ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

พูดคุยเรื่องเจ้าแม่กวนอิม

เริ่มโดย คุณหลวง, 10:42 น. 12 ก.พ 55

คุณหลวง

ก่อนคุย อยากให้ฟังเพลงนี้ครับ เป็นความชอบส่วนตัวที่แบ่งปันกันได้ไม่อั้น  ส-ดีใจ

http://youtu.be/mSc0Tu7sA8E
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณหลวง

   ที่นำเรื่องพระแม่กวนอิมมาพูดนี้ เพราะอยากทราบประวัติของท่านน่ะครับ ยอมรับตรงๆว่าไม่ทราบประวัติของท่านเลย เมื่อก่อนมีอคติกับท่านและเทพอื่นๆส่วนใหญ่ เพราะเวลาได้ยินคนพูดมักพูดแต่เรื่องปาฏิหาริย์บันดาลดลมากกว่า เราไม่ค่อยชอบแนวนั้นสักเท่าไหร่ เลยออกจะอคติ

    จนกระทั่งการศึกษาที่มากขึ้น ทำให้ใจยอมรับผลจากการนับถือบูชามากกว่าตัวบุคคล ใจมันยอมรับว่าการที่มีคนนับถือองค์แม่มาก อย่างน้อยก็มีช่วงหนึ่งล่ะที่คนเหล่านั้นงดเบียดเบียนสัตว์ บางคนงดตลอดชีวิต เป็นคุณที่เห็นได้ชัด หลังๆมาเลยมองผลที่มาจากสิ่งนั้นๆมากกว่าตัวบุคคลหรือวัตถุ

    ความจริงสามารถหาำได้จากพี่กู(เกิ้ล) แต่การพูดคุยกันแบบนี้ น่าจะมีอรรถรสกว่า อ้อ..ปาฏิหาริย์ที่ได้รับจากพระองค์ท่าน ใครมีก็เล่ากันได้ครับ ผมอยากฟังมาก ผมเองก็เคยมีประสบการณ์บางส่วนเหมือนกันคือ

    ช่วงหนึ่ง(ยังบวชอยู่)มีคนถวายหนังสือแนวโลกเหนือโลก หรือปาฏิหาริย์ อิทธิฤทธิ์ เทือกนี้แหละมาที่วัด ผมก็อ่าน แล้วก็พบกับโฆษณาหน้าสีเกี่ยวกับร่างทรงพระแม่กวนอิม(เป็นชายแนวๆ(แนวเบี่ยงเบน))มีภาพขณะทรง ขณะอะไรต่ออะไรทีึ่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมหลายภาพ และมีรายละเอียดว่า พระแม่จะประทับทรงทุกวันจันทร์-เสาร์ ๑๓.๐๐-๑๙.๐๐

    ไอ้เราก็เอะใจว่า เฮ้ย..ท่านกำหนดเวลาได้เลยเหรอ แล้วคนอื่นๆมากมายที่ทรงเวลาเดียวกันล่ะ เอ๊ะ..ที่มันคัดค้านเพราะดูหน้าตาท่าทางของคนทรงนั้นแล้ว ไม่เชื่อว่าจะเป็นของจริง(ซึ่งมีหรือไม่ ไม่ทราบ)

    เลยออกปากพูดกับเพื่อนว่า "ไอ้นี่โกหกแน่ๆ"

    สองสามคืนถัดมา ผมฝันเห็นพระแม่เสด็จล่องลงมาจากท้องฟ้าพร้อมสาวกติดตามสององค์(หญิงทั้งคู่)ในชุดสีขาว พราวเบา พลิ้วราวกับถักมาจากคลื่นทะเล แล้วท่านบอกว่า

    "เวลาทรงเราควบคุมอยู่ข้างหลังเท่านั้น"(คือไม่เข้าร่าง)

    ไม่เข้าใจหรอกว่าจะตอบความสงสัยผมหรือไม่ แต่พอเล่าให้คนที่นับถือท่านฟังเค้าก็ตื่นเต้นกันว่า เป็นนิมิตที่ดีมาก เพราะท่านไม่ปรากฏพระองค์ง่ายๆ ประมาณนั้น

    ถามว่า ผมรู้สึกอย่างไรกับพระแม่กวนอิม ผมคารวะท่านด้วยผลที่ปรากฏนั้นทำให้สัตว์มากมายนับไม่ถ้วนไม่ถูกเบียดเบียน ซึ่งผู้เสียสละตนเพื่อผู้อื่นนั้น ผมขอคารวะในทุกผู้ทุกนาม

    สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

Wisnee

Post by See Belief Oneself (SBO)

wareerant

เวลาไปไหนมาไหนกับคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ ผมมักรู้สึกเซ็ง ๆ เพราะจะสั่้งอาหารแต่ละที ลำบาก นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ เป็นภาระอย่างมาก นึกถึงที่เขาบอกว่า "พระภิกษุ อยู่ง่าย กินง่าย" ผมชอบประโยคนี้มาก อยู่ง่าย กินง่าย ผมว่า อะไรก็กิน ๆ ไปเถอะ อย่ากินให้มันเยอะเกินไปก็พอแล้ว ยึดติดมากไปก็ไม่ดีนะ


เคยมีประสบการครับ

ท่านศักสิทธ์ จริงๆครับ เด๋ว ค่ำๆจะมาเล่าให้ฟัง   
ตอนนี้รีบ

ม้าเหล็ก

ต่างคนต่างกินไม่เห็นเดือดร้อนตรงไหน

ซุ้มจุฑาพิทักษ์


wareerant


ฟ้าเปลี่ยนสี

พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (觀世音菩薩 guàn shì yīn pú sà  )
พระวิศวภัทร เซี่ยเกี๊ยก (釋聖傑) วัดเทพพุทธาราม ชลบุรี ท่านได้ให้ประวัติโดยย่อดังนี้

พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ แปลว่า พระโพธิสัตว์ผู้เพ่งมองด้วยความเป็นอิสระ (觀自在菩薩 guàn zì zai pú sà ) และ พระโพธิสัตว์ผู้เพ่งพิจารณาในกระแสเสียงของโลก (觀世音菩薩) หรือที่สาธุชนทั่วไปรู้จักพระองค์ในนามของ "กวนอิม" ผู้เปี่ยมด้วยพระมหาเมตตา พระมหากรุณา (大慈大悲 dà cí dà bēi ) ในคัมภีร์พระสูตรหลายเล่มกล่าวถึงพระองค์ว่าหากได้สรรเสริญเอ่ยขานพระนามของพระองค์ด้วยความศรัทธาแล้ว ถึงแม้จะตกในหลุมเพลิง หลุมเพลิงจะกลายเปลี่ยนเป็นสายชล หากจมน้ำจะได้พบที่ตื้นเขิน หากพลัดตกจากเขาสูง ก็จะล่องลอยอยู่ในอากาศ ภูติผีปีศาจร้ายมิกล้าแม้แต่จ้องมอง ฯลฯ เป็นต้น นี้แลคือพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์อันจักตอบสนองได้ทุกความต้องการของสรรพสัตว์ ยังให้พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เป็นที่เคารพบูชาของสาธุชนมากที่สุด ผนวกกับเรื่องราวปฏิหาริย์แห่งเมตตาของพระองค์ที่มีบันทึกสืบทอดต่อเนื่องมาแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันมิได้ขาด ยังให้ทุกครัวเรือนรู้จักและกราบไหว้พระโพธิสัตว์พระองค์นี้ด้วยรูปลักษณะต่างๆ นานัปการ

แต่เดิมมานั้นพระอวโลกิเตศวรทรงวิภูษณะอาภรณ์แบบมหาบุรุษ ตามแบบอินเดียโบราณ (ชมได้ที่โรงพยาบาลเทียนฟ้า วงเวียนโอเดียน รูปภาพองศ์ท่านอยู่ด้านล่างแล้วครับ)

เมื่อมาถึงประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ถังก็ยังคงศิลปะอินเดียแบบเปลือยพระอุระอยู่  แต่พอมายุคหลังคือสมัยราชวงศ์หยวนพระอวโลกิเตศวรจึงเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นสตรีเพศ เนื่องจากคติความเชื่อในเรื่องขององค์หญิง เมี่ยวซ่าน (妙善) ที่ทรงเคร่งครัดและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามาก ทรงเปี่ยมด้วยเมตตาการุญต่ออาณาประชาราษฎร์ ที่ในสมัยนั้นพระราชบิดาของพระองค์ทรงเป็นทรราชชอบทำศึกสงครามขูดรีดประชาชน ฯลฯ องค์หญิงพระองค์นี้ทรงถือกำเนิดมาเพื่อปลดเปลื้องทุกข์เข็ญของปวงประชาในครั้งนั้น ทรงยังให้พระราชบิดากลับพระทัยได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รูปปฏิมากรของพระอวโลกิเตศวรเป็นสตรีอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

และพระองค์ยังทรงนิรมาณกายได้หลากหลายคือ หากผู้มีจริตสมควรได้รับการโปรดด้วยรูปกายของ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกโพธิ พระอรหันตสาวก ท้าวมเหศวร องค์อินทราธิราช ท้าวจตุโลกบาล พุทธบริษัท ๔ พราหมณ์ สตรีเพศ เด็กหญิงเด็กชาย หรือจักเป็นเทวดา ยักษ์ นาค อสูร กินนร มโหราค(ภูติชนิดหนึ่งมีร่างเป็นงูใหญ่) ครุฑ มนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง พระอวโลกิเตศวรก็จักอวตารกายเป็นรูปลักษณ์ที่ประเสริฐอลังการกว่าบุคคลนั้นเพื่อสยบทิฐิมานะของผู้นั้นเสียก่อนแล้วจึงเทศนาธรรมโปรดในภายหลังพระปฏิมารูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรมีพระหัตถ์ตั้งแต่ ๒ ขึ้นไปจนถึง ๑,๐๐๐ บางแห่งสร้างถึง ๘๔,๐๐๐ พระหัตถ์ก็มี ทั้งยังมีพระเนตรและพระเศียรจำนวนมากมายตามจำนวนดังกล่าวนี้ด้วย เพื่อแสดงให้เห็นถึงพระมหาเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ไพศาล สามารถสอดส่องช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้อย่างทั่วถึง เป็นต้น

วันคล้ายวันโพธิสัตวสมภพคือ วันที่ ๑๙ เดือน ๒ ของจีน นับตามปฎิทินจันทรคติ
วันคล้ายวันเสด็จออกผนวชคือ วันที่ ๑๙ เดือน ๙ ของจีน นับตามปฎิทินจันทรคติ
วันคล้ายวันสำเร็จธรรมคือ วันที่ ๑๙ เดือน ๖ ของจีน นับตามปฎิทินจันทรคติ

พระไตรปิฎกของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทไม่มีปรากฏเรื่องราวหรือแม้แต่พระนามของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์อยู่เลย ทว่าในส่วนของนิกายมหายานแล้ว พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์มีบทบาทปรากฏอยู่มากในพระสูตรสำคัญ ๆ และยังมีเรื่องราวปรากฏในพระสูตรมหายานว่าพระพุทธเจ้าและพระสาวกยังได้เคยตรัสสนทนาธรรมกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้อยู่บ่อยครั้งทีเดียว

โดยในพุทธศาสนามหายานยกย่องพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ว่าเป็นพระผู้ได้รับธรรมจักรมาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า และเป็นผู้นำในการรักษาพระพุทธศาสนาและหมุนธรรมจักรต่อไป

การอุบัติของพระอวโลกิเตศวรนี้สันนิษฐานว่ามีขึ้นภายหลังการเกิดนิกายมหายานขึ้นแล้วในราวพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ ภายหลังพุทธปรินิพพาน ซึ่งเมื่อตรวจสอบจากวรรณคดีสันสกฤตยุคต้น ๆ ของมหายานอย่าง ชาดกมาลา ทิวยาวทาน หรือลลิตวิสตระ ก็ยังไม่ปรากฏนามพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์แต่อย่างใด แต่มีปรากฏขึ้นครั้งแรกพร้อม ๆ กับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ใน วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ซึ่งถือว่าเป็นพระสูตรมหายานรุ่นเก่าที่สุด และในพระสูตรรุ่นต่อ ๆ มาก็ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ปรากฏขึ้นมากมาย


มีข้อน่าสังเกตุ พวกท่านๆคงจะสงสัยว่า พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ช่างทรงมหิทธานุภาพ พิสดารอะไรอย่างนั้น ดูจะเป็นลัทธิศาสนาพราหมณ์ไม่ผิดเลย ขนาดคนมีโทษยังทรงช่วยให้หลุดพ้นอีก เป็นที่น่าฉงนมาก

