ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ไม่มีศาสนา

เริ่มโดย เณรเทือง, 17:01 น. 28 มี.ค 55

wareerant

อ้างถึงเจอคำถามประเภท บล็อกคำตอบ คืออย่างไร

เช่น นาย ก ฆ่านาย ข ตาย ชาตหน้า นาย ข ฆ่านาย ก ตาย ตำรวจควรไปจับนาย ข หรือไม่ นาย ข ควรถูกประนามหรือไม่
คำถามนี้เอามาจากในหมวดหมู่นี้แหละ

/////////
และเช่น  ที่พระอาจารย์กล่าวมา ท่านรู้ได้อย่างไร พิสูจน์ได้หรือไม่

บอกดะสุ่มกลุ่มเป้าหมาย

ก็แล้วแต่เข้าใจนะ แต่ศาสนาหลักๆที่มีอยู่ดีหมดแหละอย่าฟังตามคำบอกต่อของแต่ละคนมันเพี้ยนไปที่ละนิดจนมากขึ้นจนหลงผิด ให้ศึกษาในตัวคัมภีร์ของแต่ศาสนาโดยตรง จริตที่ชอบที่ไขว่คว้าค้นหาแต่ละคนไม่เหมือนกัน บุญกรรมเสริมแต่งเจ้ากรรมนายเวรต่างกัน แต่ที่บอกไปจำเป็นต้องบอกให้สุดด้วยความที่ให้เกียรติทุกคนที่จิตในภพชาตินี้สามารถมาอยู่สถิตในร่างมนุษย์นี้ทำให้เราข้ามก้าวกระโดดยกระดับจิตได้ถึงขั้นหลุดพ้นได้เลยหากมุ่งมั่นศึกษาจริงจัง คือพักทุกอย่างกิจกรรมทางโลกมุ่งสู่ทางธรรมเต็มสูบเต็มอัตรา ได้อย่างน้อยๆ โสดาบันการันตีไม่เกินเจ็ดชาติเข้าอรหันต์ นิพพานแน่ๆ แต่เพื่อความผ่อนคลายลดกระแสกดดันจากกิเลศที่มันตีล้อมเมืองดักไว้หมดแล้วเหมือนไวรัสแบททีเรียดื้อยา ในโลกยุคปัจจุบัน เพื่อเป็นการกลั่นกรองตัวเองและตัดบาปหนักหนา ส่วนตัวแนะนำให้อ่านศึกษาธรรมจากพระไตรปิฎกในขณะที่เป็นฆราวาสก่อนให้เต็มที่ก่อนไปเลย แล้วทีนี้มาตัดสินใจว่าจะอยู่แบบปฏิบัติธรรมใน สมณะหรือฆราวาส สถานการณ์ยุคปัจจุบันกิเลศที่แยบยลสำหรับเราตอนนี้คิดว่ายังอยู่ที่ฆราวาส เหมาะกว่า เพราะผิดพลาดคลาดเคลื่อนอย่างไรบาปกรรมคนละเรื่องกันถ้าเป็น สมณะ เกิดหลงทำผิดในคราบผ้าเหลือง อยู่ถูกๆผิดๆไม่คิดปรับปรุงแก้ไข ฉันข้าวฆราวาสเล่นทุกวันไม่ปฏิบัติธรรมเคร่งครัดจริงจัง บาปมันทวีคูณยกกำลังสองสามสี่ แทนที่จะข้ามไปเร็วกลับช้ากว่าฆราวาสเยอะเข้าไปอีกเพราะนรกที่ลงลึกกว่ายาวนานกว่าแต่ถ้าเข้าสมณะเลยเคร่งครัดจริงจังศีลวัตรปฏิบัติเต็มที่สมบูรณ์แบบหมดจดแล้วไม่ยากแน่นอน นะคิดว่า ด้วยความที่ยังรู้น้อยอยู่ต้องโทษทีส่วนตัวคิดว่า สมณะตอนนี้ เหนื่อยแบกภาระมากผู้ปฏิบัติถูกต้องเปรียบสเมือนแกะดำถ้าต้องการให้ตรงแบบดั้งเดิม ต้องฉีกเหงือกฉีกกฎจริงๆปลีกตัวปลีกวิเวกเท่านั้น ถ้าเป็นอรหันต์ต้องหลบๆซ่อนๆในยุคปัจจุบัน เข้าถึงยาก เพราะถ้าฆราวาสรู้เหนื่อยเหมือนโดนจับมาขังรับกิจนิมณต์กันไม่หวาดไม่หวั่นแน่นอน อรหันต์ปัจจุบันคุณภาพประสิทธิภาพด้อยกว่าพระพุทธองค์ยังอยู่รู้ไม่ครอบครุมพอจะรองรับโลกยุคปัจจุบัน พอมาทำกิจนิมณต์ตามกระแสโลก ท่านไม่เป็นไรจิตหลุดพ้นอรหันต์แล้ว ไอ้เราไม่บรรลุแล้วแล้วไปขอให้พระอรหันต์ทำหลายอย่างถูกๆผิดตามใจฆราวาสก้ำกึ่งผิดวินัยสงฆ์หรือผิดหนัก บาปแลบุญคละเคล้ากันตกที่ฆราวาสจนหลงผิดคิดว่าเป็นบุญจะไปกันใหญ่ ตัวพระจิตเข้าอรหันต์แล้วไม่มีอะไรติดค้าง คืออรหันต์ยุคปัจจุบันต่อกรกับกิเลศตาต่อตาฟันต่อฟันนั้นเหนื่อยทรมาณสังขารมากแต่ต้องทำ ในเมื่อเปิดเผยตัวแล้ว บางองค์ไม่ถึงขั้นอรหันต์ ฆราวาสให้เกียจยกให้เป้นอริยะเจ้าอรหันต์ มันเลยยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อย่าเชื่อ นี้คือความเข้าใจส่วนตัว ลองใคร่ครวญดูมองให้เห็นชัดแท้จริงว่าเข้าใจไปทางเดียวกันหรือเปล่า ผิดพลาดก็ต้องขออภัย  ส.อ่านหลังสือ   

ตัด รู้ แว้ว

"


.... กบ เถียง กัน.. ส.โอ้โห ส.โอ้โห ส.ก๊ากๆ ส.ก๊ากๆ ส.หัว ส.หัว

Destiny

อ้างจาก: บอกดะสุ่มกลุ่มเป้าหมาย เมื่อ 15:04 น.  28 ส.ค 55
ก็แล้วแต่เข้าใจนะ แต่ศาสนาหลักๆที่มีอยู่ดีหมดแหละอย่าฟังตามคำบอกต่อของแต่ละคนมันเพี้ยนไปที่ละนิดจนมากขึ้นจนหลงผิด ให้ศึกษาในตัวคัมภีร์ของแต่ศาสนาโดยตรง จริตที่ชอบที่ไขว่คว้าค้นหาแต่ละคนไม่เหมือนกัน บุญกรรมเสริมแต่งเจ้ากรรมนายเวรต่างกัน แต่ที่บอกไปจำเป็นต้องบอกให้สุดด้วยความที่ให้เกียรติทุกคนที่จิตในภพชาตินี้สามารถมาอยู่สถิตในร่างมนุษย์นี้ทำให้เราข้ามก้าวกระโดดยกระดับจิตได้ถึงขั้นหลุดพ้นได้เลยหากมุ่งมั่นศึกษาจริงจัง คือพักทุกอย่างกิจกรรมทางโลกมุ่งสู่ทางธรรมเต็มสูบเต็มอัตรา ได้อย่างน้อยๆ โสดาบันการันตีไม่เกินเจ็ดชาติเข้าอรหันต์ นิพพานแน่ๆ แต่เพื่อความผ่อนคลายลดกระแสกดดันจากกิเลศที่มันตีล้อมเมืองดักไว้หมดแล้วเหมือนไวรัสแบททีเรียดื้อยา ในโลกยุคปัจจุบัน เพื่อเป็นการกลั่นกรองตัวเองและตัดบาปหนักหนา ส่วนตัวแนะนำให้อ่านศึกษาธรรมจากพระไตรปิฎกในขณะที่เป็นฆราวาสก่อนให้เต็มที่ก่อนไปเลย แล้วทีนี้มาตัดสินใจว่าจะอยู่แบบปฏิบัติธรรมใน สมณะหรือฆราวาส สถานการณ์ยุคปัจจุบันกิเลศที่แยบยลสำหรับเราตอนนี้คิดว่ายังอยู่ที่ฆราวาส เหมาะกว่า เพราะผิดพลาดคลาดเคลื่อนอย่างไรบาปกรรมคนละเรื่องกันถ้าเป็น สมณะ เกิดหลงทำผิดในคราบผ้าเหลือง อยู่ถูกๆผิดๆไม่คิดปรับปรุงแก้ไข ฉันข้าวฆราวาสเล่นทุกวันไม่ปฏิบัติธรรมเคร่งครัดจริงจัง บาปมันทวีคูณยกกำลังสองสามสี่ แทนที่จะข้ามไปเร็วกลับช้ากว่าฆราวาสเยอะเข้าไปอีกเพราะนรกที่ลงลึกกว่ายาวนานกว่าแต่ถ้าเข้าสมณะเลยเคร่งครัดจริงจังศีลวัตรปฏิบัติเต็มที่สมบูรณ์แบบหมดจดแล้วไม่ยากแน่นอน นะคิดว่า ด้วยความที่ยังรู้น้อยอยู่ต้องโทษทีส่วนตัวคิดว่า สมณะตอนนี้ เหนื่อยแบกภาระมากผู้ปฏิบัติถูกต้องเปรียบสเมือนแกะดำถ้าต้องการให้ตรงแบบดั้งเดิม ต้องฉีกเหงือกฉีกกฎจริงๆปลีกตัวปลีกวิเวกเท่านั้น ถ้าเป็นอรหันต์ต้องหลบๆซ่อนๆในยุคปัจจุบัน เข้าถึงยาก เพราะถ้าฆราวาสรู้เหนื่อยเหมือนโดนจับมาขังรับกิจนิมณต์กันไม่หวาดไม่หวั่นแน่นอน อรหันต์ปัจจุบันคุณภาพประสิทธิภาพด้อยกว่าพระพุทธองค์ยังอยู่รู้ไม่ครอบครุมพอจะรองรับโลกยุคปัจจุบัน พอมาทำกิจนิมณต์ตามกระแสโลก ท่านไม่เป็นไรจิตหลุดพ้นอรหันต์แล้ว ไอ้เราไม่บรรลุแล้วแล้วไปขอให้พระอรหันต์ทำหลายอย่างถูกๆผิดตามใจฆราวาสก้ำกึ่งผิดวินัยสงฆ์หรือผิดหนัก บาปแลบุญคละเคล้ากันตกที่ฆราวาสจนหลงผิดคิดว่าเป็นบุญจะไปกันใหญ่ ตัวพระจิตเข้าอรหันต์แล้วไม่มีอะไรติดค้าง คืออรหันต์ยุคปัจจุบันต่อกรกับกิเลศตาต่อตาฟันต่อฟันนั้นเหนื่อยทรมาณสังขารมากแต่ต้องทำ ในเมื่อเปิดเผยตัวแล้ว บางองค์ไม่ถึงขั้นอรหันต์ ฆราวาสให้เกียจยกให้เป้นอริยะเจ้าอรหันต์ มันเลยยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อย่าเชื่อ นี้คือความเข้าใจส่วนตัว ลองใคร่ครวญดูมองให้เห็นชัดแท้จริงว่าเข้าใจไปทางเดียวกันหรือเปล่า ผิดพลาดก็ต้องขออภัย  ส.อ่านหลังสือ

น่าคิดๆ ข้อเขียนดีๆ ถ้ามีย่อหน้าด้วยจะอ่านง่ายค่ะ  ส.ตากุลิบกุลิบ
อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจหนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"  พระบรมราชปณิธานของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก


อจินไตย

ปัญหาของอจินไตย ๔ ข้อ
ถาม ๑. สิ่งที่เป็นอจินไตย นี่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ได้ ไม่ใช่วิสัยของปุถุชนคนธรรมดาหรือพระอรหันต์ธรรมดาจะรู้ได้ใช่ไหม
ตอบ สิ่งที่เป็นอจินไตยนั้นมี ๔ อย่าง คือ
๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า
๒. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน
๓. กัมมวิบาก ผลจากกรรม
๔. โลกจินดา ความคิดเรื่องโลก
ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิดผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์
ในอจินไตย ๔ อย่างนี้ อย่างแรกคือ พุทธวิสัย คือวิสัยของพระพุทธเจ้านั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าคิดอย่างไร ก็เข้าไปไม่ถึงวิสัยของพระพุทธเจ้า มีอานุภาพของพระพุทธคุณและพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
อย่างที่ ๒ ฌานวิสัย วิสัยของผู้ที่ได้ฌานอภิญญา ผู้ที่ไม่ได้ฌานคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่า ทำไมผู้ที่ได้ฌานอภิญญาจึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ มีเหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้ เป็นต้น ผู้ที่ได้อภิญญาประเภทนั้นๆ เท่านั้นจึงจะรู้ได้
อย่างที่ ๓ กัมมวิบาก ผลของกรรม คือคนธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจรู้ว่า ผลของกรรมที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อใด คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดมากไปจะเป็นบ้าไปเสียเปล่าๆ ผู้ที่รู้ผลของกรรมได้อย่างถ่องแท้ต้องเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ นับย้อนหลังไปได้โดยไม่จำกัดอย่างพระพุทธเจ้า จึงสามารถจะทราบได้ถูกต้องแท้จริงไม่ผิดพลาด ท่านที่ระลึกชาติได้จำกัด เช่นระลึกได้ ๕๐๐ ชาติ แต่กรรมที่ทำไว้ ทำไว้เมื่อชาติที่ ๕๐๐ ผู้ที่ระลึกชาติได้ ๕๐๐ ชาติก็ไม่สามารถระลึกได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะรู้กรรมและผลของกรรมได้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะพระองค์ทรงมีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่ระลึกชาติย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด มียถากัมมูปคญาณ ญาณที่เข้าถึงกรรมของสัตว์ตามความเป็นจริง พระพระสัพพัญญุตญาณ ญาณที่ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นไม่มี ทั้งยังมีพระอนาวรณญาณ ญาณที่ไม่มีอะไรมาปิดกั้น ที่คนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่มี เพราะฉะนั้น ป่วยการคิดเรื่องผลของกรรมว่ามาจากกรรมไหน เมื่อใด เป็นต้น คิดมากไป อาจเป็นบ้าได้
อย่างที่ ๔ โลกจินดา ความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลก เช่นคิดว่าใครสร้างพระจันทร์-พระอาทิตย์ ใครสร้างภูเขา ต้นไม้ เป็นต้น คิดมากไปไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจจะรู้ได้
ด้วยเหตุนี้ อจินไตยทั้ง ๔ อย่างนี้ บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองคิดแล้วรู้ได้ ซึ่งก็รู้ได้เพียงวิสัยของตนเท่านั้น พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะรู้เท่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ท่านจึงเตือนว่า สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้สั่งสมสติปัญญาบารมีความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอบรมมาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ทีเดียว
ถาม ๒. ถามว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ารู้ในสิ่งที่เรียกว่า "อจินไตย" หรือเปล่า
ตอบ ขอเรียนว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รู้ในสิ่งที่เรียกว่าอจินไตย ตามวิสัยของพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่อาจรู้ไปถึงวิสัยของพระพุทธเจ้าได้ เพราะท่านมิได้ญาณ โดยเฉพาะพระสัพพัญญุตญานอย่างพระพุทธเจ้านั่นเอง
ถาม ๓. ถามว่า พรหมชั้นสุทธาวาสอายุนานกว่าพรหมชั้นอื่น มีโอกาสที่จะค้นคว้าศึกษาในเรื่องที่เป็นอจินไตยจนรู้ได้หรือเปล่า
ตอบ ปัญหานี้ขอเรียนว่า ผู้ที่จะเกิดเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาสได้นั้น จะต้องเป็นพระอนาคามีได้ปัญจมฌาน เมื่อตายลงจึงเกิดเป็นพรหมอนาคามีในชั้นสุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่งใน ๕ ชั้นได้ และสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในสุทธาวาสนั้นเอง ไม่กลับไปเกิดในภพภูมิใดๆ ที่ต่ำกว่าอีกเลย เพราะฉะนั้น พรหมชั้นนี้จึงเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแน่นอน ความรู้ของสาวกย่อมไม่อาจเทียบกับความรู้ของพระพุทธเจ้าแน่ ถ้าท่านจะรู้เรื่องราวของอจินไตย ท่านก็รู้ได้ตามวิสัยของท่านเท่านั้น ไม่เกินวิสัยของท่านไปได้
ที่มา อ้างอิง และแนะนำ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
อจินติตสูตร
ตั้งใจบวชตลอดชีวิต อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร : 23-08-2012 เมื่อ 01:08 AM

