ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

สตรอเบอรี่

เริ่มโดย กิ๊ฟ, 17:46 น. 03 มิ.ย 63

กิ๊ฟ



       สตรอเบอรี่จัดเป็นพืชหลายปี แต่โดยทั่วไปจะปลูกปีเดียวแล้วจะมีการปลูกใหม่ในปีถัดไป ลักษณะการเจริญเติบโต
จะแตกกอเป็นพุ่มเตี้ย สูงจากพื้นดิน 6-8 นิ้วทรงพุ่มกว้าง 8 -12 นิ้ว ระบบรากส่วนใหญ่อยู่ระดับลึกประมาณ 12 นิ้วจาก
ผิวดิน ลำต้นปกติยาว 1 นิ้ว ความยาวของก้านใบขึ้นกับพันธุ์ ขอบใบหยัก ใบส่วนใหญ่ประกอบด้วย 3 ใบย่อย
ตาที่โคนของก้านใบจะพัฒนาเป็นตาดอกลำต้นสาขาไหลหรือพักตัว โดยขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ดอกจะออกเป็นช่อ มีกลีบรองดอสีเขียวกลีบดอกสีขาวหรือชมพู เกสรตัวผู้สีเหลืองและเกสรตัวเมียเรียงอยู่บนฐานรอง
ดอก ซึ่งฐานรองดอกนี้จะพัฒนาเป็นเนื้อของผลส่วนเมล็ดอยู่ติดกับผิวนอกของผล ผลมีหลายรูปทรง เช่น ทรงกลม
ทรงกลมแป้น ทรงกลมปลายแหลม ทรงแหลม ทรงแหลมยาวทรงลิ่มยาว และทรงลิ่มสั้น มีหลายขนาดขี้นอยู่กับพันธุ์
ผลจะมีสีเขียวในระยะแรก และค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาว เมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม รสเปรี้ยวอมหวาน
กลิ่นหอมน่ารับประทาน
พันธุ์
* พันธุ์เพื่อการบริโภคสด ได้แก่ พันธุ์พระราชทานเบอร์ 70 , 80 เบอร์50 และเบอร์20 , 329 เป็นต้น
* พันธุ์เพื่อการแปรรูป ได้แก่ พันธุ์พระราชทานเบอร์16 และเซลวา , 329

สนับสนุนบทความโดย    lucaclub88
เว็บ บาคาร่า ออนไลน์ที่ดีที่สุด

การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์สตรอเบอรี่ ทำได้หลายวิธีได้แก่
1. การใช้ไหล ขยายต้นไหลจากพันธุ์ที่สามารถให้ไหลได้ดี
2. การแยกต้น แยกต้นจากพันธุ์ที่ออกไหลไม่ดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกพันธุ์ป่า
3. การใช้เมล็ด ใช้ในกรณีที่มีการผสมพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่เกิดขึ้น
4. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นขบวนการผลิตต้นไหลที่ปลอดโรค และสามารถขยายพันธุ์ให้มีปริมาณต้นไหลเพิ่มขึ้น
อย่างรวดเร็ว
การปลูกและการดูแลรักษา
ควรปลูกในเดือนกันยายน - กลางเดือนตุลาคม โดยใช้ส่วนที่เรียกว่า ต้นไหลมาปลูก
ระยะปลูก
สำหรับระยะที่ใช้ปลูกจะใช้ระยะปลูกระหว่างแถว 30 - 40 เซนติเมตร ระหว่างต้น 25 - 30 เซนติเมตร

