ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ตลาดยรรยงทำเราเดือดร้อนมากจากเสียงดัง มีใครช่วยได้บ้าง

เริ่มโดย เราทุกข์ทรมาณ ไม่ไหวแล้ว, 13:08 น. 10 มิ.ย 62

เราทุกข์ทรมาณ ไม่ไหวแล้ว

ตลาดยรรยงเป็นที่รู้จักกว้างขวางและชื่นชอบของคนหาดใหญ่ไม่เว้นแม้กระทั่งเรา แต่ทว่าปัญหาคือเหล่าผู้ค้าในตลาดที่ใช้เครื่องขยายเสียงที่ดังเกินควรมันทำให้เราและชาวบ้านที่เป็นคนในพื้นที่ต้องเดือดร้อน ไม่สามารถพักผ่อนได้ ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุข

การกางเต๊นท์ส่งเสียงดังช่วง 03.00 น. เป็นต้นไปเราไม่ว่านะ แต่ท่านเปิดเพลงหรรษาพวกท่านส่วนชาวบ้านเขาไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทุกวันที่มีตลาดทำให้เราไม่สามารถพักผ่อนได้จากที่เขาใช้เครื่องขยายเสียง บางวันกระจกในบ้านถึงกับสั่น บางเจ้ามีลำโพงขนาดใหญ่พร้อมด้วยแผงควบคุม (ตัว mixer มั้งไม่รู้เรียกว่าอะไร) นี่คือตัวอย่างเสียงที่ได้ยินจากในบ้าน

https://files.fm/f/e387g4pt

บางเจ้าก็มีโทรโข่งติดพิเศษสำหรับกรณีนี้เลย สูงขึ้นไปราว 4-5 เมตรเพื่อกระจายเสียง ไว้เปิดเพลงตอนประมาณ 05.30 น. เป็นต้นไป และตอนสายๆราว 07.00 น. ก็จะเริ่มประชาสัมพันธ์สินค้าในร้านไปจนถึงตอน 12.00 น.

https://files.fm/f/cmxra3fu

ไม่รู้จะแก้ยังไงแล้ว


  • เคยบอกตรงๆกับคนเปิด ก็ลดเสียงแค่วันนั้นแถมยังทำไม่พอใจใส่
  • แจ้งลุงxxxผู้ดูแลตลาดหลายรอบแล้ว เงียบแปปเดียวก็ดังเหมือนเดิม
  • แจ้งตำรวจหลายรอบแล้ว บอกให้ติดต่อเทศบาล
  • แจ้งเทศบาลก็มีเจ้าหน้าที่มาลงตรวจ เงียบไปอาทิตย์เดียวดังอีกแล้ว เราก็แจ้งไปอีกก็ได้คำตอบว่า กำลังออกหนังสือให้ผู้ดูแลตลาด พอถามว่าในระหว่างนี้ถ้าดังให้ทำยังไงก็ตอบไม่ได้ บอกเพียงรอออกหนังสือ

เราทนมาหลายปี พอดีตอนนี้มีโรคประจำตัวต้องการพักผ่อนมากๆ แต่ก็นอนไม่ได้ ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว รู้สึกชีวิตย่ำแย่กับโรคประจำตัวไม่พอมาเจอปัญหาที่ไม่ควรจะเกิดแบบนี้อีก ใครพอรู้จักพวกเขาช่วยขอร้อง ยกมือไหว้ ขอร้อง ขอความเห็นใจเราหน่อย เราไม่สามารถนอนหลับได้ เราต้องทำงานเลี้ยงครอบครัว เราทำงานคนเดียวทั้งบ้าน เราเหนื่อย เห็นใจเราหน่อยนะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน


เราทุกข์ทรมาณ ไม่ไหวแล้ว

เพิ่งเห็นว่ามีคนตั้งกระทู้เกี่ยวกับเสียงดังของบริเวณสนามยรรยงด้วย แต่เสียงไม่ได้มาจากตลาดนะ ไม่เกี่ยวกับตลาดด้วย มาจากกระบะทำเครื่องเสียงจอดอยู่บริเวณหลังร้านอาหารอีสาน ใกล้เซเว่นสนามยรรยง รู้สึกเป็น D-MAX สีดำ แต่เราว่าน่าจะมีมากกว่า 1 คัน

