ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ไม่มีศาสนา

เริ่มโดย เณรเทือง, 17:01 น. 28 มี.ค 55

จิตมันควบคุมทุกภพภูมิ

เมื่อเข้าฌาณสมาธิฝึกจิตให้ว่างได้ในระดับนึงให้นิ่งละเอียด ถึงจุดนึงท่านจะสัมผัสได้ถึงความเร้นลับของภพภูมิอื่น มันจะเข้ามาติดต่อกับตัวท่านเองและเปรียบเสมือนพูดคุยสนทนากับท่าน ท่านจะ สื่อสารกับสัตว์วัฏสงสารในภพภูมิอื่นได้ เป็นธรรมดา ทุกสิ่งที่สงสัยจะไม่สงสัย และจะเข้าหาธรรมของพระพุทธองค์ โดยอัตโนมัติ จงสะสมภูมิธรรมไปเรื่อยๆ จงใช้เล่ย์กลอุบายอะไรก็ได้ทำให้จิตของท่านอยู่กับภูมิธรรมให้มากที่สุด ทำให้การศึกษาธรรมเป็นเรื่องสนุก ทุกอณูจิต ไปไหนเกเรยังไงก็กลับมาภูมิธรรม แรกๆแม้จะคลุกเคล้ากับความมั่วติดบาปหลงผิดไปบ้าง แต่ภูมิธรรมที่สะสมมากขึ้น มันจะสแกนบาปออกไปที่ละนิดจนมากขึ้น ท่านจะเข้าใจมากขึ้นสว่างขึ้นเรื่อยๆ อย่าเชื่อ ลองดูเผื่อจริตเราคล้ายๆกัน ให้เน้นไปที่ พระธรรมพระไตรปิฎกเป็นหลัก เพราะเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ ถึงใครจำมาเขียนดัดแปลง ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเทวดารักษาธรรม สาวกของพระพุทธองค์ในภพภูมิต่างๆ สิ่งเหล่านี้อยู่เหนือวิทยาศาสตร์ทางโลก ตรรกกะทางโลกจะคำนวนเปรียบเทียบ ขอย้ำว่าอย่าเชื่อ เพราะเราไม่จะบายๆๆๆ ทุกคนที่กิเลสกัดกินมอมเมา อยู่ คือคนไข้ที่ต้องเอาธรรมมารักษา ต้องบำบัดเป็นที่มาของคนไม่สะบาย ถ้าท่านสะบายดี ต้องอรหันต์อย่างเดียวเท่านั้นในยาณที่เรามี่แค่หางอึ่ง จำกัดขอบเขตเฉพาะในกระดานลานบุญนี้ไง  นอกเหนือจากนั้นในทางโลกียะ ถือว่าท่านสะบายดีเป็นปกติในด้านที่คลุกเคล้าเล่นไปกับกิเลศทั้งหยาบและละเอียดจนท่านคิดหลงผิดว่าเป็นบุญแท้ที่จริงตกอยู่ในบ่วงมาร หากขาดการปฏิบัติที่สล่ะชีพยอมตายเพื่อธรรมก็ยากที่จะคุยกันให้เข้าใจในด้านปฏิบัติ อย่าเชื่อเด็กน้อยผู้หัดเดินทั้งหลายอย่างเพิ่งวิ่งถ้าเดินยังไม่เชื่อง อย่าให้zzzz

อสุภะอสุภัง

สุนักขัตตัง สุมังคะลัง         สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง,
          (เวลาที่บุคคลและสัตว์ประพฤติดีประพฤติชอบ ชื่อว่าฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งแจ้งดี,)
                 สุขะโณ สุมุหุตโต จะ          สุยิฏฐัง พรัหมะจาริสุ,
          (และขณะดี ครู่ยามดี ชื่อว่าบูชาดีแล้ว ในผู้ประพฤติอย่างประเสริฐทั้งหลาย,)
                 ปะทักขิณัง กายะกัมมัง       วาจากัมมัง ปะทักขิณัง,
          (กายกรรมอันเป็นมงคลสูงสุด วจีกรรมอันเป็นมงคลสูงสุด, (๑))
                 ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง       ปะณิธี เต ปะทักขิณา,
          (มะโนกรรมอันเป็นมงคลสูงสุด ความปรารถนาอันตั้งไว้เพื่อสิ่งอันเป็นมงคลสูงสุด,)
                 ปะทักขิณานิ กัตวานะ         ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ
          (บุคคลและสัตว์ทั้งหลาย ทำกรรมอันเป็นมงคลสูงสุด ย่อมได้ประโยชน์ทั้งหลายอันเป็นมงคล
สูงสุดแล ฯ)

หลงโลกหลงกระแสกิเลส

มีเรื่องเล่าว่า... มีพระองค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ...
วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...

จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน...
ก่อนทอดกฐิน..ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา...
หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา...
บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย...
หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา...
ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ...
หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ...
พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี...
เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...
ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว...
โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...น่าสงสารหมามาก...

หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...
ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ...
หัวเราะเยาะหมา...ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้...
ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต...

หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว...
ก็แก้เชือกออกมากหลังหมา...
แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...


มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม...
ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...

อยากสวย...อยากทันสมัย...
ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่...
ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า...
อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่...
ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...

ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด...
๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...

ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก...
ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...
ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย...

เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...หาเงินมา...
เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย...
ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่...
เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส...
เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...

ปัจจุบัน...
เรากำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน...
ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน...
น่าสงสารไหมโยม...

คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น...
ด่าว่า...หมามันโง่...
ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...

ไม่รู้ว่า...กำลังสงสารหมา...
หรือ...กำลังทบทวนความโง่...ตัวเอง

จิตว่าง

ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา  คือ ทาง  แตกฉานธรรม

จิตปรุงแต่งกิเลศล่อลวง

จิตส่งออกนอกตัว มารก็รู้วาระจิตเราได้ทันที มันจึงมีการสับจิตหลอกมาร เปรียบเสมือนแยกร่าง เป็นร้อยพันร่างด้วยความเร็วของจิตที่ฝึกฝนมาแล้ว แล้วก็ตั้งจิตอีกดวงขึ้นมาเพื่อแสกนวิเคราะห์กิเลศควบคู่ไปด้วย รองรับไว้อย่าให้เผลอหลงกลกิเลศ มันเป็นการต่อสู้กับกิเลศในจิต ที่สนุกเปรียบเสมือนการเล่นเกมส์มันๆเกมส์หนึ่งอยู๋ โดยที่เรามีความรู้เท่าทันแยกชนิดของกิเลศต่างๆออกได้และจิตมีความเฉียบคมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนไม่ต้องสงสัย มันเป็นสัญญาณที่ดีที่เข้าสู่ภูมิธรรมขั้นสูง ขั้น โลกุตร ส.แลบลิ้น  ส.อ่านหลังสือ ส.ดุดุขำขำ

ปีใหม่แว้ว

.




....หวัดดีปีใหม่ ทำจัยหั้ยผ่องใสนะจ้ะ... ส-ฝนเล็บ ส.หลก ส.ยกน้ิวให้



จาก


ฅ ฅน

เจเจเจ

นั่นสิ ขนาดหมา มันยังไม่มีศาสนาเลย

จ๊ะจ๊ะจ๊ะ

อ้างจาก: เจเจเจ เมื่อ 20:03 น.  31 ธ.ค 55
นั่นสิ ขนาดหมา มันยังไม่มีศาสนาเลย

รู้ด้วยอ่ะ

JATE_Gmail

อ้างจาก: wareerant เมื่อ 18:41 น.  28 มี.ค 55
ผมเองครับ เป็นคนไม่มีศาสนา แต่ไม่ใช่ไม่ศึกษานะครับ ก็ศึกษามามาก ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ฯลฯ
ในบรรดาศาสนาที่ผมได้ศึกษาและรู้จัก ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ผมชอบที่สุด เพราะเป็นหลักของความน่าจะเป็น อธิบายการเข้าถึงจุดสูงสุดของจิตได้ดีที่สุด ศาสนาอื่นไม่มี แต่ศาสนาอื่นก็ดีเหมือนกัน เช่น คริสต์ สอนให้รักกัน อิสลาม สอนไม่ใช้ดื่มเหล้า การดื่มเหล้าบาปมาก บาปยิ่งกว่าการกินหมูอีก แต่คนส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการกินหมูบาปมากกว่า

ผมนับถือพระพุทธเจ้า นับถือพระเยซู นับถือศาสดาอื่นๆ ล้วนแต่เป็นผู้มีพระคุณกับมนุษยชาติ แต่ก็มิได้ยึดติดกับศาสดาท่านใดท่านหนึ่ง

ผมเก็บเอาสิ่งดี ๆ ของแต่ละศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน การทำบุญที่ดีที่สุดของผม คือการช่วยเหลือผู้อื่นที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ผมไม่บริจาคเงินสร้างวัด สร้างศาลา สร้างซุ้มประตูวัด สร้างกุฏิพระ แต่จะบริจาคให้ผู้ประสบภัยและผู้ด้อยโอกาสต่าง ๆ

