ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เราจะรอดไปด้วยกัน

เริ่มโดย จันทร์กระจ่างฟ้า, 12:03 น. 09 ก.ค 64

จันทร์กระจ่างฟ้า

เป็นอีกวันที่ยอมรับว่าท้อแท้ใจมาก เมื่อเห็นยอดผู้ติดเชื้อ และยอดผู้เสียชีวิต จาก Covid-19 ที่ออกสู่สายตาสาธารณชน ที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ นับจากที่เราอยู่กับมันมาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2563 หรือ ปี ค.ศ.2019 อันเป็นที่มาของชื่อห้อยท้าย 19 (รายงานพบผู้ติดเชื้อในประเทศรายแรก วันที่ 31 มกราคม 2563)โรคอุบัติใหม่นี้ทำให้การใช้ชีวิตของเราทุกคนต้องถูกปรับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งขัดแย้งสวนทางกับการเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์เราอย่างมาก



ชีวิตแบบวิถี New Normal ที่เราเคยมองว่า คงจะอีกไม่นาน แต่ที่ไหนได้ เมื่อความรุนแรงของโรคเริ่มทวีความรุนแรง และคร่าชีวิตผู้คนไปมากมายนับจากการแพร่ระบาด ระลอกแล้วระลอกเล่า ทำให้ต้องหันกลับมามองใหม่ ว่าวิถีชีวิตแบบนี้ คงจะอยู่คู่กับเราไปตราบเท่าที่วิกฤตนี้ยังไม่คลี่คลาย

ที่ผ่านมา การระบาดในระลอกแรก รัฐบาลต้องบังคับใช้เคอร์ฟิวทั้งประเทศเมื่อต้นเดือนเมษายน 2563 ห้ามออกจากเคหะสถานในเวลา 22.00 น. ถึง 04.00 น. (4ทุ่ม ถึง ตี4) จำกัดการเคลื่อนย้าย ระบุช่วงเวลาที่เราทุกคนจะต้องอยู่แต่ในเคหะสถาน โดยยกเว้นให้บุคคลบางกลุ่มเท่านั้น หากจำเป็นต้องออกมาในช่วงเวลาเคอร์ฟิว อย่างเช่นพนักงานที่ทำงานเข้ากะ ต้องมีหนังสือรับรองเพื่อเป็นใบผ่านทางสำหรับยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่ตั้งด่านตรวจ หรือมีความจำเป็นเร่งด่วนจริง ๆ เช่น เจ็บป่วยฉุกเฉินต้องไปโรงพยาบาล ถึงจะออกจากบ้านมาในช่วงเวลานั้นได้ กว่าเราจะพ้นช่วงเคอร์ฟิว ก็วันที่ 14 มิถุนายน 2563 รวมระยะเวลาเคอร์ฟิว 2 เดือน กับอีก 11 วัน

ในระหว่างเคอร์ฟิวรอบแรก ทุกการใช้ชีวิตที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ทุกความคุ้นเคย ต้องถูกปรับเปลี่ยนใหม่หมด เราไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ นอกบ้านได้ตามปรกติ ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลาที่อยู่นอกบ้าน และอย่าลืมว่าในช่วงเวลานั้น เรามีปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลน เกิดการกักตุน เกิดการขายเกินราคา อีกทั้งปัญหาหน้ากากอนามัยไม่ได้คุณภาพ ไหนจะต้องซื้อหาเจลแอลกอฮอร์ สเปรย์แอลกอฮอร์ น้ำยาฆ่าเชื้อ อะไรต่าง ๆ นานาเหล่านี้

ชีวิตที่เคยปฏิบัติมาเนิ่นนานจนเป็นวิถี เช้าไปทำงาน เลิกงานแวะซื้อกับข้าว ก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการอยู่ในช่วงโรคระบาด หลายคนต้องทำงานที่บ้าน หรือที่เรียกว่า Work From Home ไม่มีช่วงเลิกงานให้แวะซื้อกับข้าวก่อนกลับบ้าน เพราะตลาดสดหลายแห่งถูกปิด โดยเฉพาะทีมงานที่ชีวิตวนเวียนอยู่กับการจับจ่ายซื้อหาข้าวของตามร้านของชำ ตามตลาด เป็นอันว่าต้องเลือกสั่งของออนไลน์ กินอาหารแช่แข็งสำเร็จรูปเป็นหลัก หันมาปลูกผักกินเองบ้าง จากที่เดิมแค่พอมีติดบ้านไว้ไม่กี่อย่าง และเป็นปีที่การจัดงานประเพณีสงกรานต์ต้องถูกยกเลิก เพราะเกิดการระบาดเป็นกลุ่มก้อน หรือที่เรียกกันว่า คลัสเตอร์(Cluster) ตามสถานที่ต่าง ๆ กลุ่มสถานบันเทิง สนามมวย กลุ่มพิธีทางศาสนา สิ่งนี้แหละ ที่นำมาซึ่งการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน บังคับใช้เคอร์ฟิว

