ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

จนท การเงิน ของ รพ ให้เซ็นยืนยันยอดเงินเกินจริง

เริ่มโดย เล่าชวนระวัง, 16:46 น. 07 ธ.ค 62

กอล์ฟ ไข่แดง

เมื่อ กอล์ฟ ไข่แดง ธนญชัย ถาม พระไพศาล วิสาโล ว่า

"ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ควรจะดำรงตัวเองให้อยู่ในการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอย่างนี้ยังไง"
.
.
พระไพศาล ตอบ :

"เขาว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ยุคปลาใหญ่กินปลาเล็กแล้ว เป็นยุคปลาเร็วกินปลาช้า แต่อาตมาว่าสำคัญกว่าคือ ปลาที่มีสติจะได้เปรียบกว่าปลาที่ไม่มีสติ คือมันจะเร็วยังไงก็ต้องมีสติเอาไว้ เพราะว่าการไม่มีสตินี้มันสามารถจะทำร้ายตัวเอง และก็สร้างปัญหาให้กับสังคมได้"

"คนเราไม่มีสติ เราหมกมุ่นกับการแข่งขันมาก ก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เดี๋ยวนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเรารวยมีเงินเยอะ ประสบความสำเร็จในกรงานในวิชาชีพ แต่ว่านอนไม่หลับ เครียด ครอบครัวแตกแยก เพราะว่าขาดสติไง มันไปลุ่มหลงกับการแข่งขันจนลืมสิ่งที่เป็นสาระสำคัญของชีวิต"

"คนที่คุมสติได้ รู้จักใช้สิ่งต่างๆ อย่างเป็นนาย จะค้นพบความอิสระ และความสุขอย่างแท้จริง"
.
.
กราบสาธุพระอาจารย์ไพศาลครับ

ตอนนี้ แอดมินเองก็เก็บตัวอยู่บ้านเหมือนกันครับ ระหว่างที่เก็บตัวอยู่บ้านก็คิดๆๆๆๆ ว่าหลัง COVID-19 จางไปเราจะมาทำอะไรดี ที่มันเป็นกระแสใหม่ ที่เป็นนวัตกรรมกู้โลกใบนี้ อยู่บ้านก็คิดวนๆๆๆไป

พอกลับมาฟังพระอาจารย์ไพศาลอีกครั้ง ก็เลยได้ไอเดียว่า นี่ไง สิ่งที่เราต้องทำนั่นคือ 'มีสติ' ซึ่งคำว่า มีสติ ถ้ามองให้ลึกลงไป  เมื่อเราทำให้การมิสตินั้นกระจายไปในสังคมในทุกๆวงการ จนเป็นแกนหลักสำคัญในโครงสร้างสังคม นี่คือสิ่งที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงโลกไปสู่ความสุขแท้จริงที่ยั่งยืนได้

เพราะสติจะทำให้เรารู้เท่าทันสิ่งที่จะสร้างปัญหาให้เราได้ และสติจะทำให้เราแก้ปัญหาได้ตรงจุดตามความเป็นจริง เหนื่อยเท่าเดิมแต่ประโยชน์มากขึ้นมากมาย
.
.
เพื่อนๆ ท่านใดอ่านถึงตรงนี้แล้ว แอดมินขอชวนมาแลกเปลี่ยนกันครับว่า "สติ" จะทำให้โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างครับ ขอบคุณครับ

------------------------------------

บทสนทนาบางส่วนจาก
" ล้อมวงธรรม ณ สวนธรรม "
บทสนทนาระหว่าง พี่ต่อ ธนญชัย ศรศรี​วิชัย
กับ พระไพศาล วิสาโล
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2563

ชมคลิปเต็มได้ที่
https://youtu.be/ffiTTyT1hKg

ชมคลิป "ยุคทองของ ปลามีสติ" ได้ที่
https://www.facebook.com/339051440084898/videos/215139259746688/

"โครงการขับเคลื่อนสังคมแห่งการตื่นรู้สู่หนึ่งเดียวกัน - We Oneness"
ดำเนินงานโดย มูลนิธิสหธรรมิกชน ภายใต้การสนับสนุนของ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ - สสส.
#WeOneness #SHDM #สสส

กอล์ฟ ยันต์หว่าง

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีพยาบาลคนหนึ่งฉีดยานอนหลับให้กับคนไข้ผู้หญิงที่กำลังจะผ่าตัด วันนั้นก็ได้รับใบสั่งให้ฉีดยา พอดูแล้วเห็นว่ายานั้นแรงเป็น ๑๐ เท่า แสดงว่าหมอสั่งผิด

ดูตัวยาแล้วเห็นว่าไม่ใช่ตัวยาเดิม แต่ก็ไม่น่าแรงเป็น ๑๐ เท่า จึงหยิบใบสั่งเดินจะไปถามหมอที่สั่งยา

แต่ !! หมอคนนี้เคยด่าแกแรงๆ ทีหนึ่งว่า "เสือก! เป็นพยาบาลมีหน้าที่ฉีดก็ฉีดไป" เมื่อคิดถึงคำพูดที่หมอเคยด่าก็เลยหันหลังกลับ ไม่ไปถามแล้ว คิดว่าเอาเถอะเป็นยังไงก็เรื่องของหมอ ผลปรากฏว่าคนไข้ช็อกตายคาเข็มเลย

เรื่องไม่จบแค่นั้น.. คืนนั้นพยาบาลคนนี้ขับรถกลับบ้านคนเดียว มองกระจกหลัง เห็นคนไข้ที่ตายไปนั่งอยู่เบาะหลัง ใส่ชุดคนไข้โรงพยาบาล พยาบาลคนนี้ก็บิดกระจกไม่ให้เห็น แล้วขับรถต่อจนถึงบ้าน ผีคนไข้ก็ตามมาจนถึงบ้าน ก็ไปเล่าให้สามีฟัง คืนนั้นก็หวาดกลัวมากเพราะภาพมันหลอนใจ จะเข้าห้องน้ำก็ต้องให้สามีเข้าไปเป็นเพื่อนด้วย จะทำอะไรก็ต้องให้อยู่ใกล้ๆ อยู่ห่างไม่ได้

