ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ไม่มีศาสนา

เริ่มโดย เณรเทือง, 17:01 น. 28 มี.ค 55

wareerant

อ้างถึงอรหันต์ที่ดูๆมีหลาย เกรด

จริงดิ่ ความรู้ใหม่นะเนี่ย ส.โบยบิน

สายเทียมตุด

หวะ มันเปลี่ยรูปประจำตัว คนไร้สาดหนามีแต่สาดบางๆ ไม่นานสาดนั้นกะเหียน ฮะฮะฮะอ่า ส.หลก

ฝันเฟื่องเรื่องต่างดาว

จุไรท่องเที่ยวดาวอังคาร

ลูกหลานทุกคนโปรดทราบ วันนี้วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๓๐ ที่พ่อป่วยไปหลายวัน หลังจากเล่านิทานไปเที่ยวโลกพระจันทร์ กลับมาแล้วในที่สุดก็ป่วย อาการป่วยเป็นด้วยอาการเฉียบพลัน ต้องรักษาแบบแปลกๆ คือการรักษาถ้าหมอรักษาตามแบบก็เห็นจะหายช้า หรือมิเช่นนั้นก็ต้องถูกทรมาน ก็จำต้องรักษาตามอาการของโรค ขอลูกรักทุกคนจงโปรดทราบว่า การเกิดของมนุษย์ทุกคนมีการเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้วก็มีความแก่ขึ้นทุกวันในท่ามกลาง มีความเจ็บไข้ไม่สบายอยู่เสมอ แล้วก็มีความตายในที่สุด สำหรับพ่อเป็นคนแก่แล้ว เมื่อความแก่เข้ามาถึงความตายก็จะเข้ามาถึงเป็นธรรมดาแต่ก่อนที่จะตายบรรดาลูกรักทุกคนมันก็ต้องป่วย ความจริงนี่พ่อป่วยเป็นอาชีพเพราะตรากตรำทำงานหนัก รับผิดชอบการงานหลายอย่าง ทั้งๆที่ไม่มีใครเขาใช้ แต่กฏของกรรมใช้จำจะต้องทำ ทำเพื่อความหมดทุกข์ แต่ก่อนที่จะหมดทุกข์มันก็มีทุกข์หนัก หนักทางกาย หนักทางใจ แต่กำลังความพอใจมันมีอยู่จึงมีความสุข
ก็รวมความว่าวันนี้มาคุยกับลูกหลานทุกคน หวังจะเล่านิทานสู่กันฟัง สำหรับนิทานลูกรักทุกคนโปรดทราบ จงอย่าถือเป็นความจริง เรื่องดวงดาวต่างๆมีจริง เรามองเห็นด้วยตาเปล่าก็มี ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าก็มี แต่ความเป็นมาจริงๆของดวงดาวเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องหนึ่งต่างหาก นี่เป็นเรื่องของนิทาน
นิทานวันนี้ก็จะเล่าเรื่องของ "จุไรไปเที่ยวโลกพระอังคาร" ดาวอังคารลูกรักทุกคน ตั้งแต่พ่อเกิดมาจำได้ว่าอายุ ๕ ปีเศษ ตอนนั้นอ่านหนังสือออกแล้ว ก็อ่านหนังสือพบว่าชาวเยอรมัน เขาตั้งกล้องดูโลกพระอังคาร ความจริงตอนนั้นเขาไม่สนใจเรื่องโลกพระจันทร์กัน หรือว่าเขาจะสนใจก็ไม่ทราบ แต่อ่านหนังสือทีไรพบว่า เขาต้องการโลกพระอังคาร เขามองดูโลกพระอังคาร บางปีเขาบอก โลกพระอังคารลอยเข้ามาใกล้ บางปีเขาบอกว่าไกลออกไปอย่างนี้เป็นต้น

ก็เป็นอันว่าโลกพระอังคารมีจริง แต่ว่าพ่อเองหรือใครก็ตาม ไม่สามารถมองเห็นโลกพระอังคารด้วยตาเปล่า วันนี้ก็มาเล่านิทานเรื่องโลกพระอังคารกัน สำหรับลูกหลานที่เคยฟังกันมาแล้วก็ไม่ใช่ของแปลก ท่านที่ไม่เคยฟังท่านที่เป็นผู้ใหญ่ก็ดี ที่เป็นเด็กก็ดี ถ้าจะถามว่าความรู้ทางพระพุทธศาสนา ถ้าต้องการจะไปอย่างฝรั่งส่งจรวดขึ้นไปอย่างนี้ ต้องได้ "มโนยิทธิ หรือ อภิญญา" สามารถไปได้

ก็รวมความว่าหลักสูตรพระพุทธศาสนาไปได้จริงแหล่ แต่ทว่าวันนี้เป็นเรื่องของนิทาน แต่ความจริงก่อนที่จะเล่าก็อยากจะพูดกับลูกหลาน โปรดทราบว่าโลกพระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดี พระอังคารก็ดี พระพุธ พระศุกร์ พระเสาร์ พระเกตุ พระราหู ทั้งหมดนี้เป็นดาวนพเคราะห์ ในหลักสูตรโหราศาสตร์ในมหาทักษาถือเป็นพระเคราะห็สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวที่เป็นบาปเคราะห์ ก็คือดาวอาทิตย์ ดาวอังคาร ดาวเสาร์ แล้วก็ดาวราหู ทั้ง ๔ ดาวนี้ปรากฏว่า ถ้าดาวดวงไหนหรือพระดวงไหนเสวยอายุ คนที่พระดวงนั้นๆ เสวยอายุก็ดี หรือว่าเข้าแทรกก็ดี จะมีแต่ความเดือดร้อน ความสุขจะหาได้ยาก จะมีความสุขบ้างก็มีความทุกข์หนัก
สำหรับดวงดาวที่เสวยอายุที่เป็นสมพระเคราะห์ ก็มีดวงจันทร์ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวพฤหัส ทั้ง ๔ ดาวหรือ ๔ พระนี้ถ้าเสวยอายุใคร คนนั้นก็จะมีแต่ความสุข มีลาภมีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั่วไป ขอเล่าย่อๆแต่เพียงเท่านี้ ฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงดวงอาทิตย์ หรือโลกอาทิตย์ จึงพูดถึงความเร่าร้อน เมื่อกล่าวถึงดวงจันทร์หรือโลกพระจันทร์จึงพูดถึงความแช่มชื่นหรือสมบัติ
วันนี้เป็นดาวอังคารหรือพระอังคารเสวยอายุ ก็จะต้องพูดถึงความเร่าร้อนเหมือนกัน แต่ว่าพระอาทิตย์ก็ดี พระอังคารก็ดี แล้วก็พระเสาร์ก็ดี พระราหูก็ดี หรือจะเรียกว่าดาวก็ได้ ในเมื่อเสวยอายุแล้ว จะไม่ให้แต่ความเร่าร้อนเสมอไป บางโอกาสก็ให้ความสุขเหมือนกัน แต่ว่าส่วนใหญ่เป็นทุกขลาภ คือก่อนที่จะได้ลาภก็มีทุกข์ก่อน มีความเร่าร้อนก่อน ไม่ใช่มีแต่โทษ คุณก็มี โทษก็มี นี่จริยาของดาวต่างๆของพระเสวยอายุต่างๆเป็นอย่างนี้
ต่อไปก็มาเล่าสู่กันฟังว่าหลังจากจุไรกลับมาจากโลกพระจันทร์แล้ว จุไรมีความกตัญญูรู้คุณในบิดามารดา รู้คุณในครูบาอาจารย์มีความเคารพท่าน แล้วก็มีความเคารพ ในบุคคลที่มีความเป็นผู้ใหญ่กว่าปกติทำใจให้เยือกเย็น สิ่งใดถึงแม้ว่าจะไม่พอใจอยู่บ้าง ก็พยายามฝืนยิ้มทำหน้าตาให้แช่มชื่น การฝืนแบบนี้ไม่ช้าจิตก็ชิน ความไม่พอใจก็มีน้อย ความไม่พอใจเกิดขึ้น ความดีของจิตที่ทรงอุเบกขาวางเฉย และเมตตา ความรัก กรุณา สงสาร ความกตัญญูรู้คุณก็เข้ามาแทรก ทำให้จิตใจสดชื่นสามารถยิ้มได้สบาย

ฉะนั้นจุไรจึงมีความสุข เธอมีความสุขในการกตัญญูรู้คุณบิดามารดาหรือครูบาอาจารย์ มีความสุขในด้านขยันหมั่นเพียร ประกอบกิจการงานและการศึกษาและก็มีความสุขในการประพฤติดี ตามธรรมจริยาเป็นต้น ก็รวมความว่าจุไรเป็นคนดี
วันนี้ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๓๐ มองดูเวลาเกือบ ๑๙.๐๐ น. จุไรก็มีความรู้สึกว่าวันนี้มีความเย็นมากแล้ว รับประทานอาหารเสร็จ ช่วยบิดามารดารดน้ำผักพรวนดินเสร็จเรียบร้อย ก็กราบบิดามารดาเข้าห้องทำการบ้านเสร็จ หลังจากนั้นก็นั่งหน้าพระพุทธรูปกราบพระพุทธสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน ตั้งใจจับพระรูปพระโฉม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระพุทธรูปหลับตานึกถึงภาพพระภาวนา "พุทโธ" หรือ "สัมมา อรหัง" บางทีก็ "นะ มะ พะ ธะ" บ้างตามอารมณ์
จิตใจก็สดชื่นจิตเข้าสู่ อุปจารสมาธิ ความเป็นทิพย์ก็เกิด เธอเห็นภาพพระชัดเจน มีความผ่องใสมาก จิตใจก็นึกตวัดว่าโอหนอฝรั่งเขาบอกว่าเขาจะไปดาวพระอังคาร ดาวพระอังคารนี้อยู่ไหนสนใจดาวพระอังคาร ตามนิมิตรก็กราบองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ทูลขอพรว่าอยากจะไปเที่ยวดาวพระอังคาร นี่คุยกันตามนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องนิทาน บรรดาลูกหลานที่รัก ท่านที่ได้อภิญญาทุกคนจะเห็นว่าเป็นของไม่แปลกหรือว่าเป็นของเด็กเล่นก็ได้ เพราะจักรวาลต่างๆอยู่ใกล้มาก ท่านไปสวรรค์ ไปนรก ไปพรหมโลกบ้างเป็นต้น มันไกลกว่าหลายแสนเท่า เมื่อกราบพระมีจิตคิดอย่างนั้นก็เห็นแย้มพระโอษฐ์มีความยิ้มน้อยๆเสียงตรัสว่า จุไรลูกรัก ถ้าอยากจะรู้จักโลกพระอังคารตามพ่อมา หลังจากนั้นพระก็นำหน้าจุไรลอยตามหลัง คือว่าเวลานี้จิตของจุไรสอาดมาก ไม่มีกังวลทุกอย่าง จิตมุ่งอย่างเดียวเห็นภาพพระใจมีความเคารพในพระ ลอยตามพระไปอย่างไม่ยาก ในชั่วเวลาลัดนิ้วมือเดียว
ก็ปรากฏว่าเจอะโลกๆหนึ่ง ใหญ่กว่าพระจันทร์ แต่ลักษณะแตกต่างจากโลกพระจันทร์ คือลอยขึ้นไปดูด้านบนจะแป้นๆหน่อยๆ ไม่กลมเหมือนโลกพระจันทร์ ตอนกลางของโลกนี้จะมีรอยบุ๋มเข้าไป คือลุ่มหน่อยตรงกลาง มองลงไปแล้วดูเหมือนว่าจะมีน้ำ แต่น้ำจริงๆเป็นน้ำแข็ง แต่น้ำแข็งก็ไม่ได้เต็มไปหมดเสมอไป อยู่ในอ่างใหญ่เป็นน้ำแข็ง ในที่ดอนขึ้นมาหน่อยปรากฏว่าไม่มีน้ำ
มองดูลักษณะของโลกพระอังคาร จะว่าคล้ายๆกับลูกชมพู่ก็ไม่แปลกนัก หรือว่าจะคล้ายลูกแอบเปิ้ลก็ไม่หนักนัก มันหัวแป้นๆ แต่ตรงกลางใหญ่ ตรงก้นเรียวนิดหน่อยไม่เรียวมาก แต่ถ้าจะดูกันจริงๆ มีความรู้สึกว่า แข็งแกร่งกว่าโลกพระจันทร์มาก โลกพระจันทร์มีส่วนยุ่ยมาก แต่โลกพระอังคารนี่ยุ่ยน้อย จริงๆมองในขณะนี้ปรากฏว่ายังไม่เห็นรอยยุ่ยเป็นหินแข็ง

ต่อมาก็ลงเดินตามพระไป ลงไปถึงโลกพระอังคาร แต่ความจริงการยืนมองอยู่ข้างนอก เห็นว่าโลกพระอังคารไม่ใหญ่โตเท่าไรนัก โดยเฉพาะสายตาสามารถมองไปได้ทั่วทั้งโลก เหมือนกับยืนมองลูกส้มโอลูกใหญ่ๆ มองได้ชัดเจนทุกครั้ง มองมามองไปก็ลงไปที่โลกพระอังคาร ลงไปทีแรกใกล้กับจุดน้ำแข็ง ก็คิดว่าโลกพระอังคารนี่มีความเยือกเย็นด้านบน ลองคลำดูย่องๆไปถึงตอนกลาง ตอนผิวนูนขอบๆอันนี้รู้สึกว่าจะไม่ค่อยเย็นนักไกลออกไป ไปข้างๆเกิดความอบอุ่นไปตรงปลายลูก ข้างล่างรู้สึกมีความร้อนสูงขึ้นตามลำดับ
รวมความว่าโลกพระอังคารมีความเย้นกับความร้อนไม่เสมอกัน ถ้าดูผิวเป็นผิวเกลี้ยงเหมือนกับหินขัด หรือว่าปูนที่เขาทำผิวดีแล้ว ต่อมาก็เดินไปตามจุดต่างๆคิดในใจว่า โลกพระอังคารนี้มีสิ่งที่มีมนุษย์ไหม เคยอ่านหนังสืออ่านเล่นเขาว่าคนในโลกพระอังคารมี แต่ในโลกพระอังคารจะมีคนหรือมีสัตว์ไม่ทราบ แต่เวลานี้ไม่เห็นมี ในเมื่อไม่เห็นก็ต้องบอกว่าเวลานี้ไม่พบ ยังไม่กล้าปฏิเสธความมีของสิ่งมีชีวิต มองดูไปแล้วก็คิดว่า
เยอรมันเมื่อสมัย ๗๐ ปีที่ผ่านมา เคยอ่านหนังสือว่าชาวเยอรมัน เอากล้องส่องโลกพระอังคาร ทำไมจึงไม่ส่องพระจันทร์ เหมือนเวลาปัจจุบัน พระอังคารอยู่ไกลกว่าแต่เยอรมันต้องการ ก็อยากจะทราบว่าโลกพระอังคารจริงๆนี่มีอะไรอยู่บ้าง ก็นึกในใจๆถามพระด้วยความเคารพ
เวลานั้นมีความรู้สึกว่า เข้าไปกราบพระท่านแล้ว ก็ทูลถามว่า ภันเต ภควา ศัพย์นี้บรรดาลูกหลานทั้งหลาย จงอย่าคิดว่าพระพุทธเจ้ามาช่วยคนทุกคนได้อย่างไร ก็ต้องกล่าวว่าเป็น "พทธนิมิตร" อาจจะเป็นฉัพพรรณรังสีอะไรก็ตามเถอะ เพราะเห็นเป็นพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน นิทานเสียอย่างอะไรก็ได้ แล้วก็ถามว่าโลกพระอังคารมีประโยชน์อะไรบ้าง เกลี้ยงเกลาแบบนี้ไม่มีสิ่งที่มีความสำคัญ สำหรับชีวิตมนุษย์บ้างหรือพระเจ้าข้า ก็ได้ยินเสียงพระตอบว่า
จุไรลูกรักโลกพระอังคารไม่ได้เกลี้ยงเลย ดูแล้วจะเห็นมีความแข็ง แต่โลกพระอังคารนี่มีสิ่งที่อันตราย ต่อสิ่งมีชีวิตมากกว่าโลกพระจันทร์ เพราะทั้งลูกโลกพระอังคารนี่มีรังสีมาก ภายในมีความเร่าร้อนสูง แล้วความเร่าร้อนนี้ ก็กลายเป็นไอระเหยออกมาภายนอก ไอระเหยเหล่านี้มาจากแร่ธาตุที่มีความสำคัญ แร่ธาตุที่มีความสำคัญในด้านสันติก็มีมาก แร่ธาตุที่มีความสำคัญในด้านการทำลายก็มีมาก แร่ธาตุบางอย่างมีความสำคัญ ทั้งทางด้านสันติและทำลาย

จุไรก็อยากจะถามตามความเป็นจริงว่า แร่ทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ตรงไหนพระเจ้าข้า พระก็บอกว่า จุไรลูกรักทำจิตให้มั่งคงกว่านี้ ตั้งใจเห็นจิตในจิต เอาจิตมองจิตของตัวเองให้เป็นประกายพรึก ให้แพรวพราวเหมือนดาวประกายพรึก ที่จะมองเห็นในเวลาเช้ามืด ให้ใสสว่างขนาดนั้น แล้วจงตั้งใจดูอะไรอยู่ตรงไหนที่อยากจะเห็นในเมื่อจิตที่ไปเป็นจิตที่สะอาด กายที่ไปเป็นกายของนามธรรม มีความสะอาดมีความเบา การกำหนดจิตให้แจ่มใสเป็นของไม่ยาก
แล้วอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เธอก็มองดู ความสำคัญภายในโลกพระอังคาร ว่ามีอะไรอยู่บ้าง ก็เป็นการพอดีตรงจุดที่เธอยืน จุดนั้นปรากฏว่ามีแร่ทองคำขนาดหนัก มีบริเวณกว้างมากและก็ลึกมาก ส่วนที่ลึกลงไปเป็นแท่งใหญ่ๆเป็นแท่งทึบมีความแข็ง ส่วนที่ตื้นขึ้นมาใกล้ผิวเรียกว่าซุยเหมือนเม็ดทราย เป็นทองคำเม็ดเล็กๆเหมือนเม็ดทราย แต่ว่ามีหินภายนอกปิดบังความแข็งอยู่เล็กน้อยเป็นหินเกลี้ยงถ้าขุดจะตักก็เป็นของไม่ยาก เพียงใช้วัตถุแข็งๆกระเทาะหินออก หินจะมีความหนาไม่ถึงฟุตแล้วก็มีความแข็งไม่มาก ก็จะสามารถตัดทองคำซึ่งเป็นเม็ดทรายขึ้นมาได้โดยสะดวก
เธอก็นึกในใจว่า ในเมื่อโลกพระอังคารมีสมบัติหนักขนาดนี้ เยอรมันสมัยนั้นจึงสนใจโลกพระอังคาร แล้วก็มองดูต่อไปข้างหน้าโน้นบริเวณแร่ทองคำ ถ้าปริมาณความยาวรู้สึกว่าหลายโยชน์ เป็นแสนโยชน์เรียกว่าเป็นทะเลทองคำ มีความลึกก็มากบริเวณก็มาก ใช้ความเป็นทิพย์ของจิตดูรอบๆ ว่าบริเวณทองคำบนโลกพระอังคาร มีจุดเดียวหรือว่าหลายจุด
ก็ปรากฏว่ามีหลายจุดในโลกพระอังคาร มีทั้งส่วนบนถ้าคิดตามโลกปัจจุบันก็เป็นทิศตะวันตกเฉียงใต้ ต้องถือว่าเป็นทิศหรดี จุดนี้ตั้งแต่ขอบเบื้องบนไปเรื่อยไปเกือบถึงส่วนกลางของโลก เป็นร่องรอยเป็นที่อยู่ของทองคำ แล้วก็เป็นจุดใหญ่มาก รวมความว่าโลกพระอังคารจุดนี้ ทองคำมีจำนวนมาก จุดอื่นก็เหมือนกันแต่ไม่มากเท่านี้ ตาละจุดที่มีประมาณ ๔-๕ จุดใหญ่ๆส่วนเล็กมีมากถ้าจะเอาทองคำก็นับเป็นแสนตัน นี่พูดถึงจุดย่อย จุดใหญ่นั้นหาประมาณมิได้

ต่อไปถ้าลึกลงไปจากทองคำ ส่วนนั้นก็จะมีแร่ประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นแร่ซึ่งมีผิวหรือมีสีก็บอกไม่ถูก ช้ำเลือดช้ำหนอง บางจุดก็แดงบางจุดก็เข้มค่อนข้างจะเขียวเป็นมัน แร่ประเภทนี้จะกลายตัวเป็นทองคำ ใจก็นึกถามพระว่า แร่ประเภทนี้ในประเทศไทยมีไหม ท่านก็บอกว่า มี เกรดต่ำกว่าบนโลกพระอังคาร เพราะบนโลกพระอังคารร้อนกว่า แร่ประเภทนี้บนโลกพระอังคารเข้มข้นกว่าบนโลกที่เราอยู่ การกลายตัวของแร่ประเภทนี้บนโลกมนุษย์ จึงเชื่องช้ากว่าโลกพระอังคาร แล้วก็มีความแข็งแกร่งคือเกรดสูงไม่เท่าของโลกพระอังคาร
จุไรจึงนึกในใจว่า โอหนอเป็นอย่างนี้ เยอรมันจึงต้องการรู้เรื่องโลกพระอังคาร และสนใจโลกพระอังคารมาก ก็ดูต่อไปเดินลงใต้ของโลกพระอังคารเรื่อยๆไป ก็พบกับความเยือกเย็นน้อยๆลง เริ่มมีความอุ่นขึ้น เดินเข้าไปปลายลูกด้านหนึ่ง รู้สึกมีความหนาวเย็นมากขึ้นเป็นลำดับ
รวมความว่าตอนท้ายสุดจุดต่ำสุดของโลกพระอังคาร มีความร้อน จุดที่ข้างบนนี่นะหนาวเย็นมีหิมะจับ จุดใต้ลงไปก็มีความอบอุ่นขึ้นเป็นลำดับ ผลที่สุดก็เข้าถึงเขตร้อน มาจุดนี้จุไรก็พบแร่ชนิดหนึ่ง แร่ประเภทนี้มองผิวๆ จะรู้สึกว่าเป็นสีดำเป็นมัน แต่ว่าภายในนั้นเป็นสีใสมาก แร่ประเภทนี้ถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ก็ตรัสว่าเป็นแร่ที่มีความสำคัญ ใช้กำลังแรงงานได้สูงมาก แรงงานที่ใช้ในแร่ประเภทนี้
๑. แรงขับเคลื่อน
๒. แรงทำลาย
๓. แรงด้านสันติ
มีความเข้มข้นทุกอย่าง แรงขับเคลื่อน จุไรก็ถามท่านสมมุติว่าได้มาสัก ๑ กิโล การขับเคลื่อนจะมีประโยชน์ยิ่งกว่าน้ำมันขนาดไหน ท่านก็ตอบว่า แค่เพียง ๑ กิโล จะใช้การขับเคลื่อนกับน้ำหนักต่างๆ ได้หลายสิบตัน คือยานพาหนะที่จะใช้กับแร่นี้ เป็นเครื่องขับเคลื่อนหลายสิบตัน แร่นี้ ๑ กิโล สามารถจะให้ความเร็วได้ จะให้ความเร็วหรือความพุ่งตัวของยานพาหนะ ถ้าเทียบกับกำลังน้ำมันๆพุ่งไปได้ ๑ เท่า แร่ประเภทนี้ ๑ กิโลสามารถจะมีกำลังแรงถึงแสนเท่า

