ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

แจกสิ่งของช่วยชุมชนแออัด

เริ่มโดย pornchokchai, 14:25 น. 26 พ.ค 63

pornchokchai

            ดร.โสภณ ในฐานะประธานมูลนิธิอิสรชน ร่วมแจกสิ่งของช่วยเหลือประชาชนในชุมชนแออัดโดยได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย
            ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ในฐานะประธานมูลนิธิอิสรชน ช่วยเหลือคนเร่ร่อน โดยในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563 มูลนิธิอิสรชนและคณะแจกของที่ชุมชนคลองส้มป่อยโดยเป็นการทำงานเชิงรุกที่จะไม่ออกมาเร่ร่อน ถือเป็นการทำงานเชิงป้องกัน ทั้งนี้มูลนิธิขอขอบคุณ บจก.บริษัท มิสลิลลี่ โดย คุณเรวัติ จินดาพล ช่วยสนับสนุน ถุงยังชีพมูลค่า 45,000 บาท ขอขอบคุณเครือข่ายคนรุ่นใหม่ "หัวคิดใจทำ" น้องๆ นิสิตสังคมวิทยา ม.เกษตรศาสตร์ และครอบครัวอัศวินวินิจกุล ที่ลงชุมชนด้วยกัน
            ท่านใดสนใจร่วมทำบุญ โปรดติดต่อ มูลนิธิอิสรชน โทรศัพท์ 086-687-0902 อีเมล์ : jasminjaja5@gmail.com คุณอัจฉรา สรวารี เลขาธิการมูลนิธิ
https://www.facebook.com/dr.sopon4/videos/2527326470863019/?v=2527326470863019

ดร.เจตนา แดงต้อย

"ชีวิตที่ทรงคุณค่า คือ การอยู่เพื่อทำความดี"
ข้าวปลาอาหารที่กินเข้าไปแต่ละมื้อ คือการกินเพื่อดำรงชีวิต กินเพื่อให้หายหิว แล้วจะได้มีเรี่ยวแรงทำความดี
.
โบราณได้สอนเอาไว้ว่า ที่เราอยู่กันไปทุกวัน ๆ นี้ เรากินเพื่ออยู่หรือจะอยู่เพื่อกิน เพื่อเล่น ก็ต้องพิจารณากันให้ดี ถ้าจะให้ชีวิตทรงคุณค่า ไม่ใช่อยู่เพื่อกินเพื่อใช้ แต่กินใช้เพื่ออยู่ทำความดี นี่ถูกวัตถุประสงค์
.
พิจารณากันให้ดี ไม่อย่างนั้นชีวิตจะเป็นแค่ไม้ลอยน้ำ รอวันผุวันพังแล้วก็จมหายไปในสายน้ำ โดยไม่มีคุณค่าความดีอะไรเลย...

กองขยะหน้ากุฏิ ดูดีๆยังมีศิลป์... ส.หลก

Dr.Red Sophon

จดหมายจากไวรัสโคโรน่าถึงมนุษยชาติ.
Coronavirus Letter To Humanity .

โลกกระซิบแต่คุณไม่ได้ยิน
โลกเปล่งวาจา
แต่คุณไม่ฟัง
โลกกู่ร้องแต่คุณ
ไม่สนใจ

และแล้วฉันก้อถือกำเนิด...

ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อลงโทษคุณ...
ฉันเกิดมาเพื่อปลุกคุณให้ตื่น...

โลกร้องขอความช่วยเหลือ...