ประมาณ ๓ วันต่อมา คนไข้หญิงคนนั้นมาเข้าฝันแล้วพูดว่า "เธอทำให้ฉันต้องพรากจากสามี ทำให้ฉันต้องพรากจากลูกในท้องอายุ ๒ เดือน หนี้เวรนี้ต้องชดใช้" (แต่จริงๆ พยาบาลคนนี้ไม่ทราบมาก่อนว่าคนไข้ท้อง ๒ เดือน) พยาบาลก็เลยตกอยู่ในสภาพที่จิตใจย่ำแย่มาก ภาพคอยตามหลอนถึงกับทำงานไม่ได้ สามีก็พลอยไปทำงานไม่ได้ด้วย ต้องอยู่เป็นเพื่อน

ในที่สุด ไม่รู้จะทำยังไง คิดว่าตายดีกว่า ก็เลยไปเช่าโรงแรมไว้ใกล้วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม จากนั้นก็ไปซื้อยานอนหลับมา ๑๐๐ แคปซูล แล้วไปที่วัดเพื่อกราบลาพระประธานในโบสถ์ ตั้งใจว่ากราบลาพระ แล้วจะกลับโรงแรมไปกินยาตาย เพราะเสียใจมากที่ถูกคนไข้ที่ตายจองเวร

พระที่เล่าเรื่องนี้ให้ผู้บรรยายฟังเป็นพระสอนกรรมฐาน วันนั้นท่านก็ไปที่โบสถ์เพื่อจะสวดมนต์ เห็นพยาบาลผู้หญิงคนนี้ร้องไห้อยู่ ก็เข้าไปถาม พอรู้เรื่องก็รู้ว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด ถ้าฆ่าตัวตายไปแล้วก็ต้องลงนรก ๕๐๐ ชาติ

จึงบอกว่า "โยม วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือ โยมต้องไปฝึกกรรมฐาน แล้วอุทิศบุญใช้หนี้เขาไป เพราะกรรมฐานหรือจิตตภาวนานี้ เป็นบุญใหญ่ที่สุดถึงขั้นพาเข้านิพพานได้" ทอดกฐินอย่างมากก็ได้เพียงสวรรค์สมบัติ แต่พุทโธ พุทโธ พาเข้าถึงพรหม ถึงนิพพานได้

พยาบาลได้ฟังก็รีบขอสมัครเข้าปฏิบัติกรรมฐานทันทีที่วัดนั้นเอง แต่บังเอิญว่ารุ่นสุดท้ายของปีนั้นผ่านไปแล้ว ต้องรอปีต่อไป พระท่านจึงแนะนำให้ไปสมัครปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธฯ

ต่อมาพระรูปนี้ท่านได้ไปสอนกรรมฐานที่ยุวพุทธฯ ในคอร์สที่พยาบาลคนนี้ไปฝึก วันที่ ๖ ของการอบรม พยาบาลคนนี้แต่งชุดขาวเข้ามากราบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ตอนแรกพระท่านก็จำไม่ได้ แต่ต่อมาก็นึกขึ้นได้ว่า เคยพบกันแล้วที่วัดอินทร์ฯ พระท่านทักว่า "วันนั้นที่วัดอินทรวิหาร อาตมาเห็นโยมร้องไห้ แต่ทำไมวันนี้หน้าตาแจ่มใส หัวเราะได้แล้ว"

พยาบาลตอบว่า "มันต่างกันเจ้าค่ะ ตอนที่หลวงพ่อพบดิฉันที่วัด ตอนนั้นเสียใจที่ฉีดยาแล้วคนไข้ตาย แต่ตอนนี้ดีใจ เพราะเมื่อวานนี้ตอนเย็น ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนร่วมกันอุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของดิฉันค่ะ ตอนนี้คนไข้คนนั้นได้ไปเกิดเป็นนางฟ้าแล้ว เมื่อเช้ามืดนี้ได้มาหาดิฉัน แต่งตัวสวยมาบอกว่าขอบใจมากที่เธอช่วยให้ฉันได้ไปเกิดเป็นนางฟ้า มีวิมานสวยงาม กรรมที่เคยจองเวรไว้ ขออโหสิให้ทั้งหมด"

การปฏิบัติกรรมฐานเป็นบุญใหญ่ ยิ่งคนหมู่มากร่วมอุทิศ ให้เจ้ากรรมนายเวรของนางพยาบาลคนนี้ จึงมีผลมาก

เปรียบเหมือนมีหนี้ที่ต้องทวงอยู่ ๑ ล้านบาท
แต่ลูกหนี้เขาคืนให้ ๕๐ ล้านบาท
แบบนี้เป็นใครก็เอา
เลิกจองเวรเลย เพราะนี่คือบุญใหญ่

