ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

VOICE TV เพื่อมูลนิธิอิสรชน

เริ่มโดย pornchokchai, 16:32 น. 01 มิ.ย 63

pornchokchai

            เมื่อวันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2563 ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้ไปออกรายการ Talking Thailand ที่ Voice TV ได้รับค่าตอบแทนมา 2,000 บาท  ดร.โสภณ จึงจะนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อของแจกในนาม Voice  TV ให้กับคนเร่ร่อนที่มารับอาหารค่ำในวันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563 ณ บริเวณตรอกสาเก ใกล้ท้องสนามหลวง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มูลนิธิอิสรชนที่ ดร.โสภณ เป็นประธานมูลนิธิจัดขึ้นทุกวันอังคาร และมีผู้ใจดีมาร่วมแจกอาหารและถุงยังชีพอย่างสม่ำเสมอ
            ท่านใดสนใจบริจาคเงิน สิ่งของ หรือประสงค์จะร่วมเลี้ยงอาหารค่ำแก่คนเร่ร่อน
สามารถติดต่อ คุณอัจฉรา สรวารี เลขาธิการมูลนิธิ ได้ที่ 092 865 6651 จะเป็นพระคุณยิ่ง

หมอเลี้ยบ

เศรษฐี ตามความหมายของคำว่า "เศรษฐี"
"เศรษฐี" แตกต่างกันกับ "นายทุนสูบเลือด"
.
❝ อยากจะเอามาเล่าให้ฟังกันหน่อย บางคนอาจจะยังไม่ทราบก็ได้ คำว่า "เศรษฐี เศรษฐี" น่ะ! ตัวหนังสือคำนี้มันแปลว่า "ประเสริฐที่สุด" เศรษฐี เศรษฐ นั้นแปลว่า "ประเสริฐ" เศรษฐีผู้มีความประเสริฐนั้นมันประเสริฐจริงๆ ถ้าเศรษฐีถูกต้องตามลักษณะของคำนั้น
.
แต่เดี๋ยวนี้ มันไม่มี ไม่มีเศรษฐีชนิดนั้น มันมีแต่ "นายทุนสูบเลือด" คนที่มั่งมีมากๆนั้นมันเป็นนายทุนสูบเลือดเพื่อนมนุษย์ ทำนาบนหลังคนไม่พอ แล้วมันทำนาบนหัวคน โน้น! เอากับมันสิ!
.
ถ้าว่าเป็นระบบเศรษฐีที่ถูกต้องนั้น เขาอยู่กันอย่างเพื่อนมนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีข้าทาสบริวาร แต่ว่ามันเป็นข้าทาสที่อยู่กันด้วยความรัก ไม่ใช่ซื้อมาใช้อย่างสัตว์ทรมาน
.
ฉะนั้น เศรษฐีก็เลี้ยงดูข้าทาสบริวาร แม้ที่เป็นทาสนั้นมันก็ยังได้รับประโยชน์เต็มตามที่ควรจะได้ ไปทำงานด้วยกันกับเศรษฐี วันพระไปวัดไปวาก็ไปด้วยกัน ทำงานด้วยกัน เหน็ดเหนื่อยด้วยกัน กินอยู่อย่างเดียวกัน .
.
แล้วเศรษฐีถ้ามีเงินเหลือกินแล้วก็ตั้งโรงทาน จัดโรงทานเพื่อจะให้แก่คนยากจนขัดสนพิกลพิการ หรือว่าบำรุงสมณะชีพราหมณ์ คือบรรพชิตนั่นแหละ บรรพชิตไม่ได้ทำนาทำไร่แต่มีประโยชน์สำหรับทำให้โลกนี้มีแสงสว่าง มีการเดินทางที่ถูกต้อง เห็นว่าจำเป็นจะต้องมีอยู่ในโลก พวกบรรพชิตเหล่านี้จึงอยู่ในฐานะที่ต้องได้รับการจุนเจือเกื้อหนุน ไม่ต้องไปทำนาเองก็มีชีวิตอยู่ได้ เพื่อทำหน้าที่ของตน คือเป็นแสงสว่างแก่มนุษย์ทุกคน ก็ตั้งโรงทานเพื่อประโยชน์แก่บรรพชิตเหล่านี้บ้าง เพื่อประโยชน์แก่คนพิกลพิการคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้บ้าง หรือว่าคนที่จำเป็นจะต้องพึ่งโรงทานก็ตั้งโรงทาน เพราะเขามีความรู้สึกในจิตใจว่า "เราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทุกคน"...❞
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ ภาคอาสาฬหบูชา ชุดสันติภาพของโลก ครั้งที่ ๒๓ เมื่อ ๒๗ กันยายน ๒๕๒๙
-----------------------------------------