วิธีการปลูก
ปลูกโดยการปลูกในวัสดุปลูกคือ ทรายหยาบ + แกลบดิบปลูกให้พอดีกับขนาดของต้นไม่ลึกเกินไป
ไม่ควรใส่ปุ๋ยเคมีตอนปลูกใหม่ เพราะอาจทำให้ระบบรากเสียหายและต้นตาย ได้ ควรปล่อยเฉพาะน้ำเปล่าๆ การปลูกต้นไหลนั้นระดับรอยต่อของรากและลำต้นจะต้องพอดีกับระดับของผิววัสดุปลูก ไม่ปลูกลึกหรือตื้นเกินไป
ถ้าปลูกลึก คือ ส่วนลำต้นจมอยู่ต่ำกว่าผิววัสดุปลูก หากเชื้อโรคเข้าทางยอดของลำต้นจะทำให้ยอดเน่า
ต้นเจริญเติบโตช้าและอาจถึงตายได้ ถ้าปลูกตื้น คือ ปลูกต้นไหลแล้วรากลอยขึ้นมาเหนือผิววัสดุปลูก ทำให้รากถูกอากาศและ
แห้ง ต้นเจริญเติบโตช้า ไม่สมบูรณ์ และอาจเป็นสาเหตุให้ต้นตายได้เช่นกัน การปลูกควรให้ขั้วไหลด้านที่เจริญมาจาก
ต้นแม่หันเข้ากลางแปลง เพื่อที่จะให้ผลสตรอเบอรี่ที่ผลิตออกมาอยู่ด้านนอกของแปลงได้รับแสงแดดเต็มที่
ทำให้รสชาติดี สะดวกในการเก็บเกี่ยวและลดปัญหาเรื่องโรคของผลได้ ปลูกหลุมละ 1 ต้น การใช้ต้นไหลที่ผ่าน การเกิดตาดอกจากพื้นที่สูงจะทำให้ได้ผลผลิตเร็ว และมีช่วงการเก็บเกี่ยวยาวนานขึ้น
เมื่อปลูกต้นไหลแล้ว ระยะตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงประมาณเดือนธันวาคม ต้นไหลบางพันธุ์จะผลิตส่วนไหลออก
มาเรื่อยๆ ให้เด็ดหรือตัดส่วนไหลออกให้หมดทุกต้น ไม่ควรเลี้ยงไหลไว้เพื่อใช้ปลูกต่อไป เพราะจะทำให้ต้น
ที่ย้ายปลูก (ต้นเดิมที่นำลงมาจากภูเขา)สร้างตาดอกรุ่นต่อมาช้าลง และทำให้ต้นโทรม ขาดความแข็งแรงได้
นอกจากนี้ยังจะกระทบกระเทือนต่อผลผลิตรวมทั้งแปลงอีกด้วย
การให้น้ำ + การให้ปุ๋ย
เนื่องจากเป็นการปลูกระบบไฮโดรโปรนิคส์ ทั้งน้ำและปุ๋ยจะมาพร้อมกันในระบบน้ำหยด ซึ่งควบคุมด้วยตัวตั้งเวลาให้น้ำวันละ 4 ครั้ง
การกำจัดวัชพืช
การปล่อยให้มีวัชพืชขึ้นในแปลงสตรอเบอรี่ จะมีผลทำให้ผลผลิตลดลงได้ เนื่องจากวัชพืชเป็นตัวแย่งน้ำแย่งอาหาร
ทั้งยังเป็นแหล่งสะสมโรคและแมลงที่จะระบาดทำความเสียหายให้แก่สตรอเบอรี่ด้วย เกษตรกรต้องหมั่นกำจัดวัขพืชอย่า
สม่ำเสมอ พร้อมทั้วตัดแต่งใบและลำต้นแขนงที่ไม่สมบูรณ์ออกทิ้ง ซึ่งแต่ละกอควรเก็บหน่อไว้ประมาณ 6 - 8 หน่อ
และอย่าทิ้งเศษพืชไว้ในแปลงปลูก เพราะจะทำให้เป็นที่สะสมโรค ควรเก็บเศษพืชอัดใส่ถุงปุ๋ยให้แน่นผูกปากถุงทิ้งไว้
เมื่อสลายตัวแล้วจะได้นำไปใช้เป็นปุ๋ยต่อไป

ครูวิด-19

ครูวิด-19

เปล่านะครับ ผมไม่ได้เขียนผิด แต่ในสถานการณ์ที่มนุษย์โลกกำลังเผชิญหน้ากับสงครามไวรัสที่ชื่อว่า โควิด-19 อยู่นี้
ถ้ามามองในอีกมุมหนึ่งวิกฤตไวรัสครั้งนี้ก็เป็น "ครู" ที่สอนให้เห็นความจริงในหลาย ๆ ด้านอยู่เหมือนกัน