ในระหว่างทาน ศีล และภาวนา
อันที่ ๓ นี้ (ภาวนา) เป็นบุญใหญ่ที่สุด

จากหนังสือ บ่อเกิดแห่งบุญ... ส.สู้ๆ

Dr.Red Off

ทำไม? ปุถุชนคนทั่วไปถึง"กลัวความตาย"
( ใครที่ยังกลัวตาย จำเป็นต้องอ่าน )
.
"...พระพุทธภาษิต ที่ตรัสแก่บุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเข้าไปทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ทำอย่างไรหนอ จึงจะอยู่เหนือความตาย เราจะเห็นสิ่งทั้งปวง หรือโลกทั้งปวงอยู่อย่างไรหนอ มัจจุราชจึงจะไม่มองเห็นเรา" ดังนี้.
.
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสตอบว่า "ท่านจงมีสติอยู่ทุกเมื่อ จงมองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า จงถอนความคิดเห็นว่า "ตัวตน" เสียให้ได้ ถ้าทำได้ดังนี้ ก็จะเป็นผู้ที่อยู่เหนือความตาย เมื่อท่านเห็นโลกอยู่ว่าว่างเปล่าดังนี้ มัจจุราชก็จะไม่เห็นท่าน" เป็นใจความสั้นๆ ดังนี้
.
คำอธิบายในเรื่องนี้มีอยู่ว่า คนเราอยู่เหนือความตายไม่ได้ ถูกความตายครอบงำ หรือถูกความกลัวต่อความตายครอบงำ ทำให้เป็นทุกข์อยู่เสมอ ก็เพราะเหตุที่เห็นสิ่งทั้งหลายเป็นตัวเป็นตน หรือเป็นของของตน
.
ขอให้พิจารณาดูให้ดีว่า ความกลัวของเราทุกๆคนนั้น มันสรุปรวมอยู่ที่กลัวอะไร ถ้าไม่ใช่กลัวตาย จะต้องระลึกนึกว่า การที่กลัวอด กลัวอยาก กลัวจะไม่มีอะไรกิน นี้มันก็เนื่องมาจากความกลัวตาย จะต้องตายเป็นส่วนใหญ่ กลัวโรคภัยไข้เจ็บ เพียงแต่ได้ยินชื่อของโรคบางอย่าง ก็สะดุ้งกลัวเสียแล้ว แต่ที่แท้นั้นมันคือกลัวตาย ไม่ใช่กลัวโรค
.
การที่กลัวผี กลัวเสือ กลัวงู เหล่านี้ ก็ล้วนแต่ไปรวมจุดอยู่ที่ "ความตาย" การที่กลัวจะเสื่อมเสียเงินเสียของ เสื่อมเสียชื่อเสียงอำนาจวาสนา เหล่านี้ มันก็ไปรวมจุดอยู่ตรงที่กลัวว่า จะต้องตายอย่างอเนจอนาถ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องต้านทานป้องกัน เพราะสูญเสียอำนาจเงิน อำนาจยศศักดิ์วาสนาไปหมดแล้ว จะต้องตายอย่างสุนัข อะไรๆก็ไปรวมอยู่ที่ความกลัวว่า ตนจะต้องแหลก จะต้องตายไปในลักษณะที่ไม่ชอบ หรือจะต้องตายนั่นเอง
.
ถ้ายังพิจารณาข้อนี้ไม่เห็น ก็แปลว่า ยังไม่รู้จักอำนาจของความตาย ต้องพิจารณาให้เห็นชัดว่า ความกลัวที่กลัวกันนั้น ก็คือความกลัวว่าตนจะต้องสูญหายไป ไม่มีเหลืออยู่นั่นเอง อะไรๆเป็นเครื่องต้านทานให้ตนยังมีอยู่ ตนก็พอใจในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น ความกลัวทั้งหมด ไปรวมอยู่ที่ความกลัวว่า"ตน"จะไม่มี ตนจะสูญหายไปหมดสิ้น
.
ความรู้สึกกลัวเช่นนี้ มันมีมูลมาจากความยึดมั่นสำคัญผิด ว่าตัวตนมีอยู่ หรือเป็นตัวเป็นตนของตน ในภายในก็ยึดถือว่าตัวตนมีอยู่ ส่วนภายนอกก็ยึดถือว่าอะไรๆก็ล้วนแต่น่าปรารถนาเอามาเป็น"ของตน" ในโลกนี้ มีเงิน มีทอง มีของ มีสิ่งต่างๆสาระพัดอย่างชนิดที่น่าเอามาเป็นของตน และจะเอามาเป็นของของตนได้ เช่นเดียวกับที่มีตัวมีตนเป็นของตนอยู่แล้ว
.
เอาตัวเอาตนของตนเป็นประธานตั้งขึ้นไว้ แล้วก็จะกวาดล้อมเอาสิ่งต่างๆที่ตนรักตนพอใจมาเป็นของตน มีความยึดถือเป็น ๒ อย่างอยู่ว่า ตัวตนอย่างหนึ่ง ของของตนอีกอย่างหนึ่ง อย่างเหนียวแน่น อย่างที่ถอนอย่างไรก็ออกไปไม่ได้ ฝังแน่นยิ่งกว่าอะไรๆหมด ท่านจึงเรียกมันว่า "อุปาทาน" เป็นการผูกมัดที่เหนียวแน่นยิ่งกว่าความผูกมัดของสิ่งใดๆ คือ ผูกมัดจิตใจให้ยึดถืออยู่ในสิ่งที่เรียกว่า "ตัวตน" หรือ "ของของตน" ดังนี้
.
พอมีอะไรมาเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ตนจะต้องตายไป แหลกไป สูญหายไป หรือของของตนจะต้องสูญหายไป จะต้องวิบัติพลัดพรากจากกัน มันก็เกิดความกลัวขึ้นมา เพราะไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นไปมาก ก็กลัวล่วงหน้า หรือกลัวอยู่ตลอดกาล ทั้งหลับและตื่น เป็นผู้สะดุ้งอยู่เสมอว่า สิ่งเหล่านี้จะพลัดพรากจากกันไปบ้าง หรือว่าตัวตนของตนนั่นแหละ จะแตกทำลายลงบ้าง จึงหาทางที่จะต่อต้านป้องกันทุกอย่างทุกทาง อยู่ตลอดเวลา ทั้งหลับและตื่น ความคิดฝัน คือว่า ความคิดเมื่อตื่นก็ดี ความคิดเมื่อหลับก็ดี ที่เป็นไปเอง คือฝันไปก็ดี ล้วนแต่เป็นไปเพื่อการต่อต้าน เพื่อให้คงมีตัวตนหรือของของตนอยู่ ดังนี้ ทั้งนั้น
.
ขอให้ลองคิดดูว่า ความฝันของบุคคลใดบ้าง ที่ไม่เป็นเรื่องตัวตนหรือของตน หรือเป็นการต่อต้านความมีอยู่แห่งตัวตน หรือเป็นการหลงใหลยินดีในตัวตนที่มีอยู่ หรือโศกเศร้าเพราะตัวตนที่ต้องวิบัติพลัดพรากจากกันไป
.
นี่คือ ความฝังแน่นของ "อุปาทาน" ในจิตของบุคคลที่เป็น"ปุถุชน" ฝังแน่นอยู่ด้วย "อัตตานุทิฏฐฺิ" คือ ความตามเห็นว่าตัวตน จึงได้มีความกลัว ว่าจะต้องตายหรือจะต้องวิบัติพลัดพราก เป็นต้น เรียกว่าอยู่ใต้ความตายตลอดเวลา คือความกลัวตายครอบงำย่ำยีจิตใจอยู่ตลอดเวลา มัจจุราชมีอำนาจเหนืออยู่ตลอดเวลา บังคับให้ทำสิ่งต่างๆในทำนองที่เชื่อว่า จะไม่ต้องตาย หรือจะบรรเทาความกลัวตาย เป็นผู้ที่มีปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด ในเรื่องกลัวตาย หรือจะต้องวิบัติพลัดพราก จากสิ่งที่ตนรักตนพอใจ คือตัวเองจะตายเองก็ตาม บุคคลอันเป็นที่รักจะตายก็ตาม มีปัญหาไปทั้งนั้น ก็เลยมีความทุกข์อันละเอียดชนิดหนึ่ง ครอบงำย่ำยีบุคคลชนิดนี้อยู่ตลอดเวลา ทั้งหลับและทั้งตื่น ถ้าใครจะอวดดีได้บ้างก็ถึงกับกล่าวได้ว่าไม่มีปัญหาข้อนี้