"เศรษฐี" ในครั้งพุทธกาล
ต้องมี.."โรงทาน" ถ้าไม่อย่างนั้น
เป็นเศรษฐีนอกพระพุทธศาสนา
มีหลักที่สรุปเป็นใจความสั้นๆได้ว่า
ทำมาก กินเก็บแต่พอดี เหลือช่วยผู้อื่น"
.
พุทธทาสภิกขุ... ส.สู้ๆ

ครูวิด-19

ครูวิด-19

เปล่านะครับ ผมไม่ได้เขียนผิด แต่ในสถานการณ์ที่มนุษย์โลกกำลังเผชิญหน้ากับสงครามไวรัสที่ชื่อว่า โควิด-19 อยู่นี้
ถ้ามามองในอีกมุมหนึ่งวิกฤตไวรัสครั้งนี้ก็เป็น "ครู" ที่สอนให้เห็นความจริงในหลาย ๆ ด้านอยู่เหมือนกัน

เรามาลองนึกถึงข้อคิดของสงครามไวรัสครั้งนี้กันสัก 19 ข้อ ว่าให้บทเรียนหรือสอนอะไรกับพวกเราบ้าง

1.สอนให้ไม่ประมาทในชีวิต

  มองเห็นว่าความเจ็บป่วย หรือความตายนั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัว

2.สอนให้เห็นความแปรปรวน

             ถ้าย้อนไปก่อนหน้าสักสามสี่เดือนที่แล้ว ใครจะเชื่อว่าสังคมมนุษย์จะต้องแตกตื่นและปั่นปวนเหมือนเช่นทุกวันนี้ เพียงเวลาแค่ไม่กี่เดือนที่ไวรัสที่ชื่อโควิด-19 ปรากฏขึ้นมาครั้งแรกให้รู้จักที่เมืองอู่ฮั่น จากผู้ป่วยรายแรก-ก้าวเข้าสู่หลักล้านภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน แต่ก็เช่นเดียวกันกับทุกสรรพสิ่งในโลก ที่ต้องตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ไม่มีแล้วก็มี มีแล้วก็ไม่มี มาแล้วก็ไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไวรัสนี้ก็เช่นกันสักวันก็ต้องผ่านพ้นไป

3.สอนให้เห็นความไม่เที่ยง

             สถานการณ์ครั้งนี้ เราได้เห็นอาชีพที่เคยคิดว่ามั่นคงก็อาจไม่มั่นคงอย่างที่คิด ธุรกิจขนาดยักษ์ใหญ่ที่ดูหรูหรากลับล้มเร็วกว่าจะทันเตรียมตัว ประเทศที่ยิ่งใหญ่และเชื่อว่าตนเองมีเทคโนโลยีเจริญรุดหน้ากลับมีอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตมากกว่าประเทศเล็ก ๆ  ประสบการณ์ครั้งนี้คงได้ให้บทเรียนกับผู้คนทั่วโลก ว่าความไม่เที่ยงหรือความไม่แน่นอน คือความแน่นอนที่มนุษย์ทุกคนควรตระหนักไว้ด้วยความไม่ประมาท

4.สอนให้เห็นความเป็นเหตุปัจจัยที่ว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ

             โรคร้ายจากไวรัสสายพันธ์นี้ไม่ได้มีอยู่มาก่อน แต่เกิดจากเหตุปัจจัยที่ทำให้โรคภัยจากไวรัสนี้เกิดขึ้นมา(ตามข่าวบอกว่ามาจากค้างคาว-คนไปบริโภคค้างคาว)
วิฤตไวรัสครั้งนี้ทำให้เราเห็นว่ามีทั้งเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคระบาด และเหตุปัจจัยที่ทำให้หายจากโรคระบาด รวมถึงได้เห็นความเป็นเหตุปัจจัยของปรากฎการณ์สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติดีขึ้นจากสถานการณ์ระบาดของไวรัส เมื่อมนุษย์หยุดกิจกรรมการเดินทาง หยุดโรงงานอุตสาหกรรมที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม มีรายงานพบว่าสภาพดินฟ้าอากาศธรรมชาติฟื้นฟูขึ้นอย่างมีนัยยะ อากาศดีขึ้น น้ำสะอาดขึ้น สัตว์ป่าทั้งสัตว์บก และสัตว์น้ำออกมาปรากฏตัวอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน

5.สอนให้เห็นโอกาสในการให้

              ถึงแม้ว่าโควิด-19 จะทำให้โลกตกอยู่ในห้วงวิกฤต แต่หลายคนยังคงฉลาดพอที่จะใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาสในการเป็นผู้ให้ ให้ทรัพย์สิน ให้สิ่งของ ให้กำลังใจ ให้ความห่วงใย ให้ความร่วมมือ ซึ่งผลดีของการเป็นผู้ให้นั้น ทำให้ผู้นั้นได้กำไรจากความรู้สึกดีแม้ตกอยู่ท่ามกลางสภาวะวิฤต เรียกได้ว่าเป็นผู้ฉลาดมีความสุขอยู่ได้ท่ามกลางความทุกข์

6.สอนให้เห็น และเปิดโอกาสให้เป็นฮีโร่ตัวจริง

              วิกฤตการณ์ครั้งนี้เปรียบเป็นสงครามระหว่างคนกับไวรัส เราได้เห็นอาชีพหมอและพยาบาลรวมถึงเหล่าอาสาสมัครมากมายที่ยื่นมือออกมาช่วยเหลือแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เราได้เห็นฮีโร่ตัวจริงปรากฏขึ้นมามากมาย เห็นบุคคลธรรมดา ๆ ที่มีหัวใจฮีโร่ต่างทยอยกันออกมาเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อความสุขส่วนรวม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ท่ามกลางสงครามยังคงมีเทวดาและนางฟ้าในคราบมนุษย์ปรากฏตัวเป็นฮีโร่ให้เห็น วิกฤตครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสให้คนธรรมดา แปลงร่างเป็นฮีโร่ได้อย่างแท้จริง

7.สอนให้เห็นถึงคุณค่าของความสามัคคี

                ถึงแม้ว่าในสภาวการณ์เช่นนี้จะจำเป็นที่ต้องรักษาระยะห่างซึ่งกันและกัน แต่ทว่าก็เป็นความห่างด้วยความห่วงใย หลายความช่วยเหลือของผู้คนหลากหลายอาชีพได้แสดงถึงจุดแข็งด้านดีของมนุษย์ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกด้านดี ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติพวกเราล้วนผ่านเหตุการณ์วิกฤตกันมานับครั้งไม่ถ้วนด้วยการร่วมแรงร่วมใจ เราได้เห็นพลังความเสียสละของผู้คนในหลาย ๆ ภาคส่วน ที่วางผลประโยชน์ส่วนตัวลงก่อน แล้วเสียสละอาสามาเป็นผู้ให้ด้วยการทำบางสิ่งบางอย่างที่ตนสามารถตามกำลังตามความถนัดของแต่ละคน เป็นการยื่นมือออกไปช่วยเหลือไม่ใช่การยื่นมือออกไปเพื่อร้องขอ

8.สอนให้เห็นคุณค่าและความจำเป็นของสติ

              ท่ามกลางความตื่นตระหนกหวาดหวั่นที่เกิดจากการเสพข่าวสารจำนวนผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตที่ไหลเข้ามาตลอดแทบ 24 ชั่วโมง ความเปลี่ยนแปลงในการดำรงชีวิตในอาชีพการงานและรายได้ สร้างความหวั่นไหว และความเครียดให้กับผู้คนทุกระดับ สถานการณ์เช่นนี้องค์ความรู้เรื่อง "สติ" จึงเป็นองค์ธรรมที่ถูกพูดถึงกันมาก ว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งโดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ชีวิตต้องเผชิญกับความปรวนแปรที่ไม่คาดคิด สติกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้หลายคนสามารถตั้งหลักและเตรียมการเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