ผมได้นำข้อความของท่าน เสถียร โพธินันทะ ได้อธิบายปรากฎการณ์เหล่านี้ไว้ว่า คติการสอนศาสนาพุทธของนิกายมหายานนิยมการอธิบายธรรมะในรูปบุคคลาธิษฐาน การอธิบายคุณลักษณะของพระอวโลกิเตศวรอย่างนี้ เป็นเพียงอุบายโกศลวิธี ชักจูงคนให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธามั่นคงในพระโพธิสัตว์ ไม่น้อยหน้าศาสนาพราหมณ์ชั้นหนึ่งก่อน ภายหลังจึงอธิบายธรรมาธิษฐานให้ฟังว่าแท้จริงคุณลักษณะของพระอวโลกิเตศวร คือพระปัญญาคุณ พระสันติคุณ และพระกรุณาคุณ ผู้ใดสามารถอัญเชิญพระอวโลกิเตศวรให้เข้ามาประทับอยู่ในดวงจิตได้ ด้วยการหมั่นนึกภาวนารำลึกถึงเสมอ ก็ต้องปรับปรุงกายวาจาใจของตนให้ประกอบด้วยปัญญาคุณ สันติคุณ กรุณาคุณ ดุจองค์พระโพธิสัตว์ เมื่อเป็นดังนี้ ภัยต่าง ๆ ดังพรรณนามาในสัทธรรมปุณฑริกสูตร จักบังเกิดแก่ผู้นั้น ย่อมไม่มีทางจะเป็นไปได้ หรือแม้ว่า จักเกิดมีขึ้นก็หาทำให้ผู้นั้นต้องหวั่นไหวเดือดร้อนไม่ เพราะดวงจิตผู้นั้น ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระอวโลกิเตศวรแล้วนั้นเอง

ฉะนั้นผู้ที่เคารพบูชาพระโพธิสัตว์องค์นี้ ย่อมสุดแล้วแต่ วุฒิปัญญา และ ฐานะของผู้นั้น จะบูชาพระองค์ในฐานะเป็นพระเจ้าคอยประทานอะไรต่อมิอะไรให้ตามคำอ้อนวอนขอร้องของเรา หรือ จะบูชาด้วยการเข้าถึงแก่นแห่งธรรมะในพระองค์ ก็สุดแล้วแต่ท่านทั้งหลาย




ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

คุณหลวง

ขอบคุณครับ

    มีรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติและพระกรณียกิจขององค์หญิงเมี่ยวซานไหมครับ ว่าอันใดบ้างที่ทำให้องค์หญิงผู้มากพระทัยพระองค์นี้ได้รับยกย่องเป็นพระอวโลกิเตศวร

    รบกวนเพราะไม่ทราบประวัติท่านจริงๆ แต่ภรรยานับถือพระองค์ท่านมากเลยอยากรู้ ขอบคุณครับ




สะบายดี...ในวันที่ร้อนอีกแล้ว
คุณหลวง

สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฟ้าเปลี่ยนสี

อ้างจาก: คุณหลวง เมื่อ 11:23 น.  14 ก.พ 55
ขอบคุณครับ

    มีรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติและพระกรณียกิจขององค์หญิงเมี่ยวซานไหมครับ ว่าอันใดบ้างที่ทำให้องค์หญิงผู้มากพระทัยพระองค์นี้ได้รับยกย่องเป็นพระอวโลกิเตศวร

    รบกวนเพราะไม่ทราบประวัติท่านจริงๆ แต่ภรรยานับถือพระองค์ท่านมากเลยอยากรู้ ขอบคุณครับ




สะบายดี...ในวันที่ร้อนอีกแล้ว
คุณหลวง



ขอบคุณครับ
ยินดีครับผม ผมจะเรียบเรียงมาให้ครับ  ส.ตากุลิบกุลิบ
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

แป้ง2

เคยอยากลองไปกินเจที่วัดถาวรข้างโลตัสชวนเพื่อนที่เป็นอิสลาม ไปกินดู  พอใส่ปากแล้วอื้อหือไม่ได้เรื่องเล้ยเมื่อ5 และ 6ปีที่แล้ว ก็ได้ข้อคิดขึ้นมาเองว่าเราไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อนและไม่เบียดเบียนใครก็น่า ! กินไปเถอะ ดีกว่าไม่มีอะไรจะกิน เสร็จแล้วก็ไปนั่งกราบองค์พระแม่กวนอิมและบอกท่านว่า ไม่อร่อยเลยค่ะ ไม่ไหว  หลังจากวันนั้นประมาณ สัก 2ถึง 3อาทิตย์ เพื่อนอิสลามอีกคน เอาเนื้อวัวแดดเดียวมาให้ อื้อ ! อยากกินมากเลยของชอบฉัน จะไม่ให้ใครเลยแหละ  นึกขึ้นได้ว่าเคยไปนั่งต่อหน้าพระองค์ท่านแล้ว สงสัยอยากลองใจเรามั่ง  เราก็นั่งดูเนื่อ้วัวตากแห้งแดดเดียวอยู่หลายวันนึกอยูเสมอว่าท่านต้องลองใจเราแน่นนอน เราจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ก็เลยตัดสินใจยกให้เพื่อนไป ทั้ง ๆที่เสียด้ายย เสียดายมากเลย นับจากนั้นก็ไม่แตะต้องเนื้อวัวเลย ไม่รังเกียจ แต่นึกสงสารสัตว์ทุกชนิด ถ้าสัตว์พูดได้ก็ดีนะ สัตว์ทุกตัวพูดรู้เรื่องรู้ฟัง กว่าคนบางคนซะอีก จริงไม่จ๊ะ แต่ที่แน่ ๆ ข้าพเจ้าขายที่ดินได้ 2 แปลง  แปลงที่ 1 สร้างสถานปฏิติธรรมขององค์พระแม่กวนอิมจากใต้หวัน แปลงที่ 2  ร่างทรงเจ้าแม่กวนอิมซื้อสร้งวัดเจ้าแม่กวน เป็นแปลงที่ จริงไม่จริงไม่รู้ อยู่ที่ใจ แล้วตัวคุณเองคุณคิดว่าอย่างไรเหรอ ! บอกความในใจหน่อยซิ อยากรู้จัง !