แม้ผมจะชอบศาสนาพุทธมาก แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง ศาสนาพุทธเสื่อมสูญสลายไป ผมก็รู้สึกเฉยๆ ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ก็คงเสียดาย

ผมไม่เชื่อเรื่องชาติที่แล้ว และชาติหน้า ผมทำชาตินี้ให้ดีที่สุด

ผมไม่เชื่อเรื่องกรรม ถ้ามีโอกาสจะทำแต่ความดี แม้จะไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ ก็ตาม เพราะผมเป็นคนดีโดยธาตุในตัวผม ไม่เกี่ยวกับบุญกรรมแต่อย่างใด

ผมไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ผมเชื่อเรื่องโลกมนุษย์อย่างเดียว เคยมีคนไปถามขงจื้อว่า คิดอย่างไรเรื่องสวรรค์ ขงจื้อกล่าวว่า เรื่องในโลกมนุษย์ยังรู้ไม่หมดเลย จะไปรู้เรื่องสวรรค์ใ้มันได้อะไรขึ้นมา

ผมเป็นคนเชื่อยาก ต้องพิจารณากรั่นกรองอย่างมากแล้วเท่่านั้น ถึงจะเชื่อ

เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาว่าจิตของคนเรามี 3 ระดับ
1. ขั้นสุนทรียะ คือคนทั่วไป หาเงินมาได้ก็เอามาใช้จ่าย หาความสุขใส่ตัว
2.ขั้นศีลธรรม เคร่งในศีล ในศาสนา บางครั้งมากเกินไป ชีวิตไม่มีความสุข
3. ขั้นศิลปะ ขั้นนี้คือการเข้าถึงศาสตร์แห่งศิลปะทั้งมวล เข้าใจความไม่สมบูรณ์แห่งชีวิตและธรรมชาติ

เด็กรุ่นใหม่หลายคน บอกว่าไม่มีศาสนา นั่นคือเขายังไม่เคยศึกษาศาสนา ต้องศึกษาให้ถึงที่สุดก่อน ถึงจะทิ้งศาสนาได้
[/q

พระ ต้องเรียนตั้ง 4-6 ปี หลายหลักสูตร หลายชั้นนักธรรม กว่าจะเข้าใจถ่องแท้และเผยแพร่
มุสลิม ต้องเรียนรู้ทั้งชีวิต ผู้เคร่งครัดในศาสนา ก็ยังบกพร่อง ต้องศึกษาทุกวัน คุณรู้จัก บรรดาคัมภีร์ต่าง??
คริสต์ คุณสรุปว่าสอนให้คนรักกัน เหอ เหอ

ไม่ผิดอะไรครับ ถือว่าไม่เข้าใจ


ที่ควรระวัง 1.คุณได้ดูถูก ศาสนาทุกศาสนา 2.คุณปฏิเสธทุกศาสนา (แถมยังบอกว่าศึกษาแล้วด้วย)







SAM

ผมคิดว่าที่คนนับถือศาสนาเพราะคนมีตรรกะเยอะ มีความคิดที่ซับซ้อนเยอะ มีความขัดแย้งเยอะ   ส-ดีใจ

อย่าให้จิตย่ำตกหล่มมาร

ตื่นๆ อย่าให้จิตตกหล่มมาร ย้ำอยู่ที่ความ กลัว เศร้า ตรอมตรม อาลัยอาวร ภวังแห่งความเป็นกังวลข้องใจ กลับมาตั้งที่ความเบิกบานสดใส จิตผ่องแผ้ว เป็นประภัทสร หลุดไปไหนก็กลับมาให้ไว ก่อนที่เจ้ากรรมนายเวร ปิศาจ เปรต  อสูร ผีพยาบาทตายโหง มัจจุราช จับสัญญาณจิต และพุ่งมาทีีตัวคุณ  กลัวอะไรเหรอ ตาย เสียทรัพย์สมบัต้ิ เสียคนรัก เสียยศ เสียชื่อเสียง รวยน้อยกว่าคนอื่น น้อยหน้าเขา กลัวจาก ญาติพี่น้องลูกรัก กลัวและหวงสัพเพเหระ ฯลฯ กลัวไหม ล้วนเป็นสิ่งสมติ จิตปรุงแต่งสร้างขึ้น กิเลสล่อลวงสับขาหลอก ให้เราต้องหัวหมุน  ยังต้องศึกษาอีกเยอะถึงจะเข้าใจในภูมิธรรมของตัวเอง หาความเป็นตัวของตัวเองเจอ มันเป็นปัตจัตตังรู้เฉพาะตน จะได้ไม่โดนใครปั่นหลอกให้หลง เสียความมั่นใจ ภาวนาคือหัวใจ ที่ทำให้คนข้างถนนธรรมดาเหนือกว่า ด๊อกเตอร์ ที่จบจากสถาบันดังๆต้นๆของโลกที่ไม่รู้จักธรรมเลย