Destiny

อ่านแล้วดีค่ะ ชอบ ขอบคุณค่ะ  ส.ตากุลิบกุลิบ
อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจหนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"  พระบรมราชปณิธานของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

ฤกษ์ยามถูกสมมุติปรุงแต่ง

เรื่องของการถือฤกษ์งามยามดีจากจากพระไตรปิฎก เล่มที่20

--------------------------------------------------------------------------------


เรื่องของการถือฤกษ์งามยามดี
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชาวบ้าน
ที่ยังเข้าไม่ถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า มักจะคล้อยตามหรือเชื่อถือตาม ๆ กันมา โดยปราศจากเหตุผลและตราบใดที่คนเรายังไม่มีความเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม ของพระพุทธศาสนาอย่างหนักแน่นแล้วก็ยากที่จะเลิกละได้...เเละยังเชื่ออย่างนี้ต่อไปอีกหลายร้อยปี
พระพุทธองค์ทรงวางหลักการถือฤกษ์ยามไว้ดังนี้
"ภิกษุทั้งหลาย ! คนเหล่าใดทำความดี ด้วยกาย วาจา และใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดี ของคนเหล่านั้น
คนเหล่าใดทำความดี ด้วยกาย วาจา และใจ ในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดี ของคนเหล่านั้น

คนเหล่าใดทำความดี ด้วยกาย วาจา และใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดี ของคนเหล่านั้น
คนทั้งหลายปฏิบัติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และบูชาดี"
(พุทธวจน สุปุพพัณหสูตร ๒๐/๓๓๕)
หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา เน้นเรื่องการกระทำเป็นใหญ่ ถือว่าใครทำความดีเวลาใด เวลานั้นก็เป็นเวลาที่ดี เป็นฤกษ์ที่ดีเป็นเวลาที่เป็นมงคล ทำให้เกิดโชคดี มีความสุขความเจริญตามมา
แต่ทั้งนี้จะต้องมีปัญญากำกับด้วย คือต้องประกอบด้วยกาละเทศะ และบุคคลร่วมด้วย ถ้าทำกรรมใดโดยขาดปัญญา กาละและเทศะ เช่น หว่านข่าวในทะเล หรือทำนาหน้าแล้ง มักก็ย่อมจะเหนื่อยเปล่า และเสียของเปล่าแน่นอน
และสิ่งประกอบสำคัญ ที่ไม่ควรลืมคืออกุศลกรรมเก่า จะตามมาให้ผลในขณะที่เรากำลังทำความดี ให้เราต้องได้รับความทุกข์ แต่เหตุที่เราทำกรรมดีไว้ ผลก็จะต้องดีเสมอไป ไม่กลับกลายเป็นอื่น
เรื่องกฎแห่งกรรม เป็นเรื่องลึกซึ้งและซับซ้อน ค่อนข้างจะเข้าใจยาก ควรที่จะศึกษาให้แจ่มแจ้ง มิฉะนั้นอาจจะเห็นผิดว่า "คนทำดีได้ชั่วก็มี คนทำชั่วได้ดีก็มี"ซึ่งตามกฎแห่งกรรมของพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่มีทางจะเป็นไปได้
แต่เพราะการให้ผลของกรรม บางครั้งต้องข้ามภพชาติ จึงทำให้ผู้อ่อนปัญญาเห็นผิดไป เพราะไปเพ่งแต่กรรมในปัจจุบัน ไม่เห็นกรรมชั่วในอดีต ที่กำลังให้ผลอยู่ในปัจจุบัน

ในฐานะชาวพุทธที่ดี ก็ควรจะดำเนินตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นแนวคำสอนของผู้รู้แจ้ง ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
สุปุพพัณหสูตร
[๕๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกายประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจาประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็น ฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และบูชาดี ในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย กายกรรมเป็นส่วนเบื้องขวา วจีกรรมเป็นส่วนเบื้องขวา มโนกรรมเป็นส่วนเบื้องขวา ความปรารถนาของท่านเป็นส่วนเบื้องขวา สัตว์ทั้งหลายทำ กรรมอันเป็นส่วนเบื้องขวาแล้ว ย่อมได้ผลประโยชน์อัน เป็นส่วนเบื้องขวา ท่านเหล่านั้นได้ประโยชน์แล้ว จงได้รับ ความสุข จงงอกงามในพระพุทธศาสนา จงไม่มีโรค ถึง ความสุข พร้อมด้วยญาติทั้งมวล ฯ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
นักขัตตชาดก
ว่าด้วยประโยชน์คือฤกษ์
ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนโง่เขลาผู้มัวคอยฤกษ์อยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของ ประโยชน์ ดวงดาวจักทำอะไรได้.
แม้ในนักขัตตชาดก เอกนิบาตชาดกข้อ ๔๙
พระพุทธเจ้าของเรา สมัยที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ก็ได้กล่าวคาถาสอนชาวเมืองผู้มัวแต่ถือฤกษ์ยามอยู่ จึงพลาดจากประโยชน์ที่ตนจะได้รับไป
ท่านกล่าวสอนว่า "ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนโง่เขลา ผู้มัวคอยฤกษ์อยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง ดาวดวงจักทำอะไรได้"
แล้วท่านก็อธิบายให้ฟังว่า "คนโง่มัวแต่รอฤกษ์อยู่ว่า ฤกษ์จะมีในบัดนี้ จักมีในเวลานี้ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปด้วยการอคอย ประโยชน์ที่เขาความจะได้รับ ก็ได้ผ่านเลยไปเสีย ในช่วงเวลาที่เขารอคอยอยู่นั่นแหละ ดวงดาวในอากาศจักยังประโยชน์ให้สำเร็จได้อย่างไร การกระทำของตนต่างหากที่ยังประโยชน์ให้สำเร็จ"
และถ้าเราคิดถึงเรื่องนี้ให้ลึกซึ้ง บางครั้งในขณะที่เรามัวรอฤกษ์งามยามดีอยู่นั่นแหละ เราก็สิ้นชีวิตไปเสียก่อน โดยที่ยังมิได้ทำตามที่ตั้งใจเลย เพราะฉะนั้น ถ้าจะทำความดีแล้ว ไม่จะเป็นต้องรอฤกษ์รอยามเลย จงทำทันทีจะดีกว่า ทั้งชื่อว่าได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างถูกต้องด้วย
ในส่วนตัวนั้น ก็อาจจะเคยเชื่อฤกษ์ยามมาบ้าง เพราะเชื่อตามผู้ใหญ่ แต่เมื่อศึกษาพระธรรมจนพอเข้าใจแล้ว ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องฤกษ์ยามแต่ถือฤกษ์สะดวก คือความพร้อมของตนเป็นสำคัญ หรือถ้างานนั้นต้องทำหลายคน ก็ถือเอาความสะดวกของทุกคนเป็นสำคัญ สะดวกและพร้อมเมื่อใดก็ทำเมื่อนั้น ไม่ต้องไปดูฤกษ์ดูยามให้ยุ่งยากใจ __________________
ตั้งใจบวชตลอดชีวิต อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา
--------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร : 21-08-2012 เมื่อ 08:20 PM

Destiny

เรื่องอกุศลกรรม เป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ  ส.ร้อง
อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจหนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"  พระบรมราชปณิธานของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

9 ประโยค

.




...เคยเห็นพระจบประโยคเก้า  แล้วสึกออกมา ไม่ได้เรื่อง...... ส.ก๊ากๆ ส.ฉันเอง

ผมขนเล็บฟันหนัง?

อย่าโง่กันนักเลย โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

--------------------------------------------------------------------------------




อย่าโง่กันนักเลย


โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๕


ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์ อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา


พวกเราชาวไทยเรียกตนเองว่าพุทธบริษัท พุทธบริษัท ก็คือ ผู้นั่งแวดล้อมพระพุทธเจ้า นั่งแวดล้อมพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม เพื่อศึกษาข้อปฏิบัติ ที่จะได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป เรียกว่า เป็นพุทธบริษัท พุทธบริษัทนั้นประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณีคือพระผู้หญิง อุบาสก อุบาสิกา แต่ว่าในปัจจุบันนี้ภิกษุณีไม่มีแล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ราว ๒๐๐ ปี ภิกษุณีก็สูญพันธุ์ไป ยังอยู่แต่ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพุทธบริษัทที่ยังเหลืออยู่ในยุคปัจจุบันนี้ เราทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัทมีหน้าที่ที่จะต้องรักษา ทำความเข้าใจในหลักธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูก ให้ตรงตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้


เราจะต้องมีความจงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าไม่เอาใจออกห่างไปจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การกระทำอันใดที่เป็นการแสดงออกซึ่งน้ำใจว่าเราขาดความไว้วางใจในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม พระสงฆ์ การกระทำเช่นนั้น ชื่อว่าเป็นโทษ เป็นบาปเป็นการกระทำที่เรียกว่านอกรีดนอกรอยไปจากหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา


เราผู้เป็นพุทธบริษัท จะต้องมีการกวดขันควบคุมพรรคพวกเราด้วยกันเอง ไม่ให้เขวออกไปนอกลู่นอกทาง ไม่ให้ปฏิบัติ กาย วาจา ใจ เป็นไปในทางที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะถ้าหากว่าเราเขวออกไปนอกลู่นอกทาง ปฏิบัติไม่คงเส้นคงวา ตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว พระศาสนาก็จะเสื่อม คือ เสี่อมไปจากจากจิตใจของพวกเราทั้งหลาย แล้วก็จะเสื่อมหายไปจากโลก แต่มีสิ่งอื่นเข้ามาแทนพระพุทธศาสนาไป การกระทำเช่นนั้น ได้เชื่อว่า เป็นการทำลายธรรมะของพระพุทธศาสนาให้เหลืออยู่แต่เพียงชื่อให้เหลือเพียงแต่วัตถุของศาสนา ตัวศาสนาที่แท้จริงหายไป ถ้าตัวศาสนาที่แท้จริงหายไปแล้ว จะเรียกว่า เป็นเมืองพระพุทธศาสนาได้อย่างไร จะเรียกว่าเป็นพุทธบริษ้ท ผู้นั่งแวดล้อมพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะว่าเราไม่ได้เอาหลักธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้าไปใช้เป็นหลักปฏิบัติ ในชีวิตประจำวัน ชีวิตก็จะตกต่ำเรื่อยไป ไม่มีความก้าวหน้า อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราผู้เป็นพุทธบริษัทจะต้องกวดขันกันสักหน่อย


ในศาสนาอื่นนั้น เขามีการกวดขันกันมาก ที่จะไม่ให้บริษัทของเขาทำอะไรนอกลู่นอกทาง ซึ่งไม่ใช่เรื่องศาสนาที่เขาสอน ไม่ใช่เรื่องปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์แล้ว เขาจะไม่ปฏิบัติเป็นอันขาด ให้เราสังเกตพวกอิสลามมิกชน หรือว่าพวกคริสเตียน ไม่ว่านิกายใด เขาจะไม่ทำอะไรนอกออกไป จากหลักการของคำสอนในทางพระศาสนา อันนี้เรียกว่า เขาเคร่งครัด เขาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามหลักที่เขาได้รับมาจากคัมภีร์ของเขาแต่ว่าเราที่เป็นพุทธบริษัทนั้น ไม่เหมือนเขาทั้งหลาย เพราะผู้ที่เรียกตนเองว่าเป็นพุทธบริษัท มีการประพฤติปฏิบัติอะไรหลายอย่างนอกลู่นอกทาง ห่างไปจากแนวคำสอนในทางพระศาสนา ต่ว่าไม่มีใครพูดทักท้วง ไม่มีใครเห็นว่าเป็นเรื่องเสียหาย และการปล่อยอย่างนั้นก็เรียกว่า สมรู้ร่วมคิดกันทำลายพระพุทธศาสนา ทำลายหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้หายไปจากจิตใจคน ให้คนไปเกาะจับสิ่งอื่น ไม่ใช่เรื่องหลักคำสอนในทางพระศาสนา เราทำลายตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับไม้บางชนิดมันเปื่อยของมันเอง มีตัวมอดตัวอะไรกัดกร่อนของมันเองแล้วไม้นั้นก็ผุยืนตายอยู่ เอาไปใช้ทำประโยชน์อะไรไม่ได้ ฉันใด


ในวงการพระศาสนาเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเราไม่ช่วยกันปรับปรุงแก้ไขสิ่งถูกต้องให้คงอยู่ ทำลายสิ่งผิดให้หายไป พุทธบริษัทก็เป็นแต่เพียงชื่อ ไม่ได้เป็นโดยน้ำใจไม่ได้เป็นโดยการปฏิบัติตามสัจจธรรม อันเป็นคำสอนในทางพระพุทธศาสนา พระศาสนาก็จะเสื่อมหายไป จะเหลืออยู่แต่เพียงโบสถ์ เหลืออยู่แต่พระพุทธรูป สำหรับคนไปไหว้ สั่นติ้ว ขอหวย ขอเบอร์ หรือไปขออะไรๆ ต่างๆ มันก็ไม่มีค่าอะไร ในทางดับทุกข์ ไม่มีค่าอะไรในทางที่จะขูดเกลากิเลเลส ให้หมดไปจากจิตใจของเราเป็นเด็กอมมือ นับถือศาสนาแบบเด็กอมมือไป อันนี้คือความเสื่อมมาโดยลำดับ ในวงการพระศาสนา


ความเสื่อมอย่างนี้เกิดขื้นเพราะอะไร ก็เพราะว่า เราเป็นคนใจกว้างมากเกินไป จนไม่รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร เราปล่อยกันเกินไป ไม่ประท้วงพุทธบริษัท ที่กระทำกิจนอกลู่นอกทาง ไม่เฉพาะแต่ญาติโยมชาวบ้าน แม้พระสงฆ์ในทางพระศาสนา ก็ไม่ได้กวดขันเคร่งครัด ให้ปฏิบัติถูกตรง ตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า


ในเมืองไทยเราเวลานี้ มีพระประเภทนอกรีดนอกรอย ตั้งตนเป็นครูบาอาจารย์ เป็นหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ในรูปต่างๆ ซึ่งอยากจะพูดให้เข้าใจว่า นั่นมันไม่ถูกต้อง ไม่ใช่หลักคำสอนใน ทางพระพุทธศาสนา การทำตนเป็นคนขลัง เป็นคนศักดิ์สิทธิ์เป็นหลวงพ่อเป็นเกจิอาจารย์ที่โด่งดังกันอยู่ทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นพวกนอกรีดนอกรอย ไม่ได้เข้าแนวทางคำสอนของพระพุทธศาสนา ไม่ได้เอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปสอนคน ให้รู้ให้เข้าใจ ให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แต่ว่าเอาไสยศาสตร์บ้าง เอาเรื่องอะไรๆ ต่างๆ ไปสอนประชาชน ทำให้คนเกิดการหลงผิดในพระพุทธศาสนา
__________________

สติปัฏฐานสี่

--------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย jinny95 : วันนี้ เมื่อ 06:56 AM 
     

สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ jinny95 ในข้อความที่เขียนด้านบน 
banmabe (วันนี้), chomkamon (วันนี้), dakjued (วันนี้), nee653 (วันนี้), Nirankar (วันนี้), pjannoom@hotmail.com (วันนี้), toyhonda (วันนี้)
[ อานิสงค์การอนุโมทนา ] 


sponsor links


jinny95
ดูรายละเอียดของ
ค้นหาโพสเพิ่มเติมของ jinny95
jinny95 Donation Stats
View jinny95's Videos 

วันนี้, 05:27 AM    #2 
jinny95 
ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต




วันที่สมัคร: Oct 2007
สถานที่: มัชฌิมา
ข้อความ: 5,821
Groans: 618
Groaned at 104 Times in 84 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 6,610
ได้รับอนุโมทนา 17,396 ครั้ง ใน 4,830 โพส
พลังการให้คะแนน: 968
เมื่อวานนี้ไปพบอุบาสกคนหนื่ง ที่หน้าพระลาน จังหวัดสระบุรี แกก็เคยบวชเคยเรียนพระพุทธศาสนา แกเล่าให้ฟังว่า เมื่อแกบวชแล้วนี่ แกอยู่กับอาจารย์ที่บ้านนอก ที่อำเภอพัฒนานิคม แล้วอยากจะมาเรียนหนังสือกรุงเทพฯ เพื่อให้รู้จักพระพุทธศาสนา อาจารย์องค์นั้นก็บอกว่า เธอจะไปเรียนอะไรที่กรุงเทพฯ เรียนกับฉันนี่ก็ได้ แล้วก็จะได้ประโยชน์ จะเจริญงอกงามหลายๆ อย่าง สี่งเอามาให้เรียนนั้น เป็นเรื่องคาถาอาคม สำหรับท่องปลุกเสก เพื่อให้เกิดความขลัง เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ยิงไม่เข้า แทงไม่เข้า แต่ถ้าเอาไม้แยงก้นแล้วก็ตายเหมือนกัน มันไปไม่รอด ให้ท่องคาถาประเภทอย่างนั้น อุบาสกคนนั้นเมื่อสมัยเป็นพระก็มองเห็นว่า นี่มันไม่ได้เรื่อง แกไม่เชื่อความเชื่อเหลวไหลอย่างนั้นไม่มึในสมอง ก็เลยบอกว่า นี่มันไม่ได้เรื่องอะไร มันไม่จริงหรอก คนที่ว่ายิงไม่เข้ามันก็ตายมาหลายรายแล้ว แทงไม่เข้าก็ไส้ไหลมาหลายรายแล้ว พวกที่ถูกยิงตายนี่มีวัตถุเครื่องรางเต็มคอมันก็ตาย ผมไม่เอาหรอก ผมจะไปเรียนหนังสือกรุงเทพฯ แล้วก็เลยมาอยู่วัดมหาธาตุ มาเรียนนักธรรม มาเรียนอภิธรรมเรียนภาวนาอะไรไปตามเรื่อง สมควรเวลาแล้วแกก็ลาสิกขาออกไป ได้พบกันเมี่อวานนี้


นี่แหละเรียกว่า อาจารย์หลงแล้วยังจะชวนลูกศิษย์ให้หลงต่อไป คือ อาจารย์แกหลงเข้าดงของขลัง เข้าดงเครื่องรางเข้าดงการปลุกเสก ลงเลขลงยันต์ แล้วก็ถือว่านั่นเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งความจริงสิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา แต่ว่าเมื่อทำขึ้นแล้วคนก็นิยมชมชอบเหมือนกัน มันเป็นทางไปสู่ลาภ ไม่ใช่ทางไปสู่ทางพ้นทุกข์


พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีทางอยู่สองทาง คือทางหนึ่งไปสู่ลาภสักการะ ทางหนึ่งไปสู่ความดับกิเลส เราไม่สรรเสริญเส้นทางที่จะให้ไปสู่ลาภสักการะ เราไม่พอกพูนเส้นทางนั้น แต่เราสรรเสริญเส้นทางที่จะเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เพื่อความขุดเกลา เพื่อพระนิพพานมากกว่า" อันนี้เป็นเครื่องชี้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า ขลังๆ หรือว่าศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีเดช


เราได้ยินคำว่าปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์มันมีอยู่ ๓ เรื่องด้วยกัน ในคัมภีร์ได้เอ่ยชื่อไว้ เอ่ยไว้ก็เพื่อจะบอกให้พระรู้ว่า ปาฏิหาริย์นั้นมีอะไรบ้าง มีอิทธิปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง อิทธิปาฏิหาริย์ ก็คือการแสดงฤทธิ์เดชได้ต่างๆ เช่นว่าเหาะเหินเดินอากาศ ดำดินอะไรก็ตามเรื่องเถอะเรียกว่าสำเร็จด้วยฤทธิ์ เรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ อย่างหนึ่ง, อาเทสนาปาฏิ หมายความว่า ทายใจคนได้ ทายความคิดของคนได้ ใครมานั่งลงคิดอะไรบอกว่า คุณกำลังคิดเรื่องนั้น คิดเรื่องนี้ นี่ทายใจได้ อย่างนี้เรียกว่า อาเทสนาปาฏิหาริย์ ไม่ใช่ว่าวิเศษวิโสอะไร มันเป็นวิชากลางบ้าน ที่มีอยู่ในประเทศอินเดียสมัยนั้น พระพุทธเจ้าท่านห้ามไม่ให้กระทำ ห้ามไม่ให้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ห้ามไม่ให้ใช้วิธีอาเทสนาปฏิหาริย์ คือการดักใจคน เพราะว่าการกระทำอย่างนั้น มันไปเหมือนกับวิชาเล่นกลหรือปาหี่ที่เขาเล่นกันอยู่ทั่วๆ ไป


นักบวชในพระพุทธศาสนาไม่ใช่นักบวชประเภทปาหี่ ประเภทแสดงกลให้คนดู อะไรต่างๆ เช่นเสกข้าวทิพย์บ้าง เสกอะไรให้เป็นปลา เสกเกสรบัวให้เป็นปลา เสกให้เป็นปลาช่อนเสกแล้วเอาไปขาย ได้เงิน อุบาสกคนนั้นก็เล่าให้ฟังเหมือนกัน เมื่อวานนี้ บอกว่าที่วัดหน้าพระลานนี่ เคยมีพระองค์หนึ่งมาปักกลดในศาลา คือว่า เพียงแต่ปักกลดนอน ก็คือ กางมุ้งนอนนั่นเอง แต่คนก็หลงไหลแล้ว หลงว่าพระองค์นี้อยู่ในกลด ความจริงกลด มันก็คือ มุ้งนั่นเอง ไม่ใช่ของวิเศษวิโสอะไรไปไหนที่แบกกลดนั่นก็เพื่อจะเอาไปกางนอน กางมุ้งกลด ก็คือ มุ้ง อยู่ในกลดแล้ว ยุงมันไม่กิน ไม่ใช่ว่าเพิ่มความวิเศษอะไร


ทีนี้ก็อยู่ในกลดแล้วก็มีปาฏิหาริย์ว่า เสกดอกบัวให้เป็นปลาได้ อุบาสกคนนี้เวลานั้นแกเป็นพระ สึกแล้วก็เลยเห็นว่าพระองค์นี้มาหลอกชาวบ้าน แกก็พยายามที่จะจับ ว่าจะทำอย่างไร คือ ให้คนไปซี้อปลาหมอบ้าง ปลาช่อนบ้าง ตัวเล็กๆ ทั้งนั้น ตัวใหญ่มันก็ลำบากหน่อย เล่นกลยาก ตัวมันใหญ่ลำบากเอามาใส่ไว้ในภาชนะ ซ่อนไว้ในกลดของตัวนั่นเองแล้วเวลาจะเสกก็ต้องปิดกลดลงเสีย ให้นั่งห่างๆ นั่งใกล้กลมันก็แตกน่ะซิ แล้วก็เวลาเสกเอาดอกบัว เอาเกสรใส่ลงไปในบาตร แล้วก็นั่งเสกๆๆ ไป พอเสกไปนานๆ ก็ยกพระพุทธรูปมาองค์หนึ่ง พระพุทธรูปนี่ข้างล่างกลวง ก็เจาะรูไว้ เอาถุงปลาไปใส่ไว้ในรูนั้น แล้วเวลายกมาก็เปิดปากถุง เอาวางปากบาตร แล้วก็เสกคลำพระพุทธรูปเรื่อยๆ ไป ปลามันก็ได้น้ำ มันได้ไอน้ำ ก็รู้ว่าอ้ายนี่มีน้ำอยู่ในนี้ มันก็ออกจากถุงลงไปว่ายปร๋ออยู่ในน้ำ พอปลาลงไปว่ายสักพัก แล้วก็ยกบาตรมาวาง ในนั้นมีปลา กลีบบัวหายไป คือเก็บกลีบบัวไว้เสีย แล้วก็เอาปลาออกมา ญาติโยมก็ซื้อปลาตัวละพัน ถ้าเป็นปลาช่อนตัวละสามพัน ไม่ใช่เล็กน้อย ก็ได้เงินไปหลายเหมือนกัน


อุบาสกนั้นก็เข้าไปคัดค้าน คัดค้านมากเข้า เกือบไปเหมือนกัน อุบาสกที่คัดค้านนั้น คือ เกือบถูกรุม ถูกรุมตีนรุมมือ เข้าให้กันเลยทีเดียว เพราะว่าคนโง่มันมากกว่าคนฉลาด เราไปคัดค้านคนโง่มันก็หาว่าไม่เชื่อ อ้ายนี่มันพวกนอกศาสนา คนในศาสนากลับหาว่าเป็นคนนอกศาสนา พวกนอกศาสนากลับยกตนเองว่าเป็นคนในศาสนา นี่คือความหลงผิดที่เกิดขึ้นเพราะการกระทำอย่างนั้น แล้วก็อยู่ไม่นาน อยู่ไม่นานหรอกของอย่างนี้ คือ อยู่ไม่นานต้องไปที่อื่น แล้วก็ล้มหายไป ไม่ได้ทำต่อไป


ของหลอกนี่มันไม่ถาวร ของจริงเท่านั้นจึงจะถาวร สัจจธรรมของพระพุทธเจ้าอายุถึง ๒๕๐๐ ปีกว่าแล้ว ยังอยู่แต่ของหลอกๆ ทั้งหลาย เดี๋ยวเกิดหลอกที่นั่น เกิดหลอกทีนี่ ไม่กี่เดือนก็หายไปเพราะเป็นของชั่วคราว หลอกกินกันชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ว่าศักดิ์สิทธิ์อะไร น้ำศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แม่ย่านางเรือศักดิ์สิทธิ์ ต้นกล้วยศักดิ์สิทธิ์ อะไรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมันดังอยู่ไม่กี่วันหรอกแล้วก็ซาๆ ไป หายไป ที่เจ็บใจก็คือว่า อ้ายศักดิ์สิทธิ์นี่มันอยู่ในวัดเสียด้วย สมภารก็นั่งยิ้มแฉ่งอยู่ ในเรื่องศักดิ์ลิทธิ์ ได้ลาภสักการะ นั่นเรียกว่า เดินตามเส้นทางที่พระพุทธเจ้าไม่โปรด เดินในเส้นทางที่พระพุทธเจ้าไม่โปรดให้เดินคือ ไปเดินในรูปหาลาภจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นานา ทำคนให้หลง ทำคนให้งมงาย ทำคนให้ไม่ให้เข้าถึงศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าไปเชี่อคำศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีเดชทั้งหลายเหล่านั้น อันนี้น่าเสียดาย ที่ไปอยู่ในวัดวาอารามต่างๆ แต่ว่าพระท่านก็ไม่พูด เพราะว่าปัจจัยมันมาปิดหูปิดตา อุดปากแน่นพูดไม่ออก อมเงินแล้วมันพูดไม่ออก เสียงมันอ้อแอ้ อ้อแอ้ พูดไม่ออกไปตามๆ กัน เห็นแก่ลาภสักการะ



พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะนี่ มันฆ่าคนได้เหมือนกัน "สักกาโร ปุริสัง หันติ" แปลว่า ลาภสักการะฆ่าคน ไม่ได้ฆ่าคนให้ตายทางร่างกาย แต่ฆ่าคนให้ตายทางจิต ทางวิญญาณ คือ จิตเขาตายด้าน ไม่เจริญงอกงามในธรรมวินัย ไม่ก้าวหน้าในการคึกษา ในการปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ไปติดอยู่ในวัตถุเหล่านั้นในความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็มีคนนิยมกันอยู่ แล้วก็พระเราทำด้วย คนก็นึกว่าเป็นเรื่องทางพระพุทธศาสนา เลยเข้าใจเขวไป


ความไขว้เขวในสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นก็เพราะว่านักบวช ไม่สอนโยมให้เข้าใจความจริง ที่ไม่สอนให้เข้าใจความจริงก็เพราะว่าตัวไม่ศึกษาจริง ไม่เรียนจริง ไม่คิดค้นจริง ในทางหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา รู้งูๆ ปลาๆ ไม่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ด้วยการค้นคว้าศึกษาธรรมะ แล้วก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปสอนญาติโยม เวลาญาติโยมทำอะไรไม่ถูกต้องก็ไม่กล้าพูด เพราะไม่มีหลักในใจ ไม่มีความเชื่อมั่นในสิ่งถูกต้องจะพูดไปเดี๋ยวเขาก็จะไม่เชื่อบ้าง เขาจะขัดคอบ้าง ก็เลยปล่อยกันไป ปล่อยกันไปจนกระทั่งว่าเป็นผู้ใหญ่


เช่นพระองค์นั้นมาเติบโตขึ้นเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ก็เลยทำตามไปในรูปอย่างนั้น ทำตามๆ กันมาโดยไม่ได้นึกว่าอันนี้ไม่เหมาะไม่ควร ไม่กล้าที่จะตัดสิ่งที่ไม่ถูกต้องออกไปจากวงการของพระศาสนา ไม่กล้าที่จะพูดอะไร ที่เป็นความจริงให้ญาติโยมทั้งหลายทราบ เพราะตัวนั้นชอบสิ่งเหล่านั้น คือ ชอบสักการะที่ได้จากสิ่งเหล่านั้น ตัดไปเสียแล้วก็จะขาดรายได้ไปก็เป็นพวกติดอยู่ในลาภสักการะ ลาภสักการะก็ทำลายจิตวิญญาณของท่านผู้นั้น ไม่ให้เจริญงอกงามในทางดับทุกข์ดับร้อน ตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา
__________________

สติปัฏฐานสี่

--------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย jinny95 : วันนี้ เมื่อ 06:56 AM 
     

สมาชิก 3 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ jinny95 ในข้อความที่เขียนด้านบน 
banmabe (วันนี้), nee653 (วันนี้), Nirankar (วันนี้)
[ อานิสงค์การอนุโมทนา ] 


jinny95
ดูรายละเอียดของ
ค้นหาโพสเพิ่มเติมของ jinny95
jinny95 Donation Stats
View jinny95's Videos 

วันนี้, 05:28 AM    #3 
jinny95 
ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต




วันที่สมัคร: Oct 2007
สถานที่: มัชฌิมา
ข้อความ: 5,821
Groans: 618
Groaned at 104 Times in 84 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 6,610
ได้รับอนุโมทนา 17,396 ครั้ง ใน 4,830 โพส
พลังการให้คะแนน: 968
นี่เป็นเรื่องเสียหาย ไม่ใช่เสียหายเพียงเล็กน้อย เพราะว่าเป็นมิจฉาทิฐฏิ ทำคนให้หลง ให้เข้าใจผิดไปด้วยประการต่างๆ เช่นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควร เป็นเรื่องที่เราควรจะพูดจา ทำความเข้าใจกับญาติโยม ให้รู้ชัด เข้าใจชัด ในเรื่องอย่างนี้ไว้ ให้เขาได้รู้ว่าอะไรเป็นพระพุทธศาสนา อะไรไม่ใช่หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา


ถ้าเราเห็นคนโง่ แล้วเราให้ความโง่เพิ่มแก่เขา เราไม่ได้ช่วยอะไรเขา ถ้าเราเห็นคนจน เราทำให้เขาจนหนักลงไป ก็ไม่ได้ช่วยคนจนนั้นให้อยู่ดีกินดีขึ้น ถ้าเราเห็นคนงมงาย แล้วเราช่วยให้มันงมงายหนักลงไป อะไรมันจะดีขึ้นในวงคนเหล่านนั้น อะไรจะเจริญงอกงามในคนเหล่านั้นผู้กระทำก็ไม่ใด้ชื่อว่า ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะเป็นนักบวช นุ่งเหลืองห่มเหลือง โกนผมโกนคิ้ว แต่หาได้ปฏิบัติตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ ได้ร่วมมือร่วมใจกัน ทำลายหลักคำสอนในทางพุทธศาสนา ที่เป็นของแท้ของจริง ให้จมหายไป แต่ให้สิ่งซึ่งไม่ใช่สัจจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเจริญงอกงาม นั่นคือ การทำลายนั่นเอง


ทำไมพระพุทธศาสนาจึงเสื่อมสูญไปจากประเทศอินเดีย ก็่ไม่ใซ่ว่ามีคนอื่นมารังแกอะไร หามิได้ มาในตอนปลายเรียกว่าอิสลามรังแกบ้าง แต่ส่วนสำคัญที่สุดนั้น ก็คือว่า พระเราไม่ยืนหยัดอยู่ในหลักการของ


พระพุทธศาสนา พูดตามภาษาปัจจุบันว่า ใม่มีจุดยืนที่แน่นอน จุดยืนแน่นอนไม่มี แต่ว่ากวัดแกว่งไปตามอารมณ์คน อารมณ์โลก


ต้องการจะเอาพวกมาก ต้องการเอาบริษัท ต้องการลาภสักการะจากคนเหล่านั้นๆเลยโน้มเอียงไปตามความต้องการของคน คนต้องการอะไร ก็ทำสิ่งนั้นให้ ทำหนักเข้าๆ ชาวบ้านก็มองเห็นว่า พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานี่เหมือนกับนักบวชพราหมณ์ คือ เหมือนกับนักบวชพราหมณ์ทั้งหลายที่มีอยู่ก่อนยุคพระพุทธเจ้า พราหมณ์ทำไสยศาสตร์ ทำน้ำมนต์ สวดวิงวอน บนบานศาลกล่าว เซ่นเจ้า เซ่นผี ไหว้เทวดา พระสงฆ์ก็ทำอย่างนั้น เมื่อทำเหมือนกับพราหมณ์แล้ว ก็มีพราหมณ์มาก่อนพระพุทธเจ้า ก่อนพระสงฆ์ แล้วทำไมเราจะต้องมานับถือพระสงฆ์อีก นับถือพราหมณ์แบบเดิมดีกว่า เพราะเหมือนกันแล้ว เลยหมดเท่านั้นเอง คือ หมดไปจากอินเดีย ก็เพราะว่าพระเราลดตัวลงไปทำทุกอย่างที่พราหมณ์กระทำ จนชาวบ้านเห็นว่าพระกับพราหมณ์เหมือนกันเสียแล้ว แล้วก็เลยไม่นับถือพระ ไม่สนใจพระต่อไป พระก็เลยหายไปจากประเทศอินเดีย ไม่มีพระเหลืออยู่ เวลานี้พึ่งแตกหน่อใหม่ขึ้นมาบ้างไม่กี่หน่อ เพราะว่าเอาพันธุ์ไปจากลังกาบ้าง ไปจากประเทศไทยบ้าง ได้ไปปลูกไปเพาะ ให้เกิดเชื้อขึ้นในประเทศอินเดีย นี่คือ การสูญพันธุ์


ในบ้านเมืองของเราเวลานี้ เรียกว่า มีพันธุ์นักบวชอยู่ แต่ว่าพันธุ์ปลอมก็มี พันธุ์แท้ก็มี มันก็จะทำให้เสื่อมต่อไปเหมือนกัน ถ้าเราอยู่กันในรูปส่งเสริมความเชื่องมงาย ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา ต่อไปคนก็จะเสื่อมศรัทธามากขึ้น โดยเฉพาะคนใหม่ๆ ในยุคปัจจุบันที่มีความเจริญก้าวหน้าในวิชาการ ไม่มีความเชื่ออย่างนั้น เขาก็มองเห็นว่า นักบวชในพระพุทธศาสนานี่ไม่ได้เรื่องอะไรเพราะไปทำสิงที่นอกเรี่องนอกราวของพระพุทธศาสนา คนเหล่านั้นก็จะไม่เข้าวัด ไม่ฟังธรรม ไม่ศึกษาพระศาสนา จิตใจก็จะห่างจากหลักธรรมะ สังคมก็อยู่ในความมืดบอด เหตุที่จะทำให้เกิดความมืดบอดก็เพราะว่า เราเอาน้ำมันปลอมมาใส่ตะเกียง ควันมันก็โขมงขึ้นมา ปิดบังดวงตาคนไม่ให้รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่ถูกต้อง ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา อันนี้คือความผิด เป็นสิ่งที่เราควรจะช่วยกันปรับปรุง แก้ไข ไม่ให้เกิดขึ้นในวงการของพุทธบริษัทต่อไป นี่เรื่องหนึ่ง


อีกเรื่องหนึ่งที่เราเห็นว่า มีคนหลงใหลใฝ่ฝันกันอยู่ เช่นเรื่องการทรงเจ้าเข้าผีอะไรต่างๆ เชิญวิญญาณเข้าทรงอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าวิญญาณของผู้นั้นผู้นี้มาเข้าทรงจริงหรือไม่ การทรงเจ้าเข้าผีนั้น อยากจะบอกให้ญาติโยมรู้ไว้ แล้วก็บอกต่อๆ กันไปว่า ไม่ใช่วิธีการของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะไม่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์บทใดในพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนา ว่าให้ภิกษุไปทรงเจ้าเข้าผี ไปเชิญวิญญาณเข้ามาสิงสู่ แล้วก็สนทนาอะไรๆ กับคนที่ต้องการจะรู้จะเข้าใจ


พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เรากระทำอย่างนั้น ไม่มีหลักการอย่างนั้นในวงการพระศาสนา เรื่องทรงเจ้าเข้าผีทั้งหลายทั้งปวงนั้น ความจริงก็เป็นเรื่องการสกดจิตของบุคคลผู้นั้นเอง เพียงให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขาสร้างขึ้น สร้างอำนาจจิตขึ้นแล้วก็พูดไปตามอำนาจของความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจในขณะนั้น คนฟังก็ไปเชื่อ เพราะว่าคนที่ไปนั้นเชื่อไปตั้งแต่บ้านแล้ว ไม่ได้ใส่แว่นไปด้วย ไม่ได้เอาปัญญาไปด้วย สุดแล้วแต่เขาทำอะไรก็เชื่อมันทั้งหมด เจ้าว่าอย่างนั้น เจ้าพ่อว่าอย่างนั้น เจ้าพ่อว่าอย่างนี้ ก็หลงเชื่อไป กลายเป็นเหยื่อของคนทรงเจ้าเข้าผี หรือของคณะที่ทรงเจ้าเข้าผี ที่จะเรียกร้องเอาอะไรจากคนนั้นได้โดยไม่ลำบากใจ เพราะคนเราถ้าเชื่อแล้วมันทำได้ทั้งนั้น ดูข่าวเมื่อปีก่อนโน้น คนอเมริกันที่ไปฆ่าตัวตายที่ประเทศกาน่า จำนวนเท่าไร เป็นร้อยๆ ฆ่าตัวตายตามคำสังของผู้ที่เป็นผู้นำในศาสนา ให้ฆ่าตัวตาย เพื่อชีวิตที่ดีกว่าต่อไป คนเหล่านั้นมันเชื่อด้วยความงมงาย ไม่ได้คิดมาก มีแต่ความเชื่อ หลับหู หลับตาเชื่อ สุดแล้วแต่เขาจะจูงไปในทางไหน ผลที่สุดเขาให้ฆ่าตัวตายมันก็ยอมฆ่าตัวตาย อันนี้คือความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงกับหลักการในทางพระพุทธศาสนา


พระพุทธเจ้าของเราสอนความเชื่อเหมือนกัน แต่พระองค์บอกว่า ต้องเชื่อด้วยปัญญา ไม่ได้เชื่อด้วยความงมงาย ไม่ได้เชื่อง่าย เชื่อดาย ตามที่เขาแสดง เขาทำให้เราดูแต่เราจะต้องเอาไปคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ว่าสิ่งนั้นมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วจึงจะปลงใจเชี่อลงไป แต่ว่าในเบื้องต้นนั้น เราควรจะมีความเชื่อเป็นหลักประจำจิตใจว่า สิ่งใดที่ไม่มีอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งนั้นไม่ใช่พระพุทธศาสนา ให้ถือหลักอันนี้ไว้ก่อน ว่าสิ่งใดที่ไม่มีอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งนั้นไม่ใช่พุทธศาสนา สิ่งใดที่ไม่ใช่พุทธศาสนา เราผู้เป็นพุทธบริษัท จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง จะไม่เข้าไปยุ่ง จะไม่ไปสนใจ ไม่ไปหา ไม่ไปทำอะไรกับคนเหล่านั้น เราไม่ยอมไป เราไม่ยอมโง่กับคนพวกนั้น


อันนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เรา ตกเป็นเหยื่อของนักต้มมนุษย์ทั้งหลาย ที่อาศัยผี อาศัยเจ้า หรืออาศัยวิญญาณของใครๆ มาทรง แล้วก็ว่ากันไปตามเรื่องตามราว เราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านั้น เพราะเราไม่ยอมหลับหูหลับตาเชื่อ เราเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า เชื่อมั่นในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ใครเขาทำอะไรกันที่ไหน เราไม่ไป เพราะไปมันไม่ได้อะไร ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางจะดับกิเลส ไม่ใช่ทางที่จะให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือ นิพพาน เราก็ไม่ไป ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียเงินทอง ในการที่จะไปเอาสิ่งเหล่านั้น ไปหาสิ่งเหล่านั้น ไปถึงพวกนั้นก็ว่า คนโง่มาอีกหมู่หนึ่งแล้ว เขาก็ยิ้มเยาะ ยิ้มเยาะเราที่ไปหา มาให้กูต้มอีกแล้ว แล้วมันก็ต้มตามชอบใจ ขูดตามชอบใจ มันเสียศักดิ์ศรีของความเป็นพุทธบริษัท เสียศักดิ์ศรีของปัญญาชน ที่ไปให้พวกทรงเจ้าเข้าผีต้มยำได้ตามชอบใจ เป็นเรื่องที่ไม่สมควร


