ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

Digital Marketing Freelancer หลักสูตรอบรม, ความรู้การทำ SEO เพื่อเพิ่มยอดขาย

เริ่มโดย wm5398, 21:10 น. 22 มิ.ย 64

wm5398

เผยกลยุทธ์สร้างรายได้ธุรกิจ Warrior ทำการตลาดสร้างจุดยืนในโลกออนไลน์


วีดีโอพูดถึงอะไรบ้าง ?
         1. กลุ่มคนที่นักรบเน้นสอนทำธุรกิจ
         2. จะสร้างระบบแบบการตลาดแบบ Warrior ต้องมีอะไรบ้าง
         3. แนวทาการทำการตลาดใน Website & Facebook
         4. ใช้ Line@ ปิดการขาย
         5. ใช้ AdWords & SEO เสริมกันอย่างดี (แชร์ตัวเลข AdWords & SEO)
         6. เปลี่ยนคนเข้าให้เป็นคนซื้อ
         7. การตั้งเป้าหมายรายได้โคเวอร์รายจ่าย
         8. เงินทุนตั้งต้น หากอยากออกมาทำธุรกิจเต็มตัว
         9. รายได้เท่าไหร่ จึงจดบริษัท
        10. แนะนำแหล่งเรียนรู้การเงิน

ยกตัวอย่างผู้เรียน     
         - ยกตัวอย่างเชฟหมวย ใช้วิธีการตลาด
         - ยกตัวอย่างผู้เรียนที่ก้าวหน้าในธุรกิจ
         - ใช้จุดเด่นของตัวเองเป็นสินค้า และใช้การตลาดออนไลน์ช่วย PR

สรุปวิธีทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ
         1. มีสินค้า ที่มาจากจุดเด่นของตัวเอง
         2. ทำการตลาดออนไลน์ที่เหมาะกับธุรกิจตัวเอง
         3. ใช้ Line@ และ มีผู้ช่วยปิดการขาย (เราจะได้โฟกัสสร้างสินค้า และการตลาด)
         4. เมื่อมีเงินมากขึ้น ให้ศึกษาการเงิน การลงทุนเพิ่ม

สรุป Tips ส่วนตัว
         - ใช้จุดเด่นตัวเอง ในการสร้าง Products & Service และใช้การตลาดเสริม
         - ทุก Product & Service สามารถทำการตลาดด้วยการให้ความรู้ได้ทั้งสิ้น
         - ใช้ Line@ ปิดการขายดีกว่าทางอื่นหลายเท่า และสร้างปุ่ม Add Line ให้เห็นได้ง่ายด้วย WordPress Plugin
         - อัตราเปลี่ยนคนเข้าให้เป็นคนซื้ออยู่ที่ 0.5-1% (จำนวนคนซื้อ/จำนวนคนเข้าเว็บ X 100)
         - ตั้งเป้าหมายรายได้เริ่มต้น 2-3 เท่าโคเวอร์รายจ่าย (ไม่แนะนำให้ตั้งเป็นแสนเป็นล้านเกินจริง)
         - รายได้ไม่เกิน 500,000 บาท/ปี ให้เสียภาษีบุคคลธรรมดาก่อน
         - รายได้ช่วง 650,000 บ/ปี ค่อยมองการจดบริษัทและจ้างบริษัทบัญชี (มีค่าทำบัญชีประมาณปีล่ะ 3-4 หมื่นบาท)
ดูจบแล้วอย่าลืมแชร์ความเห็น หรือ แนะนำให้เพื่อนที่สนใจนะคร๊าบบบ ** เรื่องภาษีและการลงทุน นักรบยังไม่เก่งมาก กำลังศึกษาอยู่ครับ
https://warrior.in.th/freelance-seo/marketing/online-business-strategy-warrior/

wm5398

สร้างเว็บไซต์ด้วย Theme Blog & Magazine รองรับ SEO


ถ้อยคำจากวีดีโอ
นาทีที่ 00.00 – 00.58 ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Warrior ทำธุรกิจแบบนักรบ วิดีโอนี้จะพูดถึงเรื่องของการเลือก Theme  เว็บไซต์ให้เหมาะกับการทำการตลาด Google SEO  หลังจากที่ท่านเรียนรู้การทำเว็บไซต์แล้วจาก เว็บไซต์ Warrior.in.th จะมีคู่มือการทำเว็บไซต์อยู่ รายละเอียด มีวิดีโอสอนฟรี แล้วก็คอร์สอยู่ภายในนี้เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งภาพ  Hosting อะไรต่างๆ Theme เว็บไซต์ ค่อนข้างที่จะครบเลย สามารถเข้ามาดูได้ สำหรับคนที่สามารถสร้างเว็บไซต์ได้ระดับหนึ่งแล้ว คำถามก็คือว่า เราจะหาคนเข้าเว็บไซต์ได้จากช่องทางไหน ซึ่งมันมีได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทำโฆษณาออนไลน์, Google SEO, Google Adwords, Facebook ads หรือมาจากช่องทางทั่วไปที่เราจะสามารถงัดขึ้นมาใช้ได้เลย แล้วแต่คนจะถนัดเลย แต่สำหรับนักรบ วันนี้จะพูดถึงเรื่องของการเลือก Theme เว็บไซต์ ให้เหมาะกับการทำการตลาดออนไลน์ Google SEO เป็นหลักครับ ซึ่งสำหรับใครที่ทำธุรกิจ โดยเน้นไปที่เว็บไซต์และ Google SEO แล้วก็ต่อยอดการทำ Adwords  ก็จะมาทางที่นักรบจะแนะนำได้ผม นาทีที่ 00.59 – 02.35 ขณะนี้นักรบก็ทำการค้นหาข้อมูลว่ารูปแบบ Theme เว็บไซต์แบบไหน ที่เหมาะกับการทำ SEO และก็เหมาะกับการเรียก Traffic จาก Google ได้ดีที่สุด เราก็มาค้นหาจากทั่วโลกเลย แล้วก็จากประสบการณ์ที่เราเรียนรู้มา ขั้นแรก เราก็มาลองเข้าเว็บไซต์ของต่างประเทศ เช่น Entrepreneur.com  เช่นเว็บไซต์ในไทย iT24 ชั่วโมงดอทคอมเนี่ย นักรบพบว่าเว็บไซต์เหล่านี้ ซึ่งเป็นแนว News ข่าว แมกกาซีน สไต ล์แมกกาซีนเป็นแนวบล็อกพวกเนี้ย จะเลือก Traffic คนได้มหาศาลมากที่สุด จะรู้สึกว่าเว็บไซต์นั้นเนี่ยจะเรียกคนเข้าเว็บไซต์ได้เยอะมากที่สุด โดยปัจจัยสามข้อ ที่นักรบจะวิเคราะห์ให้สั้นๆเข้าใจง่าย เรื่องแรก เว็บไซต์หรือบล็อก News Magazine เนี่ย มันสามารถอ่านได้ทุกวันครับ พอสามารถอ่านได้ทุกวัน เราทำให้เราสามารถอัพเดตอะไรได้ทุกวัน พอเราอัพเดตแล้วเนื้อหาเว็บไซต์ส่วนใหญ่ แนว Blog magazine เนี่ย เนื้อหาส่วนใหญ่ ใหม่ล่าสุด มักจะอยู่ส่วนบนเสมอ อย่างงี้ เวลาที่เราเปิดใน PC  Notebook หรือว่าในมือถือ มันจะปรากฏอยู่ในส่วนบนสุดเสมอ นั่นหมายความว่าเวลาที่เราเข้าเว็บไซต์ เราจะเห็นข่าวใหม่ล่าสุดอยู่บนสุด ส่วนบนเสมอๆครับ แล้วมันทำให้เราติดตามอ่านได้ง่ายครับ  Step ถัดมาก็คือว่า แนว Blog Magazine จะมีความสามารถในการแชร์เข้า Social media ได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น  ซึ่งมันช่วยกระจายและส่งเสริม SEO ได้อย่างดีเยี่ยมมากยิ่งขึ้น เรื่องที่สามถัดมา เว็บไซต์แนว แนว Blog Magazine หรือ News พวกเนี้ยจะมีน้ำหนักเบา ในเรื่องของโครงสร้าง และโหลดได้เร็วนั่นเอง เพื่อสอดกับพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคนั่นเอง นาทีที่ 02.36 – 03.20 ประมาณสามปัจจัย สามสี่ปัจจัยเนี่ยแหละ หนึ่งครับ เรื่องแรกคับ อัพเดตเนื้อหาได้เร็ว เนื้อหาที่ใหม่ล่าสุดจะอยู่ส่วนด้านบนเสมอ อันที่สอง เชื่อมกับ Social media ได้ดี ผลักดันให้เกิดการแชร์ใน  Social media  ได้อย่างง่าย อันที่สาม เว็บโครงสร้างมีน้ำหนักเบา โหลดได้เร็ว เพื่อที่จะสามารถดูได้ทุกอุปกรณ์และรองรับทุกอุปกรณ์ได้อย่างดีเยี่ยม อย่างเช่นเรามาดูเว็บไซต์  Entrepreneur ในรูปแบบของมือถือ อย่างเช่นในนี้เป็นรูปแบบของการจำลองดูในแบบของ iPhone6  สังเหตุว่าเนื้อหา Content ใหม่ลาสุดจะปรากฎอยู่ส่วนบนสุดเสมอ เพื่อที่จะทำให้ผู้ใช้เนี่ยอ่านเข้าใจได้ง่าย คลิกเข้าไปได้ง่าย เห็นภาพ เห็นข้อความเห็นไตเติ้ลเนี่ย ชัดเจน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เว็บไซต์แนว Blog and Magazine ติดอันดับ Google SEO ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยสามสี่ปัจจัยที่กล่าวมานี้นี่เอง นาทีที่ 03.21 – 04.42 คำถามถัดมา เราก็ไปค้นหาเพิ่มเติม โอเค เราจะเลือก Theme ที่เป็นแนวแบบ Blog and Magazine  เราก็ไปเข้าเว็บไซต์ Themeforest.net  ที่มีการขาย  Theme WordPress นั่นเอง มันจะมีโหมดของแนว Blog and Magazine อยู่ตรงนี้ สามารถคลิกเข้าไปอ่านได้ คลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้ คลิกเข้าไปดูปุ๊บ ถ้าให้ดี นักรบก็ทำการ Research  ว่าคนที่เก่งทางด้าน Blog and Magazine และเป็น Best Seller เนี่ย จะได้แน่ใจว่าเขา Support ดี และทำมาดีเนี่ยมีใครบ้าง ไม่ว่าจะเป็น Sahifa, Newspaper, SimpleMag, SmartMag, Gonzo, Valenti อะไรอย่างเงี้ยครับ หลังจากที่ดูข้อมูลมาหมดแล้ว พบว่า Theme ของค่าย TagDiv เป็น Theme ที่มีมาตรฐานและก็เหมาะกับคนไทยเป็นอย่างยิ่ง เราก็เข้าไปดูโปรไฟล์ของ TagDiv  ของเขาจะมีทั้งหมดคือสอง Theme หลักๆ ก็คือ Newsmag กับ Newspaper นั่นเอง คราวนี้เราก็เจาะลึกเข้าไปอีก Newspaper คือหน้าตาอย่างงี้ สามารถดู Live preview หรือตัวอย่างได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ตัวอย่างหรือรายละเอียดการใช้งานของ  Theme ว่ามีฟังก์ชันอะไรบ้าง สามารถคลิก Page down หรือเลื่อนสกอร์ลงมาด้านล่างได้ก็จะเห็นฟังก์ชันการทำงานแบบทั้งหมด คราวนี้เรามาดูตัวอย่างของ Newspaper เป็นแบบ Demo  ก็จะเห็นหน้าตามันเลย เอาง่ายๆ เป็นภาษาอังกฤษ แต่พอเวลาเราเอาไปใช้ก็เป็นภาษาไทย ก็มีการแปลภาษาไทยให้ สังเกตว่าการจัด Category ได้ดี จัด Layout ได้อย่างสวยงาม แล้วก็เหมาะกับคนไทย ไม่ใหญ่และก็ไม่เล็กจนเกินไป พอดีเลย นาทีที่ 04.43 – 06.24 คราวนี้เราก็ศึกษาเข้าไปอีกว่ามันรองรับ Blog commerce ไหม เราก็ต่อยอดเรื่อง E-commerce ได้ ถ้าเกิดว่าเราเลือกใช้ Theme นี้ อนาคต เราก็ต่อยอด E-commerce ได้ในทางเดียวกัน ศึกษาขึ้นไปอีกว่าโครงสร้างมันเร็วมากน้อยแค่ไหน แล้วก็ Demo ของมันเนี่ย เอาไปทดสอบกับ Google speed ซึ่งน่าเชื่อถือได้ เพราะออกมาจากผลิตภัณฑ์ของ Google ในการเช็ค Speed ความเร็วของอุปกรณ์เคลื่อนที่และก็ Desktop  พบว่าความเร็วของเค้าค่อนข้างสูงมากทีเดียว ถ้าเกิดเทียบกับเว็บไซต์ในเอ่อ.. ประเภทอื่นๆ และเดสก์ท็อปที่สูงถึงแปดสิบกว่าๆ เป็นสีเขียวคือแปดสิบเก้า โอ้โหขนาดนี้เลย เท่านี้ยังไม่พอ นักรบยังศึกษาเพิ่มเติมต่อในระบบหลังบ้านของเค้า สามารถจัด Layout ในรูปแบบของ Page Layout ได้มากกว่าสิบแปดแบบอย่างงี้เลย รองรับรูปแบบ Blog and magazine สวยงามมากยิ่งขึ้น คือยังไม่พอ ยังไม่พอครับ ศึกษาเพิ่มเติมต่อ ในส่วนของ Blog Content  สามารถจัดอยู่ส่วนหัวได้มากถึงนี่ครับ สิบกว่าแบบ โอโห ขนาดนั้นเลย  จัด Layout เพิ่มเติมได้ถึงยี่สิบกว่าแบบเห็นไหมครับ นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่นักรบพยายามกลั่นกรองและศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจในการเลือก Theme Blog and magazine ที่ดีที่สุดในการทำ Google SEO ผม จนประจวบเหมาะแล้วว่าค่ายของ TagDiv ก็คือ Theme Newspaper หรือ Newsmag เนี่ยเป็นตอบโจทย์ของการทำการตลาด Google SEO เป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่า Theme ประเภทอื่นไม่เหมาะ แต่เนื่องจากนักรบต้องการเลือก Theme ที่เหมาะที่สุดฉะนั้น นักรบก็เลยเลือก Theme นี้มาใช้กับเว็บไซต์ Warrior.in.th นั่นเองในเวลาต่อมาผม แล้วก็ทำการทดลอง SEO จนไต่อันดับดีขึ้นเรื่อยๆ ใน Keyword ที่เกี่ยวกับธุรกิจ ในหมวดหมู่การค้นหารวมกันมากกว่าสามหมื่นครั้งต่อเดือน นาทีที่ 06.25 – 08.17 คราวนี้เรามาดู เว็บไซต์อื่นๆที่ใช้  Newspaper  อย่างเช่น เว็บไซต์ startitup.in.th ก็ใช้ Newspaper เช่นกัน ละก็สร้าง Content เนื้อหาที่ดีสม่ำเสมอ ทำให้มีคนเข้าเว็บไซต์ ละก็รู้สึกเขาได้มากขึ้น เช่นกัน คราวนี้เรามาดูสถิติก็แล้วกัน ว่าหลังจากที่นักรบ ทำ SEO กับเว็บไซต์ Theme Newspaper ละ Newsmag  อันดับดีขึ้นแค่ไหน ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ดูสถิติเฉพาะ Google SEO ในส่วนของ Organic Search  ตอนนี้จะมีแค่สีเหลืองเล็กๆตรงนี้ ส่วนเล็กน้อยมาก มีคนเข้าจาก Organic Search ช่วงนั้น หกร้อยเก้าสิบสอง session เอง ถือว่าน้อยมากเลย ถัดมา ในประมาณหกเดือนถัดมาเนี่ย หลังจากที่พัฒนา Google SEO มาอย่างดีเยี่ยมเนี่ย แล้วก็ใช้ Theme ที่เหมาะกับทำงานตลาด Google SEO  มันก็มี Search เพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่าครับ กลายเป็นห้าพันเจ็ดร้อยห้าสิบสองในทันที จึงช่วยพิสูจน์ให้แล้วว่า การเลือกใช้ Theme ให้เหมาะสมบวกกับความรู้ในการทำ SEO ของนักรบจากประสบการณ์จริง ช่วยผลักดันให้การตลาด Google SEO เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเลย ซึ่งองค์ความรู้นี้จะมีประโยชน์กับคนทำธุรกิจออนไลน์เป็นอย่างยิ่ง สำหรับคนที่สนใจทำธุรกิจออนไลน์ การสร้างเว็บไซต์ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ Warrior.in.th ครับ สำหรับวิดีโอสาธิต และก็แชร์ประสบการณ์การเลือก Theme เว็บไซต์แนว Blog and Magazine ที่เหมาะกับการทำการตลาดออนไลน์ และต่อยอด E-commerce รวมทั้ง การต่อยอดในเรื่องของการวัด Conversion ใน Adwords ในอนาคตอีกด้วย ที่เรียกได้ว่าการวางแผนครั้งเดียว แล้วรองรับการทำธุรกิจในอนาคตได้อย่างครบครัน สำหรับคนทำธุรกิจออนไลน์ควบคู่งานประจำ หรือคนทำธุรกิจแบบเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม Niche market ครับ สำหรับวิดีโอนี้จบเพียงเท่านี้ก่อนครับ แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ.   
คอร์สเรียนแนะนำเรียน SEO & Content Marketing
https://warrior.in.th/wordpress/wordpress-theme-for-seo/

