ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ไม่มีศาสนา

เริ่มโดย เณรเทือง, 17:01 น. 28 มี.ค 55

เณรเทือง

เด็กรุ่นใหม่หลายคนชอบพูดว่าตนเองไม่มีศาสนา
สมาชิกกระดานลานบุญเคยเจอคนพวกนี้มาบ้างไหม

กิมหยง

ครับ ต่อไปก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ครับท่าน
พวกเขาเหล่านี้จะเชื่อแต่สิ่งที่ตาเห็น
เป็นแบบเดียวกันทั้งโลก

ต่อไปก็ไม่เชื่อเรื่องผี เทวดา ไม่เชื่อชีวิตหลังความตาย
ต่อไปอาจไม่เชื่อว่าปู่ของปู่ มีจริงก็เป็นได้ครับ

สร้าง & ฟื้นฟู

อนัตตา

.




....มีศาสนา คือ อย่างไร



ต้องนุ่งเหลืองห่มเหลือง


ต้องสาบาน ว่า ยอมรับ หรือ ต้องดำน้ำ กินไวน์กับขนมปัง


ต้องเข้าวัด เข้าโบสถ์ ต้องสวดมนต์ได้



หรือว่า ตอบกระทู้เกี่ยวกับศาสนาในกิมหยงได้ แต่ยังกินเหล้า กินเบียร์ เที่ยวหญิง ยังด่าว่าฅนอื่น...


พูดเรื่ิองเมตตา กรุณา แต่ยังกินเลือดกินเนื้อผู้อื่น....

wareerant

ผมเองครับ เป็นคนไม่มีศาสนา แต่ไม่ใช่ไม่ศึกษานะครับ ก็ศึกษามามาก ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ฯลฯ
ในบรรดาศาสนาที่ผมได้ศึกษาและรู้จัก ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ผมชอบที่สุด เพราะเป็นหลักของความน่าจะเป็น อธิบายการเข้าถึงจุดสูงสุดของจิตได้ดีที่สุด ศาสนาอื่นไม่มี แต่ศาสนาอื่นก็ดีเหมือนกัน เช่น คริสต์ สอนให้รักกัน อิสลาม สอนไม่ใช้ดื่มเหล้า การดื่มเหล้าบาปมาก บาปยิ่งกว่าการกินหมูอีก แต่คนส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการกินหมูบาปมากกว่า

ผมนับถือพระพุทธเจ้า นับถือพระเยซู นับถือศาสดาอื่นๆ ล้วนแต่เป็นผู้มีพระคุณกับมนุษยชาติ แต่ก็มิได้ยึดติดกับศาสดาท่านใดท่านหนึ่ง

ผมเก็บเอาสิ่งดี ๆ ของแต่ละศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน การทำบุญที่ดีที่สุดของผม คือการช่วยเหลือผู้อื่นที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ผมไม่บริจาคเงินสร้างวัด สร้างศาลา สร้างซุ้มประตูวัด สร้างกุฏิพระ แต่จะบริจาคให้ผู้ประสบภัยและผู้ด้อยโอกาสต่าง ๆ

แม้ผมจะชอบศาสนาพุทธมาก แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง ศาสนาพุทธเสื่อมสูญสลายไป ผมก็รู้สึกเฉยๆ ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ก็คงเสียดาย

ผมไม่เชื่อเรื่องชาติที่แล้ว และชาติหน้า ผมทำชาตินี้ให้ดีที่สุด

ผมไม่เชื่อเรื่องกรรม ถ้ามีโอกาสจะทำแต่ความดี แม้จะไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ ก็ตาม เพราะผมเป็นคนดีโดยธาตุในตัวผม ไม่เกี่ยวกับบุญกรรมแต่อย่างใด

ผมไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ผมเชื่อเรื่องโลกมนุษย์อย่างเดียว เคยมีคนไปถามขงจื้อว่า คิดอย่างไรเรื่องสวรรค์ ขงจื้อกล่าวว่า เรื่องในโลกมนุษย์ยังรู้ไม่หมดเลย จะไปรู้เรื่องสวรรค์ใ้มันได้อะไรขึ้นมา

