ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ไม่มีศาสนา

เริ่มโดย เณรเทือง, 17:01 น. 28 มี.ค 55

เอาดีหรือเอาชั่วล่ะ

คุณหลวงเฮ้อ สืบต่อไป แล้วจะรู้ว่ามีกี่บทบาท ในเมื่อตามสืบเสอะและคิดคาดคะเนเอา หาที่ชั่วก็ได้ชั่วก็เอาไป ถ้าเอาที่ดีจะรู้ว่าสิ่งที่คัดให้ไปแก่นแท้ของธรรม บุญไม่ถึงอย่าหวังว่าจะเข้าใจ ก็ไม่โทษหรอก ไปทำมาให้บุญถึงรู้เท่าๆกันก่อน แล้วจะรู้ว่า เราหวังดีในกระทู้นี้นะ ชื่อมันก็บอกอยู่ว่าไม่มีศาสนา แล้วลื้อจะคาดหวังอะไรหรือ แต่ถ้าคัดเอาที่ดีๆ สาระแก่นธรรมเยอะกว่าทุกกระทู้การันตีแน่นอน จากคนบ้าๆ อย่าเชื่อ อะอะอะ ส.ฉันเอง ส-เหอเหอ ส.อ่านหลังสือ

แนวคิดนอกกรอบ

หลักการคิดนอกกรอบ ที่ดีๆยังมีอีกเยอะ ขอให้จินตนาการพรั่งพรู และจับใจเข้าถึง จะรู้ว่า มุมพลิกแพลงมันยังมีอีกมากล้น แต่ขอให้สุดท้ายมันเอียงเข้าขั้วบวก ก็จะอยู่ในกระแสธรรม ถึงจะอ้อมบ้างแต่มันมีความ เอนเตอร์เทน หลากหลายไม่น่าเบื่อ ยังไงก็อยู่ในอวิชชา อยากจะเล่นจะทำไงได้ ก็วิชาที่ศึกษามาเยอะและดัดแปลงมาบ้าง ส.หลก ส-เหอเหอ ส.อ่านหลังสือ

สุดท้ายก็บ้านี่หว่า

แต่บ้าธรรมว่ะ สไตร์ใครสไตร์มัน เลียนแบบได้แต่ ระวังก็แล้วกัน ศึกษาให้เยอะหน่อย  ส-เหอเหอ ส.อ่านหลังสือ

เก็บชื่อเอาดีไว้

รักษาหน้าตาไว้เผื่อไว้โพสให้คนนับถือได้นานๆไง นั่นแหละคือการยึดติดกับชื่อหรืออะไรซักอย่างความอึดอัดก็ตามมามีตัวตนมีอัตตาแล้ว ขอโม้ซักหน่อยนะ อรหันต์เท่านั้น ที่ควรจะต่อกรกับ... และต้องพิเรนด้วย อรหันต์ที่ดีๆไม่ซน ไม่มายุ่งหรอก เพราะ นี่มัน โลกียะธรรม ถ้าเป็น สมณะ เปลืองตัวเสียเครดิต ต้อง ฆราวาสบรรลุรรมเท่านั้น พอจะ.....อย่าเชื่อ แค่ คนบ้าๆ แต่บ้าธรรม ไม่เสียชาติเกิดแน่ถ้าบ้าอย่างนี้ อย่าเชื่อ นะ เอ้าก็อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมาไง โทษทีชักจะอวดไปหน่อยแล้วก็พอรู้ตัวอยู่ แต่ยังมีอีกเยอะ กลัวจะรับไม่ได้และเข้าไม่ถึง เดี่ยวจะสร้างกรรมให้ตนเองเปล่าแล้วมาด่ามาว่าคนที่หวังดี สุดท้ายก็ไม่มีใครหวังดีเท่า.... ให้ นิพพาน กับทุกคน แต่ พิเรนไปหน่อย ก็แยกแยะเอา นะ หาส่วนที่ดีหมดก็เหมือนหาหางเต่าไง เห็นท่านพุทธทาส บอก  ส.ดุดุขำขำ ส-เหอเหอ ส.อ่านหลังสือ

ดูเรดติ้ง

ถ้าไม่เอนเตอร์เทนจะมีคนเข้ามาอ่านเกือบ ห้าพันคนแล้วเหรอ ไม่รู้แยกดีแยกชั่วออกซักกี่คน แต่ถ้าเข้ากระดานลานบุญ ก็คงมาหาอะไรซักอย่างถือ ว่ามีบุญมีกรรมร่วมกันแล้ว แต่ให้ยึดถือความถูกต้องกว่าตัวบุคคลและประวัติอดีตของเค้าของใครก็แล้วแต่ จะบอกให้ ชีวิตเรา ไม่ได้มาจากเรากำหนดเองทั้งหมดหรอก มันพึ่งพาซึ่งกันและกัน และส่ง ต่อๆกันเหมือน วิ่งไม้ผลัด เมื่อตั้งจิตอยู่ที่ความว่าง จะรู้ได้ว่า ทุกความคิดสื่อสารถึงกันแล้วแต่กำลังสติระลึกรู้และกรรม บรรดาลให้เราคนนั้นคนใดคนหนึ่งทำดีหรือชั่ว ธรรมะคือตัว กันความชั่วสกัดชั่วให้บางเบาลง หรือทำให้ความชั่วหายไปจนหมด แล้วแต่บุญบารมีที่ได้สร้างมาในชาติปางก่อน อย่าเชื่อ ก็แค่ความเข้าใจส่วนตัว ก็ ลองไตร่ตรองดูก่อน ไม่เอาก็ทิ้งไปอย่าใส่ใจ

สุดท้ายก็บ้าแอ๊ะบ้าอะไร

ก็ให้ศึกษาแก่นธรรมที่เหมาะสมของแต่ละคน เพราะบุญกรรมที่สร้างก่อมาไม่มีทางที่จะเหมือนกันเด๊ะแน่นอน ส-เหอเหอ ส.อ่านหลังสือ

แก่นธรรมอยู่ไหนล่ะ

อยู่ใน พระไตรปิฎกไง ก็ ตัวแทน ของพระพุทธองค์ ตรงๆเน้นๆ ฟังธรรมพระดังๆให้เยอะที่สุด แล้วหาคำตอบสุดท้ายที่พระไตรปิฎก นอกเหนือจากนั้นอยู่ที่ไหวพริบ บุญทำ กรรมเวร ที่จองล้างจองผลาญ ส่งบุญแผ่เมตตาอโหสิกรรม จนเค้าปล่อยวางเสื่อมคลายรึเปล่านี่จากการถวายทานให้ทาน แต่ถ้าปฏิบัติกรรมฐานเดินจงกรมภาวนาจนจิตละเอียดหลุดพ้นแล้ว เจ้ากรรมนายเวรหาไม่เจอแม้พยามารตัวร้ายกาจที่สุดโกรธจนแผ่นดินแผ่นฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่นก็หาไม่เจอ แน่นอน เหมือนขี้โกงทำผิดแล้วหลุดลอยนวลในชาตินี้นะ แต่ชาติแล้วๆมาสร้างบุญบารมีมหาศาลถึงได้ตัดกรรมหนักชาติปัจจุบันและเข้าอรหันต์ไปได้ ดูไม่ยุติธรรมเลยเนอะ แต่เป็นแบบนั้นจริงๆแต่ส่วนน้อย พวกโจรอย่ายิ้มนะยากที่จะมี ต้องได้รับธรรมจากพระพุทธเจ้าโดยตรงเท่านั้น ไม่งั้น ไม่มีทาง มีก็ น้อยมากๆ อย่าเชื่อ เป็นความรู้เชื่อเอาเองส่วนตัว  ส.อ่านหลังสือ

ของแท้สุดๆไม่อั้นอยู่นี่

จะบอกให้ว่าทุกศาสนาหลักๆไปทางเดียวกันขึ้นสู่ภพภูมิมนุษย์เป็นอย่างน้อยขึ้นไปเบื้องบนจนอรูปพรหมก็แค่นั้น แต่ถ้าหลุดพ้นและเข้าอรหันต์ มีเพียงพุทธเท่านั้น เมื่อเชื่อในหลักการของเหตุและผล โน้มเอียงไปทาง วิทยาศาสตร์ นอกเหนือที่วิทยาศาสตร์ยากเข้าถึง ไม่สามารถหาคำตอบได้ก็มี เยอะมหาศาล เอกหนึ่งเดียวอยู่ใน พระไตรปิฎก นอกเหนือจากนั้น ดีใช้ได้ แต่ ลอกดัดแปลง ตัดตอนมา ประยุกค์เป็นสไตร์ของตัวเอง แล้วยกตู่เองว่าสุดยอด แต่ไม่ได้สุดหรอก สุดจริงๆอยู่ ที่นี่ แน่นอน ตรงๆเน้นๆ แอ๊ะที่ไหน (พระไตรปิฎกฝรั่งรู้เอาไปศึกษาควบคู่วิทยาศาสตร์และเค้ารู้แล้วว่า เสียเวลาตาบอดคลำช้างตั้งนาน มันอยู่ในนี้เอง มันคือ หัวใจของจักรวาลกาลแล็คซี่มันมีอยู่แล้วเป็นธรรมดา แค่พระพุทธองค์ไปพบ และแค่บอกชี้ทางให้โดยใช้ญาณจิตที่ละเอียดที่สุดแล้วเพ่ง ทิ้งเป็นแผนที่ คือใบไม้กำมือเดียว ที่เสียเวลาอยู่ส่วนใหญ่เฉี่ยวเฉียดๆกระพี้ ไม่เอาแก่นเน้นเงินตรา ไม่ใช่ของคู่กันกับ สมณะ ผู้ครองธรรม แน่นอน นอนแน่มาแต่ไกล ส-เหอเหอ ส.อ่านหลังสือ