คุณหลวง

อ้างจาก: แป้ง2 เมื่อ 12:29 น.  14 ก.พ 55
เคยอยากลองไปกินเจที่วัดถาวรข้างโลตัสชวนเพื่อนที่เป็นอิสลาม ไปกินดู  พอใส่ปากแล้วอื้อหือไม่ได้เรื่องเล้ยเมื่อ5 และ 6ปีที่แล้ว ก็ได้ข้อคิดขึ้นมาเองว่าเราไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อนและไม่เบียดเบียนใครก็น่า ! กินไปเถอะ ดีกว่าไม่มีอะไรจะกิน เสร็จแล้วก็ไปนั่งกราบองค์พระแม่กวนอิมและบอกท่านว่า ไม่อร่อยเลยค่ะ ไม่ไหว  หลังจากวันนั้นประมาณ สัก 2ถึง 3อาทิตย์ เพื่อนอิสลามอีกคน เอาเนื้อวัวแดดเดียวมาให้ อื้อ ! อยากกินมากเลยของชอบฉัน จะไม่ให้ใครเลยแหละ  นึกขึ้นได้ว่าเคยไปนั่งต่อหน้าพระองค์ท่านแล้ว สงสัยอยากลองใจเรามั่ง  เราก็นั่งดูเนื่อ้วัวตากแห้งแดดเดียวอยู่หลายวันนึกอยูเสมอว่าท่านต้องลองใจเราแน่นนอน เราจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ก็เลยตัดสินใจยกให้เพื่อนไป ทั้ง ๆที่เสียด้ายย เสียดายมากเลย นับจากนั้นก็ไม่แตะต้องเนื้อวัวเลย ไม่รังเกียจ แต่นึกสงสารสัตว์ทุกชนิด ถ้าสัตว์พูดได้ก็ดีนะ สัตว์ทุกตัวพูดรู้เรื่องรู้ฟัง กว่าคนบางคนซะอีก จริงไม่จ๊ะ แต่ที่แน่ ๆ ข้าพเจ้าขายที่ดินได้ 2 แปลง  แปลงที่ 1 สร้างสถานปฏิติธรรมขององค์พระแม่กวนอิมจากใต้หวัน แปลงที่ 2  ร่างทรงเจ้าแม่กวนอิมซื้อสร้งวัดเจ้าแม่กวน เป็นแปลงที่ จริงไม่จริงไม่รู้ อยู่ที่ใจ แล้วตัวคุณเองคุณคิดว่าอย่างไรเหรอ ! บอกความในใจหน่อยซิ อยากรู้จัง !

     ส.ยกน้ิวให้ เยี่ยมมากเลยครับที่สามารถชนะใจตนได้ แสดงว่าศรัทธานั้นเข้มแข็งมาก และความตั้งมั่นของจิตนั้นย่อมมีอัศจรรย์ให้ปรากฏได้

    ความอัศจรรย์นั้นมีจริงครับแต่มันก็เกิดมาตามเหตุปัจจัยของจิต คนที่ยึดมั่นในรูปธรรมอย่างคนเราๆท่านๆทั่วไปเข้าใจไม่ถึงจึงเรียกว่าอัศจรรย์ แต่ผู้รู้ท่านไม่อัศจรรย์กับมันเลย เพราะเห็นถึงความเป็นปัจจยการ แต่ท่านก็บอกว่าอัศจรรย์เมื่อพูดกับคนธรรมดา

    ขอบคุณที่ร่วมแบ่งปันครับ

    ขอบคุณท่านคนข้างพลาซ่าล่วงหน้าด้วยครับ



สะบายดี

   
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

wareerant

อ้างถึงต่างคนต่างกินไม่เห็นเดือดร้อนตรงไหน

คนที่กินเจ เขาจะไม่กินอาหารที่ใช้ภาชนะรวมกับอาหารที่มีเนื้อสัตว์ ไข่ นม จะหาอาหารกินยาก ถามว่าต่างคนต่างกินได้ไหม ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เขาไม่กิน เราก็กินไปคนเดียว มันก็ไม่เดือดร้อนหรอก ซึ่งผมก็ไม่ได้พูดคำว่า เดือดร้อนสักคำ แค่พูดว่า เซ็ง ๆ เซ็งเพราะอะไร เพราะเป็นห่วงเพื่อน เรากินเขาไม่กิน

ผมเป็นคนกินทุกอย่างทั้งผักและเนื้อ การกินผักก็ได้ช่วยเกษตรกรผู้ที่ปลูกผัก การกินเนื้อก็ได้ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงปลา ไก่ เนื้อ ผมคิดแบบนี้ครับ รู้ว่าขัดกับหลักการของการกินเจ แต่ ผมก็มีหลักการของผมอยู่ ซึ่งเจ้าแม่กวนอิม ก็คงไม่มาช่วยเหลืออะไรผม เพราะผมกินเนื้อ แต่ไม่เป็นไร ผมทำเองได้ ชีวิตเรา เราทำเอง

ฟ้าเปลี่ยนสี

 ส.ตากุลิบกุลิบ เออเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการละเว้นเนื้อสัตว์ก่อนน่ะครับ รู้สึกจะไปกันใหญ่

ในพุทธศาสนา ไม่ได้บัญญัติห้ามปรามในการกินเนื้อสัตว์น่ะครับ เพียงแค่บัญญัติไว้สัตว์ 10 อย่างที่ห้ามกิน (จะไม่เข้าไปในรายละเอียดครับ) และ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงทรงบัญญัติศีลข้อ "ปาณาติบาต" คือห้ามการฆ่าเป็นข้อสำคัญอันดับหนึ่ง เพียงแค่นี้เท่านั้นเองครับ

การละเว้นไม่กินเนื้อสัตว์เป็นเพียงกุศโลบายของคนๆนั้น เป็นความศรัทธา ความตั้งมั่นว่าจะทำ พวกเขาเหล่านั้นมีความรู้สึกว่าเมื่อกทำสิ่งนั้นแล้ว ชีวิตจะดีขึ้น ก็เพียงเท่านี้เองครับ

ทุกๆท่านจึงมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรๆได้ทั้งนั้นน่ะครับ  เพียงแต่ว่าให้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่าทำอะไรอยู่ ก็เพียงพอแล้วครับ
ยังเป็นข้อความอมตะอยู่เสมอ ทำดีได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ครับผม  ส.หัว




ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

คุณหลวง

อ้างจาก: คนข้างพลาซ่า เมื่อ 18:08 น.  15 ก.พ 55
ส.ตากุลิบกุลิบ เออเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการละเว้นเนื้อสัตว์ก่อนน่ะครับ รู้สึกจะไปกันใหญ่