คุณหลวง

อ้างจาก: SAM เมื่อ 12:22 น.  03 ม.ค 56
ผมคิดว่าที่คนนับถือศาสนาเพราะคนมีตรรกะเยอะ มีความคิดที่ซับซ้อนเยอะ มีความขัดแย้งเยอะ   ส-ดีใจ

    หลังจากวันที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้วนั้น เมื่อคิดจะเผยแผ่สิ่งที่พระองค์รู้แก่คนทั่วไป พระองค์ก็นึกท้อพระทัยว่าจะมีใครเข้าใจได้เล่าหนอ เพราะสิ่งนั้น(ธรรม)เป็นสิ่งที่ไม่มีรูปให้เห็น ไม่มีเสียงให้ได้ยิน ไม่มีกลิ่นให้สูดดม ไม่มีรสให้ลิ้ม ไม่หยาบอ่อนให้กายสัมผัส และไม่มีอารมณ์ให้รับรู้ สิ่งๆนั้นมันนอกเหตุเหนือผลใดๆ แต่ด้วยพระหฤทัยที่มุ่งความสุขแก่ชาวโลก พระองค์จึงหาทางแสดงธรรมนั้นจนได้(บางตำราว่าพระพรหมลงมาอาราธนา)

    และเพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปให้เห็น ไม่มีเสียงให้ได้ยิน ไม่มีกลิ่นให้สูดดม ไม่มีรสให้ลิ้ม ไม่หยาบอ่อนให้กายสัมผัส และไม่มีอารมณ์ให้รับรู้นี่เองจึงไม่สามารถให้คำพูด ไม่สามารถใช้เหตุผล ไม่สามารถใช้ตรรกะใดๆกับมัน ไม่สามารถอนุมาน คาดการณ์ หรือกำหนดอะไรกับสิ่งนั้นได้

    ดังนั้น พระองค์จึงต้องสอนด้วยภาษาพูดที่ชาวบ้านพูดกัน เพื่ออธิบายภาวะของสิ่งนั้น และหนทางที่จะเข้าถึงสิ่งนั้น พระองค์จึงว่าพระองค์เป็นเพียงผู้บอกทางชี้ทางเท่านั้น เรื่องที่จะไปนั้นแต่ละคนต้องไปเอง และหากเราสังเกตคำในพระไตรปิฎกเมื่อพระองค์ทรงตรัสถึงสิ่งนั้น จะทรงใช้คำว่าพระองค์ทรงค้นพบแล้วนำมาเปิดเผย จำแนกแจกแจง แสดงให้เห็น มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นมิใช่พระองค์บัญญัติขึ้นมาเอง หากที่ทรงบัญญัตินั้นคือวินัยที่บัญญัติเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันของหมู่คณะที่ใหญ่โตขึ้น ปัญหามากขึ้นเท่านั้น เมื่อเป็นดังนี้ ธรรม กับ วินัย จึงเป็นคนละเรื่องแต่สัมพันธ์กัน

    ธรรม เป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ ส่วนวินัยบัญญัติเพื่อความสามัคคีของหมู่คณะ และเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงธรรมที่ง่ายขึ้นของบุคคลที่สนใจ

    หากเราดูพระไตรปิฎก เราอาจคิดว่ามีธรรมเป็นจำนวนมาก แต่ความจริงธรรมนั้นเป็นหนึ่งเดียวคือความหมดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ของตนเท่านั้น ที่มันมากเพราะพระองค์สอนหลายคน และต้องสอนตามจริตตามความถนัดของบุคคลนั้นๆเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุดและเร็วที่สุด ที่พระท่านรวบรวมไว้มากเพื่อเป็นแนวทางแก่บุคคลจริตต่างๆกันนั่นเอง

    ผัสสะบริสุทธิ์ที่ไร้ความยึดมั่นถือมั่นนั้นเองที่สามารถทำให้บุคคลเข้าใจสิ่งนั้นได้ แต่มันยากมากเพราะปกติจิตของคนเราเมื่อเกิดผัสสะก็จะปรุงแต่งทันทีตามแรงกิเลส เราจึงไม่มีโอกาสสัมผัสกับผัสสะบริสุทธิ์