อุทกภัยก้อครั้งแล้วครั้งเล่า คุณไม่ฟัง
ไฟป่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าคุณไม่
ฟัง
เฮอริเคนรุรแรงลูกแล้วลูกเล่า คุณไม่ฟัง
ทอร์นาโดน่าสะพรึงกลัวโหมกระหน่ำแต่คุณก้อไม่หัง

คุณไม่ยอมฟังแม้สัตว์ใต้ท้องทะเลกำลังตายจากขยะในทะเอ
น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายในระดับที่ส่งสัญญาณอันตราย
มหันตภัยแล้ง

คุณไม่สนใจว่าโลกกำลังถูกคุกคามอย่างหนักหนาสาหัสเพียงใดจากมลพิษต่างๆ

สงครามที่ไม่มีวันยุติ
ความโลภที่ไม่รู้จักพอ

คุณยังคงดำเนินชีวิต
ตามใจปรารถา...
ไม่สนใจว่ามีความเกลียดชัง
ไม่สนใจว่ามีการฆ่าฟันกันหลายรายทุกวัน...
คุณคิดว่าการจะได้ไอโฟนรุ่นล่าสุดมาครองสำคัญกว่าสิ่งที่โลกพยายามจะบอกคุณ

แต่เวลานี้ฉันมาอยู่ที่นี่แล้ว

และฉันได้หยุดวิถีต่างๆของโลกและทำให้คุณต้องยอมฟังในที่สุด
ฉันทำให้คุณต้องหลบภัย
ฉันหยุดตัณหาในวัตถุนิยมของคุณ

เวลานี้คุณก้อเหมือนโลก...
คิดถึงแต่การเอาตัวรอด

เป็นยังไงละ?

ฉันให้คุณมีไข้ตัวร้อน
...เหมือนไฟป่าที่เกิดขึ้นบนโลก
ฉันให้คุณมีปัญหาต่างๆเกี่ยวกับระบบหายใจ...
เหมือนปัญหามลพิษในอากาศของโลก
ฉันให้คุณอ่อนแอเหมือนโลกทีถูกทำให้อ่อนแอลงทุกวัน

ฉันเอาความสะดวกสบายไปจากคุณ...
การท่องเที่ยวกับญาติมิตร
และความสำราญต่างๆที่คุณใช้เพื่อจะลืมคิดถึงปัญหามลพิษและความเจ็บปวดของโลก

และฉันได้ทำให้โลกทั้งใบ
หยุดหมุน

และเวลานี้...
ประเทศจีนมีคุณภาพอากาศดีขึ้น..ท้องฟ้าสีครามสดใสเพราะโรงงานทั้งหลายหยุดพ่นควันพิษขึ้นไปในอากาศของโลก
น้ำในเวนิสสะอาดใสมองเห็นปลาโลมาเพราะเรือกอนโดลาทั้งหลายที่ทำให้น้ำสกปรกจอดนิ่งไม่มีคนใช้บริการ

คุณจะต้องใช้เวลานี้ใคร่ครวญดูว่าสิ่งใดสำคัญในชีวิต

ขอย้ำอีกครั้งว่าฉันไม่ได้มาเพื่อลงโทษคุณ..ฉันมาเพื่อปลุกคุณให้ตื่นขึ้น...

โปรดฟังเสียงโลก
โปรดฟังเสียงเพรียกจากหัวใจของคุณ
หยุดสร้างมลพิษบนโลก
หยุดทะเลาะวิวาทต่อสู้กัน
หยุดไขว่คว้าวัตถุนิยม
และหันมารักเพื่อนบ้าน
เริ่มต้นรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมและสัตว์โลกน้อยใหญ่
เรื่มเชื่อในพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่ง

เมื่อทุกอย่างจบลงและฉันจากไปแล้ว...โปรดจดจำโมเมนต์ต่างๆนี้ไว้...

เพราะครั้งหน้าฉันจะกลับมาและรุนแรงกว่านี้...

ลงชื่อ,
โคโรน่าไวรัส

วิเวียน อาร์ รีช เขียน
ดร.บรรจง ชมภูวงศ์ 
ศิษย์เก่าปรินส์
มนุษย์ 15 (ม.ช.)
ถอดความภาษาไทย
3เมษายน ค.ศ.2020


The earth whispered but you did not hear.
The earth spoke but you did not listen
The earth screamed but you turned her off.