9.สอนให้เห็นความน่ากลัวของการคิดร้าย

             วิฤตโควิด-19 สิ่งที่ทำร้ายผู้คนมากกว่าไวรัสตัวจริงก็คือความคิด หลายคนกลายเป็นคนป่วยทางใจเพราะตกเป็นทาสของความคิดแบบวิตกกังวล แน่นอนว่าหลาย ๆ คนต้องตกงาน ต้องสูญเสียรายได้ แต่ทว่าหากยังคงมีสติยังสามารถมองโลกในแง่ดี และคิดในแง่ดีเท่าที่พอจะทำได้ สถานการณ์ที่ว่าร้ายก็จะไม่เลวไปเกินไปกว่าความเป็นจริง บางคนป่วยใจและเสียสุขภาพจิตมากว่าคนที่เจ็บป่วยจากไวรัสจริง ๆ เสียอีก

10.สอนให้เห็นพลังและคุณค่าของการคิดดี

              บางคนอยู่สถานการณ์เดียวกัน ตกงานเหมือนกัน เสี่ยงกับไวรัสเหมือนกัน แต่ก็ยังสามารถคิดดี มองโลกในแง่ดีได้ บางคนแปรเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส บางคนได้ข้อคิด ได้สติปัญญาในการใช้ชีวิตเพราะเหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้ ทุกคนล้วนเจอสภาวะเสี่ยงจากการติดไวรัสเหมือน ๆ กัน แต่บางคนยังกลับยิ้มได้ ทำตัวมีประโยชน์ได้ เหตุก็เพราะว่าคนเหล่านั้นยังคงคิดดี และมีเจตนาดีอยู่ได้นั่นเอง

11.สอนให้เห็นความเสมอภาค

               ความทุกข์จากไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ สอนให้รู้ว่าโรคภัยทางกายและความทุกข์ที่เกิดขึ้นทางใจสามารถจู่โจมทำร้ายได้ทุกคน โดยไม่แบ่งแยกชนชั้นวรรณะ สีผิว เชื้อชาติ ฐานะ หรือการนับถือศาสนา ไวรัสไม่มีพรมแดน ไม่มีเส้นแบ่งเขตแดน ไม่มีความลำเอียง

12.สอนให้เห็นความเป็นเพื่อนร่วมทุกข์

                เราได้ยินคำกล่าวที่ว่า ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันมานานแล้ว และเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้เห็นความจริงดังกล่าวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไวรัสทำให้เราเข้าใจว่าทุกคน ทุกชีวิต ล้วนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความแปรปรวนที่ไม่แน่นอน(ทุกขลักษณะ) ไวรัสทำให้เราเห็นแล้วว่า มนุษย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่ และสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้อย่างที่เชื่อ


13.สอนให้เห็นความจำเป็นของรักษาศีล

                จริง ๆ แล้วความหมายของคำว่า "ศีล" หมายถึงข้อกำหนดที่เอาไว้ปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีปกติสุข การที่ภาครัฐในหลาย ๆ ประเทศมีการออกกฎหรือข้อบังคับหลาย ๆ อย่าง เช่น การใส่หน้ากาก การเว้นระยะห่างทางสังคม การกักตัวเองเป็นระยะเวลา 14 วัน ฯลฯ มาตรการต่าง ๆ เหล่านั้นล้วนกำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายให้ทุกคนได้กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด จะเห็นว่าศีลที่แท้จริงก็คือการสำรวมระวังความประพฤติปฏิบัติเพื่อให้การอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุขนั่นเอง

14.สอนให้เห็นว่าการดูแลตัวเองคือดูแลส่วนรวม และดูแลส่วนรวมด้วยการดูแลตัวเอง

               เพราะถ้าเราไม่ดูแลตัวเองแล้วกลายเป็นผู้ป่วยเป็นผู้แพร่เชื้อ ก็อาจจะทำให้คนในครอบครัวที่เรารักกลายเป็นผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากเราใส่ใจดูแลตัวเองก็เหมือนกับว่าเราดูแลคนอื่นไปด้วยในตัว

15.สอนเห็นว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นเจ้าของโลกใบนี้อย่างที่เคยเชื่อ