    หากท่านอยากลิ้มรสผัสสะบริสุทธิ์สักครั้ง ผมก็ขอแนะนำวิธีการหนึ่ง นั่นก็คือ การเพ่งมองสิ่งที่ท่านเกลียดมาก หรือ รักมาก นานๆ นานจนกว่าจิตที่ปรุงแต่งเกี่ยวกับสิ่งนั้น(ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ)จะค่อยๆหมดแรงไปจนมันหยุดปรุงแต่ง แล้วผัสสะบริสุทธิ์จะเกิดขึ้นให้ประจักษ์ว่า เราไม่สามารถใช้คำหรือตรรกะใดๆมาใช้ได้เลยแม้สักคำ เพียงแต่มันนานมากพอดู เพราะเมื่อเริ่มมอง จิตมันจะปรุงแต่งไปทันที และปรุงแต่งไปเรื่อยๆ (ช่วงที่ระหว่างนี้เองที่ใจอาจจะเขวไปเรื่องอื่นและตาจะไม่โฟกัสสิ่งที่เรามองอยู่ มันก็จะเสียไป แล้วต้องเริ่มใหม่)

    เพราะจิตที่ไวต่อความยึดมั่นถือมั่นของสัตว์(หมายถึงทั้งคน สัตว์ เทวดา สัตว์นรก เปรต ฯลฯ)นี่เอง จึงทำให้สัตว์ที่ไม่ได้ฝึกจิตไม่สามารถรู้เท่าทันอารมณ์ที่เข้ามากระทบ แล้วเกิดการปรุงแต่ง แรงกระทำสนองต่อไปตามเหตุปัจจัยไม่สิ้นสุด

    คนที่ยังใช้ตรรกะอยู่จึงไม่สามารถเข้าใจธรรมได้นั่นเอง รวมถึงที่ท่านว่ามีความขัดแย้งเยอะ เมื่อเข้าใจธรรมแล้วก็จะทราบว่าธรรมเป็นหนึ่งเดียวรวด ไม่มีแบ่งเป็นสอง ดังนั้น ธรรมจึงไม่มีความขัดแย้งใดๆทั้งสิ้น ความขัดแย้งนั้นเกิดจากจิตที่ยังแบ่งเป็นสองตามแรงกิเลสแบ่งดี-ชั่ว ขาว-ดำ ต่ำ-สูง จริง-สมมติ โลกุตตร์-โลกีย์ ฯลฯ

    ป.ล.พระพุทธองค์ทรงสอนธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ของสัตว์โลกเท่านั้น มิได้ก่อตั้งศาสนาในความหมายที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เพียงเมื่อคนมากเข้าๆก็มีบทบัญญัติไปตามสมควรแก่การอยู่ร่วมกัน จนกระทั่งถูกจัดมาเป็นศาสนา(ซึ่งคล้ายจะเป็นสถาบันอย่างหนึ่งของมนุษย์)ตามค่านิยมของคนยุคหลังๆในที่สุด


สะบายดี...


   กาลามสูตร

กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร

    อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
    อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
    อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
    อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
    อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
    อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
    อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
    อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
    อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
    อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)

ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น

สูตรนี้ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาละมะนั้นเป็นชาวเกสปุตตะนิคม ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ

(จากhttp://www.easyinsurance4u.com/buddha4u/kalamasutta.htm)
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ประมาทคือหายนะ

อย่างนี้พอไดั ใช้ได้ คุณหลวง ผ่าน

คุณหลวง

อ้างจาก: ประมาทคือหายนะ เมื่อ 19:25 น.  16 ม.ค 56
อย่างนี้พอไดั ใช้ได้ คุณหลวง ผ่าน

     ส-เขิน ผ่านเหรอคับ ผ่านยังไงอ่ะ เพราะผมพูดเหมือนยกคัมภีร์มากางหรือคับ?  ส.หลก ส.กลิ้ง ส.กลิ้ง


สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ของปลอม

อ้างจาก: คุณหลวง เมื่อ 11:59 น.  18 ม.ค 56
     ส-เขิน ผ่านเหรอคับ ผ่านยังไงอ่ะ เพราะผมพูดเหมือนยกคัมภีร์มากางหรือคับ?  ส.หลก ส.กลิ้ง ส.กลิ้ง


สะบายดี...
ของปลอมเก๊ ถ้ามองข้ามศีล บอกให้ตาสว่าง แบบไม่อ้อมค้อม ส.บ๊ายบาย

ahingsaga

ธรรมยังอยู่ไม่เสื่อมคราย มันยังอยู่มันอยู่ในโหมดเดินขับเคลื่อนออโต้แล้ว จิตขับเคลื่อนทุกอย่าง มันยังควบคุมสั่งการแบบเงียบ จนไม่มีใครรู้หรอกถ้าไม่ฝึกจิตให้เร็วพอทัดเทียมกัน ทุกอย่างยังเหมือนเดิมแค่ เงียบตามดูจิตระยะนึง กอดคอพากิเลสไปด้วยไม่มีทางชนะมาร ต้องจมอยู่ในวัฏสังสารวัตรไปอีกนานๆแสนนานๆๆ ฮิฮิยี้ฮา ส.ดุดุขำขำ

ahingsaga

034ความสำคัญของจิตใจ

ปัญหามีบางคนกล่าวว่า ในบรรดาการกระทำทางกายทางวาจา และทางใจนั้น การกระทำทางกายสำคัญที่สุด เพราะก่อ ให้เกิดผลเห็นได้ชัด เช่นฆ่าเขาตายด้วยกายย่อมมีผลเสียหายมากกว่ากล่าวอาฆาตด้วยวาจาและการคิดจะฆ่าด้วยใจ พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไรในเรื่องนี้?

พุทธดำรัสตอบ"..... ดูก่อนตัปสสีบรรดากรรมทั้ง๓ ประการที่จำแนกออกแล้วเป็นส่วนละอย่างต่างกันเหล่านี้เรา บัญญัติมโนกรรมว่ามีโทษมากกว่า ในการทำบาปกรรม ในการเป็นไปแห่งบาปกรรม เราจะบัญญัติกายกรรมวจีกรรมว่ามี โทษมากเหมือนมโนกรรมหามิได้" เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้วอุบาลีคฤหบดีผู้เป็นสาวกของนิครนถนาฏบุตรก็ยังยืนยันอยู่นั่นเองว่ากายกรรมมี โทษมากกว่า พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า"ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะสำคัญในความข้อนั้นเป็นไฉนนิครนถ์ในโลกนี้เป็น คนอาพาธ มีทุกข์เป็นไข้หนักห้ามน้ำเย็น ดื่มแต่น้ำร้อนเมื่อเขาไม่ได้น้ำเย็นจะต้องตายดูก้อนคฤหบดี ก็นิครนถนาฏ บุตรบัญญัติความเกิดของนิครนถ์ผู้นี้ณ ที่ไหนเล่า?" อุบาลีคฤหบดี ".....ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เทวดาชื่อว่ามโนสัตว์มีอยู่นิครนถ์นั้นย่อมเกิดในเทวดาจำพวกนั้น....เพราะ นิครนถ์ผู้นั้นเป็นผู้มีใจเกาะเกี่ยวทำกาละ...." ก็เป็นอันว่าอุบาลีคฤหบดีย่อมรับว่ามโนกรรมสำคัญกว่าแต่เขายังยืนยันต่อไปว่า กายกรรมสำคัญกว่าพระผู้มีพระภาค จึงตรัสต่อไปว่า"ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนนิครนถ์ในโลกนี้พึงเป็นผู้สำรวมด้วยการสังวรโดย ส่วน๔ คือ ห้ามน้ำทั้งปวงประกอบด้วยการห้ามบาปทั้งปวงกำจัดบาปด้วยการห้ามบาปทั้งปวงอันการห้ามบาปทั้งปวง ถูกต้องแล้วเมื่อเขาก้าวไปถอยกลับย่อมถึงการฆ่าสัตว์ตัวเล็กๆเป็นอันมากดูก่อนคฤหบดี นิครนถนาฏบุตรบัญญัติ วิบากเช่นไรแก่นิครนถ์ผู้นี้?" อุบาลี "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นิครนถนาฏบุตรมิได้บัญญัติกรรม อันเป็นไปโดยไม่เจาะจงว่ามีโทษมากเลย" พระผู้มีพระภาค "ดูก่อนคฤหบดีก็ถ้าจงใจเล่า?" อุบาลี ".... เป็นกรรมมีโทษมาก" พระผู้มีพระภาค "... ก็นิครนถนาฏบุตรเจตนาลงในสวนไหน ?" อุบาลี "... นิครนถนาฏบุตรบัญญัติเจตนาลงในส่วนมโนทัณฑะ"(มโนกรรม) ก็เป็นอันว่าอุบาลีคฤหบดี ยอมรับด้วยถ้อยคำของตนเองว่ามโนกรรมสำคัญกว่า แต่ก็ยังยืนยันว่ากายกรรมสำคัญกว่าต่อ ไปอีกพระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า"ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนบ้านนาฬันทานี้เป็นบ้านมั่งคั่ง เป็นบ้านเจริญ มีชนมากมีมนุษย์เกลื่อนกล่น.... พึงมีบุรุษคนหนึ่งเงื้อดาบมาเขาพึงกล่าวอย่างนี้ว่าเขาจักทำสัตว์เท่าที่มี อยู่ในบ้านนาฬันทานี้ให้เป็นลานเนื้ออันเดียวกัน ให้เป็นกองเนื้ออันเดียวกันโดยขณะหนึ่ง โดยครู่หนึ่งดูก่อนคฤหบดี ท่านจักสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะสามารถทำสัตว์เท่าที่มีอยู่ในหมู่บ้านนาฬันทานี้ให้เป็นลานเนื้อันเดียวกันได้ หรือ?" เมื่ออุบาลีทูลว่า ทำไม่ได้ พระพุทธองค์จึงตรัสต่อไปว่า"ดูก่อนคฤหบดีท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมณะหรือ พราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ถึงความเป็นผู้ชำนาญในทางจิต พึงมาในบ้านนาฬันทานี้....พึงกล่าวอย่างนี้ว่าเราจักทำบ้านนาฬันทานี้ ให้เป็นเถ้า ด้วยจิตคิดประทุษร้ายดวงเดียวดูก่อนคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนสมณะหรือพราหมณ์ผู้มี ฤทธิ์.... นั้นจะสามารถทำบ้านนาฬันทานี้ให้เป็นเถ้า ด้วยจิตประทุษร้ายดวงหนึ่งได้หรือหนอ ?" อุบาลีคฤหบดียอมรับว่าทำได้ซึ่งแสดงให้เป็นว่ามโนกรรมสำคัญกว่าแต่ก็ยังยืนยันต่อไปว่ากายกรรมสำคัญกว่าพระผู้มี พระภาคจึงตรัสต่อไปว่า "ดูก่อนคฤหบดีท่านจะสำคัญกว่าพระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า "ดูก่อนคฤหบดีท่านจะ สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ป่าทัณฑดี ป่ากาลิคะ ป่ามาตังคะ เกิดเป็นป่าไปท่านได้ฟังมาแล้วหรือ ? อุบาลี ".... ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้ว...." พระผู้มีพระภาค "... ท่านได้ฟังมาว่าอย่างไรเกิดเป็นป่าไปเพราเหตุไร?" อุบาลี "... เพราะใจประทุษร้าย อันพวกเทวดาทำเพื่อฤาษี" ในที่สุด อุบาลีคฤหบดีก็ยอมรับว่ามโนกรรมสำคัญกว่าและประกาศตนเป็นสาวกของพระบรมศาสดา

นัยอุปาลิวาทสูตร ม.ม.(๖๔-๗๐) ตบ. ๑๓ :๕๕-๖๕ ตท.๑๓: ๕๔-๖๑

sonar

พระพุทธศาสนาไม่เสื่อม มีแต่จิตใจคนนั้นเสื่อมลง

ahingsaga

การโพสด์เพ้อเจ้อรำพึงรำพันครำ่ครวญเสียดสีระบายอารมณ์ที่รุนแรงหยาบคายต่อกันเป็นทอดๆมันก็อยู่ในการทำผิดศีล มุสาวาทาเวนั้นแหละถึงจะเป็นการระบายอารมณ์แบบรั่วๆไม่เจาะจงใครก็เถอะ มันมากหนักกว่าคนสองสามคนที่ระบายต่อกัน มันส่งต่อกันหลายสิบคน หรืออาจถึงหลักร้อยพันที่รับรู้ บาปมิใช่น้อยนะ ที่เรามาเป็นมนุษย์ก็เพราะศีลในอดีตชาติ ความเป็นมนุษย์เกิดได้ยากหากไม่มีศีลห้าอย่างน้อยในชาตินี้ ชาติหน้าก็อย่าหวัง มันจะอยู่ในภูมิเดรัจฉานลงไป ถึงให้ทานมากก็เถอะ วัตถุทานที่ได้มาบริสุทธิ์ไหม ผู้รับทานเนื้อนาบุญมีไหม การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้บุญมากกว่าการให้ทานหลายพันหมื่นแสนเท่า ชาตินี้คงสูญเปล่าถ้าไม่ยกระดับภูมิธรรมตนเองเล่นโลกหลงกระแสกิเลสกามโลกีย์ราคะจริต หาสุขแท้ไม้ได้หรอกทางโลกแค่เล่นลครไปตามบทให้จบฉาก มีแต่สุกร้อนไหม้ักรียม ดูให้ดี รู้ให้สุดและลึกถึง โลกุตรธรรม จะไม่เห็นเลยว่าสุขแท้ในทางโลกที่แท้จริงไม่มี แค่กิเลสหลอกปั่นหัว จากอำนาจความอยากของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความเป็น พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ญาติ พี่นัอง มันแค่กรรมที่ผูกพันในอดีตชาติ สลับกันเป็นพี่เป็นน้องเป็นพ่อเป็นแม่เป็นผัวเป็นเมียเกิดเป็นหญิงเป็นชายสลับกันไปกันมานับชาติไม่ถ้วน นับกัปนับกัลไม่ถ้วนแล้ว ถึงบอกไงว่า100ปีมนุษย์เหมือนหลับฝันไปงีบนึงของเทวดาไม่ถึงวันนึงของเทวดาด้วยซำ้ ไม่ต้องไปเทียบกับ ชั้นที่สูงขึ้นไป พรหม อรูปพรหม เราไม่เล่นสนุกไปกับเจ้าหรอกในทางโลก แค่มองดูความเป็นไปของกิเลสที่ปั่นหัวพวกเจ้าอยู่ อ่านพระไตรปิฏกซะพี่น้อง แผนที่ที่พระโคตมะบอกไว้ไม่พาเจ้าหลงทางถ้าใผ่ธรรม ตัวแทนพระวจนะอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฏก ญาณที่เป็นอนันของท่านอรหันต์องค์ไหนเก่งแค่ไหนก็เปลี่ยนไม่ได้ ธรรมวินัยตายตัว อ้างเปลี่ยนตามกระแสโลกไม่ได้ มีแต่กิเลสหลอกเอาอย่างเดียว เผื่อมีสักคนนะที่ภูมิธรรมถึง สงสัยจะเทศนาผิดที่ จิตควบคุมสั่งการพักอยู่ที่เราในบางครา  ahingsaga ไง ภูมิธรรมสามารถยกระดับพาไปต่อยอดในชาติหน้าได้จำไว้ ชาตินีรู้แค่ไหน ชาติหน้ากัปไหนกัลไหนภพภูมิไหนที่ไม่ตำ่กว่ามนุษย์ก็รู้เท่าเดิมมีแต่เพิ่มขึ่น ไป พอดีวันนี้ องค์ลงเลยจัดให้ซักหน่อย ก่อนเข้าพรรษา ของดีกรูให้มรึงมรึงเข้าไม่ถึงไม่เอาก็แล้วแต่มรึงกรูจะบอกให้ว่าค่ามันมากกว่าเงินทองกองเท่าภูเขา แต่ถ้าเผลออ่าน โดนไวรัสธรรมะจากเราฝังสมองไว้แล้ว เจ้าจะได้รู้ธรรมเป็นระยะโดยไม่รู้ตัว โดยจิตสัมผัสหรือโทรจิต เทคโนโลยีใหม่ในอนาคตที่ รัสเซีย และสหรัฐ แอบฝึกคนและใช้พัฒนาอยู่ตอนนี้ แต่เราเคยใช้มันมาก่อน แค่ทิ้งมันมาตามตูดฝรั่ง จนมันเอาพระไตรปิฎกเราไปอ่านฝึกอย่างจริงจัง จนมันจะเอาของเรามาขายเราในอนาคตคอยดูถ้าไม่ตายเสียก่อนรุ่นลูกรุ่นหลานได้เห็น ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน คือเรื่องจริงทั้งหมดทุกภพภูมิตราบชั่วอนันตโลกา จักรวาล หมื่นโลกธาตุไง ใบไม้กำมือเดียวกับใบไม้ทั้งป่าลองเทียบดูต่างกันแค่ไหน พระไตรปิฎกคือกุญแจ นั่นแหละใบไม้กำมือเดียว อรหันต์ไหนก็เปลี่ยนดัดแปลงตามกระแสโลกไม่ได้ มีแต่กิเลสหลอก นิมิตที่สารสร้างมาหลอกทั้งนั้น

ฅ ฅนหลง

.


....มาสดับ รับฟัง ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ก๊ากๆ ส.หลก ส.สู้ๆ

เอาอีก

เอาอีก เอาอีก ส.หลก ส.ยกน้ิวให้ ส.สู้ๆ

หิงสา

มารอฟังเทศนา คงไม่ผิดที่ ส.ยกน้ิวให้ ส.สู้ๆ ส.หัว