And so I was born...

I was not born to punish you..
I was born to awaken you..

The earth cried out for help...

Massive flooding. But you didn't listen.
Burning fires. But you didn't listen.
Strong hurricanes. But you didn't listen.
Terrifying Tornadoes. But you didn't listen.

You still don't listen to the earth when.
Ocean animals are dying due to pollutants in the waters.
Glaciers melting at an alarming rate.
Severe drought.

You didn't listen to how much negativity the earth is receiving.

Non-stop wars.
Non-stop greed.

You just kept going on with your life..
No matter how much hate there was..
No matter how many killings daily..
It was more important to get that latest iPhone than worry about what the earth was trying to tell you..

But now I am here. 

And I've made the world stop on its tracks.
I've made YOU finally listen.
I've made you take refuge.
I've made you stop thinking about materialistic things..

Now you are like the earth...
You are only worried about YOUR survival.

How does that feel? 

I give you fever.. as the fires burn on earth.
I give you respiratory issues.. has pollution fill the earth air.
I give you weakness as the earth weakens every day. 

I took away your comforts..
Your outings. 
The things you would use to forget about the planet and its pain. 

And I made the world stop...

And now...
China has better air quality.. Skys are clear blue because factories are not spewing pollution unto the earth's air.
The water in Venice is clean and dolphins are being seen.  Because the gondola boats that pollute the water are not being used. 

YOU are having to take time to reflect on what is important in your life. 

Again I am not here to punish you.. I am here to Awaken you...

When all this is over and I am gone... Please remember these moments..

Listen to the earth.
Listen to your soul.
Stop Polluting the earth.
Stop Fighting among each other.
Stop caring about materialistic things.
And start loving your neighbors.
Start caring about the earth and all its creatures. 
Start believing in a Creator.


Because next time I may come back even stronger....

Signed,
Coronavirus

Written by: Vivienne R Reich

Dr.Red Thaksin


ครูวิด-19

ครูวิด-19

เปล่านะครับ ผมไม่ได้เขียนผิด แต่ในสถานการณ์ที่มนุษย์โลกกำลังเผชิญหน้ากับสงครามไวรัสที่ชื่อว่า โควิด-19 อยู่นี้
ถ้ามามองในอีกมุมหนึ่งวิกฤตไวรัสครั้งนี้ก็เป็น "ครู" ที่สอนให้เห็นความจริงในหลาย ๆ ด้านอยู่เหมือนกัน

เรามาลองนึกถึงข้อคิดของสงครามไวรัสครั้งนี้กันสัก 19 ข้อ ว่าให้บทเรียนหรือสอนอะไรกับพวกเราบ้าง

1.สอนให้ไม่ประมาทในชีวิต

  มองเห็นว่าความเจ็บป่วย หรือความตายนั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัว

2.สอนให้เห็นความแปรปรวน

             ถ้าย้อนไปก่อนหน้าสักสามสี่เดือนที่แล้ว ใครจะเชื่อว่าสังคมมนุษย์จะต้องแตกตื่นและปั่นปวนเหมือนเช่นทุกวันนี้ เพียงเวลาแค่ไม่กี่เดือนที่ไวรัสที่ชื่อโควิด-19 ปรากฏขึ้นมาครั้งแรกให้รู้จักที่เมืองอู่ฮั่น จากผู้ป่วยรายแรก-ก้าวเข้าสู่หลักล้านภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน แต่ก็เช่นเดียวกันกับทุกสรรพสิ่งในโลก ที่ต้องตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ไม่มีแล้วก็มี มีแล้วก็ไม่มี มาแล้วก็ไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไวรัสนี้ก็เช่นกันสักวันก็ต้องผ่านพ้นไป