จุไรจึงถามท่านว่า ถ้าแร่ประเภทนี้คนจะเอามาทำอย่างไร ท่านก็บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่เกินวิสัยของคน เวลานี้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำแร่ยูเรเนียมได้ แร่ยูเรเนียมวัตถุที่ให้เกิดนิวเคลียร์ ความจริงม่ใช่แร่เป็นยูเรเนียมหรือนิวเคลียร์แต่ว่าแร่ที่เอามาทำ มีรังสีที่สามารถพิฆาตเข่นฆ่าคนและสัตว์ให้ตายได้ นักวิทยาศาสตร์เขาก็สามารถ เอาแร่เหล่านี้มาทำประโยชน์ได้ฉันใด แร่ที่เห็นนี้ถ้าความจริงนักวิทยาศาสตร์เขามาพบ ก็สามารถจะเอาไปทำประโยชน์ได้เช่นเดียวกับแร่ที่กล่าวมาแล้ว
แล้วเธอก็ถามสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อยากจะทราบว่ามีคนในโลกนี้บ้างไหม ที่สามารถจะใช้แร่นี้ให้เป็นประโยชน์ ท่านก้ตอบว่า คนในโลกนี้ยังไม่มีใครเอาไป เพราะว่าในโลกนี้ไม่มีคนในโลกนี้ไม่มีสัตว์ ถ้าจะว่ากันถึงคนจริงๆเวลานี้ ในโลกนี้มีอยู่คนเดียว จุไรถามว่า เวลานี้เขาอยู่ไหน ท่านก็ตอบว่า คนที่ยืนคุยกับท่านอยู่นี่ล่ะ คือจุไรนี่ล่ะมีอยู่คนเดียวในโลกนี้ อีกสักครู่หนึ่งเธอก็ไปอยู่โลกชมภูคือโลกมนุษย์ จุไรจึงถามว่า ในเมื่อไม่มีคนแร่เหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์แก่โลก
ท่านก็ตรัสว่า คนที่เขามีความสามารถมี ถ้าเยอรมันมาได้เยอรมันก็จะนำประโยชน์จากแร่นี้ด้วย จากทองคำด้วยใช้เป็นประโยชน์ แต่เวลานี้เยอรมันจะมาได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีใครทราบ ในเมื่อจุไรถามท่าน ท่านก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของพระจะพึงบอก เป็นหน้าที่ของคนทุกคนจะพึงทราบเอง เพราะการบอกไม่ใช่หน้าที่ของพระจะพึงบอกได้ จุไรถามว่า ทรงทราบไหมว่าเยอรมันมาได้หรือไม่ได้ ท่านตอบว่า ถ้าพระซะอย่างต้องการทราบจะต้องทราบในเมื่อเยอรมันคิดต้องการมาโลกนี้ คิดเวลาแล้วเกิน ๘๐ ปีแล้วความสามารถของเยอรมันรู้สึกว่าจะเหนือชาวโลกใดๆ ฉะนั้นคงจะไม่เป็นเหตุเกินวิสัย ที่ชาวเยอรมันจะมาโลกนี้
เอาล่ะบรรดาลูกรักทั้งหลาย เวลานี้ก็ปรากฏถึงเวลา ๓๐ นาทีคอก็เริ่มแห้ง ทุกคนก็เริ่มเมื่อย ตั้งใจฟัง พักผ่อนกันสักนิดน่ะ พักประเดี๋ยวขอดื่มน้ำสักหน่อย ตอนนี้ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาลูกรักทุกคน สวัสดี

จุไรท่องเที่ยวดาวอังคาร ตอนที่ ๒

ลูกร้กทั้งหลายหลังจากการให้น้ำให้ท่ากันแล้ว พักเหนื่อยชั่วประเดี๋ยวหนึ่งเหมือนกับนักมวยถึงยกก็พักกันที นีกมวยเขา ๓ นาทีพัก ๑ นาที แต่ว่าพ่อเป็นคนแก่ ๓๐ นาทีพัก ๓ นาที เรียกว่าชกยาวกว่านักมวยพักยาวกว่านักมวยนิดหน่อย แต่คิดเวลาก็เสียเปรียบ ความจริงวันนี้คิดว่าจะไม่ไหว เพราะเมื่อวานกับวานซืนนี้ทำท่าจะตาย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีแรงพอพูดได้ก็พูดกันต่อไป ทุกคนฟังแล้วอย่าลืมว่า อันนี้เป็นเรื่องของ "นิทาน" ถ้าไม่ตรงกับความจริงนักวิทยาศาสตร์ ก็อย่าด่ากัน ถ้าใครด่านิทาน ก็คือด่าผี ถ้าคำด่าไม่ถูกตัวผีก็ถูกตัวคนด่าก็หมดเรื่องกันไป
รวมความว่าจุไรก็กราบทูลพระว่า ชาวเยอรมันสามารถจะนำวัตถุที่มีความสำคัญไปได้ไหม แล้วก็ได้หรือยังในฐานะที่สนใจมานานนัก แต่ท่านก็ไม่ยืนยันแน่นอนว่าเยอรมันได้ไป ท่านก็ยังไม่ปฏิเสธว่าเยอรมันยังไม่ได้ ข้อนี้ก็ต้องคิดและก็ต้องคิดมาก ที่ว่าคิดมากก็เพราะ
เมื่อเร็วๆนี้ไม่นานนัก ปรากฏว่าเครื่องบินของเยอรมัน เป็นเครื่องบินเล็ก มีหนุ่มอายุ ๑๙ ปี ขับเคลื่อนไปจากประเทศเยอรมัน เข้าไปในเขตของรัสเซียไปลงที่ "จัตุรัสแดง" รัสเซียเรียกว่ามีหมออย่างดีส่องกล้องอย่างดี นั่นก็หมายความว่าสิ่งเล็กๆแม้เท่าตัวแมลง ถ้าจะผ่านประเทศของรัสเซียทางอากาศก็สามารถจะจับภาพได้
แต่เครื่องบินส่วนบุคคลมันใหญ่ ตัวคนก็ใหญ่ แต่รัสเซียไม่สามารถจะจับภาพได้ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมทางวิทยาศาสตร์ และรัฐมนตรีกลาโหม ต้องออกจากตำแหน่งกันเป็นแถวๆ การออกนี่เขาจะลาออกหรือว่าจะให้ออกก็ไม่ทราบ
รวมความว่าฝ่ายที่รับผิดชอบรับผิดเต้มที่ ข้อนี้ก็ต้องคิดลูกหลานที่รักว่า ถ้าเยอรมันไม่มีความสามารถจะหลบหลีกได้ คำว่า "หลบหลีก" หมายความว่า "ทำให้ไม่เห้นได้" ทำให้เครื่องจับภาพเสีย หรือเวลานั้นใช้การไม่ได้เหมือนกับคนมีตา เวลานั้นตาหลับสักประเดี๋ยวเดียวหรือตาฝ้าตาฟาง ไม่สามารถจะมองเห็นได้ นี่เข้าไปเมืองทีเดียว (จัตุรัสแดง)

รวมความว่าสงสัยเยอรมันจะนำแร่จากโลกนี้ไปได้ก็ไม่ทราบ เพราะเยอรมันไม่มีสิทธิที่จะเปิดเผยให้โลกทราบ จึงได้นึกว่าเยอรมันมีความสามารถเป็นพิเศษ อย่างเมื่อสมัยแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๑ เขาห้ามทำอาวุธแต่พอ "ฮิตเลอร์"
ขึ้นมามีอำนาจฉีกสัญญา "แวร์ซาย" บนรถไฟเก่าๆที่ทำสัญญาแพ้ศึกสมัยก่อน หลังจากนั้นแล้วเยอรมัน ก็มีอาวุธพิเศษกว่าชาวโลกทั้งหลาย
ในอันดับแรกเห็นว่ามี จรวด วี-๑ วี-๒ สามารถมีเครื่องบังคับการยิงปืนใหญ่ ใช้เครื่องวิทยุทหารคนหนึ่ง สามารถบังคับปืนใหญ่ได้ ๘ กระบอก ยิงได้ตามเป้าหมาย จรวด วี-๑, วี-๒ เขายิงจากที่นู้นมาลงอังกฤษ แล้วสามารถจะลงที่ไหนถูกอะไรบ้างก็ได้ รถถังเยอรมันที่เรียกว่า "รถราชสีห์" ใช้วิทยุขับเคลื่อนทหาร ขับเข้าไปใกล้ชายแดนใกล้สนามรบ เวลาจะทำการรบ ทหารก็ลงบังคับให้รถไปรบแต่ผู้เดียว เมื่อรบเสร็จก็บังคับให้รถกลับมารับแล้วกลับที่เดิม รถก็มีความแข็งมาก เวลานั้นปรากฏว่าชาวรัสเซียก็ยอมรับว่า รถราชสีห์นี่แข็งมาก ปืนต่อสู้รถถังยิงจังๆ หน้าเพียงถลอกบางๆไปเท่านั้นเอง
ก็รวมความว่าชาวเยอรมัน มีความสามารถพิเศษกว่าชาวโลกทั้งหลาย ในเมื่อเยอรมันพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๒ ทางสัมพันธมิตรห้ามเยอรมันกับญี่ปุ่นมีทหาร เขาควบคุมเองตอนนี้เยอรมันกับญี่ปุ่นรวยมาก มีทองคำมาก ในเมื่อสมัยก่อนเธอไม่มีทรัพย็สิน ยังสามารถสร้างอาวุธพิเศษได้ ในขณะที่เยอรมันมีทรัพย์สินมากรวยมาก ที่ไม่สามารถจะสร้างอะไรลับๆไม่มีในสมัยนั้น ที่น่าแปลก ก็เขาห้ามนำอาวุธ แต่พอฮิตเลอร์ฉีกสัญญาแวร์ซายแล้ว อาวุธต่างๆปรากฏขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอย่างรถถังก็ดี เรือรบก็ดี เป็นของใหญ่ที่ต้องต่อในที่ใหญ่ เยอรมันก็สามารถทำให้ชาวโลกไม่เห็นว่ามีรถถังกับเรือรบ เขาต่อที่ไหนใครก็ไม่ทราบ เรือรบมันไม่ใช่เล็ก นี่ความสามารถเยอรมันมีมากอย่างนี้

บรรดาลูกหลานที่รัก ในเมื่อเยอรมันมีเงินมากแล้วก็ไม่มีใครสงสัย ในการสร้างอาวุธแล้วการที่เธอจะมาโลกนี้ ก็เป็นของไม่แปลกในการปิดบังย่อมทำได้ เขาไม่ประกาศ ก็รวมความว่าเยอรมันจะมาโลกนี้ได้หรือไม่ได้ ไม่ยอมรับเหมือนกัน แต่ว่าสงสัย ความสามารถของเยอรมันเห็นชัดว่า สามารถนำเครื่องบินผ่านรัสเซียลงกลางใจเมือง คือ "จัตุรัสแดง" ได้
รวมความว่าต้องคิดว่าเยอรมันอาจจะได้อะไรไปจากโลกนี้บางก็ได้ โลกพระอังคารนี่มันเป็นบาปเคราะห์จริงๆ ต่อไปก็คุยกันถึงโลกพระอังคารต่อ ว่าจะเล่าตอนเดียวจบ ตอนที่ ๒ พยายามรัดให้จบ
ในเมื่อจุไรมีความสงสัยอยากจะทราบต่อไป เห็นทองก็เห็นแล้ว ทองเป็นที่พอใจของผู้หญิง ถึงแม้จุไรจะมีอายุเพียงน้อยๆ คือย่างเข้า ๕ ขวบหรือ ๕ ปี เธอก็ชอบสวยชอบงามชอบทองคำเหมือนกัน แต่สิ่งที่เธอต้องการจะทราบอีก ก็คือเครื่องประดับ เช่นเพชรนิลจินดาเป็นต้น เธอก็มองไปมองมาว่าโลกนี้จะมีแก้วแหวนเงินทองเพชรนิลจินดาไหม
รวมความว่ามองไปไม่ไกลนัก ทางด้านส่วนสุดของด้านใกล้ความร้อน อยู่กลางๆของความร้อนไม่ร้อนจัดอุ่นมากๆแต่ค่อนข้างมีความร้อนคล้ายประเทศไทยในจุดนี้มีแก้วมาก แก้วมีหลายจุดเป็นย่อมๆอยู่ในความลึกหรืออยู่ในหินก็มีความลึกไม่มาก ตั้งแต่ผิวหินลงไปถึงส่วนลึกมาก แล้วมีบริเวณกว้างแก้วมีหลายสี แต่สีที่เธอต้องการรักมากก็คือหนึ่งแดงสยาม สีแดงเข้มจัดสวยงามมาก สีที่สองก็คือสีเหลืองเธอชอบมาก สีอันดับหนึ่งจริงคือสีน้ำมันก๊าดเป็นเพชร แพรวพราวระยับ อันนี้หาไม่ยากเลยดื่นดาษไปหมด เต็มบริเวณไปหมดเธอมองดูแล้วก็ชอบใจ
ต่อไปก็เดินไปใกล้เข้าจุดที่มีความสำคัญ นั่นคือแหล่งสำคัญจุดหนึ่งเห็นแร่ประเภทก่อน ที่มีความเป็นมันแล้วก็มีความสำคัญเป็นสภาพใส ภายในมีรังสีจัด พอเข้าไปใกล้ๆจุดหนึ่งซึ่งมีสภาพคล้ายๆกับจะมีเต้นท์หรือมีกระโจม แต่ว่ามีสภาพแข็งแรงมาก เข้าไปใกล้ก็พบวัตถุที่เรียกว่าเครื่องมือสำหรับขุด มีอยู่มากมายแล้วก็มีรถตีนตะขาบ มีเครื่องเจาะมีเครื่องตัด ร่องรอยแห่งการขุดการเจาะการตัดมีอยู่

จึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระบรมครูว่า คนในโลกนี้ไม่มี แต่ว่าวัตถุสำหรับคนจึงมี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ตรัสว่า จุไรลูกรัก จงดูว่าเครื่องมือมีสีอะไรเป็นสัญลักษณ์ เธอก็ตอบว่า มีสีแดงเจ้าข้า ท่านก็บอกว่าดูสีมีหนังสือที่เขาจารึกหรือตอกสลักไว้กับเครื่องมือมีไหม เธอก็บอกว่าร่องรอยของหนังสือมีแต่หนังสือที่ม่ใช่หนังสือไทย และก็ไม่ใช่หนังสือเยอรมัน เป็นร่องรอยแสดงว่าเป็นหนังสือ ก็ไม่ทราบว่าอ่านอย่างไร สมเด็จพระจอมไตรขึงตรัสว่า จุไรความเป็นทิพย์ของร่างกายมี ความเป็นทิพย์ของจิตก็มีคำว่า "ทิพย์" นี่แปลว่า "เล่น" ไม่มีอะไรหนัก ทุกสิ่งทุกอย่างทำเหมือนเล่นๆอย่างที่ลูกจุไรต้องการจะลงมาโลกพระจันทร์ โลกพระอังคารก็ดี ก็มาแบบเล่นๆ นึกปั๊บถึงปุ๊บ
ในเมื่อเห็นภาพร่องรอยขีดเขียนแสดงว่าเป็นตัวหนังสือ ถ้าอยากจะทราบก็ควบคุมกำลังใจคิดว่าหนังสือเขาเขียนว่าอย่างไร จุไรก็ทำใจตามที่ท่านสั่งรวบรวมกำลังใจ ก็ทราบว่าหนังสือเขาเขียนว่า "สูตู" จึงถามสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าคำว่า "สูตู" หมายความว่าอะไร ท่านก็ตอบว่าคำว่า "สูตู" นี่เป็นโลกๆหนึ่งหรือเป็นดาวดวงหนึ่ง ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของประเทศไทย หรือของโลกก็แล้วกัน ดาวดวงนี้ถ้ามองไปที่ดาวกัลปพฤกษ์ หรือดาวกระพริบของบรรดาคุณยายทั้งหลายเรียกว่า "ดาวกระพริบ" ถ้าตามศัพย์หนังสือเขาเรียกว่า "ดาวกัลปพฤกษ์" สว่างมาก
มองไปที่ดวงดาวนี้แล้วมองไปที่เบื้องสูง จะเป็นจุดเล็กๆไกลๆดวงดาวเล็กๆ มองดูจากประเทศไทยด้วยตาเปล่าเห็นไม่ถนัดนัก ดาวดวงนั้นเขาเรียกว่า "ดาวสูตู" เพราะเป็นประเทศๆหนึ่ง ที่เรียกตัวเองว่า "สูตู" ถ้าจะเรียกโลกทั้งหมดในสูตูว่าเป็นสูตูทั้งหมดก็ไม่ได้ ประเทศที่มีความสำคัญจริงๆก็คือ "สูตู" ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์เก่งกาจมาก ในโลกชมภูคือโลกที่เราอยู่นี้ ยังไม่มีความสามารถเท่าเขา
ฉะนั้นเครื่องมือนี้ ต้องเป็นเครื่องมือของชาวโลกสูตู ที่มาขุดเอาแร่นี้ไปใช้เป็นประโยชน์ เธอถามว่าเขาใช้ประโยชน์อะไรบ้าง ท่านก็ตอบว่า เอาไว้วันเวลาเข้ามาถึงเราไปกันที่โลกนี้ จะได้ทราบว่าเขาใช้อะไรบ้าง ต่อมาเธอก็ดูต่อไปทิศทางไม่ต้องบอกกันนะ

เธอดูไปรอบๆเห็นแร่ทองขาวซึ่งมีความสำคัญมาก ที่เขาถือว่ามีค่ามากกว่าทองคำ แต่ก็ไม่เห็นมีใครนิยมใช้กัน ใช้ทองคำเป็นสำคัญ เครื่องรองรับการเงินก็ใช้ทองคำเขาไม่ใช่ทองขาว รวมความว่าทองขาวก็มีมาก แร่เงินก็มีมาก แร่เหล็กที่มีความแกร่งกว่าธรรมดาที่มีอยู่ในโลกเราก็มีมาก แล้วก็มีแร่ชนิดหนึ่งที่มีความแข็งมาก ทนต่อการเสียดสี แร่ประเภทนี้มีตื่นทางด้านทิศตะวันออกกับทิศเหนือ จากทิศเหนือไปถึงทิศตะวันออกเป็นพืดเต็ม
แร่ประเภทนี้ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่า ถ้ามนุษย์อยากจะไปดวงพระอาทิตย์ ถ้าเขาใช้แร่ประเภทนี้เป็นยานพาหนะ ใช้ความหนาของเปลือกพอสมควร แร่นี้จะทนการเสียดสีในอากาศและก็ทนความร้อนได้มาก กระแสดวงอาทิตย์ไม่สามารถจะทำลายแร่นี้ได้ คือไม่สามารถละลายแร่นี้ได้ มีความแข็งมากใช้แต่แร่นี้ โดยเฉพาะเข้าไปในดวงอาทิตย์ สิ่งที่อยู่ภายในจะเสียหมด แล้วสิ่งที่มีชีวิตที่นั่งอยู่ในนั้นก็จะตายหมด เพราะความร้อนสูงขอลูกรักจงดูต่อไป
ในช่วงด้านใกล้ปลายของโลกพระอังคาร จะมีแร่ประเภทหนึ่ง ใกล้ปลายโลกอังคารนี่ร้อนจัดมีความร้อนมาก จะมีแร่อีกประเภทหนึ่งมองดูเผินๆคล้ายสีตะกั่ว เกาะกลุ่มกันเป็นกลุ่มโตมาก ตั้งแต่ช่วง ๑ ใน ๔ ตอนปลาย วัดหายไป ๓ เหลือ ๑ ใน ๔ ช่วงตอนบนของโลกพระอังคารถึงปลายโลกพระอังคาร ส่วนในซีกตั้งแต่ในทิศตะวันตกถึงทิศเหนือ บริเวณกว้างถึงปลายโลกพระอังคารนี่มีความร้อนสูง แต่ว่าจะมีแร่ประเภทนี้อยู่หนามาก
แล้วก็แร่นี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบอกว่า มีความสำคัญคือสามารถขจัดความร้อนให้สะท้อนกลับได้ ซึ่งเป็นศัตรูกับความร้อน นั่นก็หมายความว่าถ้าเขาทำจรวดด้วยแร่ที่กล่าวมาแล้วเบื้องต้น แร่ประเภทนี้บอกชื่อไม่ได้นะเพราะชื่อไม่เหมือนภาษาไทย ทำจรวดประเภทนั้นแล้วก็เอาแร่ประเภทนี้เคลือบข้างในให้หนา ไม่ต้องเคลือบข้างนอกๆปล่อยให้ร้อน แต่เคลือบข้างในให้หนา ความร้อนถึงแร่ประเภทนี้แล้วจะสะท้อนกลับ
เป็นอันว่าเครื่องจักรกลทั้งหลายที่อยู่ภายในก็ดี สิ่งที่มีชีวิตก็ดีอยู่ภายในจรวดนั้นจะไม่มีอันตราย จะไม่มีความร้อนสูง ความร้อนจะเข้าไปถึงไม่เกิน ๒๐ องศา ก็อยู่ในเกณฑ์หนาว ท่านบอกว่าถ้าคนมีความสามารถเอาแร่ประเภทนี้ไปใช้กับจรวดทาภายใน ก็สามารถจะไปโลกพระอาทิตย์ได้ แต่ปัญหามีอยู่ว่าการผ่านกระแสไฟภายในดวงอาทิตย์ ซึ่งมีรังสีจัดมากแล้วก็มีความสำคัญมาก อันนั้นคนจะต้องมีความสามารถสร้างเครื่องป้องกัน โดยเฉพาะเสื้อหุ้มห่อร่างกายไม่พอ เพราะว่าถึงแม้จะมีอ๊อกซิเจนสูบก็ไม่พอนัก ต้องมีแร่ชนิดหนึ่งสามารถดูดรังสีเมื่อรังสีผ่านมาดูดเข้าไปเลย เก็บรังสีนั้นไว้ภายในหรือว่ารังสีนั้นถูกทำลาย ในเมื่อเข้าไปใกล้รังสีเข้าไปใกล้ประมาณสัก ๔ กิโลเมตร จะถูกทำลาย อากาศช่วงนั้นจะเป็นอากาศดี หรือว่าไม่ทำอันตรายต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิต

แร่ประเภทนี้ท่านบอกว่ามีข้างหน้าโน้น มองหันหน้าไปทางทิศตะวันตกของโลกมนุษย์ ด้านขวามือมองไปด้านเหนือแร่ประเภทนี้จะมีอยู่ดื่น สำหรับสีของแร่ประเภทนี้บางส่วนจะเห็นเป็นสีแดง บางส่วนจะเห็นเป็นสีเหลือง บางส่วนจะเห็นเป็นสีขาวแต่ว่าไม่ชัดเจนนัก ทั้งหมดนี้ไม่ชัดเจนคละกันมีสีผสมกัน ปนกันไปปนกันมา แร่ประเภทนี้มีความแข้งพอสมควรแข็งมากกว่าหิน
จุไรจึงถามสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า คนที่มีความสามารถเอาแร่ประเภทนี้ไปมีอยู่หรือไม่ ท่านตอบว่า คนที่มีความสามารถอาจจะมี แต่คนที่ได้แร่นี้ไปยังไม่มี ฉะนั้นเวลานี้ยังไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ได้ ต่อมาก็เดินต่อไปทางด้านทิศเหนือคลำไปคลมา เดินใกล้ช่วงขั้วบนเข้าประมาณ ๕๐ % ของดวงดาว
ตอนนี้ก็เจอะเครื่องมืออีกชุดหนึ่ง ไกลกันมากจากชุดก่อน ถ้าวัดเป็นกิโลเมตร ก็เกินแสนกิโลเมตร ก็มาเจอะอาการต่างๆเหมือนกันคือ
๑. กระโจมทำเหมือนกับกระโจมเป็นโรงเก็บ
๒. วัตถุเจาะ
๓. เครื่องรถตีนตะขาบ
ทั้งหมดทั้งสองจุดเหมือนกันมีสภาพเหมือนเคลือบ เหมือนกับมีการเคลือบเพื่อป้องกันการสลายตัว หรือว่าทำให้แข็งแม้แต่ผ้าใบก็ไม่เหมือนผ้าใบธรรมดา มีสีเป็นเคลือบหนามาก เข้าใจว่าเขาจะเคลือบให้แข็งและเหนียว ป้องกันรังสีที่จะเข้าไปไหม้
เมื่อเข้าไปดูแล้ว องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสถามว่า ลูกรักเห็นไหมว่าสีสันวรรณของเครื่องมือมีสีอะไรเป็นสัญลักษณ์ เธอก็ตอบว่า เป็นสีเขียวเจ้าค่ะ ท่านก็ถามว่า มีหนังสือไหม เธอมองไปก็เห็นตัวหนังสือชัดเจน แต่อ่านไม่ออก ท่านก็ทวนคำว่า "ทิพย์" กับจิตให้เกิดขึ้น ให้มีความเข้มข้นกว่าก่อนให้เหมือนกับเห็นภาพมาแล้วว่า เราต้องการทราบว่า หนังสือนี่เขาเขียนว่าอย่างไร ใจจะบอกเพราะคำว่า "ทิพย์" แปลว่า "เล่น" ไม่มีอะไรยาก
เธอก็ทำตามนั้นความรู้สึกบอกว่าหนังสือ "จามร" ก็กราบทูลพระองค์ว่า หนังสือเขียนว่า "จามร" พระเจ้าข้า ท่านก็ถามว่า จุไรลองเอาจิตเข้ารับทราบว่า จามร อยู่ที่ไหน เธอก็ทำตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัส คิดว่าจามรอยู่ที่ไหนภาพจงปรากฏแก่ข้าพเจ้า ก็เห็นภาพดวงดาว ๒ ดวงขนานกัน คือดวงแรกใหญ่มาก ที่เห็นชัดเวลาที่อยู่ในโลกมนุษย์ จำได้ว่านั่นคือดวงดาวพระศุกร์ อยู่ทางทิศตะวันตกของโลกมนุษย์ เวลากลางคืนแล้วก็มี ดวงดาวเล็กอยู่เหนือดาวพระศุกร์ขึ้นไปมองอยู่สูงกว่ากันมากจากดาวพระศุกร์มีแสงระยิบแต่ว่าเห็นใกล้กว่าดาวสูตู อันนี้เรียก "ดาวจามร"

จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เห็นดวงดาวเล็กๆพระเจ้าข้า เรียกว่า "ดาวจามร" สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ถามต่อไปว่า ดูสิลูกว่าจามรดวงนี้มีสิ่งมีชีวิตไหม เธอดูปั๊บก็ทราบทันทีว่ามีสิ่งมีชีวิต มีประเทศชาติหลายประเทศ มีความรุ่งเรืองมากแล้วก็มีความฉลาดทางวิทยาศาสตร์มาก มีความสามารถพิเศษ องค์สมเด็จพระบรมเชษฐ์ก็ตรัสว่า เธอลองดูสูตู สิ สูตู เขามีความสามารถเท่าจามรไหม เธอก็มองดูอยากจะทราบสูตู ภาพก็ปรากฏชัด ก็มีความรู้สึกทางภาพเห็นว่า สูตูก็ดี จามรก็ดี มีความเชี่ยวชาญไม่แพ้กัน
องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสถามว่า ดูรูปร่างของคนที่อยู่ในโลกของจามรกับสูตูสิ มีรูปร่างคล้ายกันไหม เธอก็บอกว่า ไม่คล้ายกันเจ้าค่ะ จามรคล้ายคนไทย ไม่สูงใหญเหมือนฝรั่ง แล้วก็ไม่มีท่าแข็งแกร่งเหมือนแขก ท่าทางนิ่มนวลมีความเยือกเย็น จิตมีความเมตตาสูง ความดุร้ายไม่มี ผิดกับสูตูๆมีภาพแปล่ง จามรมีผิวบางละเอียด สูตูมีผิวดำแต่ผอมเกร็งๆสำหรับผู้ชาย ผู้หญิงก็ไม่สวย ก็ดูแขกก็แล้วกัน ผิวแขกท่าทางเหมือนแขกเกร็งๆหน้าเหี้ยม ท่าทางดุ
แล้วท่านก็ถามว่าจงดูจริยาคน ๒ ประเทศ หรือ ๒ โลก จะเหมาทั้งโลกก็ไม่ได้ ทั้งโลกเขาก็มีดีบ้าง มีจิตใจเป็นสุขก็มี มีจิตใจเมตตาก็มี นี่ว่ากันเฉพาะโลกเฉพาะประเทศในโลกมนุษย์ ก็มีบางประเทศที่มีความเหี้ยม มีทั้งความเห็นแก่ตัว โลกทั้ง ๒ โลกนี้จงดูว่า ใครมีความเข้มข้นของความเหี้ยมมากกว่ากัน จุไรก็บอกว่า สูตู เจ้าค่ะ
ก็รวมความว่าหันกลับมาโลกพระอังคารกันใหม่ เวลามันใกล้จะหมดลูกหลานทั้งหลาย ถ้าเราเที่ยวโลกพระอังคารกันจนจบ เข้าใจว่าไม่จบแน่ ก็มองดูผิวโลกต่อไปว่า ผิวโลกพระอังคารนี้สีจริงเป็นสีอย่างไร รวมความว่าเบื้องบนขาวมีสภาพเป็นหิน แล้วก็มีรังสีสูง รังสีหนากว่าโลกพระจันทร์ เป็นอันตรายกับสิ่งมีชีวิต แต่ว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า จุไรลูกรักอันตรายมีจริงสำหรับรังสี แต่ว่าคนที่มีความสามารถเหนือกว่ารังสีมีอยู่
จุไรถามว่าคนที่ว่านี้ ในประเทศสูตูหรือจามร สมเด็จพระชินวรก็ตรัสว่าทั้ง "สูตูและจามร" เขามีความสามารถเกินกว่ารังสีจะทำอันตรายเขาได้ เฉพาะนักวิทยาศาสตร์ และเฉพาะโลกชมภูเวลานี้ก็ตรัสว่า ประเทศหนึ่งที่สามารถชนะรังสีนี้ได้นานแล้ว เขาชนะรังสีนี้ได้ไม่น้อยกว่า ๒๐ ปี ล้วก็มาถึงโลกพระอังคารนี้แล้วเงียบๆไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี อาจจะเกินนั้น นั่นคือ "ชาวเยอรมันตะวันตก"
ชาวเยอรมันตะวันตกสามารถทำจรวดเข้าถึงโลกพระอังคารแล้ว แร่ต่างๆที่เปล่งรังสีออกมาไม่สามารถจะทำลายชีวิตเขาได้ หรือว่าไม่สามารถจะทำลายยานพาหนะเขาได้ สิ่งที่มีความสำคัญแก่ชาวเยอรมันนั่นคือ รังสีที่มีความดีเป็นพิเศษ รังสีที่ทำลายภาพนั้นมีอยู่ เยอรมันได้ไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรังสีที่ทำลายเครื่องดูให้มองไม่เห็น เยอรมันก็ได้ไปแล้ว
เธอก็ถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า รังสีที่ว่านี้เขาเรียกว่าอะไร สมเด็จพระจอมไตรก็ตอบว่า การเรียกชื่อไม่เหมือนกัน ดูจุดนี้ก็แล้วกัน แร่ประเภทนี้มีสีขาวคล้ายเงิน แต่ว่าขาวกว่าเงินมีความแจ่มใสกว่า มีรังสีออกมาเป็นความเยือกเย็น แต่มีความแรงสูง แร่ประเภทนี้ทำลายทุกสิ่งที่จับเป้าได้ดี
เอาล่ะบรรดาลูกรักทั้งหลาย หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ตรัสว่า จุไรลูกรัก เราคุยกันถึงเวลา ๑ ชั่วโมงแล้ว เป็นอันว่าจบเรื่องราวของโลกพระอังคารเสียที ถ้าเราไม่จบมันก็จะไม่จบ คุยกันถึง ๑ ปีก็ยังไม่จบ วันนี้องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็บอกให้จากกันได้ แต่ก่อนจะจากกันท่านก็บอกว่า การเล่าเรื่องต่างๆก็จำเป็นต้องวัดจากราศรี คือพระอังคารเป็น บาปเคราะห์ ก็ต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเครื่องสังหาร ซึ่งทำให้เกิดสุขหรือทุกข์ได้
สำหรับต่อไปโลกพุธ โลกพฤหัส โลกศุกร์เป็นสมพระเคราะห์คือทำความสุขให้เกิดขึ้น ในที่นั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตแต่นิทานก็ต้องมี แล้วสมเด็จพระชินสีห์ก็กลับจุไรก็กลับบ้าน บรรดาลูกรักทั้งหลายสัญญษณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว วันนี้เกือบแย่คอแห้งเสียงแหบเกือบขาดใจ ขอลาบรรดาลูกรักทั้งหลายไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ลูกหลานทุกคน สวัสดี


รักจริงหวังแต่ง

 อ่านแล้วชอบมาก ด้วยรักและห่วงใย โทรกลับ โทรฯ 0-2951-1385, 0-2589-2736 กรมสุขภาพจิต

กรรมบังตา/บัวใต้ตม

อ้างจาก: รักจริงหวังแต่ง เมื่อ 21:27 น.  23 ก.ค 55
อ่านแล้วชอบมาก ด้วยรักและห่วงใย โทรกลับ โทรฯ 0-2951-1385, 0-2589-2736 กรมสุขภาพจิต
ทำเล่นไป นี่เป็น นิทาน ของ หลวงพ่อ ฤษีลิงดำ นะ ยกมาทั้งดุ้น ลองไปหาอ่านดูในเวป พลัง จิต ดอทคอม มีหมดทุกดวงดาว เพราะไปจริงไม่ได้อยู่แล้วอ่านเล่นๆเพลินดี มันเป็น ใบไม้ นอกกำมือ เป็นอจินไตย หากหมกมุ่นมากเป็นปัจจัยให้เป็นบ้าได้อ่านแล้วก็ปล่อยไปเอาที่พอเป็นสาระ ลองดูจริตของพระดังๆหลายๆท่านแล้วมาเทียบกลั่นกรองในพระไตรปิฎก หรือ ปรึกษาตัวแทนพระพุทธองค์ ส.อ่านหลังสือ

จริตธรรม/การปรุงแต่ง

น่าที่จะชอบดวงดาวอวกาศมนุษย์ต่างดาวรึเปล่า การย้อนอดีตและไปโลกอนาคต ในพระไตรปิฎกก็มีไปค้นอ่านดู ตอนพระโมคเหาะไปในอวกาศเพื่อไปหาบาตรที่พระพุทธองค์ปล่อยไป บาตรนั้นจะอยู่กับผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป สุดท้ายบาตรนั้นก็มาอยู่ที่พระ อชิตะ ตอนแรกพระสารีบุตรเหาะขึ้นไปหาไม่เจอ พระโมคเหาะขึ้นไป ไอ้ตอนนี้แหละที่เหาะทะลุเวลาไปโลกอนาคตตามความเข้าใจส่วนตัว จะเข้ารูหนอนหรืออะไรก็แล้วแต่ในทางโลกที่กำลังค้นคว้ากัน ไปเจอพระพุทธเจ้าองค์ใหญ่ไปยืนอยู่บนขอบบาตร พระสาวกของพระพุทธเจ้าองค์นั้นได้เห็นและถามว่า บุคคลตัวเล็กนี้คือผู้ใด ท่านตอบว่าพระโมคคือสาวกอรหันต์ของพระพุทธเจ้าแห่งกาลชมพูทวีป มาหาบาตรที่ปล่อยลอยขึ้นไปนอกโลก พระโมคจึงถามทางกลับ ท่านจึงชี้ทางให้ และเหาะกลับมาโดยไม่เจอบาตร และบาตรนั้นก็ลอยไปที่พระอชิตะที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ เพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต องค์ที่5 ต่อจากพระโคตม เพราะพระพุทธเจ้าเกิดทีละพระองค์ จึงเชื่อได้ว่าพระโมคได้เหาะทะลุเวลาไปเจอพระพุทธเจ้าในโลกอนาคตแน่นอนและตัวโตจนพระโมคไปยืนอยู่บนขอบบาตร  จะไปโดยเข้ารูหนอนหรือยังไงก็แล้วแต่ตามทฤษฎีที่เข้าใจกันในปัจจุบัน นี่คือประเด็นที่เป็นไปได้เรื่องอวกาศดวงดาว อีกเรื่อง คือ ฤษีที่ฤทธิ์มากเหาะได้ปราถนาเหาะไปให้ถึงสุดขอบจักรวาล ก็ไปสิ้นใจระหว่างเดินทางในอวกาศ ก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก ลองไปค้นคว้าหาอ่านมาเทียบเคียงในพระไตรปิฎกดู หนังสือที่เขียนขายเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่หลายเล่มเนื้อหาเกี่ยวกับดวงดาวอวกาศที่ยกคำสอนในพระไตรปิฎก และผู้เขียนหนังสือหลายเล่ม อ้างถึงด้วยว่า สหรัฐและรัสเซียได้เอาผู้ฝึกสมาธิจิตที่เก่งไปอยู่ในหน่วยวิจัยการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับศาสตร์ทางจิตควบคู่กัน เพราะผู้ที่เขียนหนังสือขายก็อ่านหนังสือที่ฝรั่งเขียนขายมาเยอะ และมีข้อมูลอ้างอิงได้ประมาณนึง ถ้าสนใจก็ไปหาอ่านเอาเพิ่มเติม ถ้าชอบแบบธรรมประยุกค์ร่วมกับวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอวกาศดวงดาวมนุษย์ต่างดาว จริตนี้มีเยอะ แต่ออกไปทางใบไม้ทั้งป่า ไม่ใช่ใบไม้ในกำมือเดียว ที่พระพุทธองค์ทรงบอก ก็คือ 84000 พระธรรมขันธ์ ก็คือ พระไตรปิฎก อย๋าเชื่อ เพราะผู้บอกเป็นพระหรือผู้จบสูงหรือผู้น่าเชื่อถือที่คนกล่าวลือ หรือ ฯลฯ  ส.อ่านหลังสือ

กิณนร

ธรรมทานนี้มีอานิสงส์มาก

--------------------------------------------------------------------------------




ธรรมทาน เป็นต้นกำเนิดของพระรัตนตรัย และความดีทั้งปวง
ธรรมทานนี้มีอานิสงส์มาก ดังที่มีการพรรณนาคุณไว้ใน อรรถกถาธรรมบท ว่า...


- แม้ทายกจะถวายจีวรอย่างดีที่สุด แด่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย
ที่นั่งติดๆ กันเต็มห้องจักรวาลนี้ ก็ยังมีอานิสงส์น้อยกว่าการอนุโมทนาของพระพุทธเจ้า ด้วยพระคาถา(๒) เพียง ๔ บาท
และจีวรทานนั้นมีค่าไม่ถึงเศษส่วน ๑๖ แห่งพระคาถาที่พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา


- แม้ทายกจะถวายโภชนะข้าวสาลี กอปร ด้วยสูปะพยัญชนะอันประณีต เป็นต้น
ให้เต็มบาตรพระพุทธเจ้าก็ดี จะถวายเภสัชทาน มี เนยใส เนยเหลว น้ำผึ้ง เป็นต้น
ให้เต็มบาตรพระพุทธเจ้าที่นั่งติดๆ เต็มห้องจักรวาลก็ดี
ยังมีอานิสงส์น้อยกว่าธรรมทานที่พระพุทธเจ้า อนุโมทนาด้วยพระคาถาเพียง ๔ บาท


- อนึ่ง ทายกจะถวายเสนาสนะ มีมหาวิหาร หรือโลหปราสาทหลายแสนหลัง
ยังมีอานิสงส์น้อยกว่าธรรมทานที่พระพุทธเจ้า อนุโมทนาด้วยพระคาถาเพียง ๔ บาท


- การแสดงธรรม การบอกธรรม การฟังธรรม มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่และประเสริฐกว่าจีวรทาน
บิณฑบาตทาน เสนาสนทาน ทุกอย่าง เพราะว่าชนทั้งหลายจะทำบุญมากมายขนาด นั้นได้
ก็ต่อเมื่อได้ฟังธรรมแล้ว ถ้าไม่ได้ฟังธรรมมีศรัทธาแล้ว จะถวายข้าวสวยสักทัพพี
ข้าวต้มสักกระบวยก็ยังยาก แม้บุคคลสำเร็จมรรคผล จะสำเร็จอัครสาวกภูมิ ก็ต้องอาศัยการฟังธรรม



- อีกประการหนึ่ง ยกเว้นพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว แม้พระสาวกทั้งหลาย มีพระสารีบุตร เป็นต้น
ผู้เป็นเลิศด้วยปัญญาญาณ สามารถนับเม็ดฝนที่ตกอยู่ตลอดกัปได้ ก็ยังไม่สามารถจะบรรลุอริยผล
มีโสดาปัตติผล เป็นต้น โดยลำพังตนเองได้ ต่อเมื่อได้ฟังธรรม จากพระอัสสชิเป็นต้นแล้ว
จึงทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล และบรรลุธรรมสูงสุด ด้วยพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา
เพราะเหตุนี้ "ธรรมทานจึงประเสริฐที่สุด" ดังเรื่องปัญหาของท้าวสักกเทวราช (๓)


ในสมัยหนึ่ง ท้าวสักกเทวราชพร้อมด้วยเทวดาหมื่นจักรวาลมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ครั้นถึงแล้วจึงน้อมนมัสการทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า


"การให้อะไร ชนะการให้ทั้งปวง รสแห่งอะไร ชนะรสทั้งปวง
ความยินดีในอะไร ชนะความยินดีทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งอะไร ชนะทุกข์ทั้งปวง"


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพยดา ปรากฏใน ตัณหาวรรค ธรรมบท ว่า


สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ


การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง
รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
ความสิ้นไปแห่งตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง
ผู้ใดให้ธรรมเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย



อ้างอิง
(๑) ธรรมบท ขุททกนิกาย พระสูตรและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏฯ เล่ม ๔๓ หน้า ๓๒๕
(๒) คำประพันธ์ประเภทร้อยกรองในภาษาบาลี อัตราของฉันท์ คือ ๔ บาท เรียกว่า คาถาหนึ่ง
(๓) ธรรมบท ขุททกนิกาย พระสูตรและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏฯ เล่ม ๔๓ หน้า ๓๒๓
ศ.ธรรมทัสสี

เด็กใหญ่

พระพุทธเจ้า ตรัสบอกพระอานนท์ว่า " ดูก่อนอานนท์ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราได้แสดงไว้ และบัญญัติไว้ด้วยดี นั่นแหละจักเป็นพระศาสดาของพวกท่าน สืบแทนเราตถาคต "   การสื่อการสอนสำหรับคนหลังพุทธกาล ย่อมต้องเปลี่ยนไปเพื่อให้เหมาะกับปัญญาผู้รับฟัง เหตุเพราะด้วยใจแสวงหาสัจธรรม และสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน. บางคนต้องนำเรื่องพิสดาล นิทานมาเป็นเครื่องจูงใจเพื่อให้เกิดความหวัง หรือเป็นที่พึ่ง ที่เป็นรูปธรรมใกล้ตัวผู้ฟัง.  บางคนก็เข้าเนื้อหาธรรมได้เลย อันนี้ถือว่าเป็นความฉลาดของผู้เผยแพร่ธรรมของอภันเต นั้นๆ. บุคคลทั่วไปกับภิกษุ(พระ)มีสถานะต่างกันทางศิลธรรม ถ้าไม่ยึดถือตามที่พระพุทธองค์ได้ให้คำสอนเตือนสุดท้ายใว้ พระนั้นแหละเป็นผู้ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม "ธรรมก็ดี วินัยก็ดี"

พระดี

เจ้าอาวาสตัวอย่าง
http://youtu.be/isCdUeL4MiI

ปัญญาวิมุตติหลวงตาบัว

โคตรพ่อโคตรแม่ไอสไตน์มันก็สู้พระพุทธเจ้าไม่ได้" โดยหลวงตามหาบัว

--------------------------------------------------------------------------------


หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
วันที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ]
{หลวงตาเมตตาตอบคำถามปัญหาธรรมจากเว็บไซด์หลวงตา}
"พญานาคมีหรือไม่มี"

(ลูกศิษย์อ่านคำถามปัญหาธรรมที่ส่งเข้ามาทางเว็บไซด์หลวงตา เพื่อกราบเรียนถามหลวงตา) ข้อแรก กระผมขอกราบนมัสการเรียนถามหลวงตาว่า การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนั้น ท่านเหล่านั้นจะได้รับส่วนบุญที่เราทำบุญให้จริงหรือ และสิ่งของที่เราทำบุญให้นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นของที่เราเคยกินเคยใช้ แต่เป็นของที่เราสร้างขึ้นแล้วมีประโยชน์ต่อสังคม เช่น สร้างที่พักเป็นต้น อยากทราบว่าท่านจะได้รับส่วนบุญกุศลที่เราสร้าง และอุทิศให้ท่านหรือไม่ กราบขอบพระคุณหลวงตา

หลวงตา : ถ้ามันไปตกนรกหมกไหม้เสียมันก็ไม่ได้รับ ที่ท่านแสดงไว้มี ไปตกนรกหมกไหม้เสียมันก็ไม่ได้รับ แล้วอันหนึ่งท่านแยกไปอีก แสดงไว้ในตำรา มันขัดในนี้ก็มี เป็นอยู่นะ ตามตำราว่าไว้งั้นนะ แต่ก็มาขัดตรงนี้ก็มี ไม่ใช่ไม่มีนะ แต่ที่ว่าขัดนี้จะว่าเราเป็นทิฐิมานะ ตำหนิติเตียนอันนั้น หรือคัดค้านสิ่งนั้นมันก็ไม่ใช่ มันมีของมันอยู่งั้น อันนี้มีความจริงอันหนึ่งในนี้ว่างั้นเถอะ ที่ควรจะขัดมันก็ขัดกัน ที่ไหนที่ไม่ขัดมันก็โล่งไปด้วยกัน มี ดังที่เขาอุทิศถวาย อยู่ในฐานะที่จะได้รับ พวกปรทัตตูปชีวีเปรต เปรตพวกนี้คอยรับเครื่องไทยทานจากบรรดาญาติมิตรทั้งหลาย อุทิศให้ นี่ได้รับร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเปรตก็มีถึง ๑๓ จำพวก นอกนั้นไม่ได้รับ ได้รับจำพวกนี้