ในพุทธศาสนา ไม่ได้บัญญัติห้ามปรามในการกินเนื้อสัตว์น่ะครับ เพียงแค่บัญญัติไว้สัตว์ 10 อย่างที่ห้ามกิน (จะไม่เข้าไปในรายละเอียดครับ) และ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงทรงบัญญัติศีลข้อ "ปาณาติบาต" คือห้ามการฆ่าเป็นข้อสำคัญอันดับหนึ่ง เพียงแค่นี้เท่านั้นเองครับ

การละเว้นไม่กินเนื้อสัตว์เป็นเพียงกุศโลบายของคนๆนั้น เป็นความศรัทธา ความตั้งมั่นว่าจะทำ พวกเขาเหล่านั้นมีความรู้สึกว่าเมื่อกทำสิ่งนั้นแล้ว ชีวิตจะดีขึ้น ก็เพียงเท่านี้เองครับ

ทุกๆท่านจึงมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรๆได้ทั้งนั้นน่ะครับ  เพียงแต่ว่าให้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่าทำอะไรอยู่ ก็เพียงพอแล้วครับ
ยังเป็นข้อความอมตะอยู่เสมอ ทำดีได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ครับผม  ส.หัว

    ไม่กระมังครับ แค่วิถีชีวิตและความคิดที่ต่างกันบ้างเท่านั้น คุณwareerantอาจจะมีเพื่อนที่มังสวิรัติ มันก็ลำบากบ้างธรรมดาของการมีข้อวัตรที่แตกต่าง มีเซ็งมั่ง แต่ผมว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะน่าจะนานๆที่จะไปด้วยกัน(แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวก็ลำบากกว่าคนนอก)

    ซึ่งการมีข้อวัตรที่แตกต่าง หากเราแค่ทำความเข้าใจกัน ต่างคนต่างถือไปก็ไม่เป็นไร ช่วงที่ผมงดเนื้อ(ทุกชนิด) เพื่อนๆก็จะดีใจว่ามีตัวหารน้อยลงในการกินแต่หารจ่ายเท่ากัน มันได้กำไร พอผมกลับสู่ข้อวัตรตามใจปากธรรมดาๆก็เหมือนเดิม หรือบางครั้งหากลำบากใจกันมาก ก็แค่แยกกันกิน ก็รู้กัน ไม่เป็นไร

    เพราะคนที่ตั้งสัจจะว่าจะทำอะไรแล้วทำไม่ได้ เท่ากับเป็นการสร้างนิสัยอ่อนแอ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสบาย ซึ่งแน่นอนว่ามันจะกลายเป็นนิสัยที่ขัดขวางความก้าวหน้าทางธรรม นั่นจึงทำให้หลายผู้หลายคนยอมแม้แต่อดเพื่อรักษาสัจจะตน และเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่โลเล ละทิ้งสัจจะเพียงเพราะไม่ทนต่อความลำบาก ก็หวัีงความก้าวหน้าในทางธรรมได้ยาก

    และแน่นอน เมื่อบุคคลนั้นๆมีข้อวัตรที่มั่นคงแม้เพียงข้อหนึ่ง ความเข้มแข็งของจิตใจก็มากขึ้นทวีคูณ จึงใช้ชีวิตที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขมากขึ้นได้ครับ (อย่างที่คุณแป้ง2ทำได้ ผมว่าตอนนั้นเธอคงเกิดปีติอันยิ่งใหญ่ทีเดียว)

    ส่วนเรื่องมังสะ ๑๐ นั้นผมเคยลงไว้ในกระทู้"ทำไมตักบาตรห้ามถามพระ"ของคุณอรัญญวาสีแล้ว

    อ้อ...ในเรื่องบัญญัติต่างๆนั้น มีแต่วินัยของภิกษุและภิกษุณีเท่านั้นครับที่พระองค์จะใช้คำว่า "ห้าม" แต่หากสอนคนทั่วไปท่านจะใช้คำว่า มีเจตนางดเว้นการฆ่าสัตว์ มีเจตนางดเว้นจากการลักทรัพย์ เป็นต้น คือผู้ปฏิบัติจะต้องตั้งใจเอาเอง ซึ่งได้มากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่บุคคลนั้นๆจะเห็นคุณเห็นโทษ และกำลังใจแห่งตนครับ


สะบายดี...กับวันแดดร้อนผะผ่าว
คุณหลวง
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

Paradise on earth

.




...มาอ่าน และเซฟภาพจ้าวแม่ ช่างงดงามเสียเหลือเกิน.....



...ขอบคุณ สำหรับภาพและเรื่องดีๆ จะไปพายเรือละ น้ำใส สะอาด เงียบสงบ ใต้กอจาก ใบจาก ลมพัดเย็น เอื่อยๆ


ราวกับอีกโลกหนึ่ง น้องๆ นิพพาน.... ส.โบยบิน ส.ก๊ากๆ

ฟ้าเปลี่ยนสี

 ส.ตากุลิบกุลิบ ขอบคุณท่านคุณหลวง ครับผม อยากเขียนให้ได้แบบนี้จัง ฮ่าๆๆๆๆ  ส.หัว
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

อ้างจาก: Paradise on earth เมื่อ 15:36 น.  16 ก.พ 55
.




...มาอ่าน และเซฟภาพจ้าวแม่ ช่างงดงามเสียเหลือเกิน.....



...ขอบคุณ สำหรับภาพและเรื่องดีๆ จะไปพายเรือละ น้ำใส สะอาด เงียบสงบ ใต้กอจาก ใบจาก ลมพัดเย็น เอื่อยๆ


ราวกับอีกโลกหนึ่ง น้องๆ นิพพาน.... ส.โบยบิน ส.ก๊ากๆ

ส.ตากุลิบกุลิบ ครับผม ติดตามน่ะครับ ยังมีอีกมากมายที่จะแบ่งปัน ครับ  ส.หัว
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

[attach=1]

ตำนานองค์หญิง เมื่ยวซ่าน (妙善公主miào shàn gōng zhǔ )

อารัมภบท

หากจะพูดถึงภาคนิรมาณกายของเจ้าแม่กวนอิมอันเปรียบได้เป็น มนุษย์โพธิสัตว์ เช่นเดียวกับ องค์ศรีศากยะมุนีพุทธเจ้า ที่ได้จุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์ จนในที่สุดพระองค์ก็ดับขันธ์ปรินิพาน แต่ความแตกต่างขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิมคือ  พระองค์ทรงตรัสรู้แต่ยังไม่ยอมเสด็จสู่ปรินิพาน เพื่อจะยังคงอยู่ในโลกมนุษย์ทุกภพทุกภูมิ เพื่อช่วยเหลือเหล่าสรรพสัตว์จนถึงคนสุดท้าย