3.สอนให้เห็นความไม่เที่ยง

             สถานการณ์ครั้งนี้ เราได้เห็นอาชีพที่เคยคิดว่ามั่นคงก็อาจไม่มั่นคงอย่างที่คิด ธุรกิจขนาดยักษ์ใหญ่ที่ดูหรูหรากลับล้มเร็วกว่าจะทันเตรียมตัว ประเทศที่ยิ่งใหญ่และเชื่อว่าตนเองมีเทคโนโลยีเจริญรุดหน้ากลับมีอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตมากกว่าประเทศเล็ก ๆ  ประสบการณ์ครั้งนี้คงได้ให้บทเรียนกับผู้คนทั่วโลก ว่าความไม่เที่ยงหรือความไม่แน่นอน คือความแน่นอนที่มนุษย์ทุกคนควรตระหนักไว้ด้วยความไม่ประมาท

4.สอนให้เห็นความเป็นเหตุปัจจัยที่ว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ

             โรคร้ายจากไวรัสสายพันธ์นี้ไม่ได้มีอยู่มาก่อน แต่เกิดจากเหตุปัจจัยที่ทำให้โรคภัยจากไวรัสนี้เกิดขึ้นมา(ตามข่าวบอกว่ามาจากค้างคาว-คนไปบริโภคค้างคาว)
วิฤตไวรัสครั้งนี้ทำให้เราเห็นว่ามีทั้งเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคระบาด และเหตุปัจจัยที่ทำให้หายจากโรคระบาด รวมถึงได้เห็นความเป็นเหตุปัจจัยของปรากฎการณ์สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติดีขึ้นจากสถานการณ์ระบาดของไวรัส เมื่อมนุษย์หยุดกิจกรรมการเดินทาง หยุดโรงงานอุตสาหกรรมที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม มีรายงานพบว่าสภาพดินฟ้าอากาศธรรมชาติฟื้นฟูขึ้นอย่างมีนัยยะ อากาศดีขึ้น น้ำสะอาดขึ้น สัตว์ป่าทั้งสัตว์บก และสัตว์น้ำออกมาปรากฏตัวอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน

5.สอนให้เห็นโอกาสในการให้

              ถึงแม้ว่าโควิด-19 จะทำให้โลกตกอยู่ในห้วงวิกฤต แต่หลายคนยังคงฉลาดพอที่จะใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาสในการเป็นผู้ให้ ให้ทรัพย์สิน ให้สิ่งของ ให้กำลังใจ ให้ความห่วงใย ให้ความร่วมมือ ซึ่งผลดีของการเป็นผู้ให้นั้น ทำให้ผู้นั้นได้กำไรจากความรู้สึกดีแม้ตกอยู่ท่ามกลางสภาวะวิฤต เรียกได้ว่าเป็นผู้ฉลาดมีความสุขอยู่ได้ท่ามกลางความทุกข์

6.สอนให้เห็น และเปิดโอกาสให้เป็นฮีโร่ตัวจริง

              วิกฤตการณ์ครั้งนี้เปรียบเป็นสงครามระหว่างคนกับไวรัส เราได้เห็นอาชีพหมอและพยาบาลรวมถึงเหล่าอาสาสมัครมากมายที่ยื่นมือออกมาช่วยเหลือแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เราได้เห็นฮีโร่ตัวจริงปรากฏขึ้นมามากมาย เห็นบุคคลธรรมดา ๆ ที่มีหัวใจฮีโร่ต่างทยอยกันออกมาเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อความสุขส่วนรวม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ท่ามกลางสงครามยังคงมีเทวดาและนางฟ้าในคราบมนุษย์ปรากฏตัวเป็นฮีโร่ให้เห็น วิกฤตครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสให้คนธรรมดา แปลงร่างเป็นฮีโร่ได้อย่างแท้จริง