ท่านแสดงไว้ ผู้ไปสวรรค์ ไปอะไรเสีย อันนี้ในตำราเขาว่าไม่ได้รับ ว่างั้นนะ แต่มันมีขัดอยู่ในนี้ บุญกุศลบนสวรรค์พรหมโลกนั้นสูงกว่าบุญกุศลที่อุทิศ นี่มันขัด บุญกุศลด้วยกัน คนนั้นคนบุญ คนนี้คนบุญ อุทิศปั๊บถึงกันปุ๊บ เป็นอย่างงั้นนะ ท่านแสดงไว้ในตำรามี ส่วนผู้ที่ล่วงลับไปนั้นเคยใช้อะไรจำเจอยู่ตลอด แต่เวลาเราไปทำบุญให้ทานไม่ได้เอาสิ่งอย่างนั้นไปให้จะได้รับไหม คำว่าบุญก็คือแก้วสารพัดนึก อุทิศไปให้ อันไหนที่เป็นส่วนกุศลที่เหมาะสมกับผู้นั้นจะได้รับแล้ว จะเข้าถึง เหมาะสมกันทันที ไม่ขัดไม่แย้งกัน อย่างที่เราเคยสร้าง เคยทำ อยู่ในบ้านในเรือน สร้างนั้นสร้างนี้ ทำนั้นทำนี้ แต่เวลาตายแล้วไปสวรรค์ เลยกลายเป็นบ้านหลังหนึ่งขึ้นมา มาขัดกับอันนี้ บ้านหลังนั้นกับเจ้าของมันก็เลยขัดกัน เป็นคู่ความกัน ไม่เคยมีในบุญกุศล บุญกุศลท่านบอกเป็นแก้วสารพัดนึก พอเหมาะพอดีกับผู้ควรจะได้รับตลอด ๆ เมื่อควรได้รับแล้วถึงเลย ๆ เป็นความเหมาะสมกับผู้นั้นทันที ไม่ได้ไปขัดไปแย้งกัน ไม่ขัด ผ่านไปแล้วหรือข้อนี้ เออว่าไปอีกมีอะไร

(นักวิทยาศาสตร์ชื่อไอสไตน์ เขาเขียนว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ หลวงตาว่าจริงหรือเปล่าครับ) พระพุทธเจ้าจริง ไอสไตน์สแตว่ามาตั้งแต่โคตรพ่อโคตรแม่ไอสไตน์มันก็สู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ จะมาอวดอะไรภาษาไอสไตน์ กิเลสเต็มหัวใจมัน พระพุทธเจ้ากิเลสไม่มีในหัวใจ พุทธศาสตร์ ธรรมศาสตร์ กับวิทยาศาสตร์มันผิดกันคนละโลก วิทยาศาสตร์เป็นความรู้ของคนมีกิเลส มันจะไอไหนก็ตาม ยกหมดทั้งโคตรทั้งแซ่มาไอก็ตาม มาจามด้วยก็ตาม เข้าใจไหม นี่ก็คือไอจามของโคตรแซ่นี่แหละ มันไม่ได้เหมือนพระพุทธเจ้า ที่ว่าไม่ขัดกันคือเป็นหลักธรรมชาติ มันเข้าได้ในเป็นแง่ ๆ ที่เข้าได้ คือหลักพุทธศาสนานี้เป็นหลักธรรมชาติ ตรัสรู้ในหลักธรรมชาติ สิ่งใดมีจริงยังไง ๆ อย่างนี้รู้เห็นตามเป็นจริง สิ่งใดที่ควรแก้ได้ ไม่แก้ได้ ก็แก้ได้ตามหลักความเป็นจริง ๆ ท่านไม่ฝืน ไม่ขัดธรรมพระพุทธเจ้า ที่ว่านี้เราก็เคยได้ยิน แต่ไม่ตั้งเป็นปัญหามาถามเรา เราก็ไม่ตอบ เราเคยได้ยินไอสไตน์ นี่เรียกว่าเข้าในหลักธรรมชาติ แง่ไหนที่เข้าได้เราก็ยอมรับในหลักพุทธศาสนาของเรา มีอะไรอีก ตอบเสร็จแล้วผ่านไปแล้วไอสไตน์ ก็ยกมาหมดทั้งโคตรมันแล้วจะไม่หมดยังไง หรือมันมีหลายโคตรอีก มาเอามาอีก เราจะยกโคตรเราใส่ว่ะ เอาว่ามา

(เขาว่าพญานาคมีจริงหรือไม่) โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยเห็น มันมาถามหาอะไร พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ปฏิเสธพญานาคยังไง ก็มีแต่พวกตาบอดเท่านั้นมาหลับตาถาม ทีนี้ เวลาตอบลืมตาตอบมันก็เข้ากันไม่ได้ซิ พระพุทธเจ้าลืมตา มาถามสุ่มสี่สุ่มห้า อย่างคนตาบอดเขาก็บอกเขาตาบอด คนตาดีทั้งโลกเขาก็ไม่ปฏิเสธ แต่เขาตาบอดเขาก็บอกเขาตาบอด ก็ยอมให้เขาตามส่วน เราไม่ว่าอะไรแหละ พอพูดถึงเรื่องพญานาค หลวงพ่อผางสำคัญอยู่นะ กับพวกงูพวกพญานาค นี่ละอำนาจวาสนาของคน มีฤทธาศักดานุภาพ ปัจจุบันนี่หลวงพ่อผางขอนแก่น นั่นน่ะท่านบวชทีหลังเรา ตอนท่านไปเราก็อยู่ที่นั่นวัดนามน ที่ท่านศึกษาปรารภกับหลวงปู่มั่น ท่านก็เทศน์อย่างเด็ดทีเดียว นั่นล่ะท่านได้ธรรมะนั่นล่ะมา ใส่เปรี้ยง ๆ ลง ท่านคงเล็งดูแล้ว เหมาะแล้ว ธรรมะจึงไม่มีอ่อนข้อเลย เด็ดตลอดจนจบ ใส่เปรี้ยงๆ เหมือนคนโกรธแค้นกันมาได้ห้ากัปห้ากัลป์ พอมาก็ปรี่ใส่กันเลยว่างั้นเถอะน่ะ นั่นล่ะผู้ท่านได้อันนั้นมา มาพิจารณาก็ได้คติตั้งแต่นั้นมา เอาจนทะลุไป นี่ล่ะองค์นี้หลวงพ่อผาง แล้วก็เล่าถึงเรื่องของเรา

ท่านบอกว่าท่านเคยพบกับเราอยู่ที่นั่น นามน เล่าให้พระทั้งหลายฟัง เพราะตอนนี้เราก็มาขั้นครูขั้นอาจารย์แล้ว หลวงพ่อผางก็เป็นครูเป็นอาจารย์ไปแล้ว เลยเล่าเรื่องถึงกันเฉย ๆ ทีนี้เวลาท่านออกมาแล้วนี้ งู จระเข้ เหล่านี้ เหมือนกับท่านเป็นครูเลยเชียว พวกนี้หมอบกลัวหมด จระเข้ตัวหนึ่งมันอยู่ในสระที่วัดนั้น เราเคยไปแล้ววัดนี้ เวลาเขาไปปลูกกุฏิกลางน้ำ เวลาเผลอ ๆ คนกำลังทำกุฏิมันมางับเอาขาละซิ ร้องเอิ้กอ้ากขึ้นเลย พอร้องขึ้นหลวงพ่อผางก็มา พอมันได้ยินเสียงหลวงพ่อผางมันจำได้เลยนะ พอหลวงพ่อผางมานี่ไม่ทราบหนีไปไหนกลัว ถ้าได้ยินเสียงหลวงพ่อผาง หมอบเลย กลัว

แล้วทีนี้ไปพักภาวนาอยู่ทางน้ำหนาว นี่ล่ะที่สำคัญนะ มีหลวงพ่อองค์หนึ่งอยู่ทางด้านนู้น เดินจงกรมอยู่กลางวันนะไม่ใช่กลางคืน หลวงพ่อผางเดินจงกรมอยู่ทางนี้ องค์นั้นเดินอยู่ทางนั้น งูใหญ่ ใหญ่เท่ากับต้นมะพร้าว มานี้มายกคอขึ้นอ้าปากใส่หลวงตาองค์นี้ ตัวมันใหญ่กว่านี้ ฟังเสียงร้องว้อ ๆ ขึ้น ตอนนั้นก็เดินจงกรมอยู่ "เป็นอะไรว่ะ" "งูใหญ่ไม่ทราบมาจากไหน กำลังจะงับผม อ้าปากใส่ผมอยู่นี่" ท่านก็มาแล้ว ก็เห็นจริง ๆ กลางวันนะ หายก็หายในขณะนั้นเลยต่อหน้าต่อตา เป็นยังไงพญานาคมีหรือไม่มีฟังซิ ผู้เห็นท่านเห็นอยู่อย่างงั้น ผู้หลับตามันก็หลับอยู่งั้น พอมาก็เห็น โอ๊ย มันยกคอขึ้น ตัวเท่าต้นมะพร้าว ตัวยาว หลวงตานี้ก็เดินจงกรม ตัวแข็ง มันอ้าปาก มันไม่เข้ามาใกล้แหละ ห่างประมาณสักวาเศษ ๆ มันอ้าปากอยู่อย่างงี้ ตัวใหญ่

ทีนี้หลวงพ่อผางมา "ไหนมันอยู่ไหน" พอว่าท่านเดินเข้ามาเลยนะ หลวงพ่อผางไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน มันก็อ้าปาก ทางนี้ก็เดินเข้าไป เอามึงจะกินกูเหรอ เอาเลย มึงชอบตรงไหนเอาเลย เดินบุกเข้าไปหาเลยเชียว มันกำลังอ้าปากอยู่ พรึบเดียวหายเงียบเลย ไม่ทราบหายไปไหน ตัวใหญ่ ๆ หายเดี๋ยวนั้นเลย ไปเงียบ บอกว่าพญานาคมันมาแกล้งเฉย ๆ ภาวนาเมตตามันไม่ดี นั่นเห็นไหมล่ะ ภาวนามันไม่คอยแผ่เมตตา พญานาคก็มาแกล้งเอาบ้าง นี่หลวงพ่อผาง ตัวใหญ่จริง ๆ ท่านบุกเข้าไปเลยนะ ที่มันอยู่นั้น ท่านเดินไปหาเลย ท่านไม่มีสะทกสะท้าน เอาเลยกินเรา เดินเข้าไปหาตรงนั้น หายวูบไปเลย เงียบเลย ไม่มี หายหมดทั้งตัว มันไปไหนไม่รู้ เวลาออกมาพูดว่ามาแกล้งหลวงพ่อ หลวงพ่อใจดำไม่มีเมตตาจิต มันมาแกล้งเอา

อันนี้ก็เข้ากันได้ ก็เรียนหนังสือเหมือนกันไม่ใช่หรือ ที่พวกพาไปภาวนาไม่แผ่เมตตา พวกเทวดาทั้งหลายเกิดความเดือดร้อน มาแสดงอาการทั้งหลายให้เห็น เป็นกะโหลกหัวผีบ้างอะไรบ้าง และทำพระให้ทั้งจามทั้งไอ เป็นไข้เป็นหนาว วิ่งไปหาพระพุทธเจ้า พระองค์รับสั่ง เวลาไปไม่สบาย "ไม่สบายซิพวกเธอใจดำ พวกเทพทั้งหลายเขาอยู่ที่นั่น เขาได้รับความลำบากลำบน เขาก็แกล้งเอาบ้าง ไม่มีเมตตาจิต ไป ไปเจริญเมตตาจิต ไปอยู่ที่นั่น" ไล่กลับมาที่เก่า ไปคราวนี้เจริญเมตตาจิตชุ่มเย็นหมดเลย อำนาจเมตตาธรรมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นธรรมชนะโลก สุดยอดอยู่กับเมตตาธรรม ให้พากันจำไว้นะ

เมตตาธรรมคือความอ่อนนิ่ม ถ้าพวกเราพูดออกมา และมาเป็นสมมุติอย่างนี้ เรียกว่าความอ่อนนิ่มทุกตัวสัตว์ไม่เป็นภัยต่อผู้ใดเลย เพราะฉะนั้นจึงเข้าได้หมดเมตตาธรรม จะเป็นโหดร้ายมา ทารุณขนาดไหนก็ตาม อำนาจเมตตาธรรมนี้นิ่มไปหมด ลบล้างได้หมดเลย พระเหล่านั้นเลยเจริญสมณธรรมได้สำเร็จมรรค ผล นิพพาน เยอะนะ อยู่ในนั้น พวกเทพ พวกเทวดา รุกขเทวดาอยู่บนต้นไม้เขาเคารพเขาก็ลงมาอยู่ข้างล่าง ลำบากลำบน เพราะพวกนี้เคยอยู่ต้นไม้ใช่ไหมล่ะ พระก็เป็นพระใจดำน้ำขุ่น อยู่นานไปเห็นท่าจะไม่ได้การณ์เขาก็เลยกลั่นแกล้งเอาบ้าง พระเหล่านี้เป็นหวัด เป็นไอ เป็นอะไรเป็นไข้บ้าง บางทีเป็นกะโหลกหัวผีมาอยู่ทางจงกรมบ้าง อะไรบ้าง เขาแกล้งทำต่าง ๆ พอไปหาพระพุทธเจ้า พระองค์รับสั่งไล่กลับมาที่เก่าเลย ให้เจริญเมตตาอย่างนั้น ๆ เหตุการณ์ทั้งหลายจะเปลี่ยนไปหมด มาก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

พูดถึงเรื่องหลวงพ่อผางที่ว่างูใหญ่นั่นก็เห็นประจักษ์อย่างนั้นแล้ว พรึบหายเงียบ ไม่ทราบไปไหน ทั้ง ๆ ที่ท่านเดินบุกเข้าไปหาเลยนะ ไม่มีสะทกสะท้าน เอาเลย ต้องการอันไหนเอาเลย เดินเข้าไปหามันพรึบเดียวหมดเลย ไปไหนไม่รู้ จึงได้มาสอนหลวงพ่อ ที่ถ้ำนั้นอีกเหมือนกันนั่นแหละพระไปอยู่ก็เป็นพระขลัง ๆ ไปอยู่แทนที่จะเจริญเมตตาภาวนาชำระจิตใจตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า กลับไปทำแต่ของขลัง ทำนั้นทำนี้มีแต่ของขลัง ๆ แบบโลกแบบกิเลสตัณหาไปหมด พวกเทวดาทั้งหลายเขาก็รำคาญ แทนที่จะเป็นศีลเป็นธรรมให้ได้รับความร่มเย็นยิบ ๆ แย็บ ๆ ก็ไม่มี ดีไม่ดีมีพระสองสามองค์ไปก็ไปทะเลาะกัน สร้างความรำคาญให้เขาอีก เขาก็มาดลบันดาลให้พระเหล่านี้หนีจากนั้นเลย

พระองค์ไหนมาถ้าไม่เป็นศีลเป็นธรรม พวกรุกขเทพเหล่านั้นเขาหาอุบายขับไล่ อยู่ไม่ได้ จนร่ำลือสถานที่นั่น นี่ก็ทางน้ำหนาวเหมือนกัน นี่ก็หลวงพ่อผางไปอยู่ พอมันนานมาจนร่ำลือว่าที่นี่มันแข็งอะไรต่ออะไร ทางภาษาภาคอีสานเขาเรียกมันเข็ดมันขวาง ทางนี้เรียกว่ามันแข็งมันแรง เวลาท่านไปอยู่ที่นั่นเขาก็บอกเลยอยู่ที่นี่อยู่ไม่ได้นะ เป็นอย่างงั้นอย่างงี้ เป็นก็เป็นเถอะ ท่านไม่สนใจแหละ จะพักที่นี่ เวลาพักแล้วท่านไม่ใช่พระขลังแบบนั้นซิ ท่านเป็นอรรถเป็นธรรม ไปอยู่นั้นพวกเทพทั้งหลายเข้ามาหา เขามาเล่าเรื่องถึงพระองค์นั้นให้ฟัง เล่าเรื่องพระที่มาอยู่ที่นี่ให้ฟัง เป็นอย่างงั้นเป็นอย่างนี้ เขาเล่าให้ฟัง

ตกลงเรียกว่าเทวดาเล่าให้ฟังเสียเอง ประชาชนสู้เทวดาเล่าให้ฟังไม่ได้ ประชาชนว่ามานี่ทะเลาะกันเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง แตกกันไป องค์ไหนมาก็มาทะเลาะกัน มาหาแต่ของขลัง ๆ ทำตระกุดบ้าง ทำอะไรทุกอย่างอะไรที่มันขลัง ๆ แล้วก็แตกกันไป มามีหลายพวกแล้วนะพระ อยู่ที่นี่ไม่ได้ เขาว่างั้นประชาชน แต่เวลาเทวดามาพูด เทวดานี่ละทำเอา มาแล้วมาทำตั้งแต่ของอย่างนั้น ของสกปรก เทวดาเขายังรู้ของสกปรก พระทำไมไม่รู้ เขากลั่นแกล้งเอาบ้าง เลยแตกหนี ทีนี้เวลาท่านมาอยู่ที่นั่น ขอนิมนต์ไม่ยอมให้ท่านหนีไปไหน อยู่ที่นั่น ที่นี่มีความชุ่มเย็นไปหมดทุกแห่งทุกหน ท่านก็อยู่นาน อยู่สถานที่นั่น และต่อไปก็ดูเหมือนเป็นวัดขึ้น เราก็ลืม ๆ ตอนนั้น หากทราบตั้งแต่ไปอยู่ทีแรกอยู่ไม่ได้ แต่ท่านไปอยู่ได้จนกระทั่งพวกเทพทั้งหลายเขาอาราธนานิมนต์ท่าน ไม่อยากให้ท่านหนี เขามีความชุ่มเย็นเป็นสุข ทุกสิ่งทุกอย่างราบรื่นดีงามไปหมด ท่านมาพักอยู่ที่นี่ร่มเย็นมาก ว่างั้น ไม่อยากให้ท่านไปไหน ท่านก็รู้สึกว่าพักอยู่นานอยู่นะ ก็เห็นใจเทวดาเหมือนกัน เรื่องพญานาค ฟังรึยัง ตอบกันเดี๋ยวนี้

(มีอีกข้อครับผม พระบางรูปเขียนประวัติตัวเอง และบอกว่าบรรลุธรรม และมีผู้หลงเชื่อมากมาย มีบางคนไม่เชื่อก็ถอยห่างออกมา แต่ผู้ที่หลงเชื่อ ถามว่าอย่างนี้เรียกว่าเป็นกรรมของสัตว์ได้ไหมครับ) สัตว์ตัวไหนเราก็อยากถาม ถ้าสัตว์ตัวไปเชื่อกับเขาก็เป็นสัตว์ตัวนี้แหละ ถ้าสิ่งเลวร้ายนี้มันเชื่อง่าย ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี้มีแต่พวกเชื่อทั้งนั้น ๆ เราจึงไม่อยากตำหนิคนอื่น ถ้ามาตำหนิมาตำหนิลูกศิษย์เราเสียเอง เขามาว่าก็มาว่าลูกศิษย์เราเอง เราเขกกบาลมันก็ได้ จะไปว่าคนอื่นไม่ได้นะ ไม่ใช่ลูกศิษย์เรา ลูกศิษย์เรามันหูเบาเชื่อง่าย ใครพูดยังไงมันก็เชื่อ ๆ ส่วนที่มีเหตุผลต้นปลายที่จะเป็นหลักเป็นเกณฑ์ให้ยึดให้ถือมันไม่ค่อยเชื่อ กิเลสมันปัด ๆ อยู่ภายใน ถ้าอย่างงั้นมันเชื่อ แต่ก็อย่างว่า ถ้าเรื่องของจริงกับของปลอม ของปลอมมันไม่นาน มันเป็นของมันไปเอง ถ้าของจริงแล้วคงเส้นคงวาหนาแน่นตลอดไป ก็เท่านั้นมีอะไรอีก

(ผู้ถามกับเพื่อนไปเจองูคาบกบเอาไว้แต่ยังไม่ตาย กบก็ร้องหาคนช่วย เพื่อน เอาไม้ไปเขี่ยให้งูเกาะ เพื่อนอีกคนบอกว่าไม่ถูก เพราะว่าเขาหากินโดยสุจริตตามวิสัย สัตว์ของเขา กราบนมัสการถามหลวงตาว่า โปรดเมตตาช่วยชี้แนะความถูกต้องด้วย เพราะเรื่องนี้ก็พบเห็นกันอยู่ทั่ว ๆ ไป) อ๋อ อันนี้ไม่ต้องพูดงูกับกบล่ะ อย่างไอ้หมีเราอยู่ในศาลานั้นมันขู่คำรามใครไม้เรียวหวดเอาเลย ถ้าผิดแล้วเราตีไอ้หมีเรา มันขู่คำรามเขา ไม่ถึงกับงูกับเขียดได้กัดกันอย่างงั้น เพียงขู่คำรามไม้เรียวเราลงแล้วไอ้หมีเปิดเลย ตอบแล้วใช่ไหม เท่านั้นแหละไม่ตอบมาก ตอบอะไรมากมาย

หมดปัญหาแล้วไม่ใช่เหรอ หายสงสัยแล้วไม่ใช่เหรอที่พูด หรือใครมาด้วยกัน จับมากัดกันให้หมดอยู่ในนี้นะ ถ้าว่าการอยู่ด้วยกันนี้ไม่ดี สู้กัดกันไม่ได้ ปิดประตูแล้วให้กัดกัน ให้หลวงตาบัวเป็นผู้ชำระหมากัดกันนี้ หลวงตาจะชำระแบบไหนท่านทั้งหลายคอยฟังก็แล้วกัน เอาล่ะพอ เข้ากันได้ไหมที่ว่า (ได้ครับ ) เอาล่ะเข้ากันได้ก็ผ่านไปเลย หมดแล้วเหรอปัญหา (หมดแล้วครับ) อ๋อ หมดแล้ว

ตรงสำคัญตรงโคตรน่ะนะ จะได้ออกทั่วโลก อย่ามาถามนะ แบบเรา มันไม่มีนะสูงต่ำอะไร มันตรงเป๋งเลยนะ อะไรเป็นน้ำหนักจะเอาเข้ามาทันที ที่ว่าโคตรว่าแซ่เราไม่ได้มีเจตนาเรื่องหยาบช้าลามกนะไม่มี อย่างนั้นไม่มี ในธรรมไม่มี ท่านเอาน้ำหนักต่างหาก คือคนธรรมดาคนหนึ่งสองคนไม่มีน้ำหนัก โคตรแซ่มีน้ำหนักมาก รักสงวนมาก เทิดทูนมาก ใช่ไหม เอาตัวนั้นมา ยกมาตีทางนี้ หมายความว่าอย่างงั้นต่างหาก

เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องของคนตาบอดสุดวิสัยนะ คนตาดีอยู่มีวิสัยธรรมดา เหมือนเราคนตาดีด้วยกันไปไหนอยู่ในวิสัยธรรมดา แต่คนตาบอดสุดวิสัยไปหมดนะ ส่วนที่เห็นมันไม่เห็นเสีย คนหูหนวกควรได้ยินมันไม่ได้ยินเสีย สุดวิสัยของมัน แต่คนตาดีอยู่ในวิสัย ควรเห็นเห็นทันที ควรได้ยินได้ยินทันที เป็นธรรมดา มันก็ขัดกันอยู่เพียงเท่านี้เอง จะเอาคนตาดีมาแข่งคนตาบอด เอาคนหูหนวกมาแข่งคนหูดีไม่ได้ ต้องปล่อยไว้ตามสภาพของใครของเรา อย่างที่สิ่งเหล่านี้มีแต่คนตาดี โลกวิทูทั้งนั้นแสดงไว้ทั้งหมด ไม่มีองค์ไหนคัดค้านองค์ใดเลย

แม้แต่สาวกที่ไปเจอเข้ามาอย่างนี้ก็เหมือนกัน พอมาเล่าทูลถวายพระพุทธเจ้า เอ้อ อันนี้เราเห็นแล้วตั้งแต่นู้น ๆ ถ้าไม่มีอะไรท่านก็เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เห็นด้วยกันมันก็ค้านกันไม่ได้ คนหนึ่งตาบอด คนหนึ่งตาดี มันค้านกันวันยังค่ำ พวกเราพูดอะไรมันก็ค้านกันอยู่ในนั้น เพราะมันไม่เห็น และมันเอาความไม่เห็นเป็นใหญ่เป็นโต เป็นอำนาจบาตรหลวง มันไม่ยอมรับความจริง ท่านผู้รู้ผู้เห็นท่านรู้ตามความจริง เห็นตามความจริง ท่านไม่ได้ฝืนอะไร พวกนี้พวกฝืน มันต่างกันนะ