wm5398

ภาพรวมการใช้งาน Conversion ใน Google Ads


ถ้อยคำพูดในวีดีโอ
นาทีที่ 00.00 – 01.27 สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู้ Warrior ทำธุรกิจแบบนักรบ วิดีโอนี้จะพูดถึงเรื่องของ Conversion  แล้วก็ภาพรวม เป็น Conversion ของ Google Adwords  คราวนี้เรามา Start กันที่หน้า Google Adwords กันก่อนเลย  เราน่าจะคุ้นกันอยู่เลยว่า Google Adwords เนี้ยทำงานยังไง สำหรับคนที่เคยใช้ Google Adwords เนี่ย ไม่มีปัญหาเลย แต่สำหรับคนที่ไม่เคยใช้เลยว่า Google Adwords เนี่ยมันทำงานยังไง ลองศึกษาเพิ่มเติมดู คุ้มค่ามาก สำหรับการเรียนรู้เรื่อง Google Adwords ในการทำโฆษณาให้กับเว็บไซต์ของท่านนั่นเอง เรามาเริ่มต้นกันเลย เข้าถึง Google  Search คำ Keyword ที่ต้องการ อย่างเช่นตัวอย่างนี้ ยกตัวอย่างคำภาษาอังกฤษละกัน "How to start online business" search ปุ๊บเนี่ย มันจะมีส่วนผลการค้นหา ที่เป็นส่วนของ Google Reslut search ปกติ ก็คือพวกนี้ กับกลุ่มที่ทำโฆษณา Google Adwords นั่นเอง สังเกตว่าตรงนี้จะมี Ad แอดอยู่ตรงนี้ด้วย ซึ่งหมายความว่า 4 เว็บไซต์เนี่ยทำโฆษณา Google Adwords เช่นเดียวกันครับเวลาเราทำโฆษณา Google Adwords ก็จะปักหมุดแบบนี้เหมือนกัน โดยเวลาที่เราคลิกเข้าไปทางเราจะต้องคนที่ทำโฆษณาเนี่ยต้องเสียตังค์ต่อคลิกว่างั้นเหอะ เป็น Pay per click พอคลิกเข้าไปแล้ว คลิกเข้าไปในเว็บไซต์ของเราเนี่ย ลูกค้ามาแล้วล่ะ มาจาก Google Adwords แล้วล่ะ มาจากโฆษณาเรียบร้อยแล้วล่ะ ลูกค้าก็จะเล่นในเว็บไซต์เรา ก็จะหาข้อมูลในแบบที่เขาต้องการ ก็ชอบไหม ก็เจออะไรที่ชอบไหม เขาก็จะคลิกไล่อ่านไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ชอบเขาก็ปิดไป ถ้าเขาชอบเขาก็จะกลับมาใหม่ 
นาทีที่ 01.28 – 03.10 ซึ่งเวลาที่เราทำโฆษณาจริงๆเนี่ย เราอยากให้เขาซื้อของเราจริงๆไหม หรือว่าอยากให้เขาแบบสมัครสมาชิกกับเรา อยากให้เขาลงทะเบียนกับเรา อยากให้ฝากอีเมล อะไรก็แล้วแต่เนี่ยที่เราต้องการ เขาโทรหาเรา ซื้อตรงเนี้ยมันจะก่อให้เกิดยอดขาย ก่อให้เกิดสมาชิกเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจ คือไหนๆก็เสียตังค์โฆษณาแล้วอ่ะ เราก็อยากรู้ว่าคนที่เข้ามาเนี่ย เข้ามา Join event เข้ามาซื้อของอะไรกับเราบ้างหรือเปล่า ซึ่งเครื่องมือในการวัด เราจะเรียกว่า Conversion  ครับ  Conversion ใน Google Adwords เนี่ยมันจะเป็นเครื่องมือในการวัดว่าคนที่คลิกโฆษณาจาก Google Adwords มาแล้วเนี่ย มันมาทำอะไรต่อในเว็บไซต์ของเรา ซึ่งอย่างเช่น เราวัดอะไรบ้าง เราวัดได้ว่าคนเข้าเว็บไซต์เนี่ย คนมาซื้อของเราไหม คนมาสมัครสมาชิกเราไหม คนมาลงทะเบียนแบบฟอร์มเราไหม เห็นไหมครับ แล้วมันก็วัดได้อีกว่า มันมาดาวน์โหลดแอพหรือเปล่า แอพที่เราติดตามอะไรหรือเปล่า หรือว่าคนที่แบบว่าคลิกโฆษณาแล้วเขาโทรหาเราหรือเปล่า เนี่ย หรือสุดท้ายเลยเนี่ยมันสามารถเชื่อมไปได้แบบคนที่คลิกโฆษณาแล้วแบบเขาอาจจะไม่ได้โทร เขาอาจจะไม่ได้เข้าเว็บไซต์เรามาก แต่เขาเดินมาร้านค้าเราอย่างเงี้ย เป็นการติดตาม Conversion  แบบออฟไลน์รึป่าว มันก็สามารถวัดผลการโฆษณาได้อย่างนี้นี่เอง เป็นการบอกความคุ้มค่าในการลงทุนโฆษณานั่นเอง แต่เนื่องจากการจะติดตั้ง Conversion ได้ มันจะต้องติดตั้ง Script ภายในเว็บไซต์ด้วยนะ แล้วเว็บไซต์ต้องรองรับเรา มันก็จะอยู่ในขั้นตอนของการติดตั้งและตรวจสอบการติดตั้งอีกทีหนึ่ง ซึ่งจะอยู่ในวิดีโอถัดๆไป
นาทีที่ 03.11 – 05.22 ซึ่งวิดีโอนี้เอาแค่ภาพรวมคร่าวๆก่อนว่ามันทำงานยังไงนะ  มันเป็นการติดตามนั่นเอง ว่าผลจากการที่คนคิดโฆษณามา ถ้าเราไปดูผลลัพธ์นะ ในการค้นหาของ Google Adwords เนี่ย หน้าผลลัพธ์อย่างเงี้ย สมมติว่ามีตัวอย่างเป็นผลลัพธ์ของ Google Adwords นะก็คือว่าเราทำโฆษณาไปแล้วเนี่ย เราจะมีผลลัพธ์ประมาณเนี้ย เราใช้ค่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่อย่างเงี้ย ตัวนี้ใช้ค่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่ มีแสดงผลเท่าไหร่ใน Google Search เนี่ย เราทำโฆษณาไปแล้วแสดงผลเท่าไหร่ มีคนคลิกเท่าไหร่อย่างเงี้ยเห็นไหม หนึ่งพันกว่าคลิก แล้วตัว  Conversion เนี่ยเป็นตัวบอกว่า เฮ้ย คนคลิกเข้ามาเนี่ย เขาทำอะไรบ้าง อย่างของผมเนี่ยก็เป็นตัวอย่างว่าคนคลิกเข้ามาเนี่ย หยิบของใส่ตะกร้าไหม เห็นป่ะ ดีป่ะ สมมุติว่าคนเข้ามาเนี่ยหยิบของใส่ตะกร้าไหม สมมติว่าคนเข้ามาเนี่ยเข้ามาในเว็บไซต์เนี่ย จาก Google Adwords เนี่ยเข้ามา ปึ้ง ในเว็บไซต์เนี่ย เขาก็ไปเรื่อยของเขาเนี่ย แล้วแต่เขาจะชอบ แล้วอยากรู้ว่าคนที่เข้ามาเนี่ย เขาหยิบของใส่ตะกร้ารึป่าว แล้วแบบจ่าย แล้วก็ Check out ไหม Confirm order ไหมอย่างเงี้ยเราอยากรู้ เพราะว่าเราจะได้วัดค่าการลงทุนได้ว่ามันคุ้มรึป่าว เท่านั้นเอง ซึ่งการวัดค่าตรงนี้นะ Conversion ตรงเนี้ยมันจะต้องเอา Code ไปฝัง โดยขั้นแรก วิธีการเปิด Column ตรงนี้ ถ้าเกิดใครยังเปิดไม่เป็นเนี่ย ก็คืออยู่นี่ คอลัมน์ -> แก้ไขคอลัมน์ อยู่ตรงนี้ ปึ้งนึง โอเค ละเลือกเนี่ย แท็บ Conversion ตรงนี้มันก็จะอยู่ตรงโซนเนี้ยแหละ เพิ่มตรงนี้เข้าไป อยู่ใน Conversion เพิ่มเข้าไป มันก็จะเรียบร้อยล่ะ มันก็จะได้แท็บ Conversion ละ โอเคขอปิดก่อนนะ เป็นอันนี้มันจะต้องเพิ่มเข้ามา เป็นแท็บ เป็นคอลัมน์ Conversion ซึ่ง Conversion เริ่มเลยเราใส่เข้าไปมันจะเป็นศูนย์เพราะว่าเราไม่ได้ฝัง Code การติดตาม แล้วก็วิธีการฝังCodeการติดตามเนี่ยจะเอ่ยในวิดีโอถัดไปละกัน โดยวิดีโอนี้จะเอ่ยถึงภาพรวมเฉยๆ ซึ่งวิธีการฝัง Code การทำติดตามเนี่ยมันก็ทำไม่ยาก ไปคลิกเครื่องมือ แล้วก็เลือก Conversion ตรงนี้ มันจะเป็นเครื่องมือฟรี มันก็จะสู่หน้าตาการฝังโค้ดแล้วก็การติดตั้งเอง ซึ่งจะพูดถึงในวิดีโอถัดไปนะ
นาทีที่ 05.23 – 07.15 ซึ่งพอเราฝังโค้ดการติดตั้งได้เนี่ย เราจะต้องฝังให้ถูกหน้าด้วยนะ เราไปฝังผิดหน้าเนี่ยมันจะทำให้การวัดผล Conversion ในโฆษณา Google Adwords เนี่ย เพี้ยน แล้วจะฝังยังไงอ่ะสมมุติว่าเราต้องการยกตัวอย่างนะ เราจะฝังโค้ด Conversion ติดตามการหยิบของใส่ตะกร้า เราจะต้องฝังไว้หน้าไหนนะ ยกตัวอย่าง เราจะไม่ฝังไว้หน้านี้ หรือฝังไว้หน้านี้นะ หน้านี้เรายังไม่ฝังโค้ดนะ แบบว่าคนหยิบของใส่ตะกร้าแล้วเอ่อใส่ข้อมูลที่อยู่การติดต่อ เรายังไม่ฝังโค้ดนะ เราไปฝังโค้ดที่หน้านี้ครับ หน้าเสร็จสิ้นการสั่งซื้อตัวเนี้ยครับจะเป็นการฝังโค้ด Conversion เพื่อระบุแน่นอนเลยนะว่าตั้งแต่เริ่มต้นเลยเนี่ย คนคลิกเข้า Adword โฆษณา Adwords พวกเนี้ย เข้ามาปุ๊บ เข้ามาหน้าเว็บไซต์ เข้ามาหน้าสินค้า หยิบของใส่ตะกร้า ใส่ข้อมูลที่อยู่อะไรเรียบร้อย แล้วเขาก็กดปุ่ม Check out ปุ่มล่าสุด ปึ้ง! สั่งซื้อเสร็จเรียบร้อย ปึ้ง! เนี่ย คือเสร็จสิ้นกระบวน เกิดหนึ่ง Conversion แล้ว แล้วผลลัพธ์ของมันเนี่ย มันก็จะมาปรากฏที่หน้า Google Adwords ตรงนี้ มันก็จะมาปรากฏตรงนี้เป็น Conversion ตรงนี้ ตัวเลขมันก็จะขึ้นมาตามที่เรากำหนด ซึ่งมันก็จะบอกได้ด้วยนะว่า Conversion เนี่ยหรือว่าผลลัพธ์ที่คนสั่งซื้อเนี่ยมันมาจาก Keyword คำว่าอะไร เห็นป่ะ ดีมะ นั่นหมายความว่าเราจะเอาตัวเลขเนี้ย เป็นการประมวลว่า Keyword ไหนที่แบบใส่ใส่เข้าไปละแบบมีคนคลิกเข้ามาละก็สั่งซื้อเราจริงๆ นั่นหมายความว่าเราจะได้แบบเอาเงินโฆษณาไปทุ่มให้กับ Keyword นั้นๆ มันก็จะได้เกิดยอดสั่งซื้อ ยอดคนเข้า ยอดสมัครสมาชิก ยอดอะไรก็แล้วแต่ที่เราจะต้องการเนี่ย เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
นาทีที่ 07.16 – 07.58 สรุปนะมันก็คือการบริหารงบประมาณให้ถูกต้องกับ Keyword ละก็โฆษณามากยิ่งขึ้นนั่นเอง โดยมีตัว Conversion ช่วย ในการที่เราบอกเราว่าเราควรจะเอางบโฆษณาเทไปที่ไหน ใช้กับอะไร แล้วมันได้ผล เห็นป่ะ ซึ่งการที่ทำอย่างงี้ได้นะ เรื่องแรกนะคือเว็บไซต์จะต้องรองรับการวาง  Conversion Code เว็บไซต์ต้องรองรับการวาง Conversion Code นะซึ่งนักรบก็ออกแบบวางกลยุทธ์ไว้เรียบร้อยว่าเว็บไซต์ WordPress ที่สอนอยู่เนี่ย มันรองรับการวาง Conversion Code อยู่เพียงแค่มันจะมีรายละเอียดเทคนิคเพิ่มขึ้นในวิดีโอถัดไปละกันว่ามันจะทำยังไง น่ะ มันก็สามารถทำได้
นาทีที่ 07.59 – 10.25 ฉะนั้นเรามาดูตัวอย่างง่ายๆอีกอันหนึ่งก็คือสมมุติยกตัวอย่างนี้ ก็คือ สมมติเราใช้เนี่ย เราใช้ต้นทุนในการโฆษณาไปประมาณสามพันเจ็ด โดยเฉลี่ยประมาณสามพันเจ็ดนี้ เกิด Conversion ห้าครั้งก็คือมีเกิดคนสั่งซื้อสัมมนา SEO เนี่ยห้าครั้ง Conversion สั่งหนึ่งครั้งน่ะมีมูลค่าประมาณสามพันบาท แปลว่าห้าครั้งเนี่ย จะได้ยอดมาหมื่นห้าพันบาท ประมาณนี้  ยอดมันจะหมื่นห้าพันบาท หมายความว่าไง หมายความว่าการโฆษณาครั้งนี้คุ้มมาก ก็คือว่าถ้ามันมีคนสั่ง ใช้เงินทุนไปสามพันเจ็ดโฆษณาปุ้งเนี่ย มันมีคนสั่งซื้อมาตึ้งสักสองครั้ง ก็เกิดจุดคุ้มทุนแล้ว เห็นป่ะ แล้วที่เหลือก็คือกำไรของการโฆษณาครั้งนี้นั่นทำให้เรารู้ว่า อ้อ!การโฆษณาของเราเนี่ย ที่ลูกค้าได้มาจาก Google Adwords เนี่ย เขาคือคนที่สั่งซื้อนะ เพราะว่ามันจะไม่มีปัญหาอย่างงี้เลยอ่ะ สมมุติว่าคนสั่งซื้อคอร์สเราหรือว่าสั่งซื้อสินค้าเราแล้วเราจะมักถามเขาอีกว่า ขอโทษนะคะ รับทราบจากที่ไหน จริงป่ะ? สั่งซื้อรับทราบจากที่ไหน ทราบจากสื่อไหน Facebook หรือว่า Google หรือว่าจะสื่อสิ่งพิมพ์หรือว่าจะออฟไลน์ หรือว่าคนบอกต่อคะ อะไรอย่างเงี้ย ถ้ามันมีลูกค้าแค่สิบกว่าคน มันไม่เป็นไรไง แต่ถ้าเกิดคนมีคนสักห้าสิบคนเนี่ย ถ้าถามทุกคนมันจะยุ่งยากละ และอีกอย่างมันก็จะไม่มีความเที่ยงตรงไง แต่ถ้าเราใช้เครื่องมือช่วย อย่าง Google Adwords Conversion เนี่ยมันจะเที่ยงตรงระดับที่แบบดีขึ้นเยอะเลย ไม่ต้องถามอะไรอย่างเงี้ย มันจะรู้เลยว่าคนมาจากโฆษณาใน Google Adwords และสั่งซื้อ หยิบของใส่ตะกร้าของเรานั่นเอง นี่แหละคือประโชยน์ของมันว่าถ้าเราโฆษณา แล้วเราไม่รู้ผลลัพธ์การโฆษณาว่ามันได้ไม่ได้นะ มันจะวัดผลยาก มันจะดูได้แค่นี้  ถ้าเราไม่มี Conversion ในนั้น เราจะดูแค่จำนวนคลิก ก็คือคนเข้าเว็บไซต์อย่างเดียว เรารู้คนเข้าพันคนจริง พันครั้งจริง แต่เราไม่รู้ว่าพันครั้งเนี่ย มันมีคนซื้อรึเปล่า จริงมะ มันมีคนสมัครสมาชิกไหม มันมีคนฝากอีเมลไหม มีคนเข้าร่วมกิจกรรมกับเราไหม อย่างเงี้ย เราไม่รู้เลยนะถ้าเราไม่ใช้ Conversion ช่วย เนี่ยคือ Conversion คือส่วนเสริมที่ทำให้เรารู้ว่าการลงทุน ในโฆษณาเราคุ้มค่าไหม และการลงทุนของเราเนี่ยมันมาจากสื่อไหนนั่นเอง ซึ่ง Conversion ไม่ได้มีแค่ Adwords นะ มันก็จะมีในสื่อออนไลน์อย่างอื่น เช่น Facebook ซึ่ง Facebook หรือจะเรียกว่า Facebook pixel เดี๋ยวค่อยพูดกันในวิดีโออื่นละกัน ขณะนี้เราพูดถึงแค่นี้ก่อน
นาทีที่ 10.26 – 11.00 นี่คือภาพรวมทั้งหมดนะในการใช้  Conversion และประโยชน์ของ Conversion เพื่อที่จะรู้ว่าคนเข้ามาเว็บไซต์เราเนี่ย มาจาก Adword ไหม โอเค เท่านี้น่าจะพอเห็นภาพละของการทำ Conversion ละก็ภาพรวม สำหรับวิดีโออื่นนะ วิธีการติดตั้ง วิธีการใช้งาน วิธีการนู้นนี่นั่นอะไรอย่างเงี้ย ไปชมลึกมากขึ้นนะ ก็พบกันวิดีโอถัดไปละกัน สำหรับวิดีโอนี้ ขอเท่านี้ก่อนครับ สวัสดีครับ. 
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/google-ads/google-adwords-conversion-share-2/

wm5398

การตลาดออนไลน์ด้วย Content Marketing คือที่สุดของมืออาชีพยุคนี้


ท่ามกลางความแข่งขันของเนื้อหาข้อมูลที่วิ่งผ่านชีวิตคนอย่างมากมายมหาศาล ในยุคข่าวสารข้อมูล (Information age) ยากที่ท่านจะเปิดดูทุกฟีดข่าวได้หมด Facebook จึงนำเสนอแต่ข้อมูลเพื่อน และหน้าเพจที่ท่านให้ความสนใจและปฏิสัมพันธ์ด้วยก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อให้ประสบการณ์การใช้งานเฟสบุ๊คของท่าน เจอแต่เรื่องที่ท่านชอบนั่นเอง แล้วคนทำธุรกิจออนไลน์ล่ะ จะทำอย่างไรถึงจะแทรกเนื้อหาของเขาไปยังหน้าเฟสบุ๊คฟีดของคนอ่านคนฟังได้ ก่อนอื่นท่านต้องเรียนรู้พลังพื้นฐาน : " ถูกใจ แชร์ แทค พลังในมือของผู้อ่านในโลกออนไลน์ "

ถูกใจ แชร์ แทค พลังในมือของผู้อ่านในโลกออนไลน์
พลังของการเผยแพร่อยู่ในมือของคนอ่าน ท่านบังคับคนอ่านให้ติดตาม ถูกใจ หรือแชร์ไม่ได้ ยกเว้นแต่ท่านมีอะไรบางอย่างไปแลก เช่น รางวัลที่หลายๆเพจมักทำกัน, การให้คุณค่าแก่คนอ่านหลังอ่านจบ, ภาพที่สื่อความหมาย หรือ วีดีโอที่เข้าถึงอารมณ์ จนยากที่ผู้ชมจะหยุดใจไม่ให้แชร์ต่อ การเขียนบทความที่ดี, การถ่ายรูปที่สวย, และการทำวีดีโอที่คนชอบ ไม่ใช่ทักษะพื้นฐานที่ติดตัวมาแต่กำเนิด มันเป็นทักษะที่ฝึกระหว่างทาง หากท่านไม่ใส่ใจตรงจุดนี้ ก็ยากที่จะสร้างเนื้อหาที่ดีให้คนชอบได้ แต่ในทางตรงกันข้ามเมื่อท่านทำได้แล้ว จะสนุกและทำได้ต่อเรื่อยๆไม่จบ จนเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในการทำการตลาดผ่าน Content Marketing ที่ทรงคุณค่าทีเดียว เนื้อหาที่ดี มีคนแชร์มากมายใน Social Media ก็มีวันดับตาลกาลเวลา แต่ท่านสามารถชุบชีวิตมันให้ยังคงอยู่ถาวรเป็นอมตะได้ ให้เป็นประโยชน์กับคนอ่านรุ่นต่อๆไปด้วย SEO

เนื้อหาดีจะอยู่เป็นอมตะ ได้ด้วย SEO
เนื้อหาดีมีคนแชร์และบอกต่อ จะสามารถอยู่อย่างยั่งยืนยาวนานนับปี เมื่อนำมาผนวกกับ SEO เสมือนเป็นยาอายุวัฒนะให้เนื้อหาแบบนั้นเลย นั้นก็เพราะ SEO คือการโปรโมทผ่าน Google Search โดยอาศัยหลัก SEO ช่วย หากท่านมีเนื้อหาดีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ผนวกกับ SEO ท่านจะสูญเสียตำแหน่งที่ดีใน Google เนื้อหาข้อมูลที่ดีของท่านจะถูกแชร์และบอกต่อในโลก Social ในช่วงแรกจริง แต่ในระยะยาวเนื้อหาของท่านจะมีคนเข้าชมน้อยลงเรื่อยๆหากไม่ติดอันดับใน Google ครับ และ SEO คือคำตอบของการชุบชีวิตเนื้อหาให้เปร่งประกายทุกยุคสมัยตราบเท่าที่ Google Search ยังคงอยู่ตัวอย่าง

แบรนด์ GTH ที่ใช้ Content Marketing
ตัวอย่างมีมากมายในต่างประเทศและประเทศไทย กระจายอยู่ในทุกๆธุรกิจ นักรบขอยกตัวอย่างธุรกิจในเครือภาพยนตร์อย่าง GTH ที่หยิบการตลาดผ่าน Content มาสร้างเรื่องราวของหนัง  ให้คนชม คนชอบ คนแชร์ใน Social Media ก่อนที่หนังจะฉายจริงเสียอีกครั้ง


การจ่ายโฆษณาเพียงอย่างเดียว ไม่ส่งผลดีกับธุรกิจออนไลน์ SME
ท่านจะสูญเสียเงินมหาศาลไปกับการทำให้คนจดจำและรู้จัก (Awareness) และจะสูญเสียงบโฆษณาไปกับ Facebook Ads และ Adwords มากมาย ท่านจะได้แต่คนเข้าชมในราคาแพง ไม่มีคนซื้อ ไม่มีใครช่วยแชร์เรื่องราวหรือสินค้าของท่านเลย เปรียบได้กับท่านไม่ได้ใช้พลังทวี หรือเครื่องทุนแรงในโลก Social มากนัก เพราะท่านไม่เน้นที่การตลาดเนื้อหา (Content Marketing) ตั้งแต่แรก Tip: ท่านอาจใช้วิธีการที่เรียกว่า การวัดยอดขาย (Conversion) กับสินค้าของท่าน แต่จะดีกว่าถ้าท่านทดลองตลาดด้วย Adwords และสร้างความน่าเชื่อถือ การจดจำที่ดีก่อนผ่าน Content Marketing

การตลาดออนไลน์ ด้วย Content Marketing ไม่ต้องใช้คนมาก แค่ท่าน 1 คนก็ทำได้
หมดยุคการแปะสรรพคุณสินค้าลงใน Social Media เพียงอย่างเดียวได้แล้วครับ เพราะแฟนเพจและเว็บไซต์ของท่านจะร้างได้ หากไม่มีเนื้อหาดีๆภายในเว็บไซต์หรือ Fanpage เลย นั้นก็เพราะ ทั้ง Google และ Facebook ต่างเห็นพ้องในทิศทางเดียวกันคือ เขาจะนำเสนอข้อมูลที่ดีให้ถึงคนอ่านเท่านั้น และพยายามกีดกันเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ค่อยมีประโยชน์ออกไป แต่จะเว้นที่ว่างไว้สำหรับการจ่ายโฆษณา การตลาดออนไลน์ ด้วย Content Marketing เผยแพร่ผ่าน Blog และ Social Medila สามารถทำได้ด้วยเพียง 1 คน และใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงต่อวันในการสร้างเนื้อหาพร้อมๆกับโปรโมทสินค้าและบริการของท่านไปในตัว ยกตัวอย่างใกล้สุด คือเว็บไซต์นักรบแห่งนี้ครับ


การตลาดออนไลน์ ด้วย Content Marketing จะช่วยให้หน้าฟีดเฟสบุ๊คของลูกค้า หรือ ตำแหน่งผลการค้นหาของ Google ยังมีที่ว่างอยู่สำหรับธุรกิจท่านครับ
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/seo-content/online-marketing-n-content-marketing/

wm5398

SEO พื้นฐาน สำหรับเจ้าของธุรกิจ SME


เจ้าของธุรกิจออนไลน์จะมองว่า SEO เป็นการทำการตลาดที่ซับซ้อน และมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ทำให้การทำ SEO เป็นเรื่องยาก สำหรับเจ้าของธุรกิจเสมอๆ ไม่เพียงแต่เจ้าของธุรกิจเท่านั้นที่จะมึนงงไปกับเทคนิค SEO ที่มากมาย เหล่านักการตลาดออนไลน์ทั้งใหม่และเก่า ต่างก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้หลายชั่วโมงเพื่อให้เข้าใจพื้นฐานการทำ SEO ได้ วันนี้

ผมนักรบจะช่วยไขปัญหาและอธิบายให้เข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้นสำหรับคนที่สนใจการตลาดออนไลน์ผ่าน Google SEO เป็นหลัก ผ่านบทความ " สอน SEO : เรียนวิธีการทำ SEO พื้นฐาน และเทคนิคการตลาดออนไลน์ สำหรับเจ้าของธุรกิจ SME " Tip : SEO สามารถต่อยอดสู่ Adwords ได้อย่างดีเยี่ยมในอนาคต แต่นักรบขอพูดถึงในโอกาสต่อไปครับ

SEO คืออะไร ?
SEO คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ปรากฏในตำแหน่งที่ดีที่สุด  ในหน้าผลการค้นหาของ Google (SERP) หลังจากที่คนพิมพ์คำค้นหา (Keyword) ในธุรกิจของท่านเรียบร้อยแล้ว การทำ SEO ที่ดีจะทำให้หน้าเว็บไซต์ของท่านอยู่ในหน้าแรกของ Google อันดับ 1-10 ท่านจะมีคนเข้าเว็บไซต์เฉลี่ย 10-30% โดยเฉลี่ยของจำนวนยอดการค้นหาในแต่ละเดือน

ตัวอย่างเช่น
คำค้นหา (keyword) = เริ่มต้นธุรกิจ จำนวนการค้นหา = 1600 ครั้ง/เดือน (จาก เครื่องมือวางแผนคำหลัก Google keyword planner tools )

หลังจากพิมพ์คำค้นหา " เริ่มต้นธุรกิจ " ใน Google แล้วเว็บไซต์ของท่านอยู่ในอันดับ 1-10 ท่านจะมียอดคนเข้าเว็บไซต์อย่างน้อย 160-480 ครั้ง/เดือน โดยไม่เสียเงินค่าโฆษณา Adwords (อัตราเข้าชมเฉลี่ย 10-30% X 1,600) จะช่วยประหยัดเงินโฆษณา Google Adwords ได้สูงถึง 800-2,400 บาท/เดือนทีเดียว (ขอกำหนดราคาต่อคลิ๊กโดยเฉลี่ยที่ 5 บาท/คลิ๊ก)

การทำ SEO นั้นมีวิธีหลากหลาย และมีบทความสอน SEO ฟรีมากมาย แต่หากว่าบทความเหล่านั้นไม่ได้อัพเดทตามยุคตามสมัยของ Google ละก็ แทนที่จะเป็นผลดีให้เว็บไซต์ อาจส่งผลร้ายกับอันดับเว็บไซต์ของท่านก็เป็นได้ ฉะนั้นหากท่านไม่ทราบแน่ชัดว่า เทคนิค SEO ที่ท่านอ่านและเรียนรู้มา จะส่งผลดีหรือผลร้ายกับเว็บไซต์ของท่านกันแน่ โปรดอย่าทำตามเทคนิค SEO ทันที

โปรดศึกษาเทคนิคที่เรียนรู้มาให้แน่ชัด หากเป็นเทคนิควิธีการทำ SEO แบบสายมึด (Black Hat SEO) ท่านโปรดอย่าทำเป็นเด็ดขาด เพราะจะส่งผลเสียกับเว็บไซต์ของท่านในระยะยาว แต่หากพบว่าเทคนิควิธีการทำ SEO นั้นเป็นสายคุณภาพ (White Hat SEO) ท่านสามารถเดินหน้าลุยต่อได้เต็มกำลังครับ

เกี่ยวกับ Black-hat และ White-hat SEO
        1. Black Hat จะเน้นที่การขึ้นอันดับเร็ว ด้วยการสร้าง Black Link จำนวนมาก, การสร้างเครือข่าย Blog ส่วนตัวไม่มีคุณภาพ, การ Spam Keyword เป็นต้น
        2. White Hat จะเน้นที่การสร้างเนื้อหาที่ดี และเกิดการบอกต่อเป็นธรรมชาติ มีสถิติผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์ดี สม่ำเสมอ ทั้งในเว็บไซต์และสื่อออนไลน์อื่นๆ