7.สอนให้เห็นถึงคุณค่าของความสามัคคี

                ถึงแม้ว่าในสภาวการณ์เช่นนี้จะจำเป็นที่ต้องรักษาระยะห่างซึ่งกันและกัน แต่ทว่าก็เป็นความห่างด้วยความห่วงใย หลายความช่วยเหลือของผู้คนหลากหลายอาชีพได้แสดงถึงจุดแข็งด้านดีของมนุษย์ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกด้านดี ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติพวกเราล้วนผ่านเหตุการณ์วิกฤตกันมานับครั้งไม่ถ้วนด้วยการร่วมแรงร่วมใจ เราได้เห็นพลังความเสียสละของผู้คนในหลาย ๆ ภาคส่วน ที่วางผลประโยชน์ส่วนตัวลงก่อน แล้วเสียสละอาสามาเป็นผู้ให้ด้วยการทำบางสิ่งบางอย่างที่ตนสามารถตามกำลังตามความถนัดของแต่ละคน เป็นการยื่นมือออกไปช่วยเหลือไม่ใช่การยื่นมือออกไปเพื่อร้องขอ

8.สอนให้เห็นคุณค่าและความจำเป็นของสติ

              ท่ามกลางความตื่นตระหนกหวาดหวั่นที่เกิดจากการเสพข่าวสารจำนวนผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตที่ไหลเข้ามาตลอดแทบ 24 ชั่วโมง ความเปลี่ยนแปลงในการดำรงชีวิตในอาชีพการงานและรายได้ สร้างความหวั่นไหว และความเครียดให้กับผู้คนทุกระดับ สถานการณ์เช่นนี้องค์ความรู้เรื่อง "สติ" จึงเป็นองค์ธรรมที่ถูกพูดถึงกันมาก ว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งโดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ชีวิตต้องเผชิญกับความปรวนแปรที่ไม่คาดคิด สติกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้หลายคนสามารถตั้งหลักและเตรียมการเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

9.สอนให้เห็นความน่ากลัวของการคิดร้าย

             วิฤตโควิด-19 สิ่งที่ทำร้ายผู้คนมากกว่าไวรัสตัวจริงก็คือความคิด หลายคนกลายเป็นคนป่วยทางใจเพราะตกเป็นทาสของความคิดแบบวิตกกังวล แน่นอนว่าหลาย ๆ คนต้องตกงาน ต้องสูญเสียรายได้ แต่ทว่าหากยังคงมีสติยังสามารถมองโลกในแง่ดี และคิดในแง่ดีเท่าที่พอจะทำได้ สถานการณ์ที่ว่าร้ายก็จะไม่เลวไปเกินไปกว่าความเป็นจริง บางคนป่วยใจและเสียสุขภาพจิตมากว่าคนที่เจ็บป่วยจากไวรัสจริง ๆ เสียอีก

10.สอนให้เห็นพลังและคุณค่าของการคิดดี

              บางคนอยู่สถานการณ์เดียวกัน ตกงานเหมือนกัน เสี่ยงกับไวรัสเหมือนกัน แต่ก็ยังสามารถคิดดี มองโลกในแง่ดีได้ บางคนแปรเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส บางคนได้ข้อคิด ได้สติปัญญาในการใช้ชีวิตเพราะเหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้ ทุกคนล้วนเจอสภาวะเสี่ยงจากการติดไวรัสเหมือน ๆ กัน แต่บางคนยังกลับยิ้มได้ ทำตัวมีประโยชน์ได้ เหตุก็เพราะว่าคนเหล่านั้นยังคงคิดดี และมีเจตนาดีอยู่ได้นั่นเอง

11.สอนให้เห็นความเสมอภาค

               ความทุกข์จากไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ สอนให้รู้ว่าโรคภัยทางกายและความทุกข์ที่เกิดขึ้นทางใจสามารถจู่โจมทำร้ายได้ทุกคน โดยไม่แบ่งแยกชนชั้นวรรณะ สีผิว เชื้อชาติ ฐานะ หรือการนับถือศาสนา ไวรัสไม่มีพรมแดน ไม่มีเส้นแบ่งเขตแดน ไม่มีความลำเอียง