เราก็ได้ยิน ชอบมาเปิดหลัง 18.00 น. เป็นต้นไป บางวันปิดเที่ยงคืน ทั้งกระจกทั้งหลังคาเมทัลชีทสั่นไปหมด วิธีแก้คือโทรแจ้งตำรวจ เบอร์โทร 074-258-444 หรือ 074-257-990 โทรได้ทั้ง 2 เบอร์ บางวันเราก็แจ้งสายด่วนกุญชร 074-200-000 เขาจะมีหน่วยงานเทศกิจเข้ามาช่วยจัดการ

เมื่อวันที่ 30/5/2562 เราก็โทรแจ้งรอบแรก 19.30 น. เสียงดังไม่เลิกจน 22.06 น. เราก็โทรไปอีกรอบ ตำรวจจำได้แล้วบอก เอ้า เค้ายังเปิดอีกหรอเห็นสายตรวจลงพื้นที่แล้ว ได้ๆเดี๋ยวผมจัดการให้ วางสายไม่เกิน 1 นาที เสียงเงียบสนิทเลย

เราทุกข์ทรมาณ ไม่ไหวแล้ว



บางวันเห็นมีการนั่งดื่มสุรากันด้วยเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ไม่ยักรู้ว่าผิดจะได้แจ้งด้วย ไม่ใช่อะไร เปิดเพลงอย่างกับอยู่ในผับ T_T

เราทุกข์ทรมาณ ไม่ไหวแล้ว

วันนี้มีเจ้าหน้าที่เทศบาลมาตรวจวัดระดับค่าเสียงละ เดี๋ยวรอเก็บข้อมูลอีกทีช่วงบ่าย

ไม่รู้อะไรบันดาลใจหรือช่วงเวลานี้ผู้ค้าจะลดเสียงลงเป็นปกตินะ แต่มันเบาลงจริงในขณะทำการตรวจวัดค่า

กบแดง​ ลูกทัด


เราทุกข์ทรมาณ ไม่ไหวแล้ว

ผลการวัดเสียงออกแล้ว ค่ามาตรฐานคือ 10 เดซิเบลเอ แต่ผลที่ได้เท่ากับ 18 ซึ่งถือว่าผิดกฏหมาย เจ้าหน้าที่ทำการตักเตือน ปรากฏว่าเงียบได้ 3 วัน   มาอังคารนี้ดังอีกแล้ว ฮาโร่ย ขนาดผิดกฏหมายก็ยังเอาไม่อยู่

เราทุกข์ทรมาณ ไม่ไหวแล้ว

วันนี้พี่แกเปิดเพลงตอน 05.00 เหนื่อยใจวะครับ คงทำงานไม่ได้อีกตามเคย

เราทุกข์ทรมาณ ไม่ไหวแล้ว

ไม่มีใครอยากมีปัญหาหรอกแต่ผมคิดว่าถ้ายังไม่หยุดคงต้องจบที่ศาลแล้วล่ะ เหนื่อยมามากแล้ว เจรจามาเยอะแล้ว พอกันที

