็นการล้างสมอง (Brainwashing) ที่สมบูรณ์แบบ ลูกสาวคนโตในสายตาผู้ปกครองอาจเป็นแค่เพียง "ผู้ลุกขึ้นต่อต้าน" ซึ่งสังคมเผด็จการไม่เป็นที่ยอมรับ และสมควรได้รับการลงโทษขั้นรุนแรง  หากมองกันดีๆแล้ว      DOGTOOTH มีอะไรที่คล้ายกับ A Serbian Film หนังต้องห้ามของประเทศเซอร์เบียอยู่มาก  การนำเสนอตามกรอบแนวคิดของสังคมเผด็จการ "การถูกครอบงำโดยชนชั้นปกครองที่มีอำนาจสูงกว่า" แต่การนำเสนอแตกต่างกัน (A Serbian Film ขายภาพความรุนแรง แต่ DOGTOOTH ขายภาพความเจ็บป่วยของหนังเป็นหลัก) ทั้งสองเรื่องนี้ล้วงนำเสนอความเหมือนที่แตกต่างในกรอบตรรกะเดียวกันอย่างแยบยล

                   การล้างสมองมนุษย์ (Brainwashing) ที่หลายๆคนเชื่อและเข้าใจนั้นเป็นเช่นไร เลยไปทำการค้นคว้ามาประกอบการเขียนบทความตัวนี้เสียหน่อย ได้หนังสือที่ท่านกิติกร มีทรัพย์ (นักจิตวิทยา / ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านจิตวิทยากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และฯลฯ) ได้แสดงทรรศนะเอาไว้เกี่ยวกับการล้างสมองมนุษย์ หรือ Brainwashing มีดังนี้ 