12.สอนให้เห็นความเป็นเพื่อนร่วมทุกข์

                เราได้ยินคำกล่าวที่ว่า ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันมานานแล้ว และเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้เห็นความจริงดังกล่าวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไวรัสทำให้เราเข้าใจว่าทุกคน ทุกชีวิต ล้วนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความแปรปรวนที่ไม่แน่นอน(ทุกขลักษณะ) ไวรัสทำให้เราเห็นแล้วว่า มนุษย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่ และสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้อย่างที่เชื่อ


13.สอนให้เห็นความจำเป็นของรักษาศีล

                จริง ๆ แล้วความหมายของคำว่า "ศีล" หมายถึงข้อกำหนดที่เอาไว้ปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีปกติสุข การที่ภาครัฐในหลาย ๆ ประเทศมีการออกกฎหรือข้อบังคับหลาย ๆ อย่าง เช่น การใส่หน้ากาก การเว้นระยะห่างทางสังคม การกักตัวเองเป็นระยะเวลา 14 วัน ฯลฯ มาตรการต่าง ๆ เหล่านั้นล้วนกำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายให้ทุกคนได้กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด จะเห็นว่าศีลที่แท้จริงก็คือการสำรวมระวังความประพฤติปฏิบัติเพื่อให้การอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุขนั่นเอง

14.สอนให้เห็นว่าการดูแลตัวเองคือดูแลส่วนรวม และดูแลส่วนรวมด้วยการดูแลตัวเอง

               เพราะถ้าเราไม่ดูแลตัวเองแล้วกลายเป็นผู้ป่วยเป็นผู้แพร่เชื้อ ก็อาจจะทำให้คนในครอบครัวที่เรารักกลายเป็นผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากเราใส่ใจดูแลตัวเองก็เหมือนกับว่าเราดูแลคนอื่นไปด้วยในตัว

15.สอนเห็นว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นเจ้าของโลกใบนี้อย่างที่เคยเชื่อ

               ทุกวันนี้มนุษย์เชื่อมั่นในศักยภาพของเทคโนโลยีของตนว่ามีความเจริญก้าวหน้า มนุษย์กอบโกยทรัพยากรทุกสิ่งทุกอย่างจากธรรมชาติ และคิดว่าตนเองคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือห่วงโซ่อาหารทั้งปวง แต่วันนี้เราได้รู้ความจริงแล้วว่า ธรรมชาตินั้นซับซ้อนและยิ่งใหญ่ รวมทั้งมีวิธีในการปรับสมดุลของตนเองอยู่เสมอ

16.สอนให้เห็นคุณค่าของการปล่อยวางความคิดและใช้ความคิดเป็น

               บางคนได้เรียนรู้ในสถานการณ์จริงครั้งนี้ว่า ความเครียด ความวิตกกังวล ความฟุ้งซ่านต่าง ๆ นานา ล้วนเกิดมาจากความคิด จริง ๆ แล้วความคิดเป็นเพียงเครื่องมือที่เอาไว้ใช้แก้ปัญหาในการดำรงชีวิตไม่ใช่เอาไว้สร้างปัญหา จริงอยู่ว่าสถานการณ์ไวรัสโควิดมั นอาจจะยังไม่คลี่คลาย แต่ทว่าการแบกความคิด การคิดเกินไปกว่าที่มันเป็นหรือเกินไปกว่าสถานการณ์ที่ปรากฏขึ้นจริงตรงหน้าเป็นการใช้ความคิดอย่างไม่ถูกต้อง  หลายคนสามารถหลุดพ้นจากความเครียดและความวิตกกังวลได้เพราะรู้จักปล่อยวางความคิดเป็น และใช้ความคิดเป็นเพราะรู้ว่าความคิดเป็นเพียงเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาชีวิตเท่านั้น

