ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ตลาดยรรยงเสียงดังมาก

เริ่มโดย อีกที, 18:30 น. 17 พ.ค 62

อีกที

ทำอย่างไรดี  เสียงเพลงเปิดดังมาก
สงสัยต้องแจ้งนักข่าวมาสัมภาษณ์
เจ้าของเจ้าของตลาดกระมัง
วันนี้เริ่มก่อนนี้ครึ่งชั่วโมง  จะหยุดเมื่อไหร่

อีกคน

เห็นด้วยแล้ว  วันนี้ดังราวกะลำโพงแตก  แต่ใช้เวลาไม่นาน

มาฟังเถิดเจ้าของตลาด

ตอนนี้เวลา 23.10 น.  ยังเปิดเสียงดีงแบบขาใหญ่ตลาดยรรยง
นอกจากทำข่าวให้ดังเท่านั้นเสียงนี้จึงจะหยุดได้    นักข่าวไปามภาษณ์จ้าของตลาดทีเถิด   ได้บุญมาก

เจ้าของตลาดโปรดทราบ

วันนี้เสียงเพลงดังจนเวลานี้ 21.15 น
คงต้องร้องเรียนไปยังหนังสือพิมพ์
เจ้าหน้าที่บ้านเมืองแล้วกระมัง

กบแดง ทำมาหาโกย

ที่มาของคำว่า "สังคายนา" และ "เถรวาท"
และ ความหมายที่ถูกต้อง(ต่างจากที่เข้าใจกันทั่วๆไป)

"วิธีการสังคายนา ที่เรียกว่า วิธีการร้อยกรองหรือรวบรวมพระธรรมวินัย หรือประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็คือ นำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาแสดงในที่ประชุม แล้วก็มีการซักถามกัน จนกระทั่งที่ประชุมลงมติว่าเป็นอย่างนั้นแน่นอน เมื่อได้มติร่วมกันแล้วในเรื่องใดก็ให้สวดพร้อมกัน

การสวดพร้อมกันนั้น แสดงถึงการลงมติร่วมกันด้วย และเป็นการทรงจำกันไว้อย่างนั้นเป็นแบบแผนต่อไปด้วย หมายความว่า ตั้งแต่นั้นไปคำสอนตรงนั้นก็จะทรงจำไว้อย่างนั้น เมื่อจบเรื่องหนึ่งก็สวดพร้อมกันครั้งหนึ่ง อย่างนี้เรื่อยไป (สังคายนาครั้งแรก)ใช้เวลาถึง ๗ เดือน

การสวดพร้อมกันนั้น เรียกว่า "สังคายนา" เพราะคำว่า สังคายนา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สังคีติ" แปลว่า สวดพร้อมกัน

คายนา หรือ คีติ (เทียบกับ คีต ในคำว่า สังคีต) แปลว่า การสวด
สํ (สัง) แปลว่า พร้อมกัน
สังคายนา ก็คือ สวดพร้อมกัน ถ้าเป็นชาวบ้านก็ร้องเพลงพร้อมกัน

เป็นอันว่า ผ่านเวลาไป ๗ เดือน พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ก็ได้ทำสังคายนา ประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นมติร่วมกันได้เรียบร้อย คำสอนที่รวบรวมประมวลไว้นี้ เป็นที่มั่นใจ เพราะทำโดยท่านที่ได้ท้นรู้ ทันเห็น ทันเฝ้า ทันฟัง จากพระพุทธเจ้าโดยตรง

คำสอนที่ลงมติกันไว้อย่างนี้ ซึ่งเรานับถือกันมา เรียกว่า "เถรวาท" แปลว่า คำสอนที่วางไว้เป็นหลักการของพระเถระ คำว่า "เถระ" ในที่นี้ หมายถึง พระเถระ(พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์)ผู้ประชุมทำสังคายนา ครั้งที่ ๑ ที่ว่าไปแล้วนี้