ข้อแนะนำพิเศษ  โดยนักรบ
หากท่านไม่ทราบแน่ชัดถึงวิธีการทำ SEO ที่ได้ผลอย่างยั่งยืนในระยะยาว ขอให้ท่านมุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาที่ดี และเป็นประโยชน์กับคนเข้าเว็บไซต์ (Quality Content) เป็นอันดับแรกก่อน  หลักจากศึกษาเทคนิคการทำ SEO จนค้นพบวิธีที่แน่ใจว่าได้ผล หลังจากนั้นค่อยนำมาใช้กับเนื้อหาดีอีกมากมายที่รอให้ท่านปรับแต่งได้อย่างเต็มกำลัง จนส่งผลดีกับเว็บไซต์ของท่านในระยะยาวครับ
https://warrior.in.th/entrepreneur/how-to-wordpress-seo/

wm5398

9 ขั้นตอนการทำการตลาดออนไลน์


เจ้าของธุรกิจหลายคนจะรู้สึกเหมือนกันว่าการตลาดออนไลน์ (Online Marketing) เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน และเข้าใจยาก หลายต่อหลายครั้งที่เขาจ่ายเงินทำโฆษณาออนไลน์ไป แต่กลับไม่ได้ลูกค้ามากขึ้นดังที่ใจคิด อีกทางหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจจะทำ คือ การจ้างนักการตลาดออนไลน์เป็นที่ปรึกษา ดูแลการตลาดออนไลน์ให้แทน แต่ถ้าหากยังไม่ได้ผล ทำไมเจ้าของธุรกิจถึงไม่ลองทดสอบและเรียนรู้ด้วยตัวเองบ้างล่ะ ? ซึ่งอาจจะพบวิธีทำการตลาดออนไลน์และได้ลูกค้าใหม่ๆมาก็เป็นได้ บทความนี้ " 9 ขั้นตอนการทำการตลาดออนไลน์ " จะเป็นการแนะนำ วิธีการทำการตลาดออนไลน์ด้วยตัวเอง ซึ่งนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่จะลองลงทุนเรียนรู้ และหาหนทางในการทำการตลาดออนไลน์ด้วยมือของคุณเองครับ

1. เริ่มต้นที่ Social Media
Social Media คือ เครือข่ายผู้บริโภคขนาดใหญ่ สถานที่ที่สามารถสร้างการรับรู้ (Awareness) และการ PR เป็นอย่างดี เพราะด้วยความสามารถในการกดชอบ (like), แสดงความคิดเห็น (Comment) และการแชร์ (Share) ล้วนส่งผลดีแทบทั้งสิ้น สามารถสร้าง Facebook Fanpage ได้ที่ คลิ๊กสร้าง Fanpage

2. เริ่มต้นเขียนบล็อก (Blog)
อย่าเพิ่งปฏิเสธการเขียน Blog เพราะ การเขียนบทความ (Articles) ใน Blog นั้นมีคุณค่ากับธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง เช่น การสร้างการรับรู้ (Awareness), ความน่าเชื่อถือ (Credibility) และ ความเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจ (Authority) Tip : การเขียน Blog จะไม่เหมือนการเขียนงานเรียงความในมหาลัย (ซึ่งนั้นอาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่ท่านเขียน) โปรดใช้เทคนิคการเขียนที่ง่ายต่อการอ่านแบบสแกน และย่อยข้อมูลให้เข้าใจง่าย โดยเนื้อหาใจความโดยรวมไม่หลุดประเด็นไปจากหัวข้อหลัก

3. สร้างความสำพันธ์ ผ่านช่องทางสื่อ
สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มจำนวนการเข้าถึงของคนเข้าชมใหม่ๆ ถ้าที่ปรึกษาหรือทีมงาน ไม่ได้สร้างสายสำพันธ์กับนักเขียน หรือ Bloggers ไว้เลย มันคงน่าเสียดายมาก เพราะผู้เข้าชมส่วนใหญ่จะอยากติดต่อและพูดคุย สอบถามกับธุรกิจนั้นๆที่เขาสนใจ Tip : ติดตามนักเขียน ในช่องทางสื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook, Twitter ในกลุ่มธุรกิจของท่าน เพื่อที่จะแบ่งปันเนื้อหา แสดงความคิดเห็น เพื่อทราบทิศทางร่วมกันในอนาคต เวลาที่จะต้องนำเสนอข่าวสารร่วมกัน

4. นำเสนอเนื้อหาที่คนเข้าชมต้องการ
เชื่อมกับลูกค้าคนสำคัญได้ง่ายดายผ่านเนื้อหาที่ปรับแต่งเพื่อให้ใช้งานง่าย ในทางข้อมูล 61% ของลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อสินค้าจาก Brand ที่นำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน Tip : ใส่ใจปัญหาผู้ฟังเป็นหัวข้อสำคัญในการทำเนื้อหาที่จะนำเสนอ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดเนื้อหา และพัฒนารายงาน, eBooks, คู่มือ และ โพสบล็อก ที่ให้คุณค่ากับลูกค้าของท่าน

5. ใส่ใจการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติ (Analytics)
มันง่ายดายที่จะรู้ว่าช่องทางสื่อออนไลน์ไหน ที่สร้างจำนวนคนเข้าชมได้มากมายผ่านเครื่องมือสถิติ เช่น Google Analytics เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ท่านไม่ควรทิ้งมัน หากแต่จะช่วยทำให้โฟกัสการทำงานได้มากยิ่งขึ้นในสื่อนั้นๆ Tip : ติดตั้ง Google Analytics ในเว็บไซต์ของคุณ เพื่อที่จะเช็คว่า กลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ ผ่านช่องทางไหนที่ได้ผลที่สุด

6. เช็คให้แน่ใจว่า E-Mail Marketing ยังสื่อสารถึงคนอ่านอยู่เสมอ
หากพูดถึงทุกวิธีทำการตลาด E-Mail Marketing ยังคงใช้ได้ผลอยู่เสมอ เป็นหนทางที่จะส่งเนื้อหาไปถึงผู้อ่านได้โดยตรง เพื่อเปลี่ยนให้เป็นลูกค้าที่จะซื้อของจากท่าน และยิ่งท่านมีฐานสมาชิก E-Mail List มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งประสบความสำเร็จในการเข้าถึงมากขึ้นเท่านั้น Tip : โปรดใช้เวลาและใส่ใจกับหัวข้อใน E-Mail ให้มากหน่อย เพราะ 64% ของผู้รับจะเปิด eMail หลังจากที่เขาอ่านหัวข้อแล้วสนใจ เวลาที่ท่านใช้ไปกับการสร้างสรรค์หัวข้อ E-Mail จะช่วยการันตีถึงจำนวนการเปิดอ่านได้มากยิ่งขึ้น

7. ปรับแต่งเว็บไซต์ (SEO) ให้ดีเยี่ยม
เช็คให้แน่ใจว่า Keywords บทเว็บไซต์ของท่าน เป็นสิ่งที่คนอ่านกำลังค้นหาอยู่จริงๆ ด้วยเครื่องมือวางแผนคำหลัก (Keyword Planner Tools) ของ Google ใน Adwords หากในเว็บไซต์ของท่านไม่มีเนื้อหา หรือ Keywords ที่เกี่ยวข้อง จะเป็นไปได้สูงที่คนจะออกจากเว็บไซต์ของท่านทันที ส่งผลให้อัตราการออก (Bounce rate) ใน Google Analytics สูงขึ้น และ การตอบสนองจากผู้อ่านจะลดน้อยลงไป Tip : หากธุรกิจของท่านมีคำค้นหา (keywords) ที่หลากหลาย โปรดอย่ามองข้ามคำค้นหาที่เป็นภาษาพูด เพราะคำเหล่านี้ผู้อ่านมักจะใช้พิมพ์คําค้นหาใน Google ท่านสามารถใส่คำภาษาพูดที่เข้าใจง่ายในหน้า Blog ของท่านได้ครับ

8. จัดเวลาเป็น นักเขียน Blog รับเชิญบ้าง (Guest Blogging)
ท่านสามารถเข้าถึงคนอ่านได้มากมายผ่าน Blog ของท่าน แต่ท่านก็สามารถเพิ่มจำนวนคนอ่านใน Blog อื่นๆที่มีชื่อเสียงได้ผ่านการเป็นนักเขียน Blog รับเชิญ ซึ่งมีหลายๆ Blog ก็ยินดีต้อนรับ Guest Blogging Tip: การเขียน Guest Blogging ควรเขียนในเนื้อหาที่มีเป็นประโยชน์กับคนอ่านของเจ้าของ Blog เป็นสำคัญ เพื่อที่เนื้อหาที่เขียนนั้น สอดคล้องกับเนื้อหาเดิมใน Blog ก่อนหน้านี้

9. เช็คให้แน่ใจว่า ขั้นตอนการทำงานทั้งหมด รวมกันเป็นหนึ่งเดียว และสอดคล้องกันเป็นอย่างดี
ทุกขั้นตอนสามารถทำได้สำเร็จได้ แต่ควรเช็คให้แน่ใจว่าทุกขั้นตอนนั้นทำงานสอดคล้องกันเพื่อให้ถึงเป้าหมายหลัก (Goal) ที่วางไว้ของธุรกิจของท่าน Tip : ก่อนที่จะทำการตลาดออนไลน์ ควรกำหนดเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้วว่าคืออะไร ? เช่น ต้องการเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ (Website Traffic), เพิ่มยอดขาย 200% หรือต้องการจะโปรโมทสินค้าตัวใหม่ โดยทุกๆขั้นตอนควรพุ่งประเด็นไปที่เป้าหมายของท่าน

การลงมือทำ ขั้นตอนการทำการตลาดออนไลน์  จะได้ผลลัพธ์ที่วิเศษ
ถ้าท่านต้องการเงินในระยะสั้น การจ้างนักการตลาดออนไลน์เพื่อเป็นที่ปรึกษา อาจจะช่วยให้ท่านได้ผลลัพธ์ที่ต้องการได้ แต่ในธุรกิจขนาดเล็ก (SME) การขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาด โดยการลงมือทำด้วยตัวเอง จะทำให้เข้าใจลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นอันส่งผลต่อผลลัพธ์ทางการตลาดที่ดีที่สุด แบ่งเวลาที่ท่านมี เพื่อศึกษาขั้นตอนการทำการตลาดออนไลน์บ้าง และเทคนิคที่เผยแพร่ในบทความนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ท่านสามารถทดลอง เรียนรู้ และลงมือทำได้ทันที

พื้นฐานที่ควรมี (จาก Wikipedia)
การตลาดออนไลน์ ((Online Marketing) หรือ การตลาดบนอินเทอร์เน็ต ( Internet marketing)  คือ อะไร ? หรืออาจใช้ว่า i-marketing, web-marketing, Digital Marketing, การตลาดออนไลน์ (online-marketing) หรือ การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-Marketing) หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด การดำเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างลงตัวกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กรอย่างแท้จริง ซึ่งในรายละเอียดของการทำการตลาด E-Marketing จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
         1. เป็นการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในลักษณะเฉพาะเจาะจง (Niche Market)
         2. เป็นลักษณะเป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง (2 Way Communication)
         3. เป็นรูปแบบการตลาดแบบตัวต่อตัว (One to One Marketing หรือ Personalize Marketing) ที่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายสามารถกำหนดรูปแบบ  สินค้าและบริการได้ตามความต้อง การของตนเอง
         4. มีการกระจายไปยังกลุ่มผู้บริโภค (Dispersion of Consumer)
         5. เป็นกิจกรรมที่นักการตลาดสามารถสื่อสารไปยังทั่วทุกมุมโลก ตลอด 24 ชั่วโมง (24 Business Hours)
         6. สามารถติดต่อสื่อสาร โต้ตอบ ปฏิสัมพันธ์ได้อย่างรวดเร็ว (Quick Response)
         7. มีต้นทุนต่ำแต่ได้ประสิทธิผล สามารถวัดผลได้ทันที (Low Cost and Efficiency)
         8. มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมการตลาดแบบดั้งเดิม (Relate to Traditional Marketing)
         9. มีการตัดสินใจในการซื้อจากข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ (Purchase by Information)

บทความนี้เป็นการฝึกแปลบทความจาก Ref : https://marketingland.com/9-steps-implementing-online-marketing-campaign-98393 Ref : https://th.wikipedia.org/wiki/การตลาดบนอินเทอร์เน็ต เรียบเรียงโดย นักรบสอนการตลาดออนไลน์
https://warrior.in.th/freelance-seo/nine-step-online-marketing/

wm5398

3 เส้นทางทำเงินธุรกิจการสอนออนไลน์ SEO&Training


ก่อนจะทำธุรกิจการสอน SEO และให้คำปรึกษา เริ่มต้นต้องมี Website และ Facebook  ในการโปรโมทก่อนครับ ในต่างประเทศเรียกธุรกิจการสอนว่าเป็นอาชีพ Infopreneur ขายสินค้าความรู้อยู่ในรูปแบบ Digital Products

วิธีการโปรโมทธุรกิจการสอนออนไลน์ที่ดีที่สุดวิธีหนึง คือการเขียน Blog และให้ความรู้ฟรีเบื้องต้นสม่ำเสมอ อย่างน้อย 10 เนื้อหา/เดือนหรือมากกว่า ทั้งในเว็บไซต์ และ  Fanpage หลังจากมี Blog Website และ Facebook  Fanpage ที่มีการให้ความรู้ฟรีอย่างต่อเนื่องแล้ว จึงสร้าง 3 ช่องทางทำเงินธุรกิจการสอน SEO

เส้นทางที่ 1 : ขายสินค้าที่คนเข้าถึงได้ง่าย ราคาไม่สูง
สินค้าราคาไม่สูง สินค้าที่คนเข้าถึงได้ง่าย ไม่ได้แปลว่าเป็นของไม่ดีนะครับ เพียงแต่ว่านี้คือ ด่านแรกที่คุณสามารถหยิบยื่นให้ลูกค้าได้ง่าย และลูกค้าก็เข้าถึงคุณได้ง่ายเช่นกัน เสมือนว่า ถ้าสินค้านี้ดี และเป็นประโยชน์กับเขาจริง เขาจะยินดีซื้อสินค้าที่ราคาสูงขึ้น เพื่อได้ประโยชน์สูงขึ้นนั่นเอง สินค้าประเภทนี้ คือ : E-Book และ Audio CD ครับ

ในเมืองไทยมีหลายท่านที่ขายเพียง E-Book อย่างเดียว โดยฝากขายกับ Ookbee, Se-ed, Naiin ก็สามารถทำเป็นรายได้เสริมสร้างเงินให้แบบ กึ่ง Passive Income ได้ตลอดทั้งเดือน จนมองเห็นโอกาสในการทำ Infopreneur เต็มตัวในเวลาต่อมา

ทำไมต้องเป็น E-Book
ข้อดีของ E-Book
         1. ลูกค้าซื้อได้ง่าย ไม่แพง และใช้อ่านเพื่อเรียนรู้เบื้องต้นด้วย
         2. E-Book ดาวน์โหลดได้เร็ว เพราะ File จะเล็กมากเมื่อเทียบกับ DVD Video หรือ คอร์สออนไลน์
         3. E-Book เข้าถึงได้ง่าย และ ฝากขายผ่านตัวแทนได้ง่าย เช่น Ookbee, Se-ed, Naiin หรือ ผ่านนายหน้าออนไลน์ (Affiliate)
         4. E-Book ต่อยอดสู่การทำหนังสือเล่ม สร้าง Personal Brand ได้
         5. สามารถหยิบเนื้อหาใน Blog ทีเขียนฟรีมาปรับแต่ง เป็นหัวข้อ และเติมรายละเอียดให้เข้าใจง่าย และลึกมากขึ้น แล้วนำมาเขียน E-Book ได้
         6. เมื่อเขียน E-Book จะได้ไอเดียใหม่ๆ ที่ต่อยอดไปเขียนใน Blog สร้างเนื้อหาใหม่ๆได้ ไม่มีวันหมด และสร้างฐานผู้อ่านใหม่ได้ผ่าน Google และ Facebook
         7. E-Book เป็นสินค้าแบบ กึ่ง Passive Income ทำเสร็จ ฝากขายได้หลายเดือนและหลายปี มีเวลาเหลือไปเขียน E-Book เล่มใหม่ต่อ

ข้อเด่นชัด คือ การเขียน E-Book มีผลต่อทักษะการเขียน Blog และ Google SEO โดยตรง ช่วยการตลาดได้ดีเยี่ยม ตัวอย่างราคา :  E-BOOK จะอยู่ในช่วง 100-500 บาท อุปกรณ์ที่ต้องมี
         1. โปรแกรมพิมพ์งาน เช่น Word, Google Doc
         2. ภาพประกอบ E-Book

นักรบแชร์
นักรบเคยทำ E-Book อยู่ครั้งหนึงแต่ผลลัพธ์ไม่ดีมากพอ อาจเป็นเพราะเราไม่สะดวกในการขายอะไรยาวๆ ดูมันใช้เวลามากเกินไป ไม่คุ้มการทำ จึงเน้นทำวีดีโอคอร์สที่สั้น กระชับ เห็นภาพการทำงานทันทีดีกว่าครับ เป็นการแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว แต่ละคนอาจไม่เหมือนกันครับ

ทำไมต้องเป็น Audio CD
         1. Audio CD ราคาไม่แพง ลูกค้าซื้อได้ง่าย ถ้าลูกค้าชอบ จะซื้อสินค้าที่แพงขึ้นและมีเนื้อหาเข้มข้นขึ้นไปอีก
         2. Audio CD ฟังได้แม้เดินทางบนรถ ซึ่งสินค้าแบบอื่นมักจะทำไม่ได้
         3. การอัดเสียงใน Audio CD จะฝึกทักษะการพูดได้ดี และต่อยอดสู่การพูดใน Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์ได้
         4. การอัดเสียงใน Audio CD จะต่อยอดการเป็น วิทยากร และการจัดสัมมนาได้ เพราะได้ฝึกการพูดไปในตัวแล้ว
         5. Audio CD เป็นสินค้า ที่สามารถฝากขายผ่านตัวแทนได้
ข้อเด่นชัด : Audio CD มีผลต่อทักษะการจัดสัมมนา และวิทยากรโดยตรง ช่วยต่อยอดทักษะการพูดได้ดีเยี่ยม
ตัวอย่าง ราคา : Audio CD จะอยู่ในช่วง 100-500 บาท

เส้นทางที่ 2 : ขายสินค้าราคาปานกลาง ให้ประโยชน์และละเอียดมากขึ้น
สินค้าราคาปานกลาง ที่ให้ประโยชน์ ช่วยให้เห็นภาพและขั้นตอนได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น มักจะเป็น Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์ โดยสินค้าชนิดนี้ จะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจได้ง่ายขึ้น และประหยัดเวลาเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น  สินค้าประเภทนี้ มักจะเป็น Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์ (Online Courses) สอนวิธีการ (How To)

ทำไมต้องเป็น Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์
วีดีโอจะทำให้ผู้เรียนเห็นภาพ และขั้นตอนการทำได้เข้าใจง่ายกว่า การอ่านและการฟังเพียงอย่างเดียว ผู้เรียนประหยัดเวลาเรียนรู้ได้เร็วกว่าเดิมมาก และได้รับประสบการณ์การเรียนแบบเห็นหน้า และฟังเสียงจากผู้สอน เพิ่มความสะดวกและเป็นมิตรระหว่างผู้เรียนและผู้สอนได้ดียิ่งขึ้น ข้อดีของ Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์
         1. ผู้เรียนเห็นขั้นตอนชัดเจน รวดเร็วผ่าน ภาพ เสียง และท่าทางผู้สอน
         2. ผู้เรียนสามารถชมวีดีโอทีไหน ก็ได้ ผ่านคอร์สออนไลน์
         3. การทำ Video จะต่อยอดสู่การจัดสัมมนาได้ เพราะจะเป็นการฝึกพูดและแสดงท่าทางไปในตัวของ Infopreneur
         4. Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์ จะมีราคาที่สูงกว่า E-Book และ Audio CD เพราะมีขั้นตอนจัดทำและใช้ทักษะที่เพิ่มเข้ามาเช่น การแสดงท่าทางหรืออัดภาพเคลื่อนไหวประกอบ รวมทั้งลิขสิทธิ์ต่างๆที่ปรากฏบนวีดีโอ
         5. Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์ ฝากขายผ่านตัวแทนได้
         6. Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์ เป็นสินค้าแบบ กึ่ง Passive Income
ข้อเด่นชัด คือ การทำ Video DVD และ คอร์สออนไลน์  จะฝึกทักษะการพูด และแสดงท่าทาง เพื่อต่อยอดสู่การเป็นวิทยากรและจัดสัมมนาได้ ตัวอย่างราคา :  Video DVD หรือ คอร์สออนไลน์  จะอยู่ในช่วง 500-3,000 บาท Tips :  จุดเด่นสูงสุดข้อหนึงของ Infopreneur คือ สินค้าความรู้ แบบ E-Book, Audio CD, Video DVD และ คอร์สออนไลน์ จะเป็นแบบกึ่ง Passive Income ทำจบขายได้ซ้ำ และมีเวลาเหลือในการสร้างสินค้าต่อ ราคาจะไม่สูงมาก แต่จะทำให้มีเวลาและชีวิตที่ออกแบบได้ แบบ Infopreneur

เส้นทางที่ 3 : สัมมนา, มิตติ้งกลุ่มย่อย, ที่ปรึกษา และโค้ชชิ่ง ให้ประโยชน์และละเอียดสูงสุด
ลูกค้าสามารถสอบถาม และพูดคุยกับผู้สอนได้โดยตรง อีกทั้งได้ Connection ใหม่ๆจากผู้เรียน ได้ทันที ซึ่งเป็นข้อเด่นของงานประเภทนี้ สินค้าประเภทนี้ คือ : สัมมนา, มิตติ้งกลุ่มย่อยๆ , ออกค่าย, โค้ชชิ่ง

ทำไมต้องเป็น สัมมนา, มิตติ้งกลุ่มย่อยๆ , ออกค่าย, โค้ชชิ่ง
การจัดงานเป็นการแบ่งปัน และถ่ายทอดความรู้แบบคลาสเรียน ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี และมักจะจัดในสถานที่ที่สะดวกสบายต่อการสอน และการพบปะระหว่างผู้เรียนและผู้สอน  ซึ่งเป็นก้าวถัดมาของผู้เรียนที่ต้องการได้เจอตัวผู้สอน และสอบถามโดยตรงมากยิ่งขึ้น ถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้

ข้อดี สัมมนา, มิตติ้งกลุ่มย่อยๆ , ออกค่าย, โค้ชชิ่ง
         1. ผู้เรียนจะได้สอบถามปัญหาที่ต้องการ และเรียนรู้กับผู้สอนได้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นข้อดีที่เด่นชัดที่สุดข้อหนึง
         2. ผู้เรียนจะได้ Connection ใหม่ภายในงาน
         3. ผู้สอนสามารถสร้าง Personal Brand ทั้งภาพภายในงานและวีดีโอเพื่อจัดทำการตลาดต่อไป
         4. ผู้สอนสามารถสร้าง Connection ใหม่ๆ โดยการเชิญผู้สอนท่านๆอื่นร่วมงาน เพื่อแบ่งปันความรู้ได้อีกด้วย
         5. การจัดสัมมนาจะช่วยเสริมภาพลักษณ์และการสร้าง Brand ต่อยอดสู่การเขียนหนังสือ, ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ และสื่อต่างๆได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
ข้อเด่นชัดที่มีผล คือ จะช่วยสร้าง Personal Brand ที่เห็นชัดที่สุด ถึงความเป็นมืออาชีพและชื่อเสียง อีกทั้งรายได้จากการจัดต่อครั้งจะสูงอีกด้วย ตัวอย่างราคา :  ราคา 3,000 – 20,000 บาท