                   เบรนวอชิ่ง (Brainwashing) คือ "การล้างสมอง" หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "การปฏิรูปความคิด" (thought reform) รู้กันว่าใช้เทคนิคซับซ้อนมาก แต่รู้จักในรายละเอียดน้อยมาก อันมีความหมายว่าน่าหวาดกลัว เริ่มด้วยการใช้โฆษณาชวนเชื่ออย่างหนักกับเหยื่อซึ่งอยู่ในสภาพเครียดจัดทั้งร่างกายและจิตใจ
                   นักจิตวิทยาส่วนมากต่างรู้กันดีว่าการล้างสมองนั้นใช้กับพวกหัวแข็งต่อรัฐบาล(เผด็จการ)และเชลยสงคราม โดยเฉพาะในสงครามเกาหลี ในห้วงแรกของสงครามเกาหลีเชลยสงครามที่ถูกจับกุมได้ถูกชักนำให้เชื่อในลัทธิมาร์กซ์ และเผยแพร่ความเชื่อนั้นๆผ่านวิทยุกระจายเสียง เชลยศึกเล่าว่าในเบื้องต้นพวกเขาจะถูกทรมานอย่างสาหัส เช่น ถูกเฆี่ยนอย่างรุนแรง อดอาหาร อดน้ำ ตากอากาศหนาวจัดโดยมีเสื้อผ้าน้อยชิ้นและถูกทรมานสารพัด จากนั้นเทคนิคในการพูดคุย ปลอบโยนอย่างเห็นใจได้ถูกนำเข้ามาใช้อย่างถูกจังหวะกับความต้องการของเหยื่อ เพื่อทำให้เหยื่อตกอยู่ในสภาพดีดีดี (DDD) คือไร้ความสามารถ (debility) เกิดการพึ่งพิง (dependence) และกลัวตาย (dread) เหยื่อจะต้องตกอยู่ในสภาพสามประการนี้ทุกราย ก่อนจะถูกกระทำในขั้นตอนต่อไปคือ
                   กลยุทธ์ที่หนึ่ง  :  คือ ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว ทุกคนถูกจัดให้แยกกันอยู่และต่างได้รับข่าวสารและคำบอกเล่าบางอย่าง อันจะก่อให้เกิดความหวาดระแวง สงสัย และทำลายความใกล้ชิดระหว่างเชลยสงครามด้วยกันทีละน้อยๆ และมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเชลยสงครามบางคนถูกจัดให้ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ไม่ได้เห็น ไม่ได้สัมผัส และไม่ได้ยินสรรพสำเนียงใดที่เรียกว่า เซนซอรี่ เดปริเวชั่น (sensory deprivation) กระบวนการเหล่านี้จะทำลายขวัญและความรักพวกพ้อง-เอซ พรี เดอ คอร์พส์ และนำไปสู่การเพิ่มพูนความอ่อนแอมากขึ้นเรื่อยๆ
                   กลยุทธ์ถัดมา  :  คือ การควบคุมความคิด (thought control) เหยื่อจะถูกเสนอให้เลือกระหว่างการให้ความร่วมมือหรือถูกทรมาน (อดอาหาร อดน้ำ ทนหนาว หรือถูกฆ่า) เหยื่อจะสับสนมากเพราะไม่รู้จะเลือกอะไร บางครั้งถูกกระทำรุนแรง แต่บางครั้งก็นุ่มนวลเป็นมิตร การถูกกระทำเช่นนี้เหยื่อจะตกอยู่ในภาวะกลัวตาย วิตกกังวล และผิดบาป ขณะเดียวกันก็รู้สึกสับสนไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไรดี
                   กลยุทธ์อันที่สาม  :  คือ เงื่อนไขการเมือง เหยื่อจะได้รับการบรรยายหลักการคอมมิวนิสต์ซ้ำๆหลายครั้ง เหยื่อคนใดให้ความร่วมมือก็จะได้รางวัลใครคัดค้านก็จะได้รับการลงโทษ ยิ่งกว่านั้นเหยื่อที่เชื่อในคำสอนก็จะได้รับการตอบสนองดีเป็นพิเศษ
                    จากการติดตามผลของการล้างสมองเฉพาะสงครามที่เป็นทหารอเมริกันครั้งสงครามเกาหลี พบว่าน้อยมากที่เปลี่ยนความคิดไปนิยมคอมมิวนิสต์ ที่เป็นเช่นนั้นวิเคราะห์ได้ว่าการใช้วิธีทางลบ (negative approach) เป็นบทเริ่มต้นของการล้างสมองน่าจะสู้วิธีทางบวก (positive approach) ไม่ได้ โดยเฉพาะในกลยุทธที่หนึ่งและสอง ซึ่งการทำเบรนวอชิ่งในปัจจุบันโดยเฉพาะในธุรกิจการขายและการก่อม็อบ(mob) จะใช้วิธีทางบวกด้วยเทคนิคที่แนบเนียน แยบยลโดยเหยื่อไม่รู้ตัว และได้ผลดี ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าในห้างสรรพสินค้าหรือม็อบหน้าทำเนียบรัฐบาล  การล้านสมองหรือเบรนวิชิ่งเป็นคำของนักเขียนนวนิยายการเมืองที่เปรื่องปราดผู้หนึ่งนาม จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) ชาวอันกฤษผู้มีชีวิตอยู่ห้วงปี 1903-1950 (กิติกร มีทรัพย์, ซีโนโฟเบีย : กลัวคนแปลกหน้า, 2548)

                  นอกจากนี้ Lev Vygotsky (เลฟ วีกอตสกี)นักจิตวิทยาชาวรัสเซียเชื้อสายยิวยังได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูก / ฝังค่านิยมความเชื่อบางประการ(ดังที่ผู้ใหญ่ต้องการ / ผู้ปกครอง)ให้กับเด็กโดยผ่านทฤษฎีของวัฒนธรรมและสังคมที่ว่า "ทฤษฎีของวัฒนธรรมและสังคม : ทฤษฎีนี้กล่าวว่า สังคมและวัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งที่จะส่งเสริมความฉลาดและกระบวนการเรียนรู้ในพัฒนาการของเด็ก วีกอตสกี เชื่อว่า ตัวเรามีปฏิกิริยามีสื่อสัมพันธ์กับสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งจะทำให้เราเป็นมนุษย์ที่มีความฉลาดและแตกต่างจากสัตว์ เด็กเรียนรู้สัญลักษณ์ต่าง ๆ และคำพูดเป็นครั้งแรกจากสังคม ซึ่งความฉลาดความสามารถในการสื่อสารด้านภาษานี่เองเป็นพื้นฐานที่ทำให้เด็กแตกต่างจากสัตว์  นักการตลาดเเละนักธุรกิจที่เชี่ยวชาญสามารถทำให้สัญลักษณ์ของรายการโทรทัศน์ประทับอยู่ในสมองเด็ก ฉะนั้นรายการโทรทัศน์จึงสามารถทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ ปัญหาอยู่ที่ว่ารายการโทรทัศน์สอนอะไรให้เด็ก เด็กเรียนรู้อะไรจากโทรทัศน์ รายการโทรทัศน์จะมีผลกับกลุ่มเด็กโตมากกว่ากลุ่มเด็กเล็ก เด็กเล็กจะไม่ยึดติดกับรายการ เด็กโตนั้นจะได้รับเเรงกดดันจากเพื่อน เพื่อนมีอะไรก็ต้องมีบ้าง โทรทัศน์จึงมีอิทธิพลต่อกลุ่มเด็กโตมาก"