พระพุทธศาสนาซึ่งถือตามหลักที่ได้สังคายนาครั้งแรก ดังกล่าวมานี้ เรียกว่า "เถรวาท" หมายความว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คือ พระธรรมวินัย ทั้งถ้อยคำและเนื้อความอย่างไร ที่ท่านสังคายนากันไว้ ก็ทรงจำกันมาอย่างนั้น ถือตามนั้นโดยเคร่งครัด

เพราะฉะนั้น จึงต้องรักษาแม้แต่ตัว"ภาษาเดิม"ด้วย หมายความว่า รักษาถ้อยคำข้อความดั้งเดิม ที่เป็นของแท้ของจริง ภาษาที่ใช้รักษาพระธรรมวินัยไว้นี้ เรียกว่า "ภาษาบาลี"

เพราะฉะนั้น คำสอนของเถรวาทจึงรักษาไว้ในภาษาบาลีตามเดิม คงไว้อย่างที่ท่านสังคายนา"

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ปาฐกถาธรรม เรื่อง "พระไตรปิฎก กับ การธำรงพระพุทธศาสนา"
เป็นวีดิทัศน์ ฉายในวันสมโภชพระไตรปิฎก ฉบับแปลภาษาไทย ของ มจร. ณ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๒

หมูแดง​ ลูกประทัด


ตัวทำเสียงดังอยู่ที่ไหน?...  ส.หลก

วินกบหมู(แดง)