คำสอนสุดท้ายพระพุทธองค์

คำสอนสุดท้ายของพระพุทธเจ้า

ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายเป็นพระดำรัสสุดท้ายว่า "หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" ฯ


โอวาทครั้งสุดท้ายของอาจารย์มั่น
(บันทึกโดยพระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต)
จากหนังสือ"เพชรน้ำหนึ่ง"

"ผู้ถือไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มากมายเข้าแล้ว แผ่นดินนับวันแคบ มนุษย์แม้จะถึงตาย ก็นับวันมากขึ้น นโยบายในทางโลกีย์ใดๆก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม เป็นไร่เป็นนาจะไม่วิเวกวังเวง

ศาสนาทางมิจฉาทิษฐิ ก็นับวันจะแสดงปฏิหาริย์ คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคและกระบือ ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย

ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายจงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่แก่ธรรมดังไฟที่กำลังใหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร ทั้งโลกภายในหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ทั้งโลกภายนอกที่รวมเป็นสังขารโลก ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืนเถิด

ความเบื่อหน่ายคลายเมาไม่ต้องประสงค์ ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆและแยบคายด้วยจะเป็นสัมมาวิมุตติ และสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไม่ต้องสงสัยดอก

พระธรรมเหล่านี้ไม่ล่วงไปไหน มีอยู่ ทรงอยู่ในปัจจุบัน จิตในปัจจุบัน ที่เธอทั้งหลายตั้งอยู่หน้าสติ หน้าปัญญา อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหละ"

หาการ์ดจอ

อ้างถึงอยู่ใน พระไตรปิฎกไง

OH NO คัมภีร์ไบเบิ้ลตะหาก ไอขอยืนยัน

ดูให้ดี

อ้างจาก: หาการ์ดจอ เมื่อ 11:39 น.  26 ส.ค 55
OH NO คัมภีร์ไบเบิ้ลตะหาก ไอขอยืนยัน
ถ้าได้อ่านศึกษาจริงๆ ไบเบิ่ล เป็น เด็กๆไปเลย ขอบอก ให้เชื่อศรัทธาโดยไม่มีเหตุผล ของแท้ อยู่ในพระไตรปิฎก ล้าน%

วิศวามิต

คัมภีร์ไตรเภท ต่างหาก ของแท้

มิติลี้ลับ

มิติซ้อนมิติ2โดยศาสตราจารย์นายแพทย์สมรัตน์ จารุลักษณานันท์

--------------------------------------------------------------------------------



















การ ที่เกิดมาแล้วได้พบพระพุทธศาสนา เป็นบุญอันประเสริฐ ข้า้พเ้จ้า้ได้มีโอกาสเล่าเรียน และประสบความก้า้วหน้าในชีวิตการงาน สมาชิกในครอบครัวไม่ประสบกับปัญหาใหญ่ใดๆ เคยคิดว่า่ ตัวเรานั้นมีความสุข ซึ่งอันที่จริงแล้ว เป็นความสุขทางโลกล้วนๆ ข้า้พเจ้า้ ประสบกับวิกฤตชีวิตครั้งใหญ่เมื่อปลายปี พ.ศ.2550 เนื่องจากมีอาการตับวายกระทันหันจากไวรัสตับอักเสบ ซึ่งซ่อนตัวเป็นพาหะอยู่ หลังจากการผ่า่ตัดเปลี่ยนตับ ก็มีอาการดีขึ้นจนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติสามารถดำรงตำแหน่ง ประธานราชวิทยาลัยวิสัญญีแพทย์แห่งประเทศไทย เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทยเป็นวิสัญญีแพทย์ใ์ห้ยาระ งับความรู้สึกแก่ผู้ป่วย สอนนิสิตแพทย์ และเป็นนักวิจัย ข้าพเจ้ายังมีความโชคดีอีกประการหนึ่งคือ มีกัลยาณมิตรหลายคน หนึ่งในนั้นคุณหมอโก้ซึ่งเป็นทั้งแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์รุ่นน้อง เป็นกัลยาณมิตรทางธรรม
ราวเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2554 คุณหมอโก้เ้คยพูดถึง คุณวารุณี สวัสดิภักด์ิ หรือที่คุณหมอโก้เรียกว่า "คุณอา" มองเห็นว่าที่เมืองๆ หนึ่งในประเทศญี่ปุ่นจะมีคลื่นยักษ์ ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2554 ต่อมาคุณหมอโก้ไ้ด้ไ้ปพบกับคุณอาอีก มีการพูดถึงข้า้พเจ้า้ โดยบังเอิญ คุณอาของคุณหมอโก้ได้พูดถึงข้า้พเจ้า้ โดยยังไม่เคยพบเห็นหรือรู้จักกับข้าพเจ้ามาก่อนว่า
"อาจารย์หมอ เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ แต่ในตัวมีตับของคนอื่นอยู่แล้วทำไมจึงมีภูมิต้านทานต่ำเล่า?"
คุณหมอโก้ตอบว่า "อาจารย์เป็นผู้ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนตับ ต้องรับประทานยากดภูมิต้านทานมิให้ต่อต้านตับที่ได้รับการปลูกถ่ายนั้น"
คุณอากล่าวว่า่ "อาจารย์หมอตอนนี้กำลัง ปวดหลังอยู่มีกระดูกยื่นมากดทับเส้น ประสาท" ซึ่งข้อมูลเป็นข้อมูลเฉพาะตัว ซึ่งผู้อื่นรวมทั้งคุณหมอโก้ก็ไม่ทราบ
ข้า้พเจา้เคยตรวจพบโดยการตรวจด้วยเครื่องสนามแม่เหล็ก นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ข้า้พเจ้า้ ทึ่งคุณอาของคุณหมอโก้ หลังจากข้าพเจ้าสวดมนต์ไหว้พระ และฝึกนั่งปฏิบัติธรรมบางครั้งก็นึกถึงคุณอา ต่อมาคุณหมอโก้ได้โทรศัพท์มาหาว่า "คุณอานึกถึงข้าพเจ้าบ่อยๆ"
ในช่วงนั้นข้าพเจ้า คิดว่าคุณอาน่าจะเป็นผู้ปฏิบัติดีจนมีความสามารถพิเศษ เพียงแต่เรานึกถึง ก็ทำให้ท่านเห็นหรือคิดถึงเราได้ ทันใดนั้นคุณหมอโก้ก็โทรศัพท์มาถามว่า
"ที่บ้านของข้าพเจ้า นอกจากพระพุทธรูปแล้ว บูชาหลวงปู่ทวด เจ้า้แม่กวนอิม เจ้าพ่อกวนอู และพระหน้าขาวๆ ใส่แว่นตาหรือไม่"
ข้าพเจ้ารีบวิ่งลงไปดูที่ห้องพระพบว่า คุณอาถามได้เหมือนกับตา
เห็น สำหรับพระหนา้ ขาวๆ ใส่แว่นตานั้น ก็คือ รูปปั้นพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งไม่น่าที่ใีครจะคาดเดาได้นอกจากเห็นจริงๆ มหัศจรรย์มาก
จากการได้ไปพบปะพูดคุยก็พบว่า คุณวารุณี สวัสดิภักดิ์ เป็นผู้มีเมตตาธรรมสูงมาก คุณอาของคุณหมอโกท่านนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าฝึกภาวนา แม้ว่าจะเริ่มต้นในช่วงปลายชีวิต ข้าพเจ้าได้อ่านต้นฉบับหนังสือของคุณอาวารุณีเล่มนี้ดวยความสนใจและซาบซึ้ง ขออนุโมทนาสำหรับสาระ ธรรมะ และคติเตือนใจจากการอ่านหนังสือฉบับนี้ เนื้อหาเป็นสิ่งที่คุณอาหรือบุคคลอื่นร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ประสบพบเห็นหลายเหตุการณ์ มีหลักฐานเป็นพยานบุคคลแต่ยากที่จะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ควรอ่านแล้วคิดวิเคราะห์ ดังกาลามสูตร นอกจากนี้ เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือ ยังเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในดินแดนพุทธภูมิ ซึ่งชาวพุทธสมควรหาโอกาสไปแสวงบุญในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ขอให้ท่านผู้อ่านเจริญในธรรม อนุโมทนาในบุญกุศลนี้
ร่วมกัน
ศาสตราจารย์นายแพทย์สมรัตน์ จารุลักษณานันท์
1 สิงหาคม 2554

มิติซ้อนมิติเล่ม2 ตอนยายเฒ่าเล่าให้ฟังวางแผงแล้วครับที่ซีเอ็ดบุ๊คทั่วประเทศ
หรือติดตามได้จากเวบhttp://board.palungjit.com/f2/%E0%B8...8C-348553.html



--------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย piyaa : วันนี้ เมื่อ 04:57 PM

