ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ไขข้อข้องใจ ทำไมมะเร็งตับเจอที่กระดูก?

เริ่มโดย Achana Jrs, 15:00 น. 12 มิ.ย 63

Achana Jrs

เป็นข่าวน่าใจหายสำหรับแฟนละครกันพอสมควรกับข่าวการเสียชีวิตของพระเอกดังแห่งยุค 90 "ศรัณยู วงศ์กระจ่าง" ที่เสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งตับ หลังเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา จากการประสบอุบัติเหตุล้มจนกระดูกสันหลังหัก จนหลายคนอาจสงสัย เพราะเหตุใดมะเร็งตับระยะสุดท้ายจึงแสดงอาการทางกระดูกออกมาให้เห็น วันนี้สินมั่นคงประกันภัยมีข้อมูลจากคุณหมอมาฝากกันค่ะ

"ตับ" อวัยวะที่สำคัญของร่างกายมนุษย์

ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีขนาดประมาณหนึ่งในห้าสิบของน้ำหนักตัว นั่นคือหากร่างกายเราหนัก 50 กิโลกรัม ตับก็จะมีขนาดประมาณ 1 กิโลกรัม ลักษะของตับมีรูปร่างคล้ายลิ่มวางอยู่ในช่องท้องและกระบังลมด้านขวาโดยมีซี่โครงหุ้มอยู่ เมื่ออยู่ในร่างกายเราตับจะวางหันลิ่มด้านบางหันเข้าด้านใน โดยตับจะมีหน้าที่ดังต่อไปนี้

•   เป็นแหล่งสร้างสารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ
•   เป็นแหล่งสร้างน้ำดีและน้ำดีช่วยละลายไขมัน
•   เป็นแหล่งสะสมพลังงานและสารอาหาร
•   เป็นแหล่งผลิตพลังงานให้ร่างกาย ในการนำสารอาหารมาสลายให้พลังงาน
•   เป็นแหล่งทำลายพิษต่าง ๆ และยา
•   เป็นเกราะกำบังที่สำคัญให้กับร่างกาย

สาเหตุของการเกิดโรค "มะเร็งตับ"

ผู้ป่วยมะเร็งตับมักถูกเข้าใจผิดว่าป่วยด้วยโรคอื่น ๆ เช่น ปวดกระเพาะ ท้องอืด ไม่อยากรับประทานอาหาร บางก็เข้าใจว่าเป็นอาการของโรคถุงน้ำดีอักเสบ โดยสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งตับ คือ

•   รับประทานผักและผลไม้น้อย
•   รับประทานอาหารปนเปื้อน โดยเฉพาะสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ที่พบมากในถั่วลิสง พริกป่นแห้ง
•   การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
•   ไม่ได้พักผ่อน หรือพักผ่อนน้อย นอนน้อยกว่าวันละ 6-8 ชั่วโมงติดต่อกันเป็นเวลานาน
•   กลั้นอุจจาระอยู่เสมอ
•   มีไขมันเกาะตับ
•   โรคเบาหวาน หรือโรคอ้วน
•   ภาวะตับแข็งจากสาเหตุต่าง ๆ ได้แก่ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี

อาการของ "มะเร็งตับ"

อาการมะเร็งตับโดยทั่วไปจะสามารถมองเห็นได้ชัดเมื่อโรคพัฒนาจนถึงระยะกลางและระยะสุดท้าย จึงมักจะเสียโอกาสในการผ่าตัด และลุกลามไปจนถึงระยะสุดท้ายในที่สุด เราจึงควรหมั่นสังเกตอาการของตัวเองที่อาจเข้าข่ายต่อการป่วยเป็นมะเร็งตับได้ ด้วยอาการของโรคดังต่อไปนี้

•   เมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรงอย่างต่อเนื่องไม่สามารถบรรเทาลงได้ มีไข้และบวมน้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ
•   มีอาการรู้สึกอึดอัดบริเวณส่วนหัวใจ
•   ท้องบวม บริเวณท้องด้านขวารู้สึกเจ็บ รู้สึกไม่สบายหรือถูกกด
•   น้ำหนักลดลงมีอาการไข้และตัวเหลืองโดยหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้
•   มีความอยากอาหารลดลงอย่างเห็นได้ชัด ท้องรู้สึกแน่น อืด การย่อยอาหารไม่ดี บางครั้งปรากฏอาการคลื่นไส้ อาเจียน
•   ปวดท้องด้านขวาบน มีอาการปวดบริเวณตับอย่างต่อเนื่องหรือเป็นบางครั้งบางคราว บางครั้งถ้าเนื้องอกมีการลุกลามอาการเจ็บก็จะรุนแรงขึ้น
•   เลือดออก มักจะมีอาการเลือดไหลทางจมูก เลือดออกตามผิวหนัง คันตามผิวหนัง ตัวเหลือง

อาการดังกล่าวอาจไม่ใช่โรคมะเร็งตับเสมอไป แต่ก็ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงและรีบทำการรักษา เพราะมะเร็งตับระยะแรกถูกตรวจพบและได้รับการรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพก็สามารถหายขาดจากโรคมะเร็งได้

เซลล์มะเร็งแพร่กระจายมาที่กระดูกได้อย่างไร?