สร้างบุญอย่างไร
ให้กรรมเปลี่ยน
ทำง่ายได้ผลจริง !!!
สร้างบุญเปลี่ยนกรรม "เข้าใจกรรมและการสร้างบุญ"
เชื่อว่าสิ่งที่คนเราทุกคนนั้นต้องการก็คือความสุข ซึ่งก็น่าจะหมายถึง การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน การมีครอบครัวที่อบอุ่น มีเงินทองมากพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองและคนที่ตนเองรักได้อย่างไม่ขัดสน
หรือความสุขของบางคนอาจหมายถึง การมีเงินทองมากมายในระดับเป็นเศรษฐีทุกอย่างไม่ใช่เรื่องผิดปกติใคร ๆ ก็ต้องการเรื่องแบบนี้ทั้งสิ้น
แต่คนจำนวนมากที่ต้องดิ้นรนต่อสู้แล้วยังไม่พบทั้งสองอย่างก็คือ ทั้งความสุขและความมั่งมี เพราะว่ายังขาดความเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมดีพอ คือทั้งในด้านกรรมทางโลกอันหมายถึง การลงมือกระทำงานที่ถูกต้อง การมีเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพในการใช้หาเงิน รวมไปถึงการมีเพื่อนฝูงที่ดีไว้ใจได้เป็นกัลยาณมิตร
ส่วนในทางธรรมคือ กรรมที่คอยเกื้อหนุนอันหมายถึง กรรมดี หรือ "บุญ" รวมไปถึงกรรมที่เป็นอกุศลคอยฉุดดึงให้ชีวิตร่วงลงเหวหรือพานพบกับอุปสรรคมากมายคือ "บาป" กรรมในด้านนี้เองที่แม้แต่คนร่ำรวยอยู่แล้วบางครั้งก็ยังไม่อาจเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง จนบางครั้งทำให้เกิดความประมาทหลงเดินผิดพลาดจนสุดท้ายชีวิตเข้าสู่หายนะในบั้นปลาย
หากใครพอจะจำเจ้าพ่อตลาดหุ้นอย่าง นายเบอร์นาร์ด เมอร์ดอฟ (Bernard Madoff) ก็คงจะเป็นอุทาหรณ์ที่ดีในการขาความเข้าใจเรื่อง "กรรม" นายเบอร์นาร์ดนั้นเป็นถึงประธานตลาดหุ้นใหญ่ที่มีชื่อเสียงก้องโลกแต่กลับใช้ความน่าเชื่อถือที่มีกระทำการทุจริตนำเงินได้มาจากการระดมเงินทุนของนักธุรกิจทั้งหลายโดยใช้ชื่อเสียงของตนบังหน้าแล้วเอาไปเล่นแชร์ลูกโซ่
จนเกิดความหายนะไปทั้งวงการตลาดการเงินหลายบริษัทต้องล้มครืน สุดท้าย ถูกลูกชายของตัวเองแจ้งจับติดคุกติดตะรางยาวนานถึง 150 ปี! และต้องสูญสิ้นทรัพย์สินมากมายรวม 170 ล้านเหรียญสหรัฐ
"จากชีวิตที่เคยมีพร้อมทุกอย่าง กลับกลายเป็นหมดสิ้นทุกอย่างได้ในพริบตา" ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาเหล่านั้นไม่เข้าใจและเชื่อในกฎแห่งกรรมนั่นเอง ในเรื่องของความเข้าใจในกฎแห่งกรรมนี้มีความแตกต่างกันอยู่ใน 3 ระดับได้แก่
1. คนที่เชื่อในเรื่องกรรมแบบไม่สงสัย
คนที่มีความเชื่อในเรื่องกรรมแบบไม่คิดสงสัยเพราะว่า เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในชีวิตจริงที่ได้ประสบมาคือ จากที่เคยทำงานหนักด้วยความยากลำบากพอได้ กระทำความดีสร้างบุญอย่างต่อเนื่องเมื่อรวมกับการทำงานอย่างหนักและมีวิธีการที่ดีมีความถูกต้อง
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผลแห่งการกระทำดีของเขาก็ได้ส่งผล เขาจึงได้รับผลแห่งกรรมดีนั้นไป ตัวอย่างนี้เห็นได้ชัดจากเจ้าสัวในเมืองไทยหลาย ๆท่านที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามก็สามารถประสบผลสำเร็จได้อย่างง่ายดาย หยิบอะไรจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด
2. คนที่ไม่มีความเชื่อในเรื่องกรรมอยู่เลย
คนที่ไม่มีความเชื่อในเรื่องบุญกรรมเลยจะเชื่อมั่นในการกระทำของตัวเองอย่างสุดขั้วว่า "สองมือนี้เท่านั้นเป็นผู้สร้างความสำเร็จ" อย่างอื่นไม่เกี่ยวหรือไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ
บุคลิกลักษณะก็จะเป็นคนที่ตื่นแต่เช้า ทำงานอย่างขยันขันแข็งจนดึกดื่นแต่ไม่ได้สร้างบุญในทางธรรมเพิ่มและเน้นการกระทำที่ดีในปัจจุบันเท่านั้น ก็จะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
แต่ทว่าคนประเภทนี้อาจใช้เวลานานกว่าในการที่จะทำงานสร้างความร่ำรวยให้ประสบความสำเร็จ หรือไม่ก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่อาจไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตนได้ตั้งไว้จริง ๆ เรียกว่า
"ยังไม่ถึงดวงดาว" เสียที การที่ประสบความสำเร็จได้ก็เพราะกรรมดีในทางโลกที่ได้ทำไว้และกรรมนั้นเป็นแรงผลักดันให้ แต่เขาอาจไม่ยอมรับหรือไม่รู้ตัว
3. คนที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่ากรรมดีจะช่วยได้
เชื่อหรือไม่ว่าคนแบบนี้จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จน้อยที่สุด น้อยกว่าคนที่ไม่เชื่อเลยเสียอีก เพราะความเชื่อนั้นส่งผลออกมาในทางปฏิบัติ คือหากมีคนอื่นสนใจในเรื่องไหนก็มักจะทำตามในเรื่องนั้น เช่นในอดีต ที่มีการบูชาองค์จตุคามรามเทพกันมากๆ
ก็จะมีการแห่แหนบูชาตามกันมากมาย พอความนิยมเริ่มลดลงก็จะหมดความสนใจที่จะทำกรรมดีต่อไป คือทำทั้งงานและทำบุญแบบสามวันดีสี่วันเลิก และคนแบบนี้ก็นับได้ว่ามีมากที่สุดเช่นกัน
เรื่องกรรมนี้มีความสำคัญมากในชีวิตของเราทุกคนเพราะว่างานหรือกิจกรรมใด ๆที่เราต้องทำนั้นเรายังต้องอยู่ในสังคมอยู่กับคนรอบข้างและอยู่กับความเป็นจริงไม่มีใครที่สามารถจะอยู่คนเดียวได้กรรมที่ทำทุกอย่างจะมีความเกี่ยวพันกับตัวของเราเองและคนอื่นอยู่เสมอ.... ส.สู้ๆ

กบ​ อัศวินสีส้ม

#สังคมใส่หน้ากาก ยิ้มให้ไม่ได้แปลว่าจริงใจ...