ยิ่งเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าแล้วละก็ ยิ่งไม่สมควรเป็่นการใหญ่ เขาจะนิมนต์ไปทำพิธีอะไรที่มันไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา เราก็ไม่ควรกระทำ ไม่ควรไปร่วมมือกระทำกับคนเหล่านั้น เราควรกล้าที่จะพูดกับใครๆ เสียบ้างว่า สิ่งนั้นมันไม่ใช่เรื่องพระพุทธศาสนา ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ฉันเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า จะให้ไปทำอะไรที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ฉันกระดาก ฉันอายในความเป็นพุทธบริษัทของฉันเราก็ไม่ต้องไป แม้จะได้ลาภสักการะ ได้จากการ ไปทำพิธีอย่างนั้น มันไม่พอกินอะไร เราไม่ทำก็ยังไม่ตาย เรายังมีข้าวฉัน มีกุฏิอยู่ มียาแก้โรค มีปัจจัยสี่ใช้ ทำไมจะต้องไปนั่งรับจ้างทำสิ่งโง่ๆ กับคนโง่ๆ ทั้งหลายเหล่านั้น อันนี้มันน่าคิด
__________________

สติปัฏฐานสี่

--------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย jinny95 : วันนี้ เมื่อ 06:57 AM 
     

สมาชิก 3 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ jinny95 ในข้อความที่เขียนด้านบน 
banmabe (วันนี้), nee653 (วันนี้), Nirankar (วันนี้)
[ อานิสงค์การอนุโมทนา ] 


jinny95
ดูรายละเอียดของ
ค้นหาโพสเพิ่มเติมของ jinny95
jinny95 Donation Stats
View jinny95's Videos 

วันนี้, 05:29 AM    #4 
jinny95 
ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต




วันที่สมัคร: Oct 2007
สถานที่: มัชฌิมา
ข้อความ: 5,821
Groans: 618
Groaned at 104 Times in 84 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 6,610
ได้รับอนุโมทนา 17,396 ครั้ง ใน 4,830 โพส
พลังการให้คะแนน: 968
ความจริงควรจะคิดอย่างนั้น ถ้าเราคิดอย่างนั้น พระศาสนาของเราจะสดใสขึ้น จะก้าวหน้าขึ้น เพราะเราไม่ยอมทำอะไรแบบโง่ๆ ให้คนทั้งหลายที่มาขอให้เรากระทำ เราไม่ทำสี่งเหล่านั้นเพราะเราถือว่า ไม่ใช่แนวปฏิบัติตามหลักพระธรรมคำสอนในทางพระศาสนาก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จะเสียหาย เหมือนกับสำนักที่ล่มไปนั้น มีพระไปอยู่หลายรูป พระเหล่านั้นขาดการศึกษา ไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ในเรื่องอะไร ไปตามความโง่เท่านั้นเอง ไปอยู่ก็มีอาหารกินสบาย มีอะไรสะดวก ก็เลยอยู่มันต่อไป อยู่ให้มันโง่ต่อไป จนกระทั่งสำนักล้มไปแล้ว ก็ใด้ออกไปหาที่อืนอยู่ต่อไป อย่างนี้มันก็มี


วันหนึ่ง หลายปีมาแล้ว อาตมาไปเทศน์ที่เพชรบูรณ์ แล้วไปที่หล่มเก่า ไปพักอยู่ที่วัดศรีสะเกษ ชื่อวัดศรีสะเกษหมือนกันวัดนั้น นอนในโบสถ์ เขาให้นอนในโบสถ์ พอตอนเย็นสัก ๕ โมง มีขบวนแห่มา ขบวนใหญ่มาก คนมาก แต่งตัวแปลกๆ คนแก่ผู้หญิงก็มี ผู้ชายก็มี ใส่เสื้อใส่แสง เครื่องแต่งตัว มองดูแล้วมันไม่เต็มบาททั้งนั้น คือ มันเที่ยวแต้มสีนั้น สีนี้ ตัดนั่น ตัดนี่ ให้วุ่นวายมองดูแล้วถามว่า มาจากไหนกัน ดูมันแปลกๆแล้ว คนหมู่นั้นก็มีพระไปด้วย ๓-๔ รูป ก็เลยสนทนากับเขา ถามว่านี่มาจากไหนกัน คือ ในหมู่นั้นมีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมากใหญ่โต สูงหน่อย แขวนลูกกระพรวน ลูกกระพรวนที่เขาแขวนหมา แกเอามาแขวนไว้ที่คอแก แล้วไม่ใช่แขวนลูกเดียว แขวนหลายลูก เป็นพวงๆ เลย ถามว่า คนแขวนลูกกระพรวนนั่นเป็นอะไร นั่นแหละหัวหน้า


โธ่เอ๋ย นี่หัวหน้ามันเป็นอย่างนั้น แล้วลูกน้องที่ตามมาจะขนาดไหน อาตมาก็นึกในใจว่า หัวหน้ามันก็โง่ ลูกน้องมันก็แย่น่ะซิ แขวนลูกกระพรวนนี่ เวลาเดินดังกริ๊งกรั้งๆ เรานึกว่าม้าวิ่งมาแล้ว แต่มันกลายเป็นม้าสองขาไป เลยถามว่านี่อะไรนี่ พวกไหนกันนี่ เขาบอกว่านี่หลวงพ่อเขียด หลวงพ่อเขียดว่าอย่างนั้น เอ๊ะชื่อเกียรติ ไม่ใช่เกียรติหลวงพ่อเขียด ถามว่าทำไมชื่ออย่างนั้น ชื่อหลวงพ่อเขียด เขาบอกว่าเขียด มันตัวเล็กกว่ากบว่าอย่างนั้น


ที่ลพบุรี ที่อำเภอบ้านหมี่ มีหลวงพ่ออยู่องค์หนึ่ง เขาเรียกว่าหลวงพ่อกบ หลวงพ่อกบนี่ท่านอยู่ถ้ำสาริกา ที่ภูเขาบ้านหมี่นั่นแหละ ทางตะวันตกของสถานีบ้านหมี่ เขาเรียกว่าเขาสาริกา หลวงพ่อกบที่นั่นเก่ง นี่ไม่ใช่หลวงพ่อกบ นี่หลวงพ่อเขียด คือ มันเล็กกว่ากบหน่อยหนึ่ง แล้วก็จะพากันไปไหนล่ะนี่ บอกว่าไปเที่ยวนมัสการสถานที่ต่างๆ ก็เลยมานมัสการที่นี่ อาตมา ก็นึกว่าพวกนี่มันจะนมัสการกันที่ตรงไหนอาตมาพักในโบสถ์นี่ คนหนึ่งเป็นลูกน้อง หัวหน้าให้มา มาถึงบอกว่า ท่านครับ ถ้าพวกผมจะมาไหว้พระในโบสถ์นี้จะได้ไหม บอกว่าจะเป็นไรไป ไหว้พระไม่มีอะไรเสียหาย ก็มาไหว้ นั่งไหว้สวดมนต์ธรรมดานั่นเอง สวดอิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน อะไรอย่างนี้ เริ่มต้นก็เข้าทีหรอก สวดกันธรรมดา แต่มันประหลาดใจว่า ลูกน้องนี่นั่งหลับตาสวดทั้งนั้น ไม่มีลืมตาสวด ส่วนหัวหน้าที่แขวนลูกกระพรวนสำหรับแขวนสุนัขนี่ แทนที่จะสวด กลับนั่งขัดสมาธิสูบบุหรี่ฉุยอยู่คนเดียวในโบสถ์นั่น


พวกนั้นก็หลับตาสวด แต่หัวหน้าไม่สวด นั่งสูบบุหรี่ อาตมาออกมาอยู่นอกโบสถ์แล้ว ปล่อยให้เขาแสดงของเขาไปตามเรื่อง ก็ไปยืนมองทางหน้าต่าง ว่า ลูกน้องนี่หลับตาสวด แต่หัวหน้า กำลังนั่งสูบบุหรี่ไม่เห็นสวดอะไรสักหน่อย ก็สวดกันจบ พอจบแล้วก็นั่งสงบใจนิดหน่อย พอนั่งสงบใจแล้วหัวหน้าก็เทศน์ให้ฟัง ไม่พูดภาษาไทย ไม่พูดภาษาที่มนุษย์ฟังได้ แต่พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ เอามาเขียนเป็นหนังสือก็ไม่ได้ เอามาเลียนแบบก็ไม่ได้ มันว่าอะรกโต๊กๆ อะไรก็ไม่รู้เรื่อง มันว่ากันไปอย่างนั้น ว่ายืดยาว ว่าคล่องเชียวนะ ภาษาบ้าบอนี่ว่าไปได้ อาตมาฟังๆ สวดอะไร


พอเขาจบแล้วมีคนหนึ่งออกมาจากโบสถ์ อาตมาถามว่า หัวหน้าเทศน์ภาษาอะไร เขาบอกว่า ภาษาวิญญาณ แล้วพวกเราฟังรู้เรื่องหรือ บอกว่าไม่รู้หรอก ฟังไม่รู้ ไม่รู้แล้วฟังทำไม หัวหน้าเขาให้ฟังก็ต้องฟัง นี่มันหลับหูหลับตาเชื่อแท้ๆ มันเชื่อแล้วก็่หลับหูหลับตาฟัง เป็นอย่างนั้น ฟังไปแล้ว พอเสร็จแล้วออกจากโปสถ์ ออกจากโบสถ์ก็ตีกลองอีก มีกลองยาว กลองสั้น ตีกันไปรำกันไป แห่กันไปรอบโบสถ์ ๒-๓ รอบ แล้วก็เดินรำกันไป ไปตรงโน้น ตรงนั้นมีศาลอยู่หน่อยหนึ่ง เรียกว่า เป็นศาลเก่า คนก็ยังไปไหว้อยู่ คล้ายกับศาลหลักเมืองอะไรอย่างนั้น ตีกลองไป ไหว้กันอยู่ที่นั้นแหละ ตีกลองสนั่นหวั่นไหว รำฟ้อนกันไป คนแก่ๆ ทั้งหมดลุกขึ้นรำป้อแป้ ป้อแป้ อาตมาก็ ไปยืนดู เสียดายไม่มีกล้องวีดีโอเทปสมัยนั้น ถ้ามีแล้วจะได้ถ่ายภาพ มันน่าดู เรียกว่าคนแก่รำกัน รำกันจนเหนื่อย


พอเหนื่อยแล้วคนหนึ่งอยากจะหยุดรำ พวกตีกลองไม่ยอมหยุดตีกลอง ทะเลาะกันอีกแล้ว เอ้า แล้วกัน ตีกันแล้ว นี่ ตีกันแล้ว พวกนนั้นตีกัน ชกกันต่อยกัน วุ่นวายกันไปหมด จน สมภารต้องมาห้าม บอกว่า เอ้า ทำไมอีกล่ะ ตีกัน หรือ ความมันไม่ตรงกัน ก็เลยตัดสินกันด้วยหมัดด้วยมวยหน่อย ว่าอย่างนั้น ตีกันใหญ่ เสร็จแล้วรุ่งเช้าอาตมาก็ว่า เมี่อคืนนี้ทำไมรำนาน รำถวายเจ้า ว่าอย่างนั้น เอ้อ ไปกันอย่างนั้นเสียแล้ว แล้วทำไมถึง ตีกันล่ะ มันไม่ตกลง ไอ้พวกหนึ่งจะหยุดรำ พวกตีกลองไม่ยอมหยุด มันจะตีเรื่อยไป ทีนีกลองขึ้นเราก็ทนไม่ได้ต้องลุกขึ้นรำ รำกันจนเหนื่อยหอบไปตามๆ กัน เพราะบางคนอายุ ๖๐ กว่าแล้ว รำมากๆ มันก็จะสลบไสล อาตมาดูๆ แล้วว่า เฮ้อ มันบ้ากันสิ้นดีอ้ายพวกนี้ เรียกว่า มันตามหลวงพ่อเขียด มันก็เลยเป็นเขียด ไปตามๆ กัน นี่เป็นตัวอย่างที่มองเห็น ที่ความเชี่องมงาย


คนที่เขาเป็นหัวหน้าคนในเรื่องอย่างนี้ เขามีจิตวิทยา พวกนี้เข้าใจวิธีการต้ม วิธีการหลอก มีกลเม็ด เรียกวามี Trick ถ้าพูดภาษาอ้งกฤษ เขาเรียกว่ามี Trick สำหรับที่จะล่อจะหลอกให้คนเพลินไปกับอารมณ์ จูงใจ เขามีวิธีการจูงใจให้เพลิดเพลิน มัวเมาไปกับสิ่งเหล่านั้น แล้วเขาทำอะไรให้มันแปลกๆ ตามวิธีการของเขา ที่เคยฝึกเคยอบรมมาในเรี่องอย่างนั้น คนก็เลยเชื่อเพราะถูกจูงใจ แล้วคนเราถ้าถูกจูงใจแล้วมันเชื่อไป เดินไปตก เหวก็ตกเหวละ ตกบ่อก็ตกบ่อ มันไม่ถอยหรอก เชื่อ เขาจึงใช้วิธีการอย่างนั้น คนก็ไปหลง


อันนี้มันขัดกับหลักพระพุทธศาสนา คือพระพุทธศาสนา นั้นไม่มีวิธีการจูงใจให้คนหลง ให้คนงมงายให้คนเชื่ออะไรแบบงมงาย พระพุทธเจ้าจะจูงใครไปไหนท่านให้เดินลืมตา ให้มองเห็นอะไรชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ให้เดินอย่างงงมงาย ไม่ให้เดิน ตกหลุมตกบ่อ แห่งความโง่ ความเขลา ความหลงผิดต่างๆ พระพุทธศาสนาไม่มีเรื่องความบริสุทธิ์ในพระพุทธศาสนานี้ คุยได้ว่า ร้อยเปอร์เซ่นต์ พระพุทธศาสนามีคำสอนที่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีอะไรเข้าเจือปนเลยแม้แต่น้อย แต่ที่เราเห็นปะปนกันอยู่บ้าง สานุศิษย์เยุคหลังเที่ยวเอามาปนเข้าไว้เป็นเนื้อไม้ผุๆ เอามาใส่ไว้ในเนื้อไม้ดีๆ พระพุทธเจ้าท่านก็รู้ ว่าต่อไปข้างหน้ามันจะเกิดอะไร พระองค์จึงได้กล่าวเปรียบเทียบว่า "มีกลองอยู่ใบหนึ่ง ทำด้วยไม้อย่างดี แต่ว่าต่อมาสิ่งทั้งหลายมันไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลง เนื้อไม้อย่างดีของกลองใบนั้น มันผุไปบางส่วน เมื่อผุไปก็เอาไม้อื่นมาใส่ ต่อมาผุอีกก็เอาไม้อื่นมาใส่ไว้ ใส่เข้าไปจนกระทั่งว่าเนื้อกล่องไม้เดิมไม่มีแล้ว มีแต่ไม้ผุๆ มาใส่ไว้ทั้งนั้น กลองใบนั้น ไม่ใช่กลองเดิมแล้ว แต่มีไม้อื่นมาปะจนไม่รู้ ว่ากลองเดิมคือไม้อะไร" อันนี้พระพุทธเจ้าบอกว่า เป็นฉันใด