ส่วนความหมายและความสำคัญทางศาสนาที่เกี่ยวกับการจุติ หรือ อวตาร ของเหล่าเทพหรือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับคำบัญชาจากสวรรค์ หรือ พระผู้เป็นเจ้าให้ลงมาจุติในโลกมนุษย์ ที่เป็นภพภูมิระหว่างกลางของสวรรค์กับนรก เป็นภพที่เหล่าสรรพสัตว์จะมีความรู้สึกนึกคิดรวมทั้งสติปัญญาที่มีสภาวะที่แตกต่างกับภพภูมิอื่นๆ การจุติของคนเหล่านั้นจะต้องตกอยู่ในสภาพของบุคคลธรรมดาโดยปราศจากซึ่งฤทธาที่ตนเองเคยมีมาในอดีต

มนุษย์โพธิสัตว์จักต้องฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงจนบรรลุทศภูมิตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ด้วยตัวเองในร่างสามัญของกายเนื้อธรรมดา  และความเชื่อสิ่งนี้คือความเชื่อแบบร่วมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเกือบทุกสมัยของทุกศาสนาว่า จิตวิเศษองค์ใดที่ถูกกำหนดให้ลงมาจุติโลกมนุษย์ในลักษณะของกายเนื้อนี้เมื่อสำเร็จแล้วจะได้รับความเคารพบูชาไม่ว่าจะเป็นเทพ ศาสดา หรือ พระโพธิสัตว์ก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์สำคัญสูงสุดเหนือกว่าองค์ศักดิ์สิทธิ์องค์อื่นๆที่อยู่ในศาสนาเดียวกัน

ผมจะนำเนื้อหาสำคัญที่เกี่ยวกับพระประวัติ แล ะทานจริยวัตรอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่าน นำมาบรรยาย ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้ก็มาจากเราๆท่านๆที่โพสไว้ในโลกของไซเบอร์ทั่วๆไป และจากหนังสือบางส่วน ก็ต้องขอบคุณท่านทั้งหลายเหล่านั้นด้วยครับ โดยนำมาเรียบเรียงให้พวกเราชาวกิมหยง และ บุคคลทั่วๆไปที่สนใจได้มาศึกษาร่วมกันน่ะครับ

ลักษณะของการเรียบเรียงจะแบ่งเป็นตอนๆ มีทั้งหมดประมาณ 30 ตอนเลยนิดๆ บางเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องอาจจะไม่เหมือนกับที่อื่นบ้าง อาจแตกต่างในความละเอียดของเนื้อความ นิดๆหน่อยๆ น่ะครับ แต่หลักใจความสำคัญยังคงอยู่ เพราะวรรรณกรรมชิ้นนี้มีผู้แต่งเรียบเรียงไว้หลายท่าน ครับผม เริ่มเลยน่ะครับ

[attach=2]

กำเนิดองค์หญิงเมี่ยวซ่าน

ตำนานของท่านพระโพธิสัตว์กวนอิม ผู้เขียนวรรณกรรมชิ้นสำคัญนี้ได้วางต้นเรื่องเริ่มขึ้นในสมัยช่วงสุดท้ายของราชวงศ์โจว หรือ ประมาณ 221 ปีก่อนคริสต์ศักราช (พ.ศ. 322) ที่อยู่ในช่วงร่วมสมัยกับพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย และในสมัยพระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะแห่งศรีลังกาที่เป็นยุคทองของพระพุทธศาสนา ที่มีความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดตั้งแต่ยุคสมัยหลังพุทธกาลเป็นต้นมา แต่เป็นช่วงที่แผ่นดินจีนนองเลือดด้วยภัยสงครามจากการปราบปรามอาณาจักรใหญ่น้อย สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทุกหย่อมหญ้า เหตุด้วยจักรวรรดิจีนต้องการรวมอำนาจให้เป็นหนึ่งเดียว

แต่ในด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของราชอาณาจักรจีนนับหมื่นลี้ ข้ามอาณาเขตแห่งขุนเขาซีมี่ซานอันเยือกเย็น ปกคลุมไปด้วยหิมะชั่วตาปี กลับมีอาณาจักรอันเจริญรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่นามว่า อาณาจักรซิงหลิง ดำรงอยู่อย่างสันติและเป็นสุขมานานนับร้อยปี โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าเมี่ยวจวง ผู้ทรงปรีชาสามารถด้านการสงคราม และจัดการระบอบเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ประชาชนภายใต้การปกครองของพระองค์นับแสนคนจึงอยู่ดีกินดี และใฝ่ในทางสันติธรรม พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงมีพระมเหสีพระนามว่า พระนางเป๋าเต๋อ ผู้งดงามและชาญฉลาด แต่ทว่าทั้งสองพระองค์มีเพียงสองพระธิดาที่งามดั่งนางฟ้าองค์น้อย ๆ พระนามว่า เมี่ยวอิม และ เมี่ยวเวี้ยน จึงสร้างความกังวลให้กับพระเจ้าเมี่ยวจวงในยามพระชนมายุกว่า 50 พรรษาเศษ ผู้ไร้พระโอรสสืบทอดราชบัลลังก์เป็นอย่างยิ่ง