               ทุกวันนี้มนุษย์เชื่อมั่นในศักยภาพของเทคโนโลยีของตนว่ามีความเจริญก้าวหน้า มนุษย์กอบโกยทรัพยากรทุกสิ่งทุกอย่างจากธรรมชาติ และคิดว่าตนเองคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือห่วงโซ่อาหารทั้งปวง แต่วันนี้เราได้รู้ความจริงแล้วว่า ธรรมชาตินั้นซับซ้อนและยิ่งใหญ่ รวมทั้งมีวิธีในการปรับสมดุลของตนเองอยู่เสมอ

16.สอนให้เห็นคุณค่าของการปล่อยวางความคิดและใช้ความคิดเป็น

               บางคนได้เรียนรู้ในสถานการณ์จริงครั้งนี้ว่า ความเครียด ความวิตกกังวล ความฟุ้งซ่านต่าง ๆ นานา ล้วนเกิดมาจากความคิด จริง ๆ แล้วความคิดเป็นเพียงเครื่องมือที่เอาไว้ใช้แก้ปัญหาในการดำรงชีวิตไม่ใช่เอาไว้สร้างปัญหา จริงอยู่ว่าสถานการณ์ไวรัสโควิดมั นอาจจะยังไม่คลี่คลาย แต่ทว่าการแบกความคิด การคิดเกินไปกว่าที่มันเป็นหรือเกินไปกว่าสถานการณ์ที่ปรากฏขึ้นจริงตรงหน้าเป็นการใช้ความคิดอย่างไม่ถูกต้อง  หลายคนสามารถหลุดพ้นจากความเครียดและความวิตกกังวลได้เพราะรู้จักปล่อยวางความคิดเป็น และใช้ความคิดเป็นเพราะรู้ว่าความคิดเป็นเพียงเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาชีวิตเท่านั้น

17.สอนให้รู้จักคุณค่าของความปกติ

               หลายคนสามารถฉุกคิดได้ว่าที่ผ่านมาชีวิตก่อนที่จะมีโรคจากไวรัสโควิด-19 นั้นมีความสุขที่สุดแล้ว หลายคนเวลาปกติเคยบ่นเคยก่นด่าที่ทุกเรื่องที่ไม่ถูกกับใจตัวเอง บ่นเรื่องงานบ้าง บ่นเรื่องแฟนบ้าง บ่นเรื่องสถานการณ์การเมืองบ้าง พอมาถึงเวลานี้ก็คิดได้ว่าที่ผ่านมาชีวิตช่างดีเหลือเกิน สามารถออกไปทำงานได้ ประกอบอาชีพได้ เดินทางไปซื้อของ ไปท่องเที่ยว  ไปพบปะผู้คน ไปกอดไปหอมแก้มคนที่เรารัก และทำหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างที่ตนเองต้องการได้ โควิด-19 ทำให้เห็นว่าชีวิตแบบปกติที่ผ่านมานั้นดีที่สุดแล้วจริง ๆ

18.สอนให้เห็นคุณค่าของ "ลมหายใจ"

              นอกจากเห็นคุณค่าของชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่แล้วและดูแลลมหายใจด้วยการใส่หน้ากาก หลายคนยังได้เห็นคุณค่าของลมหายใจผ่านวิธีทำสมาธิที่ได้มีการรณรงค์ให้มาลองนั่งสมาธิเพื่อมีความสุขในปัจจุบันด้วยการตามรู้ตามดูลมหายใจ แม้ว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่วิฤตยังไม่คลี่คลาย แต่หากสามารถอยู่กับปัจจุบันอยู่ในลมหายใจได้ ความวิตกกังวลที่เคยมีมันจะจางคลายหายไป ถึงแม้ว่าไวรัสโควิด-19 ณ ตอนนี้จะยังไม่หมดไปจากโลก แต่ทว่าความฟุ้งซ่านความวิตกกังวลในใจสามารถหมดไปจากใจได้ เพียงแค่มีสติระลึกรู้อยู่กับลมหายใจจนเกิดความตั้งมั่นและเกิดความปิติสุขฟูอิ่มขึ้นมาในใจอันเป็นผลมาจากสมาธิ