__________________

สติปัฏฐานสี่

--------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย jinny95 : วันนี้ เมื่อ 06:57 AM 
     

สมาชิก 3 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ jinny95 ในข้อความที่เขียนด้านบน 
banmabe (วันนี้), nee653 (วันนี้), Nirankar (วันนี้)
[ อานิสงค์การอนุโมทนา ] 


jinny95
ดูรายละเอียดของ
ค้นหาโพสเพิ่มเติมของ jinny95
jinny95 Donation Stats
View jinny95's Videos 

วันนี้, 05:29 AM    #5 
jinny95 
ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต




วันที่สมัคร: Oct 2007
สถานที่: มัชฌิมา
ข้อความ: 5,821
Groans: 618
Groaned at 104 Times in 84 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 6,610
ได้รับอนุโมทนา 17,396 ครั้ง ใน 4,830 โพส
พลังการให้คะแนน: 968
ต่อไปข้างหน้าศาสนาของตถาคต จะมีพวกมิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย เอาคำสอนที่ไม่ใช่สัจจธรรมเข้ามาปะปนไว้ในคำสอนของตถาคต ปะปนเข้าไปทีละน้อย ทีละน้อย จนกระทั่งว่า หมดเลย คำสอนไม่มี เนื้อแท้ไม่มี มีแต่สิ่งทีไม่ถูกต้อง เป็นไม้ผุๆ เข้ามาปะปนไว้ จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นเนื้อแท้ นี่แหละมันสำคัญ พระพุทธเจ้าท่าน วาดภาพไว้แล้ว ว่าให้ระวังไว้ บอกว่า สิ่งนี้ไม่เกิดในปัจจุบัน แต่จะเกิดในอนาคตข้างหน้า ท่านพูดอย่างนั้น เพื่ออะไร เพื่อเตือนภิกษุทั้งหลาย อุบาสก อุบาสิกา ให้รู้ไว้ว่า กล่องคือ สัจจธรรมของพระพุทธเจ้านั้น จะถูกเอาไม้ไม่ดีเข้ามาปนจนจำไม่ได้ แล้วก็ไปยึดถือเอาสิ่งไม่ดีนั้น ว่าเป็นตัวพระพุทธศาสนา


อันนี้เป็นความจริง ที่ปรากฎอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งเราเห็นว่ามีอะไรมากมายก่ายกอง ที่เข้ามาแทรกมาปนในธรรมะของพระพุทธเจ้า จนคนไม่ถึงธรรมะ ไม่รู้จักเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา หลงไหลมัวเมากันไปด้วยรูปต่างๆ นี่เรื่องหนึ่ง ที่น่าคิด


อีกเรื่องหนึ่งที่ทำคนให้มัวเมาไม่เข้าเรื่อง ให้สังเกตญาติโยมที่มาจากไกลๆ นั่งรถผ่านทางถนนสายใหญ่ๆ เช่นโยมมาจากนครปฐม ถนนที่มีสามแยก สี่แยก หรือตลาด จะเห็นป้ายใหญ่โตมหึมา ป้ายแผ่นโตๆ งานอะไร งานวัด ผูกพัทธสีมา วัดนนั้น วัดนี้ ลงทุนเขียนไม่ใช่น้อยนะ ใช้สีใช้สรรอย่างดี แล้วไม่ใช่รายเดียว เป็นร้อยๆ รายที่เอาไปบอกไว้ในที่ต่างๆ ลงทุนไม่ใช่น้อย อาตมาดูป้ายแล้วสลดใจ ไม่ใช่สลดใจว่าป้ายใหญ่ หรือว่า เปลืองสี ใม่ใช่อย่างนั้น


แต่มันสลดใจว่า ชวนคนให้มาทำอะไร ในงานเหล่านั้น ไม่มีรายใดที่จะชวนคนให้มาลืมหูลืมตาเลย แต่ชวนคนให้มาโง่กันทั้งนั้น มาหลับหูมาหลับตากันทั้งนั้น มาทำอะไร เพราะในป้ายเหล่านั้นไม่มีเรื่องศาสนา แต่บอกว่าในงานนี้มีดนตรีลูกทุ่งวงสายัญสัญญา สุรพล อะไรต่ออะไร สังข์ทอง สีใส มีหนังจอยักษ์ แล้วก็มีลิเกอะไรต่ออะไร เรื่องสนุกทั้งนั้น แปลว่า ให้คนมาวัด เพื่อความสนุกสนานเฮฮา ไม่ได้มาศึกษาธรรมะ แล้วทางวัด ก็ไม่ได้ประกาศธรรมอะไร หาโฆษกอย่างดี ท่านทั้งหลายได้ปิดทองลูกนิมิตแล้วหรือยัง อะไรคืออะไร โฆษณาจะให้คนชื้อทองปิดหินเท่านั้นเอง แต่ว่าไม่ไม่โษณาว่าให้เชิญไปฟังธรรมที่นั่น ให้ไปนั่ง สวดมนต์ที่นี่แล้ว ญาติโยมที่ไปในงานลูกนิมิตนี่ก็ไปด้วยความ ขออภัยเถอะ ออกไปด้วยความโง่เหมือนกันอีกนั่นแหละ ไม่ใช่ไปด้วยความฉลาดอะไร ไปให้มันโง่หนักลงไปอีก คือ เข้าใจว่า ถ้าได้ปิดทองหินลูกนิมิตแล้ว จะไม่ไปตกนรก มันจะกั้นนรกได้อย่างไร เพียงปิดทองลูกนิมิตเท่านั้น


นั่นเป็นอุบายของเขา ที่จะให้คนไปซื้อทอง เพื่อเอาเงินมาบำรุงวัด แล้วว่าเงินบำรุงวัดไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องแบ่งให้คนขายทองบ้าง คนชายเข็มบ้าง คนขายเชือกบ้าง คนขายธูปขายเทียนบ้าง วัดได้กี่เปอร์เซ็นต์ ที่จะได้มาเข้าวัดก็ใม่เท่าใด เรียกว่า ได้ไม่เท่าไร แล้วก็ยังไปแบ่งให้หนังละครอีก วงดนตรีลูกทุ่งทั้งหลาย ลูกกรุงทั้งหลายเพลงอะไรทั้งหลาย มากมายก่ายกอง ๕ วัน ๕ คืน ๗ วัน ๗ คืน ทำให้เศรษฐกิจของชาติซบเซาไปสักเท่าใด เพราะคนไปเที่ยวกลางคืน แล้วรุ่งเช้าไม่ต้องตัดอ้อยแล้ว มันง่วง ตัดอ้อยไม่ได้ เดี๋ยวไปตัดมือของตัวเองเข้าให้เท่านั้นเอง พวกทำอะไรก็ไม่ได้ทำเท่านั้นเอง แล้วนี่เราไม่ได้คิดถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจ ไม่ได้คิดถึงความเสื่อมโทรมทางจิตใจ เราคิดแต่ว่าจะสนุกกันเท่านั้นเอง


ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ลำพังแต่วัด แต่ชาวบ้านนั่นแหละเข้าไปหนุนคนเวลานี้นะโยมนะ วัดไหนจะมีงานแล้ว รับอาสา ผมจะไปหาดนตรี ผมจะช่วยเรื่องดนตรี ไม่ได้ช่วยให้วัดได้ แต่ช่วยให้วัดฉิบหาย กรรมการครึงหนึ่ง วัดครึ่งหนึ่ง จนร้องเป็นเพลงแล้วเวลา เอาไปร้องเป็นเพลงแล้ว มาช่วยผมจะหาดนตรีมาช่วย ผมจะเอามวยมาช่วย ชกมวย ในงานวัดนี่ชกมวย พอชกมวยเสร็จมาถึงบอกว่า แหม หลวงพ่อ ไม่ได้กำไรอะไรเลย ขาดทุน วัดไม่ได้สักสตางค์หนึ่ง เพราะมันบอกว่าขาดทุน แล้วจะเอาอะไร สมภารจะไปฟ้องร้องที่ไหนละ มีพันธะสัญญาอะไรกันบ้างล่ะ ว่ากี่เปอร์เซ็นต์ มันชกมวยเสร็จแล้วก็กลับบ้านน่ะซิ กลับบ้านไม่กลับเปล่า แต่ทิ้งเวทีไว้ให้พระรื้อด้วย พระก็ต้องไปรื้อเวทีมวย โกยขยะมูลฝอย เศษกระดาษถุงพลาสติก ถ้ามีงาน ๗ วัน ๗ คีน นื่ วัดเหม็นทั้งวัดเลย คนเที่ยวขี้รด เยี่ยวรดเต็มวัดเลย ไม่สามารถจะเดินได้แล้ว


อาตมานี่ถ้าเขานิมนต์ ถามว่าไปงานอะไร ไปงานฝังลูกนิมิต ไปเทศน์วันไหน วันสุดท้ายของงาน บอกว่าไม่เอาหรอก พิษมันมากในงานนั้น ฉันไม่ไป ไม่ไปแล้ว คือไม่ไปส่งเสริมงานที่บ้าๆ บอๆ อย่างนั้น ไม่ไหว มันยุ่ง


นี่เรียกว่าเราไม่ได้ส่งเสริมหลักศีลธรรม ไม่ได้ทำคนให้ฉลาดได้ลืมหูลืมตากันเลย ทุกวัดทุกวาทำกันอย่างนั้น ส่งเสริมแต่สิ่งที่ว่าไม่ถูกต้อง มันเป็นอย่างนี้


วันนี้ตอนบ่าย เขานิมนต์ให้ไปเทศน์วัดมหาธาตุ พระนักศึกษาหนุ่มๆ เขาจัดงาน จะต้องไปพูดสักหน่อย ทำไมจะต้องมีภาพยนตร์ด้วย ทำงานในวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ทำไมจะต้อง มีภาพยนตร์ด้วย มันไม่จำเป็นอะไรที่จะต้องมีภาพยนตร์ฉาย เพราะว่า รอบวัดมันก็มีอยู่แล้ว สนามหลวงเขาก็ฉายกันบ่อยๆ แล้วคนกรุงเทพฯ นี่ เราไม่ต้องเอาภาพยนตร์มาให้ดูแล้ว โยมดูกันจนตาเปียกตาแฉะ จนตาบอดไปตามๆ กันแล้ว แล้วทำไมจึงมี คือ พระหนุ่มแกอยากดูเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร ทีนี้เอามาแสดงในวัด แล้วทีนี้เอาสตางค์โยมมาใช้ให้ค่าภาพยนตร์อีก วันนี้เขาจะให้ไปเทศน์ ต้องเล่นงานพวกพระหนุ่มๆ เสียหน่อย คือ ไม่ได้เรื่องอะไร ทำอะไรจะขาดทุนไปเสียเรื่อย ขาดทุนเงินนี่ไม่สำคัญหรอกโยม ขาดทุนทางจิตทางวิญญานี่มันสำคัญนักหนา คือ ทำให้จิตฟุ้งซ่าน ทำให้จิตเสือม เพิ่มราคะ เพิ่มโทสะ เพิ่มโมหะ เพิ่มความชั่วขึ้นในจิตใจ อันนี้มันเสื่อม


อาตมาไม่ส่งเสริมสิ่งเหล่านั้น จิตใจไม่ชอบ คือ ไม่ชอบสิ่งเหล่านั้น มันติดมาตั้งแต่โยม ความจริงที่บ้านโยมนี่ พวกมโนราห์มาขอพักนอน มโนราห์โรงหนึ่งมันตั้ง ๒๐ คนที่มาพัก ก็หุงข้าวให้กิน พอหุงข้าวให้กินแล้ว ก็ไปบอกโยมว่า ผมจะรำให้ชาวบ้านดูหน่อย โยมบอกว่า นอนดีกว่า เธอเหนื่อยๆ อย่ารำเลยนอนเถอะ โยมแกไม่ชอบให้มันรำ นอนเถิดพรุ่งนี้จะได้เดินทางแต่เช้า รุ่งเช้าขึ้นโยมผู้หญิงหุงข้าวหม้อใหญ่ๆ แกงหม้อใหญ่ๆ ให้กิน กินเสร็จแล้วไปเลย ไม่ต้องรำ คือ ไม่ชอบให้รำ


อาตมาอยู่ในบ้านอย่างนั้น ก็ไม่ค่อยชอบอะไร ดนตรี ลูกทุ่ง ลูกกรุงอะไร เขาว่า คนไม่ชอบดนตรีเป็นคนป่าแต่ก็ป่าในเมือง เราไม่ใช่ป่าอย่างนั้น คือ ฟังได้เหมือนกัน ถ้าดนตรีที่เป็นประโยชน์ ฟังเพื่อศึกษาเพื่ออะไรอย่างนั้น แต่ถ้าฟังให้มันเพลินมันไม่ได้เรื่องอะไร เช่นมีงานวัด มีลูกทุ่งวงใหญ่สลับกัน คืนนี้สายัญสัญญา คืนพรุ่งนี้เพลินพรหมแดน อะไรต่ออะไรไม่รู้เอามาเล่นกันในวัดนั้น เพราะฉะนั้นพวกวงดนตรีนี่บัญชียาวเหยียด งานฝังลูกนิมิตวัดนั้นวัดนี้ ไปแสดงแสดงกันเป็นการใหญ่


เมื่อแสดงดนตรีสนุกสนานมาก เป็นเหตุให้เกิดอาชญากรรมขึ้นในวัดเพราะว่า คนมันมาก มันสนุกมันขอเพลง ทีนี้พอขอแล้วไม่ให้เดี๋ยวมันก็ขว้างเวทีแล้ว เกิดเรื่องแล้ว ตีรันฟันแทงกัน ชกต่อยกันในงานบุญงานกุศลแล้ว นี่แหละคือความเสื่อม ยิ่งรำวงด้วยแล้ว ยิ่งเละเทะใหญ่ หารำวงมาเล่นในงาน ในงานบุญงานกุศลนี่แหละ รำวง รำวงแหม นุ่งชายหาด ไม่มีหาดสักหน่อย ไม้กระดาน ไม่ได้ไสกบด้วยซ้ำไป ที่ขึ้นไปเต้นอยู่นั่น บอกว่ารำวงชายหาด แต่งดัวไม่เข้าท่า ไม่น่าจะเอามารำกันในบริเวณงานวัดเลย งานศาสนา
__________________

สติปัฏฐานสี่

--------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย jinny95 : วันนี้ เมื่อ 06:58 AM 
     