เมื่อเป็นมะเร็งที่ใดที่หนึ่งในร่างกาย มักจะมีการกระจายของเซลล์มะเร็งไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น สมอง ปวด หรือกระดูก ในบางครั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งมาที่กระดูก มักจะถูกเรียกว่ามะเร็งกระดูก แต่จริง ๆแล้วเป็นการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งจากอวัยวะจุดกำเนิดมะเร็งหลักมาที่กระดูก และมะเร็งหลักที่มักจะมีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งมาที่กระดูก ได้แก่

•   มะเร็งเต้านม
•   มะเร็งไต
•   มะเร็งปอด
•   มะเร็งต่อมลูกหมาก
•   มะเร็งไทรอยด์
•   มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด multiple myeloma ที่มีการเพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวอย่างควบคุมไม่ได้

การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งมาที่กระดูกอาจใช้เวลานานเป็นเดือนหรือหลายปี ผู้ป่วยบางรายอาการมักจะทรุดลงเมื่อทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก และเป็นอาการแรกที่นำมาสู่การวินิจฉัยของโรคมะเร็ง ส่วนใหญ่ มักเกิดกระดูกหักบริเวณแขน ขา และกระดูกสันหลัง หรือหากมีการหักของกระดูกสันหลังอาจทำให้เกิดเป็นกระดูกทับไขสันหลังได้ อาการที่พบคือ มีอาการปวดหลัง อาการชาหรือแขนขาอ่อนแรง มีความผิดปกติของระบบขับถ่ายและลำไส้ ซึ่งอาการเหล่านี้ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

เมื่อเกิดอาการกระดูกหักเพราะมะเร็ง แพทย์จะทำการเอกซเรย์จึงจะสามารถมองเห็นความผิดปกติของกระดูก จากนั้นจะมาหาต่อว่า มะเร็งนั้นเกิดจากตัวกระดูกเองหรือลุกลามออกมาจากอวัยวะอื่น ๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว ถ้าเป็นผู้ป่วยที่อายุมากหากพบก้อนมะเร็งบริเวณกระดูก ก็มักจะเกิดจากมะเร็งจากอวัยวะอื่นแพร่กระจายมาที่กระดูก

การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งมาที่กระดูกยังมีการปล่อยสารแคลเซียมออกมาในกระแสเลือด ซึ่งทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้มีอาการไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ ท้องผูก เหน็ดเหนื่อยง่ายหรือมีอาการสับสน ซึ่งอาการเหล่านี้ควรไปพบแพทย์เช่นกัน

การรักษา "มะเร็งตับ"

การรักษามะเร็งตับมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับระยะลุกลามของโรค โดยแพทย์เฉพาะทางจะทำการพิจารณาวิธีที่เหมาะสมที่สุด ได้แก่
1.   การผ่าตัดก้อนมะเร็งตับ เนื่องจากการผ่าตัดรักษามะเร็งตับไม่สามารถผ่าเฉพาะก้อนเนื้อที่เป็นมะเร็งตับออกไปได้ อาจส่งผลกระทบถึงเนื้อเยื่อข้างเคียง ทำให้เกิดอันตรายจนถึงตับวายได้ ดังนั้นผู้ป่วยที่จะรักษาด้วยวิธีนี้มีเพียง 10 – 20% ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้
2.   การจี้ด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency Ablation – RF) มักใช้ในกรณีที่ก้อนเนื้องอกมีขนาดไม่เกิน 3 – 4 เซนติเมตร โดยใช้เข็มเข้าไปทำลายก้อนเนื้อด้วยความร้อน โดยใช้การอัลตราซาวนด์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ระบุตำแหน่ง ข้อดีคือเนื้อตับถูกทำลายน้อยมาก ทำลายเซลล์มะเร็งตับแบบถาวร ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว
3.   การให้เคมีบำบัดผ่านทางหลอดเลือดแดง (Transarterial Chemoembolisation – TACE) เป็นการรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ และก้อนเนื้อบริเวณตับมีขนาดใหญ่ประมาณ 7 – 10 เซนติเมตร โดยการสอดกล้องหรือสอดท่อเข้าไปทางหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนเนื้องอกที่ตับ จากนั้นให้ยาฆ่าเซลล์มะเร็งและให้สารอุดกั้นหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนเนื้องอก ทำให้ก้อนเนื้องอกถูกทำลายด้วยเคมีบำบัดและขาดเลือดไปเลี้ยง วิธีนี้ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน แต่อาจต้องกลับมาทำซ้ำหากเซลล์มะเร็งยังมีอยู่ หรือรักษาก้อนเนื้องอกจนเล็กลง
4.   การจี้ทำลายก้อนมะเร็งตับด้วยคลื่นไมโครเวฟ (Microwave Ablation) คล้ายกับวิธี RF โดยใช้เข็มที่ผลิตความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟผ่านรูเล็ก ๆ ที่มีขนาดเพียง 2 – 3 มิลลิเมตรเข้าไปทำลายก้อนเนื้อในตับที่มีขนาดไม่เกิน 5 เซนติเมตร โดยใช้การอัลตราซาวนด์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ระบุตำแหน่ง วิธีนี้ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก สินมั่นคงประกันสุขภาพ ..เราประกัน คุณมั่นใจ.. https://www.smk.co.th/prehealth.aspx