ปัญหาของธุรกิจการสอน
         1. สร้างเนื้อหาฟรี ใน Blog Website และ Fanpage น้อยเกินไป และไม่ทำสม่ำเสมอ ทำให้ขายสินค้าความรู้ได้ยาก
         2. ไม่พัฒนาตัวเองเพิ่ม ทำให้มีความรู้น้อยเกินไปที่จะขาย
         3. ไม่ฝึกการเขียน ทั้งใน Blog, E-Book และ Fanpage ทำให้ไม่มีหนังสือและ E-Book ขาย
         4. ไม่ฝึกการอัดเสียงลง Audio CD ทำให้ไม่มีสินค้าชนิดนี้
         5. ไม่ฝึกการอัด Video ทำให้ไม่มีสินค้าชนิดนี้
         6. ไม่ฝึกการทำเว็บไซต์ และการตลาดออนไลน์ ทำให้ไม่มีช่องทางการขาย
Tips : ทุกอาชีพมีปัญหา และการแก้ไขปัญหาธุรกิจนี้  คือ การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการให้และแบ่งปันความรู้ คุณต้องเริ่มต้นด้วยการให้ความรู้ผู้คนก่อน แล้วจึงค่อยเปลี่ยนความรู้นั้น ที่ละเอียดและมีคุณประโยชน์มากขึ้นเป็นสินค้าเพื่อขายในภายหลัง

ประโยชน์ของ Digital Products
Digital Products คือ สินค้าดิจิทัลที่อยู่ในรูป Audio,Video หรือคอร์สออนไลน์
         1. สินค้าความรู้แบบกึ่ง Passive Income จะทำที่ไหน และเวลาใดก็ได้
         2. E-Book, หนังสือเล่ม, Audio CD, Video DVD และ คอร์สออนไลน์ เป็นสินค้าแบบกึ่ง Passive Income ทำเสร็จขายซ้ำได้ มีเวลาเหลือสร้างสินค้าใหม่ เพิ่มรายได้มากขึ้น
Tips : สินค้าความรู้ (Info Products) ของธุรกิจการสอน ไม่ต้องมีมากหมายหลายร้อยชิ้น คุณอาจมีเพียง E-Book, Audio CD, Video DVD / คอร์สออนไลน์ และ จัดงาน ก็เพียงพอต่อการทำธุรกิจการสอนแบบ Infopreneur แล้วครับ

สรุป
นี้เป็นการสรุปเกี่ยวกับอาชีพธุรกิจการสอนออนไลน์ Infopreneur และจากประสบการณ์ที่นักรบทำธุรกิจการสอน SEO ออนไลน์มา ก็พอจะเล่ามาได้ประมาณนี้ครับ หวังว่าอ่านแล้วจะได้ไอเดียกลับไปครับ
https://warrior.in.th/entrepreneur/infopreneur-income-way/

wm5398

เทคนิคการใช้ Keyword Finder Tool : kwfinder.com


นาทีที่ 0:01 – 3:45 วิดีโอจะเป็นการสาธิต การใช้งานเว็บไซต์ keyword finder tool เว็บไซต์ตัวนี้จะเป็นการค้นหาแบบ Long tail, การให้คะแนนวิเคราะห์เกี่ยวกับคู่แข่ง,ราคาการคลิก,เกี่ยวกับ Adwords และคะแนนความยากง่ายของ SEO ต้องขอเน้นตรงคำว่า "คะแนนความยากง่ายของ SEOของคำนั้นๆ" ซึ่งใน Google Adwords ไม่ได้บอกตรงนี้ จะบอกเพียงการแข่งขันคำโฆษณาของ Google Adwords วิธีการใช้งาน – เข้าไปเว็บไซต์ kwfinder.com(ที่ผมแนะนำเพราะเป็นเว็บไซต์ขั้นพื้นฐาน) – จากนั้น Log in user e-mail ของเราก่อน (เนื่องจากใช้งานฟรี จะมีข้อจำกัดเรื่อง พิมพ์ได้ 5 ครั้งต่อวัน และมีคำค้นหาเพียง 50 คำ แต่หากคุณชอบเว็บไซต์นี้ คุณสามารถซื้อใช้ได้) – จากนั้นพิมพ์คำที่ต้องการในช่องว่าง เลือกประเทศและภาษา จากนั้นกดคำว่า analyze ตัวอย่างที่ผมค้นหาคำว่า "ธุรกิจ" ซึ่งจะปรากฏคำที่เราค้นหาเยอะมาก จากการค้นหาจะขึ้นมาแค่ 50 ตัวเท่านั้น (หมายความว่า คุณต้องอัปเกรตแพ็คเก็ตของคุณ) คำว่า ธุรกิจ มีคนค้นหา 14,000 ครั้งต่อเดือน มี CPC (Cost per Click) คือราคาในการคลิก ซึ่งเวลาเราทำจริง ราคาต่อ $1 มันน้อยมาก มันจะขึ้นอยู่กับการทำโฆษณา Google Adwords มากกว่า แต่คนที่ทำ SEO ผมอยากให้โฟกัสไปที่ การ Search volume(การค้นหาต่อเดือนและกี่ครั้ง) และโปรแกรมนี้ที่เพิ่มเข้ามาคือ คะแนนความยากง่ายของ SEOของคำนั้นๆเวลาที่เราจะทำอันดับนั้นเอง ถ้าตัวเลขเยอะแปลว่า มีความยากในการไต่อันดับ เราทำอันดับขึ้นได้แต่เพียงต้องใช้เวลา แต่ถ้าตัวเลขน้อย เราจะทำการไต่อันดับได้เร็ว เช่น ถ้าเปรียบเทียบคำว่า ธุรกิจร้านกาแฟคะแนน SEO มี 5 คะแนน ซึ่งมีจำนวนน้อย เราสามารถไต่อันดับได้เร็ว หากเปรียบกับคำว่า ธุรกิจ มันมีความหมายกว้าง คะแนน SEO มี 22 คะแนน คุณต้องใช้เวลาในการไต่อันดับ แต่ไม่ได้แปลว่า คำที่ยากจะทำไม่ได้ เพียงแต่ใช้เวลานานขึ้นและต้องใช้ความรู้แบบ SEO ในเชิงลึกมากกว่า

นาทีที่ 3:46 – 5:32 สำหรับเบื้องต้น คนที่มีพื้นฐาน SEO และเว็บไซต์ เราสามารถเอา keyword มาวิเคราะห์และนำทางว่า เราจะใช้ keyword ตัวไหนก่อน เมื่อค้นหา keyword ได้แล้ว จะมีการแสดง 10 อันดับแรกใน Google ให้ด้วย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Google SERP แต่หากอยากดูอันดับเพิ่มให้คลิกคำว่า More โดยตัวที่อยากให้ดู คือการที่โปรแกรมนี้เก็บข้อมูลของเว็บไซต์ทั่วโลก นำมาวิเคราะห์และประมวลผลตรง Rank สิ่งที่แสดงคือ เว็บไซต์ตัวไหนที่มีคะแนน Rank สูง แสดงว่า ทำมานานและมีความเชี่ยวชาญทางด้านการทำการตลาด SEO แต่ไม่หมายความว่า Rank สูงจะขึ้นเป็นอันดับต้นๆ เพราะ การทำการตลาด SEO มีหลายปัจจัย อีกอย่างเว็บไซต์นี้ไม่สามารถประเมินได้อย่างครบถ้วน อย่างเช่น ปัจจัยที่ผู้ใช้อ่านเว็บไซต์นานแค่ไหน โปรแกรมนี้ส่วนใหญ่ประมวลผลข้อมูลแค่บางส่วนอย่างเช่น blacklink หรือจำนวน traffic

นาทีที่ 5:33 – 7:35 เราสามารถลองหา Keyword แบบง่ายๆ ผมยกตัวอย่าง เช่นคำว่า "ทำธุรกิจอะไรดี" มีคะแนน SEO แค่ 1 เท่านั้น หมายความว่า คู่แข่งน้อย ทำให้เรามีโอกาสไต่อันดับขึ้นมาอยู่หน้าแรกได้ง่ายๆ โดยคะแนนพวกนี้เป็นการนำทาง เพื่อให้เราเห็นภาพเท่านั้น ไม่สามารถยืนยันได้ 100% ขึ้นอยู่กับการอัพเดตของเว็บไซต์นี้ด้วย แต่จากที่ดูคราวๆและผลการค้นหา ถ้าเราใช้ Keyword คำว่า "ทำธุรกิจอะไรดี" เราก็สามารถไต่อันดับขึ้นมาอันดับได้เช่นกัน แต่สิ่งสำคัญ คนที่ทำ SEO ช่วงแรกๆ เค้าไม่รู้ว่าจะเริ่มใช้ Keywordอะไรก่อนดี แต่เมื่อมีโปรแกรมนี้ช่วยนำทาง เค้าสามารถรู้ได้ว่า จะใช้ keyword อะไรเพื่อไต่อันดับเว็บไซต์ ส่วนคนที่รู้เรื่องการใช้การทำการตลาดแบบ SEO อย่างชำนาญแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ด้านนี้ก็ได้ เพราะ เค้าจะทำหมดเรยทุก Keyword สำหรับคนที่มีเวลาน้อยหรือเพิ่งเริ่มต้น อยากจะค้นหา keyword โปรแกรมนี้สามารถช่วยคุณได้ ซึ่งเป็นจุดเด่นของโปรแกรมนี้

นาทีที่ 8:00 – 8:40 นอกเหนือจากนี้ ยังมี PR (page rank) ซึ่งมีการอัพเดตช้า และ social media พวก Facebook, IG, TW, G+ และประมวลผลมาเป็น Rank หากอยากดูข้อมูลมากกว่านี้ ก็ต้องซื้อโปรแกรมนี้ นี้คือตัวอย่างเว็บไซต์ Kwfinder.com เป็นเว็บไซต์การวิเคราะห์ keyword นั้นเองว่ามันยากง่ายหรือไม่ 
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/keywords/how-to-use-keywords-finder-tool/

wm5398

วิธีค้นหา Niche Keyword & Long Tail Keyword


วิธีค้นหา และวางแผน Keyword แบบ Niche และ Long Tail Keyword ที่เฉพาะเจ
นาทีที่ 0 – 2.04 การใช้โปรแกรม Keyword tool ที่ช่วยในการค้นหา keyword การเริ่มต้นสำหรับใครที่ทำธุรกิจออนไลน์ โดยอยู่บนพื้นฐานของเว็บไซต์และเรียกคนจากโลกออนไลน์ ผมแนะนำว่าต้องเริ่มที่ keyword ก่อนเพราะเราจะได้รู้ว่าคนในโลกออนไลน์เขาค้นหาอะไรกัน มาโยงใยเกี่ยวกับในเนื้อหาเว็บไซต์หรือคลิปวิดีโอของท่าน เพื่อดึง traffic จากคนหรือจากโลกออนไลน์ ซึ่ง search engine เข้ามา นี้คือเส้นทางที่คนทั่วโลกทำกันแบบนี้ การเริ่มต้นสำหรับคนที่ใช้เครื่องมือ Google Adwords แล้ว ก็สามารถใช้ได้ อีกตัวหนึ่งที่ผมจะแนะนำคือ Keyword tool ไปที่ Google >> search คำว่า "Keyword tool" ในอินเตอร์เน็ตมีเกี่ยวกับ Keyword tool เยอะมาก แต่จะรองรับภาษาไทยได้แค่ไม่กี่ตัว หาก search ไปประมาณ 10 ตัว ผมตัดออกไปได้ 8-9 ตัว เหลืออยู่แค่ 1-2 ตัวเท่านั้น โดยตัวที่ผมแนะนำคือ  Keyword tool.io คลิกเข้าไปดูได้

วิธีค้นหา และวางแผน Keyword แบบ Niche และ Long Tail Keyword ที่เฉพาะ

วิธีการใช้ ง่ายมากๆเพราะมันจะเช็คว่าเราอยู่ประเทศอะไร แล้วใส่ Keyword ของเราเข้าไป โดยตัวอย่างของผม ผมจะใส่ Keyword คำว่า ธุรกิจ โดย Keyword tool มันใช้วิเคราะห์ Keyword แบบ Niche (ระบุความเฉพาะเจาะจง) เข้าไป ลองเข้าไปดูโดยพิมพ์ keyword ใน google โดยพิมพ์คำว่า ธุรกิจ มันจะมีคำ guideline ของ google เข้ามาประมาณ 4 แถวคำเหล่านี้เราจะเรียกว่า "long-tell-keyword หรือว่า niche keyword "ก็ได้ เป็นการ search คำที่เฉพาะเจาะจงเข้าไปอีก โดย google จะนำทางให้เราว่า เราสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่ไหม หรือว่าคำที่คุณกำลังค้นหาอยู่   นาทีที่ 2.05 – 4.05 ซึ่งน้อยมากอาจจะมีแค่ 4 แถว ส่วนข้างล่างอาจจะมีนิดหน่อยที่โผล่มาเป็น Limited Keyword ซึ่งมีน้อยเกินไป เวลาที่เราใช้เพื่อดึง traffic จากโลกออนไลน์ เราต้องรู้ Keyword มากกว่านี้ ซึ่งฝรั่งเค้าจัดทำโปรแกรมนี้ขึ้นมา โดยหนึ่งในนั้นเขาจะเรียกว่า "Keyword tool" เทคนิคง่ายๆ เราใส่ Keyword ของเราเข้าไปก่อน มันจะ generate long-tell-keyword มาให้เรา อย่างโปรแกรมตัวนี้ ผมพิมพ์ keyword คำว่า "ธุรกิจส่วนตัว" มันมาประมาณ 151 unique keywordsสังเกตดูคือ วิธีการง่ายๆ มันจะเอา keyword ของเรา ตามด้วยพยัญชนะภาษาไทยแล้วก็ไล่อักขระไปเรื่อยๆ เพื่อหา keyword ที่มีคนค้นหา เราก็จะได้ไอเดียของการค้นหาคำมากขึ้น

เปรียบเทียบโปรแกรม Keyword Tool กับ Google Adwords ดังตัวอย่าง โปรแกรม keyword tool เน้นการค้นหาแบบ niche เรียบเรียงตามพยัญชนะและอักขระ :

วิธีค้นหา และวางแผน Keyword แบบ Niche และ Long Tail Keyword ที่เฉพาะ

โปรแกรม Google Adwords เน้นกลุ่มคำที่เกี่ยวข้องมากกว่า ไม่ใช่เป็นคำแบบ Niche keyword

วิธีค้นหา และวางแผน Keyword แบบ Niche และ Long Tail Keyword ที่เฉพาะ

คำถามคือ ทำไมเราต้องรู้เรื่อง Niche Keyword เพราะในต่างประเทศมีการแข่งขันทางด้าน Google SEO แบบเข้มข้นมาก บางธุรกิจที่ต้องการมีจุดยืน เขาเลือกแนวคิดอีกอย่างคือ ระบุ Keyword ที่เป็นเฉพาะเจาะจงให้เข้ากับธุรกิจที่เป็นแบบเฉพาะเจาะจงของเขามากขึ้น โดยใช้คำค้นหาที่ยาวมากขึ้น เป็น Niche keyword หรือ Long-tell-keyword แบบนั้นแทน เพื่อที่จะสร้าง traffic จากคำพวกนี้เพิ่มมาอีกช่องทางหนึ่ง   นาทีที่ 4.06 – 5.23 หลังจากที่เราได้คำเรียบร้อยแล้ว ใน keyword tool เราจะนำ keyword พวกนี้ไปใช้ต่อ เนื่องจากโปรแกรมจะไม่ได้จำนวนของการค้นหาว่ามีเท่าไร เราจะต้องเสียเงิน แต่ถ้าเราไม่อยากเสียเงิน เราก็ทำการเลือก keyword ทั้งหมด และ copy เท่านั้นเอง และไปที่เครื่องมือคำหลัก(Google Adwords) นำไปวาง ซึ่งเครื่องมือคำหลักจะทดสอบได้ครั้งละ 200 keyword จากที่ค้นหาเรียบร้อยแล้ว เราจะได้การค้นหาแบบรายเดือนต่างๆ ซึ่งจะเป็นไอเดียในการสร้างเว็บไซต์,บทความและวิดีโอต่างๆ เพื่อเรียก traffic บนโลกออนไลน์ผ่าน Search Engine ได้อย่างดีเรย เราจะได้ไปต้องคิดเองว่าคำไหนคนค้นหา สังเกตว่าข้อมูลเฉลี่ยเรียบร้อยแล้ว เป็นที่น่าสนใจ มีข้อมูลที่ให้มีเป็นหลักร้อยคำ เวลาที่ผมใส่ keyword คำว่า "ธุรกิจส่วนตัว" ซึ่งมีคน search 22,000 ครั้งต่อเดือน ซึ่งมันจะ Generate มาให้เพิ่มขึ้น 100 กว่าคำ มีความรวดเร็วมาก เป็นไอเดียในการสร้างเนื้อหาเว็บไซต์ บทความ และเป็นทำการตลาดทางด้าน Google SEO ต่อไป นาทีที่ 5.24 – 8.03 ตัวอย่าง ในเมืองไทย เราไม่สามารถในใช้ Niche keyword ได้เสมอไป ธุรกิจออนไลน์ยังมีอีกหลายเว็บไซต์ที่ใช้การทำการตลาดแบบ SEO อย่างไม่เต็มที่ ฉะนั้น Keyword บางคำ หากเราประเมินคู่แข่งว่า เขายังไม่เก่ง SEO เต็มที่ เราก็สามารถใช้ Mass Keyword ได้ ตัวอย่างเช่น คำว่า "ธุรกิจส่วนตัว" จะมีคน search ประมาณ 22,000 ครั้ง/เดือน ซึ่งไม่ใช่ Niche keyword แต่ค่อนข้างเป็น Mass Keyword คู่แข่งค่อนข้างเยอะและก็เก่ง แต่ถ้าเรารู้หลัก SEO จะทำให้เราไต่อันดับได้ง่ายและก็ดีมากขึ้น 

วิธีค้นหา และวางแผน Keyword แบบ Niche และ Long Tail Keyword ที่เฉพาะ

เรากดใช้ รูปโลกในการค้นหาที่เป็นกลาง สังเกตอันดับเว็บไซต์ของผมจะอยู่ในหน้าสอง ภายใน 3-4 เดือน อยู่หน้าแรกภายในเวลา 6-7 เดือน โดยเว็บไซต์พึ่งสร้างขึ้นไม่นานราว 7-8 เดือน และค่อยๆไต่อันดับมา เมื่อเข้าเว็บไซต์มีคนเข้ามาดูประมาณ 4,000กว่าวิว แต่ด้าน Social Media จะมีคนวิวค่อนข้างน้อย เพราะมีการรีเซ็ทข้อมูลใหม่ และเปลี่ยนแปลง domain ใหม่ทำให้มีผลทางด้าน Social Media ทำให้วิวหายไป เพื่อทดสอบ SEO แต่พอติดอันดับแล้ว ก็จะมีคนเข้ามาเว็บไซต์ของเราเป็นหลักพันคนและมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงเฉียด 10,000 คนได้เลย นี้คือตัวอย่างของการใช้ Keyword tool เป็นการหา Niche keyword หรือ Long-tell-keyword เป็นหา Keyword ที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น เพื่อเป็นไอเดียในการสร้างเนื้อหาบทความและวิดีโอ สร้าง Content Marketing ในการดึง traffic จากโลกอินเตอร์เน็ต และใช้ควบคู่กับเครื่องคำหลัก(Google Adwords) เพราะ Google Adwords ไม่ได้บอกทุกอย่าง สำหรับผู้ที่สนใจโปรแกรม Keyword tool สามารถซึ้อแพคเกจกับทางเว็บไซต์ ผมมีรายละเอียดไว้ให้แล้ว
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/keywords/how-to-find-niche-n-longtail-keywords/

wm5398

Startup เริ่มต้นให้ดี วางแผนการเงินให้เป็น


การเริ่มต้นเรียนรู้แนวเบสิคการทำบัญชีของ Startup เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควร "พลาด" เพราะหากกิจการที่เราทำนั้นเป็นกิจการที่ดีมีอนาคตสดใส แต่เรากลับมาพลาดกับเรื่องที่ไม่ควรจะพลาดอย่างการวางแผนการเงิน และการทำบัญชี... คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสุดๆ เลยทีเดียวครับ เรามาดูกันดีกว่าว่า Startup เริ่มต้นให้ดี วางแผนการเงินให้เป็นต้องทำอย่างไรกันบ้าง

ประการแรก... วางแผนสภาพคล่องของธุรกิจ
ธุรกิจดีๆ หลายธุรกิจอาจถึงขั้นล้มละลายได้ถ้าขาดสภาพคล่อง สภาพคล่องคือ การบริหารรายจ่ายให้สัมพันธ์กับรายรับของบริษัท ยกตัวอย่างเช่น หากบริษัทเรามีรายจ่ายประจำเดือนๆ ละ 1 ล้านบาท ถ้าเรามีรายรับในรอบเดือน 1 ล้านเท่ากับรายจ่าย แบบนี้ถือว่าเราเริ่มตึงมือแล้วครับ เมื่อไรสภาพคล่องเราต่ำกว่า 1 เท่านั่นเป็นสัญญาณอันตรายของธุรกิจ กิจการที่ดีควรมีสภาพคล่องสูงกว่า 1 เท่าขึ้นไปจึงจะดี และปลอดภัย

ประการที่สอง... วางแผนกระแสเงินสดของกิจการ
กิจการที่ดีควรมีกระแสเงินสดไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง กระแสเงินสดก็คือ การนำรายรับไปหักออกจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน กระแสเงินสดที่ดีควรสูงกว่ากำไรสุทธิที่บริษัททำได้ ยิ่งมากยิ่งดี เพราะกว่าจะหักค่าใช้จ่ายจนกลายเป็นกำไรสุทธินั้น จะต้องหักภาษี และดอกเบี้ยจ่ายออกไปอีก... หากกระแสเงินสดดีอย่างต่อเนื่อง แถมเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือสัญญาณที่ดีในการทำกิจการ ในทางกลับกันหากกระแสเงินสดของกิจการลดลง และไม่เติบโต นั่นเป็นสัญญาณที่ไม่ดี แต่มีข้อยกเว้นในกรณีที่กิจการกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง กระแสเงินสดของกิจการอาจจะติดลบได้ แต่ควรเป็นสภาวะชั่วคราว และควรจะดีขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตนะครับ

ประการที่สาม... เรียนรู้งบดุล
งบดุลถือเป็นตัววัดสุขภาพทางการเงินของบริษัท งบดุลประกอบด้วย สินทรัพย์ หนี้สิน และทุน เมื่อเรานำสินทรัพย์มาหักลบกับหนี้สิน ส่วนที่เหลือคือทุน หรือที่เราจะเรียกว่าเป็นส่วนของเจ้าของนั่นเองครับ บริษัทที่ดีควรมีงบดุลที่แข็งแรง มีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สิน และมีส่วนของเจ้าของ หรือทุนที่สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการทำงบดุลของกิจการ ในทางกลับกันหากงบดุลไม่ดี ส่วนของทุนจะลดลงเรื่อยๆ จนถึงขึ้น "กินทุน" ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีของการทำธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจ Startup อย่าลืมตรวจสอบ และเรียนรู้งบดุลเพื่อสุขภาพทางกาเงินที่ดีของกิจการของเราด้วยนะครับ

ประการที่สี่... ตรวจติดตามงบกำไร-ขาดทุน
งบกำไร-ขาดทุน ถือเป็นงบการเงินทางบัญชีที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะกิจการที่ดีควรทำแล้วมีกำไร แม้ในระยะแรกของกิจการที่อาจต้องลงทุนสูงๆ จะทำให้ขาดทุนไปบ้าง แต่เจ้าของธุรกิจควรมีแผนการที่ชัดเจนที่จะทำให้บริษัทพลิกกลับมากำไรในระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ การตรวจติดตามผลการดำเนินงานเราสามารถติดตามได้จาก งบกำไร-ขาดทุน ของกิจการของเราครับ หากกิจการของเรามีแนวโน้มที่จะกำไร และเป็นกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน นั่นเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่า... กิจการของเรากำลังดีขึ้น เราเดินมาถูกทาง