Destiny

อ้างจาก: ศุภวุฒิ เมื่อ 00:15 น.  09 ก.ค 55
ต้องพิจารณาที่โลกธรรม 8 ครับ มียศ ก็มีเสื่อมยศ  มีลาภ  ก็มีเสื่อมลาภ  มีสุข  ก็ย่อมมีทุกข์  มีสรรเสริญ  ก็มีนินทา

เมื่อใดก็ตามที่คนเราที่มีกิเลสก็คือตัณหา(ความอยาก) หรือวิภวตัณหา(ความไม่อยาก)อยู่ เมื่อได้สูญเสีย

หรือพลัดพรากจากของรัก ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์หรือคนใกล้ตัวก็ตาม ถึงตรงนั้นคนทุกคนก็ต้องการที่พึ่งทางใจกันทุกคน

เพื่อเอามาปลอบประโลมหรือยึดเหนี่ยวให้จิตใจที่อ่อนแอให้เกิดความตั้งมั่น  ที่นี้ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคลว่า

ได้มีความใกล้ชิดหรือมีพื้นฐานความเข้าใจอะไรเป็นที่ตั้ง  และความเข้าใจตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิ(การปฏิบัติอย่างเหมาะสม

ตามความเป็นจริงด้วยปัญญา)หรือไม่ 

ขอยก พละ 5 มาประกอบนะครับ

    การนับถือศาสนาเริ่มต้นมาจากความศรัทธา ซึ่งเราควรใช้ปัญญา(ความรู้ทั่วอย่างชัดแจ้ง)เป็นตัวควบคุม

ส่วนสมาธิ (ความตั้งมั่น) ตรงนี้สำคัญมากครับ การฝึกตรงนี้เราต้องใช้วิริยะ (ความเพียร)ต้องสู้กับความเกียจคร้าน

เพื่อตัวสุดท้ายคือสติ ซึ่งก็คือความระลึกได้ ต้องคงไว้อยู่สม่ำเสมอ  ก็จะช่วยให้เรานิ่งพอที่จะแก้ปัญหาต่างๆในชีวิต

ได้ดีพอสมควรครับ

ใช่เลยค่ะ
อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจหนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"  พระบรมราชปณิธานของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

Destiny

อ้างจาก: ประมาณนี้ เมื่อ 14:39 น.  22 ก.ค 55
ให้ทาน ก็ได้บุญ รักษาศีล ก็ได้บุญ เจริญภาวนา ก็ได้บุญ แต่

ให้ทาน 100 ครั้ง ยังได้บุญไม่เท่า รักษาศีล 5 เพียงครั้งเดียว

รักษาศีล 5 ร้อยครั้ง ยังได้บุญไม่เท่า ทำสมาธิภาวนาเพียงครั้งเดียว

ทำสมาธิภาวนา (สมถภาวนา) ร้อยครั้ง ยังไม่เท่าภาวนาแล้วได้วิปัสนาญาณเพียงครั้งเดียว

ได้วิปัญณาญาณ 100 ครั้ง ยังไม่เท่าเป็น พระโสดาบัน"



"ให้ทานกับสัตว์ 4 เท้า 100 ครั้ง ยังได้บุญไม่เท่ากับ ให้ทานกับสัตว์ 2 เท้าเพียงครั้งเดียว

ให้ทานกับคนพิการ 100 ครั้ง ก็ยังไม่เท่ากับให้ทานกับ มนุษย์ผู้มีร่างกายสมบูรณ์เพียงครั้งเดียว

ให้ทานกับพระโสดาบัน 100 ครั้ง ยังไม่เท่าให้ทานกับ พระสกิทาคามี เพียงครั้งเดียว

ให้ทานกับพระสกิทาคามี 100 ครั้ง ยังไม่เท่าให้ทานกับ พระอนาคามี เพียงครั้งเดียว

ให้ทานกับพระอนาคามี 100 ครั้ง ยังไม่เท่ากับให้ทานกับ พระอรหันต์ เพียงครั้งเดียว"

เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า "การให้ทานกับผู้ที่สามารถทำประโยชน์ต่อโลกได้มากกว่า จะได้บุญมากกว่า"

"การให้ทานกับผู้ที่มีศีลมีธรรม มีคุณธรรมมากกว่า ก็ได้บุญมากกว่า"

ที่มา geocities


++++++++++++++++++++++++++

ลำดับอานิสงส์ของทาน (ทานํ=การให้)
ให้แก่สัตว์เดรัจฉาน 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้มนุษย์ 1 ครั้ง
ให้แก่มนุษย์ 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้สมมติสงฆ์ 1 ครั้ง
ให้กับสมมติสงฆ์ 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้พระโสดาบัน 1 ครั้ง
ให้กับพระโสดาบัน 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้พระสกิทาคามี 1 ครั้ง
ให้กับพระสกิทาคามี 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้พระอนาคามี 1 ครั้ง
ให้กับพระอนาคามี 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้พระอรหันต์ 1 ครั้ง
ให้กับพระอรหันต์ 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้พระปัจเจกพุทธเจ้า 1 ครั้ง
ให้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้พระพุทธเจ้า 1 ครั้ง
ให้กับพระพุทธเจ้า 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้สังฆทาน 1 ครั้ง
ให้สังฆทาน 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้อภัยทาน 1 ครั้ง
ให้อภัยทาน 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้ธรรมทาน 1 ครั้ง
ดังนั้น การให้ธรรมะย่อมชนะการให้ทั้งปวง ดังพุทธภาษิตที่ว่า "สพฺพทานํ ธมมทานํ ชินาติ"
การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง ส.มองลอดแว่น ส.อ่านหลังสือ

ส.ยกน้ิวให้
อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจหนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"  พระบรมราชปณิธานของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

Destiny

กระทู้นี้ให้ความรู้ทางพุทธศาสนาดีจังเลย  ส.ยกน้ิวให้

อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจหนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"  พระบรมราชปณิธานของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

ไบบุญ

อ้างถึงถ้าได้อ่านศึกษาจริงๆ ไบเบิ่ล เป็น เด็กๆไปเลย ขอบอก ให้เชื่อศรัทธาโดยไม่มีเหตุผล ของแท้ อยู่ในพระไตรปิฎก ล้าน%

แล้วยูอ่านไบเบิ้ลหรือยัง ถ้ายังก็ไปอ่านซะ คัมภีร์อื่น ๆ กลายเป็นเด็ก ๆ ไปเลย

คุณหลวง

อ้างจาก: ถึงคุณหลวงคิดลบ เมื่อ 22:18 น.  24 ส.ค 55
ถ้าคุณหลวงอคติเอาชั่วก็ได้ชั่ว แต่ถ้าเอาดี ก็ดีทะลุแก่นธรรมแน่ กระทู้นี้ ผมการันตีเลย ว่าได้ สาระแก่นสารมากที่สุดในบรรดาทุกๆกระทู้ที่มีอยู่ แต่ขอให้แยกให้ออกว่าดีชั่วเป็นอย่างไรและคัดเอาที่ดีๆ อย่าสืบเสาะและคิดไปเองและยึดติดในตัวบุคคล บุคคลนั้นอาจจะบรรลุอรหันต์และเล่นพิเรนก็ได้สมมุตินะ แต่ยังไงก็นอกธรรมวินัยมันก็ผิดอย่างที่เข้าใจ  และหลายคนได้แก่นแท้ของสัจจะธรรมแน่นอนถ้าได้อ่านทำความเข้าใจ แต่เมื่อจับจิตเพ่งให้ดีและศึกษาธรรมจะรู้ว่า คุณได้อะไรที่ดีๆเยอะมาก ถ้าไม่เชื่อแยกไม่ออกว่าของแท้เป็นยังไง เข้ามา ดีเบตกันให้รู้ธรรมะหรืออธรรม มาคุณหลวง แล้วจะ อธิบายให้ฟังว่าอะไรเป็นอะไร บทโลกียะธรรม กับโลกุตะระธรรมมันจำเป็นที่ต้อง แอ๊คติ้งให้เห็นต่างกัน ในเมื่อเรารู้จิตที่แท้จริงว่าเป็นยังไงไปไหนก็กลับมาที่เดิมที่ธรรมะ เหมือนมุมมาแรง เมื่อไม่ยึดติดก็ปล่อยวาง แล้วก็ผ่อนคลาย แล้วก็สะบาย แล้วก็ตายแล้วก็ ฯลฯ ส-เหอเหอ

    จากท่านผู้นี้จนถึงท่าน  คำสอนสุดท้ายพระพุทธองค์  คาดว่าเป็นคนๆเดียวกัน

    โดยเคารพครับ ผมไม่ได้อ่านทั้งหมดในกระทู้นี้ เพราะไม่มีเวลาเข้าเน็ต เข้ามาครู่หนึ่งมาเจอท่านที่ถามก็แสดงความเห็นไป แน่นอน ก็คิดอยู่ว่าต้องมีฟีดแบ็คกลับมา

    ส่วนตัว เข้ามาในทุกกระทู้ ก็หวังเพียงว่าได้แลกเปลี่ยนแสดงความเห็นกันเท่านั้น อาจมีรุกมีโต้ มีล้อกันตามวิสัย แต่ก็มิได้คิดว่าใครผิด ใครถูก ใครดี ใครชั่ว ใครถึง ไม่ถึง ใคร.....