                  ซึ่งจากการที่ศึกษาแนวคิดของ เลฟ วีกอตสกี และกิติกร มีทรัพย์ อาจทำให้เรามองเห็นภาพบางสิ่งบางอย่างในหนังเรื่อง DOGTOOTH ว่ามีส่วนคล้ายกับแนวคิดที่นำเสนอทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการฝังความนึกคิดของผู้เป็นพ่ออันเป็นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจที่สุดภายในโลกแห่งนั้น ฝังความนึกคิด แบบแผนตามที่เขาต้องการสู่เด็กทั้งสาม แม้แต่สื่อโทรทัศน์ หนังสือ และฯลฯ ที่ลูกๆทั้งสามจะรับ / เสพในชีวิตประจำวันต่างถูกคัดกรอง เลือกสรรโดยผู้เป็นพ่อ  ลูกๆจึงเป็นเพียงผู้เสพสื่อตามแต่ที่จะได้รับมอบมาเพียงแค่นั้น  ไร้ซึ่งอิสระอย่างแท้จริง เป็นการควบคุมความคิด (thought control) เป็นการให้ข้อมูลตามที่ต้องการของผู้ปกครอง คนใดให้ความร่วมมือก็จะได้รางวัล(เช่น สติ๊กเกอร์ติดหัวเตียงนอน)ใครคัดค้านก็จะได้รับการลงโทษ(เช่น ถูกทุบหัวด้วยม้วนวีดีโอเทป)

                 บทส่งท้าย  :  ฟันหมา / DOGTOOTH คงเป็นหนังยุโรปดำเนินเรื่องแบบเนิบเนิบ เชื่องช้า ร้ายลึก เจ็บป่วยทางจิต ประหนึ่งความเงียบอันแสนบ้าคลั่ง  ไม่ใช่หนังขายภาพแขวะ-รุนแรง  แต่เจ็บป่วยทางจิตแบบเข้าขั้นอันตราย หนังสะท้อนให้เห็นถึงพิษภัยของลัทธิการปกครองแบบเน้นผู้นำสูงสุดเป็นพระเจ้า  ผู้นำว่ายังไงผู้อยู่ใต้ลัทธิการปกครองต้องว่าตามกัน  ไร้ซึ่งอิสรเสรี  หนังคล้ายๆกับจะบ่งชี้ในทำนองหากโลกแห่งนั้นขาดผู้นำที่จะต้องเป็นคนๆนี้แล้วทุกคนจะมีภัย-ไม่ปลอดภัย  การถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กย่อมส่งผลอย่างรุนแรงแบบรุ่นต่อรุ่น  ยิ่งรุ่นหลังๆยิ่งฝังลึกจมดิ่ง หนังเรื่องนี้จึงสยองเพราะภาพรวมที่เราได้รับรู้  หนังสร้างอารมณ์ขนลุกเพราะเราไม่คิดว่าผู้ปกครองจะสร้างโลกให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาแบบนี้ หนังเรื่องนี้เลือดไม่สาด  ไม่รุนแรง แต่เป็นหนังป่วยจิตแบบสุดขั้ว และนี่ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน

บทความโดย  :  samara17520

ภาพประกอบจากหนังเรื่อง ฟันหมา / DOGTOOTH ที่มาของภาพประกอบ  :  คลับสยอง / ห้อง NC-20

















             
   
ส.อ่านหลังสือ ส.อ่านหลังสือ ส.อ่านหลังสือ ส.อ่านหลังสือ ส.อ่านหลังสือ

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

  ดูหนังเรื่อง ฟันหมา จบ......เขียนเเสดงความรู้สึกเพียงเล็กน้อย 
  ผมนึกถึงการปกครองของประเทศๆหนึ่งที่เพิ่งสูญเสียผู้นำไปนะ

  เป็นความเหมือนในความเเตกต่าง  เเต่ตรรกะเดียวกัน   ส.อ่านหลังสือ

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0