ถ้ายังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ก็จะต้องมีอุปทานข้อนี้รึงรัดอยู่ในใจ ทั้งหลับและตื่น โดยไม่ต้องสงสัย เรียกว่าผู้ที่ยังไม่อยู่เหนือความตาย มีความตายเบียดเบียนจิตใจอยู่ มีปัญหาเรื่องความตายเบียดเบียนจิตใจอยู่ มีความกลัวตายทำให้เป็นปัญหาวุ่นวายไปหมด ตามที่ตนยึดถืออะไรไว้อย่างไร
.
ถ้ายึดถือตัวของตัว ก็กลัวว่าตัวจะตาย ถ้ายึดถือว่าภรรยาของตัว ก็กลัวว่าภรรยาจะตาย ถ้ายึดถือว่าลูกหลานของตัว ก็กลัวว่าลูกหลานของตัวจะตาย แม้ที่สุดแต่ยึดถือเป็ดไก่สักตัวหนึ่ง ว่าเป็นของตัว มันก็กลัวเป็ดไก่หรือไก่ตัวนั้นจะต้องตาย เรียกว่ามีปัญหาเรื่องความตายอยู่เหนือจิตใจของบุคคลผู้นั้น ย่ำยีจิตใจหรือบดถูจิตใจของบุคคลผู้นั้นใ ห้ชอกช้ำอยู่เป็นปกติ
.
ทีนี้ คนเรายึดถือแต่ตัวเองอย่างเดียว หรือสิ่งเดียวเมื่อไหร่ ขอให้ลองคิดดู คนคนหนึ่งย่อมยึดถือมากมายหลายอย่าง ยึดถือตัวเองยึดถือบุตรภรรยา เพื่อนฝูง มิตรสหาย ข้าทาส สัตว์เลี้ยง และยังยึดถือสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ทรัพย์สมบัติต่างๆ อีกมากมายหลายอย่าง ทางหนึ่งก็กลัวว่า สิ่งเหล่านั้นจะตาย อีกทางหนึ่งก็กลัวว่า ตนจะพลัดพรากจากสิ่งเหล่านั้น ทั้งที่สิ่งเหล่านั้นไม่ตาย แต่ตนจะต้องตายเอง เพราะว่ามันจะต้องตายกันฝ่ายหนึ่ง เป็นที่รู้กันอยู่ หรือว่ายังไม่ทันจะตาย ก็ยังมีอันตรายแทรกแซงเข้ามา เพื่อจะทำให้ตายก่อนเวลา มันยิ่งกลัวมากขึ้นไปอีก ดังนี้ นี้เรียกว่า เป็นผู้ที่ไม่อยู่เหนือความตาย เป็นปุถุชนคนธรรมดา ที่ถูกความตายเบียดเบียนจิตใจอยู่ ไม่มีที่สิ้นสุด
.
ขอให้พิจารณาดูเถิดว่า ปัญหาต่างๆที่ท่านมีอยู่นั้น มันมารวมจุดอยู่ที่ตรงนี้ จะเป็นปัญหาเรื่องไม่มีกิน ไม่มีใช้ ไม่มีอำนาจวาสนา ปัญหาเรื่องทำมาหากิน ปัญหาเรื่องรักษาชื่อเสียง ปัญหาเรื่องทำบุญสุนทาน หรือปัญหาอะไรๆอะไรทั้งสิ้น มันมารวมอยู่ที่ปัญหาเรื่องที่ไม่อยู่เหนือความตายนี่เอง ยังอยากอยู่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ยังอยากเป็นอยู่อย่างนั้นอย่างนี้ ต้องการที่พึ่งที่จะต่อต้านกับภัยคือความตาย ของตัวเองบ้าง ของบุตรภรรยาบ้าง ของคนอื่นๆบ้าง แล้วแต่ตนจะยึดถือสิ่งใดอยู่ คนเราจึงเป็นทุกข์กันรอบด้านจำแนกไม่ไหว ว่ามีกี่สิบอย่าง กี่ร้อยอย่าง แต่รวมความแล้วก็เพราะกลัวต่อความตาย ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง คือถ้าไม่ใช่ของตนเอง ก็ของบุคคลที่ตนรักที่ตนยึดถือ ว่าเป็นบุคคลของตน นี้เรียกว่า "ไม่อยู่เหนือความตาย" ตามปกติของปุถุชนคนสามัญ เป็นผู้ที่ต้องมีความทุกข์ประจำอยู่ในใจเสมอ ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ก็ต้องวิ่งไปวิ่งมา ต้องร้องห่มร้องไห้ แต่ก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะตนยังโง่เกินไปกว่าที่จะรู้ได้ ว่าความทุกข์เหล่านี้มีมูลมาจากอะไร"
.
พุทธทาสภิกขุ

อ๊อฟ เรด

ทำทานเหมือนการอาบน้ำ" คำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ
คำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ได้เปรียบการทำทาน 3 แบบ เหมือนการอาบน้ำ 3 ชนิดว่า

1. คนที่ทำทานด้วยการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น เช่น ฆ่าหมู ฆ่าไก่ เพื่อเอาเนื้อสัตว์ถวายพระ เหมือนคนอาบน้ำโคลน ร่างกายไม่มีวันสะอาดไปได้

2. คนที่ทำทานด้วยความยึดติดในบุญอย่างมาก มุ่งหวังว่าจะได้ขึ้นสวรรค์เหมือนคนอาบน้ำแป้ง ถึงกลิ่นจะหอมฟุ้ง แต่ร่างกายก็ไม่สะอาดหมดจดอยู่ดี

3. คนที่ทำทานด้วยใจสงบร่มเย็น ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้นบุญนั้นเป็นตัวเราของเรา เหมือนคนอาบน้ำบริสุทธิ์ ย่อมชำระกายได้หมดจดเอี่ยมอ่องกว่าใคร

ทำทานครั้งต่อไป ถ้าอยากให้จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ก็ลองพิจารณาดูสักนิดว่าการทำทานของคุณเปรียบได้กับการอาบน้ำประเภทใด

อานิสงส์ของทานแบบต่าง ๆ
เจตนารมณ์ ทำทานโดยถวายอาหารที่แปลกใหม่ รสชาติไม่จำเจ

อานิสงส์ของทาน สวย หล่อแบบเท่ ๆ เก๋ไม่ซ้ำใคร

เจตนารมณ์ ทำทานโดยบริจาคปัจจัยช่วยเหลือผู้ประสบภัย

อานิสงส์ของทาน ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง สวย / หล่อแบบสุขภาพดี