พวกสัตว์ยิ่งตาบอด ยิ่งหนายิ่งแน่นขึ้นทุกวัน ๆ สิ่งทั้งหลายนี้จะถูกความตาบอดหนาแน่นนี่กดลงเหยียบลง ๆ หมด เรียกว่าแร่ธาตุที่มีคุณค่ามหาศาลจะถูกเหยียบย่ำทำลายลงด้วยฝ่าเท้าของคนกิเลสหนาปัญญาหยาบ เหยียบลงเรื่อย ๆ อย่างทุกวันนี้ไม่เห็นเหรอ เทศน์บางทียังออกจนดูแล้วดูสลดสังเวช ว่างี้เลยก็ว่า เราเทศน์บนธรรมาสน์ ก็เอาความจริงออกเทศน์ ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามผู้ใด รู้เห็นตามความจริง พูดออกมาตามความจริง ถึงกับขั้นเกิดความสลดสังเวช ก็มันไม่มีกิริยาอาการของอรรถของธรรมแทรกเลย มีแต่เรื่องกิเลสเต็มเนื้อเต็มตัว แสดงออกที่ไหน ๆ มันมีแต่อย่างงั้น ศาสนามันอยู่ที่ไหนน่ะ มันไม่มองเห็นเลย มันมีแต่ลมปาก

เมื่อถามถือศาสนาอะไร ถือศาสนาพุทธ ก็มีเพียงลมปาก หัวใจไม่ได้เป็นพุทธ มันเป็นส้วมเป็นถานอยู่ตลอดเวลา ศาสนาไม่ใช่ส้วมถานมันก็เข้ากันไม่ได้ มันสลดสังเวชนะ ยิ่งหนาขึ้นทุกวันนะ แล้วผู้ที่จะรื้อฟื้นมีใครบ้างมารื้อฟื้น สำคัญตรงนี้นะ มีแต่ต่างคนต่างเหยียบไปด้วยกัน เหยียบอรรถเหยียบธรรมไปด้วยกัน ฝ่าฝืนหลักธรรมหลักวินัย หลักศาสนา ทั้งพระทั้งฆราวาสต่างคนต่างหนาด้วยกัน ความหนานั่นละมันลากเข็นลงไปให้เหยียบให้ย่ำทำลายของดิบของดีทั้งหลาย จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือติดตัว พระเรานี้สร้างความชั่วช้าลามกหนาแน่นมากกว่าฆราวาสเรามีน้อยเมื่อไร เอาเพียงผ้าเหลืองมาครอบเฉย ๆ

นี่เอาความจริงมาพูด กิเลสมันไม่ได้บวชนี่นะ บวชแต่คนเฉย ๆ บวช อุปัชฌาย์อาจารย์ก็บวชแต่กิเลสมันอยู่เบื้องหลัง มันไม่ได้บวช บวชไปแล้วกิเลสมันไม่อายบาป อยากทำอะไรมันก็ทำ บีบหัวใจพระที่บวชแล้วให้ทำตามความชอบใจของมัน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีหิริโอตตัปปะ และสร้างบาปสร้างกรรมหนามากยิ่งกว่าโยมพระเรา นี้เอาหลักความจริงมา ผู้ดีเราไม่ว่า ผู้ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักของพระจริง ๆ แล้วนั้นเราชมเชย เทิดทูนตลอด ไอ้ที่เลวนี้ไม่มีใครเอามาพูด มันมีอยู่จะไม่เอามาพูดได้ยังไง ของมีอยู่ด้วยกันก็ต้องเอามาพูดซิ เลวร้ายขนาดนั้นนะ

บวชเข้ามาแล้วแทนที่จะมีหิริโอตตัปปะ ละอาย กลัวต่อบาปต่อกรรม สำรวมระวังในอรรถธรรมในวินัย มันไม่ได้เป็น ดีไม่ดีเอาเพศของตัวเองนี้เป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวง ไปไหนเลยกลายเป็นความเย่อหยิ่งจองหองว่าเราเป็นพระ ๆ ใครจะไปทำอะไรๆ อย่างนี้ใครเขาก็ไม่กล้าแตะ เขากลัวบาป ประชาชนเขายังกลัวบาป ตัวเองหัวโล้น ๆ ผ้าเหลือง ๆ ไม่กลัวบาป มันก็สนุกทำชั่วไปได้ล่ะซิ เพราะฉะนั้น จึงไม่นิยม ในนรกไม่มีว่าพระ ว่าฆราวาส ว่าสัตว์ตัวใดทำกรรมเอาไว้ ตกนรกได้แบบเดียวกันหมด ไม่มีคำว่าพระว่าโยม ทำชั่วลงไปแบบเดียวกันหมด เป็นอย่างนั้น

ทำดีก็เหมือนกัน ไม่มีฆราวาส ไม่มีพระ ไปดีด้วยกันหมด ถ้าทำชั่วแล้วเลวด้วยกันหมด ไม่มีอะไรที่จะแม่นยำยิ่งกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า พิจารณาไปตรงไหนค้านไม่ได้เลยนี่ซิ พิจารณาด้วยภาคปฏิบัติล่ะซิ เพียงเราคาดเราหมายไปเฉย ๆ อันนั้นมันก็เป็นอีกแง่หนึ่งโลกหนึ่ง แต่ภาคปฏิบัตินี่ซิจับความจริงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งรู้เห็นความจริงขึ้นมา รู้ยังไง เห็นยังไง เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้แล้วเห็นแล้ว ๆ ทั้งนั้น ๆ ไม่ว่ารู้กิเลส ละกิเลส ไม่ว่ารู้สิ่งภายนอกทางดีและชั่วต่าง ๆ มันรู้จริงๆ เห็นจริงๆ ถ้าสิ่งที่ควรละก็ละได้จริง ๆ เช่นกิเลสในหัวใจ ผู้ปฏิบัติธรรมถึงขั้นอรหันต์ นี่ที่ละกิเลสได้พระพุทธเจ้า กิเลสมีพระพุทธเจ้าก็บอกว่ามี ละกิเลสก็ละตัวที่มันมีอยู่นั้นแหละ จนกระทั่งกิเลสไม่มี เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาก็เป็นตามทางของศาสดาที่สอนไว้ ผิดที่ตรงไหน ไม่ผิด

ออกไปนอกไปในอะไรเหมือนกันหมด คำสอนอันนี้ เอกนามกึ íไม่มีสอง ทรงหยั่งทราบตลอดทั่วถึง แม่นยำไปหมด จึงไม่มีศาสนาใด ๆ ที่จะมาแข่งได้ว่างั้นเลย พุทธศาสนาแม่นยำมากที่สุด ไม่มีคลาดเคลื่อนจากหลักความจริงเลย ตรงเป๋ง ๆ สอนลงที่หัวใจเสียด้วย หัวใจเป็นตัวดีดตัวดิ้น แล้วฝังจมอยู่นั้น ทั้งกิเลสทั้งธรรม อยู่ในหัวใจดวงเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็บอกว่าฝังอยู่ที่นี่ ให้แก้ตัวนี้ แก้กิเลสที่มันอยู่ภายในใจ มันแสดงฤทธิ์เดชของมันไปตามอารมณ์ของกิเลส ธรรมเกิดอยู่ภายในใจแสดงฤทธิ์แสดงเดชไปตามเรื่องของอรรถของธรรม

ถ้าเป็นเรื่องของอรรถของธรรมก็พาคนให้ดิบให้ดี เจตนาการพูดการจา การทำดีไป ๆ นี้คือธรรม ไปตามสายของธรรม ถ้าไปตามสายกิเลส ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำ ไปตามสายของกิเลสต่ำลง ๆ ชั่วช้าลามกทั้งนั้น แก้ตรงนี้ เช่นอย่างแก้กิเลสหมดแล้วความชั่วก็ไม่มี ท่านจะไปทำความชั่วหาอะไร มันไม่มีความอยากทำความชั่ว ในหัวใจของท่านก็ไม่มีความชั่วพอจะเป็นต้นเหตุให้อยากทำชั่วเพิ่มเติมเข้าอีกท่านไม่มี อย่างใจพระอรหันต์เอาอะไรไปให้ท่านมัวหมองท่านไม่มี เป็นอฐานะแล้ว ตายท่านก็ตายด้วยความไม่มีอะไร

เขาจะดุด่าว่ากล่าวนินทา อะไรแบบไหนก็ตาม หรือโจมตีท่าน ว่าไงก็เป็นเรื่องปากของเขา ท่านไม่ไปสนใจกับกรรมชั่วที่เขาสร้างขึ้นมา ท่านดีอยู่แล้วท่านไม่มีอะไร ใครสร้างขึ้นมาก็เป็นเรื่องกรรมของผู้นั้น สร้างดีสร้างชั่วเกิดขึ้นจากกิริยาของจิตที่แสดงออกมาตั้งแต่เริ่มคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี เจ้าของเองเป็นผู้สร้าง แล้วใครจะเป็นผู้รับกรรม ก็เจ้าของเป็นผู้สร้าง เจ้าของเป็นผู้รับกรรม เรียกว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ กรรมเป็นของเราเองผู้สร้าง พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านไม่มีอะไรกับใคร ถึงใครจะมาว่าอะไรมันก็เป็นเรื่องของเขาทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องของท่าน ท่านไม่มีอะไร ท่านไม่ก่อขึ้น ท่านไม่มีก็ไม่มี

นี่จึงได้พูดอยู่เสมอย้ำแล้วย้ำเล่า เรื่องพุทธศาสนานี้เอกเลยนะ ไม่มีแล้วในโลก สามโลกนี้ไม่มีเสมือนพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ อันนี้เป็นแบบเดียวกันเป๋งเลย เดินตามแถวกันมาเลย แล้วยังเล็งญาณอีกด้วย พระพุทธเจ้าองค์นี้ เล็งญาณเอาไว้ ๆ ต่อจากนั้นจะเป็นอย่างนั้น ๆ ก็เป็นไปตามนั้น องค์นี้มาตรัสรู้ก็เล็งญาณเอาไว้ ๆ ญาณของท่านเป็นญาณหยั่งทราบ เอกนามกึí คือหนึ่งไม่มีสอง แน่ แม่นยำโดยถ่ายเดียว เป็นอย่างนี้ด้วยกัน พระพุทธเจ้าองค์ไหนตรัสรู้ก็มีพระญาณหยั่งทราบเหมือนกัน ๆ ไปหมด อย่างที่ว่าพระอริยเมตไตรย ในภัทรกัปนี้ก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ห้าองค์ กกุสันโธ โกนาคมน์ กัสสโป โคตโม อริยเมตเตยโย ท่านก็รับสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว

พระอริยเมตไตรยนี้เป็นพระเจ้าแผ่นดินครองราชสมบัติอยู่สี่หมื่นปี ระยะนั้นอายุของสัตว์โลกมีอยู่ถึงแปดหมื่นปีนะ ท่านครองราชย์สมบัติอยู่สี่หมื่นปีเสด็จออกทรงผนวช เพียง ๗ วันตรัสรู้ธรรมขึ้นมาในต้นไม้ เขาเรียกต้นอะไร เราลืม บำเพ็ญง่าย ตรัสรู้เร็ว แล้วครองศาสนาอยู่เป็นเวลาสี่หมื่นปี พอนิพพานแล้วศาสนาไปพร้อมกันหมดเลย ท่านก็บอกไม่ยากเหมือนเรา เราลำบากลำบน อายุของเราก็เพียง ๘๐ ท่านก็พูดไว้แล้ว ๘๐ พอถึงกาลเวลาก็ ๘๐ เห็นไหมล่ะ เสด็จไปเลย ถึงวันนั้นแล้วเสด็จ เดือน ๓ เพ็ญ เป็นวันปลงพระชนมายุ ลั่นพระวาจาว่า จากนี้ต่อไปอีก ๓ เดือน เราจะตายความหมายว่างั้น คือไปถึงเดือน ๖ เพ็ญ

พอเดือน ๖ เพ็ญ เสด็จไปเลยเห็นไหมล่ะ สะทกสะท้านอะไร เสด็จไปตามพระญาณหยั่งทราบว่าจะต้องปรินิพพานในวันเดือน ๖ เพ็ญ พอไปถึงสวนมัลลกษัตริย์ เมื่อเขาทูลถามว่ามายังไง จะมาตายที่นี่ในคืนวันนี้ นั่นเห็นไหมล่ะ เขาก็จัดที่จัดฐานรับรองท่าน ท่านบอกว่าท่านจะมาตายที่นี่ในคืนวันนี้ สั่งไว้ขนาดนั้น ผิดไหมล่ะ พอถึงนั้นแล้วในคืนวันนั้นก็มีพราหมณ์สุภัททะ พราหมณ์คนนี้ก็เป็นพวกชาติอริยกะเหมือนกันกับพระพุทธเจ้า แต่เป็นรุ่นแก่เหมือนว่าเป็นปู่เป็นย่า พระพุทธเจ้านี่เป็นลูกเป็นหลาน ถึงจะเป็นชาติอริยกะเหมือนกันก็อ่อนในชาติ เป็นลูกเป็นหลานเสีย ก็ถือทิฐิมานะไม่อยากฟังเสียง ไม่ยอมเชื่อ มาถามลูกถามหลานมันเสียเกียรติ ความหมายว่างั้นแหละ ไม่ถามตลอดมา พระองค์ก็ทรงทราบ

จนกระทั่งถึงวันแล้วก็เล็งญาณดู พราหมณ์แก่คนนี้คนหนึ่งละจะได้บรรลุธรรม พอเสด็จมาถึงที่นั่นแล้ว พราหมณ์คนนี้ก็ลงใจ เอ้อ นี่เป็นวันสุดท้ายของพระสมณโคดม พระพุทธเจ้าเราที่จะมาปรินิพพานวันนี้ ท่านรับสั่งอะไรไม่เคยผิดเคยพลาด วันนี้ท่านก็รับสั่งท่านจะมานิพพานในคืนวันนี้ เราแต่ก่อนก็ถือทิฐิมานะ ว่าเราแก่กว่าแม้เป็นชาติอริยกะ ก็เราเป็นขั้นปู่ ย่า ตา ยาย จะไปถามเด็กไม่เหมาะสม ทีนี้ท่านก็จะปรินิพพานแล้ว ถ้าเราไม่ถามเวลานี้จะถามเวลาไหน ปลงใจลงได้เลย เอาไปถาม คราวนี้เป็นคราวสุดท้าย พอไปถูกพระอานนท์ห้ามไม่ให้เข้าเฝ้า ว่าเวลานี้พระองค์ทรงเพียบมากแล้ว พระองค์รับสั่งทันที ทราบว่าแกมา "ให้มา เรามาที่นี่เพื่อพราหมณ์คนนี้แหละ"

พอมาก็มาถามถึงเรื่องศาสนาต่าง ๆ เพราะโลกมันมีหลายศาสนามาดั้งเดิมนะ ศาสนาไหนก็ว่าแต่ศาสนาของตัวดี ก็เลยไม่ทราบจะยึดเอาศาสนาไหนเป็นหลักเป็นเกณฑ์ มาทูลถาม เอ้อ เวลาของเรามีน้อยอย่าถามเรามากไปเลย ศาสนาใด ๆ ท่านไม่บรรยาย ศาสนาใดที่มีมรรคแปด มีอริยสัจ ศาสนานั้นแลจะทรงมรรคทรงผล สมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ จะมีในศาสนานั้น สมณที่หนึ่งได้แก่พระโสดา ที่สองพระสกิทาคา ที่สามได้แก่พระอนาคา ที่สี่ได้แก่พระอรหัตบุคคล อยู่ในศาสนานี้ที่มีมรรคแปด อริยสัจสี่ ทรงสั่งสอนย่อ ๆ แล้วรับสั่งให้พระอานนท์ไปบวชให้เสีย บวชแล้วให้บำเพ็ญได้เป็นพระอรหันต์ปัจฉิมสาวก พร้อมกับการตายของเรา ให้พระอานนท์บวชให้

พอบวชให้แล้วก็รับสั่ง "อย่ามากังวลกับเรื่องความเป็นความตายของเรา ให้พิจารณาเรื่องความเป็นความตายของตัวเอง ซึ่งเป็นอริยสัจ พิจารณาเรื่องความเป็นความตายของตัวเอง อริยสัจอยู่นั่น มรรคแปดอยู่ที่นั่น" สอนลงไปที่นั่น "ให้ไปบำเพ็ญ ไม่ให้มากังวลกับเรา จะเป็นจะตายเมื่อไรไม่ต้องกังวล ให้บำเพ็ญสมณธรรม" ก็บำเพ็ญในคืนวันนั้น บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาเป็นอรหันต์ แล้วเป็นกาลเวลาเดียวกันกับพระพุทธเจ้าปรินิพพาน นั้นก็เลยเป็นปัจฉิมสาวกองค์สุดท้าย

เห็นไหมล่ะรับสั่งจะมาตายวันนี้ก็เลยตายอย่างงั้นจริงๆ เป็นอย่างงั้นผิดพลาดที่ไหนลงได้รับสั่งแล้ว ไม่มีผิดพลาด พระญาณหยั่งทราบ นี่พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เรานี้เรียกว่าตัดคอรองเลย เราไม่มีแม้เม็ดหินเม็ดทรายที่จะค้านพระโอวาทของพระพุทธเจ้าได้แม้นิดหนึ่งไม่มีเลย ปฏิบัติไปตรงไหน รู้ตรงไหนมันยอมรับ ๆ เมื่อยอมรับแล้วก็เป็นพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้ว มันก็เป็นซ้ำเข้าอีกเป็นสอง ๆ เจ้าของรู้ เจ้าของยอมรับ แล้วยังพระพุทธเจ้าเป็นสักขีพยานอีก ทรงสอนไว้เรียบร้อยแล้ว ที่รู้ที่เห็นนี้ ไม่ใช่พึ่งมารู้มาเห็น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้ว ๆ แล้วมันจะค้านได้ที่ไหนล่ะ

ความจริงในหัวใจมันก็ไม่ค้านตัวเอง พระพุทธเจ้าก็ทรงรู้แล้วเห็นแล้ว สอนไว้เรียบร้อยแล้ว มันก็จะไปค้านที่ไหนอีก นั่นยิ่งเป็นศาสดาเอกอีกด้วย ท่านว่าอะไรไม่มีผิดมีพลาดเป็นอย่างงั้น สอนอย่างแม่นยำ เป็นแถวเป็นแนวเลย นี่เรียกว่าขีดเส้นตายเลยนะกับพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า หัวใจเรานี้ขีดเส้นตายไปเลย ไม่มีอะไรมาแยกไปได้เลย แยกหัวใจเราจากพุทธศาสนานี้ ไม่มีอะไรจะมาแยกไปไหนได้เลย เรียกว่าแน่วเลย มอบหมดทุกอย่าง เรียกว่ายอมรับหมด ตัดคอรองได้เลย ตายยอมตายไปเลย ไม่มีอะไรเสียดาย มันแน่ขนาดนั้นนะ

ทีนี้เวลารู้ทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็แน่อยู่ในหัวใจ แน่ไปทางไหนมันก็เป็นสักขีพยานกัน เป็นความจริงเหมือนกัน ๆ ก็ไม่ทราบจะไปสงสัยอะไร มันแน่อยู่ในนี้แล้วไปตรงไหนก็แน่อย่างเดียวกัน ไม่ว่าข้างนอกข้างในแน่แบบเดียวกัน แล้วจะไปค้านกันได้ที่ตรงไหน มันก็ยอมรับซิ นี่เรามีวาสนานะได้มาพบพุทธศาสนา ศาสนามีเต็มโลกเต็มสงสาร มีมากต่อมาก

วันนี้ก็เอาอันนี้เป็นเทศน์ไปเลย มันก็ลงแล้วออกทางอินเตอร์เน็ตแล้วนะ ขอให้พากันสืบทอดให้ได้นะ พุทธศาสนาของเราเอกทีเดียว สืบทอดให้ได้จากภาคปฏิบัติของเรา อยู่เป็นฆราวาสเหย้าเรือนก็ให้ปฏิบัติศีลธรรมตามเพศของตน ผู้บวชเป็นพระก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามจารีตของพระ อย่าให้คลาดเคลื่อนในหลักธรรมหลักวินัย เราจะอบอุ่นตลอดไป ไปที่ไหนมีศาสดาติดตัว ๆ ติดใจ ติดมรรยาท ก็ธรรมวินัยนั้นแหละเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย "พระธรรมและพระวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต เมื่อเราตายไปแล้ว" ก็เมื่อเรามีความสำรวมอยู่ในธรรมและวินัย ระมัดระวังนี้ก็เท่ากับเราตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ห่างเหินพระองค์เลย ตลอดมรรค ผล นิพพาน ติดกันไปด้วย

ถ้าห่างจากนี้จับชายจีวรก็ไม่เกิดประโยชน์ เกาะชายจีวรไปจีวรขาดเฉย ๆ เราก็ตกตูมลงนรกตามเดิม จีวรขาด จีวรไม่ยอมตกนรกด้วย จีวรขาดแล้วตกแต่เรา ถ้าฝ่าฝืนธรรมวินัยก็คือฝ่าฝืนองค์ศาสดา เหยียบย่ำทำลายศาสดานั้นเอง คือธรรมวินัยนั้นแลเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ท่านบอกไว้ชัดเจนมากแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงให้เทิดหลักธรรมหลักวินัยนี้ไว้ สอนไว้ถูกต้องแล้ว นี่เป็นองค์แทนศาสดา พระอานนท์ก็ไปทูลอาราธนาให้ทรงพระชนม์อยู่ตั้งหลายปีหลายเดือน "อานนท์จะมาหวังอะไรกับเราอีก อะไรๆ เราก็สอนหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว นี่ก็ยังเหลือแต่ร่างกระดูก จะมาหวังอะไรกับเราอีก"

ทีแรกก็ขู่เสียก่อน ครั้นต่อมาจึงมาปลอบโยนบ้าง "เออ อานนท์ พระธรรมและพระวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต เมื่อเราตายไปแล้ว" และรับสั่งอีก "อานนท์ เมื่อมีผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยที่เราประกาศสอนไว้ ซึ่งเป็นองค์ศาสดาของเราด้วยแล้วนี้อยู่ พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์" ก็อยู่กับข้อปฏิบัติ เข็มทิศทางเดินนี่ชี้มรรค ผล นิพพาน ปฏิบัติตามนี้จะไปไหน ก็ต้องไปมรรค ผล นิพพาน เพราะศาสดาสอนเพื่อมรรค ผล นิพพาน พระองค์จะปรินิพพานไปแล้ว คำสอนนี้ชี้แนวบอกอยู่อย่างนี้ เป็นศาสดาแทนพระองค์ ชี้บอก ก้าวเดินตามนี้ก็ถึง