กว่าที่จะรู้สึกหายใจได้โล่งปอดขึ้น สะดวกสบายกับการใช้ชีวิตมากขึ้น แต่ยังไม่ถึงที่สุดแบบที่เคยเป็น ก็ตอนที่ประกาศยกเลิกเคอร์ฟิว หลายคนเริ่มออกจากบ้าน เดินทางท่องเที่ยว เยี่ยมเยียนพ่อแม่ ญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกลกัน แต่ระหว่างช่วงเวลานั้น เรายังคงได้รับทราบจำนวนผู้ติดเชื้ออยู่เป็นระยะ หากแต่ไม่มาก และบางครั้งก็รู้สึกว่า อยู่ห่างไกลจากตัวเราแล้ว

ในช่วงเวลาที่เรากำลังรู้สึกผ่อนคลายขึ้นนี้เอง ที่เกิดการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มก้อน หรือที่เรียกกันว่า คลัสเตอร์ (Cluster) โดยเริ่มจากตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร มีการตรวจพบเชื้อกลุ่มแรงงานข้ามชาติ และเป็นไวรัสโควิด-19 ที่กลายพันธุ์ พัฒนาตัวของมันเอง ให้ติดง่ายขึ้น ระบาดเร็วขึ้น จึงขยายวงกว้างไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศในระยะเวลาเพียงไม่นาน

ในวันนี้ การระบาดของโรคโควิด-19 อยู่ในระลอกที่ 3 ผู้ติดเชื้อมากขึ้น จำนวนผู้ป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์ที่จะให้การดูแลรักษาไม่สัมพันธ์กัน การสอบสวนโรคโดยหน่วยงานสาธารณสุขของแต่ละพื้นที่ ก็ต้องทำงานกันอย่างหนัก เพื่อที่จะแจ้งเตือน เฝ้าระวัง ไปจนถึงป้องกันผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ ให้รอดปลอดภัย และประชาชนอีกมากมาย ยังตั้งความหวังไว้ที่การได้รับวัคซีน

ลองย้อนมองดูตัวเองสักนิด ในแต่ละวัน เราใช้ชีวิตกันอย่างไรบ้าง เราดูแลตัวเองดีพอหรือยัง เราปฏิบัติตามคำแนะนำ คำเตือน หรือที่บางคนบอกว่า เป็นคำขู่จากหมอ ดีพอหรือไม่ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องให้ความร่วมมือ ดูแล ป้องกันตัวเอง ไม่พาตัวเองไปเป็นบุคคลสุ่มเสี่ยง แต่หากดูแล ระวัง ป้องกันอย่างเต็มที่แล้ว ด้วยเหตุผลเพราะว่า ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ต้องออกไปทำมาหากิน และประเหมาะเคราะห์ร้าย เรากลายเป็นผู้ติดเชื้อขึ้นมา ไม่มีใครโทษกันในกรณีเช่นนี้ ก็จงให้ความร่วมมือโดยการไม่ปิดบังข้อมูล ไปไหนมาบ้าง พบเจอใคร สัมผัสจับต้องใคร อย่างไร เพื่อป้องกันให้ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อต้องรับความเสี่ยงไปด้วย

และวันนี้ ทางภาครัฐ ได้ขอความร่วมมือ งดออกจากเคหะสถานช่วงเวลา 22.002 น. - 04.00 น. (4ทุ่ม ถึง ตี4) โดยเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้(เสาร์ที่ 10 กรกฎาคม 2564) ยังไม่ได้ประกาศบังคับใช้เคอร์ฟิว

เราต้องผ่านมันไปให้ได้ เราต้องรอดไปด้วยกัน แม้วัคซีนจะเป็นอีกความหวังของเราทุกคน แต่ยังมีประชาชนอีกมาก มากเกินกว่าครึ่งของประเทศที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ฉะนั้นการใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรต้องทำ เพื่อตัวเราเอง และเพื่อคนที่เรารัก

สวมหน้ากาก อย่าประมาท ตั้งการ์ดสูง รักษาระยะห่าง หมั่นล้างมือ

ด้วยรักและห่วงใย จากเว็บไซต์ Gimyong.com

อ้างอิง https://news.gimyong.com/article/14467
ในโลกนี้ มีคนเพียงแค่ 2 คนที่ไม่มีความทรงจำ คนหนึ่งยังไม่เกิด ส่วนอีกคนตายไปแล้ว