ผมเป็นคนเชื่อยาก ต้องพิจารณากรั่นกรองอย่างมากแล้วเท่่านั้น ถึงจะเชื่อ

เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาว่าจิตของคนเรามี 3 ระดับ
1. ขั้นสุนทรียะ คือคนทั่วไป หาเงินมาได้ก็เอามาใช้จ่าย หาความสุขใส่ตัว
2.ขั้นศีลธรรม เคร่งในศีล ในศาสนา บางครั้งมากเกินไป ชีวิตไม่มีความสุข
3. ขั้นศิลปะ ขั้นนี้คือการเข้าถึงศาสตร์แห่งศิลปะทั้งมวล เข้าใจความไม่สมบูรณ์แห่งชีวิตและธรรมชาติ

เด็กรุ่นใหม่หลายคน บอกว่าไม่มีศาสนา นั่นคือเขายังไม่เคยศึกษาศาสนา ต้องศึกษาให้ถึงที่สุดก่อน ถึงจะทิ้งศาสนาได้




ขอบคุณครับ

.



...มาศึกษาธรรมะจาก ท่านวารี...

เก่งแล้วพ่อมหาจำเริญ

อ้างจาก: wareerant เมื่อ 18:41 น.  28 มี.ค 55
ผมเองครับ เป็นคนไม่มีศาสนา แต่ไม่ใช่ไม่ศึกษานะครับ ก็ศึกษามามาก ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ฯลฯ
ในบรรดาศาสนาที่ผมได้ศึกษาและรู้จัก ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ผมชอบที่สุด เพราะเป็นหลักของความน่าจะเป็น อธิบายการเข้าถึงจุดสูงสุดของจิตได้ดีที่สุด ศาสนาอื่นไม่มี แต่ศาสนาอื่นก็ดีเหมือนกัน เช่น คริสต์ สอนให้รักกัน อิสลาม สอนไม่ใช้ดื่มเหล้า การดื่มเหล้าบาปมาก บาปยิ่งกว่าการกินหมูอีก แต่คนส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการกินหมูบาปมากกว่า

ผมนับถือพระพุทธเจ้า นับถือพระเยซู นับถือศาสดาอื่นๆ ล้วนแต่เป็นผู้มีพระคุณกับมนุษยชาติ แต่ก็มิได้ยึดติดกับศาสดาท่านใดท่านหนึ่ง

ผมเก็บเอาสิ่งดี ๆ ของแต่ละศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน การทำบุญที่ดีที่สุดของผม คือการช่วยเหลือผู้อื่นที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ผมไม่บริจาคเงินสร้างวัด สร้างศาลา สร้างซุ้มประตูวัด สร้างกุฏิพระ แต่จะบริจาคให้ผู้ประสบภัยและผู้ด้อยโอกาสต่าง ๆ

แม้ผมจะชอบศาสนาพุทธมาก แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง ศาสนาพุทธเสื่อมสูญสลายไป ผมก็รู้สึกเฉยๆ ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ก็คงเสียดาย

ผมไม่เชื่อเรื่องชาติที่แล้ว และชาติหน้า ผมทำชาตินี้ให้ดีที่สุด

ผมไม่เชื่อเรื่องกรรม ถ้ามีโอกาสจะทำแต่ความดี แม้จะไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ ก็ตาม เพราะผมเป็นคนดีโดยธาตุในตัวผม ไม่เกี่ยวกับบุญกรรมแต่อย่างใด

ผมไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ผมเชื่อเรื่องโลกมนุษย์อย่างเดียว เคยมีคนไปถามขงจื้อว่า คิดอย่างไรเรื่องสวรรค์ ขงจื้อกล่าวว่า เรื่องในโลกมนุษย์ยังรู้ไม่หมดเลย จะไปรู้เรื่องสวรรค์ใ้มันได้อะไรขึ้นมา

ผมเป็นคนเชื่อยาก ต้องพิจารณากรั่นกรองอย่างมากแล้วเท่่านั้น ถึงจะเชื่อ

เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาว่าจิตของคนเรามี 3 ระดับ
1. ขั้นสุนทรียะ คือคนทั่วไป หาเงินมาได้ก็เอามาใช้จ่าย หาความสุขใส่ตัว
2.ขั้นศีลธรรม เคร่งในศีล ในศาสนา บางครั้งมากเกินไป ชีวิตไม่มีความสุข
3. ขั้นศิลปะ ขั้นนี้คือการเข้าถึงศาสตร์แห่งศิลปะทั้งมวล เข้าใจความไม่สมบูรณ์แห่งชีวิตและธรรมชาติ