วันนี้เอาเท่านั้น วันนี้เป็นตอบปัญหาบ้าง พูดธรรมะปลีกย่อยเท่านั้นพอ

คัดลอกมาจาก Luangta.Com -

31ภพภูมิวังวนอลวนอลเวง

ภพภูมิ 31 ภูมิ จากสูงสุด สู่เบื้องต่ำ
๓๑ ภูมิ ประกอบไปด้วย
( อรูปพรหม ๔ + รูปพรหม ๑๖ + เทวภูมิ ๖ + มนุษยโลก ๑ + อบายภูมิ ๔ )
(เดรัจฉาน , อสุรกาย , เปรต , นรก )
ส่วนพระอรหันต์ไม่นับรวมใน ๓๑ ภูมิ เพราะพระอรหันต์พ้นจากวัฏฏสงสารแล้ว
ดับกิเลสโดยสิ้นเชิงไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว
( พระอริยบุคคล ๔ จำพวก) มีดังนี้
๑. อรหัตโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นสูงสุด) มี ๒ ประเภท
(๑). เจโตวิมุตติ เป็นผู้ปฎิบัติสมถกรรมฐานได้ฌานก่อน แล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อจนสำเร็จพระอรหันต์ หรือ ผู้ที่ปฎิบัติเฉพาะวิปัสสนา เมื่อได้มรรคผลนั้นพร้อมกับได้วิชา ๓ อภิญญา ๖ สามารถแสดงฤทธิ์ได้
(๒). ปัญญาวิมุตติ สำเร็จพระอรหันต์ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานล้วนๆ ไม่ได้บำเพ็ญสมถกรรมฐานมาก่อนเลย เรียกว่าสุกขวิปัสสกพระอรหันต์ คือ ผู้ปฏิบัติทำให้ฌานแห้งแล้ง ผู้ถึงภูมินี้เป็นผู้ที่สมควรแก่การบูชา ของเหล่าเทพยาดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะสิ้นกิเลสด้วยโดยตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการได้ สามารถเข้าอรหันตผลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามปรารถนา และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกในวัฎสงสาร เมื่อถึงอายุขัยก็ดับขันธ์ปรินิพพาน
หรือ แบ่งได้อีกเป็น 4 ประเภท คือ
1.สุขวิปัสสโก แปลว่าผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ง หมายถึง ท่านผู้เจริญวิปัสสนาล้วนๆ ไม่มีสมถเข้ามาเกี่ยวข้อง เจริญแต่วิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียว จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ปัญญาวิมุตติ ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีอภิญญา
2. เตวิชโช คือ ผู้ได้วิชชา 3 หมายถึงผู้ได้ความรู้แจ้ง 3 ประการ คือ
1.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือการระลึกชาติได้ ได้แก่ การเกิดของเหล่าสัตว์ที่ผ่านกันมาในอดีตกาล ไม่สามารถกำหนดนับชาติได้
2.จุตูปปาตญาณ (ทิพพจักษุ) คือ รู้จักกำหนดการจุติและการเกิดของสัตว์ทั้งหลายในโลกนั้น รู้เห็นว่าเกิดมาจากกรรมที่บุคคลเหล่านั้นได้กระทำเอาไว้ ภายในชาตินั้นๆ
3.อาสวักขยญาณ คือ ญาณที่ทำให้กิเลสที่หมักหมมอยู่ในสันดาน ที่เก็บสะสมข้ามภพข้ามชาติเป็นเวลาที่นับไม่ได้ ให้หมดสิ้นไป ด้วยการรู้แจ้งในอริยสัจ 4 และญาณทั้ง 3 ตามลำดับ
3. ฉฬภิโญญ คือ ผู้ได้อภิญญา 6 คำว่า อภิญญา แปลว่า ปัญญาเป็นเครื่องหยั่งรู้ จำแนกไปน 6 ประการ คือ
1.อิทธิวิธิ คือการแสดงฤทธิ์ เช่น คนเดียวสามารถเนรมิตให้เป็นหลายคนได้ ล่องหนได้ ดำดินได้ เดินบนผิวน้ำได้ เหาะได้
2.ทิพพโสต คือ หูทิพย์ สามารถฟังได้ทั้งเสียงทิพย์ เสียงมนุษย์ ทั้งเสียงใกล้ เสียงไกล หรือเสียงกระซิบ
3.เจโตปริยญาณ คือรู้จักกำหนดใจผู้อื่น หมายถึง กำหนดด้วยใจของตนเอง แล้วได้รู้ใจของบุคคลอื่นว่าบริสุทธิ์หรือเศร้าหมองอย่างไร รวมทั้งสามารถทายใจของบุคลอื่นว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และกำหนดรู้อัธยาศัยของบุคคลอื่นด้วย
4.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ระลึกชาติได้
5.ทิพพจักขุ คือ ตาทิพย์
6.อาสวักขยญาณ
4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต คือ ผู้ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ปฏิสัมภิทา แปลว่า ปัญญาอันแตกฉาน จำแนกออกเป็น 4 ประการ คือ
1.อัตถปฏิสัมภิทา คือ ปัญญาอันแตกฉานในอรรถ หมายถึง ความรอบรู้แตกฉานในเนื้อหาของธรรมะย่อๆ สามารถอธิบายให้พิสดาร เช่น พระมหากัจจายนะ หรือความเข้าใจที่สามารถคาดกาลข้างหน้าถึงผลอันจักมี ด้วยอำนาจ อนาคตังสญาณ
2.ธัมมปฏิสัมภิทา คือ ปัญญาอันแตกฉานในธรรม หมายถึงความเข้าใจ อุทเทส ถือเอาความใจความของอรรถาธิบายนั้นๆ ตั้งเป็นกระทู้ขึ้นได้ หรือความเข้าใจสาวหาสาเหตุในหนหลัง ด้วยอำนาจอตีตังสญาณ
3.นิรุตติปฏิสัมภิทา คือปัญญาอันแตกฉานในนิรุตติ หมายถึงรู้และเข้าใจในเรื่องของภาษาต่างๆ ฉลาดและรู้จักใช้ถ้อยคำในภาษานั้นๆ ตลอดถึงรู้และเข้าใจในภาษาต่างประเทศ สามารถชักนำบุคคลทั้งหลายให้นิยมตามคำพูดได้
4.ปฏิภาณปฏิสัมภิทา คือ ปัญญาอันแตกฉานในปฏิภาณ หมายถึง เรื่องของการมีไหวพริบ ความเข้าใจทำให้สบเหมาะในทันทีทันใด ในเมื่อเหตุเกิดขึ้นโดยฉุกเฉิน ปฏิภาณนี้คือ ความคิดว่องไว มีความรู้ความคิดทันคน ไม่จำนนต่อคำถาม นับเข้าในปัจจุปปันนังสญาณ
๒. โสดาบันโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลกชั้นที่ ๑)
ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าพระอริยะบุคคลโสดาบัน แบ่งเป็น
(๑). เอกพิซีโสดาบัน จะเกิดอีกชาติเดียว แล้วก็บรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน
(๒).โกลังโกลโสดาบัน จะเกิดอีก ๒-๖ ชาติ เป็นอย่างมากแล้วก็บรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน
(๓). สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ แล้วก็จะบรรลุพระอรหันตผล ปรินิพพาน
๓. สกทาคามีโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นที่ ๒)
ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าถึงพระอริยบุคคลสกทาคามี ซึ่งจะเกิดอีกเพียงชาติเดียวแบ่งเป็น ๕ ประเภท คือ
(๑). ผู้ถึงภูมินี้ในมนุษยโลก และบรรลุพระอรหันตผลในมนุษย์โลก
(๒). ผู้ถึงภูมินี้ในมนุษย์โลกแล้วไปบรรลุพระอรหันต์ผลในเทวโลก
(๓). ผู้ถึงภูมินี้ในเทวโลกและบรรลุอรหันต์ผลในเทวโลก
(๔). ผู้ถึงภูมินี้ในเทวโลกแล้วมาบรรลุพระอรหันต์ผลในมนุษย์โลก
(๕). ผู้ถึงภูมินี้ในมนุษยโลกแล้วจุติไปเกิดในเทวโลกแล้วกลับมาบรรลุพระอรหันตผลในมนุษยโลก
๔. อนาคามีโลกุตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นที่ ๓)
ผู้ถึงภูมินี้ได้ชื่อว่าพระอนาคามี จะไม่กลับมาเกิดในกามภูมิอีกแบ่งเป็น ๕ ประเภท คือ
(๑). อันตราปรินิพพายี สำหรับเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในอายุครึ่งแรกของสุทธาวาสภูมิพรหมโลกที่สถิตอยู่
(๒). อุปหัจจปรินิพพายี สำหรับเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในอายุครึ่งหลังของสุทธาวาสภูมิพรหมโลกที่สถิตอยู่
(๓). อสังขารปรินิพพายี สำหรับเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในพรหมโลกที่สถิตอยู่โดยสะดวกสบายไม่ต้องใช้ความเพียรมาก
(๔). สสังขารปรินิพพายี สำหรับเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในพรหมโลกที่สถิตอยู่โดยต้องพยายามอย่างแรงกล้า
(๕). อุทธังโสตอกนิฎฐคามี ไปเกิดในสุทธาวาสพรหมโลก ชั้นต่ำที่สุด (อวิหาสุทธาวาสพรหมโลก) แล้วจึงจุติไปเกิด ชั้นสูงขึ้นไปตามลำดับ คือ อวิหา อัตัปปา สุทัสสา สุทัสสี แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ปรินิพพานในอกนิฎฐพรหมโลก
โลกเบื้องสูง
ปฐมมฌานภูมิ ๓, ทุติยฌานภูมิ ๓, ตติยฌานภูมิ ๓, และพรหมภูมิตั้งแต่ชั้นที่ ๑o-๒o
( แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๕,๕o๘,ooo โยชน ์)
อรูปพรหม ๔
(๒๐). เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๒๐ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยความประณีตเป็นอย่างยิ่งมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่อรูปพรหม อายุ ๘๔,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤาษีผู้ได้ อากิญจัญญายตนฌาน และสำเร็จเนวสัญญานา- สัญญายตนฌาน
(๑๙). อากิญจัญญายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๙ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย นัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๖๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม เป็นโยคีฤาษีผู้ได้วิญญาณัญจายตนฌานและสำเร็จอากิญจัญญายตนฌาน
(๑๘). วิญญาณัญจายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๘ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย วิญญาณอันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๔๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤาษีผู้ได้อากาสานัญจายตนฌาน และสำเร็จวิญญาณัญจายตนฌาน
(๑๗). อากาสานัญจายตนภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๗ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยอากาสบัญญัติ ซึ่งไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๒๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม เป็นโยคีฤาษีผู้ได้จตุตถฌานแล้ว และสำเร็จอากาสานัญจายตนฌาน
รูปพรหม ๑๖
(๑๖). อกนิฎฐสุทธาวาสภูมิพรหมโลก ชั้นที่ ๑๖ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลายผู้ทรงคุณวิเศษโดยไม่มีความเป็นรองกัน พระพรหมอนาคามีอายุ๑๖,๐๐๐มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้ จตุตถฌาน และเจริญวิปัสสนาภาวนาจน สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลโดยมีปัญญินทรีย์แก่กล้า
(๑๕). สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๕ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลายผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใสมากกว่าพระพรหมอนาคามี อายุ ๘,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌาน และเจริญวิปัสสนาจนสำเร็จ เป็นพระอนาคามีอริยบุคคลโดยมีสมาธินทรีย์แก่กล้า
(๑๔). สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๔ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใสพระพรหมอนาคามี อายุ ๔,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌาน และเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลโดยมีสตินทรีย์แก่กล้า
(๑๓). อตัปปาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๓ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่มีความเดือนร้อนพระพรหมอนาคามี อายุ ๒,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลโดยมีวิริยินทรีย์แก่กล้า
(๑๒). อวิหาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๒ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่เสื่อมคลายในสมาบัติของตนพระพรหมอนาคามี อายุ ๑,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสำเร็จเป็นพระอานาคามีอริยบุคคลโดยมีสัทธินทรีย์แก่กล้า
(๑๑). อสัญญสัตตาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๑ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ไม่มีสัญญา(พรหมลูกฟัก) อายุ ๕๐๐ มหากัป บุพกรรมผู้เจริญสมถภานาสำเร็จจตุตถฌาน และเป็นผู้มีสัญญาวิราคภาวนา
(๑๐). เวหัปผลาภูมิ พรหมโลก ชั้นที ๑๐ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ได้รับผลแห่งฌานกุศลอย่างไพบูลย์พระพรหมอายุ ๕๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จจตุตถฌาน
(๙). สุภกิณหาภูมิพรหมโลกชั้นที่ ๙ ภูมิอันป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลายผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีที่ออกสลับปะปนไปอย่างเสมอตลอดสรีระกายพระพรหม อายุ ๖๔ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในชั้นนี้ได้ ต้องสำเร็จตติยฌานได้อย่างปราณีต
(๘). อัปปมาณสุภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๘ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีความสวยงามแห่งรัศมีมากมายไม่มีประมาณพระพรหม อายุ ๓๒ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในชั้นนี้ได้ต้องสำเร็จตติยฌานได้อย่างปานกลาง
(๗). ปริตตสุภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๗ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีเป็นส่วนน้อยพระพรหมอายุ ๑๖ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จตติยฌานได้อย่างสามัญ
(๖). อาภัสสราภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๖ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีประกายรุ่งโรจน์แหงรัศมีนานาแสงพระพรหมอายุ ๘ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จทุติยฌานได้อย่างปราณีต
(๕). อัปปมาณาภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๕ ภูมิอันเป็นทีอยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีรัศมีรุ่งรื่องมากมายหาประมาณมิได้พระพรหมอายุ ๔ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จทุติยฌานได้อย่างปานกลาง
(๔). ปริตตาภาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๔ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งท่านพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีรัศมีน้อยกว่าพระพรหมที่มีศักดิ์สูงกว่าตน พระพรหม อายุ ๒ มหากัป บุพกรรม ผู้ทีจะมาอุบัติบังเกิดในชั้นนี้ได้ต้องสำเร็จทุติยฌานได้อย่างสามัญ
(๓). มหาพรหมาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๓ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย พระพรหม อายุ ๑ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จปฐมฌานอย่างประณีต
(๒). พรหมปุโรหิตาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๒ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ทรงฐานอันประเสริฐ คือเป็นปุโรหิตของท่านมหาพรหม พระพรหมอายุ ๓๒ อัตรกัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จได้ปฐมฌานอย่างปานกลาง
(๑). พรหมปาริสัชชาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหม ผู้เป็นท้าวมหาพรหม พระพรหม อายุ ๒๑ อันตรกัปเศษ บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จปฐมฌานได้อย่างสามัญ 
โลกเบื้องกลาง
เทวภูมิ ๖ กับ โลกมนุษย์ ๑
( แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๔๒,ooo โยชน์ )
เทวภูมิ ๖
(๖). ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๖) เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าซึ่งเสวยกามคุณอารมณ์ แบ่งเป็น
ฝ่ายเทพยาดา มีท้าวปรนิมมิตเทวราชปกครอง กับ ฝ่ายมาร มีท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ (๙,๒๑๖ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ อุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่เป็นอุกฤษฏ์ อบรมจิตใจสูงส่งไปด้วยคุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีลก็ต้องบำเพ็ญกันอย่างจริงๆ มากไปด้วยศรัทธาปสาทะ อย่างยิ่งยวดและถูกต้อง ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน
ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า "เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เช่นเดียวกับฤาษีทั้งหลายแต่กาลก่อน"
แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า "เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตของเราจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส"
เพราะวิบากแห่งทาน และศีลอันสูงยิ่งเท่านั้น จึงอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้
(๕). นิมมานรตีภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๕) เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้ยินดีในกามคุณอารมณ์ ซึ่งเนรมิตขึ้นมาตามความพอใจ มีท้าวสุนิมมิตเทวราชปกครอง อายุ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ (๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดียิ่งในการบริจาคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตใจผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ ไม่มุ่งสั่งสมให้ทาน
ไม่ได้ให้ทาน ด้วยคิดว่า "เราหุงหากินได้แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้หุงหากินเราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร"
" แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า"เราจักจำแนกแจกทานเช่นเดียวกับฤาษีทังหลายในกาลก่อน" ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ พยายามรักษาศีลไม่ให้ขาด
มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล และมีวิริยอุตสาหะในการบริจาคทานเป็นอันมาก เพราะผลวิบากแห่งทาน และศีลอันสูงส่งเท่านั้น จึงอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้
(๔). ตุสิตาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๔) เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้มีความยินดีแช่มชื่นเป็นนิจ มีท้าวสันดุสิตเทวราชปกครอง อายุ ๔,๐๐๐ปีทิพย์ (๕๗๖ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษยมีจิตบริสุทธิ์ ยินดีมากในการบริจาคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลของทานแล้วให้ทาน
ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ให้ทานด้วยความคิดว่า "บิดา มารดา ปู่ ยา ตา ยาย เคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี"แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า "
" เราหุงหากิน แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร"
ทรงศีล ทรงธรรม ชอบฟังพระธรรมเทศนาหรือเป็นพระโพธิสัตว์รู้ธรรมมาก ฯลฯ
(๓). ยามาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๓) เป็นที่อยู่ของเทพยดาผู้มีแต่ความสุขอันเป็นทิพย์ มีท้าวสุยามเทวราชเป็นผู้ปกครอง อาย ุ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ (๑๔๔ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ พยายามสร้างเสบียง ไม่หวั่นไหวในการบำเพ็ญบุญุศล ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน
ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า "การให้ทานเป็นการกระทำที่ดี"
แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า "บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี"
รักษาศีล มีจิตขวนขวานในพระธรรม ทำความดีด้วยความจริงใจ
(๒). ตาวติงสาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๒) ที่เราเรียกว่า ไตรตรึงษ์หรือดาวดึงส์ เป็นเมืองใหญ่มี ๑,๐๐๐ ประตู มีพระเกศจุฬามณีเจดีย์ มีไม้ทิพย์ ชื่อปาริชาตกัลปพฤกษ์ สมเด็จพระอมรินทราธิราชปกครอง อายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ (๓๒ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ มีจิตบริสุทธิ์ ยินดีในการบริจาคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน
ไม่มุ่งการสั่งสมการให้ทานไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า "ตายแล้วเราจักได้เสวยผลทานนี้"
แต่ให้ทานด้วยด้วยความคิดว่า "การให้ทานเป็นการกระทำดี"
งดงามด้วยพยายามรักษาศีล ไม่ดูหมิ่นดูแคลนผู้ใหญ่ในตระกูล ฯลฯ
(๑). จาตุมหาราชิกาภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๑) เป็นที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้า มีท้าวมหาราช ๔ พระองค์ปกครองคือ
-๑.ท้าวธตรัฐมหาราช - ๓.ท้าววิรูปักษ์มหาราช และ
-๒.ท้าววิรุฬหกมหาราช - ๔. ท้าวเวสสุวัณมหาราช (ท้าวกุเวร)อายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ (๙ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ ชอบทำความดี สันโดษ ยินดีแต่ของๆตน ชักชวนให้ผู้อื่น ประกอบการกุศล ชอบให้ทาน ในการให้ทานเป็นผู้มีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน
ให้ทานด้วยความคิดว่า "เราจะตายแล้วจักได้เสวยผลแห่งทานนี้" และเป็นผู้มีศีล ฯลฯ
โลกมนุษย์
( อายุมนุษย์สมัยพระพุทธองค์ ๑๐๐ ปี และอายุมนุษย์ในปัจจุบัน ๗๕ ปี )
( มนุษยภูมิ ) เป็นที่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจในเชิงกล้าหาญที่จะประกอบกรรมต่างๆ
ทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรมแบ่งเป็น ๔ จำพวก คือ
(๑). ผู้มืดมาแล้วมืดไป บุคคลที่เกิดในตระกูลอันต่ำ ยากจน ขัดสน ลำบาก ฝืดเคืองอย่างมากในการหาลี้ยงชีพ มีปัจจัย ๔ อย่างหยาบ
เช่น มีอาหารและน้ำน้อย มีเครื่องนุ่งห่มเก่า ร่างกายมอซอ หม่นหมอง หรือมีร่างกายไม่สมประกอบ บ้าใบ้ บอด หนวก หาที่นอน ทีอยู่อาศัย ยารักษาโรค ไม่ใคร่ได้ และเขากลับประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบาย
(๒). ผู้มืดมาแล้วสว่างไป บุคคลที่เกิดในตระกูลต่ำ ผิวพรรณหยาบ ฯลฯ แต่เป็นเขาเป็นคนมีศรัทธา ไม่มีความตะหนี่ เป็นคนมีความดำริประเสริฐ มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมให้ทาน ย่อมลุกรับสมณะชีพราหมณ์ หรือวณิกพกอื่นๆ ย่อมสำเนียกในกริยามารยาทเรียบร้อย ไม่ห้ามคนที่กำลังจะให้ทาน เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
(๓). ผู้สว่างมาแล้วมืดไป เป็นบุคคลผู้อุบัติในตระกูลสูง เป็นคนมั่งคั่งมั่งมี มีโภคสมบัติมาก เป็นผู้มีปัจจัย ๔ อันประณีต ทั้งเป็นคนที่มีรูปร่างสมส่วนสะสวย งดงาม ผิวพรรณดูน่าชม แต่กลับเป็นคนไม่มีศรัทธา ตระหนี่ ไม่มีความเอื้อเฟื้อ กรุณาอาทร มีใจหยาบช้า มักขึ้งโกรธย่อมด่า ย่อมบริภาษบุคคลต่างๆ ไม่เว้นกระทั้งมารดาบิดา สมณชีพราหมณ์ ย่อมห้ามคนที่กำลังให้โภชนาหารแก่คนที่ขอ
เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบาย
(๔). ผู้สว่างมาแล้วสว่างไป เป็นบุคคลที่อุบัติเกิดในตระกูลสูง มีผิวพรรณงามและเขาย่อมประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ บุพกรรม กรรมของมนุษย์ที่ทำในกาลก่อน ส่งผลให้มีปฎิปทาต่างกัน