    มันเป็นเสรีทางความคิดครับ ท่านกิมว่าไว้อย่างนั้น ดังนั้น การดีเบตจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นของผม ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ

    ครั้งหนึ่ง มีโยมผู้หนึ่งมาเที่ยววัดหนองป่าพง เข้าไปกราบนมัสการท่านหลวงปู่ชา ซึ่งท่านกำลังฉันน้ำชาอยู่ โยมผู้นั้นก็พูดถึงอาจารย์ของตนว่าเคร่งครัดอย่างนั้นอย่างนี้ น้ำชา น้ำอื่นๆไม่รับ ฉันแต่น้ำเปล่าเท่านั้น และ ฯลฯ

    หลวงพ่อชาท่านฟังจนจบ ท่านก็ตอบว่า

    "เราชั่ว เราก็รู้ว่าชั่ว และไม่เคยเอาความชั่วของเราไปเดือดร้อนใคร ผู้ที่ดีอยู่แล้วก็ขอให้รักษาความดีไว้ให้ดี อย่าให้ไปเดือดร้อนใครก็พอ"


   สะบายดี...

    ป.ล. ระลึกถึงท่านฅนหลงอยู่เสมอเช่นกันครับ ผมก็ไม่มีเลาเข้ามามากนัก ก็เจอกันตามโอกาสครับผม
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ทุกศาสนาใหญ่ๆสอนให้ดี

w
อ้างจาก: ไบบุญ เมื่อ 09:42 น.  27 ส.ค 55
แล้วยูอ่านไบเบิ้ลหรือยัง ถ้ายังก็ไปอ่านซะ คัมภีร์อื่น ๆ กลายเป็นเด็ก ๆ ไปเลย
ไบเบิลก็ดี แต่มันไม่สุด ถ้าเทียบกันในหลักธรรมในพุทธในพระไตรปิฎก มันแค่โลกียธรรม เป็นธรรมสำหรับให้คนในโลก รักกันไม่เบียดเบียน เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่กัน ถ้าเทียบกับหัวข้อธรรมคือ แต่ อย่าเห็นแก่ตัว หรือ หิริโอตัปปะ จงละอายการกระทำทุกอย่างที่เป็นบาปให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไบเบิ้ล ให้รักกัน เชื่อศรัทธาในพระเจ้าไว้ก่อน สารภาพบาป ทำทานการกุศล ช่วยเหลือแบบทั่วไปให้เชื่อตามๆกันในสิ่งที่ดีกรอบพระคัมภึร์กำหนด อยู่ในกระแสโลก สรุปรวมก็คือดี แต่ยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัตรอยู่ พระเจ้าก็อยู่ในกรอบ ของ เทพพรหมเทวา แสดงฤทธิ์ได้ จำแลงแปลงเป็นทุกอย่างได้ที่มนุษย์เชื่อแล้วว่ามีอยู่หรือนอกเหนือที่มนุษย์รู้จักก็ได้ เหาะเหินอากาศ รักษาคนไข้คนป่วยหนักหายได้อย่างน่าอัศจรรย์ เดินบนน้ำ แหวกทะเล ถ้าดูให้ดีและอ่านเทียบดูจะรู้ว่า ทางเดียวกันเลยในโลกียธรรมสอนแค่ให้คนทำทานช่วยเหลือเกื้อกูลรักกันเมตตาเอ็นดูสงสาร เน้นอยู่อย่างสุขหยาบยังอยู่ใน วงจร ตาเห็น หูฟัง ลิ้นลิ้มรส จมูกดมกลิ่น กายสัมผัส ใจหรือจิตยังทำงานรับรู้อยู่แบบหยาบๆ ไม่รู้เท่าทันจิตที่เคลื่อนไปเรื่อยตามประสาทสัมผัสทั้ง6ที่รับรู้อยู่ในร่างกายเรา มีหมดทุกอย่างในพระไตรปิฎกที่สอนปุถุชนให้อยู่ในระเบียบกฎเกณเบื้องต้นที่อยู่ร่วมกันให้เบียดเบียนกันน้อยที่สุด ก็แค่นั้นก็คือทุกอย่างที่ไบเบิ่ลมี มีหมดในพระไตรปิฎก มันยังไม่ถึงขั้นโลกุตรธรรม ธรรมที่ทำให้จิตยกระดับอยู่ในขั้นหลุดพ้นอยู่เหนือวัฏฏสงสาร แม้ แต่ คัมภีร์ของ ศาสนาหลักอื่นๆที่คนนับถือกันเยอะ มีหมดจบที่พระไตตรปิฎก ไขความกระจ่างข้อสงสัยได้หมด รวมไปถึง ระบบวิทยาศาสตร์ของโลกปัจจุบัน ที่ค้นพบมีแล้วสร้างขึ้นมาแล้ว มันมีผู้รู้มาก่อนแล้วโดยรับรู้ด้วนการใช้ญาณหยั้งรู้มองด้วยตาในย้อนอดีต ไปอนาคต โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองวัตถุธาตุ น้ำมัน ธาตุแร่ ขุดเจาะ โค่นทำลายป่าไม้ธรรมชาติ เบียดเบียนสัตว์ เอาสัตว์มาทำวิจัย มาแล่มาหั่น ผ่า ลองยา ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ที่ต้อง ทำลายเบียดเบียนบางอย่างหลายอย่างมาทดแทนกัน เพื่อสนองประสาทสัมผัสทั้ง6ให้รู้สึกว่าสะดวกสะบาย ล้วนเป็นความเสื่อมทางธรรม คือ กิเลศมันมีความละเอียดแยบยลขึ้น ต้องมีอุปกรณ์เสริมมากขึ้นติดตัว มือถือ รถยนต์ ทีวี อาหารเสริมบำรุงร่างกายกังวลระแวงระวังโรค กิเลศมันละเอียดหวานหอมขึ้นยึดติดมากขึ้น ขาดไม่ได้ ขาดแล้วตกยุคไม่ทันกระแส ล้วนแต่ลวงให้ยึดติด ร้อนแผดเผาฯลฯ ถึงได้บอกว่าทุกศาสนาหลักๆสอนให้ไปทางเดียวกัน แต่อยู่ในสังสารวัตรอยู่ แต่ถ้าปฏิบัตรคามเคร่งครัดก็การันตีว่าไปภพภูมิที่ดีแน่ถ้าไม่หลงผิดหลงตาย ภพภูมิมนุษย์เป็นอย่างน้อย จนไปหยุดที่อรูปพรหม แล้วรอเข้าได้เจอกับ คำสอนพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธ ตอนนั้นแหละ จะได้หลุดพ้นเข้านิพพานเหมือนกันไม่ว่าศาสนาไหนถ้าเคร่งครัดไม่หลงผิด จะผ่านไปได้บุญบารมีถึงพร้อมต้องผ่าน ศาสนาพุทธอยู่แล้ว ถึงจะหลุดพ้นแน่นอน ที่ศาสนาอื่นว่าไปอยู่กับพระเจ้ามีชีวิตรนิรันดรนั้น ก็ไปอยู่ในภพภูมิ เทพเทวดาพรหม อรูปพรหมนั่นแหละ มันนานซะจนนึกว่ามีสุขชีวิตนิรันดรไม่ตาย ที่จริงน่ะมันตายวนลงมาอีกลงต่ำได้อีก แค่มันนานๆๆๆมากๆๆๆๆๆ เปรียบเทียบนะก็ประมาณ โลกเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป และมีช่วงว่างๆๆมากๆๆๆและก็เกิดโลกธาตุขึ้นอีกเป็น เกิดดับๆๆๆๆๆๆ เป็น ร้อยๆครั้งหรือพันครั้ง หมื่นแสนล้านครั้ง ภพภูมิยิ่งสูง อรูปพรหมนี่นานสุด เอาแค่ภพภูมิเทวาก่อนนะ ที่พอคำนวนได้ยืนยันแล้วในพระไตรปิฎก เทวดานอนเผลอตายขณะหลับมาจุติในโลกมนุษย์มาปูเสื่อปัดกวาดอำนวยความสะดวกพระพุทธองค์และสาวกอรหันต์ อยู่ประมาณ85ปี มีสามีมีลูก3คนตาย บุญที่ทำส่งผลให้เป็นโอปปาติกะเกิดแล้วโตเต็มวัยทันทีไปเป็นชายาเทวาองค์เดิมนั่นแหละ ตื่นขึ้นมาบอกสามีที่เป็นเทวดาว่า ได้ตายไปเกิดในโลกมนุษย์แล้วก็มาเกิดเป็นชายาองค์เดิมโดยที่สามีไม่รู้ 85ปีในโลกมนุษย์คงประมาณ 4-5 ชั่วโมงที่นอนพักผ่อน หรือ พระหลายองค์เทศให้ฟัง 100ปีโลกมนุษย์1วันเทวดาเอง องค์ในสวรรค์แต่ละชั้น เวลายาวสั้นไม่เท่ากัน 7-8ร้อยปีเทวดา ถึง6-7 พันปีเทวดานู่น นี่เบาะๆ พรหม อรูปพรหมยิ่งทวีคูณ ยิ่งกว่านั้นช่วงอายุเวลาที่ยาวที่สุดอยู่ที่ไหนรู้ไม๊ ในนรกขุมไหน ลองค้นหาดู สรุปทั้งหมดที่พร่ามก็อย่างว่านั่นแหละ ศึกษาพระไตรปิฎก รวมเสร็จหมดอยู่ในนั้น เลือกอ่านที่ชอบตามจริตก่อน เดี๋ยวระบบธรรมมันจะทำงานอัตโนมัติเอง หลวงพ่อสนองก็รีบไปเสียแล้ว ความรู้ที่ได้มาก็ท่านบอกเทศน์ให้ฟังมาหลายอย่าง ทุกอย่างที่ท่านยกเทศนา เพียงเสี้ยวเดียวที่เทศน์ให้ฆราวาสฟัง แรกๆก็เข้าใจว่า การ์ตูนนิทานหนังจักรๆวงศ์ๆ พอศึกษาจริงจัง มันไม่ใช่เสียแล้วชาวโลก ไม่ได้แต่งขึ้น มันของจริงทั้งนั้น แค่เข้าสัมผัสไม่ถึง ตาในมันไม่เปิด แค่ยังก้าวไม่พ้นสัมผัสทั้ง6ของกายที่รับรู้อยู่เท่านั้น อย่าเชื่อ ผิดพลาดประการใดขออภัย จุ๊ๆๆๆ ส.อ่านหลังสือ ส-เหอเหอ