เรามาลองนึกถึงข้อคิดของสงครามไวรัสครั้งนี้กันสัก 19 ข้อ ว่าให้บทเรียนหรือสอนอะไรกับพวกเราบ้าง

1.สอนให้ไม่ประมาทในชีวิต

  มองเห็นว่าความเจ็บป่วย หรือความตายนั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัว

2.สอนให้เห็นความแปรปรวน

             ถ้าย้อนไปก่อนหน้าสักสามสี่เดือนที่แล้ว ใครจะเชื่อว่าสังคมมนุษย์จะต้องแตกตื่นและปั่นปวนเหมือนเช่นทุกวันนี้ เพียงเวลาแค่ไม่กี่เดือนที่ไวรัสที่ชื่อโควิด-19 ปรากฏขึ้นมาครั้งแรกให้รู้จักที่เมืองอู่ฮั่น จากผู้ป่วยรายแรก-ก้าวเข้าสู่หลักล้านภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน แต่ก็เช่นเดียวกันกับทุกสรรพสิ่งในโลก ที่ต้องตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ไม่มีแล้วก็มี มีแล้วก็ไม่มี มาแล้วก็ไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไวรัสนี้ก็เช่นกันสักวันก็ต้องผ่านพ้นไป

3.สอนให้เห็นความไม่เที่ยง

             สถานการณ์ครั้งนี้ เราได้เห็นอาชีพที่เคยคิดว่ามั่นคงก็อาจไม่มั่นคงอย่างที่คิด ธุรกิจขนาดยักษ์ใหญ่ที่ดูหรูหรากลับล้มเร็วกว่าจะทันเตรียมตัว ประเทศที่ยิ่งใหญ่และเชื่อว่าตนเองมีเทคโนโลยีเจริญรุดหน้ากลับมีอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตมากกว่าประเทศเล็ก ๆ  ประสบการณ์ครั้งนี้คงได้ให้บทเรียนกับผู้คนทั่วโลก ว่าความไม่เที่ยงหรือความไม่แน่นอน คือความแน่นอนที่มนุษย์ทุกคนควรตระหนักไว้ด้วยความไม่ประมาท

4.สอนให้เห็นความเป็นเหตุปัจจัยที่ว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ

             โรคร้ายจากไวรัสสายพันธ์นี้ไม่ได้มีอยู่มาก่อน แต่เกิดจากเหตุปัจจัยที่ทำให้โรคภัยจากไวรัสนี้เกิดขึ้นมา(ตามข่าวบอกว่ามาจากค้างคาว-คนไปบริโภคค้างคาว)
วิฤตไวรัสครั้งนี้ทำให้เราเห็นว่ามีทั้งเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคระบาด และเหตุปัจจัยที่ทำให้หายจากโรคระบาด รวมถึงได้เห็นความเป็นเหตุปัจจัยของปรากฎการณ์สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติดีขึ้นจากสถานการณ์ระบาดของไวรัส เมื่อมนุษย์หยุดกิจกรรมการเดินทาง หยุดโรงงานอุตสาหกรรมที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม มีรายงานพบว่าสภาพดินฟ้าอากาศธรรมชาติฟื้นฟูขึ้นอย่างมีนัยยะ อากาศดีขึ้น น้ำสะอาดขึ้น สัตว์ป่าทั้งสัตว์บก และสัตว์น้ำออกมาปรากฏตัวอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน

5.สอนให้เห็นโอกาสในการให้

              ถึงแม้ว่าโควิด-19 จะทำให้โลกตกอยู่ในห้วงวิกฤต แต่หลายคนยังคงฉลาดพอที่จะใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาสในการเป็นผู้ให้ ให้ทรัพย์สิน ให้สิ่งของ ให้กำลังใจ ให้ความห่วงใย ให้ความร่วมมือ ซึ่งผลดีของการเป็นผู้ให้นั้น ทำให้ผู้นั้นได้กำไรจากความรู้สึกดีแม้ตกอยู่ท่ามกลางสภาวะวิฤต เรียกได้ว่าเป็นผู้ฉลาดมีความสุขอยู่ได้ท่ามกลางความทุกข์