เช่น บางคนเป็นคนดี บางคนบ้า บางคนรวย บางคนจน บางคนมีปัญญา บางคนเขลา ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ อาทิ
- ปฎิปทาให้มีอายุสั้น เพราะเป็นคนเหี้ยมโหดดุร้าย มักคร่าชีวิตสัตว์
- ปฎิปทาให้มีอายุยาว เป็นผู้เว้นขาดจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป มีความละอาย เอ็นดูอนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลสรรพสัตว์และภูตอยู่
- ปฎิปทามีโรคมาก เป็นผู้มีปกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยมือ ท่อนไม้ ก้อนดิน ก้อนหิน หรือศาสตราอาวุธต่างๆ
- ปฎิปทามีโรคน้อย ไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยมือ หรือศาสตราอาวุธต่างๆ มีมีด ขวาน ดาบ ปืน เป็นต้น
- ปฎิปทาให้มีผิวพรรณทราม เป็นคนมักโกรธ มากไปด้วยความเคืองแค้น ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจโกรธเคือง พยาบาทหมาดร้าย ทำความโกรธความร้ายและความขึ้งเคียดให้ปรากฎ
- ปฎิปทาให้มีผิวพรรณงาม เป็นคนไม่มักโกรธ ไม่พยาบาท ไม่มาดร้าย ไม่ทำความโกรธความร้ายและความขึ้งเคียดให้ปรากฎ
- ปฎิปทาให้เป็นคนมีศักดาน้อย คือเป็นคนไม่มีใจริษยา มุ่งร้าย ผูกใจในการอิจฉาริษยาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้และการบูชาของคนอื่น
- ปฎิปทาให้เป็นคนมีศักดามาก เป็นคนไม่มีใจริษยา ไม่มุ่งร้าย ยินดีด้วยในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้และการบูชาของคนอื่น
- ปฎิปทาให้มีโภคะน้อย เป็นผู้ไม่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ที่นอนที่อาศัย เป็นต้น
- ปฎิปทาให้มีโภคะมาก ชอบให้ทานมีอาหาร น้ำ เครื่องนุ่มห่ม ของหอม ที่นอนที่อาศัย เครื่องตามประทีบแก่สมณะหรือชีพราหมณ์ เป็นต้น
- ปฎิปทาให้เกิดในตระกูลต่ำ เป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่คนที่ควรให้ ไม่ให้ทางแก่คนที่ควรให้ทาง เป็นต้น
- ปฎิปทาให้เกิดในตระกูลสูง เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน วจีไพเราะ สงเคราะห์เอื้อเฟื้อ รู้จักยืนเคารพ ยืนรับ ยืนคำนับ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ สักการะแก่คนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ บูชาคนที่ควรบูชา เป็นต้น
- ปฎิปทาทำให้มีปัญญาทราม คือเป็นผู้ไม่เคยเข้าหาบัณฑิต สมณะหรือชีพราหมณ์แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ เป็นต้น
- ปฎิปทาทำให้มีปัญญาหลักแหลม เป็นผู้มักเข้าไปสอบถาม บัณฑิตสมณะหรือชีพราหมณ์ อะไรเป็นุศล อะไรไม่เป็นกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรเมื่อทำลงไปแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนาน อะไรเมื่อทำไปแล้วย่อมเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขสิ้นกาลนาน ดังนี้   
โลกเบื้องต่ำ
อบายภูมิ ได้แก่ นรก เปรต อสุูรกาย เดรัจฉาน
เดรัจฉานภูมิ
เดรัจฉานภูมิ ) (โลกเดรัจฉานอยู่ในโลกมนุษย์) โลกของสัตว์ที่มีความยินดีในหตุ ๓ ประการ คือ
(การกิน การนอน การสืบพันธุ์) แบ่งเป็น ๔ ประเภท คือ
(๑). อปทติรัจฉาน (ไม่มีเท้า ไม่มีขา) เช่นงู ปลา ไส้เดือน ฯลฯ
(๒). ทวิปทติรัจฉาน (มี ๒ ขา) เช่น นก ไก่ ฯลฯ
(๓). จตุปทติรัจฉาน (มี ๔ ขา) เช่น วัว ฯลฯ
(๔). พหุปทติรัจฉาน (มีมากกว่า ๔ ขา) เช่น ตะขาบ กิ่งกือ ฯลฯ
อายุ ไม่แน่นอน แล้วแต่กรรมที่นำไปเกิดในสัตว์ประเภทต่างๆ ตามอายุของสัตว์ประเภทนั้นๆ
บุพกรรม
เป็นมนุษย์จิตไม่บริสุทธิ์ ประพฤติอศุลกรรม อันหยาบช้าลามกทั้งหลายหรือเพราะอำนาจของเศษบาปอกุศลกรรมที่ตนทำไว้ให้ผล
หรือเป็นเพราะเมื่อเป็นมนุษย์ไม่ได้ก่อกรรมทำชั่วอะไร แต่เวลาใกล้จะตายจิตประกอบด้วยโมหะ หลงผิด ขาดสติ ไม่มีสรณะเป็นที่พึ่งจะยึดให้มั่นคง
คตินิมิต นิมิตที่ชี้บอกถึงโลกดรัจฉานที่ตนจะไป เช่น เห็นทุ่งหญ้า ป่าไม้ ดงหญ้า เชิงเขา ชายน้ำ แม่น้ำ กอไผ่ เป็นต้น บางทีเห็นเป็นรูปสัตว์ทั้งหลาย เช่น ช้าง เสือ วัว หมู หมา เป็ด ไก่ แร้ง กา เหี้ย นก หนู จิ๊กจก ฯลฯ หากภาพเหล่านี้มาปรากฎทางใจ แล้วจิตยึดหน่วงเป็นอารมณ์มื่อจิตดับตายขณะนั้นต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างแน่นอน
อสุรกายภูมิ
( อสุรกายภูมิ ) (โลกอสุรกาย) ภูมิอันเป็นทีอยู่ของสัตว์อันปราศจากความเป็นอิสระและสนุกรื่นเริง
แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ เทวอสุรา เปตติอสุรา นิรยอสุรา
(๑). เทวอสุรา มี ๖ จำพวก คือ ๑.เวปจิตติอสุรา ๔.ปหารอสุรา
(๒). สุพลิอสุรา ๕.สัมพรตีอสุรา
(๓). ราหุอสุรา ๖.วินิปาติกอสุรา
แล้ว ๕ จำพวกแรกเป็นปฎิปักษ์ต่อเทวดาชั้นตาวสิงสา อยู่ใต้ภูเขาสิเนรุ สงเคราะห์เข้าในจำพวกเทวดาชั้นตาวติงสา
๑. วินิปาติกอสุรา มีรูปร่างสัณฐานเล็กกว่า และอำนาจก็น้อยกว่าเทวดาชั้นตาวติงสา เที่ยวอาศัยอยู่ในมนุษยโลกทั่วไป เช่น ตามป่า ตามเขา ต้นไม้ และศาลที่เขาปลูกไว้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของภุมมัฎฐเทวดาทั้งหลาย แต่เป็นเพียงบริวารของภุมมัฎฐเทวดาเท่านั้น สงเคราะห์เข้าในจำพวกเทวดา ชั้นจาตุมหาราชิกา
๒. เปตติอสุรา มี ๓ จำพวก คือ ๑.กาลกัญจิกเปรตอสุรา ๒.เวมานิกเปรตอสุรา ๓.อาวุธิกเปรตอสุราเป็นเปรตที่ประหัตประหารกันและกันด้วยอาวุธต่างๆ
๓. นิรยอสุรา เป็นเปรตจำพวกหนึ่งที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกโลกันตร์ นรกโลกันตร์ตั้งอยู่ระหว่างกลางของจักรวาลทั้งสามอสุรกายนี้ ี้หมายเอาเฉพาะกาลกัญจิกเปรตอสุรกายเท่านั้น อายุและบุพกรรม เช่นเดียวกันกับโลกเปรต
เปตติวิสยภูมิ
( เปตติวิสยภูมิ ) (โลกเปรต) โลกที่อยู่ของสัตว์ผู้ห่างไกลจากความสุข
มีมหิทธิกเปรตเป็นเจ้าปกครองดูแลอายุไม่แน่นอนแล้วแต่กรรม ได้แก่
เปรต ๑๒ ชนิด เปรต ๑๒ ชนิด คือ
(๑). วันตาสเปรต กินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร
(๒). กุณปาสเปรต กินซากศพคน หรือสัตว์เป็นอาหาร
(๓). คูถขาทกเปรต กินอุจจาระต่างๆ เป็นอาหาร
(๔). อัคคิชาลมุขเปรต มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ
(๕). สูจิมุขาเปรต มีปากเท่ารูเข็ม
(๖). ตัณหัฎฎิตเปรต ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าว หิวน้ำอยู่เสมอ
(๗). สุนิชฌามกเปรต มีลำตัวดำเหมือนตอไม้เผา
(๘). สัตถังคเปรต มีเล็บมือเล็บเท้ายาวและคมเหมือนมีด
(๙). ปัพพตังคเปรต มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา
(๑๐). อชครังคเปรต มีร่างกายเหมือนงูเหลือม
(๑๑). เวมานิกเปรต ต้องเสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่กลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน
(๑๒). มหิทธิกเปรต มีฤทธิ์มาก ที่อยู่ เชิงเขาหิมาลัยในป่าวิชฌาฎวี
เปรต ๔ ประเภท เปรต ๔ ประเภท คือ
(๑). ปรทัตตุปชีวิกเปรต มีการเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยโดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้
(๒). ขุปปิปาสิกเปรต ถูกเบียดเบียนด้วยการหิวข้าว หิวน้ำ
(๓). นิชฌามตัณหิกเปรต ถูกไฟเผาให้เร้าร้อนอยู่เสมอ
(๔). กาลกัญจิกเปรต (ชื่อของอสูรกายที่เป็นเปรต) มีร่างกายสูง ๓ คาวุต มีเลือดและเนื้อน้อยไม่มีแรง มีสีสันคล้ายใบไม้แห้ง ตาถลนออกมาเหมือนตาปู และมีปากเท่ารูเข็มและตั้งอยู่กลางศีรษะ
เปรต ๒๑ จำพวก เปรต ๒๑ จำพวก คือ
(๑). มังสเปสิกเปรต มีเนื้อเป็นชิ้นๆไม่มีกระดูก
(๒). กุมภัณฑ์เปรต มีอัณฑะใหญ่โตมาก
(๓). นิจฉวิตกเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง
(๔). ทุคคันธเปรต มีกลิ่นเหม็นเน่า
(๕). อสีสเปรต ไม่มีศีรษะ
(๖). ภิกขุเปรต มีรูปร่างสัณฐานเหมือนพระ
(๗). สามเณรเปรต มีรูปร่างสัณฐานเหมือนเณรและ ฯลฯ
บุพกรรม ประพฤติอศุลกรรมบถ ๑๐ ประการ เมื่อขาดใจตายจากมนุษยโลก หากอศุลกรรมสามารถนำไปสู่นิรยภูมิได้ ต้องไปเสวยทุกข์โทษในนรกก่อน พอสิ้นกรรมพ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังมีก็ไปเสวยผลกรรมเป็นเปรตต่อภายหลัง หรือมีอศุลกรรมที่เกิดจากโลภะนำมาเกิดคตินิมิต
นิมิตที่บ่งบอกถึงโลกเปรต เช่น เห็นหุบเขา ถ้ำอันมืดมิดที่วังเวง และปลอดเปลี่ยวหรือเห็นเป็นแกลบ และข้าวลีบมากมายแล้วรู้สึกหิวโหยและกระหายน้ำเป็นกำลัง บางทีเห็นว่าตนดื่มกินเลือดน้ำหนองที่น่ารังเกียจสะอิดสะเอียน หรือเห็นเป็นเปรตมีร่างกายผ่ายผอมน่าเกลียดน่ากลัว เนื้อตัวสกปรกรกรุงรัง ฯลฯ
หากภาพเหล่านี้มาปรากฎทางใจแล้วจิตยึดหน่วงเป็นอารมณ์ เมื่อดับจิตตายขณะนั้น ต้องบังเกิด เป็นเปรตเสวยทุกขเวทนาตามสมควรแก่กรรมอย่างแน่นอน
นรกภูมิ
( มหานรก ๘ ขุม ) (แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๑๕,๐๐๐ โยชน์)
(๑). สัญชีวนรก นรกที่สัตว์นรกไม่มีวันตาย อายุ ๕๐๐ ปีอายุกัป (๑วันนรก = ๙ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตไม่บริสุทธิ์ หยาบช้าลามก ก่อกรรมทำเข็ญ เช่นฆ่าเนื้อ เบื่อสัตว์ เบียดเบียนบุคคลที่ต่ำกว่าตน โดยความไม่เป็นธรรมให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นนิจ ฯลฯ
(๒). กาฬสุตตนรก นรกที่ลงโทษด้วยเส้นเชื่อกดำ แล้วถากหรือตัดด้วยเครื่องประหาร อายุ ๑,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๓๖ ปีล้านมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาป ทำการทรมานสัตว์ด้วยการตัดเท้า หู ปาก จมูก ฯลฯ ทำร้ายบิดามารดา ครู อาจารย์ ฯลฯ เบียดเบียนหรือฆ่าภิกษุ สามเณร ดาบส หรือเป็นเพชฌฆาต
(๓). สังฆาฎนรก นรกที่มีภูขาเหล็กใหญ่มีไฟลุกโพลงบดขยี้สัตว์นรก อายุ ๒,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปหยาบช้าด้วยใจอศุลกรรม ไร้ความเมตตากรุณา ทำทารุณกรรมสัตว์ด้วยวิธีการต่างๆ เป็นประจำ หรือ บุคคลที่ทรมานเบียดเบียนสัตว์ที่ตนใช้ประโยชน์ และพวกนายพราน
(๔). โรรุวนนรก (ธูมโวรุวหรือจูฬโรรุว) นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ครวญครางดังของสัตว์นรกที่ถูกควันไฟอบอ้าว อายุ ๔,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑วันนรก = ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปเผาสัตว์ทั้งเป็น ตัดสินความไม่ยุติธรรม รุกที่ดินเอาสาธารณสมบัติมาเป็นของตน กินเหล้าเมาประทุษร้ายผู้อื่น ชาวประมง คนที่เผาป่าที่สัตว์อาศัยอยู่
(๕). มหาโรรุวนรก (ชาลโรรุว) นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ครวญครางดังกว่าโรรุวนรก อายุ ๘,๐๐๐ ปีอายุกัป(๑ วันนรก = ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาป ตัดคอสัตว์ด้วยความโกรธ ปล้น ขโมยทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และของศาสนาเช่นของภิกษุสามเณรดาบสแม่ชีและสิ่งของเครื่องสักการะที่เขาบูชาพระรัตนตรัยปล้นโกงเอาของคนอื่นมาเป็นของตน
(๖). ตาปนนรก (จูฬตาปน) นรกที่ทำให้สัตว์เร่าร้อน ด้วยการให้นั่งตรึงติดอยู่ในหลาวเหล็กอันร้อนแดงแล้วให้ไฟไหม้อยู่ อายุ ๑๖,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์เป็นคนใจบาป ประกอบกรรมด้วยโลภะ โทสะ โมหะ
เช่น ฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพและคนที่เผาบ้านเมือง กุฎิ โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ปราสาท ทำลายเจดีย์
(๗). มหาตาปนนรก (ปตาปน) นรกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนอย่างมากมายเหลือประมาณ อายุ ครึ่งอันตรกัปของมนุษย์
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปหนาไปด้วยอกุศลมลทิน เช่น ประหารคนหรือสัตว์ให้ตายเป็นหมู่มากๆ ไม่คำนึงถึงชีวิตเขาชีวิตท่าน และคนที่มีอุจเฉททิฎฐิ สัสสตทิฎฐิ นัตถิกทิฎฐิ อเหตุทิฎฐิ และอกิริยทิฎฐิ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง
(๘). อเวจีนรก นรกที่ปราศจากคลื่นคือ ความเบาบางแห่งความทุกข์ อายุ ประมาณ ๑ อันตรกัปของมนุษย์
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ได้ทำอนันตริยกรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ฆ่ามารดา บิดา พระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ทำสังฆเภท ยุยงให้สงฆ์แตกกัน และบุคคลที่ทำลายพระพุทธเจดีย์ พระพุทธรูป ต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้โดยจิตคิด ประทุษร้ายบุคคลที่ติเตียนพระอริย บุคคลพระสงฆ์ผู้มีคุณแก่ตน ผู้ที่ยึดถือนิยตมิจฉาทิฎฐิ ๓
( อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม ) (อยู่รอบ ๔ ทิศ ๆ ละ ๔ ของมหานรกแต่ละขุม)
(๑). คูถนรก สัตว์นรกทีมาเกิดได้รับทุกขเวทนาอยู่ในอุจจาระเน่า โดยถูกหนอนกัดกินทั้งเนื้อและกระดูกตลอดจนอวัยวะภายในทั้งหมดจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
(๒). กุกกุฬนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกขเวทนา โดยถูกเผาด้วยขี้เถ้าร้อนระอุ ร่างกายไหม้ยับย่อย ละเอียดเป็นจุณ จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
(๓). สิมปลิวนนรก สัตว์นรกทั้งหลายที่ยังมีเศษอศุลกรรมเหลืออยู่ ถึงแม้พ้นจากนรกขี้เถ้าร้อนแล้วก็ยังไม่หลุดพ้น ยังต้องเสวยทุกข์จากนรกป่าไม้งิ้วต่อไปจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
(๔). อสิปัตตวนนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกข์จากป่าไม้ใบดาบ เช่น ใบมะม่วงซึ่งกลายเป็นหอกดาบ และมีสุนัขแร้งคอยทรมานขบกัดกินเลือดเนื้อ จนกว่าจะสิ้นกรรม
(๕). เวตรณีนรก สัตว์นรกที่เกิดมาได้รับทุกข์จากน้ำเค็มแสบที่มีเครือหวายหนามหล็ก ใบกลีบบัวหลวงเหล็กตั้งอยู่กลางน้ำ ซึ่งคมเป็นกรด มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
( ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม ) ( อยู่รอบ ๔ ทิศ ๆ ละ ๑๐ ของมหานรกแต่ละขุม )
(๑). โลหกุมภีนรก เป็นหม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยน้ำแสบร้อนเดือดพล่านตลอดเวลา สัตว์ที่มาเกิดต้องได้รับทุกข์ทั้งแสบทั้งร้อนเสวยทุกขเวทนาอย่าง แสนสาหัส ถูกต้มเคี่ยวในหม้อเหล็กนรกนั้นจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วที่ตนได้ทำมา
บุพกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆมาต้มในหม้อน้ำร้อน แล้วเอามากินเป็นอาหาร
(๒). สิมพลีนรก เต็มไปด้วยป่างิ้วนรก มีหนามแหลมคมเป็นกรดยาวประมาณ ๓๖ องคุลี ลุกเป็นเปลวไฟแรงอยู่เสมอ สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับ ทุกข์ทรมานจนสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม เช่น คบชู้สู่สาว ผิดศีลธรรมประเพณี ชายเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น หญิงเป็นชู้สามีของผู้อื่น หรือชายหญิงที่มีภรรยาหรือสามี ประพฤตินอกใจไปสู่หาเป็นชู้กับผู้อื่น มักมากในกามคุณ
(๓). อสินขะนรก สัตว์นรกที่มาเกิดมีรูปร่างแปลกพิกล เช่น เล็บมือเล็บเท้าแหลมยาว กลับกลายเป็นอาวุธ หอก ดาบ จอบ เสียม สัตว์นรกเหล่านี้ เหมือนคนบ้าวิกลจริตบ้างนั่ง บ้างยืน เอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นอาหารตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม เช่น เมื่อมนุษย์ชอบลักเล็กขโมยน้อย ขโมยของในสถานที่สาธารณะและของทีเขาถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
(๔). ตามโพทะนรก มีหม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงปนด้วยหินกรวด ร้อนระอุตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ โดยการถูกกรอกด้วยน้ำทองแดง และกรวดหินเข้าไปทางปาก จนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม ด้วยผลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนๆเป็นคนใจอ่อนมัวเมา ประมาท ดื่มสุราเมรัย แสดงอาการคล้ายคนบ้าเป็นเนืองนิจ
(๕). อโยคุฬะนรก เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด อกุศลกรรมบันดาลสัตว์นรกที่มาเกิดเห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหาร เมื่อกินเข้าไปแล้วเหล็กแดงนั้นก็เผาไหม้ไส้พุง ได้รับทุกขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม เช่น แสดงว่าตนเป็นคนใจบุญใจกุศล เรี่ยไรทรัพย์ว่าจะนำไปทำบุญสร้างกุศล แต่กลับยักยอกเงินทำบุญของผู้อื่นมาเป็นของตน การกุศลก็ทำบ้างไม่ทำบ้างตามที่อ้างไว้หลอกลวงผู้อื่น
(๖). ปิสสกปัพพตะนรก มีภูเขาใหญ่ ๔ ทิศ เคลื่อนที่ได้ไม่หยดหย่อน กลิ้งไปมาบดขยี้สัตว์นรกที่มาเกิดให้บี้แบนกระดูกแตกป่นละเอียดจนตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีก ถูกบดขยี้อีกจนตายเรื่อยไปจนสิ้นกรรมของตน
บุพกรรม เช่น เคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ประพฤติตนเป็นคนอันธพาล กดขี่ข่มเหงราฎร ทำร้ายร่างกาย เอาทรัพย์เขามาให้เกินพิกัดอัตราที่กฏหมายกำหนด ไม่มีความกรุณาแก่คนทั้งหลาย
(๗). ธุสะนรก สัตว์นรกที่มาเกิดมีความกระหายน้ำมาก เมื่อพบสระมีน้ำใสสะอาดที่ดื่มกินเข้าไปอำนาจของกรรมบันดาลให้น้ำนั้นกลายเป็นแกลบเป็นข้าวลีบลุกเป็นไฟเผาไหม้ท้องและลำไส้
เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส จากกรรมชั่วที่ทำมา
บุพกรรม เช่น คดโกงไม่มี ความซื่อสัตย์ ปนปลอมแปลงอาหารและเครื่องใช้แล้วหลอกขายผู้อื่น ได้ทรัพย์สินเงินทองมาโดยมิชอบ
(๘). สีตโลสิตะนรก เต็มไปด้วยน้ำเย็นยะเยือก เมื่อสัตว์นรกที่มาเกิดตกลงไปก็จะตายฟื้นขึ้นมาก็ถูกจับโยนลงไปอีกเรื่อยไปจนสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆ โยนลงไปในบ่อ ในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์เป็นๆ
ทิ้งน้ำให้จมน้ำตาย หรือทำให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้รับความทุกข์และตายเพราะน้ำ
(๙). สุนขะนรก เต็มไปด้วยสุนัขนรก ซึ่งมี ๕ พวกคือ หมานรกดำ หมานรกขาว หมานรกเหลือง หมานรกแดง หมานรกต่างๆ และยัง มีฝูงแร้งกา นกตะกรุม สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกสุนัข แร้งกา ไล่ขบกัดตรงลูกตา ปากและส่วนต่างๆ ได้รับทุกขเวทนาจากผลกรรมชั่วทางวจีทุจริต
บุพกรรม คือ ด่าว่าบิดามารดา ปู่ยาตายาย พี่ชายพี่สาวและญาติทั้งหลายไม่เลือกหน้า
ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ตลอดจนพระภิกษุสงฆ์สามเณร
(๑๐). ยันตปาสาณะนรก มีภูเขาประหลาด ๒ ลูก เคลื่อนกระทบกันตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกภูเขาบีบกระแทกได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นมา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม เช่น เป็นหญิงชายใจบาปหยาบช้าด่าตีคู่ครองด้วยความโกรธแล้วหันเหประพฤตินอกใจไปคบชู้เป็นสามีภรรยากับคนอื่นตามใจชอบ
โลกันตร์
( โลกันตร์นรก ๑ ขุม )
โลกันตนรก เป็นนรกขุมใหญ่ อยู่นอกจักรวาล มืดมนไม่มีแสง มองไม่เห็นอะไรเลยและเต็มไปด้วยทะเลน้ำกรดเย็น
ที่ตั้ง อยู่ระหว่างโลกจักรวาล ๓ โลก เหมือนกับวงกลม ๓ วงติดกัน คือ บริเวรช่องว่างของวงทั้ง ๓ สัตว์นรกที่มาเกิดต้องได้รับทุกขเวทนาเป็นเวลา ๑ พุทธันดร จากผลกรรมชั่ว เช่น ทรมาน ประทุษร้ายต่อบิดามารดา และผู้ทรงศีล ทรงธรรมหรือปาณาติบาตเป็นอาจิณ ฆ่าตัวตาย เป็นต้น
( โลกนรกประกอบด้วย )
มหานรก ๘ ขุม
อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม
ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม
โลกันตร์นรก ๑ ขุม
รวม ๔๕๗ ขุม
ภพภูมิในพระพุทธศาสนา
ในทางพระพุทธศาสนานั้น แบ่งภพภูมิที่สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในวัฏสงสารจะสามารถไปเกิดได้ ตามผลกรรมของตน ไว้ทั้งสิ้น 31 ภูมิใหญ่ๆ เรียงจากภูมิสูงไปหาภูมิต่ำได้ดังนี้คือ
(ดูจากล่างขึ้นบน จะเข้าใจได้ง่ายกว่า)
อรูปภูมิ
4
ชั้น  เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
อากิญจัญญายตนภูมิ
วิญญาณัญจายตนภูมิ
อากาสานัญจายตนภูมิ
รูปภูมิ
16
ชั้น  จตุตถฌานภูมิ
7
ชั้น  สุทธาวาสภูมิ
5
ชั้น  อกนิฏฐาภูมิ
สุทัสสีภูมิ
สุทัสสาภูมิ
อตัปปาภูมิ
อวิหาภูมิ
เวหัปผลาภูมิ
อสัญญสัตตภูมิ
ตติยฌานภูมิ
3 ชั้น สุภกิณหกา
อัปปมาณสุภา
ปริตตสุภา
ทุติยฌานภูมิ
3 ชั้น อาภัสสรา
อัปปมาณาภา
ปริตตาภา
ปฐมฌานภูมิ
3 ชั้น มหาพรหมาภูมิ
พรหมปุโรหิตาภูมิ
พรหมปาริสัชชาภูมิ
กามภูมิ
11
ชั้น  กามสุคติภูมิ
7
ชั้น  สวรรค์
6
ชั้น  ปรนิมมิตวสวัตตี
นิมมานรตี
ดุสิต
ยามา
ดาวดึงส์
จาตุมหาราชิกา
มนุษยภูมิ
อบายภูมิ
4
ชั้น  สัตว์เดรัจฉาน
อสุรกาย
เปรต
นรกภูมิ
ลักษณะพิเศษในบางภพภูมิ
อริยบุคคลทุกประเภทจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ
สิ่งมีชีวิตในอบายภูมิจะบรรลุมรรคผลนิพพานไม่ได้
เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกามีทั้งที่อยู่ระดับพื้นดิน ที่เรียกว่าภุมมัฏฐเทวดา เช่น รุกขเทวดา เป็นต้น และที่อยู่ในอากาศ ซึ่งเรียกว่า อากาสเทวดา
สวรรค์ชั้นดุสิตเป็นที่รวมของนักปราชญ์และผู้มีปัญญา รวมถึงพระโพธิสัตว์
รูปภูมิเป็นที่เกิดของผู้ที่ได้รูปฌาน
ผู้ที่เกิดในอสัญญสัตตภูมิจะมีเฉพาะรูปขันธ์เท่านั้น ไม่มีนามขันธ์อยู่เลย คือจะมีเฉพาะร่างกายไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย เกิดในอิริยาบทใด ก็จะอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิต ไม่มีการเคลื่อนไหว เพราะก่อนตายในชาติก่อนได้จตุตถฌานแต่ไม่ยินดีในการมีความรู้สึก
สุทธาวาสภูมิเป็นที่เกิดของอนาคามีบุคคล (ปุถุชนและอริยบุคคลชั้นต่ำกว่านี้จะไปเกิดที่นี่ไม่ได้)
อรูปภูมิเป็นที่เกิดของผู้ที่ได้อรูปฌาน
ผู้ที่เกิดในอรูปภูมิจะมีเฉพาะนามขันธ์ 4 คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณขันธ์เท่านั้น ไม่มีรูปขันธ์ คือไม่มีร่างกายอยู่เลย เพราะจิตไม่มีความยินดีในรูปทั้งหลาย