4ศาสนาหลักในโลก

หลักธรรมของศาสนาต่าง ๆ ของโลก


       ศาสนามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลในสังคม เพราะศาสนาทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทำความดีละเว้นความชั่ว ศาสนาจึงมีอิทธิพลต่อคนในสังคม
       องค์ประกอบของศาสนา
          1. ศาสดา คือ  ผู้ก่อตั้งศาสนา
          2. คัมภีร์  คือ  หลักคำสอนเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยา
          3. นักบวช คือ ผู้สืบทอดคำสอน
          4. พิธีกรรม คือ การปฏิบัติในการทำพิธีทางศาสนา
          5. ศาสนสถาน คือ สถานที่ควรเคารพบูชาและใช้ประกอบพิธีทางศาสนา

               **ศาสนาอิสลาม ไม่มีนักบวช แต่มีศาสดา มีคัมภีร์ มีศาสนสถาน และพิธีกรรม นับเป็นศาสนาเช่นกัน**

       ความสำคัญของศาสนา
          1. เป็นพื้นฐานของกฎศีลธรรมของสังคม
          2. เป็นแหล่งกำเนิดจริยธรรม
          3. เป็นแหล่งที่ทำให้เกิดศิลปวัฒนธรรม และประเพณี
          4. เป็นกลไกของรัฐในการควบคุมสังคม
          5. เป็นบรรทัดฐานของสังคมที่ใช้ในการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปในแนวเดียวกัน

       ประโยชน์ของศาสนา
          1. ช่วยให้สมาชิกของสังคมสงบสุข
          2. ทำให้ผู้นับถือเป็นคนดี มีศีลธรรม
          3. เป็นบ่อเกิดของศิลปวัฒนธรรม
          4. เป็นที่พึ่งทางจิตใจของสมาชิกในสังคม
          5. เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเพื่อให้เกิดความสุข

       ศาสนาที่สำคัญของโลก

          1. ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
             ศาสนาพราหมณ์
                  แหล่งกำเนิดในประเทศอินเดีย เป็นศาสนาดั้งเดิมของชนเผ่าอารยัน มีความเชื่อเรื่องพระเจ้าหลายองค์              โดยเฉพาะตรีมูรติ (พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ) ต่อมาวิวัฒนาการเป็นศาสนาฮินดู
                  เทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์
                     - เทพเจ้าสูงสุด คือ พระปรมาตมัน
                     - ความเชื่อเกี่ยวกับตรีมูรติ คือ พระพรหม คือ ผู้สร้าง พระวิษณุ(พระนารายณ์) คือ ผู้คุ้มครอง
                       และพระอิศวร(พระศิวะ) คือ ผู้ทำลาย
                     - คัมภีร์พระเวท มีอยู่ 3 คัมภีร์ ถือว่าเป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ต่อมาเพิ่มอาถรรพเวทเข้าไป ได้แก่
                          ฤคเวท (บทสวดสรรเสริญเทพเจ้า)
                          ยชุรเวท(คู่มือพราหมณ์ในการทำพิธีบูชายัญ)
                          สามเวท (ใช้สวดขับกล่อมเทพเจ้า)
                          อาถรรพเวท (เป็นมนต์คาถาทางไสยศาสตร์)
              ศาสนาฮินดู
                  ความเชื่อศาสนาฮินดูที่แตกต่างไปจากศาสนาพราหมณ์ ได้แก่
                      - เชื่อเรื่องวิญญาณเป็นอนันตะ คือเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุดจนกว่าจะหลุดพ้นโมกษะ
                      - ให้คนที่เกิดในตระกูลพราหมณ์ กษัตริย์ ไวศยะ ปฏิบัติตามหลักอาศรม 4 อย่างเคร่งครัด
                      - สันติสุขจะเกิดขึ้นได้ต้องมีพราหมณ์ คัมภีร์พระเวท วรรณะ 4 ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์                         วรรณไวศยะ(แพทย์) และวรรณะศูทร
                  นิกายในศาสนาฮินดู
                      1. นิกายพรหม นับถือพระพรหมเป็นเทพเจ้าสูงสุด
                      2. นิกายไวษณพ (ลัทธิอวตาร) นับถือพระวิษณ
ุ                      3. นิกายไศวะ นับถือพระศิวะ มีศิวลึงค์เป็นสัญลักษณ์
                      4. นิกายศากติ นับถือเทพเจ้าที่เป็นสตรี

              หลักธรรมของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
              1. หลักธรรม 10 ประการ
                      1. ธฤติ คือ ความพอใจ                   6. อินทรียนิครหะ คือ การสำรวมอินทรีย์(ร่างกาย)
                      2. กษมา คือ ความอดทน                 7. ธี คือ ความรู้ (ปัญญา)
                      3. ทมะ คือ ความข่มใจ                   8. วิทยา คือ ความรู้ (ปรัชญา)
                      4. อัสเตยะ คือ การไม่กระทำเยี่ยงโจร     9. สัตยะ คือ ความซื่อสัตย์
                      5. เศาจะ คือ ความบริสุทธิ์               10. อโกธะ คือ ความไม่โกรธ
              2. หลักอาศรม 4
                      1. พรหมจารี คือ เป็นวัยศึกษาเล่าเรียน
                      2. คฤหัสถ์ คือ เป็นวัยครองเรือน
                      3. วานปรัสถ์ คือ เป็นวัยออกไปอยู่ป่า
                      4. สันยาสี คือ เป็นวัยสุดท้ายของชีวิต ออกบวชเป็นสันยาสี บำเพ็ญเพียรเพื่อความหลุดพ้น
              3. หลักปรมาตมัน และโมกษะ
                      1. หลักปรมาตมัน มีความเชื่อว่า ปรมาตมัน หมายถึง พลังธรรมชาติ เป็นอมตะไม่มีเบื้องต้นและสิ้นสุด                          ส่วนวิญญาณย่อยเรียกว่า อาตมัน สามารถไปรวมกับปรมาตมันได้เมื่อบรรลุโมกษะ
                      2. หลักโมกษะ เป็นหลักปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งชีวิต ด้วยการนำอาตมันของตนเข้าสู่ปรมาตมัน
              4. หลักปรัชญาภควัทคีตา ได้แก่
                      1. กรรมโยคะ การทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน
                      2. ชยานโยคะ การปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญหา ความรู้แจ้ง
                      3. ภักติโยคะ ความรัก ความภักดีอุทิศตนต่อพระเจ้าเพื่อนำไปสู่การหลุดพ้น
              5. หลักทรรศนะหก ได้แก่
                      1. สางขยะ ทรรศนะเกี่ยวกับชีวิต
                      2. โยคะ ทรรศนะเกี่ยวกับการปฏิบัติโดยสำรวมอินทรีย์ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์
                      3. นยายะ ทรรศนะเกี่ยวกับความรู้
                      4. ไวเศษิกะ ทรรศนะเกี่ยวกับสิ่งที่มีอยู่จริงชั่วนิรันดร 9 อย่าง คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ กาละเทศะ อาตมัน มนะ
                      5. มางสา ทรรศนะเกี่ยวกับปรัชญาน่าเชื่อถือ
                      6. เวทานตะ ทรรศนะเกี่ยวกับอุปนิษัท
                         (อุปนิษัท คือ คัมภีร์ในส่วนสุดท้ายของพระเวท เป็นคัมภีร์ที่เป็นหลักปรัชญาลึกซึ้ง)

            พิธีกรรมที่สำคัญของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
                     1. พิธีศราทธ์ คือ พิธีทำบุญให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว
                     2. พิธีประจำบ้าน ได้แก่
                           - พิธีอุปนยัน คือ พิธีเริ่มการศึกษา ถ้าเป็นหญิงยกเว้น
                           - พิธีวิวาหะ คือ พิธีแต่งงาน
                     3. ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับวรรณะ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพทศย์ ศูทร                         แต่ละวรรณะมีการดำเนินชีวิตที่ต่างกันจึงต้องปฏิบัติตามวรรณะของตน เช่น การแต่งงาน การแต่งกาย เป็นต้น
                     4. พิธีบูชาเทพเจ้า แต่ละวรรณะจะมีการปฏิบัติต่างกันในเทศกาลต่าง ๆ เช่น งานศิวะราตรี(พิธีลอยบาป)                         งานบูชาเจ้าแม่ลักษมี (เทวีแห่งสมบัติและความงาม) เป็นต้น