6.สอนให้เห็น และเปิดโอกาสให้เป็นฮีโร่ตัวจริง

              วิกฤตการณ์ครั้งนี้เปรียบเป็นสงครามระหว่างคนกับไวรัส เราได้เห็นอาชีพหมอและพยาบาลรวมถึงเหล่าอาสาสมัครมากมายที่ยื่นมือออกมาช่วยเหลือแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เราได้เห็นฮีโร่ตัวจริงปรากฏขึ้นมามากมาย เห็นบุคคลธรรมดา ๆ ที่มีหัวใจฮีโร่ต่างทยอยกันออกมาเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อความสุขส่วนรวม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ท่ามกลางสงครามยังคงมีเทวดาและนางฟ้าในคราบมนุษย์ปรากฏตัวเป็นฮีโร่ให้เห็น วิกฤตครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสให้คนธรรมดา แปลงร่างเป็นฮีโร่ได้อย่างแท้จริง

7.สอนให้เห็นถึงคุณค่าของความสามัคคี

                ถึงแม้ว่าในสภาวการณ์เช่นนี้จะจำเป็นที่ต้องรักษาระยะห่างซึ่งกันและกัน แต่ทว่าก็เป็นความห่างด้วยความห่วงใย หลายความช่วยเหลือของผู้คนหลากหลายอาชีพได้แสดงถึงจุดแข็งด้านดีของมนุษย์ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกด้านดี ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติพวกเราล้วนผ่านเหตุการณ์วิกฤตกันมานับครั้งไม่ถ้วนด้วยการร่วมแรงร่วมใจ เราได้เห็นพลังความเสียสละของผู้คนในหลาย ๆ ภาคส่วน ที่วางผลประโยชน์ส่วนตัวลงก่อน แล้วเสียสละอาสามาเป็นผู้ให้ด้วยการทำบางสิ่งบางอย่างที่ตนสามารถตามกำลังตามความถนัดของแต่ละคน เป็นการยื่นมือออกไปช่วยเหลือไม่ใช่การยื่นมือออกไปเพื่อร้องขอ

8.สอนให้เห็นคุณค่าและความจำเป็นของสติ

              ท่ามกลางความตื่นตระหนกหวาดหวั่นที่เกิดจากการเสพข่าวสารจำนวนผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตที่ไหลเข้ามาตลอดแทบ 24 ชั่วโมง ความเปลี่ยนแปลงในการดำรงชีวิตในอาชีพการงานและรายได้ สร้างความหวั่นไหว และความเครียดให้กับผู้คนทุกระดับ สถานการณ์เช่นนี้องค์ความรู้เรื่อง "สติ" จึงเป็นองค์ธรรมที่ถูกพูดถึงกันมาก ว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งโดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ชีวิตต้องเผชิญกับความปรวนแปรที่ไม่คาดคิด สติกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้หลายคนสามารถตั้งหลักและเตรียมการเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

9.สอนให้เห็นความน่ากลัวของการคิดร้าย

             วิฤตโควิด-19 สิ่งที่ทำร้ายผู้คนมากกว่าไวรัสตัวจริงก็คือความคิด หลายคนกลายเป็นคนป่วยทางใจเพราะตกเป็นทาสของความคิดแบบวิตกกังวล แน่นอนว่าหลาย ๆ คนต้องตกงาน ต้องสูญเสียรายได้ แต่ทว่าหากยังคงมีสติยังสามารถมองโลกในแง่ดี และคิดในแง่ดีเท่าที่พอจะทำได้ สถานการณ์ที่ว่าร้ายก็จะไม่เลวไปเกินไปกว่าความเป็นจริง บางคนป่วยใจและเสียสุขภาพจิตมากว่าคนที่เจ็บป่วยจากไวรัสจริง ๆ เสียอีก

10.สอนให้เห็นพลังและคุณค่าของการคิดดี

              บางคนอยู่สถานการณ์เดียวกัน ตกงานเหมือนกัน เสี่ยงกับไวรัสเหมือนกัน แต่ก็ยังสามารถคิดดี มองโลกในแง่ดีได้ บางคนแปรเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส บางคนได้ข้อคิด ได้สติปัญญาในการใช้ชีวิตเพราะเหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้ ทุกคนล้วนเจอสภาวะเสี่ยงจากการติดไวรัสเหมือน ๆ กัน แต่บางคนยังกลับยิ้มได้ ทำตัวมีประโยชน์ได้ เหตุก็เพราะว่าคนเหล่านั้นยังคงคิดดี และมีเจตนาดีอยู่ได้นั่นเอง