คืนหนึ่งพระนางเป๋าเต๋อทรงพระสุบินว่า ทรงตื่นขึ้นกลางทะเลกว้างเวิ้งว้าง เกลียวคลื่นมหึมาซัดสาดอย่างน่ากลัว ฉับพลันก็เกิดเสียงดังสนั่นก้องทั่วท้องทะเล พร้อมดอกบัวทองพุ่งขึ้นมาลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ขนาดของดอกบัวค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นสูงเสียดฟ้า รัศมีสีทองเจิดจ้าจนพระนางต้องหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่ามีภูเขาสูงลิบโผล่ขึ้นมาแทน บนยอดเขามีเจดีย์เจ็ดยอดพร้อมแก้วมณีส่องรัศมีไกลหมื่นลี้ประดิษฐานอยู่บนยอดสูงสุด บนฟ้าปรากฎหมู่กระเรียนและมังกรบินพาดผ่าน แก้วมณีบนยอดเจดีย์นั้นค่อย ๆ ลองตรงเข้ามาตกสู่อ้อมอกของพระนางพอดี หากแต่เมื่อจะคว้าไว้ดวงมณีนั้นก็ลอยหายไป พระนางวิ่งไล่ตามอย่างไม่คิดชีวิต จนกระทั่งสะดุ้งองค์ตื่นขึ้น พระนางเป๋าเต๋อทรงเล่าพระสุบินที่มีนิมิตให้พระเจ้าเมี่ยวจวงได้ฟัง พระองค์ก็เกษมสำราญยิ่งนัก ตรัสว่า "พระสุบินของน้องหมายถึงพระพุทธศาสนาจักแผ่ไพศาลด้วยผู้มีบุญบารมีจะมาจุติในครรภ์ ซึ่งต้องเป็นพระโอรสอย่างแน่นอน" ครั้นแล้วพระเจ้าเมี่ยวจวงได้ทรงประกาศจัดงานเฉลิมฉลองอย่างมโหฬาร หลังจากนั้นไม่นานพระนางเป๋าเต๋อก็ทรงพระครรภ์สมพระทัย แต่ปรากฎว่าพระองค์ทรงมีอาการแพ้ก็คือ จะไม่ทรงเสวยเนื้อสัตว์รวมทั้งผักที่มีกลิ่นเหม็นฉุนชนิดใดมิได้เลย ทั้งที่ยามปกติจะทรงโปรดอาหารประเภทเนื้อเป็นที่สุดก็ตาม เมื่อฝืนเสวยก็จะทรงอาเจียนออกมาอย่างหนัก หมอหลวงตรวจแล้วก็ว่าเป็นอาการของหญิงแพ้ท้องตามปกติ ไม่มีใครรู้สึกผิดแปลกถึงความมหัศจรรย์อันสุดวิเศษภายในพระครรภ์ของพระองค์ยามนี้เลย

เหมันตฤดูผ่านไป วสันตฤดูอันชุ่มชื่นเข้ามาเยือนแทนที่ พร้อมพระครรภ์แก่ใกล้กำหนดประสูติ ครั้นถึง ปีที่ 18 วันที่ 19 เดือน 2 ของจีน ตามปฏิทินจันทรคติ แห่งรัชสมัยของกษัตริย์เมี่ยวจวง นางสนมในตำหนักพระนางเป๋าเต๋อได้วิ่งมาทูลพระเจ้าเมี่ยวจวงว่า "พระมเหสีทรงประสูติพระธิดาเวลายาม 3 เพคะ ขอทรงพระราชทานนามให้แก่องค์ราชธิดาน้อยด้วยเพคะ" พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงนิ่งอึ้งอยู่นาน ทรงผิดหวังและไม่แสดงอาการยินดีแต่ประการใด ทรงถามถึงอาการหลังประสูติขององค์พระมเหสีว่าทรงปลอดภัยดีหรือไม่  นางสนมจึงทูลว่า "พระพลานามัยสมบูรณ์ทั้งคู่เพคะ หากเวลาประสูตินั้น นกนานาชนิดส่งเสียงร้องขับขานดั่งดนตรี มีกลิ่นหอมประหลาดอบอวลไปทั่วตำหนัก มวลดอกไม้สดชื่นแจ่มใสกว่าที่เคย และพระธิดามีกระแสเสียงก้องกังวาลกว่าทารกธรรมดาเพคะ" พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังแล้วก็ทราบว่าพระธิดาสามต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการสูงในภายภาคหน้าอย่างแน่แท้  จึงทรงพระราชทานนามให้แก่พระราชธิดาน้อยองค์นี้ว่า  เมี่ยวซ่าน ที่มีความหมายว่า "คุณความดีอันวิเศษสุด"

[attach=3]


นักพรตเฒ่าลึกลับ

ครั้นบรรดาพสกนิกรทราบข่าวว่า อาณาจักรซิงหลิงได้พระธิดาองค์ที่สาม ต่างก็ประดับประดาโคมประทีปหลากสีเฉลิมฉลองเป็นการใหญ่ ทุกบ้านตีฆ้อง ร้องป่าว  เต้นรำรื่นเริงราวกับได้โอรสแห่งแผ่นดินกระนั้น ส่วนในพระราชวัง พระเจ้าเมี่ยวจวงได้ทรงจัดงานฉลองเหล่าเสนาอำมาตย์ถึง 3 วัน 3 คืน เอิกเกริกไม่แพ้กัน เมื่อพระเจ้าเมี่ยวจวงรับสั่งให้พระพี่เลี้ยงนำพระธิดาเข้ามายังท้องพระโรง เพื่อให้เหล่าอำมาตย์ได้ถวายพระพร พระธิดาน้อยซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะงอแงที่จะทรงกรรแสงมาก่อนเลย แต่เมื่อได้นำเข้ามาถึงบริเวณที่มีการจัดงานเลี้ยงที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นสุราและเนื้อสัตว์ ทันใดนั้น พระธิดาน้อยเมี่ยวซ่าน ได้ทรงกรรแสงขึ้นเสียงดังลั่นท้องพระโรงชนิดที่ไม่ยอมหยุด สะกดให้ทุกคนหยุดนิ่งอย่างแปลกใจ และไม่ว่าพระพี่เลี้ยงจะพยายามด้วยวิธีใดก็ตามก็มิทรงหยุดร้องได้เลย