        2. ศาสนาพุทธ
                      ศาสนาพุทธมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ประเภทอเทวนิยม (ไม่นับถือพระเจ้า) มีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา            คัมภีร์ของศาสนาพุทธ คือ พระไตรปิฎก หมายถึงตำราที่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า แบ่งออกเป็น 3 คัมภีร์ คือ
                1. พระวินัยปิฎก ว่าด้วยศีลหรือวินัยของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
                2. พระสุตตันตปิฎก (พระสูตร) ว่าด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้าและสาวก รวมทั้งชาดกต่าง ๆ
                3. พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยหลักธรรมล้วน ๆ

          นิกายสำคัญของศาสนาพุทธ
                1. นิกายเถรวาท หรือหีนยาน
                       ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัย
                   ประเทศที่นับถือ ได้แก่ ไทย พม่า ศรีลังกา ลาว กัมพูชา
                2. นิกายอาจริยวาท หรือมหายาน
                       ดัดแปลงพระธรรมวินัยได้ ประเทศที่นับถือ ได้แก่ จีน ทิเบต ญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลี

           หลักคำสอนของศาสนาพุทธ
           1. อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ คือ
                 - ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ
                 - สมุทัย คือ เหตุของความเป็นทุกข์ ได้แก่ ตัณหา
                 - นิโรธ คือ ความดับทุกข์ หรือนิพพาน
                 - มรรค คือ ข้อปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ความดับทุกข์ หมายถึง อริยมรรค 8 ประกอบด้วย
                       1. สัมมาทิฐิ คือ ความเห็นชอบ                        2. สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบ
                       3. สัมมาวาจา คือ การเจรจาชอบ                      4. สัมมากัมมันตะ คือ การกระทำชอบ
                       5. สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ                   6. สัมมาวายามะ คือ ความพยายามชอบ
                       7. สัมมาสติ คือ การตั้งสติชอบ                         8. สัมมาสมาธิ คือ การตั้งใจชอบ
                   อริยมรรค 8 เมื่อสรุปรวมแล้วเรียกว่า ไตรสิกขา อันได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา

           2. ขันธ์ 5 หรือเบญจขันธ์ หมายถึง องค์ประกอบของชีวิตมนุษย์ คือ ส่วนที่เป็นร่างกาย และส่วนที่เป็นจิตใจ ได้แก่
                  1. รูปขันธ์ คือ ร่างกายและพฤติกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
                  2. วิญญาณขันธ์ คือ ความรู้อารมณ์ที่ผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
                  3. เวทนาขันธ์ คือ ความรู้สึก ซึ่งเป็นผลมาจากสุขเวทนา ความสุขทางกายและใจ ,
                                    ทุกขเวทนา คือ ทุกข์ทางกายและใจ  ,อุเบกขาเวทนา คือ ความไม่ทุกข์ไม่สุขทางกายและใจ
                  4. สัญญาขันธ์ คือ การกำหนดได้ 6 อย่างจากวิญญาณและเวทนา คือ รูป รส กลิ่น เสียง
                  5. สังขารขันธ์ คือ ความคิด แรงจูงใจ สภาพที่ปรุงแต่งจิตใจให้คิดดี คิดชั่ว เป็นผลมาจากวิญญาณและเวทนา

           3. ไตรลักษณ์ หมายถึง ลักษณะทั่วไปของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลก ได้แก่
                  1. อนิจจตา คือ ความไม่เที่ยง
                  2. ทุกขตา คือ ความเป็นทุกข์
                  3. อนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวตน


      3. ศาสนาคริสต์
                  ศาสนาคริสต์กำเนิดในดินแดนปาเลสไตน์ หรืออิสราเอลในปัจจุบัน ศาสดาคือพระเยซู                     ซึ่งเป็นบุตรของโยเซพและมาเรีย เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดวิวัฒนาการมาจากศาสนายูดาย จึงมีพระเจ้า
          หรือที่เรียกว่า พระยะโฮวาห์
                  คัมภีร์ของศาสนาคริสต์ คือ คัมภีร์ไบเบิล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
                      - พระคัมภีร์เก่า  มีสาระเกี่ยวกับพระเจ้าสร้างโลก ซึ่งประกอบด้วย บทเพลง บทสวด และสุภาษิต
                      - พระคัมภีร์ใหม่  เป็นคัมภีร์ที่มีสาระเกี่ยวกับประวัติและคำสอนของพระเยซู การเผยแผ่ศาสนาของสาวก                                        จดหมายเหตุ และวิวรณ์ บั้นปลายชีวิตของมนุษยชาติ

           นิกายที่สำคัญของศาสนาคริสต์
                  1. นิกายโรมันคาทอลิก เป็นนิกายที่นับถือและปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซู มีพิธีกรรมที่เคร่งครัด                                มีสันตะปาปาเป็นผู้นำศาสนาสูงสุด ประเทศที่นับถือ ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี สเปน โปรตุเกส ฟิลิปปินส์ ์                     ผู้ที่นับถือเรียกตนเองว่า คริสตัง
                  2. นิกายออร์โธดอกซ์ เป็นนิกายที่แยกจากนิกายโรมันคาทอลิก ด้วยเหตุผลทางการเมืองและวัฒนธรรม                                ประเทศที่นับถือ ได้แก่ กรีซ โรมาเนีย บัลแกเรีย สหภาพโซเวียต และประเทศในยุโรปตะวันออกบางประเทศ
                  3. นิกายโปรแตสแตนต์ เป็นนิกายที่แยกมาจากนิกายโรมันคาทอลิก ผุ้ก่อตั้งคือ มาติน ลูเธอร์
                     พิธีกรรมที่สำคัญคือ ศีลล้างบาป และศีลมหาสนิท ผู้ที่นับถือนิกายนี้เรียกว่า คริสเตียน

          หลักคำสอนของศาสนาคริสต์
          1. หลักคำสอน เรื่องตรีเอกานุภาพ คือ การนับถือพระเจ้าองค์เดียว แบ่งเป็น 3 ภาค คือ
                    - พระบิดา หมายถึง พระเจ้า
                    - พระบุตร หมายถึง พระเยซู
                    - พระจิต หมายถึง วิญญาณบริสุทธิ์ในจิตใจของชาวคริสต์ที่มีศรัทธา
          2. หลักคำสอนเรื่องความรัก ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งความรัก สอนให้รักพระเจ้า                                  รักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง
          3. คำสอนเรื่องบัญญัติ 10 ประการ ได้แก่
                    - จงนับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ พระยะโฮวาห์
                    - อย่าออกนามพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ
ุ                     - ถือวันพระเจ้าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์
                    - จงนับถือบิดามารดา
                    - อย่าฆ่าคน
                    - อย่าผิดประเวณี
                    - อย่าลักทรัพย์
                    - อย่าใส่ความนินทาว่าร้ายผู้อื่น
                    - อย่าคิดมิชอบ
                    - อย่าโลภในสิ่งของผู้อื่น
          4. อาณาจักรพระเจ้า หมายถึง อาณาจักรแห่งจิตใจที่มีพระเจ้าเป็นเป้าหมาย

          พิธีกรรมที่สำคัญของคริสต์ศาสนา
          1. พิธีศีลจุ่ม กระทำแก่ทารกเมื่อเริ่มเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน โดยใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์เทลงบนศีรษะเพื่อล้างบาป
          2. พิธีศีลล้างบาป เป็นการยืนยันว่าตนยอมรับนับถือศาสนาคริสต์จริง
          3. พิธีศีลมหาสนิท เป็นการรับประทานขนมปัง
             และดื่มเหล้าองุ่นเพื่อระลึกถึงพราะเจ้าที่ทรงสละพระวรกายเพื่อมนุษย์จะได้หลุดพ้นจากบาป
          4. พิธีศีลสมรส กระทำแก่คู่บ่าวสาวก่อนการจดทะเบียนสมรส
          5. พิธีสารภาพบาป ต้องไปกระทำต่อหน้าบาทหลวงเพื่อสารภาพบาป
          6. พิธีเจิมครั้งสุดท้าย กระทำแก่ผู้ป่วย
          7. พิธีเข้าบวช เป็นการบวชบุคคลเป็นบาทหลวงในคริสต์ศาสนา


      4.ศาสนาอิสลาม
                ศาสนาอิสลามกำเนิดที่นครมักกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย นับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ พระอัลเลาะห์                        ศาสดาของศาสนาคือ พระนบีมุฮัมหมัด ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเรียกตนเองว่า มุสลิม

          คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม
               ศาสนาอิสลามมีคัมภีร์อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่มนุษย์

          นิกายที่สำคัญของศาสนาอิสลาม
                1. นิกายซุนนี จะปฏิบัติเคร่งครัดในคัมภีร์อัลกุรอานและคำสอนของศาสดาที่สุด ใช้หมวกสีขาวเป็นเครื่องหมาย
                2. นิกายชีอะห์ ยกย่องอาลี ใช้หมวกสีแดงเป็นเครื่องหมาย
                3. นิกายวาฮะบีห์ นับถือพระอัลเลาะห์เพียงองค์เดียว ไม่มีพิธีกรรมใด ๆ นอกเหนือจากพระคัมภีร์