เจตนารมณ์ ทำทานอย่างพิถีพิถัน สำรวมกายวาจาใจในทุกขณะจิตที่ให้ทาน

อานิสงส์ของทาน เป็นคนน่ารัก ใครเจอก็ถูกชะตา

เจตนารมณ์ ทำทานคุณภาพ ถวายอาหารมีประโยชน์ ของใช้ทนทาน

อานิสงส์ของทาน เป็นคนอบอุ่นละมุนละไม เป็นที่รักของคนทั่วไป

เจตนารมณ์ ทำทานด้วยใจศรัทธา รับอาสาล้างจาน เก็บขยะ ขัดส้วม

อานิสงส์ของทาน กลิ่นกายหอมสะอาด ไม่หอมฉุนเหมือนคนใส่น้ำหอม... ส.สู้ๆ

ดร.เรด จะนะ

"..ของหลอกนี่มันไม่ถาวรของจริงเท่านั้น
จึงจะถาวร สัจจธรรมของพระพุทธเจ้าอายุถึง ๒๕๐๐ ปีกว่าแล้ว ยังอยู่ แต่ของหลอกๆ ทั้งหลาย เดี๋ยวเกิดหลอกที่นั่น เกิดหลอกทีนี่ ไม่กี่เดือนก็หายไป เพราะเป็นของชั่วคราว หลอกกินกันชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ว่าศักดิ์สิทธิ์อะไร น้ำศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แม่ย่านางเรือศักดิ์สิทธิ์ ต้นกล้วยศักดิ์สิทธิ์ อะไรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมันดังอยู่ไม่กี่วันหรอก แล้วก็ซาๆ ไป หายไป ที่เจ็บใจก็คือว่า อ้ายศักดิ์สิทธิ์นี่มันอยู่ในวัดเสียด้วย สมภารก็นั่งยิ้มแฉ่งอยู่ ในเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ได้ลาภสักการะ นั่นเรียกว่า เดินในเส้นทางที่พระพุทธเจ้าไม่โปรดให้เดิน คือไปเดินในรูปหาลาภจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นานา ทำคนให้หลง ทำคนให้งมงาย ทำคนให้ไม่ให้เข้าถึงศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าไปเชี่อคำศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีเดชทั้งหลายเหล่านั้นอันนี้น่าเสียดายที่ไปอยู่ในวัดวาอารามต่างๆ แต่ว่าพระท่านก็ไม่พูด เพราะว่าปัจจัยมันมาปิดหูปิดตา อุดปากแน่นพูดไม่ออก อมเงินแล้วมันพูดไม่ออก เสียงมันอ้อแอ้ อ้อแอ้ พูดไม่ออกไปตามๆ กัน เห็นแก่ลาภสักการะ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะนี่ มันฆ่าคนได้เหมือนกัน "สักกาโร ปุริสัง หันติ" แปลว่า ลาภสักการะฆ่าคน ไม่ได้ฆ่าคนให้ตายทางร่างกาย แต่ฆ่าคนให้ตายทางจิต ทางวิญญาณ คือจิตเขาตายด้าน ไม่เจริญงอกงามในธรรมวินัย ไม่ก้าวหน้าในการคึกษา ในการปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ไปติดอยู่ในวัตถุเหล่านั้น ในความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็มีคนนิยมกันอยู่ แล้วก็พระเราทำด้วย คนก็นึกว่าเป็นเรื่องทางพระพุทธศาสนา เลยเข้าใจเขวไป.."

.. หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ .. ส.สู้ๆ

Dr.Red Chana

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีทางอยู่สองทาง คือทางหนึ่งไปสู่ลาภสักการะ ทางหนึ่งไปสู่ความดับกิเลส เราไม่สรรเสริญเส้นทางที่จะให้ไปสู่ลาภสักการะ เราไม่พอกพูนเส้นทางนั้น แต่เราสรรเสริญเส้นทางที่จะเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เพื่อความขูดเกลา เพื่อพระนิพพานมากกว่า" อันนี้เป็นเครื่องชี้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า ขลังๆ หรือว่าศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีเดช

เราได้ยินคำว่าปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์มันมีอยู่ ๓ เรื่องด้วยกัน ในคัมภีร์ได้เอ่ยชื่อไว้ เอ่ยไว้ก็เพื่อจะบอกให้พระรู้ว่า ปาฏิหาริย์นั้นมีอะไรบ้าง มีอิทธิปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง

อิทธิปาฏิหาริย์ ก็คือการแสดงฤทธิ์เดชได้ต่างๆ เช่นว่าเหาะเหินเดินอากาศ ดำดินอะไรก็ตามเรื่องเถอะ เรียกว่าสำเร็จด้วยฤทธิ์ เรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ อย่างหนึ่ง,

อาเทสนาปาฏิหาริย์ หมายความว่า ทายใจคนได้ ทายความคิดของคนได้ ใครมานั่งลงคิดอะไร บอกว่า คุณกำลังคิดเรื่องนั้น คิดเรื่องนี้ นี่ทายใจได้ อย่างนี้เรียกว่า อาเทสนาปาฏิหาริย์ ไม่ใช่ว่าวิเศษวิโสอะไร มันเป็นวิชากลางบ้าน ที่มีอยู่ในประเทศอินเดียสมัยนั้น พระพุทธเจ้าท่านห้ามไม่ให้กระทำ ห้ามไม่ให้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ห้ามไม่ให้ใช้วิธีอาเทสนาปฏิหาริย์ คือการดักใจคน เพราะว่าการกระทำอย่างนั้น มันไปเหมือนกับวิชาเล่นกลหรือปาหี่ที่เขาเล่นกันอยู่ทั่วๆ ไป