เด็กรุ่นใหม่หลายคน บอกว่าไม่มีศาสนา นั่นคือเขายังไม่เคยศึกษาศาสนา ต้องศึกษาให้ถึงที่สุดก่อน ถึงจะทิ้งศาสนาได้

จ้า ....  พ่อมหาจำเริญ

wareerant

อ้างถึงจ้า ....  พ่อมหาจำเริญ

ขอบคุณครับ

puiey

ผมว่าทุกคนควรมีศาสนาไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นเข็มทิศในการดำิเนินชีวิต จะได้ไม่เดินผิดทิศผิดทาง ให้ชีวิตสูญเปล่า
โกธรกับแฟน ขึ้นสเตตัส "โสด" ถ้าวันนึง แม่มึงโกธร มึงไม่ขึ้นสเตตัส "กำพร้า" เลยเหรอ

คุณาพร.

หัวใจสูงสุดของทุกศาสนาบนโลก  คือ  สอนให้ทุกคนทำเเต่ความดี  ละเว้นความชั่ว

ถ้าคนไม่นับถือศาสนา.....ทำเเต่ความดี  ละเว้นความชั่ว  คุณก็ถือเป็นยอดคนเเล้วล่ะครับ   ส.อ่านหลังสือ

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

เณรเทือง

คุณ wareerant ครับ
ช่วยดูนี่

พจนานุกรม ไทย-ไทย   
   
กามสุขัลลิกานุโยค

คำแปล2

(ศน.) น. การประกอบตนให้เพลิดเพลินในกาม; ทางปฏิบัติของคนที่อยากพ้นทุกข์ตามที่มีผู้ทำกันอยู่ สรุปแล้วมี ๓ ทาง คือ ๑. กามสุขัลลิกานุโยค ปล่อยตัวให้เพลิดเพลินในกามคุณเต็มที่ ๒. อัตตกิลมัต- ถานุโยค ทรมานตัวให้ลำบากเต็มที่ ๓. มัชฌิมาปฏิปทา ดำเนินสายกลางระหว่างที่ ๑ กับที่ ๒ (สายที่ ๓ นี้พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบ).

Gemini

เราว่าคนที่คิดดี ปฏิบัติดีแล้ว
เค้าจะไม่มาเถียงกันเรื่องศาสนา
ส.ตากุลิบกุลิบ ส.ตากุลิบกุลิบ
เพราะใคร ๆ ก็คิดว่า ตัวเองดีแล้ว
ทำไมไม่อย่างโน้น อย่างนี้
สุดท้ายก็ยึดความคิดตัวเองอยู่ดี

เรานับถือพุทธ และคิดว่า ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี
ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้
"ไม่สวย ไม่หล่อ หาหมอศัลยกรรม  ความคิด จิตต่ำ ศัลยกรรมช่วยไม่ได้จริง ๆ"

Ning Zaa


wareerant

อ้างถึงคุณ wareerant ครับ
ช่วยดูนี่

พจนานุกรม ไทย-ไทย   
   
กามสุขัลลิกานุโยค

คำแปล2

(ศน.) น. การประกอบตนให้เพลิดเพลินในกาม; ทางปฏิบัติของคนที่อยากพ้นทุกข์ตามที่มีผู้ทำกันอยู่ สรุปแล้วมี ๓ ทาง คือ ๑. กามสุขัลลิกานุโยค ปล่อยตัวให้เพลิดเพลินในกามคุณเต็มที่ ๒. อัตตกิลมัต- ถานุโยค ทรมานตัวให้ลำบากเต็มที่ ๓. มัชฌิมาปฏิปทา ดำเนินสายกลางระหว่างที่ ๑ กับที่ ๒ (สายที่ ๓ นี้พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบ).

ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าให้ดูทำไม แต่คิดว่าคงมีเจตนาดี ก็ต้องขอขอบคุณครับ

อ้างถึงผมว่าทุกคนควรมีศาสนาไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นเข็มทิศในการดำิเนินชีวิต จะได้ไม่เดินผิดทิศผิดทาง ให้ชีวิตสูญเปล่า

อันนี้ผมเห็นด้วย ขอย้ำว่า การที่เด็กและเยาวชน ไม่คิดจะมีศาสนาเป็นเรื่องอันตราย ทุกวันนี้ แม้บางคนบอกว่านับถือศาสนานั้นนี้ ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงศาสนาของตน เหมือนวนเวียนอยู่หน้าบ้าน ไม่ยอมเข้าบ้าน ต้องเข้าไปดูก่อน ถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร


คุณหลวง

อ้างจาก: gemini เมื่อ 10:02 น.  29 มี.ค 55
เราว่าคนที่คิดดี ปฏิบัติดีแล้ว
เค้าจะไม่มาเถียงกันเรื่องศาสนา
ส.ตากุลิบกุลิบ ส.ตากุลิบกุลิบ
เพราะใคร ๆ ก็คิดว่า ตัวเองดีแล้ว
ทำไมไม่อย่างโน้น อย่างนี้
สุดท้ายก็ยึดความคิดตัวเองอยู่ดี

เรานับถือพุทธ และคิดว่า ทุกศาสนาสอนให้คิดเป็นคนดี
ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้

     ส.ยกน้ิวให้ จากใจ ผมชอบความเห็นนี้ของคุณมากเลยครับ ถ้าผมจะพูดว่า"นั่นล่ะ เส้นเลือดระหว่างห้องหัวใจของศาสนาล่ะ" คุณก็อาจจะงง เมื่อผมอธิบายต่อว่า(ต่อว่า แปลว่า อธิบายขยายความต่อ มิใช่ต่อว่าที่แปลว่า ตำหนิ กล่าวโทษ) หัวใจของศาสนาต่างๆคือธรรมสุดยอดของศาสนานั้นๆ

    การไม่เถียง ทะเลาะกันเรื่องศาสนาจึงควรจะเป็นเส้นเลือดระหว่างห้องหัวใจ รวมทั้งการไม่ทะเลาะกันเพราะยกตนว่าดี หรือใครเลว


   
อ้างถึงผมเป็นคนเชื่อยาก ต้องพิจารณากรั่นกรองอย่างมากแล้วเท่่านั้น ถึงจะเชื่อ

เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาว่าจิตของคนเรามี 3 ระดับ
1. ขั้นสุนทรียะ คือคนทั่วไป หาเงินมาได้ก็เอามาใช้จ่าย หาความสุขใส่ตัว
2. ขั้นศีลธรรม เคร่งในศีล ในศาสนา บางครั้งมากเกินไป ชีวิตไม่มีความสุข
3. ขั้นศิลปะ ขั้นนี้คือการเข้าถึงศาสตร์แห่งศิลปะทั้งมวล เข้าใจความไม่สมบูรณ์แห่งชีวิตและธรรมชาติ

    ผมไม่ทราบว่าหนังสือเล่มนี้คือเล่มใด ใครเขียน แต่ผมว่าเค้าน่าจะแยกให้ออกระหว่างสุนทรียะ กับ การปล่อยจิตไปตามความไม่รู้ หลงในวัฏฏะของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์อย่างนั้น เพราะคำว่าสุนทรียะนั้นไม่สามารถใช้ในคนทั่วไปที่ใช้ชีวิตไปวันๆ

    ส่วนในข้อที่สามขั้นศิลปะนั้น ท่าทางคล้ายจะเป็นขั้นสุดยอด แต่ผมว่าเขาน่าจะเสริมว่า เข้าใจความสมบูรณ์และความไม่สมบูรณ์แห่งชีวิตและธรรมชาติ แม้ว่าเข้าใจความไม่สมบูรณ์แห่งชีวิตและธรรมชาติอาจจะแฝงนัยยะของการเข้าใจความสมบูรณ์อยู่ด้วยก็ตาม

    เพราะความสมบูรณ์และความไม่สมบูรณ์นั้นอยู่ในเกลียวเดียวกันแต่แยกจากกันอย่างสิ้นเชิงครับ เช่นเดียวกับวัฏฏสงสารที่อยู่บนเกลียวเดียวกับนิพพาน แต่แยกกันโดยสิ้นเชิง


สะบายดี..บนวัฏฏะแห่งอัตมรรค
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