ประการสุดท้าย... ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การบัญชี
แน่นอนที่สุดว่าไม่มีใครเก่งไปเสียหมดทุกเรื่อง เรื่องการทำธุรกิจนั้นเจ้าของกิจการต้องเก่งที่สุด แต่ถ้าเป็นเรื่องของการเงิน การบัญชี เราอาจไม่ได้เก่งที่สุด ดังนั้นเราควรมองหาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การบัญชี ที่จะมาช่วยเรา ช่วยกิจการของเราให้ราบรื่น เพราะตัวเราเองนั้นไม่สามารถทำทุกอย่างได้หมด การที่เรามองหามืออาชีพมาช่วยงาน จะทำให้เราไม่ต้องกังวลกับเรื่องที่เราไม่ถนัด ปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญทำงานที่เราไม่ถนัด ทำให้เรามีเวลามาต่อยอดธุรกิจ Startup ของเราจะดีกว่าครับ อย่าลืมนะครับ... Startup เริ่มต้นให้ดี วางแผนการเงินให้เป็น อนาคตก้าวไกลอย่างแน่นอน  บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก www.krungsri.com
https://warrior.in.th/freelance-seo/startup-startup-financial-planning-is/

wm5398

อย่าเทงบการตลาดทั้งหมดไปที่ Google & Facebook Ads เพียงอย่างเดียว


โลกออนไลน์ การแข่งขันสูง วิธีลงโฆษณา Adwords และ Facebook Ads อย่างเดียวพอใหม?
ในธุรกิจออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูง วิธีการโฆษณาเดิมๆ ที่เรามักจะใช้อยู่คือการ อัดเงินโฆษณา Google Adwords และ Facebook Ads และมันก็ไม่แปลกหรอก ถ้าคุณจะใช้มัน เพราะใครๆก็ใช้ อีกทั้งบริษัททำโฆษณาออนไลน์ต่างๆ ก็ประเคนความรู้ และความเชื่อให้คุณว่าคุณต้องทำ Google Adwords และ Facebook Ads นะ ถึงจะทำให้ธุรกิจร่ำรวย ค้าขายมีกำไร


ธุรกิจเล็กๆ จะสู้คู่แข่งในโลกออนไลน์ได้อย่างไร ?
ถ้าคุณเป็นนักธุรกิจตัวเล็กๆ ที่มีกิจการเล็กๆเป็นของตัวเอง คุณจะสู้คู่แข่งที่มีเงินทำโฆษณามากมายกว่าคุณหลายเท่าได้อย่างไร ในเมื่อเงินในกระเป๋าคุณมันมีน้อยกว่ามาก ทำไมคุณยังใช้วิธีการเดิมๆ เช่น Google Adwords และ Facebook Ads เพียงอย่างเดียวอยู่ มันน่าจะมีวิธีการอื่นๆ อีก ที่คนทำธุรกิจเงินน้อย ทุนน้อย เวลาน้อย จะสู้ได้แบบยั่งยืน และไม่เสียเปรียบทางธุรกิจมากนัก วันนี้เราไม่ต้องคุยกันเลยว่า จะใช้เงินทำโฆษณาอย่างไร เรามาคุยกันว่า มีวิธีการไหนบ้าง ที่จะทำให้คนทำธุรกิจตัวเล็ก สามารถสู้กับธุรกิจตัวใหญ่ ในจุดที่เราแข็งแกร่งกว่าและได้เปรียบได้ ถ้ามีคุณมีไอเดียดี อย่ารอช้าที่จะ Comment บอกผม เพราะผมจะบอกไอเดียที่ผมทำอยู่ทุกวันให้ครับ


มองในมิติรายได้ของ Google และ Facebook
ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจโลกออนไลน์ก่อนว่า ยุคนี้ บริษัทที่ให้บริการออนไลน์ และมีผลกับธุรกิจออนไลน์ของคุณ คือ Google และ Facebook ฉะนั้นคุณต้องเข้าใจการทำงานของ Google และ Facebook ในมิติของการสร้างรายได้ของ Google และ Facebook ก่อน ทำไมต้องเข้าใจมิติของการสร้างรายได้ของ Google และ Facebook นั้นก็เพราะ คุณจะรู้ว่า เวลาส่วนใหญ่ที่บริษัทยักษ์ใหญ่นี้ประเคนความรู้เข้าหัวคุณ และคู่แข่งของคุณคืออะไร และอะไรที่ Google และ Facebook ไม่ค่อยบอกคุณ ถ้าคุณรู้คร่าวๆเพียงพอ คุณจะพอมองเห็นช่องว่างในการทำการตลาดออนไลน์ที่คู่แข่งคุณไม่เห็นครับ


ทำไม เราจึงถึงยินคำว่า Adwords บ่อยมาก ?
ในกรณีนี้ ผมขอยกเฉพาะเรื่อง Google ก่อน Google ทำเงินได้มากมายผ่าน Google Adwords เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพัฒนาบริการนี้ให้ดีขึ้น ใช้ง่ายขึ้น และดึงเงินออกจากกระเป๋าคุณง่ายมากขึ้น (หากใครมีประสบการณ์การใช้ Adwords จะทราบว่า จะมี Keywords ใหม่ๆ ให้คลิ๊กใส่ Auto เสมอๆ ทั้งที่จริงถ้าคุณคลิ๊ก มันจะส่งผลแย่กับโฆษณาของคุณในอนาคตครับ ) ในทางกลับกัน Google SEO กลับเป็นสิ่งที่ Google ไม่บอกคุณมากนัก และปล่อยให้นักการตลาดทั่วไปเรียนรู้กันเอง Google SEO นักการตลาดยังต้องเรียนรู้และทดลองทำกันเอง แล้วมีหรือที่เจ้าของธุรกิจจะทราบรายละเอียดเชิงลึก นั้นหมายความว่า ธุรกิจใหญ่ๆ และธุรกิจทั่วไป ไม่ทราบเรื่อง Google SEO ดีพอ Google SEO มีความสลับซับซ้อนและยุ่งยากกว่า Google Adwords มาก อีกทั้งบริษัทรับทำโฆษณาต่างๆ มักจะหยิบเอา Google Adwords มาสร้างรายได้ด้วยการขายโฆษณา จัดสอน และจูงใจเจ้าของธุรกิจ ด้วยคำพูดง่ายๆ เช่น ROI ที่คุ้มค่า ที่มักได้ยินกันบ่อยครับ เพราะ Google Adwords มันดึงเงินและทำได้ง่าย บริษัทส่วนใหญ่จึงใช้มันหว่านล้อมเจ้าของธุรกิจที่สนใจทำการตลาดออนไลน์นั่นเอง


โอกาสข้อหนึงของธุรกิจขนาดเล็กของเราอยู่ตรงไหน ?
นี้คือโอกาสของธุรกิจเล็กๆ ถ้าคุณเข้าใจการทำงานของ Google SEO คุณจะใช้มันเป็นอาวุธหลักในการทำธุรกิจออนไลน์ได้ แทนที่จะใช้ Adwords เพียงอย่างเดียวครับ หากใช้ Google Adwords เพียงอย่างเดียว คุณเสร็จธุรกิจใหญ่ๆแน่ๆครับ คุณต้องพัฒนาทักษะหลายด้านเกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์ก่อน โดย 1 ในนั้น คือ การการตลาดผ่าน Google SEO ที่นักรบจัดสัมมนาขึ้นมานี้เอง วันที่คุณเข้าใจ Google SEO ดีพอ ผมกล้ารับประกัน มันจะทำให้คุณทำ Google Adwords ประหยัด และมีประสิทธิภาพกว่าเดิมอย่างน้อย 2 เท่า เมื่อถึงเวลานั้น คุณจะรู้ว่า Google SEO ควรใช้เป็นกลยุทธ์หลักในการทำการตลาดออนไลน์ และใช้ Google Adwords เป็นกลยุทธ์เสริมในการโปรโมทสินค้าครับ
https://warrior.in.th/freelance-seo/marketing/online-marketing-digital-business/

wm5398

วิธีติดตั้ง WordPress ผ่าน DirectAdmin


เรียบเรียงถ้อยคำจากวีดีโอ " วิธีติดตั้ง WordPress ผ่าน DirectAdmin "
นาทีที่ 0:01 – 02:43
เริ่มต้นเมื่อท่านเช่า Hosting เรียบร้อยแล้ว ท่านจะได้รับ username และ password ในอีเมล์ของท่านในการเข้า login เข้าระบบนั้นเอง

ตัวอย่าง :
       - login>>พิมพ์ username และ password
       - จากนั้นเราจะเข้าสู่หน้าหลัก directadmin โดย hosting จะมีการ support การติดตั้งไว้ให้ ซึ่งให้เรามีเว็บไซต์ที่ดีมาก และสร้างข้อมูลให้เป็นมิตรกับ SEO แถมไต่อันดับ Google ให้ดีขึ้นได้อีกด้วย


คลิกคำว่า softaculous Auto Installer เพื่อเข้าสู่การติดตั้งโปรแกรม

คลิกที่ไอคอน WordPress จากนั้นกดคำว่า Install

วิธีการติดตั้ง
1 Choose Protocol
มีให้เลือก 4 แบบคือ
        - https://
        - https://www.
        - https://
        - https://www.
หากเราไม่ได้จดบริการเพิ่มด้าน SSL เราจะเลือกได้ 2 แบบ แค่ https:// กับ https://www. ในนี้ผมขอเลือกแบบแรกคือ https://

2 Choose Domain
เลือกโดเมนที่จะติดตั้ง

3 In Directory
ค่าพื้นฐานของ wordpress จะติดตั้งใน Folder ที่ชื่อว่า wp ซึ่งท่านสามารถเอาออกได้ ในกรณีต้องการติดตั้ง WordPress ในหน้าแรกของเว็บไซต์ด้วย

4 Database settings
ค่าพื้นฐานของ wordpress คือ wp_ หากเป็นผู้เริ่มต้นใช้งานไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ

นาทีที่ 02:44 -06:56

5 Site settings
เป็นการตั้งชื่อให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็น site name (ส่วนในการตั้งชื่อ), site description (ส่วนที่อธิบายเว็บไซต์), Enable Multisite (การใช้ธีมเดียวสำหรับในการใช้หลายโดเมน)

6 Admin Account
เป็นการตั้งชื่อให้กับแอดมินเวลาล็อกอินเข้าไป เป็นการใช้ระบบหลังบ้าน มีทั้ง username และ password ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงทั้งสองตัวนี้ได้ ส่วนที่สำคัญอีกอย่างคือ Admin Email ตัวนี้ใช้ในการกู้ password ของแอดมินได้

7 Choose Language
ควรเลือกภาษาไทยในการรองรับ ทำให้ระบบหลังบ้านและหน้าบ้านเป็นภาษาไทย จะทำให้ใช้งานง่าย

8 Advanced Options
ในบาง hosting จะไม่ให้แก้ไข database name เพราะต้องไปสร้างและติดตั้ง database name ก่อน แต่ hostatom สามารถให้เราตั้งชื่อ database name ได้

database name เป็นชื่อในการเก็บฐานข้อมูลของเราซึ่งตั้งชื่อได้ไม่เกิน 7 ตัวอักษร

ส่วนของ auto upgrade ค่าพื้นฐานจะมีการปิดเอาไว้ เพื่อป้องกันปัญหา error วิธีการอัพเดตเราควรจะอัพเดตด้วยตัวเอง การเช็คหรือbackup ข้อมูลก่อนการอัพเดต เพื่อป้องกันการผิดพลาด เมื่อผิดพลาดเราสามารถ restore กับมาได้

9 Select theme
ผู้เริ่มต้นควรใช้ ธีมพื้นฐานก่อน หลังจากตรวจเช็คเรียบร้อยแล้ว กดปุ่มติดตั้ง รอให้ระบบติดตั้งถึง 100% ก่อน แต่หากมีข้อผิดพลาด ควรกลับไปเช็คข้อมูลอีกครั้ง


ตัวอย่าง : เราสามารถเข้าเว็บไซต์ผ่านโดเมนตัวแรกได้ ให้กดลิงค์เว็บไซต์ที่เพิ่งติดต้ง จะปรากฏหน้าดังต่อไปนี้

ดังภาพตัวอย่าง เราจะได้เว็บไซต์ของเราเรียบร้อย ที่พร้อมใช้งานในการสร้างเพจ และบล็อคของท่าน และสามารถทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งท่านสามารถจัดการได้ด้วยตัวของท่านเอง

ตัวอย่าง : สำหรับการ Login แอดมิน

หลังจาก login ที่ใส่ username และ password แล้ว จะปรากฎหน้าควบคุมขึ้นมาครับ
https://warrior.in.th/wordpress/setting-wordpress-via-directadmin/

wm5398

วิธีจดโดเมน และ เช่า Hosting


นาทีที่ 0:01 – 03:03
วิธีการจดโดเมนของเว็บไซต์ ไม่ยากอย่างที่คิด ยกตัวอย่างโดเมนเว็บไซต์ของผมคือ Warrior.in.th สำหรับผู้ที่ต้องการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ต้องมีการใช้ผู้ให้บริการพื้นที่หรือเรียกว่า Hosting

ตัวอย่าง Hostatom ( www.hostatom.com) เป็นผู้ให้บริการ hosting

วิธีจดโดเมน
      - เข้าไปคลิกคำว่า Domain>Domain registration
      - เปิดหน้ามาจะปรากฏคำว่า Domain checker คือเป็นตัวเช็คว่า โดเมนของท่านว่างอยู่หรือไม่
      - วิธีการเช็คคือ ใส่รหัสความปลอดภัยก่อน ตามด้วยชื่อ domain ที่ท่านต้องการ ยกตัวอย่าง

ตัวหนังสือคำว่า warriorspirit แล้วคลิกคำว่า search multiple เพื่อเลือกนามสกุลของโดเมน
      - การเลือกนามสกุลพื้นฐานที่แนะนำคือ .com,.net,.orgและ .in.th โดยมีบัตรประชาชนในการลงทะเบียน ค่อนข้างจดได้ง่ายมาก ดูราคาของนามสกุลได้ ว่าจะราคากี่บาทต่อปี
      - เมื่อเลือกนามสกุลได้แล้ว จากนั้นคลิกคำว่า Check Availability เพื่อเช็คว่า โดเดนของท่านว่างหรือไม่ ดังตัวอย่าง โดเมนที่ว่าง(Available Order now)คือ in.th ค่าเช่า hosting 400 บาทต่ออายุการใช้งาน 1 ปี ในกรณีนี้โดเมนที่ชื่อ warrior กับ spirit มีอยู่ในดิกชันนารี ทำให้โดเมนนี้มักจะไม่ว่างในนามสกุล .com,.net,.org แต่จะว่างในนามสกุล in.th เมื่อเลือกว่าจะเช่า host กี่ปีแล้ว คลิก order now

นาทีที่ 03: 04 – 07:04
วิธีจดโดเมน
      - การเลือก hosting หากท่านยังไม่มี hosting คลิกคำว่า [No hosting! Click to add]
      - ในช่วงเริ่มต้น แนะนำ Web hosting ก่อน มีให้เลือกหลายแบบ เช่น Reseller Hosting,VPS Version เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นทำเว็บไซต์ เพราะมีราคาที่ถูกที่สุด
      - Web hosting แบ่งตามขนาดของ disk space เป็นหลัก
      - ยกตัวอย่างตามภาพ : ผมเลือกใช้แพ็คเกจ Web hosting S1 คลิก order now
      - หลังจากออเดอร์เรียบร้อย จะมีคำถามๆว่า

สินค้าหรือบริการที่คุณเลือก จะจัดการกับโดเมนของท่านอย่างไร
      1. ใช้โดเมนที่อยู่ใน shopping cart ที่เราสั่งซื้อเรียบร้อยแล้ว
      2. ให้ Hostatom จดโดเมนใหม่ให้เรา บางครั้งโดเมนที่เลือกอาจจะไม่ค่อยว่าง เพราะเรายังไม่ได้ทำการเช็คมันมาก่อน
      3. หากท่านเคยใช้บริการจากที่อื่น แต่ต้องการย้ายบริการมาใช้ Hostatom ใช้ง่ายแก้ไขได้ง่าย เมื่อย้ายมาที่นี้
      4. หากท่านเคยใช้บริการจากที่อื่น แต่ไม่ต้องการเปลี่ยนชื่อ Domain แค่ต้องการเช่า
           - แนะนำ ให้เลือกข้อ 1 เพราะท่านได้เช็ค domain มาก่อนเรียบร้อยแล้ว จากนั้น Click to Continue
           - สรุปสินค้าที่เราสั่งซื้อ ตรวจเช็คดูว่าถูกต้องตามที่เราสั่งหรือไม่ จากนั้นคลิก Add to cart
           - ใน Shopping cart จะมีอยู่ 2 ส่วนคือ
Web hosting S1        700 บาท
Domain Registration 400 บาท
           - เพียงใช้งบประมาณ 1,100 บาทต่อปี ท่านก็จะมีเว็บไซต์โดเมนและพื้นที่เช่า hosting เรียบร้อย
           - หลังจากนั้น checkout
           - ด้านล่างจะมีช่องให้กรอกข้อมูลสั่งซื้อ ชื่อ ที่อยู่ต่างๆของเรา แล้วคลิกคำว่า การยอมรับ(I have read and agree to Terms of service) ต่อไปคลิกคำว่า complete order
           - หลังจากที่ได้จดโดเมนเรียบร้อยแล้ว ท่านจะได้ username และ password เพื่อใช้เป็นขั้นตอนต่อไปในการติดตั้ง
https://warrior.in.th/wordpress/how-to-register-domain-n-hosting/

wm5398

3 ขุมพลัง มนุษย์เงินเดือนทำธุรกิจ พลิกอนาคต


ใน โลกที่วุ่นวายโลกที่สับสนยุ่งเหยิงเต็มไปหมดแบบนี้ มีทั้งเทคโนโลยี และความบันเทิงมากมาย ที่ดึงคุณออกจากเป้าหมายในชีวิต  นักรบถามคุณตรงๆว่า ชีวิตนี้คุณต้องการอะไร? หากคุณดูโฆษณาทีวี ฟังวิทยุ และท่อง Internet ลองสังเกตดีๆ สื่อทุกชนิดที่ผ่านตาในแต่ละวัน คุณจะเห็นว่า มันมีโฆษณาแฝงมาเพื่อขายของทั้งนั้น มันไว้ขายให้มนุษย์เงินเดือนที่มีรายรับทุกเดือนเป็นหลักอย่างไรล่ะ  (ใต้โพสนี้ ยังมีคอร์สเรียนที่นักรบโพสไว้ขายคนที่สนใจเลย) มนุษย์เงินเดือนเป็นสายพันธ์ุอาชีพที่มีเยอะที่สุดในโลก เขาเหล่านั้นได้เงินเดือนทุกเดือน จะเหลือมากเหลือน้อยก็แล้วแต่ ถ้าเจ้าของธุรกิจดึงเงินจากกระเป๋าคุณได้แม้เพียงคนละ 500 บาท แค่สัก 10,000 คน เขาก็มีรายได้ 5,000,000 บาทแล้ว แล้วมนุษย์เงินเดือนล่ะ ต้องใช้เวลาสักกี่ปี ถึงจะมีเงิน 5 ล้านบาท ถ้าเก็บสักเดือนล่ะ 10,000 บาท คุณต้องใช้เวลา 41 ปี นะครับ เห็นตัวเลขแล้ว คุณเข้าใจสิ่งที่นักรบต้องการสื่อความหมายไหม ? ทำไมคุณยังคิดแบบมนุษย์เงินเดือน หาเช้ากินค่ำ และเชื่อคำโฆษณามากมาย ที่หลอกให้คุณควักเงินซื้อของไม่จำเป็นกับชีวิตอีกล่ะครับ  ถ้าคำตอบของคุณคือ "เพราะมันต้องหาเงินเดือนมาเลี้ยงตัวเอง จ่ายค่าหนี้ที่สร้างไว้ไง" นักรบจะถามกลับว่า แล้วจะคิดและทำอย่างไร เพื่อให้มีธุรกิจเสริมทำควบคู่งานประจำได้ ในอนาคตงานเสริมอาจเป็นธุรกิจที่ดันคุณหลุดออกจากโลกมนุษย์เงินเดือนดังที่คุณหวังก็ได้ เริ่มด้วยคำถามง่ายๆที่ถูกจุด ฉุดให้คุณออกจากกรอบความคิดที่ขวางกันคุณไว้ คุณจะแก้ไขปัญหาอะไรก็ได้ ขอแค่คุณต้องรู้จักตั้งคำถามเชิงบวกที่ทำให้คุณเดินหน้าต่อได้ครับ

หลักในการเปลี่ยนชีวิต หลุดความคิดและออกจากกรอบ
การที่คุณจะหลุดจากกรอบความคิดเดิมๆ ที่ขวางกั้นคุณให้อยู่แต่ในโลกของมนุษย์เงินเดือน คุณต้องผลักสิ่งแวดล้อมแย่ๆที่ส่งผลแย่ๆออกไปก่อน เริ่มต้นด้วยเพื่อนร่วมงานแย่ๆที่คิดแบบผู้บริโภค ที่ทั้งวันคุยแต่จะใช้เงิน แต่ให้มองหาเพื่อนที่คิดแบบเจ้าของธุรกิจ คิดแบบจะหาเงินและลงมือทำจริงครับ

ขั้นที่ 1 ตัดเพื่อนที่คิดแค่ว่า เดือนนี้จะ "ใช้เงินซื้ออะไร" และหาเพื่อนที่คิดแต่เรื่อง "หาเงินได้อย่างไร "
มันเป็นจุดเริ่มต้นง่ายๆ ในการเปลี่ยนสภาวะแวดล้อม ให้เอื้อประโยชน์ทางความคิด ให้มุ่งแต่จะทำธุรกิจเสริมหาเงิน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า เพื่อนที่ทำงานรอบตัวเรามีผลอย่างมากในวิธีคิดของเรา มีเพื่อนดีส่งผลดี มีเพื่อนแย่ส่งผลแย่ ที่นักรบกล้าพูดแบบนี้ได้ เพราะนักรบเคยผ่านมันมาแล้ว และรู้ดีว่าการมีเพื่อนร่วมงานที่ดีส่งผลให้ชีวิต ที่ทำธุรกิจควบคู่งานประจำมันดี และไปรุ่งมากแค่ไหน

ขั้นที่ 2 เลิกฟังเสียงภายนอก และค้นหาเป้าหมายในชีวิตจากเสียงที่ดังภายในใจ
เรื่องนี้นักรบซีเรียจสุดๆ เพราะโลกเรามันเต็มไปด้วยเสียงจากคนอื่น ทั้งผ่านปากต่อปาก หรือผ่านสื่อต่างๆทุกชนิด มันหลอกให้เราไขว้เขวเยอะแยะเต็มไปหมด หากเสียงภายในใจคุณไม่ดังกว่าเสียงคนอื่น ชาตินี้ทั้งชาติคุณก็ทำตามแต่คนอื่นบอก ไม่เคยใช้ชีวิตจริงเพื่อความฝันและเป้าหมาย ( Goal ) ของตัวเองเลย ถ้าคุณต้องการจะใช้ชีวิตจริงๆเพื่อเป้าหมายของตัวเองได้ คุณต้องวางแผนที่ละเล็กทีละน้อย ทั้งการเคลียหนี้สิน เตรียมเงิน เตรียมธุรกิจเพื่อออกมาทำตามความฝัน โดยคุณเตรียมสิ่งเหล่านี้ได้ ในช่วงสมัยทำงานประจำครับ หากคุณผ่าน 2 ข้อนี้ไปแล้ว คือ ตัดเพื่อนที่คิดแต่จะใช้เงิน ให้หาเพื่อนที่คิดจะหาเงิน + เลิกฟังเสียงภายนอก ให้ค้นหาเป้าหมายชีวิตและฟังเสียงภายในตัวเองว่าชีวิตต้องการอะไร คุณจะได้ ขุมพลัง 3 ข้อ ในการเปลี่ยนแปลงชีวิต