นักบวชในพระพุทธศาสนาไม่ใช่นักบวชประเภทปาหี่ ประเภทแสดงกลให้คนดู อะไรต่างๆ เช่นเสกข้าวทิพย์บ้าง เสกอะไรให้เป็นปลา เสกเกสรบัวให้เป็นปลา เสกให้เป็นปลาช่อน เสกแล้วเอาไปขาย ได้เงิน
อุบาสกคนนั้นก็เล่าให้ฟังเหมือนกัน เมื่อวานนี้ บอกว่าที่วัดหน้าพระลานนี่ เคยมีพระองค์หนึ่งมาปักกลดในศาลา คือว่าเพียงแต่ปักกลดนอน ก็คือกางมุ้งนอนนั่นเอง แต่คนก็หลงไหลแล้ว หลงว่าพระองค์นี้อยู่ในกลด ความจริงกลด มันก็คือมุ้งนั่นเอง ไม่ใช่ของวิเศษวิโสอะไร ไปไหนที่แบกกลดนั่นก็เพื่อจะเอาไปกางนอน กางมุ้ง กลดก็คือมุ้ง อยู่ในกลดแล้ว ยุงมันไม่กิน ไม่ใช่ว่าเพิ่มความวิเศษอะไร
ทีนี้ก็อยู่ในกลดแล้วก็มีปาฏิหาริย์ว่า เสกดอกบัวให้เป็นปลาได้ อุบาสก

คนนี้เวลานั้นแกเป็นพระ สึกแล้วก็เลยเห็นว่าพระองค์นี้มาหลอกชาวบ้าน แกก็พยายามที่จะจับ ว่าจะทำอย่างไร คือให้คนไปซี้อปลาหมอบ้าง ปลาช่อนบ้าง ตัวเล็กๆ ทั้งนั้น ตัวใหญ่มันก็ลำบากหน่อย เล่นกลยาก ตัวมันใหญ่ลำบากเอามาใส่ไว้ในภาชนะ ซ่อนไว้ในกลดของตัวนั่นเอง แล้วเวลาจะเสกก็ต้องปิดกลดลงเสีย ให้นั่งห่างๆ นั่งใกล้กลมันก็แตกน่ะซิ แล้วก็เวลาเสกเอาดอกบัว เอาเกสรใส่ลงไปในบาตร แล้วก็นั่งเสกๆๆ ไป พอเสกไปนานๆ ก็ยกพระพุทธรูปมาองค์หนึ่ง พระพุทธรูปนี่ข้างล่างกลวง ก็เจาะรูไว้ เอาถุงปลาไปใส่ไว้ในรูนั้น แล้วเวลายกมาก็เปิดปากถุง เอาวางปากบาตร แล้วก็เสกคลำพระพุทธรูปเรื่อยๆ ไป ปลามันก็ได้น้ำ มันได้ไอน้ำ ก็รู้ว่าอ้ายนี่มีน้ำอยู่ในนี้ มันก็ออกจากถุงลงไปว่ายปร๋ออยู่ในน้ำ พอปลาลงไปว่ายสักพัก แล้วก็ยกบาตรมาวาง ในนั้นมีปลา กลีบบัวหายไป คือเก็บกลีบบัวไว้เสีย แล้วก็เอาปลาออกมา ญาติโยมก็ซื้อปลาตัวละพัน ถ้าเป็นปลาช่อนตัวละสามพัน ไม่ใช่เล็กน้อย ก็ได้เงินไปหลายเหมือนกัน

อุบาสกนั้นก็เข้าไปคัดค้าน คัดค้านมากเข้า เกือบไปเหมือนกัน อุบาสกที่คัดค้านนั้น คือเกือบถูกรุม ถูกรุมตีนรุมมือ เข้าให้กันเลยทีเดียว เพราะว่าคนโง่มันมากกว่าคนฉลาด เราไปคัดค้านคนโง่มันก็หาว่าไม่เชื่อ อ้ายนี่มันพวกนอกศาสนา คนในศาสนากลับหาว่าเป็นคนนอกศาสนา พวกนอกศาสนากลับยกตนเองว่าเป็นคนในศาสนา
ปัญญานันทภิกขุ.. ส.สู้ๆ

Dr.Red V2H2

สูงสุดต้องคืนสู่สามัญ..

การสูงโดดเด่นอยู่อย่างเดียว
จะเสียสมดุลธรรมชาติ

การฝึกฝนจิตให้ตั้งอยู่ในธรรม
จะเป็นคุณค่าแท้จริงของชีวิต

ลาภยศสรรเสริญ..
เป็นคุณค่าชั่วคราว

อำนาจวาสนา..
เป็นคุณค่าฉาบฉวย

ผู้มีปัญญา..เห็นแจ้ง
ในความไม่เที่ยงของสังขาร

จึงแสดงออกต่อโลก
อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

วาสนาใด..
ก็ไม่สู้วาสนาทางธรรม

สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง
อย่าเย่อหยิ่งถือดี... ส.สู้ๆ

-ธรรมทาน-

Dr.Red V2H2 Channel

Dr.Red Chana

พระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าในหลวงรัชกาล ที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์จักรี
#ปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดความเที่ยงธรรม
"..รู้จักตัวเอง รู้จักความถูกต้อง รู้จักศีลธรรม หรือความเมตตาธรรม เพราะปัญหามีตลอด หน้าที่ของท่านคือทำงาน และต้องแก้ปัญหา เพื่อให้บ้านเมืองและส่วนรวม เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และสิริมงคลก็จะเกิดขึ้นแก่ตัวเอง และส่วนรวม..."

#ความคัดตอนใน
พระราชดำรัส "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ  บดินทรเทพยวรางกูร "
พระราชทานพระราชวโรกาสให้นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด นำอัยการประจำกอง จำนวน ๑๔๘ คน เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่  ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑

Dr.Red V2H2

#พ่อหลวงกับบุคคลากรการแพทย์
พวกเราทราบหรือไม่ว่า
#ค่านิยมองค์กรสาธารณสุข คือคำว่า "MOPH"
M : Mastery เป็นนายตนเอง บุคลากรต้องมีภาวะผู้นำ เป็นผู้นำที่ดี เอาชนะโลภ โกรธ หลงให้ได้
O : Originality เร่งสร้างสิ่งใหม่ ทั้งนโยบาย นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
P : People centered approach ใส่ใจประชาชน ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทำงาน และ
H : Humility ถ่อมตนอ่อนน้อม โดยการปฏิบัติตัว และใช้คำพูดที่ดี เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลสุขภาพ

ค่านิยมทั้ง 4 ข้อเป็นไปตามพระราชดำรัส
ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
-------------------------------------------
เมื่อครั้งที่ ร. 9
#ประทับรักษาพระอาการประชวร
ณ โรงพยาบาลศิริราช
ช่วงนั้นทรงทราบว่ามีปัญหา
คนไข้ฟ้องแพทย์มากขึ้น รับสั่งว่า
"ให้พวกเราอ่อนน้อมถ่อมตน
ทุกคนมีดีอย่าไปดูถูกใคร
ให้เกียรติต่อทุกคน
ไมตรีจิตก็จะเกิดขึ้น"