17.สอนให้รู้จักคุณค่าของความปกติ

               หลายคนสามารถฉุกคิดได้ว่าที่ผ่านมาชีวิตก่อนที่จะมีโรคจากไวรัสโควิด-19 นั้นมีความสุขที่สุดแล้ว หลายคนเวลาปกติเคยบ่นเคยก่นด่าที่ทุกเรื่องที่ไม่ถูกกับใจตัวเอง บ่นเรื่องงานบ้าง บ่นเรื่องแฟนบ้าง บ่นเรื่องสถานการณ์การเมืองบ้าง พอมาถึงเวลานี้ก็คิดได้ว่าที่ผ่านมาชีวิตช่างดีเหลือเกิน สามารถออกไปทำงานได้ ประกอบอาชีพได้ เดินทางไปซื้อของ ไปท่องเที่ยว  ไปพบปะผู้คน ไปกอดไปหอมแก้มคนที่เรารัก และทำหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างที่ตนเองต้องการได้ โควิด-19 ทำให้เห็นว่าชีวิตแบบปกติที่ผ่านมานั้นดีที่สุดแล้วจริง ๆ

18.สอนให้เห็นคุณค่าของ "ลมหายใจ"

              นอกจากเห็นคุณค่าของชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่แล้วและดูแลลมหายใจด้วยการใส่หน้ากาก หลายคนยังได้เห็นคุณค่าของลมหายใจผ่านวิธีทำสมาธิที่ได้มีการรณรงค์ให้มาลองนั่งสมาธิเพื่อมีความสุขในปัจจุบันด้วยการตามรู้ตามดูลมหายใจ แม้ว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่วิฤตยังไม่คลี่คลาย แต่หากสามารถอยู่กับปัจจุบันอยู่ในลมหายใจได้ ความวิตกกังวลที่เคยมีมันจะจางคลายหายไป ถึงแม้ว่าไวรัสโควิด-19 ณ ตอนนี้จะยังไม่หมดไปจากโลก แต่ทว่าความฟุ้งซ่านความวิตกกังวลในใจสามารถหมดไปจากใจได้ เพียงแค่มีสติระลึกรู้อยู่กับลมหายใจจนเกิดความตั้งมั่นและเกิดความปิติสุขฟูอิ่มขึ้นมาในใจอันเป็นผลมาจากสมาธิ

19.สอนให้เห็นว่า การล้างใจสำคัญไม่น้อยไปกว่าการล้างมือ

              แน่นอนว่ามาตรการการล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์คือวิธีการป้องกันที่ดีและได้ผลสำหรับการป้องกันการติดไวรัส แต่ทว่านอกจากมือและร่างกายที่ต้องสะอาดปลอดภัยแล้ว ความคิดฟุ้งซ่าน ความโลภ การฉวยโอกาส ความเห็นแก่ตัว การบ่นด่า การไม่เคารพกฎสังคม ซึ่งถือว่าเป็นเชื้อร้ายทางความคิดและจิตใจก็เป็นสิ่งที่ต้องชำระล้างเหมือนกัน มือสะอาดอย่างเดียวคงไม่พอ ยังต้องล้างใจให้ใสสะอาดปราศจากความคิด และกิเลสอกุศลต่าง ๆ อีกด้วย สถานการณ์นี้นับว่าเป็นสนามฝึกทดสอบและพัฒนาจิตใจได้เป็นอย่างดี

19 ข้อคิดที่โควิดสอน

R.A AKAMOTTO

#เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามรู้

#AVENGERS CODE วิถีฮีโร่ ฉบับ "ตื่นรู้"

#WORK FROM HOME ตัวอยู่กับบ้าน ใจอยู่กับวิหารธรรม

#19ข้อคิดที่โควิดสอน... ส.หลก

หลีเลี่ยบเหลียง