3 ขุมพลัง มนุษย์เงินเดือนทำธุรกิจ พลิกอนาคต
       1. เป้าหมายในชีวิต (Goal)
       2. เหตุผลที่จะทำ (Why)
       3. รักที่จะทำสม่ำเสมอ ( Passion to do)
อ๋อ อย่าลืมดูด้วยว่า Goal, Why และ Passion to do ที่คุณมี มันเพื่อตัวเอง หรือเพื่อคนที่คุณรัก ถ้าคุณอยากรวย เพื่อตัวเอง คุณก็ไปได้ไม่ไกล ขออภัยที่พูดตรงๆ แต่ถ้าคุณอยากรวย อยากประสบความสำเร็จ เพื่อคนที่คุณรัก หรือครอบครัวคุณ แบบนี้คุณมีสิทธิ์ คุณจะมีสิ่งๆหนึ่งที่คนประสบความสำเร็จพูดกันมาเป็นร้อยๆปี นั้นคือ เป้าหมาย (Goal) เหตุผลที่จะทำ (Why) และ รักที่จะทำสม่ำเสมอ ( Passion to do)  โดย 3 สิ่งนี้จำเป็นมากๆ ส่งผลต่อขุมพลังใจการลงมือทั้งชีวิตจนประสบความสำเร็จ

ทำไมคุณถึงไม่มี Goal, Why และ Passion
คำตอบง่ายๆ ว่าทำไมคุณถึงไม่มี เป้าหมาย, เหตุผลที่จะทำ และ ความรักที่จะทำเลย นั้นก็เพราะ ทั้งชีวิตคุณไม่เคยฟังเสียงภายในตัวเองเลย ไม่เคยค้นหาเลยว่าชีวิตคุณต้องการอะไร หรือว่า คุณไม่เคยผ่านประสบการณ์แย่ๆแบบเป็นตายเท่ากันมาก่อนเลยเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แบบสุดเหวี่ยงและก้าวกระโดด มันอาศัยปัจจัย 2 ข้อ
        1. วิสัยทัศน์ จากความรู้ ที่คุณต้องสั่งสมเป็นปีๆ จากการลงมือทำของตัวเอง
        2. วิกฤตปัญหาชีวิต แบบเฉียดตาย หรือ ที่บ้านล้มละลาย ปัญหาหนักจะผลักดันให้คิดได้
ถ้าคุณไม่มี ทั้ง 2 ข้อที่กล่าวมา ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แบบสุดเหวี่ยง ก้าวกระโดดจนแม้แต่ตัวคุณเองยังตกใจ

สรุปโดยนักรบ
หากทั้งชีวิตคุณไม่มีความมั่นใจ และไม่รู้เลยว่าชีวิตต้องการอะไร ขอให้คุณหยุดทุกอย่างบ้างและฟังเสียงตัวเอง ถ้าคุณฟังเสียงตัวเองไม่เป็น แปลว่าคุณไม่มีสมาธิเพียงพอ จิตใจของคุณมันวุ่นวายเกินไป จงแก้ที่จิตใจของคุณก่อน ใช้หลักทางพุทธศาสนา สร้างสมาธิให้ใจแน่วแน่ นิ่งและสงบมากพอ เมื่อใจคุณนิ่งและสงบ คุณจะได้ยินเสียงภายในตัวเอง
https://warrior.in.th/warrior-life/3-powerful-human-business-payroll-turns-the-future/

wm5398

5 ทักษะความชำนาญ การตลาดออนไลน์ SEO


เว็บไซต์กว่าจะขึ้นอันดับ ใน Google ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่อาศัยเพียงปัจจัย Backlink เป็นหลักเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งยุคนี้กูเกิลพัฒนาการเขียนโปรแกรมให้ตรวจจับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพได้มากขึ้น จะมาทำเว็บไซต์หลอก Google ว่าเว็บไซต์ฉันดียังโน่นยังงี้ มี Backlink มากๆไม่ได้แล้ว

จำนวน Backlink ยังมีผลกับการจัดอันดับเว็บไซต์ แต่เนื่องจาก Google คิดคะแนนการจัดอันดับเว็บไซต์จากหลายๆปัจจัย หากเพิ่มจำนวน Backlink อย่างเดียว แถม Backlink ไม่ดี แทนที่จะได้เว็บไซต์ไต่อันดับดีๆ อาจกลายเป็นยาพิษย้อนกลับมาทำร้ายเว็บไซต์ตัวเองก็เป็นได้

สำหรับผู้ประกอบการ, เจ้าของธุรกิจ หรือ คนทำธุรกิจออนไลน์เล็กๆ คงจะยุ่งยากเกินไปที่จะจัดการกับการตลาดออนไลน์ SEO ที่สลับซับซ้อนและมีรายละเอียดเยอะพอสมควร ครั้นจะไปจ้างนักการตลาด SEO ก็ไม่แน่ใจว่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ? คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนไปหรือเปล่า ที่จะเอาอนาคตของธุรกิจออนไลน์ไปฝากไว้กับคนอื่น

ฉะนั้นก่อนจะจ้างนักการตลาดออนไลน์รับทำ SEO ท่านควรจะมีความรู้และทราบความชำนาญของนักการตลาดแต่ละท่านให้แน่ชัดก่อนครับ

วันนี้จะแนะนำ ความชำนาญของนักการตลาด SEO ให้ทราบเพื่อให้เห็นภาพรวมของ " นักการตลาดรับทำ SEO " นั้นเอง

5 ทักษะความชำนาญของนักการตลาดรับทำ SEO
1). ชำนาญด้านการสร้างเนื้อหา

เป็นนักเขียนบทความ (Content Writer) คือ นักการตลาด SEO ที่มีความชำนาญด้านการเขียน และสร้าง Content เสมือนเป็นกระบอกเสียง ที่ช่วยเป่าประกาศถึงแบรนด์และสินค้าของท่านให้ดังกระฉ่อนทั่วโลกออนไลน์ เนื้อหาที่ดีจะดึงคนอ่านแวะเวียนมายังเว็บไซต์สม่ำเสมอ สร้างความน่าเชื่อถือและการจดจำเว็บไซต์ของคุณได้อย่างดีเยี่ยม
2). เทคนิคคอล SEO
คือ นักการตลาด SEO ที่ชำนาญเกี่ยวกับโครงสร้างเว็บไซต์, เขียนโปรแกรมที่ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น, รองรับมือถือ และปรับแต่งโคดให้ทำงานได้เสถียรและตรงตามมาตรฐาน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นโปรแกรมเมอร์ หรือ เว็บดีไซน์เนอร์มาก่อน และมาเรียนรู้ SEO เพิ่มที่หลังครับ
3). ชำนาญด้านการสร้าง link ทั้งภายในเว็บไซต์ และนอกเว็บไซต์
ทักษะด้านนี้จะเน้นที่การปรับโครงสร้างของ Link ให้สอดคล้องกับการทำงานของ SEO ได้ดี รวมทั้งจัดการ BackLink จากเว็บไซต์อื่นได้ดีด้วย แต่ควรระวังเรื่อง Backlink จากเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพ ซึงทักษะนี้ส่วนใหญ่จะใช้ทำมาหากินกันนั้นเอง เพราะไม่ค่อยยุ่งกับเว็บไซต์ลูกค้ามากนัก ยิ่งbacklink อย่างเดียว
4). ชำนาญด้าน Social Media
คือ นักการตลาด SEO ที่เข้าใจการทำงานของ Social Media เป็นอย่างดี รวมทั้งการสร้างความสำพันธ์ภายใน Social Media ให้เกิดขึ้น ติดตามความเคลื่อนไหว, การอับเดตต่างๆ ที่มีผลกับ SEO ทั้งใน Facbook, Youtube และ Social Media อื่นๆในอนาคต
5). ชำนาญด้าน SEO กับธุรกิจท้องถิ่น
ใช้งาน Google Business และใช้งาน Google Map ได้ดี รวมทั้งการตลาดผ่านตำแหน่งที่ตั้งเป็นสำคัญทั้งผ่านเครื่องมือของ Google เอง และ App ที่เกี่ยวข้อง

นักการตลาดออนไลน์ SEO ส่วนใหญ่มักจะมีความชำนาญด้านการจ้างเขียนบทความ และ การสร้าง Backlink เป็นหลัก โดยมีเพียงไม่กี่คนที่จะชำนาญครบทั้ง 5 เรื่องที่กล่าวมานี่

ฉะนั้น คนที่สนใจจะจ้าง นักการตลาดรับทำ SEO ควรเข้าใจความสามารถของนักการตลาดผู้นั้น เพื่อนำมาคำนวณกับค่าจ้างที่ต้องจ่ายไปด้วยครับ
https://warrior.in.th/entrepreneur/niche-seo-specialists/

wm5398

เงินลงทุน 5,000 บาท ทำการตลาดออนไลน์ยังไงดี


คนเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์เล็กๆ มีเงินลงทุนไม่มากมายประมาณ 1,000 – 5,000 บาท/เดือน ถ้าจะเอาเงินที่เหลือนี้มาใช้ทำการตลาดออนไลน์ จะทำอย่างไรถึงจะได้ผลดีสูงสุดล่ะ มาดูกันครับ

เริ่มต้นเข้าใจก่อนว่า การทำการตลาดออนไลน์มีหลายรูปแบบจริงๆ แต่นักรบจะแนะนำแค่วิธีหลักๆที่ได้ผลดีก่อน เพื่อจะได้จัดการได้ง่าย ทำเยอะเกินไปมันจะกินเวลาส่วนอื่นๆ

เริ่มต้นแบ่งเวลาในการทำการตลาดออนไลน์ก่อน โดยใช้เพียง 30% ของทั้งหมด

นักรบแนะนำทำการตลาดผ่าน Google และ Facebook เป็นหลัก เนื้องจาก Google และ Facebook มีคนไทยเล่นเยอะมากจริงๆเป็นโอกาสของการทำธุรกิจโดยแท้

แบ่ง " เงินลงทุน " เป็น 2 ส่วนเพื่อทำการตลาดออนไลน์ดังนี้
       1. แบ่งเงินเพื่อทำ Website รองรับการทำการตลาดผ่าน Google (Ads, SEO)
       2. แบ่งเงินเพื่อทำ Facebook Fanpage รองรับการทำการตลาดผ่าน การโปรโมทเพจ และการกระตุ้นโพส

เงินลงทุนเพื่อทำ Website
การทำเว็บไซต์เพื่อขายของออนไลน์, สร้าง Brand หรือ โปรโมทความสามารถของตัวเอง สามารถทำได้หลายวิธี โดยส่วนใหญ่มักนิยมเปิดเว็บไซต์ฟรีกับผู้ให้บริการทั่วไป แต่ถ้าท่านอยากทำธุรกิจออนไลน์จริงจัง  นักรบขอแนะนำเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress ครับ เพราะในอนาคตมันต่อยอดได้อีกมากมาย เกื้อหนุนกับ SEO ดีเยี่ยม และรองรับ Ecommerce ในอนาคตอีกด้วย เรียกได้ว่าเรียนรู้ครั้งเดียว ต่อยอดได้อีก 10 ปี สำหรับเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress ครับ

ทางนักรบเข้าใจปัญหาเรื่องนี้ดี จึงเตรียมข้อมูลและสอนการสร้างเว็บไซต์ไว้แล้วในเว็บไซต์แห่งนี้ หลังจากมีเว็บไซต์แล้ว ขั้นถัดไปคือการทำการตลาดผ่าน Google

Note : นักรบ ไม่ขอพูดถึงผู้ให้บริการเปิดเว็บไซต์ฟรีกับเจ้าอื่นๆ เพราะยังไม่ได้ทดสอบเต็มที่ ท่านสามารถศึกษาได้เองครับ

การตลาดผ่าน Google
การตลาดผ่าน Google มี 2 วิธีหลักๆดังนี้ คือ Google SEO และ Google Adwords
        1. ทำให้เว็บไซต์มีเนื้อหาดี ขึ้นอันดับดีๆใน Google Search วิธีการนี้ภาษานักการตลาด เรียก " การทำ SEO "
        2. โฆษณากับ Google วิธีการนี้เรียกว่า " การทำ  Adwords "

ทำ SEO ให้สร้าง Web Traffic
วิธีการทำ SEO จะสลับซับซ้อน ผู้ประกอบการไม่สามารถจัดการมันได้ ส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีจ้างทำ SEO ซึ่งจะได้ผลดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับคนรับทำเป็นสำคัญ อีกทั้งเจ้าของธุรกิจ SME ควรมีความรู้เบื้องต้นเพื่อตรวจเช็คผลการทำ SEO จากผู้รับทำ SEO ได้ครับ


ณ ตอนนี้มีเพียงบริษัทใหญ่ๆที่มีเงินทุนหนาๆเท่านั้น ที่จ้างแล้วได้ผลดี เพราะเขามีเงินจ้างนักการตลาดออนไลน์ SEO เก่งๆโดยเฉพาะได้ ทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีครับ แต่สำหรับธุรกิจออนไลน์เล็กๆ SME  ทางนักรบแนะนำให้เรียนรู้วีธีการทำ SEO ด้วยตัวเองก่อน เวลาจ้างก็สามารถประหยัดและตรวจงานได้ครับ

เรียน SEO ที่ไหนดี ?
เราสามารถหาทีเรียน SEO & Content Marketing ได้ เพียงพิมคำค้นหา " เรียน SEO , สอน SEO , การทำ SEO, วิธีการทำ SEO, สัมมนา SEO" ที่ Google ได้ครับ รับรองมีเพียบ แต่จะเลือกที่ดีๆทีเหมาะกับเราได้ ต้องใช้เวลาค้นหาและอ่านรายละเอียดของแต่ละที่เองครับ

ลงโฆษณา Google Ads
การลงโฆษณากับ Google Adwords นั้น เราจะได้ยินบ่อยมาก เพราะนี้เป็นช่องทางรายได้ของ Google เป็นหลัก เขาจะโฆษณาบ่อยๆ เพื่อเรียกยอดขายและเผยแพร่ให้คนนิยมใช้กันง่ายมากขึ้น อีกทั้งยังมีบริษัทเอกชนที่เป็น Partner ร่วมกับ Google มาออกคอร์สสอน จัดสัมมนา เป็นระยะๆอีกด้วย จึงไม่แปลกที่เราจะได้ยินได้ฟังเรื่องนี้มาค่อยข้างบ่อยครับ
ธุรกิจออนไลน์ขนาดเล็ก SME สามารถเริ่มต้นลงโฆษณา Google Ads ในงบที่กำหนดได้ และควรเสริมทัพด้วยการทำ SEO อีกแรง

การทำ Google SEO ช่วยทำให้ค่าโฆษณา Google Ads ถูกลงได้อย่างไร ?
คนทำโฆษณา Google Adwords จะทราบว่า มี 3 ปัจจัยหลักๆที่มีผลให้โฆษณาราคาถูกลง คือ อัตราการคลิ๊ก, ความเกี่ยวข้องโฆษณา และ ประสบการณ์ Landing Page ซึ่งปัจจัยตัวสุดท้ายนี้เหละครับ เป็นปัจจัยสำคัญ


ทำไม ประสบการณ์ Landing Page ใน Google Ads ถึงสำคัญ
เมื่อคนคลิ๊กโฆษณาจาก Google แล้ว จะเข้าสู่หน้า Landing Page หลังจากนั้น Google จะเช็คว่าคนเจอสิ่งที่เขาต้องการหรือไม่ โดยอาจจะวัดได้จาก เวลาโต้ตอบบนเว็บเพจเป็นสำคัญ เว็บเพจที่ดี จะตรึงให้คนอ่านได้นาน นั้นหมายความว่า เว็บเพจนั้นต้องเขียนดี ให้ข้อมูลดี มีภาพ วีดีโอประกอบดี ซึ่งการจะให้ข้อมูลประกอบดีได้ คนทำเว็บเพจต้องรู้จักสินค้าตัวเองดีเยี่ยม, กลั่นกรองออกมาได้มากพอ และเข้าใจง่ายดีด้วย

โดยส่วนใหญ่ คนที่ทำการตลาดออนไลน์ผ่าน Google SEO มาแล้ว จะมีทักษะการเล่าเรื่อง การเขียน และอธิบายสินค้าได้อย่างครบถ้วน ทำให้ Landing Page ดีไปด้วย ส่งผลสุดท้ายให้ค่าโฆษณา Ads ถูกตามไปด้วย อีกทั้งคนทำ SEO มาก่อน จะมีแนวโน้มที่จะเขียนคำโฆษณาใน Ads ดี เรียกได้ว่าครบสูตรปัจจัยการทำ Ads ให้ถูก ช่วยประหยัดเงินลงทุนนั้นเอง

เงินโฆษณา Facebook Fanpage
การทำการตลาดผ่าน Facebook ทำได้ง่าย ขั้นตอนไม่ซับซ้อน เพียงระบุกลุ่มเป้าหมาย ใส่เงินเข้าไป ก็จะโปรโมทเพจให้คนกดถูกใจแฟนเพจ หรือ จะโปรโมทโพสใดๆก็ได้ แล้วแต่ต้องการ (การลงโฆษณาใน Facebook มีหลายวิธี ณ ตอนนี้ยกตัวอย่างเพียง การโปรโมทเพจและโปรโมทโพสเท่านั้น)
        - วิธีการโปรโมทเพจ
        - วิธีกระตุ้นโพส
นักรบใช้เงินประมาณ 2-3,000 บาท/เดือน เพื่อทำโฆษณา Fanpage

สรุปโดยนักรบ
เราสามารถประหยัดเงินค่าโฆษณาออนไลน์ ด้วยการเขียนคำโฆษณาที่มีดีมีประโยชน์ ภาพน่าสนใจ เชิญชวนให้คนเข้าชม ติดตามเนื้อหาในเว็บเพจนั้นๆ โดยสามารถทำได้ทั้ง Google และ Facebook ซึ่งทักษะนี้สามารถฝึกกันได้ ด้วยการเป็นนักเขียน และการเล่าเรื่องสินค้าที่ดี

เมื่อโฆษณามีคุณภาพดี เพราะเป็นผลพวงจากการเขียนเนื้อหาดี จะทำให้งบการลงทุนของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก แม้มีเงินลงทุนน้อยไม่เกิน 5,000 บาท/เดือน ก็สามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจกลับมาได้มากมายครับ
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/google-ads/5000-bath-online-marketing/

wm5398

5 ทักษะการขายของออนไลน์ และ Digital Marketing


ทักษะการขายของออนไลน์ และ Digital Marketing ให้ประสบความสำเร็จ แนะนำฝึกฝนทักษะเหล่านี้
        1. ทักษะการเป็นนักธุรกิจ
        2. ทักษะการสร้างเว็บไซต์
        3. ทักษะการออกแบบ
        4. ทักษะการเล่าเรื่อง
        5. ทักษะการตลาดออนไลน์
ทักษะด้านบัญชีเป็นสิ่งจำเป็น แต่มักจะจ้างบริษัทรับทำบัญชีทำ

เป็นเจ้าของธุรกิจที่มีเงินทุน จ้างมืออาชีพด้านต่างๆ เช่น
        1. Online Business Consult ที่ปรึกษาธุรกิจ
        2. Webmaster ดูแลและพัฒนาเว็บไซต์
        3. Graphic Designer ดูแลการออกแบบ
        4. Content Writer ดูแลเนื้อหา
        5. Online Marketeer นักการตลาดออนไลน์

แต่เดียวก่อน ถ้าจ้างครบ 5 คน อาจต้องใช้เงินสูงถึง 75,000 – 150,000 บาท/เดือน โดยยังไม่รู้ว่าจะได้กำไรเดือนไหน มนุษย์เงินเดือน หรือธุรกิจขนาดเล็กไม่จ้างคนเยอะแบบนั้นแน่

วิธีในการหาทางออกของทั้ง 5 ข้อนี้คือ
        1. เรื่องธุรกิจ มักจะหาความรู้เอง ผ่านหนังสือ สัมมนา และสื่อต่างๆ
        2. เรื่องเว็บไซต์ มักเลือกใช้บริการ eMarketplace แบบมี Shopping Cart เสร็จสรรพ โดยมักใช้คำค้นหาว่า :" เปิดร้านค้าออนไลน์ "   หรือจ้างคนทำเว็บในราคา 15,000 บาทขึ้นไปโดยเฉลี่ย
        3. เรื่อง Graphic หรือภาพประกอบต่างๆ มักจะออกแบบเอง, ถ่ายรูปเอง ตกแต่งเอง หรือซื้อภาพ หาภาพจาก Internet ถ้าลงทุนสูงหน่อยก็จ้าง Graphic Designer ทำให้เป็นงานๆไป
        4. เรื่อง Content มักจะทำแค่ตอนแรกเท่านั้น โดยใส่ข้อมูลทั่วไป และเวลาส่วนใหญ่ก็ใช้ไปกับการใส่สินค้าทีจะขาย
        5. เรื่องการตลาดออนไลน์ มักใช้วิธีลงโฆษณาผ่าน Google Adwords, หรือ Facebook Ads หากลงทุนหน่อยก็จ้างบริษัทรับทำโฆษณา เช่น จ้างทำ SEO เป็นต้น

หากมองผิวเผินก็พอจะทราบขั้นตอนที่หลายๆธุรกิจขนาดเล็กทำ โดยขั้นตอนส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของเงิน เวลา และกำลังคนเป็นหลัก และขั้นตอนที่กล่าวมานี้มันมีจุดเสียเปรียบที่ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กไม่สามารถสู้กับคู่แข่งที่มีขนาดใหญ่กว่าได้

จุดเสียเปรียบในการทำธุรกิจขนาดเล็กมีอะไรบ้าง ?
        1. การสร้างเว็บไซต์ มักใช้ของฟรี เน้นง่าย เน้นเร็ว ไม่ให้เวลากับมันเยอะเท่าทีควร สร้างทิ้งไว้เสร็จก็เอาไปโฆษณาต่อเท่านั้นเอง จุดอ่อนของเรื่องนี้คือ ไม่ได้ใช้เว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพเต็มที่วิธีแก้ไข
            เว็บไซต์ไม่ได้มีไว้ขายของ เก็บเงินจากลูกค้าเพียงอย่างเดียว มันยังสร้างประโยชน์ ให้ความรู้ ให้ลูกค้าหรือคนอ่านเอาไปบอกต่อผ่าน Social Media เช่น Facebook ได้ดีอีก เพิ่มหนทางการตลาดแบบปากต่อปากได้
        2. เรื่องการออกแบบ อันนี้แล้วแต่ความสามารถของเจ้าของเลย ออกแบบดี สินค้าน่าซื้อ ออกแบบห่วยสินค้าดูไม่มีราคา หากมีทุนเป็นเด็ก Art มีหัวศิลป์หน่อย ช่วยได้เยอะ เพราะเดียวนี้โปรแกรมแต่งรูป App แต่งภาพ เครื่องไม้เครื่องมือออนไลน์เยอะมากจริงๆ ใช้ง่าย สะดวกแนะนำ
            เรียนการถ่ายรูปง่ายๆ และหมั่นแต่งรูปสินค้าให้สวย อาจจะด้วย App pixlr  หรือ โปรแกรมแต่งรูปง่ายๆเช่น Photoscape หรือ Photoshop
        3. เรื่องเนื้อหา (Content) เจ้าของกิจการไม่ได้รู้เรื่องการตลาดออนไลน์มากนัก ว่าเดียวนี้เขาฮิตแนวไหนกัน ผู้บริโภคเขาคิดอะไรกัน ทำให้เวลาใส่เนื้อหาก็จะลงเพียงข้อมูลการซื้อขาย ข้อมูลผลิตภัณฑ์และเทคนิคการตลาดง่ายๆที่รู้กันในโลกออนไลน์ เช่น ลดแลกแจกแถม & รีวิวนั้นเองวิธีแก้ไข
            สร้างเนื้อหาที่ดีผ่านเว็บไซต์และ Social Media โดยให้ความรู้บ้าง ให้ประโยชน์อื่นบ้าง ไม่ใช่จะขายของเพียงอย่างเดียว สร้างการแชร์และการบอกปากต่อปากในโลกออนไลน์
        4. เรื่องการตลาดออนไลน์ คนทำธุรกิจขนาดเล็กทราบดีว่า Google และ Facebook ได้เงินจากการโฆษณา ฉะนั้น Google และ Facebook จะจัดกิจกรรมเยอะ หรือบอกผ่านสื่อมามากมายว่าให้ทำโฆษณากับ Google Adwords และ Facebook Ads สิ นั้นก็เพราะยิ่งมีคนทำเยอะ เขาก็ยิ่งได้เงินมาก แต่ Google กับ Facebook เขาไม่ได้บอกเรามากหรอกว่าทำยังไง ถึงจะได้ลูกค้ามากโดยใช้เงินให้น้อยและคุ้มค่าที่สุด เขาจะเน้นที่การโฆษณาเป็นหลัก ซึ่งธุรกิจขนาดใหญ่เล่นได้อยู่แล้วไม่มีปัญหา เขาจะไปซีเรียจเรื่อง Content มากกว่าที่จะทำให้เด่น ให้โดน แต่กับธุรกิจขนาดเล็กกลับไปเผลอเล่นเกมตาม เน้นโฆษณาก็จบสิครับ เสียเปรียบทุกอย่างวิธีแก้ไข
            ธุรกิจขนาดเล็ก สามารถเล่นโฆษณาได้ แต่ต้องเล่นการตลาดผ่าน Google SEO และ สร้าง Personal Brand ใน Social Media ด้วย ถึงจะชิงความได้เปรียบธุรกิจขนาดใหญ่ได้