มาฟังคาราโอเกะ

มาฟังได้  เวลานี้ 21.22  น.  เริ่มมาชั่วโมงกว่าๆจากตลาดยรรยง

เราทุกข์ทรมาณ ไม่ไหวแล้ว

เรื่องบานปลายครับ ล่าสุดวันนี้เสียงดังอีกแล้ว แจ้งผู้ดูแลตลาดเช่นเดิม พอไปถึงร้านค้า ร้านค้าไม่ให้ความร่วมมือเรื่องการลดเสียง อ้างว่าทำตามกติกาที่เคยตกลงกันไว้คราวก่อน หากอยากให้ลดอีกขอให้มีการวัดเสียงตามกฏหมายอีกครั้ง (ซึ่งขณะนี้เครื่องวัดเสียงของเทศบาลอยู่ในระหว่างการ Calibrate จากนั้นถามผมว่า ผมมีปัญหาอะไรกับเขาหรือเปล่า อยากดังหรอเดี๋ยวจัดให้ เห็นว่านักเลงหรอ แล้วกล่าวว่า ได้ยินว่าผมยกพวกไป 10-20 คนไปบ้านคนดูแลตลาด นักเลงหรอ ถ้าเป็นบ้านเขาคงไม่ได้รอดออกมาหรอก  เอ่อ... ถ้าผมเป็นคนประเภทนั้นผมจะมาขอเจรจากับคุณอยู่ทำไมตอนนี้ ผมไม่พานักเลง 10-20 คนที่กล่าวอ้างมานั้นมาเจรจากับคุณแทนหรอ ผมต้องการความสงบ ผมต้องการการพักผ่อน ผมมาร่วมหาทางออกอย่างสันติ สุดท้ายก็กำหนดเกณฑ์ที่ไม่แตกต่างไปจากเดิม

ปล. ผมใช้ Application วัดเสียงจากโทรศัพท์ในการบอกว่า ดัง หรือ ไม่ดัง คร่าวๆ ซึ่งวันนี้ดังอยู่ระหว่าง 68 - 73 เดซิเบล รอบหน้าจะให้เทศบาลมาวัดอย่างเป็นทางการอีกทีเมื่อเครื่องแล้วเสร็จ


เราทุกข์ทรมาณ ไม่ไหวแล้ว

และผมไม่ได้มีเจตตาจ้องจับผิด  วันทำงานปกติผมตื่น 7.55 แต่วันนี้ผมสะดุ้งตื่นตอน 7.06 และเริ่มบันทึก VDO หลักฐานว่าเสียงมันกลับมาดังตอน 7.18 แล้วก็ดังเรื่อยเป็นต้นมา


เงียบหายไป 2 อาทิตย์แล้ว ที่ให้ความร่วมมือ  เขาเอาแต่ถามว่าผมมีปัญหาอะไรกับเขา  ผมก็ขอถามกลับเช่นกัน อยู่ดีๆเครื่องเสียงจะดังกว่าปกติที่ตกลงกันไว้ได้อย่างไร


supercell2

เอาจริงๆนะเดียวนี้โลกมันเปลี่ยนไปเยอะเลย
คนเรา มันก็เห็นเเก่ตัวเองมากขึ้น ไม่ค่อย
เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นหรอก เเบบว่าทำไปเหอะ
ทำไมต้องเเคร์คนอื่นวะประมาณนี้อะ เเบบสุดๆเลย
ลูกพี่ คิดกันได้ไงไม่่าเชื่อ ว่าจะทำกันได้ลงคอ
กับคนด้วยกันเเบบนี้ King168 อยากเอาคืนนะ เเต่เเบบ
ไม่อยากมีปัญหาเลย ปล่อยๆไปดีกว่า

แกงส้มกบ


จูน​ ขนนกยัน




นาทับ นะจ๊ะ



ส้มเจต แดงต้อย

นายส้มเจต เก็บขวดขายตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ก่อนตายยกเงินเก็บสองแสนบาทให้ลูก นายมืดดำทำงาน ร.ป.ภ บริษัทมาตั้งแต่หนุ่ม เมื่อเกษียณมีเงินเก็บหนึ่งล้านกว่าบาท เขาส่งทรัพย์สินต่อให้ลูกสองคน นายแดงต้อย เปิดโรงงานผลิตน้ำดื่ม กิจการใหญ่ขึ้น มีบ้านห้าหลัง รถยนต์สิบคัน ก่อนตายก็ส่งต่อสิ่งทั้งหมดที่มีให้ลูกหลาน

การส่งทรัพย์สินต่อให้ลูกหลานเป็นระบบที่มนุษย์สร้างไว้มานานแสนนาน กติกาของเราคือทำงานสะสมทรัพย์สินให้เต็มที่ เมื่อตายก็ส่งต่อทรัพย์สินที่ดินให้ลูกหลานได้ ทำให้รู้สึกว่าคุ้มแก่การลงแรงทำงาน ดังนี้จึงเป็นภาพปกติที่เห็นพ่อแม่จำนวนมากก้มหน้าก้มตาหาเงิน เก็บเงินให้ลูก