19.สอนให้เห็นว่า การล้างใจสำคัญไม่น้อยไปกว่าการล้างมือ

              แน่นอนว่ามาตรการการล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์คือวิธีการป้องกันที่ดีและได้ผลสำหรับการป้องกันการติดไวรัส แต่ทว่านอกจากมือและร่างกายที่ต้องสะอาดปลอดภัยแล้ว ความคิดฟุ้งซ่าน ความโลภ การฉวยโอกาส ความเห็นแก่ตัว การบ่นด่า การไม่เคารพกฎสังคม ซึ่งถือว่าเป็นเชื้อร้ายทางความคิดและจิตใจก็เป็นสิ่งที่ต้องชำระล้างเหมือนกัน มือสะอาดอย่างเดียวคงไม่พอ ยังต้องล้างใจให้ใสสะอาดปราศจากความคิด และกิเลสอกุศลต่าง ๆ อีกด้วย สถานการณ์นี้นับว่าเป็นสนามฝึกทดสอบและพัฒนาจิตใจได้เป็นอย่างดี

19 ข้อคิดที่โควิดสอน

R.A AKAMOTTO

#เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามรู้

#AVENGERS CODE วิถีฮีโร่ ฉบับ "ตื่นรู้"

#WORK FROM HOME ตัวอยู่กับบ้าน ใจอยู่กับวิหารธรรม

#19ข้อคิดที่โควิดสอน... ส.หลก

หมอเลี้ยบ


kreemza123

สุดยอดเว้บแทงงหวยออนไลนื มีทั้ง หวยลาว หวยอานอย หวยยี่กี่ หวยหุ้น และหวยอื่นๆๆ อีกมากมาย พร้อมอัตราจ่ายที่สูงถึงบาทละ 900 และมีระบบการเข้าถึงที่รวดเร็ว ฝาก-ถอน-โอนเร็ว พร้อมโปรโมชั่นจัดเต็ม

หวยออนไลน์

แดง ปากน้ำ

ทฤษฎีกบต้ม
คือ หลักอธิบายเรื่องโทษของความชะล่าใจ
ให้เห็นภาพได้ชัดเจน
.
.
เรื่องมันมีอยู่ว่า
หากเราต้องการจะต้มกบ
เราก็ใส่น้ำลงในหม้อ จุดเตาไฟ
รอให้น้ำเดือดแล้วจึงค่อยหย่อนกบใส่ลงไป
ตอนที่กบเจอน้ำร้อน มันก็จะกระโดดหนีทันที
เพราะสัญชาตญาณมันเป็นเช่นนั้น
.
.
ถ้ายังใช้อุปกรณ์เหมือนเดิม
จะทำอย่างไร เพื่อให้กบไม่สามารถกระโดดหนีได้
.
.
วิธีการคือ
ต้องเอากบใส่หม้อพร้อมกับน้ำอุณหภูมิปกติ
จากนั้นก็เปิดไฟอ่อนๆ
.
.
และเพราะกบเป็นสัตว์เลือดเย็น
มันจึงสามารถปรับตัวตามอุณหภูมิน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นได้
น้ำเย็นก็อยู่ได้สบายๆ น้ำอุ่นก็รู้สึกเฉยๆ
.
.
นานเข้าๆ
น้ำก็เริ่มร้อนมากขึ้นๆ จนใกล้เดือด
กบเพิ่งรู้สึกตัวว่า ตอนนี้ตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
.
.
มันจะกระโดดหนี
แต่! ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ขามันสุกไปเรียบร้อยแล้ว
ฉากจบคงไม่ต้องบรรยาย