ศ.นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2550-2554 และหัวหน้าคณะแพทย์ผู้ถวายงานครั้งที่ประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช
-----------------------------------------------
ในหลวงรัชกาลที่ 9 รับสั่งว่า"ถ้าคิดว่าดี ทำต่อไป"
#พระองค์ท่านเคยรับสั่งไว้ครั้งหนึ่งว่า
#"สุขภาพพลเรือนเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าพลเรือนมีสุขภาพที่เสื่อมโทรมประเทศชาติก็พัฒนาไม่ได้"
ดังนั้นหน้าที่ของศิริราชคือดูแลสุขภาพคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ด้อยโอกาส ตราบใดที่ศิริราชยังอยู่คู่แผ่นดินไทย ยืนยันว่าพระราชปณิธานตั้งแต่รัชกาลที่ 5 สืบทอดมายังรัชกาลที่ 9 จะสืบทอดต่อไปไม่เลือนหายไปจากสังคมไทย

ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
----------------------------------------------
"เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓  ภายหลังจากที่ทำพระทนต์ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  พระองค์ท่านรับสั่งถามว่า "เวลาที่พระองค์ท่านมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน มีทันตแพทย์มาช่วยกันแลดูรักษา  แล้วราษฎรที่อยู่ห่างไกลความเจริญมีหมอช่วยดูแลรักษาหรือเปล่า" 
- ศ. (พิเศษ) ทพ.ญ.ท่านผู้หญิงเพ็ชรา   เตชะกัมพุช  ผู้อำนวยการหน่วยทันตกรรมพระราชทานและทันตแพทย์ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9
-----------------------------------------
#วันหนึ่งเสด็จเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดขอนแก่น
มีราษฎรคนหนึ่งเป็นผู้สูงอายุ ร่างกายซูบผอม ไม่สบาย  พระองค์ท่านรับสั่งถาม "เป็นอะไร ไม่สบายหรือ ? "
ราษฎรผู้นั้นทูลตอบว่า  "ไม่สบาย ฟันไม่มี กินอะไรไม่ได้" พระองค์ท่านจึงบอกว่า "ไปใส่ฟันซะ แล้วจะเคี้ยวอะไรได้   ร่างกายจะได้แข็งแรง" 
ในปีต่อมาเมื่อพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดขอนแก่นอีกครั้ง  ราษฎรผู้นั้นได้มาเฝ้าและทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร. 9 ว่า
"ไปใส่ฟันมาแล้วตามที่ในหลวงแนะนำ 
ตอนนี้กินอะไรได้สบายแล้ว"
-----------------------------------------
#พระบรมราโชวาท 
"การเข้าถึงประชาชน  ท่านจะต้องช่วยบำบัดบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชนโดยทั่วถึงไม่ว่าจะเป็นท้องที่ใดและกาลเวลาใด  ขอให้เตรียมใจให้พร้อมเพื่อปฏิบัติหน้าที่นี้  และจงเชื่อมั่นว่าการทำประโยชน์และความเจริญแก่ส่วนรวมนั้นย่อมเป็นประโยชน์และความเจริญของตนด้วยเสมอ.."

บทความพิเศษฉลองสิริราชสมบัติครบ  ๕๐ ปี  ของสำนักข่าวไทย ประจำวันที่ ๑๓, ๑๖ มิถุนายนและวันที่  ๒๖, ๒๗, ๒๙  พฤศจิกายน๒๕๓๙
----------------------------------------------
"...#การรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย
เป็นปัจจัยของเศรษฐกิจที่ดีและสังคมที่มั่นคงเพราะร่างกายที่แข็งแรงนั้นโดยปกติจะอำนวยผลให้สุขภาพจิตใจสมบูรณ์และเมื่อมีสุขภาพสมบูรณ์ดีพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ย่อมมีกำลังทำประโยชน์สร้างสรรค์เศรษฐกิจและสังคมของบ้านเมืองได้เต็มที่ ทั้งไม่เป็นภาระแก่สังคมด้วย คือเป็นผู้แต่งสร้างมิใช่ผู้ถ่วงความเจริญ..."
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
แก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ.2522

#น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
ธ สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์

#ใครอ่านถึงตรงนี้ จะเข้าใจได้แล้วว่า
บุคคลากรการแพทย์นั้นต้องเหนื่อย
หนักหนาสาหัสแค่ไหน เพื่อพวกเรา
#ทำไมพ่อหลวงถึงทุ่มทั้งใจเพื่อทำให้
ระบบสาธารณสุขของไทยดีขึ้นถึงทุกวันนี้

#ด้วยความเคารพและห่วงใย
ขอมอบทุกกำลังใจที่มีอยู่ให้
บุคคลากรการแพทย์

พวกเรารู้ว่าพวกคุณเหนื่อยหนักหนา
เราจะไม่สร้างปัญหาให้แน่นอน... ส.สู้ๆ


The Red Over Dose


The Red Over Dose

จดหมายจาก บิล เกตส์

    วันนี้ในประเทศอังกฤษ สำนักข่าวเดอะซัน ได้เปิดเผยจดหมายของ บิล เกตส์ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างล้นหลามและมีผู้แชร์ออกไปเป็นจำนวนมาก
     ผู้คนต่างสรรเสริญ บิล เกตส์ว่าเป็นปัญญาชนอย่างแท้จริงและได้มีคนนำเอาจดหมายที่เผยแพร่ออกมาของเขาไปแปลเป็นภาษาจีน  ผู้เรียบเรียงได้อ่านจดหมายและคำแปลแล้วรู้สึกได้ว่าคำพูดของเกตส์นั้น สื่อตรงถึงจิตวิญญาณ  บ่งถึงการได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี หวังว่าทุกท่านจะได้ลองอ่านจดหมายของเขา เพื่อพิจารณาดูว่าเชื้อไวรัสโคโรน่าในครั้งนี้ได้มอบบทเรียนอะไรให้เราบ้าง สอนอะไรแก่เราบ้าง...