จะว่าไปแล้ว ระบบนี้ใช้ตัณหาเป็นแรงขับเคลื่อน ตัณหาในที่นี้มิได้หมายความในเชิงร้าย แค่หมายถึงว่าใครทำงานมากกว่าก็ได้มากกว่า

มีผู้วิเคราะห์ว่าเหตุผลหนึ่งที่ระบอบคอมมิวนิสต์ล่มสลายก็เพราะมันสวนทางกับตัณหาของมนุษย์ ทำงานหนักแทบตายได้ค่าตอบแทนเท่าคนเกียจคร้าน ย่อมทำให้ทุกคนขี้เกียจเท่ากัน ระบอบคอมมิวนิสต์ในบางประเทศปัจจุบันจึงเป็นแค่เปลือก แก่นเปลี่ยนเป็นทุนนิยมไปแล้ว มหาเศรษฐีระดับโลกจำนวนมากเป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้เพราะระบอบการเมืองเปลี่ยนได้เสมอ แต่ธรรมชาติคนไม่เปลี่ยน ใครๆ ก็อยากได้ทรัพย์สมบัติมากๆ

เคยสังเกตไหมว่า เมื่อเราย้ายเข้าบ้านใหม่หรือห้องเช่าใหม่ กินเวลานานเท่าไรที่เปลี่ยนจากห้องว่างเป็นห้องที่มีข้าวของเต็มแน่น ส่วนใหญ่ไม่นาน เพราะเป็นสัญชาตญาณของเรา

คนเราเกิดมาก็เริ่มสะสม จนกลายเป็นนิสัย

สัตว์จำศีลเก็บอาหารเท่าที่ต้องกินตลอดฤดูหนาว แต่มนุษย์สะสมสิ่งของมากๆ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทรัพย์มากขนาดนั้น มันอาจเป็นความรู้สึกปลอดภัยเมื่อมีทรัพย์มากๆ ยิ่งมีมากยิ่งอบอุ่นใจ จนมันกลายเป็นความรู้สึกทางจิตวิทยามากกว่าความจำเป็น

การเก็บเงินทองมากจนใช้ทั้งชีวิตไม่หมด และไม่สามารถเอาไปไหนได้หลังตาย จึงเป็นการใช้เวลาที่สิ้นเปลืองเปล่าๆ

เคยถามตัวเองไหมว่าเราต้องการทรัพย์สินเงินทองมากเท่าไรจึงจะรู้สึกปลอดภัย? เราต้องการความปลอดภัยมากจนมันกลายเป็นนิสัยงกหรือไม่?

เราได้ยินข่าวมหาเศรษฐีซื้อกิจการนั้นกิจการนี้ ซื้อสโมสรกีฬาในต่างประเทศ ฯลฯ ซื้อๆๆๆ เพราะไม่รู้จะทำอะไรกับเงินที่มี บางคนซื้อๆๆๆ เพียงเพราะตนเองสามารถซื้อได้ ไม่ต่างจากคนที่พูดๆๆๆ เพียงเพราะมีสมาร์ทโฟน กลายเป็นทาสเงินตราไปโดยไม่รู้ตัว

มองดูดีๆ จะเห็นว่า มีเงินแล้วเหนื่อยกว่าเดิม! ยิ่งมีสมบัติมากก็ยิ่งมีห่วงผูกคอมากเท่านั้น เพราะเท่าไรก็ไม่เคยพอ

กลายเป็นชีวิตที่รุงรัง

สมมุติว่านายส้มเจต นายมืดดำ นายแดงต้อย อยู่คนเดียวไม่มีญาติมิตร ไม่มีผู้รับมรดก บางทีพวกเขาอาจเดินชีวิตช้าลง เพราะไม่รู้จะสะสมทรัพย์สินมากมายให้คนอื่นใช้ไปทำไม

ถ้าหากการไม่มีห่วงทำให้เรารู้สึกพอเพียงง่ายกว่า เราอาจลองลดห่วงโดยมองว่า การมอบสมบัติให้ลูกหลานมากเกินความจำเป็นอาจทำร้ายพวกเขามากกว่า

..............