สรุปโดยนักรบ
ธุรกิจขนาดเล็ก หรือ มนุษย์เงินเดือนทำธุรกิจ นอกจากต้องมีทักษะแบบเจ้าของธุรกิจแล้ว ควรศึกษาเรียนรู้ทักษะของการใช้งานเว็บไซต์, การออกแบบ, การเขียนเล่าเรื่อง และการตลาดออนไลน์ไว้ด้วย เพราะไม่มีเงินจ้างใครจึงต้องทำเอง
https://warrior.in.th/entrepreneur/5-skills-to-do-business-online/

wm5398

3 รูปแบบแห่งการใช้ชีวิต เพื่อทำธุรกิจออนไลน์


นักรบทดสอบกับตัวเองเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี เพื่อค้นหา ลักษณะนิสัย การคิด และการชีวิตแบบไหน ? ที่จะทำให้ทำธุรกิจออนไลน์ได้ประสบความสำเร็จ
3 รูปแบบของการใช้ชีวิตดังนี้
        1. นักวางแผน ทำธุรกิจออนไลน์ ต้องวางแผน ตามตำรา ตามที่เรียนมา
        2. นักบันเทิง ทำธุรกิจออนไลน์ แบบชิวๆ ตามอารมณ์ เน้นความสุขและ Feeling
        3. นักรบ ทำธุรกิจ ทำก่อนคิดทีหลัง ใช้เงินให้น้อย ล้มแล้วลุกใหม่ เอาบาดแผลสร้างวิสัยทัศน์

นักวางแผน
ฟังดูดี เหมือนจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่น่าจะเลือก และนักรบก็ใช้วิธีนี้ในการทำธุรกิจส่วนตัว เริ่มทำธุรกิจออนไลน์เป็นของตัวเอง แต่นักรบกลับพบว่า วิธีนี้ผิดอย่างสิ้นเชิงสำหรับคนเริ่มต้นธุรกิจ การเป็นนักวางแผนได้ ต้องผ่านการเป็นนักรบ เน้นลงมือทำมาก่อน เพราะ สิงที่เราวางแผน มันก็แค่ออกมาจากตำรา หรือแค่ไปฟังคนอื่นมาเท่านั้น ประสบการณ์จริงไม่มีเลย มันใช้ไม่ได้จริงในธุรกิจ การเป็นนักวางแผน ทำให้ผมรู้สึกโง่มากๆ เมือมารู้ทีหลังว่าสิ่งที่ทำมันไม่เวิร์ค มันห่วย ช้า และไม่ได้ผล อีกทั้งมันง่ายที่จะหาเหตุผลมาอ้างโน่นอ้างนี้ เวลาอยากเลิก หรือปลอบตัวเองไปวันๆอีกต่างหาก

นักบันเทิง
ทำธุรกิจแบบ ชิวๆ คิดว่าค่อยๆทำ ตามอารมณ์ เพราะ เคยเป็นนักวางแผน แล้วเครียด ทำอะไรก็ไม่เวิร์ค เหมือนที่คิด ที่อ่านมาจากตำรา แต่ใจก็อยากทำธุรกิจอยู่ เลยทำธุรกิจแบบตามอารมณ์ เน้นหาแรงบันดาลใจจากคนอื่น จากหนังสือ จากคำพูดและจากงานสัมมนาต่างๆ มันช่วยให้มีพลังเป็นพักๆ แต่เอาเข้าจริง พลังมันมาเร็วไปเร็ว สุดท้ายก็ไม่เวิร์คอยู่ดี ไม่ใช่เพราะสิ่งที่อ่าน สิ่งที่ฟังมามันไม่ดีหรอก มันเป็นเพราะเราต่างหากที่ไม่มีประสบการณ์โชกโชนเพียงพอ โอกาสเข้ามาก็ไม่เห็นและคว้าไว้ไม่ได้ หนำซ้ำความสามารถที่มีก็ไม่เพียงพออันเนื้องมาจากทำอะไรชิวๆไปวันๆ นั้นเอง

นักรบ
เน้นลงมือทำ ทำให้เร็ว ไม่วางแผน ใช้เงินให้น้อยที่สุด ล้มแล้วลุกใหม่ วิธีนี้เวิร์ค สุดๆ เพราะมันช่วยแก้ไขปัญหาสำคัญของนักธุรกิจมือใหม่ได้อย่างชะงัก ทั้งเรื่อง ความคิดที่แคบเกินไป, ประสบการณ์ที่น้อย และความชำนาญแบบพื้นๆ การลงมือทำจะช่วยเติม ความคิดให้มองกว้าง, ประสบการณ์ให้โชกโชน และความชำนาญ ปราดเปรื่อง ยิ่งทำ ยิ่งเก่ง ยิ่งทำยิ่งแก้ไขปัญหาได้ ถึงแม้เจ๊ง ก็ใช้เงินน้อย เดือนหน้าเอาใหม่ ลุกใหม่ได้ มันเวิร์คสุดๆ ทำให้ความสามารถโตเร็วแบบพรั่งพรู การเคลื่อนไหว ทั้งร่างกาย การกระทำ ความคิด และสมอง มันแล่นเร็วกว่าปรกติอย่าน้อย 1.5-2 เท่า ทำให้มีเวลามากว่าคนอื่น และมีเวลามากกว่าตัวเองในอดีตมากมาย นั้นก็เพราะเราเคลื่อนไวเร็ว คิดเร็วนั้นเอง

ความสามารถในการลงมือทำเร็ว ทำให้มีความมั่นใจสุดๆ ว่าจะชนะและก้าวเป็นอับดับ 1 ในสิ่งที่ทำได้
และเมื่อทำไปมากเข้า คุณภาพของงานจะดีขึ้นเอง มันจะวางแผนได้เป็นอัตโนมัติเอง ไม่ต้องคิดมากเลย เพราะทำเยอะ ลุยเยอะ แก้ไขปัญหาเยอะนั้นเอง มันเป็นเหตุเป็นผล ทีเข้าใจได้ง่ายทีเดียวทำให้นักรบ ค้นพบสูตรสำเร็จของวิธีคิดในการทำธุรกิจเข้าให้แล้ว

นักรบเชื่อว่า สูตรสำเร็จของวิธีคิด มีอยู่จริง และวิธีคิดที่ดีจะสร้างสูตรสำเร็จของวิธีการได้เรื่อยๆ และปรับเปลี่ยนได้เรื่อยๆ ให้ทันยุคทันสมัย ส่งผลต่อให้เขาเป็นผู้นำทางความคิดและการกระทำในสาขาธุรกิจที่ทำอยู่ได้

สูตรสำเร็จของวิธีคิดมีอยู่จริง
เพราะเราเห็นคนที่เคยประสบความสำเร็จแล้ว ก็ประสบความสำเร็จอีก ด้วยพื้นฐานวิธีคิดที่ถูกต้องในการแก้ไขปัญหา การเข้าใจลูกค้า และการทำการตลาด รวมทั้งภาพรวมในการทำธุรกิจ สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ถูกฝึกปรือมาอย่างดี ผ่านความล้มเหลว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน ทำให้เข้าใจว่า เราจะสามารถหาสูตรสำเร็จของวิธีคิดในการแก้ไขปัญหาได้ ต้องผ่านการลงมือทำมาเยอะพอสมควร และปัจจัยที่ทำให้ลงมือทำเยอะ ก็คือความเร็วในการลงมือทำนั้นเอง

ความเร็วในการลงมือทำ
อยู่ในแทบทุกๆคำพูดของคนทำธุรกิจขนาดเล็ก หรือคนที่เริ่มต้นในการทำธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จแล้วบ้าง ความเร็วในการลงมือทำ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เกิดผลงานเยอะเท่านั้น และยังส่งผลทางอ้อม ขจัดปัญหาพื้นๆ ที่คนส่วนใหญ่ติดอีกด้วย เช่น ความขี้เกียจและความกลัว โดย 2 สิ่งนี้สร้างความเครียดให้คน ก่อนที่จะได้ทำซะอีก ความเร็วในการลงมือทำ ส่งผลให้ทำงานได้ออกมาอย่างมากมาย ถึงแม้ช่วงแรก จะไม่ดีที่สุด แต่มันได้ลองผิดลองถูก และเรียนรู้อย่างรวดเร็ว จนตกผลึกทางความคิด วิธีการ และความชำนาญในสิ่งที่ทำไปพร้อมๆกัน ด้วยความเร็วนี้ ส่งผลให้นักรบ พัฒนาฝีมืออย่างเร็วมากๆ และทำให้อะไรต่อมิอะไรได้อย่างคล่องแคล่ว เสมือนทหารในสนามรบก็มิปาน

หากนักรบจะบอกเคล็ดลับเพียง 1 ข้อ ที่เป็นอาวุธลับส่วนตัว สิ่งนั้นคือ " ความเร็ว ในการลงมือทำ "
https://warrior.in.th/warrior-life/3-styles-of-living-to-do-business-online/

wm5398

Content SEO ชนะกันที่มีเนื้อหา ดี เร็ว บ่อย ตรงประเด็น


การทำการตลาดออนไลน์  Google SEO จะชนะกันที่เนื้อหา (Content) ไม่ว่าจะเป็น บทความ (Articles), ภาพ (Images), เสียง (Audio) หรือ วีดีโอ (Videos) ที่ปล่อยมาถี่, ปล่อยมาบ่อย, ปล่อยแล้วยังมีคุณภาพ อ่านแล้วเข้าถึงอารมณ์ ได้ประโยชน์มากพอ จะเกิดการแชร์ การบอกต่อ และการกล่าวถึงแบบปากต่อปากเองโดยธรรมชาติ

หากจะเดินกลยุทธ์การทำการตลาดผ่าน Google SEO เป็นสำคัญ คนทำธุรกิจออนไลน์ควรที่จะเขียน และเล่าเรื่องสินค้าหรือบริการของตัวเอง เพราะจะเล่าได้ดีที่สุด และจะเล่าได้ดีขึ้นเรื่อยๆส่งผลดีในระยะยาว

เริ่มต้น ปรับรายจ่ายให้ต่ำสุดๆ / เดือน
การทำธุรกิจออนไลน์ โดยใช้การตลาด Google SEO จะต้องมองผลลัพธ์ระยะยาว ฉะนั้นมองข้ามเรื่องรายได้หรือยอดขายระยะสั้นไปได้เลย (หากต้องการยอดขายระยะสั้นให้ใช้ Ads เช่น Adwords หรือ Facebook Ads)

เริ่มต้นปรับรายจ่ายให้ต่ำที่สุด/เดือน และยิ่งในยุคนี้แล้ว ต้นทุนการทำธุรกิจออนไลน์มันต่ำสุดๆอยู่แล้วด้วย เพื่อทีจะไม่เครียดเรื่องรายได้ และให้เอาสมาธิจัดตางรางกิจวัตรประจำวัน เพื่อสร้างเรื่องราว (Story) เล่าเรื่องราวสินค้าและบริการของเราให้โดนใจ และเป็นประโยชน์กับคนโดยสามารถสร้างเนื้อหา (Content) ไว้ล่วงหน้าและตั้งเวลาโพสได้

สร้างความน่าเชื่อถือด้วย Content & SEO
ก่อนขายของออนไลน์ ควรสร้างภาพลักษณ์ที่ดี สะท้อนความเป็นตัวเอง และอุดมการณ์ในการทำธุรกิจเสียก่อน โดยค้นหาคุณประโยชน์ธุรกิจออนไลน์ของตัวเองให้เจอ และใช้มันเป็นพลังในการขับเคลื่อนธุรกิจ การสร้างความน่าเชื่อถือด้วย Content คือการสร้างเนื้อหาที่ดีสม่ำเสมอๆเกิดการ Like&Share ได้เรื่อยๆ

สิ่งตอบแทน
หลังจากนั้น Google จะจัดอันดับเว็บไซต์ดีขึ้นเรื่อยๆ มีคนเข้าเว็บไซต์มากขึ้นเรื่อยๆ และ Facebook จะตอบแทนด้วย การแชร์บอกต่อกันใน Social Media จนทำให้ธุรกิจออนไลน์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ในชนิดที่แบบได้ทั้งเงิน และได้ทั้งความรักจากลูกค้า ส่งเสริมให้ท่านรักงานนี้มากยิ่งๆขึ้นไปอีกด้วยครับ
" สร้างคุณประโยชน์ให้ลูกค้าก่อน ผ่าน Website และ Fanpage แล้ว Google & Facebook จะตอบแทนคุณ ด้วยชื่อเสียงบนโลกออนไลน์ ในอีกชื่อหนึงที่เรารู้จักกันดี คือ Personal Brand นั้นเอง "
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/seo-content/seo-content-for-online-marketing-is-king/

wm5398

ประกันมนุษย์เงินเดือน ด้วยความรู้และประสบการณ์ คือหนทางที่ดีทีสุดวิธีหนึง


ในชีวิตการทำงาน เราต้องผ่านการเปลี่ยนงานหลายต่อหลายที่ เพื่อค้นหาที่ทำงานที่เหมาะสมกับเราที่สุด สิ่งแวดล้อมของที่ทำงานแต่ละที่ไม่เหมือนกัน เราจะรู้ได้แน่ชัดเมื่อทำงานไปได้สักระยะหนึง หรือประมาณ 6 เดือน – 1 ปีนั้นเอง

มนุษย์เงินเดือนกับชีวิต ที่ไม่มีทางเลือก
ในช่วงของการเลือกที่ทำงาน และเข้าทำงาน เราจะรู้เพียงเงินเดือน, สวัสดิการ, งานที่รับผิดชอบ,  และภาพลักษณ์ภายนอกของบริษัท แต่ยังไม่รู้ถึงรายละเอียดอื่นๆที่ซ่อนอยู่ เช่น กระบวนการทำงาน, นิสัยของเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรามีความสุขในการทำงานหรือไม่ด้วยครับ หากวันที่รู้ตัวแน่ชัดว่างานที่ทำตอนนี้ไม่ ok อีกต่อไป แต่ก็ไม่สามารถหาที่ทำงานใหม่สำรองดีๆได้ จนต้องอดทนทำงานเพื่อให้ได้เงินเป็นค่าใช้จ่ายครองชีพ เมื่อถึงจุดนี้ละก้อ เราจะตกอยู่ในสภาวะของการไม่มีทางเลือก และส่งผลให้วิธีคิดและวิธีการทำงานของเราตกต่ำลง หรืออยู่ในเกณฑ์แค่พอผ่านไปวันๆครับ

ประกันมนุษย์เงินเดือน ด้วยความรู้และประสบการณ์
ความรู้และประสบการณ์จะช่วยให้เรามีโอกาสและความมั่นใจในการค้นหางานใหม่ ที่เขาพร้อมจะเปิดรับคนที่มีความสามารถ โดยเราต้องแสดงความสามารถให้โดดเด่นในโลกออนไลน์ครับ

เราจะบอกโลกว่าเราเก่งด้านนี้ได้อย่างไร ?
คนเก่งมีมากมาย แต่คนเก่งที่ประกาศตนในโลกออนไลน์ให้คนรู้จัก มักได้งานแบบไม่ต้องเดินหาเสมอ เพราะงานจะเข้ามาหาคนที่ฉายแววประกายเด่นในด้านนี้ในโลกออนไลน์นั้นเอง ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเฟ้นหาคนเก่งๆเพื่อร่วมทีมหรือร่วมโปรเจคของเขา และวิธีหนึงที่เขาใช้คือ การค้นหาบนโลกออนไลน์ จึงไม่แปลก หากว่าเราแสดงตนชัดเจนถึงความถนัดของเราบน Internet จะช่วยให้เขาค้นเจอเราและติดต่อเราได้ไม่ยากครับ

เราจะบอกโลกวาเราเก่งด้านนี้ทางไหนได้บ้าง ?
เริ่มต้น แบ่งเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง/วัน เพื่อสร้างเรื่องราวและบอกเล่าความสามารถของตัวเองผ่านการเขียนบทความ, ภาพ, เสียง หรือ วีดีโอย่างไดอย่างหนึ่งตามถนัด โดยสามารถสร้าง Content เหล่านี้ลง Facebook Fanpage , หรือ Youtube Channel ได้ก่อน เพราะสร้างง่ายที่สุด ในขั้นถัดมา หากมีความชำนาญเรื่องเว็บไซต์ แนะนำเอาความรู้ทีเขียนบน Facebook Fanpage และ Youtube มาลงใน เว็บบล็อกของเราครับ หลังจากที่มีความรู้มากพอ จะช่วยให้โลกรู้จักเรา ผ่านทั้ง Fanpage, Youtube และ เว็บไซต์ เมื่อทำไปสักระยะก็จะเริ่มมีคนสอบถามและติดต่อเข้ามาให้ทำงานให้, พูดคุย หรือ ชมเชยถึงผลงาน ทั้งหมดตรงนี้เหละครับ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการสร้างชื่อเสียงของเรา สร้าง Personal Brand ให้กับเราอย่างดีทีเดียว และทั้งหมดนี้ก็จะกลายเป็นหลัก "ประกันมนุษย์เงินเดือน" ที่มีค่ามากที่สุดครับ 
https://warrior.in.th/warrior-life/salary-man-protect/

wm5398

กลยุทธ์การตลาด มนุษย์เงินเดือนทำธุรกิจ


นาทีที่ 00:00 – 00:26   สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ warrior นักรบทำธุรกิจ วันนี้ผมจะพูดเกี่ยวกับเรื่องการทำการตลาดของมนุษย์เงินเดือน ก่อนอื่นเนี่ยผมจะให้ดูภาพใหญ่ก่อน เป็น Flowchart ซึ่ง Flowchart ตัวนี้ ผมใช้เวลาทำติดต่อนานประมาณสิบชั่วโมง ตั้งแต่หนึ่งทุ่มยันตีสี่เลย แล้วก็ต่อในวันรุ่งขึ้น ในการอัดวิดีโออีก คาดว่าจะประมาณสองชั่วโมง รวมกันเป็นน่าจะสิบสองชั่วโมงเลย

นาทีที่ 00:27 – 01:22  สำหรับวิดีโอนี้ ในการเตรียมข้อมูล เพราะมันจำเป็นมาก ผมจะถ่ายทอดในมุมมองของการทำการตลาด เพื่อที่คุณจะได้เห็นภาพรวมของการทำธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจส่วนตัว โดยปัจจัยที่คุณจะต้องเจอ คนเป็นมนุษย์เงินเดือนเนี่ยจะมีเวลาน้อย มีเงินน้อย แต่ขออย่าให้มีความรู้น้อยตาม โดยถ้าเราฝึกที่จะมอง การทำธุรกิจโดยเห็นแบบภาพรวมก่อนเนี่ย เราจะทำให้เราแก้ไขได้ถูกจุด รู้ว่าเวลาที่สินค้าเราขายไม่ได้ เราจะต้องพัฒนาตรงจุดไหน แล้วเป็นจุดไหนที่เราอ่อน จุดไหนที่เราแข็ง ฉะนั้นเราจะได้มองเห็น ถึงทิศทางการทำงานของมัน เริ่มต้นเนี่ย เรามาดูเรื่องของการตลาด ในหัวข้อว่า "การให้ข้อมูล" เนี่ย  มีประโยชน์ยังไง ช่วยคนตัดสินใจง่าย และสร้าง Brand ได้ยังไง เดี๋ยวเรามาดูรายละเอียดกัน

นาทีที่ 01:23 – 01:50  เริ่มต้น ผมอยากจะให้คนที่ฟังอยู่ นึกถึงการตลาดแบบเดิมก่อนที่เราเคยได้ยิน ก็คือการตลาดแบบ 4P นึกออกไหมครับ  P มีอะไรบ้างครับ? เอาเป็นเท้าความก่อน มีตรงนี้แหละครับ Product, Price, Place, Promotion แปลถูก  Product คือ สินค้า, Price คือ ราคา, Place คือ ทำเลสถานที่, Promotion ก็คือ ลด แลก แจก แถม กิจกรรมอะไรก็แล้วแต่'

นาทีที่ 01:51 – 02:31 แต่เนื่องจาก internet  ทำให้พฤติกรรมของคนซื้อเปลี่ยนไป วิธีการซื้อก็เปลี่ยนไป  การตัดสินใจซื้อก็เปลี่ยนไป ในยุคของการทำตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม Niche market   มีการนำเสนอกลยุทธ์ที่เรียกว่า 4C    4C เนี่ยจากหนังสือชื่อ The New Marketing Paradigm โดย ดอนอีซูลทัซ (Don E Schultz) คนนี้ แล้วก็นักเขียนอีกสองสามท่าน  หนังสือเล่มนี้ ขายที่ Amazon ด้วย นี่  แล้วก็นักเขียนอีก นักเขียนอีกสองสามท่านเล่มนี้ New Marketing Paradigm

นาทีที่ 02:32 – 03:40  คราวนี้ New Marketing หนังสือเล่มนี้พูดเกี่ยวกับอะไรบ้าง เรื่องแรก เขามีการเปลี่ยน แนวคิดในการทำการตลาดแบบ 4P เนี่ย ถ้าคุณจะมาเจาะแบบ Niche market มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยมี internet เนี่ยเป็นตัวแปรสำคัญ คุณต้องใช้ 4C ครับ ลักษณะยังไงครับ เริ่มแรก   Product เนี่ย แทนที่เราจะ Focus เกี่ยวกับเรื่องสินค้าเป็นตัวตั้งตน  เราจะเปลี่ยนไปที่ Focus ของ Customer  คือลูกค้าของเรา ลูกค้าของเรามีความพึงพอใจมากแค่ไหน เขารู้สึกอย่างไร และเขาได้รับข้อมูลจากแหล่งไหนบ้าง ที่ช่วยทำให้เขาตัดสินใจที่จะซื้อ หรือว่าไม่ซื้อสินค้าของเรา  หรือว่าช่างใจ เก็บเป็นตัวเลือก อะไรก็แล้วแต่  อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า เรื่องของ Cost ครับ คือความคุ้มค่า ความถึงพอใจ   Price เป็นส่วนหนึ่งของ Cost   คราวนี้เวลาคนไปซื้อของ มันอาจจะไม่ได้ดูแค่ราคาอย่างเดียว จะดูถึงความคุ้มค่า ความพอใจ  ถ้าของมีราคาสูงจริงแต่เรารู้สึกว่าคุ้มค่า  เขาก็จะซื้อได้