ด้านล่างนี้คือเนื้อความในจดหมาย

     ผมเชื่อว่าเบื้องหลังทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่างก็มีวัตถุประสงค์ที่น่าสนใจแฝงอยู่  ไม่ว่าพวกเราจะคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม
     ในขณะที่ผมกำลังใคร่ครวญอยู่นี้ ผมอยากแบ่งปันความในใจกับทุกคนว่าไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่นี้ ทำอะไรกับเราไว้บ้างกันแน่

1. ไวรัสเตือนเราว่า ทุกคนนั้นต่างเสมอภาคเท่าเทียม ไม่ว่าจะทางวัฒนธรรม ศาสนา อาชีพ สถานะทางเศรษฐกิจ หรือต่อให้คนคนนั้นจะมีชื่อเสียงมากแค่ไหน  ในสายตาของไวรัสเราทุกคนต่างก็เท่าเทียมกัน และบางที..เราก็ควรปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเท่าเทียมด้วย หากไม่เชื่อล่ะก็ ลองไปถาม ทอม แฮงส์ ดูนะครับ

2. ไวรัสเตือนเราว่า ชะตาชีวิตของพวกเรานั้นต่างผูกเข้าไว้ด้วยกัน เรื่องที่ส่งผลต่อคนคนหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็จะส่งผลต่ออีกคนด้วย  ไวรัสยังเตือนเราว่า เขตแดนระหว่างประเทศที่พวกเราต่างสมมุติกันขึ้นมานั้นช่างไร้ค่า  เพราะเจ้าไวรัสไม่จำเป็นต้องมีพาสปอร์ตเลย  ไวรัสยังเป็นสิ่งที่เตือนเราว่า ถึงแม้ตอนนี้เราจะโดนกดขี่อยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่บนโลกนี้ยังมีคนที่โดนกดขี่มาทั้งชีวิต

3. ไวรัสเตือนเราว่า สุขภาพมีค่าแค่ไหน แต่พวกเรากลับละเลยการดูแลสุขภาพไป  ทั้งกินอาหารขยะ ดื่มน้ำที่ผสมสารพัดสารเคมี  หากเราไม่ดูแลตัวเอง  เราก็จะป่วยอย่างแน่นอน

4. ไวรัสเตือนเราว่า  ชีวิตนั้นเป็นทุกข์และแสนสั้น  อะไรคือสิ่งสำคัญที่พวกเราควรทำ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยเหล่านั้นคนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อคอยซื้อกระดาษชำระ

5. ไวรัสเตือนเราว่า  สังคมของพวกเราได้กลายเป็นสังคมวัตถุนิยมระดับสูงสุดไปแล้ว  เมื่อเราเจอความลำบาก เราจึงได้นึกถึงปัจจัยสี่ อาหารและปัจจัยพื้นฐานต่างๆที่เราจำเป็นต้องใช้ ซึ่งต่างก็ไม่ใช่ของหรูหราราคาแพงแต่อย่างใด

6. ไวรัสเตือนเราว่า  ครอบครัวสำคัญแค่ไหน แต่พวกเรากลับละเลยในจุดนี้ไป  ไวรัสบังคับให้เราต้องกลับไปอยู่ในบ้านของตัวเอง  ทำให้พวกเรากลับมาสร้างบ้านให้กลายเป็นครอบครัวได้  และยังได้เสริมสร้างสายสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นกว่าที่เคย

7. ไวรัสเตือนเราว่า  งานที่แท้จริงของเราไม่ใช่งานเหล่านั้นที่พวกเราทำกัน แต่พวกเรากลับจำเป็นต้องทำงาน พระประสงค์ที่พระเจ้าสร้างเราขึ้นมาไม่ใช่เพื่อให้มาทำงาน  งานที่แท้จริงของเรานั้นคือการดูแลกัน ปกป้องคุ้มครองกัน ช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ต่อกัน

8. ไวรัสเตือนเราว่า อย่าได้ลืมตัว อย่าคิดไปว่าตัวเองใหญ่หรือแน่มาจากไหน ไวรัสเตือนว่า ไม่ว่าคุณจะรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่เพียงใด และไม่ว่าคนอื่นจะคิดว่าคุณยิ่งใหญ่เพียงใด แต่เพียงแค่ไวรัสตัวเล็กๆนี้เองก็อาจทำให้โลกทั้งใบหยุดหมุนได้

9. ไวรัสเตือนเราว่า  อิสระอยู่ในกำมือเรา พวกเรามีสิทธิเลือกที่จะให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ แบ่งปัน ทุ่มเท สนับสนุนซึ่งกันและกันก็ได้ หรือพวกเราจะเลือกเห็นแก่ตัว กักตุนสิ่งของให้ตัวเอง แล้วตัวใครตัวมันก็ได้  มีแต่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนี้เท่านั้นจึงจะสามารถเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนได้

10. ไวรัสเตือนเราว่า เราจะอดทนเอาก็ได้.. หรือจะหวาดกลัวก็ได้ พวกเราสามารถมาทำความเข้าใจได้ว่าสถานการณ์เช่นนี้เองก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์มากมายหลายครั้ง  แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไป.. พวกเราเองก็อาจหวาดกลัว อาจนึกไปว่าวันสิ้นโลกมาถึงแล้ว  และผลสุดท้ายมันก็จะทำร้ายตัวเราเอง

11. ไวรัสเตือนเราว่า  โรคระบาดคือจุดจบและจุดเริ่มต้น พวกเราในตอนนี้จะได้ย้อนมองและทำความเข้าใจ ได้เรียนรู้บทเรียนจากความผิดพลาด โรคระบาดเองอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักร และจะยังคงมีต่อเนื่องไปอีก จนกว่าพวกเราจะได้รับบทเรียนนั่นแหละ

12. ไวรัสเตือนเราว่า โลกของพวกเราป่วยแล้ว ไวรัสยังเตือนเราอีกว่า พวกเราต้องได้เห็นความรวดเร็วของการหายไปของผืนป่า  และต้องได้เห็นความรวดเร็วของการหายไปของกระดาษชำระบนชั้นวางสินค้า พวกเราต่างป่วยแล้ว นั่นก็เพราะครอบครัวของพวกเราป่วยแล้วนั่นเอง

13. ไวรัสเตือนเราว่า ความยากลำบากเหล่านี้สุดท้ายจะผ่านพ้นไป จากนั้นก็ง่ายแล้ว  ชีวิตนั้นเป็นการวนลูป ตอนนี้ก็เป็นเพียงหนึ่งในช่วงระยะเวลาของวนลูปเท่านั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว  โรคระบาดจะผ่านพ้นไปอย่างแน่นอน

14. คนมากมายคิดว่าไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เป็นภัยพิบัติฉากหนึ่ง แต่ผมรู้สึกว่า นี่คือ "การแก้ไขสิ่งผิดพลาด" ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง.. ส.สู้ๆ