ในช่วงสงครามใหญ่ เมื่อทั้งเมืองถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง จนมองไม่เห็นเส้นแบ่งที่ดิน แต่ละคนต้องเริ่มต้นใหม่ สร้างตัวใหม่จากศูนย์ เมื่อนั้นจึงพบสัจธรรมว่าความมั่นคงที่เกิดจากทรัพย์สินเป็นภาพลวงตา มนุษย์ไม่เคยเป็นเจ้าของอะไรทั้งสิ้น โฉนดที่ดินหรือใบกรรมสิทธิ์ เป็นเพียงสิ่งสมมุติในโลกมนุษย์ ออกแบบมาให้เราอยู่ร่วมกันได้

ทรัพย์สินพันล้านหมื่นล้านก็ไม่ได้ทำให้คนคนหนึ่งเป็นคนพิเศษขึ้นมา หากกอดสมบัตินั้นแน่น เพราะมันไม่ใช่ของเรา มันไม่เคยเป็นของเรา เราแค่ยืมธรรมชาติมาเท่านั้น

ดังนั้นทัศนคติว่าต้องมีมากกว่าคนอื่นอาจเป็นการสร้างโซ่ตรวนมาพันธนาการวิญญาณตัวเอง

แน่นอน มันย่อมมิใช่เรื่องเลวร้ายที่จะมีสมบัติพัสถานมาก หรือร่ำรวยล้นฟ้า แต่หากไม่สามารถอยู่เหนือความรวย ชีวิตก็ต้องเหนื่อยกับการแบกของหนักตลอดเวลา

ลองนึกภาพตัวเองเดินป่า ก่อนเข้าป่า ต้องการขนของชิ้นนั้นชิ้นนี้ ทุกชิ้นสำคัญ เข้าไปได้พักหนึ่ง ก็ลดความจำเป็นลงไปเรื่อยๆ เพราะพอเหนื่อยมากๆ สิ่งที่เคยจำเป็นเหลือเกินก็กลายเป็นความไม่จำเป็นแล้ว

เครื่องบินที่ประสบปัญหาขัดข้อง น้ำหนักมากไป ต้องทิ้งสัมภาระลงไป จึงตัวเบาขึ้น และบินต่อไปได้

เราไม่จำเป็นต้องทิ้งทุกอย่าง เพียงแต่อยู่เหนือทรัพย์สินเงินทอง เป็นเจ้านายมัน ไม่ใช่เป็นทาสมัน

ทานจึงเป็นเรื่องสำคัญทางพุทธ มันทำให้ตัวเราเบาสบาย คล่องตัว สมบัติยิ่งน้อยยิ่งเป็นอิสระ

ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวว่า "เวลาที่เราไม่มีอะไรเป็นของเราเลย นั่นแหละเป็นเวลาที่เรามีความสุขที่สุด"

ความหมายคือ เมื่อไม่มีอะไรเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา ก็จะว่างจากความทุกข์

วลี 'ไม่มีอะไร' น่าจะกว้างกว่าแค่ทรัพย์สิน ข้าวของ คน ชื่อเสียง แต่รวมเรื่องการปรุงแต่งของใจด้วย

เมื่อห้องของหัวใจว่างจากตัณหา ก็ไม่เป็นทุกข์

การปล่อยวางทางวัตถุต้องเริ่มที่ปล่อยวางทางจิต แต่ไม่ง่าย

หัวใจของการออกแบบศิลปะทุกชนิดคือความเรียบง่าย องค์ประกอบไม่มากจนรุงรัง ชีวิตก็เหมือนกัน

เราเลือกที่เกิดไม่ได้ เราเลือกพ่อแม่ไม่ได้ เลือกสีผิว ประเทศ ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเดินแบกของหนักหรือเดินแบบตัวเบาสบายไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ได้... ส.หลกจริง

Cr. จ่าแดง แตงโม (หน้าค่าย)