กิมหยง

มีข้อแตกต่างกันนะระหว่างไม่มีศาสนากับหลายศาสนา
สร้าง & ฟื้นฟู

คนมีศาสนา

คนที่ไม่มีศาสนาเท่ากับคนนั้นไม่มีวัฒนธรรม  วัฒนธรรมต่างๆมักมีความเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกับศาสนาทั้งสิ้น  เพราะฉนั้นวัฒนธรรมกับศาสนาจะแยกกันไม่ออก  คนเราจะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมต่างๆได้ดี  เราก็ต้องมีวัฒนธรรมหรือเข้าถึงวัฒนธรรมในสังคมนั้นๆด้วย  เพราะฉนั้นวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นหรือสังคมมักเกี่ยวโยงกับศาสนาทั้งสิ้น  เราจึงบอกตัวเองว่าเราไม่มีศาสนาก็อาจเป็นการโกหกตัวเองมากกว่า

wareerant

อ้างถึงคนที่ไม่มีศาสนาเท่ากับคนนั้นไม่มีวัฒนธรรม  วัฒนธรรมต่างๆมักมีความเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกับศาสนาทั้งสิ้น  เพราะฉนั้นวัฒนธรรมกับศาสนาจะแยกกันไม่ออก  คนเราจะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมต่างๆได้ดี  เราก็ต้องมีวัฒนธรรมหรือเข้าถึงวัฒนธรรมในสังคมนั้นๆด้วย  เพราะฉนั้นวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นหรือสังคมมักเกี่ยวโยงกับศาสนาทั้งสิ้น  เราจึงบอกตัวเองว่าเราไม่มีศาสนาก็อาจเป็นการโกหกตัวเองมากกว่า

อาจเป็นได้

สาด หนา

.




....ป๋มนอนบนสาดหนา หรือที่เรียกว่าเสื่อนั่นแหละเป็นอย่างหนานิ่มดี


ตามคุณหลวง และท่านวีระ มาฟังเรื่อง ศาสนา..... ส.ก๊ากๆ ส.ยกน้ิวให้

ธรรมในใจ

เห็นพอตายไป  ญาติๆ เที่ยววิ่งตามหาสิ่งที่ตนเองยึดถือเป็นที่เคารพ  มาให้ทำพิธีกันจ้าละหวั่น  แล้วบอกไม่มีศาสนาได้อย่างไร  ใช่ไหมครับ

คุณหลวง

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 15:58 น.  29 มี.ค 55
มีข้อแตกต่างกันนะระหว่างไม่มีศาสนากับหลายศาสนา

อย่างไรครับ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

4 จว ภาคใต้

.




..ระเบิด หญ ขอให้คุณหลวงอยู่รอดปลอดภัย ส.โอ้โห ส.หัว

wareerant

อ้างถึงเห็นพอตายไป  ญาติๆ เที่ยววิ่งตามหาสิ่งที่ตนเองยึดถือเป็นที่เคารพ  มาให้ทำพิธีกันจ้าละหวั่น  แล้วบอกไม่มีศาสนาได้อย่างไร  ใช่ไหมครับ

ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องของสังคมมากกว่า ถ้าเอาตามผม คนตายแล้ว ก็ต้องเอาเข้าเตาเผา เผาเสร็จแล้ว เก็บกระดูกไว้ดูต่างหน้า 1 ชิ้น เสร็จแล้วก็ดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติ

แต่ถ้าทำอย่างนั้น แน่นอน สังคมประนามแน่ ญาติพี่น้อง ต้องรุมด่า ว่าทำอย่างนั้นได้ยังงัย บางคนห่วงว่า ไม่ทำตามประเพณี วิญญาณจะไม่สงบ บางคน ห่วงว่า ยังไม่ได้บอกแขกเลย ขาดทุน บางคนก็มีเหตุผลต่าง ๆ นานา

เคยอ่านหนังสือ "งานศพแบบชาวพุทธ" ของท่านปัญญานันทภิกขุ อ่านแล้วทัศนคติเกี่ยวกับงานศพเปลี่ยนไปเยอะเลย

เชื่อมั้ยครับ ท่านบอกว่า ในอนาคต งานศพในวัดของท่าน จะเหลือแค่ ให้ญาติมายืนสงบนิ่ง แล้วเผาเลย น่าทึ่งจริง ๆ ครับ
แต่ท่านบอกว่า คนไทยยังไม่พร้อมจะรับเรื่องแบบนี้ คนไทยชอบทำอะไรใหญ่โต สิ้นเปลือง

แต่ผมมองเรื่องความสบายใจมากกว่า ใครสะดวกใจแบบไหนก็เอาแบบนั้น