——

วานก่อนดูคลิปวิดีโอของผู้ติดไวรัสโคโรน่า ชาวไอร์แลนด์
เขากำลังนอนซมอยู่ในห้องไอซียู
บอกเล่าถึงอาการเจ็บปวดที่ปอดอย่างแสนสาหัส
มีอยู่ประโยคหนึ่งที่เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง คือ
.
.
"อย่าคิดว่าคุณจะไม่ติดไวรัสนี้  แม้แต่วินาทีเดียว"
.
.
นี่เป็นการสื่อสารที่ตรงประเด็นมาก เรียกว่า "พูดออกมาจากหัวใจ" เลย
รับรู้ได้เลยว่าประโยคนี้ เขาได้เรียนรู้และกำลังประสบมันด้วยตัวเอง
คงเป็นสิ่งที่เขาอยากจะบอกกับพวกเราผู้ยังไม่ติดเชื้อมากที่สุด
.
.
วันนี้ ตอนนี้
ท่านคงกำลังปรับตัวกับสถานการณ์วิกฤตนี้ได้
เริ่มรู้จังหวะอยู่บ้านบ้าง อาจจะหาโอกาสออกไปข้างนอกบ้าง
พออยู่คนเดียวเหงาๆ เบื่อๆ ก็หาทางไปรวมกลุ่มกันบ้าง
ล้างมือบ้าง ล้างแล้ว ไม่ล้างก็ไม่เป็นไร
พวกนี้คนรู้จักกันทั้งนั้น ใกล้กันหน่อยก็คงได้มั้ง
.
.
"ไม่เป็นไร" "ก็ได้" บ่อยๆ เข้า
หารู้ไม่ว่านั่นคือ "ความเคยชิน"
ที่กำลัง "เปิดช่อง" ให้เกิดโอกาสติดเชื้อ
.
.
พระพุทธเจ้าหลังจากตรัสรู้แล้ว
มีธรรมะข้อหนึ่งที่พุทธองค์ทรงตรัสสอนทุกวันๆ ละ ๒ ครั้ง
.
.
ลองคำนวนดู ๔๕ ปีๆ ละ ๓๖๕ วันๆ ละ ๒ ครั้ง
รวมเป็น ๓๒,๘๕๐  ครั้ง ที่พระพุทธองค์ทรงเตือนว่า
"อย่าประมาท"
.
.
ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสถามกะพระอานนท์ ว่า
"ดูก่อน อานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง"
พระอานนท์​ ผู้พุทธอุปฐาก กล่าวตอบ
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันละ ๗ ครั้งพระเจ้าข้า"
"ยังห่างมาก อานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก"

——

"นึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก" และ
"อย่าคิดว่าคุณจะไม่ติดไวรัสนี้  แม้แต่วินาทีเดียว"
.
.
เป็น ๒ ประโยคนี้มีความหมายเดียวกัน
คือ "อย่าประมาท"
.
.
หากท่านอ่านมาถึงบรรทัดนี้
หมายความว่า ท่านกำลังมีชีวิตอยู่
ด้วยเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมดทั้งมวล "ในอดีต"
ทำให้ท่านยังอยู่กลุ่มที่ยังมีชีวิต และยังไม่ติดไวรัส
.
.
แต่อะไรๆ ก็ไม่แน่ สำหรับวิกฤตการณ์นี้
จุดเปลี่ยนอยู่ที่ ท่าน "เคยชิน" หรือ "รู้สึกตัว"
และมันมีความสำคัญถึงชีวิต
.
.
การไม่ระมัดระวัง ทำสิ่งเดิมๆ ตามความเคยชิน
ก็ไม่ต่างจาก "กบ" ไม่ประสีประสา นอนแช่น้ำอุ่น
.
.
การไม่เชื่อฟังคำแนะนำของแพทย์และรัฐบาล
แล้วไม่สนใจอะไร ก็ไม่ต่างจากการปิดฝาหม้อเสีย
แล้วยอมโดนต้มแต่โดยดี
.
.
หากท่านหวงแหน และยังยินดีกับชีวิตที่มีอยู่
ขอจงสร้างเหตุปัจจัยใหม่ ในปัจจุบัน!
.
.
ยินดีปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และรัฐบาล
ยินดีที่จะระมัดระวังตัว
ยินดีกับการอยู่คนเดียว
.
.
ยินดีกับการรู้สึกตัว
ยินดีกับลมหายใจ
"ยิ้ม" และ "หายใจ" ให้กับชีวิตและทุกสิ่ง
.
.
ท่านจะปลอดภัยทั้งกายและใจ

——

แม้นม่านหมอกแห่งความกลัว ยังไม่หมดไป
แม้นแสงร่ำไรแห่งความหวัง ยังส่องมาไม่ถึง
ขอให้ยืนหยัดบนสองเท้า ด้วยจิตคิดคำนึง
ว่านี่เป็นอีกวันหนึ่ง เพื่อยินดีกับชีวิตและความจริง

——

อปฺปมาโท อมตํ ปทํ    ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
อปฺปมตฺตา น มียนฺติ    เย ปมตฺตา ยถา มตา ฯ
.
.
ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย
ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย
คนไม่ประมาท ชื่อว่าย่อมไม่ตาย
คนประมาทเหมือนคนตายทั้งเป็น...  ส.สู้ๆ