ถ้าไม่อยากเป็นทุกข์... จงอย่าคาดหวังในการคบคน

คุณดีกับคนอื่น... ใช่ว่าคนอื่นจะดีกับคุณ

จงเรียนรู้ไว้ใจคน ตื้น ลึก ยากที่จะเข้าถึง

ถึงแม้คุณจะไม่เคยนินทาให้ร้ายใคร...

แต่ก็เป็นไปไม่ได้... ที่จะไม่มีใครนินทาให้ร้ายคุณ

ในสังคมที่มีแต่ผลประโยชน์... อย่าไว้ใจ หรือ ให้ใจใครมากนัก

เรื่องส่วนตัว .. อย่าป่าวประกาศให้ใครรู้มาก ถ้าไม่จำเป็น

โลกมันก็ไม่ได้แย่นักหรอก... แต่มันก็ไม่ได้สวยงามขนาดนั้น

ถ้าผูกมิตรกับใคร... แล้วมันไม่ใช่ก็แค่ถอยออกมา

รักษาระยะห่างพอสมควร... ตามมารยาทสังคม

ธรรมชาติของ "ตา" มองไม่เห็นถึง "ใจ" ดังนั้น..

ธรรมชาติของ "ใจ".. ก็ไม่ควรเชื่อใจใครด้วย "สายตา"

ยิ่งอายุมากขึ้นคุณจะยิ่งรู้ว่า ควรรักษาระยะห่างในการคบคน

เราไม่มีทางรู้หรอกว่า คนที่กำลังเข้าหาเรา

ในใจเขากำลังหวังผลประโยชน์อะไรจากเรา

สังคม "หน้ากาก" ใบหน้าฉาบด้วย "รอยยิ้ม"

อาจซ่อน "ความจริง" ไว้ข้างหลัง

กว่า... "ลายจะออก" กว่า... "หางจะโผล่"

ต้องใช้เวลาศึกษากัน ต้องเรียนรู้อีกนาน

โลกสวยมากไประวังจะกลายเป็น "โลกมืด"

ให้ไปเท่าทีได้รับ ดีมา ดีกลับ แบบแฟร์ๆ

แต่ถ้าคบแล้วมีแต่ "เสีย" ก็ไม่จำเป็นต้อง "แลก"

ล้านคน ล้านความคิด จะให้ชอบอะไรเหมือนกัน

จะให้ความคิดเห้นตรงกัน คงเป็นไปไม่ได้...!!

คนที่ "จริต" ตรงกัน แค่เห็นหน้าก็ถูกชะตา

จะพูด จะคิด จะทำอะไร "โดนใจ" ไปหมด

แต่ถ้า "ไม่ถูกชะตา" ทำอะไรก็ "ขัดหูขัดตา" ไปหมด

ถ้ามัวแต่ "แคร์" คนทั้งโลก จะใช้ชีวิตโคตรยาก

โดยเฉพาะ... คนที่ชอบวิจารณ์คนอื่นในด้านลบ

ไม่จำเป็นต้องสนใจ และ ให้ความสำคัญ

อย่าให้เสียงวิจารณ์จากคนไม่กี่คนมาทำให้เรา "ลังเล"

เราเกิดมาเพื่อ.. "ทำตามเป้าหมาย" !!

ไม่ใช่... ทำให้คนอื่น "พอใจ" !!!

มิตรแท้ ...หรือ... ศัตรู จะเผยให้เห็นชัดเจนที่สุดตอนที่คุณ " ล้ม " — feeling blessed with Kookiat Ponk and 100 others at วัดบ้านไร่...  ส.หลก