สมาชิก 4 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ jinny95 ในข้อความที่เขียนด้านบน 
banmabe (วันนี้), nee653 (วันนี้), Nirankar (วันนี้), paprada (วันนี้)
[ อานิสงค์การอนุโมทนา ] 


jinny95
ดูรายละเอียดของ
ค้นหาโพสเพิ่มเติมของ jinny95
jinny95 Donation Stats
View jinny95's Videos 

วันนี้, 05:30 AM    #6 
jinny95 
ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต




วันที่สมัคร: Oct 2007
สถานที่: มัชฌิมา
ข้อความ: 5,821
Groans: 618
Groaned at 104 Times in 84 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 6,610
ได้รับอนุโมทนา 17,396 ครั้ง ใน 4,830 โพส
พลังการให้คะแนน: 968
งานวัดนี่เราควรจะมีจุดหมายว่า ทำงาน เพื่อให้ คนเขึาถึงศาสนา ให้คนได้เรียนรู้ธรรมะ เงินไม่สำคัญ เงินนั้นถือว่าเป็นผลพลอยได้เท่านั้น เราไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ให้ ถือว่า จิตใจสำคัญ ความรู้ความเข้าใจในเรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ แล้วเงินนั้น เป็นผลพลอยได้ มันเกิดทีหลัง เมื่อคนดีแล้วเขาทำเอง คนเข้าใจแล้วเขาทำเอง แล้วทำถูก ทำดี เขาไม่งมงาย ไม่ทำด้วยความงมงาย ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ทำอะไรมันก็ขึ้น เป็นการบำรุงศาสนาถูกต้อง ทีนี้เราไม่ได้สอนให้เขารู้ธรรมะ ไม่แจกธรรมะ มีงานแจกแต่เครื่องรางของขลัง บางทีก็มีหลวงพ่อไปนั่งอยู่ด้วย มานั่งปลุกเสก นั่งปลุกนั่งเสก ให้ญาติโยมทั้งหลาย แทนที่จะเสกด้วยธรรมะ แต่ไป เสกด้วยความโง่ ความเขลาเข้าไปอีก ไปนั่งเสกอย่างนั้น หลวงพ่อก็อุตส่าห์นั่งไปจนปวดเอวปวดหลัง นั่งเสกนั่งรดน้ำมนต์ไปบ้าง อะไรไปบ้าง สะเดาะเคราะห์ สะเดาะโศกอะไรไปตามเรื่องตามราว อาตมาเคยไปเห็น เห็นแล้วมันสลดใจสลดใจว่าทำไมจึงไปกันถึงขนาดนี้ ช่างไม่รู้บ้างว่า สมเด็จพ่อของเรานั้นชอบอะไร สั่งให้เราทำอะไร แล้วเราทำอะไรกันอยู่เวลานี้ มันถูกไหม ตรงไหม กับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเราพูดว่าบำรุงศาสนา


บำรุงศาสนา บำรุงอะไร บำรุงที่ตรงไหน ญาติโยมลองคิดดู บำรุงศาสนานั้น เราต้องบำรุงด้วยศึกษาให้เข้าใจ นี่เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องต้น ศึกษาให้เข้าใจ ให้รู้เนื้อแท้ของศาสนา ต่อไปก็ปฏิบัติตามสิ่งที่เราได้รู้ได้เข้าใจ แล้วปฏิบัติด้วยตนเองก็ยังไม่พอ ต้องชวนเพื่อนฝูงมิตรสหาย ให้ช่วยกันปฏิบัติสิ่งถูกต้องตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาต่อไป ที่ใดเขามีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราก็เข้าไปช่วยเหลือ สนับสนุน ให้สำนักให้กับบุคคลที่เขาทำถูก ทำชอบนั้น ได้มีกำลังใจที่จะทำอะไร ให้มันถูกต้องต่อไป นีแหละเรียกว่าบำรุงศาสนา


พระศาสนาคือตัวธรรม ศาสนาเจริญคือ จิตใจคนเจริญด้วยธรรม ถ้าศาสนาเจริญด้วยวัตถุ โบสถ์สวยงาม ปิดทองอร่อมตา แต่คนข้างวัดมีแต่คนขี้เมาหยำเป บ่อนการพนันเลอะเทอะกันอยู่ทั้งนั้น แล้วจะเจร้ญได้อย่างไร นั่นมันเจริญเปลือก ไม่ได้เจริญด้วยเนื้อ แล้วถ้าเปลือกเจริญ ประเทศชาติจะอยู่ได้อย่างไร นี่มันกินไปไกล คุณโทษมันมองเห็นกันทั้งนั้น เราต้องแก้แล้วเวลานี้ ต้องช่วยกันแก้ไข ที่จะให้คนเข้าใจถูก ในเรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติถูก สิ่งใดที่เป็นความงมงาย ไม่ถูกไม่ตรงต่อหลักคำสอน เราก็ค่อยขูดค่อยเกลาไปตามเรื่องตามราว นี่ญาติโยมมาวัดชลประทาน แล้วอาตมาก็ขูดเกลากันมาเรื่อย ขูดเกลากันไปเรื่อยๆ ก็ดีขึ้นเยอะแล้วเวลานี้ เรียกว่า อะไรที่งมงายไม่เข้าเรื่องก็ค่อยเบาไป จางไป ความเข้าใจถูกขึ้น แล้วขอให้ช่วยนำสิ่งถูกต้องนี้ ไปบอกกล่าวแก่เพื่อนบ้าน แก่อนุชนรุ่นหลังของเรา เช่นมีลูกมีหลาน เราก็สอนให้เข้าใจถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา กวดขันให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปตั้งแต่ตัวน้อยๆ เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็จะเป็นนิสัยสันดานในด้านธรรมะ มีนิสัยเป็นธรรมะ มีสันดานเป็นธรรมะ มีอะไรถูกต้องเป็นธรรมะ ชีวิตเราจะมั่นคง ครอบครัว สกุล ประเทศชาติจะอยู่รอดปลอดภัย เรื่องมันเป็นอย่างนี้ จึงขอฝากให้ญาติโยมทั้งหลาย ได้คิดนึกไว้ด้วย เพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ


ดังที่พูดมาในวันนี้ ก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้


ต่อไปนี้ ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ เป็นเวลา ๕ นาที นั่งสงบใจ นั่งตัวตรง หลับตาเสียมันไม่ยุ่ง แล้วก็หายใจเข้าแรงลึก เพื่อจะได้กำหนดง่าย หายใจออกแรง หายใจเข้าออกแรงๆ ช่วยสุขภาพทางกายด้วย ทำให้สุขภาพดีขึ้น ว่างๆ หายใจแรงๆ เสียบ้าง แล้วเวลาหายใจก็รู้ว่ากำลังหายใจเข้า กำลังหายใจออก คอยกำหนดรู้ เป็นการฝึกจิต การหายใจแรงนั้นเป็นประโยชน์ทางสุขภาพร่างกาย การกำหนดรู้เป็นประโยชน์แก่สุขภาพทางจิตใจ ได้กำไร เรื่องเดียวแต่ได้กำไร ๒ อย่าง จะทำให้สิ่งทั้งหลายดีขึ้น กำหนดรู้อย่าไปนึกเรื่องอื่น มันไปก็ดึงกลับมา ให้มาอยู่ที่ลมเข้า ลมออก หายใจเข้าออก กำหนดรู้ไว้ เผลอปุ๊บมันไปทันที ต้องดึงกลับมา ให้อยู่ที่ลมเข้าลมออกให้ทำเป็นเวลา ๕ นาที



คัดลอกจาก ลูกโป่ง ลานธรรมเสวนา
อย่าโง่กันนักเลย - ลานธรรมเสวนา

__________________

สติปัฏฐานสี่

--------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย jinny95 : วันนี้ เมื่อ 06:59 AM 

พระโคตมสอนเทวดาตอนไหน?

ช่วงที่ท่านนอนกันไง เงินตราทรัพย์สินเงินทองแก้วแหวนเพชรนิลจินดาที่ดินบ้านรโหถาร ล้วนเป็นสิ่งที่สมมติขึ้น มีเพียงพอแค่อาศัยถูๆไถๆใช้งานมันไปพอให้ร่างกายตั้งอยู่ได้ก็พอ ในเมื่อเป็นผู้สืบทอดเจ้าเมืองแล้วเหตุใดต้องทิ้งไม่เอา ถ้าคิดจะครอบครองสิ่งเหล่านี้ พระโคตมเคยเป็นท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์ผู้ปกครองเทพเทวดาตั้ง36ชาติภพติดต่อกัน ในอดีตชาติ เตมีร์ไบ้ระลึกชาติได้ว่าอดีตชาติเคยเป็นเจ้าเมืองมีผู้ตายถูกประหารฆ่าในขณะอำนาจปกครองบ้านเมืองท่านดูแลอยู่เมื่อตายก็ไปใช้เวรกรรมในนรก(คือจะบอกว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าอดีตชาติก็เคยลงนรกมาแล้วล้าน%)ในนรกทุกข์ทรมาณมากหมดกรรมในนรกก็มาเกิดเป็นเตมีร์ไบ้เป็นลูกกษัตริย์ระลึกชาติอดีตได้หากปกครองเมืองอีกสั่งฆ่าคนก็ลงนรกอีกจึงแกล้งหูหนวกตาบอดพูดไม่ได้ เพื่อไม่ต้องเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง หาอ่านดู ทศชาติ ของพระพุทธเจ้า ในเซเว่น ชาติสุดท้ายเป็นพระเวชสันดรให้ทานให้ช้างเผือกประจำเมืองให้ลูกให้เมียแก่ชูชก(เทวทัตนั่นเอง)วิสัยพระพุทธเจ้าชาติสุดท้ายก่อนเป็นพระพุทธเจ้าต้องให้ทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พระศรีอริยเมตตรัย พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็เช่นกัน(พระอชิตะไง)อยู่สวรรค์ชั่นดุสิต ยังมีอะไรที่ยากจะเข้าใจอีกเยอะสำหรับผู้พึ่งเริ่มต้นศึกษาธรรม เมื่อบุกบั่นอ่านให้เยอะฟังให้มากใช้ปัญญาบวกจิตนาการไตร่ตรองแล้วถึงจุดนึงข้อมูลที่อ่านฟังทุกอย่างมันจะตั้งคำถามหาคำตอบเองอัตโนมัติโดยสมองและจิตรับรู้ของเรา อ่านร้อยครั้งในเนื้อหาเดิมซ้ำไปซ้ำมาสิ่งที่ได้รู้ไม่เหมือนเดิมทั้งร้อยครั้งแน่นอน ตั้งจิตที่ความว่างให้ได้ควบคุมให้นิ่งที่สุดออกไปรู้สึกเมื่อไหร่ก็รีบเอากลับมา ข้อมูลต่างๆมันเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติด้วยซ้ำบวกอ่านไตร่ตรองเพิ่มเติมยิ่งทำให้ เข้าใจทุกอย่างได้ง่ายมากขึ้น ขอแค่อย่าขี้เกียจอ่าน อย่าทำให้ตัวเองเป็นหนี้ อย่าตามกระแสโลก ทำตัวเองให้ว่างกับการอ่านมากที่สุด ยิ่งคนที่ล้มละลายนี่ดีมากเลย เพราะสิ่งที่ต้องห่วงด้านหลังน้อยมาก แนะนำให้ เปลี่ยนสภาพแวดล้อมไปที่ไม่มีใครรู้จักไม่ต้องบอกใครอยู่ใหนอย่าให้ใครรู้ อยู่ใต้ไปเหนือ อยู่เหนือลงใต้ เน้นปฏิบัติธรรมจริงจังเหมาะที่สุด ต่อให้รวยที่สุดในโลกก็สู้คนที่ล้มละลายที่ปฏิบัติธรรมที่บรรลุแค่โสดาบันพอไม่ต้องมาก คนรวยที่สุดในโลกบริจาคเงินช่วยโลกหมดก็สู้บุญคนที่ล้มละลายเหลือกางเกงในตัวเดียวที่ยกระดับจิตบรรลุธรรมแล้วเทียบกันแล้วไม่เห็นฝุ่นแม้แต่ปรมณูผงธุลีเลยว่างั้น อย่าเชื่อ ภูมิธรรม ชาตินี้เราศึกษารู้แค่ไหน เกิดชาติไหนต่อไปไม่ลบลืมเลือนรู้เท่าที่ทำไว้ชาติก่อนมาต่อในชาติใหม่สูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆจนบรรลุธรรมและหลุดพ้น แน่นอน แต่ต้องอยู่ในภพภูมที่สามารถศึกษาธรรมต่อได้ คือ มนุษย์ขึ้นไป อย่าเชื่อ  ส.อ่านหลังสือ

ชอบคุณ

.



...ขอบคุณครับ.. ส.ยกน้ิวให้ ส.หลก

แค่คิดดี

                   โลกเราที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 

                   ศาสนาช่วยอะไรได้บ้าง 
 
          อธิบายให้ดูหน่อย  ท่านผู้มีศาสนสทั้งหลาย

  ต้นเหตุของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน มาจากไหน  รู้ไหม

หยุดหลอกตัวเองกันได้แล้ว  แค่คุณไม่ทำความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นก็พอแล้ว

เด็กใหญ่

ขอตอบน่ะเ พราะผมมีศาสนาพุทธ เป็นหลักอยู่กับตัว ศาสนาอื่นๆก็เรียนรู้มาเยอะ ไม่ต่างกันเรื่องการทำดีศาสนา เขามีใว้ให้คนที่ คิดไม่ออก จัดการแก้ปัญหาไม่ได้  ให้รู้ระวังผลที่จะเกิดจากเหตุ ทั้งได้ผลดี และผลเสีย บางคนเก่งอย่างหนึ่ง ไม่เก่งหลายอย่าง  บางคนคิดมากไป บางคนคิดน้อยไป บางคนยังงงไม่รู้ไม่เข้าใจว่าศาสนาช่วยอะไรได้บ้าง อย่างนี้เป็นต้น ไม่รู้ตอบได้ครบถ้วนหรือยัง

เด็กใหญ่

อ้อ ขออีกนื๊ดหนึง ถ้าตั้งใจเรียนรู้เรื่องศาสนา และคิดตาม ยอมรับความจริงจากคำสอน ก็จะรู้แจ้งกว่าที่ผมเขียน

ฮิวเมอร์

.


...ไม่ต้องไปสอนหรอกครับ ใครๆก็รู้ว่า ทำร้ายผู้อื่น ลักขโมย ไม่ดี

แต่ยังลัก ยังจี้ ยังปล้นอยู่ เพราะอะไร...