นาทีที่ 03:41 – 04:42  ถัดไปก็คือเรื่องของ Place ครับตัวนี้ Place คือ เมื่อก่อนน่ะครับ Place คือทำเล แต่คราวนี้คือจะพูดถึงเรื่องของ Convenience ความสะดวกสบาย เวลาที่ลูกค้าจะซื้อของเนี่ย บางทีเนี่ยเขาไม่จำเป็นต้องขับรถไปซื้ออีกแล้ว หรือไม่ต้องเดินไปซื้อ เข้าห้าง  เราอาจจะสั่งซื้อผ่านออนไลน์ด้วย มีความสะดวกสบายมากขึ้น  ฉะนั้นการทำการตลาดของเรา ถ้าคำนึงถึงความสะดวกสบายเนี่ย ต้องมองดูจุดนี้ด้วย อันสุดท้าย Promotion เนี่ย อ่า..  เขามองว่ามันแคบเกินไปละ Promotion เนี่ยเป็นการจากส่วนลดแลกแจกแถม จากผู้ชาย แต่เรื่อง Communication เนี่ย เป็นเรื่องที่ใหญ่ขึ้น Communication เนี่ยเป็นการโต้ตอบกับลูกค้าในสองทางแล้ว  มีการสื่อสารออกไป  ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ, Viral marketing   การทำเนื้อหา Content, การจัดกิจกรรม Event หรือว่าการโต้ตอบ สิ่งที่สื่อออกไปเนี่ย คือ Communication หมด การสร้าง Facebook fanpage ก็เป็นสร้าง Communication ที่ดีมากอย่างหนึ่ง

นาทีที่ 04:43 – 05:30  ในองค์ความรู้ที่ผมจะถ่ายถอดนี้ จะเหมาะกับนักธุรกิจ นักเขียน วิทยากร นักการตลาด เข้าของกิจการ และคนที่สนใจจะสร้าง Brand และขายสินค้าออนไลน์ คราวนี้กลับมาดูว่าถ้าเราจะทำธุรกิจออนไลน์ เราจะต้องมีปัจจัยอะไรที่เราต้องรู้บ้าง เดี๋ยวผมขอ Zoom ไปให้เลยชัดๆ อ่านี่ การทำธุรกิจออนไลน์นี้ ผมจะให้โฟกัสอย่างงี้ 3 ข้อใหญ่ๆ แล้วเราจะใช้ตัวนี้เป็นภาพใหญ่ในการสอนเกือบทั้งหมด อันแรกคือ คุณต้องมีสินค้าก่อน ถัดมาคุณจะต้องมีหน้าร้านออนไลน์ อย่างเช่น เว็บไซต์ หรือ Facebook fan ก็ได้ ใช้เป็นหน้าร้านออนไลน์ แล้วคุณจะทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าจองคุณได้ คุณต้องพึ่งการตลาดออนไลน์ สามส่วนอย่างงี้

นาทีที่ 05:31 – 06:58  โดยสินค้า  สินค้าของเราเนี่ย เวลาที่จะไปปรากฏบนหน้าร้านออนไลน์เนี่ย เราจะต้องทำให้มันดูดี  เราจะเรียกมันว่าการ Pack สินค้า เตรียมขาย หรือว่าเตรียมเนื้อหา Content ที่ปรากฏอยู่ในหน้าร้านของเรา ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือ Facebook fanpage  ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง วิดีโอ โดยมีส่วนของของฟรี แล้วก็ไม่ฟรี ก็แล้วแต่เราจะแจก จะจ่าย จะขายหรือว่าจะสื่อสารเข้าไปผม  โดยเมื่อเราที่ทำการ Pack สินค้าให้ดูดี โดย Pack สินค้าให้ดูดี เตรียมเนื้อหาให้ดูดีเนี่ย ต้องใช้ทักษะของเรื่องการออกแบบเข้าช่วย สำหรับบริษัทขนาดใหญ่เนี่ย ที่มีทีมงานออกแบบเรียบร้อยเนี่ย เขาจะออกแบบ package สินค้า ออกแบบดีไซน์หน้าปก การถ่ายรูป เขียนคำพูด มีวิดีโออะไรต่างๆ ที่ค่อนข้างมีคุณภาพสูง ทำให้ Feedback กลับมาดี แล้วก็ทำให้สินค้าเนี่ยดูมีราคาทันที แล้วก็คุ้มค่าที่จะซื้อ แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนเนี่ย คนที่มีเวลาน้อย  เงินทุนน้อย เดี๋ยวผมจะสอดแทรกวิธีคิดแล้วก็วิธีทำอีกที ว่าจะทำยังไงให้ Pack สินค้าของเราดูดี ที่ปรากฏอยู่บนหน้าร้านออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรือ Facebook fanpage  และจะหาแหล่งข้อมูล เอา Source ดีดียังไง เพื่อที่จะทำให้สินค้าดูดีขึ้นอีกด้วย ซึ่งผมจะพูดในหัวข้ออื่นๆถัดไป  นี่คือให้เห็นภาพรวมก่อน

นาทีที่ 06:59 – 07:57 พอเราทำการ Pack สินค้า เตรียมขาย เก็บอยู่ในหน้าร้านออนไลน์แล้ว มีเนื้อหาอะไรอยู่เว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว สิ่งถัดไปที่เราจะต้องทำ ก็คือการนำไป promote  โดยช่องทางในการ promote เนี่ยผมจะขอโฟกัสหลักๆ แค่สองตัว เพื่อให้เห็นชัด ถ้าเรามีเว็บไซต์ เราจะโปรโมทผ่าน Google  โดย Google เนี่ย เราจะใช้ สองตัวนี้เป็นหลัก คือ SEO และ Adwords    ผมยกตัวอย่างง่ายๆ  นี่คือเว็บไซต์ของ Warrior   เรามีเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว เราทำการเอาข้อมูลมาใส่ในเว็บไซต์ของเราเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นหน้าร้านออนไลน์ นี่คือข้อมูล และเราทำการเอาสินค้ามาใส่ในเว็บไซต์ของเราแล้ว อย่างเช่น สินค้าของผมเนี่ยจะเป็น Course เรียน อย่างงี้ เห็นไหมครับ  มีระบบ Shopping card อะไรเรียบร้อยแล้ว เห็นไหมครับ เอามาใส่ไว้เรียบร้อยแล้ว เห็นไหมครับ  มีการดีไซน์แพ็คเกจ การให้ข้อมูล และรายละเอียดต่างๆของสินค้าเรียบร้อยแล้ว

นาทีที่ 07:58 – 08:40 ขั้นต่อไปเนี่ย เราจะนำข้อมูลเหล่าเนี้ยไปปรากฏให้เห็นบนเว็บไซต์  คนอื่น ให้คนอื่นเห็นผ่าน Google   โดยเราจะไปให้ปรากฏบนหน้า Search Engine ของเขา  ซึ่งวิธีการทำการตลาดออนไลน์ให้ไปปรากฏบนหน้า Search Engine ของเขาเนี่ย เราจะมีตำแหน่งสองส่วน ที่เราจะต้องสนใจ นั่นก็คือ เรื่องแรก ก็คือการลงโฆษณา อย่างงี้ เราจะเรียกว่า Google Adwords  จะมีตัว Ads ตรงนี้อยู่ ในกรณีที่เราเว็บไซต์ใหม่ๆเนี่ย เราจะไม่มีเว็บไซต์ขึ้นอันดับดีใน Google  ถ้าเราอยากจะเร่งให้คนเนี่ย เห็นเว็บไซต์เร็วขึ้น เราก็ใช้ Google Adwords ช่วย

นาทีที่ 08:41 – 09:35 โดยการเรียนรู้เรื่องของ Google Adwords  เราต้องเข้าเว็บไซต์ตรงนี้ แล้วก็สามารถที่จะลงชื่อเข้าใช้ แล้วก็ทำโฆษณาได้ ซึ่งกูแอ้ด จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ใหญ่มาก ซึ่งสามารถเปิด Course ได้เลย แต่ผมขอเกริ่นเท่านี้ก่อน โดยเราจะทำการโฆษณาโดยเสียตังค์เมื่อคนคลิก  อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การที่จะทำให้เว็บไซต์ ติดอันดับตรงส่วนนี้ ที่เราจะเรียกว่าการทำ SEO  ซึ่งการทำ SEO เนี่ยมันจะมี Course  ของผมเรียบร้อยแล้ว คือ "เพิ่มลูกค้าออนไลน์ด้วย SEO" แล้วก็ Course ตรงนี้ รายละเอียดภายในเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว  คราวนี้กลับมาที่ Facebook กันบ้าง อ่า อันต่อไป ก็คือการทำการตลาดออนไลน์ โดยใช้ Facebook  ช่วย

นาทีที่ 09:36 – 10:54 ขั้นแรก เราจะสร้าง Facebook fanpage ขึ้นมาก่อน นี่คือ Facebook fanpage  เราสามารถสร้างได้ง่ายๆ ไปที่ Account ของเราแล้วก็เลือก สร้างเพจ ตัวนี้ เราก็จะมีหน้า สร้างแฟนเพจ เรียบร้อยแล้ว พอเราสร้างแฟนเพจ ตั้งชื่อแล้ว   เราก็จะมีหน้าเฟสบุคตัวนี้ที่ซึ่งเราไว้สำหรับ ในการโพสเนื้อหา ข้อมูล ที่มีประโยชน์ อย่างเช่น ผมเขียนบทความภายในเว็บไซต์ แล้วก็นำมาโพสใน Facebook fanpage  ก็บทความล่าสุด ที่มีคนตอบรับดีเลย  มีคนเข้าถึง ประมาณหมื่นกว่าคน แล้วก็มีคนแชร์ประมาณร้อยกว่าครั้ง   ถูกใจประมาณสองร้อยกว่าครั้ง แบบนี้ โดยที่ยังไม่ได้ทำโฆษณาเลย  เป็นการบอกต่อๆกันผ่าน Facebook  แล้วก็เป็นการเข้ามามีส่วนร่วมจากสมาชิกในแฟนเพจของผมนั่นเอง ซึ่งมีประมาณหมื่นคนเศษๆ ในกรณีที่เราอยากจะเพิ่มการเข้าถึง ให้คนรู้จัก อ่า โพสของเรา หรือรู้จักเพจของเรามากขึ้นเนี่ยเราต้องเรียนรู้เรื่องการทำโฆษณา Facebook Ads เพิ่ม ซึ่ง Facebook Ads เนี่ย ก็จะเป็นอีกเรื่องนึง ซึ่งสามารถเปิด Course ได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่

นาทีที่ 10:55 – 11:24 คราวนี้กลับมาดูภาพรวมอีกครั้ง เริ่มแรก เราจะต้องมีสินค้าของเราก่อน เสร็จแล้ว เราทำการ Pack สินค้า แล้วเตรียมเนื้อหาให้เรียบร้อย ให้อยู่บนหน้าร้านออนไลน์ของเรา ซึ่งหน้าร้านออนไลน์ของเราเนี่ยจะต้องทำให้ดูดี แล้วมีความเป็นมืออาชีพสูง สำหรับระบบเว็บไซต์ที่ทำหน้าร้านออนไลน์เนี่ย สามารถติดต่อทาง Warrior ได้ มีระบบ Newsmag ที่ช่วยในการทำ SEO ได้อย่างดีอยู่

นาทีที่ 16:28 – 17:10 นี่คือภาพรวมทั้งหมด ในการทำธุรกิจออนไลน์ เราจะเห็น ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวอย่าง กลยุทธ์ในการทำการตลาดโดยการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่าย ซื้อง่าย แล้วก็กลับมาแนะนำ บอกต่อ  สำหรับรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับการทำธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนของสินค้า หน้าร้าน หรือการตลาดอย่างงี้ เดี๋ยวจะพูดถึงโอกาสในวิดีโอถัดไป สำหรับวิดีโอเรื่อง "มนุษย์เงินเดือนทำการตลาด"  โดยใช้เนื้อหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ลูกค้าตัดสินใจง่าย สร้าง Brand  จบเพียงเท่านี้ก่อนครับ  สวัสดีครับ.
https://warrior.in.th/warrior-life/salaryman-statregy/

wm5398

มนุษย์เงินเดือนใช้ความชำนาญในงานประจำ เป็นต้นทุนทำธุรกิจ

มนุษย์เงินเดือน ใช้ความชำนาญในงานประจำ 7 ชั่วโมง/วัน , 140 ชั่วโมง/เดือน เป็นต้นทุนทำธุรกิจส่วนตัว ทำอาชีพเสริม ใช้จุดเด่นจากงานประจำ เอาทักษะมาเป็นต้นทุนให้ความรู้ และขายความรู้ออนไลน์ ทำธุรกิจ(Info Business) ได้ Connection และเปิดบริษัทเล็กๆได้ จะมีกี่ธุรกิจ ที่ทำเสริมคู่งานประจำ ลงทุน 0 บาท ไม่ต้องลงทุนสินค้า, ไม่มีหน้าร้าน, ไม่ต้องเช่าที่, ไม่ต้องจ้างคนงานให้ปวดหัว แต่ให้เราลองผิดลองถูกจนเก่งก่อน แล้วถ้าได้ดิบได้ดี ก็ออกไปทำธุรกิจเต็มตัว จนตั้งบริษัทเล็กๆได้

ธุรกิจเริ่มต้นที่การสร้างแฟน
ธุรกิจออนไลน์ลงทุน 0 บาท สร้างแฟนก่อนใน Facebook Fanpage รวมคนที่ชอบเหมือนกัน ชีวิตเหมือนกันมาอยู่ในแฟนเพจ  ใช้แฟนเพจแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ เรื่องราวดีๆ มอบให้เขา จะได้เอาไปใช้แล้วดีกับชีวิตเขามากยิ่งขึ้น มันจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ (trust), ความไว้วางใจ, ทำให้คนรู้จักความสามารถของตัวเรา สินค้าของเราคือความรู้ (Info Products) ที่ช่วยให้เขามีความรู้ เราแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ทั้งปัญหา, วิธีแก้ไข , หนทางในการสร้างโอกาส และ สร้าง Connection หากคนนำไปใช้ก็มีโอกาสมากยิ่งขี้นที่จะประสบความสำเร็จดังที่หวัง นักรบเคยทำธุรกิจส่วนตัว ธุรกิจออนไลน์ มาแล้ว 7 อย่างใน3ปี เจ๊งแล้วเจ๊งอีก เจ๊งจนชิน ทุกครั้งที่เจ๊งมันได้ประสบการณ์มาอย่างน้อย 1 ข้อ ทำไป 7 ตัว ได้มาอย่างน้อย 7 ข้อที่ไม่ควรทำ หรือถ้าแก้ไขมันได้ ธุรกิจก็รอด อยากรู้ว่าก่อนหน้านี้ นักรบทำธุรกิจอะไรบ้าง อ่านได้ที่ ประวัตินักรบ จนพบธุรกิจสุดท้าย ธุรกิจให้ความรู้เป็นธุรกิจที่ดีที่สุดในชีวิตจนเก็บเงินมาตั้งบริษัทและออกมาทำเต็มตัวได้

จะทำธุรกิจออนไลน์, IT ต้องได้ App ต้องเป็น
แนะนำ Online Tools ที่ดีและใช้ทำธุรกิจได้อีกนาน คือ Google App for Work เป็นเครื่องมือฟรี
      - Google Docs สำหรับพิมงานเอกสาร เหมือนกับ Words
      - Google Sheets สำหรับทำงานตารางคำนวน เหมือนกับ Excel
      - Google Slides สำหรับการนำเสนอข้อมูลและการ Present เหมือนกับ Power Point
      - Google Forms สำหรับการสร้าง Forms รับข้อมูล
สร้างเอกสารออนไลน์ Google Docs และแชร์กับเพื่อนร่วมงาน ทำงานที่ไหนก็ได้แม้ผ่านมือถือ

ธุรกิจน่าสนใจ อะไรดี ? ที่เหมาะมนุษย์เงินเดือน
มนุษย์เงินเดือน มีความเชี่ยวชาญในงานประจำ 7 hr/วัน หรือ 140 hr/เดือน จะได้เปรียบหากเอาเอาจุดเด่นนี้ มาต่อยอดธุรกิจให้และขายความรู้ (Info Business) ธุรกิจให้และขายความรู้ (Info Business) เป็นธุรกิจส่วนตัว รายได้ดี ต้นทุนต่ำมากๆ หรือแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีทุนทางวัตถุได้เลย แต่ใช้ต้นทุนทางความรู้ ความสามารถที่สูงแทน เหมาะกับการทำควบคู่งานประจํา เริ่มต้นได้ง่ายมาก ทำหลังงานประจำได้ นักรบทำธุรกิจให้และขายความรู้ (Infopreneur) สมัยเริ่มทำแรกๆ ทำควบคู่งานประจำไปก่อน ขายความรู้ผ่าน Video DVD เป็นหลัก ทำได้ 1 ปี ทำให้มีเงินเก็บมากพอและมีคนรู้จักระดับหนึง จนตัดสินใจออกมาทำเต็มตัว เปิดบริษัทเล็กๆของตัวเองได้ [quote_center]Infopreneur เป็นอาชีพมาแรงในยุคนี้ เพราะข้อมูลความรู้ที่มีมากใน Internet สามารถเปลี่ยนมนุษย์เงินเดือนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ และสร้างธุรกิจได้[/quote_center] กำไรจากอาชีพ Infopreneur จะมีมากถึง 2,000 – 7,000 % เลยทีเดียว ถ้าเทียบกับต้นทุนทางวัตถุ

นักธุรกิจความรู้ (Infopreneur) คือ อะไร ?
นักธุรกิจความรู้ Infopreneur คือ อาชีพหนึง ที่ให้ความรู้และขายความรู้เป็นหลัก ในแต่ละวันจะสร้างเนื้อหาที่ดีให้คนอืนผ่าน Fanpage และ Website อีกทั้งยังจำหน่ายสินค้าเป็นความรู้ใน Package ต่างๆ เช่น DVD, คอร์สออนไลน์, สัมมนา, หนังสือ, eBook นักรบเริ่มต้นให้ความรู้ฟรีบ่อยๆ  และจำหน่ายความรู้ในแบบ Video DVD ครับ

จุดเด่นของอาชีพ Infopreneur
ใช้ความเชี่ยวชาญที่ได้จากงานประจำเป็นต้นทุนหลัก 140 hr/เดือน คือเวลาที่มีค่ามาก ประสบการณ์ตรงส่วนนี้สามารถนำมาเผยแพร่ และให้ความรู้ผ่านช่องทางเหล่านี้ได้
       - Facebook Fanpage
       - Website
ยิ่งให้ความรู้ ยิ่งเพิ่มพูนความสามารถ ต่อยอดสู่รายได้เป็นธุรกิจส่วนตัวได้ ความรู้ที่ให้ไป จะมี 2 ประเภทใหญ่แบ่งตามราคา
       1. ความรู้ แบบฟรี ความรู้ทั่วไป เนื้อหากว้าง มีประเด็นสั้นๆและ 1 ใจความที่ดี
       2. ความรู้ แบบเสียเงิน เช่น หนังสือ, eBook, Video DVD, Audio CD, คอร์สออนไลน์, สัมมนา, คลาสเรียน, หรือ ที่ปรึกษา

เริ่มต้นให้ความรู้ฟรีผ่าน เว็บไซต์ และ Youtube โดยแจกฟรีเกือบทุกวัน ผ่านไป 1 เดือน จะมีเนื้อหาที่ให้ความรู้ฟรี 20 วีดีโอ และมากขึ้นเป็น 50 วีดีโอใน 3 เดือน ส่งผลให้ Video DVD ขายดีและมีคนสั่งซื้อ จนมีรายได้ประมาณ 200,000 บาท ในปีแรกที่ทำ อีกหนึ่งสิ่งทีสำคัญกว่า ที่มาพร้อมกับรายได้ คือ มีคนรู้จักนักรบมากยิ่งขึ้น ได้ถูกเชิญเป็นวิทยากร 4 ครั้งใน 1 ปี และเว็บไซต์มีคนเข้าสม่ำเสมอ 4,000 – 5,000 ทุกเดือน

คนเข้าเว็บน้อย 1000 คน/เดือน แต่สินค้าดี ความรู้ดีก็ขายได้
ช่วงเริ่มต้น มีคนเข้าเว็บไซต์เพียง 1,000 – 2,000 คน/เดือน แต่เนื้องจากนักรบให้ความรู้เยอะเพียงพอ ก็ช่วยให้คนอ่านความรู้ฟรีของเรา ตัดสินใจซื้อสินค้า อาจจะสัปดาห์ล่ะ 2-3 คน แต่พอครบ 1 เดือน ก็สามารถทำยอดได้ 2-30,000 หมื่นบาทได้

ทำไมธุรกิจขายความรู้จึงเป็น ธุรกิจน่าสนใจ
ธุรกิจให้และขายความรู้ (Info Business) เป็นธุรกิจส่วนตัว ทําที่บ้านที่น่าสนใจตัวหนึง เพราะใช้ความรู้ในงานประจำที่ทำเป็นหลัก ไม่ต้องเข้า Office มีเวลาดูแลครอบครัว ใช้ชีวิตได้ยืดหยุ่นมากขึ้น และสามารถจัดเวลาตัวเอง วางแผนตัวเองได้อย่างมีอิสระได้

อาชีพ นักธุรกิจความรู้ ( Infopreneur )เริ่มต้นอย่างไร ?

เริ่มต้นธุรกิจได้จากการสร้าง Fanpage ของตัวเองก่อน แล้วเขียนบทความ + ภาพประกอบดีๆ โพสลง Fanpage ให้ได้เกือบทุกวัน โดยควรทำโฆษณา Fanpage ด้วย เพื่อสร้างฐานลูกค้าในกลุ่มที่เราสนใจ เพื่อจะเปลี่ยนคนอ่านให้เป็นลูกค้าในอนาคตได้
       1. สร้างแฟนเพจ : โดยตั้งชื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่จะขาย
       2. ให้ความรู้บ่อยๆ : ทำ PartTime 2-3 ครั้ง/week , ทำ Full Time  4-6 ครั้ง/week
       3. นำความรู้ลงเว็บไซต์

ทำไมต้องให้ความรู้บ่อยๆ
       1. ความรู้บน Fanpage จะช่วยรวมกลุ่มคนที่ชอบ และมีนิสัยเหมือนๆกัน
       2. ความรู้บน Website จะนำคนเข้าเว็บไซต์ผ่าน Google
       3. จำนวนคนใน Fanpage และ Website จะสร้าง Personal Brand ต่อยอดสู่ธุรกิจส่วนตัว ทั้ง วิทยากร, ที่ปรึกษา, เขียนหนังสือ,จัดคอร์สสัมมนา, ขายของออนไลน์ และอื่นๆตามมา

ทักษะของ Infopreneur
ทักษะพื้นฐาน

       1. การใช้งานโปรแกรมพื้นฐาน เช่น Word, Excel
       2. การสร้าง Fanpage และการจัดการ Fanpage
       3. การเขียนบทความ (Writer)
       4. ทำโฆษณาผ่าน Facebook Ads
ทักษะระดับกลาง
       1. อ่านเนื้อหาจากต่างประเทศ และเรียนรู้เพิ่มเติมได้
       2. มีเว็บไซต์ รองรับ SEO และ Social Media ได้ดี
       3. ใช้การตลาดผ่านเนื้อหา Content Marketing + Google SEO
ทักษะระดับสูง
       1. เขียนหนังสือ, eBook, จัดสัมมนา หรือ สร้างคอร์สออนไลน์ ให้เข้าใจและเรียนรู้ง่าย
       2. พัฒนาบุคลิคภาพ และการพูดต่อหน้าคน เพื่อฝึกเป็นวิทยากร
อ่านเพิ่มเติม  https://warrior.in.th/warrior-life/skill-salaryman-do-business/