ํYellowman

ไม่รู้จะเกียวไหม ผมมีปัญหาของผม แบบว่า ผมเป็นคนพุทธแล้วเปลี่ยนเป็นอิสลาม ถ้าเราตายไปเราจะฝั่งหรือจะเผา
ถ้าญาติทั้ง2ฝ่ายคือพุทรกับอิสลามแย่งศพผมจะทำไง ผมต้องเป็นสัมภเวสีไหม พระพุทรเจ้าก็ไม่ให้ขึ้นสวรรค์ อัลเลาะห์ก็ไม่ให้ขึ้นสวรรค์ หรืออัลเลาะห์ให้ขึ้นสวรรค์แต่พระพุทณเจ้าให้ตกนรก พวกเขาจะทะเราะกันไหมในเรื่องผม

puiey

อ้างจาก: ํYellowman เมื่อ 08:33 น.  13 ส.ค 55
ไม่รู้จะเกียวไหม ผมมีปัญหาของผม แบบว่า ผมเป็นคนพุทธแล้วเปลี่ยนเป็นอิสลาม ถ้าเราตายไปเราจะฝั่งหรือจะเผา
ถ้าญาติทั้ง2ฝ่ายคือพุทรกับอิสลามแย่งศพผมจะทำไง ผมต้องเป็นสัมภเวสีไหม พระพุทรเจ้าก็ไม่ให้ขึ้นสวรรค์ อัลเลาะห์ก็ไม่ให้ขึ้นสวรรค์ หรืออัลเลาะห์ให้ขึ้นสวรรค์แต่พระพุทณเจ้าให้ตกนรก พวกเขาจะทะเราะกันไหมในเรื่องผม

อืม มันก็น่าคิดนะ แต่ถ้าให้ตอบแบบกวน ๆ นะ ตอบไม่ถูก เพราะผมยังไม่เคยตายเหมือนกัน 555 ล้อเล่นนะครับ อย่าซีเรียส
โกธรกับแฟน ขึ้นสเตตัส "โสด" ถ้าวันนึง แม่มึงโกธร มึงไม่ขึ้นสเตตัส "กำพร้า" เลยเหรอ

รุ่นอรหันต์

คนเรา  อย่าไปเบียดเีบียนชีวิตผู้ื่อื่นก็พอแล้ว

ไม่มีใครหรอกที่รู้แหล่งกำเนิดมนุษย์ที่แท้จริง

ที่ปฏิบัติตามกันมาส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องเล่าของคนที่มีชีวิตมาก่อนทั้งนั้น 

เพราะในอดีตมนุษย์ไม่มีการใช้กฏหมาย  ต้องใช้ความเชื่อทางด้านศาสนาเข้ามาแก้ไข

   มนุษย์คู่แรกของโลกคือ...........คุณเชื่อไหมล่ะ

สาย

อ้างจาก: รุ่นอรหันต์ เมื่อ 09:27 น.  13 ส.ค 55
คนเรา  อย่าไปเบียดเีบียนชีวิตผู้ื่อื่นก็พอแล้ว

ไม่มีใครหรอกที่รู้แหล่งกำเนิดมนุษย์ที่แท้จริง

ที่ปฏิบัติตามกันมาส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องเล่าของคนที่มีชีวิตมาก่อนทั้งนั้น 

เพราะในอดีตมนุษย์ไม่มีการใช้กฏหมาย  ต้องใช้ความเชื่อทางด้านศาสนาเข้ามาแก้ไข

   มนุษย์คู่แรกของโลกคือ...........คุณเชื่อไหมล่ะ
ตาอิน กะ ตานา ใช่ไม๊

หลวงตามหาบัวสอนธรรม


ธรรมโอสถรสทิพย์

พระพุทธเจ้าพูดถึงโลกอื่นๆหรือต่างดาว

--------------------------------------------------------------------------------




จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง ประมาณ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร)
ส่วนโดยรอบปริมณฑลทั้งสิ้น (ของจักรวาลนั้น) ประมาณ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

ขนาดหนาของแผ่นดิน ในจักรวาลนั้น แผ่นดินนี้ กล่าวโดยความหนา มีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์

ขนาดหนาของน้ำรองแผ่นดิน สิ่งที่รองแผ่นดินนั้นหรือ
คือน้ำอันตั้งอยู่บนลม โดยความหนามีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์

ขนาดความหนาของลมรองน้ำ
ลมอัน (พัดดัน) ขึ้นฟ้า (โดยความหนา) มีประมาณ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ นี่เป็นความตั้งอยู่พร้อมมูลแห่งโลก

ขนาด ภูเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) และต้นไม้ประจำทวีป อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มี ภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็ประมาณเท่ากันนั้น
ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง (ลึก) ลงไป (ในมหาสมุทร) และสูงขึ้นไป (ในฟ้า) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น (ตั้งอยู่) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ (จาตุ)มหาราช เป็นที่ๆ เทวดา และยักษ์อาศัยอยู่

ภูเขาหิมวาสูง ๕๐๐ โยชน์ ยาวและกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากัน) ประดับไปด้วยยอดถึง ๘๔,๐๐๐ ยอด
ต้นชมพู (หว้า) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้ ๑๕ โยชน์ ลำต้นสูง ๕๐ โยชน์ และกิ่ง (แต่ละกิ่ง)
ก็ ยาว ๕๐ โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของ ต้นชมพู (นี้) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่า ชมพูทวีป

ก็ แลขนาดของต้นชมพูนี้ใด ขนาดนั้นนั่นแหละเป็นขนาดของต้นจิตรปาฏลี (แคฝอย) ของพวกอสูร ต้นสิมพลี (งิ้ว) ของพวกครุฑ ต้นกทัมพะ (กระทุ่ม) ในอมรโคยานทวีป ต้นกัปปะในอุตตรกุรุทวีป ต้นสิรีระ (ซึก) ในบุพพวิเทหทวีป ต้นปาริฉัตตกะ ในดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้นแล ท่านโบราณจารย์จึงกล่าวไว้ว่า
(ต้นไม้ประจำภพและทวีป คือ) ต้นปาฏลี ต้นสิมพลี ต้นชมพู ต้นปาริตฉัตตะของพวกเทวดา
ต้นกทัมพะ ต้นกัปปะ และต้นที่ ๗ คือ ต้นสิรีสะ ดังนี้

ขนาดภูเขาจักรวาล

ภูเขาจักรวาล หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน์
สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็เท่ากันนั้น ภูเขาจักรวาลนี้ตั้งล้อมโลกธาตุทั้งสิ้นนั้นอยู่

ขนาดของภพและทวีป
ใน โลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภพดาวดึงส์ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ภพอสูร มหานรกอเวจี และชมพูทวีปก็ เท่ากันนั้น อมรโคยานทวีป ๗,๐๐๐ โยชน์ บุพพวิเทหทวีปก็เท่านั้น อุตตรกุรุทวีป ๘,๐๐๐ โยชน์ อนึ่ง ในโลกธาตุนั้น
ทวีปใหญ่ๆ ทวีป ๑ ๆ มีทวีปน้อยเป็นบริวาร ทวีปละ ๕๐๐
สิ่งทั้งปวง (ที่กล่าวมานี้) นั้น (รวม) เป็นจักรวาล ๑ ชื่อว่า โลกธาตุอัน ๑ ๑ในระหว่างแห่งโลกธาตุ ทั้งหลายมีโลกันตนรก (แห่งละ ๑)


๑. มหาฎีกาว่า จักรวาล ก็คือโลกธาตุ โลกธาตุได้ชื่อว่า จักรวาล ก็เพราะมีภูเขาจักรวาล ซึ่งสัณฐานดังกง
รถล้อมอยู่โดยรอบเท่านั้นเองไม่ใช่จักรวาลอัน ๑ โลกธาตุอัน ๑
๒. ท่านว่าจักรวาลหรือโลกธาตุนั้นมีมากนัก ช่องว่างในระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาลต่อกัน มีโลกันตนรก ๑
ทุกแห่งไป โดยนัยนี้ คำว่า โลกันตนรก ก็แปลว่า นรกอันตั้งอยู่ในช่องระหว่างจักรวาล ๓ อันนั่นเอง

พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า
จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน จะมีขุนเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) (เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย นั้นคือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔ (นับกันได้ในสมัยนั้น)
มีนรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลกชั้นต่างๆ
โลกธาตุ มี ๓ ขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีจำนวนพันจักรวาล โลกธาตุอย่างกลางมีจำนวนล้านจักรวาล โลกธาตุอย่างใหญ่มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล

ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย
"ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด"
กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า
เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อนแล้วนานๆไปเกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็นง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน
ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว
นรกขุมต่างๆ เทวโลกและพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง

กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา
เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"

๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

-มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
-มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
-สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระวิปัสสี" มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
-สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระเรวะตะ" มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก
-แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง
-ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาด
ต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า "ยุคทมิฬ" เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ "ชมพูทวีป"
-ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป"
เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"
-ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องมาตรัสรู้ที่ทวีปนี้เท่านั้น
๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-เป็นแผ่นดินกว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
-มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก
-มนุษย์ ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม
-มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"
๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
-มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้า
และมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์
มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร
-มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"
๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ
-มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้า
และมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ
ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน
-มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)"
ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา
-มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ ชั้นตาวติงสาห์ภูมิ" ทุกๆคน เป็นกฏตายตัว
-ในภาษาบาลี "อุตร" แปลว่า "เหนือ" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกทวีปนี้ว่า "อุตรกุรุทวีป"

ขอขอบคุณพระไตรปิฏกฉบับประชาชน

--------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย piyaa : เมื่อวานนี้ เมื่อ 10:58 PM

โยคี

โยคี มีในสมัยพุทธกาล จริงหรือไม่ ชมต่อไปนี้
http://youtu.be/r1bfJ4FhwME

คุณหลวง

อ้างจาก: ํYellowman เมื่อ 08:33 น.  13 ส.ค 55
ไม่รู้จะเกียวไหม ผมมีปัญหาของผม แบบว่า ผมเป็นคนพุทธแล้วเปลี่ยนเป็นอิสลาม ถ้าเราตายไปเราจะฝั่งหรือจะเผา
ถ้าญาติทั้ง2ฝ่ายคือพุทรกับอิสลามแย่งศพผมจะทำไง ผมต้องเป็นสัมภเวสีไหม พระพุทรเจ้าก็ไม่ให้ขึ้นสวรรค์ อัลเลาะห์ก็ไม่ให้ขึ้นสวรรค์ หรืออัลเลาะห์ให้ขึ้นสวรรค์แต่พระพุทณเจ้าให้ตกนรก พวกเขาจะทะเราะกันไหมในเรื่องผม

    ผมนับถือธรรมที่พระพุทธองค์แสดง แต่ขณะเดียวกัน ผมเองก็นับถือพระศาสดานบี และเคารพในทุกศาสนา ทุกศาสดา ยกเว้นศาสดาที่สอนสั่งในทางที่ผิดอย่างเช่นโอม ชินริเกียว เป็นต้น

    พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่เจ้าชีวิตของใครทั้งสิ้น หากแต่เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่ศึกษาจิตของตนจนรู้จักถ่องแท้ และนำความรู้นั้นมาบอกแก่พื่อนมนุษย์เพื่อความสุขร่วมกันของสังคมโลก และของตนอย่างปัจเจก

    คุณจะเป็นอย่างไรก็ตาม จะดี จะชั่ว จะนับถือใครมาก่อน หรือหลังก็ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องของคุณ คุณจะไปนรกไปสวรรค์ก็ไม่เกี่ยวกับพระองค์ เพราะคุณตัดสินตัวเองแล้วด้วยการกระทำทั้งสิ้นของคุณทั้งการกระทำทางกาย วาจา และใจ และส่วนตัวก็คิดว่าพระอัลเลาะห์ก็ทรงมอบสิทธินั้นแก่มนุษย์ทุกคนแล้ว แล้วแต่ใครจะใช้มันอย่างไร

    ชีวิตของคุณ คุณจะตัดสินมันเอง หรือให้ใครตัดสิน


.....สะบายดี ในวันอากาศอบอุ่น....
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณหลวง

อ้างจาก: Mr.No เมื่อ 17:36 น.  13 ก.ค 55

สวัสดีท่านเณรเทือง..

ผมเห็นกระทู้นี้นับเป็นกระทู้ที่ค่อนข้างยาวและมีผู้อ่านมากทีเดียว...แต่อ่านแล้วก็พบว่ามีประเด็นที่ผมมองว่าชวนไปในทางที่ขัดแย้งมากขึ้น มากกว่าที่จะถกกันเป็นประเด็นที่น่าสนใจ

ผมเห็นว่า กระทู้นีค่อนข้างกว้างในทางการตีความครับ.... เพราะหาก ตีความว่า การไม่มีศาสนา แล้วกลายเป็นคนไม่ดี หรือเป็นคนขวางโลกหรืออะไร ผมอยากให้มองที่ปัจเจกบุคคลมากกว่า...

ถ้าจะให้ความหมายของ "ศาสนา" ในความหมายของสัญลักษณ์ ผมเห็นว่านั่นอาจไม่ได้มีค่าหรือความหมายที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของเจตนารมณ์แห่งศาสนานั้น  ๆ อยากให้เป็น

เพราะแม้นหากระบุชัดในบัตรประชาชนว่า นับถือศาสนาพุทธ แต่วัตรปฎิบัติกับไม่ต่างอะไรกับโจร แบบนี้ ความหมายของ "ศาสนา" ตามคำถามนี้ คงไม่ใช่อย่างที่ผู้ตั้งกระทู้หมายถึง

แต่ผมเข้าใจว่า...ผู้ตั้งกระทู้ อาจตั้งประเด็นโดยมองไปที่คนรุ่นใหม่ ที่มักอ้างว่า ตัวเองไม่มีศาสนา ซึ่งเองผมเคยมีประสบการณ์เมื่อสมัยหนุ่ม ๆ และรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ ว่า จำเป็นหรือที่จะต้องยึดติดกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง?

ผมเคยรู้สึกว่า  คำว่า "ศาสนา" มันก็เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์..และการใส่บาตร หรือเข้าวัดทำบุญนั้น ก็แค่ประเพณีและวัฒนธรรมที่ไม่สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ ที่ส่วนใหญ่ เข้าวัดทำบุญ เพื่อมุ่งสู่ "นิพพาน" หรือ บางคนที่ต่ำกว่าก็คือการทำบุญให้คนที่ตายไปแล้วได้กิน...หรือตัวเองอาจได้กินจากผลบุญทีตนทำเมื่อละโลกนี้ไป

และผมเอง..ก็สำคัญตนว่า ตัวเองนั้น ปฎิบัติดี แล้ว..อะไรมันจะมีค่าเท่านี้...แค่นี้ก็พอสำหรับมนุษย์แล้ว

และที่สำคัญก็ือ คำถามก็คือ... ตายแล้ว มันสูญ!  หรือ เป็นวัฎฎะ กันแน่?

ผมเคยคิดว่า...แค่การปฎิบัติตนให้เป็นคนดี ...ไม่เกะกะเกเร และอยู่ในสังคมอย่างไม่เป็นภาระให้ใคร..ก็น่าจะพอเพียง และไม่จำเป็นต้องไป "ปฎิบัติธรรม" แบบที่เค้าทำให้กันตามวัดพระ วันโกน ให้เป็นเรื่องพะรุงพะรังกิจวัตรเปล่า ๆ

นั่นเป็นความคิดของผมเมื่อวัยสามสิบ,สี่สิบ...ที่สมองเต็มไปด้วยพลัง...มากไปด้วย ทิฐิมานะ...และ ความเป็นอัตตาที่ถือเอาความคิดตนว่า ดีแล้ว..เจ๋งแล้ว เป็นใหญ่....

ผมตีความศาสนาในเชิงปรัชญาผิดพลาด...และค่อนข้างหยาบทีเดียวในห้วงเวลานั้น

แต่หลังจากที่ร่างกายเริ่มเปลี่ยนโทรม...สีผมเริ่มเป็นดอกเลาและขาวโพลน..ฟันฟางที่เคยงดงามเป็นที่รักสวยงามเริ่มหักกร่อน ไม่สวย..ไม่หล่อ ไ่มเท่ห์ และไม่เป็นสิ่งที่มันเคยเป็น..และเริ่มเปลี่ยนไปตามสังขารและร่วงโรยตามวัย  ตามมาด้วย ความเปลี่ยนแปลงของสุขภาพตามวัย.... ผมจึงเริ่มลดทิฐิ และพิจารณาโลกตามความจริง รวมทั้งศึกษาศาสนาพุทธ ในทางที่ลึกซึ้งมากขึั้น.... ซึ่งก็พบว่า แท้จริงแล้ว ผมแค่เข้าใจ "ศาสนา" ได้เพียงเปลือกกระพี้...และยึดเอาเปลือกนั้นเป็นสรณะตัดสิน ความหมายปรัชญาอันยิ่งใหญ่ลึกซึ้งด้วย ความรู้แค่ "เต่า ๆ " ที่มาจากเปลือกแห่งความถือดีของผมเองเท่านั้น

เพราะถ้าเราตามดูจิตของตัวให้ดีและให้สอดคล้องตามวัยที่เหมาะสม เราจะพบว่าความจริงที่เป็นมหัศจรรย์กับความหมายของคำว่า "ปฎิบัติธรรม" และ "ศาสนา" ได้อย่างแยบคายมากขึ้น

ศาสนา ได้วางรากฐานให้ ผู้เดินตาม พิจารณาเดินตามให้ถูกต้องและหากเดินตามให้ถูกสเตป...เราจะพบว่า ธรรมะแห่งพุทธองค์ (ในศาสนาพุทธ) ที่ผมนับถือยิ่งนั้น   มีอะไรที่มหัศจรรย์และยอดเยี่ยมที่สุด และที่สำคัญ เป็นอภิมหาวิทยาศาสตร์อย่างที่สุด

คำว่า "บรรลุธรรม" หรือ "อรหันต์"  นั้น คือการเข้าถึงสภาวะแห่ง "จิต" ที่ ไม่ยึดติดอะไรกับสิ่งที่เป็นโซ่ตรวนของมนุษย์อีกต่อไป  และ "อรหันต์" ก็คือ  "สภาวะ" มิใช่  "สมณะ"

ดังนั้น.. ผมสรุปว่า การจะมีศาสนาหรือไม่นั้น...ไม่สำคัญเท่ากับว่า ได้วางรากฐานของการเป็นคนดีไว้หรือไม่....
เพราะหาก เริ่มดี... เมื่อวัยถึง..เวลานั้นมา สุดท้าย เราจะรู้เองว่า  ศาสนา นั้นมีคุณค่าแค่ไหน?
ผมคิดเห็นเป็นดังนี้ครับ

    ไม่มีเวลาเพิ่มเติม แต่ขอบคุณที่ให้ความคิดเห็นดีๆ สุดท้ายศาสนาก็เป็นเปลือกที่คนอาจหลงยึดติดและยกตนเองขึ้นมาเกินจริง และบางทีการประกาศไร้ศาสนาอาจเป็นแค่การยึดติดไปอีกฝั่งเท่านั้น หาใช่การล่วงพ้นไม่

    ขอบคุณครับ ระลึกถึงเสมอ แต่ไม่มีเวลามาเยี่ยมมากนัก สบายดีนะครับท่านพี่

    สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅนหลง

คิดถึงฅุณหลวงอยู่เสมอ แต่เบื่อๆ อยากอยาก ไม่ค่อยได้แวะมา ส.ก๊ากๆ ส.บ่น

ถึงคุณหลวงคิดลบ

ถ้าคุณหลวงอคติเอาชั่วก็ได้ชั่ว แต่ถ้าเอาดี ก็ดีทะลุแก่นธรรมแน่ กระทู้นี้ ผมการันตีเลย ว่าได้ สาระแก่นสารมากที่สุดในบรรดาทุกๆกระทู้ที่มีอยู่ แต่ขอให้แยกให้ออกว่าดีชั่วเป็นอย่างไรและคัดเอาที่ดีๆ อย่าสืบเสาะและคิดไปเองและยึดติดในตัวบุคคล บุคคลนั้นอาจจะบรรลุอรหันต์และเล่นพิเรนก็ได้สมมุตินะ แต่ยังไงก็นอกธรรมวินัยมันก็ผิดอย่างที่เข้าใจ  และหลายคนได้แก่นแท้ของสัจจะธรรมแน่นอนถ้าได้อ่านทำความเข้าใจ แต่เมื่อจับจิตเพ่งให้ดีและศึกษาธรรมจะรู้ว่า คุณได้อะไรที่ดีๆเยอะมาก ถ้าไม่เชื่อแยกไม่ออกว่าของแท้เป็นยังไง เข้ามา ดีเบตกันให้รู้ธรรมะหรืออธรรม มาคุณหลวง แล้วจะ อธิบายให้ฟังว่าอะไรเป็นอะไร บทโลกียะธรรม กับโลกุตะระธรรมมันจำเป็นที่ต้อง แอ๊คติ้งให้เห็นต่างกัน ในเมื่อเรารู้จิตที่แท้จริงว่าเป็นยังไงไปไหนก็กลับมาที่เดิมที่ธรรมะ เหมือนมุมมาแรง เมื่อไม่ยึดติดก็ปล่อยวาง แล้วก็ผ่อนคลาย แล้วก็สะบาย แล้วก็ตายแล้วก็ ฯลฯ ส-เหอเหอ