        หลักคำสอนของศาสนาอิสลาม
          1. หลักศรัทธา 6 ประการ
                  - ศรัทธาในพระอัลเลาะห์เพียงองค์เดียว
                  - ศรัทธาในบรรดามลาอีกะห์ คือ เทวทูต
                  - ศรัทธาในพระคัมภีร์
                  - ศรัทธาในบรรดาศาสนทูต
                  - ศรัทธาในวันพิพากษา
                  - ศรัทธาในกฎกำหนดสภาวการณ์
           2. หลักปฏิบัติ 5 ประการ
                   1. การปฏิญาณตน ยอมรับว่าพระอัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียว
                   2. การละหมาด หรือ นมาซ วันละ 5 ครั้ง
                   3. การถือศีลอด หรือ อัศศิยาม หมายถึง การละหรืองดเว้นบริโภคอาหาร
                   4. การบริจาคซะกาต หมายถึง การบริจาคทานหรือบริจาคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความสุจริตแก่ผู้ที่ควรรับซะกาต
                   5. การประกอบพิธีฮัจญ์ ณ วิหารกะบะห์ ที่เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย


           ***ความสอดคล้องของหลักคำสอนทั้ง 4 ศาสนา ***ได้แก่
              1. การทำความดี ละเว้นความชั่ว
              2. การแสดงความรักความเมตตา และเสียสละ
              3. การเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
              4. การพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ขยันหมั่นเพียร
              5. สอนให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ไม่เบียดเบียนกัน


wareerant

อ้างถึงไบเบิลก็ดี แต่มันไม่สุด ถ้าเทียบกันในหลักธรรมในพุทธในพระไตรปิฎก มันแค่โลกียธรรม เป็นธรรมสำหรับให้คนในโลก รักกันไม่เบียดเบียน เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่กัน ถ้าเทียบกับหัวข้อธรรมคือ แต่ อย่าเห็นแก่ตัว หรือ หิริโอตัปปะ จงละอายการกระทำทุกอย่างที่เป็นบาปให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไบเบิ้ล ให้รักกัน เชื่อศรัทธาในพระเจ้าไว้ก่อน สารภาพบาป ทำทานการกุศล ช่วยเหลือแบบทั่วไปให้เชื่อตามๆกันในสิ่งที่ดีกรอบพระคัมภึร์กำหนด อยู่ในกระแสโลก สรุปรวมก็คือดี แต่ยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัตรอยู่ พระเจ้าก็อยู่ในกรอบ ของ เทพพรหมเทวา แสดงฤทธิ์ได้ จำแลงแปลงเป็นทุกอย่างได้ที่มนุษย์เชื่อแล้วว่ามีอยู่หรือนอกเหนือที่มนุษย์รู้จักก็ได้ เหาะเหินอากาศ รักษาคนไข้คนป่วยหนักหายได้อย่างน่าอัศจรรย์ เดินบนน้ำ แหวกทะเล ถ้าดูให้ดีและอ่านเทียบดูจะรู้ว่า ทางเดียวกันเลยในโลกียธรรมสอนแค่ให้คนทำทานช่วยเหลือเกื้อกูลรักกันเมตตาเอ็นดูสงสาร เน้นอยู่อย่างสุขหยาบยังอยู่ใน วงจร ตาเห็น หูฟัง ลิ้นลิ้มรส จมูกดมกลิ่น กายสัมผัส ใจหรือจิตยังทำงานรับรู้อยู่แบบหยาบๆ ไม่รู้เท่าทันจิตที่เคลื่อนไปเรื่อยตามประสาทสัมผัสทั้ง6ที่รับรู้อยู่ในร่างกายเรา มีหมดทุกอย่างในพระไตรปิฎกที่สอนปุถุชนให้อยู่ในระเบียบกฎเกณเบื้องต้นที่อยู่ร่วมกันให้เบียดเบียนกันน้อยที่สุด ก็แค่นั้นก็คือทุกอย่างที่ไบเบิ่ลมี มีหมดในพระไตรปิฎก มันยังไม่ถึงขั้นโลกุตรธรรม ธรรมที่ทำให้จิตยกระดับอยู่ในขั้นหลุดพ้นอยู่เหนือวัฏฏสงสาร แม้ แต่ คัมภีร์ของ ศาสนาหลักอื่นๆที่คนนับถือกันเยอะ มีหมดจบที่พระไตตรปิฎก ไขความกระจ่างข้อสงสัยได้หมด รวมไปถึง ระบบวิทยาศาสตร์ของโลกปัจจุบัน ที่ค้นพบมีแล้วสร้างขึ้นมาแล้ว มันมีผู้รู้มาก่อนแล้วโดยรับรู้ด้วนการใช้ญาณหยั้งรู้มองด้วยตาในย้อนอดีต ไปอนาคต โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองวัตถุธาตุ น้ำมัน ธาตุแร่ ขุดเจาะ โค่นทำลายป่าไม้ธรรมชาติ เบียดเบียนสัตว์ เอาสัตว์มาทำวิจัย มาแล่มาหั่น ผ่า ลองยา ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ที่ต้อง ทำลายเบียดเบียนบางอย่างหลายอย่างมาทดแทนกัน เพื่อสนองประสาทสัมผัสทั้ง6ให้รู้สึกว่าสะดวกสะบาย ล้วนเป็นความเสื่อมทางธรรม คือ กิเลศมันมีความละเอียดแยบยลขึ้น ต้องมีอุปกรณ์เสริมมากขึ้นติดตัว มือถือ รถยนต์ ทีวี อาหารเสริมบำรุงร่างกายกังวลระแวงระวังโรค กิเลศมันละเอียดหวานหอมขึ้นยึดติดมากขึ้น ขาดไม่ได้ ขาดแล้วตกยุคไม่ทันกระแส ล้วนแต่ลวงให้ยึดติด ร้อนแผดเผาฯลฯ ถึงได้บอกว่าทุกศาสนาหลักๆสอนให้ไปทางเดียวกัน แต่อยู่ในสังสารวัตรอยู่ แต่ถ้าปฏิบัตรคามเคร่งครัดก็การันตีว่าไปภพภูมิที่ดีแน่ถ้าไม่หลงผิดหลงตาย ภพภูมิมนุษย์เป็นอย่างน้อย จนไปหยุดที่อรูปพรหม แล้วรอเข้าได้เจอกับ คำสอนพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธ ตอนนั้นแหละ จะได้หลุดพ้นเข้านิพพานเหมือนกันไม่ว่าศาสนาไหนถ้าเคร่งครัดไม่หลงผิด จะผ่านไปได้บุญบารมีถึงพร้อมต้องผ่าน ศาสนาพุทธอยู่แล้ว ถึงจะหลุดพ้นแน่นอน ที่ศาสนาอื่นว่าไปอยู่กับพระเจ้ามีชีวิตรนิรันดรนั้น ก็ไปอยู่ในภพภูมิ เทพเทวดาพรหม อรูปพรหมนั่นแหละ มันนานซะจนนึกว่ามีสุขชีวิตนิรันดรไม่ตาย ที่จริงน่ะมันตายวนลงมาอีกลงต่ำได้อีก แค่มันนานๆๆๆมากๆๆๆๆๆ เปรียบเทียบนะก็ประมาณ โลกเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป และมีช่วงว่างๆๆมากๆๆๆและก็เกิดโลกธาตุขึ้นอีกเป็น เกิดดับๆๆๆๆๆๆ เป็น ร้อยๆครั้งหรือพันครั้ง หมื่นแสนล้านครั้ง ภพภูมิยิ่งสูง อรูปพรหมนี่นานสุด เอาแค่ภพภูมิเทวาก่อนนะ ที่พอคำนวนได้ยืนยันแล้วในพระไตรปิฎก เทวดานอนเผลอตายขณะหลับมาจุติในโลกมนุษย์มาปูเสื่อปัดกวาดอำนวยความสะดวกพระพุทธองค์และสาวกอรหันต์ อยู่ประมาณ85ปี มีสามีมีลูก3คนตาย บุญที่ทำส่งผลให้เป็นโอปปาติกะเกิดแล้วโตเต็มวัยทันทีไปเป็นชายาเทวาองค์เดิมนั่นแหละ ตื่นขึ้นมาบอกสามีที่เป็นเทวดาว่า ได้ตายไปเกิดในโลกมนุษย์แล้วก็มาเกิดเป็นชายาองค์เดิมโดยที่สามีไม่รู้ 85ปีในโลกมนุษย์คงประมาณ 4-5 ชั่วโมงที่นอนพักผ่อน หรือ พระหลายองค์เทศให้ฟัง 100ปีโลกมนุษย์1วันเทวดาเอง องค์ในสวรรค์แต่ละชั้น เวลายาวสั้นไม่เท่ากัน 7-8ร้อยปีเทวดา ถึง6-7 พันปีเทวดานู่น นี่เบาะๆ พรหม อรูปพรหมยิ่งทวีคูณ ยิ่งกว่านั้นช่วงอายุเวลาที่ยาวที่สุดอยู่ที่ไหนรู้ไม๊ ในนรกขุมไหน ลองค้นหาดู สรุปทั้งหมดที่พร่ามก็อย่างว่านั่นแหละ ศึกษาพระไตรปิฎก รวมเสร็จหมดอยู่ในนั้น เลือกอ่านที่ชอบตามจริตก่อน เดี๋ยวระบบธรรมมันจะทำงานอัตโนมัติเอง หลวงพ่อสนองก็รีบไปเสียแล้ว ความรู้ที่ได้มาก็ท่านบอกเทศน์ให้ฟังมาหลายอย่าง ทุกอย่างที่ท่านยกเทศนา เพียงเสี้ยวเดียวที่เทศน์ให้ฆราวาสฟัง แรกๆก็เข้าใจว่า การ์ตูนนิทานหนังจักรๆวงศ์ๆ พอศึกษาจริงจัง มันไม่ใช่เสียแล้วชาวโลก ไม่ได้แต่งขึ้น มันของจริงทั้งนั้น แค่เข้าสัมผัสไม่ถึง ตาในมันไม่เปิด แค่ยังก้าวไม่พ้นสัมผัสทั้ง6ของกายที่รับรู้อยู่เท่านั้น อย่าเชื่อ ผิดพลาดประการใดขออภัย จุ๊ๆๆๆ