ขณะเดียวกัน ก็มีทหารยามรักษาประตูผู้หนึ่งได้นำ นักพรตเฒ่าอาวุโสผู้หนึ่งท่าทางมิใช่นักพรตสามัญธรรมดาทั่วไปมาเข้าเฝ้า โดยได้แจ้งความประสงค์จะมาถวายพระพรแก่องค์พระธิดา พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสถามว่า "ท่านนักพรตชื่อแซ่ว่ากระไร เหตุใดจึงมาถึงที่นี่ได้" นักพรตเฒ่าทูลว่า "เฒ่าเขลาผู้นี้มิมีชื่อแซ่ หากมีจุดประสงค์หนึ่งเดียวคือ มาเพื่อทูลให้ท่านทรงทราบว่า "การปรากฎกายของพระธิดาเมี่ยวซ่าน พระองค์ทรงเป็นภาคหนึ่งขององค์อวโลกิเตศวรพระโพธิสัตว์ ที่ทรงอวตารจุติลงมา และพระธิดาองค์นี้ต่อไปจะเป็นผู้ทรงซึ่งความเมตตากรุณา มาโปรดสรรพสัตว์ให้พ้นจากกิเลสทั้งปวง ขอให้พระองค์ทรงโปรดอย่าดูแคลนอค์พระธิดาน้อย เพราะเธอสามารถจะเป็นนักปกครองเยี่ยงกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถที่ยิ่งใหญ่ได้ไม่แพ้บุรุษเพศแต่อย่างไร " พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังแล้วหัวเราะลั่นท้องพระโรง "ฮ่า ๆ นักพรตเฒ่าช่างโป้ปด เหตุไฉนองค์พระอวโลกิเตศวรพระโพธิสัตว์จึงแบ่งภาคมาเป็นหญิงมิใช่ชายเล่า แล้วอาณาจักรซิงหลิงเป็นอาณาจักรเล็กๆจะมาโปรดสัตว์ที่นี่เพื่ออะไร หากท่านต้องการพิสูจน์ว่าเรื่องที่กล่าวมาเป็นเรื่องจริง ก็จงทำให้ลูกสาวเราหยุดร้องไห้ ท่านจะทำได้หรือไม่ นักพรตเฒ่าจึงว่า "เหตุที่พระธิดากรรแสงนั้นเพราะทรงแผ่เมตตามหากรุณาด้วยพระสุรเสียงอันดังอย่างไม่ยอมหยุดให้แก่ผู้บริโภค และแสดงถึงความเวทนาสงสารต่อเหล่าสรรพสัตว์ที่ถูกฆ่าเหล่านั้นด้วย ส่วนจะให้พระธิดาหยุดกรรแสงนั้นง่ายนิดเดียว เพียงแต่ให้ผู้เฒ่าเขลาจักสาธยายคุณพระแก่พระธิดาน้อยให้หยุดกรรแสงเอง" นักพรตเฒ่าจึงตรงเข้าหาพระธิดา ใช้มือลูบพระพักตร์ธิดา แล้วสวดพระคาถามีใจความว่า "  อย่าร้อง อย่าร้องเลยเพราะจะทำให้จิตหมอง กิเลสและกรรมใดที่ยังมืดมิดก็จะรู้แจ้ง อย่าลืมเสียละว่าท่านคือพระผู้มาโปรดอันยิ่งใหญ่ ชาวโลกจะล้วนศรัทธายึดมั่น มีญาณสามพันจะให้ท่านผ่านพ้นภัยอันใหญ่หลวง มีคุณธรรมแห่งความดีสามพันให้ท่านได้ใช้ดุจทางเดิน จงอย่าร้องเมื่อได้ยินเสียงแห่งพุทธคุณนี้" พระธิดาน้อยหยุดกรรแสงเพื่อสดับธรรมตั้งแต่คำแรก ตาจับจ้องอยู่ที่นักพรตเฒ่าไม่กระพริบดั่งเข้าใจมนต์บทนั้น พระเจ้าเมี่ยวจวงและบรรดาเสนาอำมาตย์ต่างตกตะลึงประหลาดใจ

หลังจากนั้นนักพรตเฒ่าก็กล่าวอำลาพระเจ้าเมี่ยวจวงและหันหลังสะบัดชายเสื้อสองข้างจนเกิดกระแสลมพัดไปทั่วบริเวณ กิริยายามเดินก็รวดเร็วดุจเหินต่างจากชายชราทั่วไป พระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าพระทัยทันทีว่านักพรตเฒ่าเป็นผู้วิเศษจึงสั่งเหล่าทหารหลวงตามไปเชิญกลับมา แต่ทว่ากำลังทหารองครักษ์ค้นหาเท่าไรก็ไม่พบร่องรอยของนักพรตแม้แต่เงา อำมาตย์ฝ่ายซ้ายนาม อานาหลัว ผู้ที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงกราบทูลว่า "หม่อมฉันเห็นว่าแม้เราจะใช้กำลังติดตามไปก็ย่อมไม่พบนักพรตผู้นั้น เมื่อท่านมิใคร่ต้องการให้ผู้ใดพบอีก ยิ่งได้ฟังมนต์ของท่านนักพรตจนพระธิดาหยุดกรรแสงนั้น แสดงว่านักพรตท่านนั้นคงเป็นพุทธสาวกองค์ใดองค์หนึ่งจำแลงกายมา หรือ ไม่ก็คงจะเป็นองค์พระพุทธเจ้าทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง"

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ข่าวการปรากฏกายและหายตัวไปอย่างลึกลับของนักพรตเฒ่า รวมทั้งเรื่องการฟังธรรมจนหยุดกรรแสงของพระธิดาเมี่ยวซ่าน แพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักรซิงหลิง และกลายเป็นหัวข้อในการสนทนาหากมีการพบปะกัน เพราะที่จริงแล้วประชาชนของอาณาจักรซิงหลิงล้วนแต่เป็นพุทธศาสนิกชน มีองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พวกเขายึดเป็นสรณะร่วมกับพระธรรมอยู่แล้ว ต่างก็เพิ่มความศรัทธาในพระพุทธศาสนามากยิ่งๆขึ้น เพราะเชื่อว่าองค์พระศรีศากยะมุนีพุทธเจ้าได้มาสถิตย์อยู่ในอาณาจักรซิงหลิงนี้แล้ว ตั้งแต่วันที่ทรงปรากฎพระกายในรูปนักพรตเฒ่าให้เห็นในท้องพระโรง

ยังมีต่อครับ......
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

คุณหลวง

 ส.ยกน้ิวให้ พร้อมรออ่าน แต่จำเป็นย้ายบ้าน กว่าจะได้ติดตามอีกทีคงต้องรอติดเน็ตเรียบร้อย แต่จะตามอ่านแน่นอนครับท่าน ขอบคุณครับ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฟ้าเปลี่ยนสี

อ้างจาก: คุณหลวง เมื่อ 16:37 น.  16 ก.พ 55
ส.ยกน้ิวให้ พร้อมรออ่าน แต่จำเป็นย้ายบ้าน กว่าจะได้ติดตามอีกทีคงต้องรอติดเน็ตเรียบร้อย แต่จะตามอ่านแน่นอนครับท่าน ขอบคุณครับ

ครับผม ผมขออนุญาติเขียนเป็นช่วงๆน่ะครับ บางครั้งหนึ่งตอน บางครั้งสองตอน หรือบางครั้งมากกว่าสองตอน เพราะเรื่องเวลา และ โอกาส ปกติก็มีภาระกิจที่เป็นงานประจำทำอยู่ครับ  ส.หัว

ขอบคุณครับ
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด