ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ไม่มีศาสนา

เริ่มโดย เณรเทือง, 17:01 น. 28 มี.ค 55

ฅ ฅน

.


..คิดถึง คุณหลวง


อยู่ป่าว สบายดีบ่ ส.สู้ๆ ส.สู้ๆ

ฅ ฅน

.

...คุณหลวง อยู่ป่าว


หายไปนานเลยนะ ส.หลก

jibcb55

จะไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจนะค่ะ

ใคร่ครวญ

    ไม่ต้องไปเรียนจนสิ้นพระไตรปิฎก ความรู้ที่มีก็เพียงพอต่อการปฏิบัติ
    ตำราคชลักษณ์มีรายละเอียดมากมาย เอาเข้าจริงดูเล็บกับหูก็รู้แล้ว
    กล้วยทั้งเครือไม่สมบูรณ์ผลขาดปลาย สู้กล้วยสุกสมบูรณ์ผลหวีเดียวก็ไม่ได้

    วันหน้าจะมาอรรถาที่มาและอธบายครับ ตอนนี้แบตหมดแล้วต้องจำลาจากทั้งใจยังอาลัยครับ

    สะบายดี...

ฅ ฅน

.

...ใช้มือถือ และแบตรุ่นไหน เด๋วจะซื้อให้

แล้วมาเขียนเยอะๆหน่อยนะขอรับ... ส.ดุดุขำขำ ส.ดุดุขำขำ

จอมมารสุรา

อ้างจาก: ใคร่ครวญ เมื่อ 16:49 น.  27 มิ.ย 57
    ไม่ต้องไปเรียนจนสิ้นพระไตรปิฎก ความรู้ที่มีก็เพียงพอต่อการปฏิบัติ
    ตำราคชลักษณ์มีรายละเอียดมากมาย เอาเข้าจริงดูเล็บกับหูก็รู้แล้ว
    กล้วยทั้งเครือไม่สมบูรณ์ผลขาดปลาย สู้กล้วยสุกสมบูรณ์ผลหวีเดียวก็ไม่ได้

    วันหน้าจะมาอรรถาที่มาและอธบายครับ ตอนนี้แบตหมดแล้วต้องจำลาจากทั้งใจยังอาลัยครับ

    สะบายดี...
ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าทำอวดเก่งและเข้าไม่ถึงแก่นเหมือนซะว่าตัวรู้ทั่วเหนือคัมภีร์พุทธวจณะ
แท้ที่จริงแค่ฉาบฉวยเอาหน้ายกตัวเองวันๆ มาละเลงธรรมสดที่ว่าเข้าใจอะไรแล้วเกี่ยวกับธรรมมาโต้วาทะธรรมกันนายไม่ได้รู้ธรรมอะไรที่ลึกๆเข้าถึงแก่นแท้เลย นายคุณหลวงชักจะหมั่นไส้ประโยคที่นายว่าไม่ต้องเรียนรู้พระไตรให้จบสิ้น ตามอ่านของแกมาเยอะเอาหน้าบ้าราคะจริตยกตัวเองยกประโยคธรรมที่ลอกมาอ้างทั้งนั้นเหมือนเสิร์ทหากูเกิลมาตอบเด็ก ป.6กระทำได้ ไม่เห็นอะไรที่กลั่นธรรมคำสอนออกมาจากตัวเองเลย ครั้งก่อนกูหื่นกามารมสองแง่สองงานพกถุงยางหน้าลานธรรมมาแล้วไม่รู้หวันทำเป็นเล่นเพื่อให้ได้หน้าคนเข้ามาอ่านผิวเผินนึกว่าเก่งไม่มีแก่นที่แสดงให้เห็นว่ารู้อะไรลึกเลย นายไม่มีศาสนาแล้วถ้าเหนือคัมภีร์พุทธวจณะตัวแทนองค์ศาสดา มาเข้ามาเลยคุณหลวงเอาแต่หน้าอวดเก่งของปลอม ศีลห้ายังไม่ครบอวดเก่งเหนือคัมภีร์

ฑ.หน้าขาว

ใช่จำได้สรวลเสเฮฮาสุรานารี พกถุงอะไรนี่แหละกินเบียร์เหล้าทุเรศไม่รู้กาละเทศะ ที่อื่นมีให้โพสเยอะแยะมาหื่นกระหายอบายมุขกามในกระดานบุญ  ส.หลกจริง ส.หลก ส.สั่งสอน

ขำ ขำ


งดเล่า

เข้าพรรษา อย่าลืมงดเหล้า งดเบียร์ ส.หลก

คุณหลวง

อ้างจาก: จอมมารสุรา เมื่อ 22:58 น.  28 มิ.ย 57
ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าทำอวดเก่งและเข้าไม่ถึงแก่นเหมือนซะว่าตัวรู้ทั่วเหนือคัมภีร์พุทธวจณะ
แท้ที่จริงแค่ฉาบฉวยเอาหน้ายกตัวเองวันๆ มาละเลงธรรมสดที่ว่าเข้าใจอะไรแล้วเกี่ยวกับธรรมมาโต้วาทะธรรมกันนายไม่ได้รู้ธรรมอะไรที่ลึกๆเข้าถึงแก่นแท้เลย นายคุณหลวงชักจะหมั่นไส้ประโยคที่นายว่าไม่ต้องเรียนรู้พระไตรให้จบสิ้น ตามอ่านของแกมาเยอะเอาหน้าบ้าราคะจริตยกตัวเองยกประโยคธรรมที่ลอกมาอ้างทั้งนั้นเหมือนเสิร์ทหากูเกิลมาตอบเด็ก ป.6กระทำได้ ไม่เห็นอะไรที่กลั่นธรรมคำสอนออกมาจากตัวเองเลย ครั้งก่อนกูหื่นกามารมสองแง่สองงานพกถุงยางหน้าลานธรรมมาแล้วไม่รู้หวันทำเป็นเล่นเพื่อให้ได้หน้าคนเข้ามาอ่านผิวเผินนึกว่าเก่งไม่มีแก่นที่แสดงให้เห็นว่ารู้อะไรลึกเลย นายไม่มีศาสนาแล้วถ้าเหนือคัมภีร์พุทธวจณะตัวแทนองค์ศาสดา มาเข้ามาเลยคุณหลวงเอาแต่หน้าอวดเก่งของปลอม ศีลห้ายังไม่ครบอวดเก่งเหนือคัมภีร์

    ขอบคุณสำหรับการ"ตามอ่านของแกมาเยอะ" ครับผม  ส.ยกน้ิวให้ แต่ "กูหื่นกามารมสองแง่สองงาน"นี่ ท่านจะทำตัวเองลำบากนะครับ เพราะท่านสามารถที่จะไม่รับผิดชอบโดยการพิมพ์ผิดๆถูกๆ และหากท่านอ่านอย่างสามารถจับใจความได้อย่างไม่อคติแล้วท่านจะไม่กล่าวอย่างที่กล่าวมาแน่ครับ ลองกลับไปอ่านอีกครั้งอย่างใจเย็นครับ แล้วตอบตัวเองอีกที

    ผมไม่ได้มุ่งหวังเข้ามาเพื่ออวดดี อวดเก่ง การเสวนาธรรมนั้นเป็นเรื่องกล่อมใจที่ผมคิดว่าไม่ว่าคนประเภทใดก็ควรที่จะทำ ต่อให้ยังเลวทรามเพียงใด เพราะการชักนำความคิดสู่ทางที่ดี ทางธรรมบ้าง วันละนิดละน้อย สัปดาห์ละนิดละน้อย เดือนละนิดละน้อย ปีละนิดละน้อย ชาติละนิดละน้อย ก็ยังนับว่าเป็นการสร้างอุปนิสัยทางธรรมแก่ตน แม้เห็นผลช้าก็ควรทำ ผมสนับสนุนครับ และผมเชื่อว่าทุกท่านที่สามารถพ้นทุกข์ได้นั้น(แม้กระทั่งพระพุทธองค์)ก็เริ่มต้นมาจากการสร้างอุปนิสัยบารมีทีละเล็กละน้อยตั้งแต่ครั้งยังเลวในพระชาติก่อนๆ และเพิ่มขึ้นมาในชาติต่อๆมา จริงไหม?

    ทีนี้ ผมขอแถลงทีละประเด็นที่ท่านกล่าวมาครับ

๑. ...ทำอวดเก่งและเข้าไม่ถึงแก่นเหมือนซะว่าตัวรู้ทั่วเหนือคัมภีร์พุทธวจณะ...

    ผมไม่อวดเก่งครับ การเสวนาธรรมล้วนเป็นไปในเจตนาที่กล่าวอารัมภบทมาข้างต้นครับ แต่เรื่องเข้าไม่ถึงแก่นนี่ ยอมรับว่าจริงครับ(แสดงว่าผีของท่านกลับไปบอกแล้วใช่ไหมครับ ขอบคุณผีของท่านนะครับที่มีเมตตาแก่ผม ไม่ให้ร้ายใดๆตลอดมา)

๒. ...ไม่ต้องเรียนรู้พระไตรให้จบสิ้น...นายไม่มีศาสนาแล้วถ้าเหนือคัมภีร์พุทธวจณะตัวแทนองค์ศาสดา..."

    พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์ที่พระสาวกรุ่นหลังกระทำกันหลังพระพุทธองค์ทรงละสังขารไปแล้ว ครั้งแรกนำโดยพระมหากัสสปะผู้เลิศธุดงคคุณ และอีกหลายครั้งต่อมา เป็นการรวบรวมประวัติ และคำสอนต่างๆไว้ให้เป็นหนทางแก่อนุชน

    พระพุทธองค์ท่านอาจไม่ทราบก็ได้ว่าสาวกของพระองค์จะจัดทำพระไตรปิฎกขึ้นมา และเมื่อศึกษาพระไตรปิฎก ท่านจะทราบได้ว่ามีน้อยท่านที่เอ่ยนามในพระไตรปิฎกจะรู้ทั่วพระไตรปิฎก ยกตัวอย่าง อย่างท่านอานนท์ ท่านอุบาลี    ท่าน มหากัสสปะ และพระอรหันต์อีกห้าร้อยรูป เหล่านี้รู้ทั่วครับ เพราะท่านจัดทำกันเอง รวมถึงรุ่นหลังๆ

    แต่ถามว่า ก่อนหน้านั้น ท่านสารีบุตร ท่านโมคคัลลาน์ ท่าน...ฯลฯ ซึ่งละสังขารไปก่อนพระพุทธองค์อีกนับร้อยนับพันนับหมื่น จะรู้ทั่วพระไตรปิฎกไหม ตอนท่านเหล่านั้นบรรลุธรรมท่านมาอ่านพระไตรปิฎกไหม ก็เห็นอยู่ว่าท่านสดับธรรมจากพระพุทธองค์เพียงหนึ่งครั้ง บางท่านสองครั้ง สามครั้ง เท่านั้นเอง

    ความจำเป็นที่จะต้องรู้สิ้นพระไตรนั้น อาจจะมีแก่ผู้ศึกษาบางประเภท แต่สำหรับผู้ต้องการความพ้นทุกข์แล้วไม่ต้องไปก้มหน้าห้มตาอ่านจนสิ้นดอกครับ เอาแค่สามารถดับทุกข์ได้ก็พอ ประดุจท่านพาหิยะที่ได้ฟังธรรมสั้นๆ(สั้นแค่ไหน ผู้รู้ทั่วพระไตรคงรู้ดี)ก็ดับทุกข์ได้ จนเป็นเอตทัคคะด้านรู้ธรรมเร็ว ท่านพาหิยะรู้ทั่วพระไตรไหม?

    ผู้ปฏิบัติธรรมมีปัญหาไม่ใช่เพราะความรู้ไม่พอ แต่มีปัญหาเพราะไม่เอาความรู้นั้นมาปฏิบัติอย่างจริงจังต่างหาก จริงไหม? ความรู้ข้อเดียวก็ดับทุกข์ได้ หากทำจริง ดุจพระพาหิยะนั่นเอง นั้นจึงเป็นที่มาของคำว่าไม่ต้องรู้สิ้นพระไตร แต่รู้ให้ดับทุกข์ได้ก็พอ

    ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่เกิดแก่ผู้ศึกษาคือไม่ได้ศึกษาเพื่อพ้นทุกข์กลับศึกษาเพื่อไว้ข่มคนอื่น จนบางครั้งลอกของคนอื่นมาอ้าง ยังไม่กล้ากล่าวที่มา เพราะอวดตนว่ารู้กว่าเขา

    ด้วยเหตุดังนี้ ผมจึงไม่ได้อวดเก่งเหนือคัมภีร์ ผมแค่รู้ว่าควรมีคัมภีร์ไว้เพื่อเป็นแนวทาง ศึกษาทางเท่านั้น ส่วนการปฏิบัติเป็นเรื่องของผมเอง ผมไม่ได้รู้คัมภีร์เพื่อบอกใครๆว่ารู้ แต่รู้เพื่อเป็นแนวทางแก่การปฏิบัติและตรวจสอบ

๓.  ในส่วนของการค้นหาจากกูเกิ้ลมาอ้างนั้น อย่างที่เคยอธิบายมาครับว่า เมื่อผมใช้ข้อมูลมาจากที่ใด ผมให้ความเคารพแก่ที่มานั้นด้วยการใส่ที่มาไว้ให้ทราบ มันเป็นมารยาทเบื้องต้นของการใช้ข้อมูลครับ แน่นอน เด็กป.๖ ก็ค้นกูเกิ้ลมาวางได้ แต่ผู้ใหญ่จำนวนมากแม้จบปริญญายังไม่มีมารยาทในการใช้ข้อมูลครับ

    ก็ขอขอบคุณที่ติดตามกันเรื่อยมาครับ และคงมีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แง่คิด ประสบการณ์ แนวทาง(ตน)กันต่อไปครับ


ป.ล. การใช้ชื่อใคร่ครวญในครั้งนั้น อันเนื่องมาจากตอบทางโทรศัพท์ที่ยังไม่คล่องต่อการใช้ มันหลุดจากชื่อสมาชิกตอนไหนไม่ทราบ จะแก้ก็ไม่ทัน เพราะแบตฯกำลังหมด เลยใส่ชื่ออื่นไป พอเสร็จแบตฯหมดพอดี และนั่นก็เป็นกระทู้ของคุณหลวงครับ

สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅ ฅนหลง

.


..คุณหลวงตอบได้ดี

ขอบคุณคุณผีด้วยขอรับ ส.หลก

ฅ ฅนหลง


อู๊ด อารีย์

ทุกอย่างต่างมีที่มาและที่ไปด้วยจิตอาริโย ส.โขกกำแพง

ฅ ฅน


ลุงทอง

โชคดีที่เกิดมาเจอศาสนาพุทธครับ ไม่คาดหวังกับคนอื่นมาก

คุณหลวง

ครับ

    ศาสนาพุทธนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ผู้ที่สามารถรู้ถึงได้ก็เป็นแต่เพียงผู้ที่นำมาบอกกล่าวมิใช่เจ้าของ และไม่สามารถเป็นเจ้าของ มันเป็นเรื่องของมันเองอย่างนั้น ความจริงการเรียกมันว่าศาสนาพุทธก็ยังอาจกล่าวว่าเป็นการละเมิดธรรมด้วยซ้ำไป แต่เมื่อเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งชนโลกที่ยังต้องใช้สมมติบัญญ้ติมาสื่อสารกัน มันก็เลยต้องเรียกไปสักอย่างหนึ่ง

    หากโลกนี้มีเพียงศาสดาพระพุทธเจ้าก็อาจไม่ต้องเรียกว่าศาสนาก็ได้ แต่เมื่อมีความเชื่อหลากหลาย มีศาสดามากมาย เพื่อการแยกแยะเข้าใจกันมันเลยต้องมีชื่อ

    หากเห็นประโยชน์แห่งธรรมแล้ว จะเผยแผ่แบ่งปัน มันเป็นเรื่องที่ควรอนุโมทนายิ่ง การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน อย่างไรมันก็ต้องมีข้อแตกต่าง เพียงแต่หากเรามุ่งประโยชน์ความแตกต่างนั้นมันก็เป็นความรู้อีกแง่เท่านั้นที่จะเป็นประโยชน์แก่เราได้บ้าง แม้ว่ามันไม่ถูกใจเราก็ตาม

    อย่าเอาตัวตนเข้าไปรับความแตกต่างให้กลายเป็นความแตกแยก เพราะเมื่อเอาตัวตนเข้าไปรับสิ่งใดแล้วมันก็กลายเป็นอธรรม มิใช่ธรรมไปทันที

    เพราะธรรมนั้นไม่มีอะไรให้ยึดมั่นว่าตัวตนได้

    ทางโลกเป็นของคู่ ทางธรรมหนึ่งเดียวรวด แต่หนึ่งเดียวของธรรมนั้น มิใช่สองลบหนึ่งเท่ากับหนึ่ง มิใช่ลบทางโลกเหลือทางธรรมแล้วเท่ากับหนึ่ง แต่ธรรมนั้นสองลบสองจึงเท่ากับหนึ่ง ความไม่มีอะไรนั่นจึงชื่ิอว่าหนึ่ง ต้องลบทั้งทางโลกทั้งทางธรรมออกไปจึงชื่อว่าหนึ่ง มันจึงเป็นเรื่องยากที่คนจะเข้าใจและทำได้ แม้พระพุทธองค์ยังทรงท้อพระทัยที่จะบอกจะสอนในเบื้องต้นหลังตรัสรู้

    แต่เมื่อมันยากก็มิใช่ต้องละทิ้ง เพียงแต่สนใจบ้างเล็กน้อยก็ยังดี เพราะความเพิ่มพูนบารมีเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา เราต้องให้เวลาแก่ตนที่จะเพิ่มบารมีแก่ตน อย่ารีบร้อนมาก อย่าตัดสินตนหรือใครว่าอย่างไร เพียงรู้ตนแล้วเดินต่อไปตามวิถีตนก็พอ

    อย่าจำกัดว่ามันต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะต่างคนต่างมีวิถีแห่งตน มีความเป็นเอกภาพแห่งตน บางคนเดินทางสั้น บางคนมั่นทางยาว บางคนมุ่งพ้นทุกข์ปัจจุบัน บางคนมุ่งพระโพธิญาณ บางคนมุ่งปัจเจก บางคนมุ่งสาวก เมื่อแนวทางต่าง มันย่อมมีความต่างกันในรายละเอียด เฉกเช่นวิ่งร้อยเมตร กับวิ่งมาราธอนย่อมมีรายละเอียดกติกาที่ต่างกัน ฉันใดก็ฉันนั้น แต่ปลายทางย่อมเหมือนกันคือเส้นชัย

    ครับผม ก็ขออนุโมทนาต่อทุกท่านที่สนใจแล้วและกำลังสนใจในธรรม ขอความสุขจงบังเกิดมี



สะบายดี...

   
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

อายุบวร

มาอ่านข้อคิดดีๆจากคุณหลวงครับ

คุณหลวง

"คนที่รู้ว่าต้องเดินอย่างไรแล้ว ไม่ต้องมีครูก็ได้" (มหาตมะ คานธี)
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅ ฅน

..


...ตามคุณหลวงมา

วันนี้  เขียนสั้นจัง.... ส.สู้ๆ

เณรเทือง

ผมไม่ได้แวะมานาน วันนี้ขอสวัสดีทุกๆท่าน ดีใจที่กระทู้นี้มีผู้ติดตามอ่านมากมาย
จขกท.

คุณหลวง


    ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กระทู้นี้ก็คงมีประโยชน์กับหลายๆท่านที่ติดตามอ่าน แม้ว่าต้องเจอความน่าหงุดหงิดรำคาญบ้างก็ตาม

    อันที่จริง ตั้งแต่ต้นมาก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะต่อล้อต่อเถียงกับใคร ยืนยันจนวันนี้ก็ไม่มีเจตนาในแง่ร้ายต่อท่านผู้นั้นแม้เพียงนิด แม้ว่าบางทีจะรู้สึกหงุดหงิดก็ตาม แต่มันสนุกทุกครั้งที่ได้คิดได้ตอบ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากเวลาหนึ่ง เพราะว่ามันทำให้ผมได้จดจ่อกับธรรมจริงๆ มันเห็นความรู้สึกของตัวเองค่อนข้างชัด บางครั้งอ่านแล้วในใจก็สั่นตึบๆ ต้องหายใจกันหลายทีกว่าจะสงบลง

    และอันที่จริงอีกอย่างก็คือ ดูเหมือนว่าผมจะมีโชคดีมหาศาลอยู่ตรงที่ ผมเองเคยตอบด้วยอารมณ์ที่โกรธไปหลายครั้ง มีวาจาทิ่มแทงแรงๆไป แต่ทุกครั้งเหล่านั้นผมไม่มีโอกาสได้โพสท์ลงสักที บางทีเน็ตหลุด บางทีกดพลาดหายจ่อมแบ้วไป บางที...มันก็เลยต้องพิมพ์ใหม่ แน่นอน มันได้ทบทวนอีกครั้ง

    มันจึงเป็นความจริงที่ผมยอมรับตลอดมาว่าตัวเองยังเลว เพราะความโกรธมาปรากฎบ่อยครั้งมาก

    ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่าท่านผู้นั้นก็มีเจตนาที่ดีต่อพระศาสนาและพระธรรม แต่ผมก็เห็นโดยสุจริตใจอยู่ดีว่าท่านไม่อริยะอย่างที่ท่านคิดว่าเป็น และเบื้องต้นนั้นผมก็แค่ทักเพราะอยากรู้เท่านั้นเอง

    ผมเคยเป็นพระอรหันต์ครับ ตอนนั้น ตัวเองเลิศประเสริฐสุดๆไม่มีใดเทียม มองดูใครๆก็เลวทั้งนั้น กว่าปรากฏทราบยอมรับว่าตนเองก็ปุถุชนเลวๆก็ด่า(ในใจ)พระที่ท่านปฏิบัติดีไปหลาย

    การปฏิบัติธรรมระยะเริ่มต้นนั้น ผมว่าทุกคนจะต้องมีช่วงขาขึ้น เหมือนกับทำอะไรอื่นๆที่ดีมากเมื่อเริ่มต้น มันจะมีอัศจรรย์มากมายจนหลายๆคนหลงไป เพื่อนผมคนหนึ่งบวชได้สามสี่เดือน ปฏิบัติธรรมได้ไม่นานเพียงนั้น ริอาจตั้งต้นเป็นพระวิปัสสนาจารย์ พูดธรรมฉะฉาน ไม่กี่วันก็สึกออกไป

    อีกคนบรรลุธรรมอริยะจนเที่ยวดูถูกดูแคลนผู้อื่นจนเกิดอริเยอะ สุดท้ายก็บรรลุธรรมกับสีกาจนป่องต้องลาสึกออกไปอย่างอัปยศ

    ผมจึงสอบจึงเตือนด้วยความหวังว่า ท่านผู้นั้นจะได้ตรวจสอบตัวเองอีกครั้ง ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะใจเราพร้อมที่จะยกตนอยู่แล้วด้วยอัตตวาทุปาทานส่วนลึก แล้วมันก็กลายเป็นนิยายเรื่องยาวมาจนวันนี้

    แต่สุดท้าย มันก็อยู่ที่ว่าใครจะรับเอาอะไรไป โลกนี้มีทั้งดีทั้งเลว แต่มันไม่ได้บังคับให้เรารับอะไร ใจเราสามารถเลือกได้เอง อยู่ที่เราจะเลือกเท่านั้น

    หนทางสู่ความพ้นทุกข์นั้นมันมีมากมายหลายทาง แล้วแต่จริตใครจะไปแบบใดทางใด เรียกว่าหนึ่งจุดหมาย หลายหนทางก็ได้ เพียงแต่หากเราไม่ยึดติดอยู่กับทางตนเราก็จะไม่มีปัญหากับทางผู้อื่น และสามารถเป็นกัลยาณมิตรต่อกันได้

   จิตของเรามุ่งไปสู่ความสงบอยู่แล้ว เพียงแต่แรงต้านมันเกิดจากความไม่รู้เท่านั้น ไม่รู้ว่าความสงบที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร เราก็เลยหาความสงบเทียมที่เป็นไปตามความไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็เป็นไปตามอำนาจกิเลสนั่นเอง

    ลูกร้องแล้วครับ ขอตัวไปก่อนครับ อนุโมทนาต่อบุญกุศลที่ทุกท่านกระทำทั้งด้วยกาย วาจา ใจครับผม


สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅ ฅน

...วันนี้  เขียนยาวจัง


อย่าเพิ่งจบนะขอรับ ส.สู้ๆ ส.ยกน้ิวให้