แล้วถ้าพูดอย่างนี้ได้มั้ยว่า คัมภีร์บางเล่ม อ่านแล้วปวดหัวมากกก มีแต่ภาษาบาลี เข้าใจยาก หลายคนบอกมันเป็นคัมภีร์ที่ใช้หลักเหตุผล แต่ก็มีเนื้อหาที่ มีอิทธิฤทธิปาฏิหาร อยู่ด้วย

ปฏิบัติก็ยากเช่น สติปัฐฐานสี่ หนึ่ง สอง สาม สี่ ทำงัย ให้เข้าใจ เข้าถึงได้ ปฏิจจสมุปปบาท อายนตะ ขันธ์ 5 ฯลฯ คนทั่วไปมักท่องได้ แต่จะเข้าถึงได้สัก 1 ในพันได้มั้ง

คัมภีร์อื่น ๆ ไม่มีอะไรยาก ๆ แบบนี้ แค่เขาบอกว่า "เชื่อในพระเจ้า" ชีวิตจะดี ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก พระเจ้าคิดให้เราแล้ว เช่น รักเพื่อนบ้านเท่ารักตน รักมิตรสหาย ให้อภัยผู้อื่น พูดมากผิดมาก เคารพบิดามารดาเท่ากับพระเจ้า ฯลฯ

ชีวิตเรา สังคมเรา ต้องการอะไรมากไปกว่าหลักการง่าย ๆ เหล่านี้ แค่นี้ก็ทำให้ได้ก่อนเถอะ ก่อนจะไปพูดเรื่อง ฌาณสี่ ฌาณห้า หก เจ็ด แปด

หลักการง่าย ๆ รักตนเอง รักผู้อื่น ใหอภัย เคารพบิดามารดา ทำงานให้ดีที่สุด มันดีกว่าการไปนั่งสมาธิในป่าในเขาหรือเปล่า ดีกว่าการมานั่งตีความหนังสือโบราณ ที่ไม่ใช่ภาษาไทย เลิกใช้ไปแล้วด้วยซ้ำ กี่คนอ่านแล้วบรรลุ น้อยมาก แต่ทุกคนก็บอกว่า โอ้วววว  มันยอดมาก สุดยอดแห่งตำรา

ถ้าทำเพื่อชาติหน้าขอบอกเลยว่า มันไม่แน่หรอก ที่คนเราจะตายแล้วเกิด อาจหายไปเลยก็ได้ หลายคนบอกว่า เฮ้ย นี่มันมิจฉาทิฎฐิ อ้าว ก็ฉันเป็นคนคนหนึ่ง มีสิทธิคิดนี่น่า ไม่ต้องมาเชื่อตามหรอก แค่บอกให้เผื่อใจไว้เท่าน้้นเอง

ใคร ๆ ก็คิดว่าตนเองถูกทั้งนั้น โดยเฉพาะพระชื่อดัง เถียงท่านไม่ได้หรอก ท่านเป็นพระ แต่ถ้าดีเบตกันจริง ๆ แล้วเจอคำถามประเภท บล็อกคำตอบ ก็จอด

แต่เราผู้น้อย ไม่บังอาจ เจอพระก็ไหว้ไป ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ถือว่าเป็นผู้สืบทอดพระศาสนา ที่มีคุณแก่ชาวโลกมากมาย

เณรเทือง

อ้างจาก: wareerant เมื่อ 11:02 น.  28 ส.ค 55
แล้วถ้าพูดอย่างนี้ได้มั้ยว่า คัมภีร์บางเล่ม อ่านแล้วปวดหัวมากกก มีแต่ภาษาบาลี เข้าใจยาก หลายคนบอกมันเป็นคัมภีร์ที่ใช้หลักเหตุผล แต่ก็มีเนื้อหาที่ มีอิทธิฤทธิปาฏิหาร อยู่ด้วย
เข้าใจยากก็หมั่นศึกษาให้มากๆ จะเข้าใจมากขึ้น
อ้างจาก: wareerant เมื่อ 11:02 น.  28 ส.ค 55
ปฏิบัติก็ยากเช่น สติปัฐฐานสี่ หนึ่ง สอง สาม สี่ ทำงัย ให้เข้าใจ เข้าถึงได้ ปฏิจจสมุปปบาท อายนตะ ขันธ์ 5 ฯลฯ คนทั่วไปมักท่องได้ แต่จะเข้าถึงได้สัก 1 ในพันได้มั้ง
พยายามเข้า
อ้างจาก: wareerant เมื่อ 11:02 น.  28 ส.ค 55
คัมภีร์อื่น ๆ ไม่มีอะไรยาก ๆ แบบนี้ แค่เขาบอกว่า "เชื่อในพระเจ้า" ชีวิตจะดี ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก พระเจ้าคิดให้เราแล้ว เช่น รักเพื่อนบ้านเท่ารักตน รักมิตรสหาย ให้อภัยผู้อื่น พูดมากผิดมาก เคารพบิดามารดาเท่ากับพระเจ้า ฯลฯ
ศาสนาพุทธก็ไม่มีอะไรยากเพียงแต่สอนสูงกว่า "การทำความดีละเว้นความชั่ว"
อ้างจาก: wareerant เมื่อ 11:02 น.  28 ส.ค 55
ชีวิตเรา สังคมเรา ต้องการอะไรมากไปกว่าหลักการง่าย ๆ เหล่านี้ แค่นี้ก็ทำให้ได้ก่อนเถอะ ก่อนจะไปพูดเรื่อง ฌาณสี่ ฌาณห้า หก เจ็ด แปด
สำหรับคนที่ผ่านหลักการง่ายๆไปแล้วควรฝึกจิตสู่ระดับที่สูงขึ้น
อ้างจาก: wareerant เมื่อ 11:02 น.  28 ส.ค 55
หลักการง่าย ๆ รักตนเอง รักผู้อื่น ใหอภัย เคารพบิดามารดา ทำงานให้ดีที่สุด มันดีกว่าการไปนั่งสมาธิในป่าในเขาหรือเปล่า ดีกว่าการมานั่งตีความหนังสือโบราณ ที่ไม่ใช่ภาษาไทย เลิกใช้ไปแล้วด้วยซ้ำ กี่คนอ่านแล้วบรรลุ น้อยมาก แต่ทุกคนก็บอกว่า โอ้วววว  มันยอดมาก สุดยอดแห่งตำรา
พระคัมภีร์ทางศาสนาก็มักเป็นภาษาโบราณอยู่แล้ว อยากรู้ก็ต้องเรียน
อ้างจาก: wareerant เมื่อ 11:02 น.  28 ส.ค 55
ถ้าทำเพื่อชาติหน้าขอบอกเลยว่า มันไม่แน่หรอก ที่คนเราจะตายแล้วเกิด อาจหายไปเลยก็ได้ หลายคนบอกว่า เฮ้ย นี่มันมิจฉาทิฎฐิ อ้าว ก็ฉันเป็นคนคนหนึ่ง มีสิทธิคิดนี่น่า ไม่ต้องมาเชื่อตามหรอก แค่บอกให้เผื่อใจไว้เท่าน้้นเอง
ศาสนาพุทธสอนให้หลุดพ้นจากกิเลส
อ้างจาก: wareerant เมื่อ 11:02 น.  28 ส.ค 55
ใคร ๆ ก็คิดว่าตนเองถูกทั้งนั้น โดยเฉพาะพระชื่อดัง เถียงท่านไม่ได้หรอก ท่านเป็นพระ แต่ถ้าดีเบตกันจริง ๆ แล้วเจอคำถามประเภท บล็อกคำตอบ ก็จอด
เจอคำถามประเภท บล็อกคำตอบ คืออย่างไร
อ้างจาก: wareerant เมื่อ 11:02 น.  28 ส.ค 55
แต่เราผู้น้อย ไม่บังอาจ เจอพระก็ไหว้ไป ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ถือว่าเป็นผู้สืบทอดพระศาสนา ที่มีคุณแก่ชาวโลกมากมาย
คุณมีสิทธิ์คิดแบบนั้น