11.สอนให้เห็นความเสมอภาค

               ความทุกข์จากไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ สอนให้รู้ว่าโรคภัยทางกายและความทุกข์ที่เกิดขึ้นทางใจสามารถจู่โจมทำร้ายได้ทุกคน โดยไม่แบ่งแยกชนชั้นวรรณะ สีผิว เชื้อชาติ ฐานะ หรือการนับถือศาสนา ไวรัสไม่มีพรมแดน ไม่มีเส้นแบ่งเขตแดน ไม่มีความลำเอียง

12.สอนให้เห็นความเป็นเพื่อนร่วมทุกข์

                เราได้ยินคำกล่าวที่ว่า ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันมานานแล้ว และเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้เห็นความจริงดังกล่าวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไวรัสทำให้เราเข้าใจว่าทุกคน ทุกชีวิต ล้วนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความแปรปรวนที่ไม่แน่นอน(ทุกขลักษณะ) ไวรัสทำให้เราเห็นแล้วว่า มนุษย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่ และสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้อย่างที่เชื่อ


13.สอนให้เห็นความจำเป็นของรักษาศีล

                จริง ๆ แล้วความหมายของคำว่า "ศีล" หมายถึงข้อกำหนดที่เอาไว้ปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีปกติสุข การที่ภาครัฐในหลาย ๆ ประเทศมีการออกกฎหรือข้อบังคับหลาย ๆ อย่าง เช่น การใส่หน้ากาก การเว้นระยะห่างทางสังคม การกักตัวเองเป็นระยะเวลา 14 วัน ฯลฯ มาตรการต่าง ๆ เหล่านั้นล้วนกำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายให้ทุกคนได้กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด จะเห็นว่าศีลที่แท้จริงก็คือการสำรวมระวังความประพฤติปฏิบัติเพื่อให้การอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุขนั่นเอง

14.สอนให้เห็นว่าการดูแลตัวเองคือดูแลส่วนรวม และดูแลส่วนรวมด้วยการดูแลตัวเอง

               เพราะถ้าเราไม่ดูแลตัวเองแล้วกลายเป็นผู้ป่วยเป็นผู้แพร่เชื้อ ก็อาจจะทำให้คนในครอบครัวที่เรารักกลายเป็นผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากเราใส่ใจดูแลตัวเองก็เหมือนกับว่าเราดูแลคนอื่นไปด้วยในตัว

15.สอนเห็นว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นเจ้าของโลกใบนี้อย่างที่เคยเชื่อ

               ทุกวันนี้มนุษย์เชื่อมั่นในศักยภาพของเทคโนโลยีของตนว่ามีความเจริญก้าวหน้า มนุษย์กอบโกยทรัพยากรทุกสิ่งทุกอย่างจากธรรมชาติ และคิดว่าตนเองคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือห่วงโซ่อาหารทั้งปวง แต่วันนี้เราได้รู้ความจริงแล้วว่า ธรรมชาตินั้นซับซ้อนและยิ่งใหญ่ รวมทั้งมีวิธีในการปรับสมดุลของตนเองอยู่เสมอ

16.สอนให้เห็นคุณค่าของการปล่อยวางความคิดและใช้ความคิดเป็น

               บางคนได้เรียนรู้ในสถานการณ์จริงครั้งนี้ว่า ความเครียด ความวิตกกังวล ความฟุ้งซ่านต่าง ๆ นานา ล้วนเกิดมาจากความคิด จริง ๆ แล้วความคิดเป็นเพียงเครื่องมือที่เอาไว้ใช้แก้ปัญหาในการดำรงชีวิตไม่ใช่เอาไว้สร้างปัญหา จริงอยู่ว่าสถานการณ์ไวรัสโควิดมั นอาจจะยังไม่คลี่คลาย แต่ทว่าการแบกความคิด การคิดเกินไปกว่าที่มันเป็นหรือเกินไปกว่าสถานการณ์ที่ปรากฏขึ้นจริงตรงหน้าเป็นการใช้ความคิดอย่างไม่ถูกต้อง  หลายคนสามารถหลุดพ้นจากความเครียดและความวิตกกังวลได้เพราะรู้จักปล่อยวางความคิดเป็น และใช้ความคิดเป็นเพราะรู้ว่าความคิดเป็นเพียงเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาชีวิตเท่านั้น

17.สอนให้รู้จักคุณค่าของความปกติ

               หลายคนสามารถฉุกคิดได้ว่าที่ผ่านมาชีวิตก่อนที่จะมีโรคจากไวรัสโควิด-19 นั้นมีความสุขที่สุดแล้ว หลายคนเวลาปกติเคยบ่นเคยก่นด่าที่ทุกเรื่องที่ไม่ถูกกับใจตัวเอง บ่นเรื่องงานบ้าง บ่นเรื่องแฟนบ้าง บ่นเรื่องสถานการณ์การเมืองบ้าง พอมาถึงเวลานี้ก็คิดได้ว่าที่ผ่านมาชีวิตช่างดีเหลือเกิน สามารถออกไปทำงานได้ ประกอบอาชีพได้ เดินทางไปซื้อของ ไปท่องเที่ยว  ไปพบปะผู้คน ไปกอดไปหอมแก้มคนที่เรารัก และทำหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างที่ตนเองต้องการได้ โควิด-19 ทำให้เห็นว่าชีวิตแบบปกติที่ผ่านมานั้นดีที่สุดแล้วจริง ๆ

18.สอนให้เห็นคุณค่าของ "ลมหายใจ"

              นอกจากเห็นคุณค่าของชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่แล้วและดูแลลมหายใจด้วยการใส่หน้ากาก หลายคนยังได้เห็นคุณค่าของลมหายใจผ่านวิธีทำสมาธิที่ได้มีการรณรงค์ให้มาลองนั่งสมาธิเพื่อมีความสุขในปัจจุบันด้วยการตามรู้ตามดูลมหายใจ แม้ว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่วิฤตยังไม่คลี่คลาย แต่หากสามารถอยู่กับปัจจุบันอยู่ในลมหายใจได้ ความวิตกกังวลที่เคยมีมันจะจางคลายหายไป ถึงแม้ว่าไวรัสโควิด-19 ณ ตอนนี้จะยังไม่หมดไปจากโลก แต่ทว่าความฟุ้งซ่านความวิตกกังวลในใจสามารถหมดไปจากใจได้ เพียงแค่มีสติระลึกรู้อยู่กับลมหายใจจนเกิดความตั้งมั่นและเกิดความปิติสุขฟูอิ่มขึ้นมาในใจอันเป็นผลมาจากสมาธิ

19.สอนให้เห็นว่า การล้างใจสำคัญไม่น้อยไปกว่าการล้างมือ

              แน่นอนว่ามาตรการการล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์คือวิธีการป้องกันที่ดีและได้ผลสำหรับการป้องกันการติดไวรัส แต่ทว่านอกจากมือและร่างกายที่ต้องสะอาดปลอดภัยแล้ว ความคิดฟุ้งซ่าน ความโลภ การฉวยโอกาส ความเห็นแก่ตัว การบ่นด่า การไม่เคารพกฎสังคม ซึ่งถือว่าเป็นเชื้อร้ายทางความคิดและจิตใจก็เป็นสิ่งที่ต้องชำระล้างเหมือนกัน มือสะอาดอย่างเดียวคงไม่พอ ยังต้องล้างใจให้ใสสะอาดปราศจากความคิด และกิเลสอกุศลต่าง ๆ อีกด้วย สถานการณ์นี้นับว่าเป็นสนามฝึกทดสอบและพัฒนาจิตใจได้เป็นอย่างดี

19 ข้อคิดที่โควิดสอน

R.A AKAMOTTO

#เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามรู้

#AVENGERS CODE วิถีฮีโร่ ฉบับ "ตื่นรู้"

#WORK FROM HOME ตัวอยู่กับบ้าน ใจอยู่กับวิหารธรรม

#19ข้อคิดที่โควิดสอน... ส.หลก