..สังคมอย่างนี้ บูชาคนรวย แม้จะโกง, สิ่งมอมเมาเริงรมย์, นิสัย การศึกษา

และสิ่งแวดล้อมต่างๆ... ส.หัว ส.ก๊ากๆ ส.โกรธอย่างแรง

Destiny

อ้างจาก: ฮิวเมอร์ เมื่อ 20:22 น.  02 ก.ย 55

..สังคมอย่างนี้ บูชาคนรวย แม้จะโกง, สิ่งมอมเมาเริงรมย์, นิสัย การศึกษา

และสิ่งแวดล้อมต่างๆ... ส.หัว ส.ก๊ากๆ ส.โกรธอย่างแรง
สังคมอย่างนี้ บูชาคนรวย แม้จะโกง ชอบประโยคตรงนี้มากเลย เห็นด้วยอย่างยิ่ง  ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้
อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจหนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"  พระบรมราชปณิธานของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

ไร้ตัวตนหมดสิ้นพันธนาการ

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสมมติขึ้น ปรุงแต่งขึ้นมาเพิ่มเติมตามอำนาจจิต ความเป็นหญิงและชายใข่จะมีจริงที่ไหน ตัวตนอัตตาล้วนเกิดขึ้นมาทีหลัง ภพชาติเกิดมาเพราะความอยาก รู้ให้จริงและลึกซึ้ง จะรู้ว่าชีวิตที่เกิดมาสิ่งที่เป็นไป มันไม่มีอะไรเลยที่เป็นสาระแก่นสาร แค่คัดสัตว์ในวัฏฏสงสารให้ไปอยู่ในภพภูมิต่างๆ สูงต่ำบวกลบแล้วแต่อำนาจกรรมจะส่งผล ทุกดวงจิตมาจากหนึ่งเดียวแยกออกเป็นหมื่นแสนล้านๆๆๆดวงจิตแท้ที่จริง เราคือคนคนเดียวกัน แยกออกมาตามอำนาจกิเลสปรุงแต่งขึ้น เมื่อที่จะรู้ธรรมให้บรรลุถึงจุดหนึ่ง มีบัวเหล่าใดบ้างล่ะที่พร้อมที่จะเข้าถึง ก็แค่ปริ่มน้ำและพ้นน้ำ พร้อมที่จะบรรลุธรรม กลุ่มอื่นก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง อธิบายเท่าไหร่ก็ถามคำถามเดิมเวียนไปเวียนมา ดักดานอยู่นั่นแหละ น่าเบื่อและเสียเวลาสาธยาย เพราะไม่ได้เอาไปแตกความคิดศึกษาต่อเลย คิดสรรหาคำถามที่อ่านดูก็รู้เลยว่า ยังไปไม่ถึงไหนแค่ฉาบฉวยและคิดเอาเองว่ารู้ เสียเวลาและยั่วยวนอารมณ์ แต่ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะธรรมดามันมีแบบนี้มานานแล้ว เพราะมันเป็นกรรมของเค้า ความสงสัยเกินเหตุยากจะฉุดรั้งดึงคือกิเลสตัวกั้นขวางที่ทำให้ยากจะบรรลุธรรม มากกว่าคนที่รู้น้อยกว่าเฉกเช่นพระสารีบุตรที่รู้มากหมดทุกเรื่องและขี้สงสัยทำให้บรรลุธรรมหลังพระโมคที่รู้ในด้านคำสอนของพระพุทธเจ้าน้อยกว่า แต่บรรลุธรรมก่อน พระสารีบุตร เพราะความขี้สงสัยนั่นเอง  ส-เหอเหอ ส.อ่านหลังสือ

ธรรมโอสถบำบัดโรค

วิจัยพบ "สวดมนต์" "สมาธิ" "วิปัสสนา" รักษาโรคได้จริง!

--------------------------------------------------------------------------------



การสวดมนต์
สิ่งสำคัญของการเริ่มปฏิบัติกรรมฐานคือการสวดมนต์การสวดมนต์มีผลดีต่อสุขภาพโดยไม่ต้องสงสัย การสวดมนต์นอกจากจะให้ประโยชน์ทางศาสนาคือ ทำให้จิตเป็นสมาธิแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ อย่างมากมายทำให้มีการผ่อนคลาย ทั้งทางกายและทางใจ นอกจากนั้นยังสามารถใช้บำบัดโรคได้ด้วยในพระไตรปิฎกมีกล่าวไว้หลายเรื่อง เช่น เมื่อพระมหากัสสปเถระอาพาธพระพุทธเจ้าเสด็จมาและทรงสวดโพชฌงค์ 7 พอทรงสวดจบ พระมหากัสสปก็หายอาพาธ (ปฐมคิลานสูตร สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค)ในทำนองเดียว กันพระโมคคัลลาน์หายอาพาธ ได้เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงโพชฌงค์ 7 ให้ฟัง(ทุติยคิลานสูตรสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค)แม้แต่พระพุทธเจ้าเองเมื่อทรงอาพาธทรงโปรดให้พระมหาจุนทะสวดโพชฌงค์ 7 ถวาย เมื่อสวดจบพระพุทธองค์ทรงหายจากอาการประชวร(ตติยคิลานสูตร สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค)

นอกจากนั้นในสมัยพุทธกาล อุบาสกยังนิยมนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ให้ที่บ้านเมื่อเจ็บป่วย เช่นธรรมิกอุบาสก เมื่อใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต นิมนต์พระสงฆ์มาสวดสติปัฏฐานสูตร(อรรถกถาธรรมบท)หรือในกรณีของมานทินคหบดี หรือท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเมื่อไม่สบายก็นิมนต์พระสงฆ์มาสวดที่บ้าน เมื่อสวดมนต์จบความเจ็บป่วยหายไปได้การสวดมนต์ใน กรณีเหล่านี้ เป็นการนำธรรมมาแสดงการได้ฟังธรรมและได้พิจารณาข้อธรรมต่างๆ ด้วยปัญญาทำให้ผู้ฟังมีความปีติ โสมนัสชุ่มชื่นเบิกบานใจ จิตใจมีพลัง มีผลให้ความเจ็บป่วยทางกายหายไปด้วย ดังนั้นการสวดมนต์ จึงบำบัดโรคได้โดยเฉพาะสำหรับผู้มีความรู้ความเข้าใจข้อธรรมที่สวดนั้นอย่างดีและเคยปฏิบัติธรรมมาก่อนมีใจน้อมไปทางธรรม และชอบสวดมนต์เป็นประจำ

การสวดมนต์ที่ชาวพุทธคุ้นเคยกันคือการทำวัตรเช้า-เย็น สวดมนต์แผ่เมตตาสวดคาถาพาหุงมหากาฯ และสวดพระปริตรธรรมมีการวิจัยในการแพทย์ปัจจุบันจำนวนมากที่แสดงว่าการสวดมนต์ช่วยให้เกิดความสุขความพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่เช่นทำให้สุขภาพ จิตดี และช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตได้(Mc Collough Me Prayer and Health : Conceptual Issues ,' Journal of psychology and Theology, 1995)ตัวอย่างเช่น นายแพทย์ลารี ดอสซีได้วิเคราะห์ผลงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ประมาณ ๑๐๐ เรื่อง และพบว่าในงานวิจัยต่างๆ เหล่านี้การสวดมนต์มีผลต่อการเจริญเติบโตของเมล็ดพืชและการที่แผลหายเร็วขึ้นนอกจากนั้น ในงานวิจัยหลายรายเราพบว่าการสวดมนต์สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้สมาคมวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งรัฐเทกซัสได้เจาะเลือด อาสาสมัคร 32 รายเมื่อแยกเอาเม็ดเลือดแดงออกแล้ว ใส่สารละลายที่จะทำให้เมล็ดเลือดแดงบวมและแตกน้อยลงผลคือ เม็ดเลือดแดงนั้นแตกช้าลง(Castleman M, Nature 's Cures)




จากการศึกษางานวิจัยดังกล่าว เราอาจสรุปได้ว่าการสวดมนต์ในรูปแบบต่างๆ ทำให้เราผ่อนคลายทั้งทางจิตใจและทางกายทำให้เรารู้สึกสบายใจ สภาพจิตใจ เช่นนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพทางใจและทางกายมากด้วยเหตุนี้จิตแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวนไม่น้อยจึงนำการสวดมนต์มาใช้ในการบำบัดทางจิตร่วมกับวิธีการรักษาทางการแพทย์(King E., Bushwick B, Beliefs and Attitudes of Hospital Inpatients about Faith Healing and Prayer)การสำรวจของ นักวิจัยหลายกลุ่มพบว่าคนอเมริกันนิยมสวดมนต์กันมากกล่าวคือ 70 % สวดมนต์ทุกวัน และ 44 % สวดมนต์เพื่อการบำบัดโรคมีงานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าการสวดมนต์ช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงน้อยลง เช่น โรคหัวใจ โรคความดัน โรคเครียดและโรคซึมเศร้า เป็นต้น แม้แต่ผู้ป่วย ที่เป็นโรคมะเร็งจะมีอัตราตายต่ำกว่าประชากรทั่วไป(Michello Ja, 'Spiritual and Emotional Determinants of Health,' Journal of health,1988)นอกจากนั้นการสวดมนต์เมื่อปฏิบัติร่วมกับสมาธิยังสามารถลดปัญหาการฆ่าตัวตายและการใช้ยาเสพติดได้(Ellison E.C., 'Religious involvement and subjective well-begin,' Journal of Health Social Behaviors,1991)



(ต่อด้านล่าง)

--------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Prophecy : เมื่อวานนี้ เมื่อ 08:57 PM 
     

สมาชิกที่ กล่าวคำ " อนุโมทนา สาธุ " กับข้อความของ คุณ Prophecy ที่เขียนไว้ทางด้านบน 
เมธาสิทธ์ (เมื่อวานนี้)
[ อานิสงค์การอนุโมทนา ] 


sponsor links


Prophecy
ดูรายละเอียดของ
ค้นหาโพสเพิ่มเติมของ Prophecy
Prophecy Donation Stats
View Prophecy's Videos 

เมื่อวานนี้, 07:44 PM    #2 
Prophecy
สมาชิก




วันที่สมัคร: Apr 2012
ข้อความ: 1,049
Groans: 44
Groaned at 140 Times in 34 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 661
ได้รับอนุโมทนา 3,372 ครั้ง ใน 581 โพส
พลังการให้คะแนน: 309



การปฏิบัติสมาธิ
การสวดมนต์ทำให้จิตเป็นสมาธิได้ง่าย ปัจจุบันมีงานวิจัยเกี่ยวกับสมาธิและสุขภาพมากกว่า ๒๐๐ ราย งานวิจัยต่างๆ เหล่านี้ชี้ให้เห็นผลดีของสมาธิ (หรือการมีจิตใจสงบจิตตั้งมั่นอยู่ ในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด) ต่อการรักษาโรคทางกายอย่างชัดเจน ดังนั้นแพทย์จำนวนไม่น้อยในอเมริกาจึงนำสมาธิไปใช้รักษาโรค ผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้ไว้มากคือดร.เฮอร์เบอร์ เบนสันศาสตราจารย์ทางอายุรศาสตร์แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาด ศาสตราจารย์ ผู้นี้ได้ศึกษาเรื่องนี้มากว่า 30 ปีศาสตราจารย์เบนสัน เองเคยเดินทางไปศึกษาพุทธศาสนาในอินเดียและทิเบต ในงานช่วงแรกศาสตราจารย์เบนสันได้ให้อาสาสมัครทำสมาธิ แล้ววัดความดันอัตราการเต้นของหัวใจคลื่นสมองคลื่นหัวใจ เจาะเลือดดูกรดแลคติกพบว่าคนที่จิตเป็นสมาธิ ความดันอัตราการหายใจลดลง หัวใจเต้นช้าลงคลื่นสมองช้าและเป็นระเบียบขึ้น การเผาผลาญอาหารในร่างกายลดลงความตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลง


การค้นพบของศาสตราจารย์เบนสันครั้งนี้ ทำให้แพทย์แผนปัจจุบันยอมรับว่าจิตใจและร่างกายมีความ สัมพันธ์ใกล้ชิดกันจริง พร้อมทั้งเชื่อว่าการทำสมาธิสามารถรักษาโรคได้ เพราะสมาธิทำให้จิตใจและร่างกายผ่อนคลาย ไม่เครียดในเวลาที่เราเครียด ความดันจะสูงขึ้น การหายใจจะเร็วขึ้น ชีพจรเต้นเร็วขึ้นกล้ามเนื้อ จะตึงตัวมากขึ้น อัตราการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย มากขึ้นและร่างกายใช้ออกซิเจนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ความเครียดจึงทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้การทำให้เกิดการผ่อนคลาย ทำให้โรคต่างๆหายได้งานวิจัยของศาสตราจารย์เบนสันพบว่าผู้ป่วยมาพบแพทย์ 60-90 % เป็นโรคเกี่ยวกับจิตใจมากกว่าร่างกายการทำให้เกิดการผ่อนคลายด้วยการทำสมาธิช่วยให้โรคส่วนใหญ่หายหรือดีขึ้นได้(Benson Lt., et al Relaxation Respone, Med Clin North AM, 1977)นอกจากนั้น การปฏิบัติสมาธิยังทำให้ร่างกายหลั่งสารบีต้า แอนคอฟินด์ซึ่งเป็นสารประเภทฝิ่นออกมาในสมอง มีผลทำให้ผู้ปฏิบัติรู้สึกสดชื่นอิ่มเอิบและสุขสบาย





นายแพทย์โจน คาบัท-ซินนักวิจัยทางการแพทย์ได้พบว่า การทำสมาธิร่วมกับการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ความดันลดลงมาก ผู้ป่วยไม่ต้องกินยาหรือในกรณีที่ผู้ป่วยที่ใช้ยาลดความดันอยู่แล้ว การใช้ยาจะลดลงมากทั้งชนิดและขนาดงานวิจัยชิ้นหนึ่ง รายงานว่า ในจำนวนอาสาสมัคร 23 รายที่มีค่าไขมันโคเลสเตอรอลในเลือด 254มิลลิกรัม/เดซิลิตร สามารถลดลงได้ 30 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หลังการปฏิบัติได้ 11 เดือน โดยไม่ได้ควบคุมเรื่องอาหารงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่าความหนาของผนังเส้นเลือดหัวใจในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง 60 ราย ลดลง หลังจากฝึกสมาธิราว 6-9 เดือนสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง อาการปวดลดลง เคลื่อนไหวได้มากขึ้นมีความเครียดและอาการซึมเศร้าน้อยลง ผู้ป่วยที่เป็นโรคนอนไม่หลับ 58 % นอนหลับดีขึ้น และหลังการปฏิบัติได้ 6 เดือน 91% ใช้ยานอนหลับลดลงหรือหยุดยาได้ส่วนสตรีที่มีอาการก่อนประจำเดือนอาการลดลง 57% และผู้ที่มีอาการรุนแรงอาการจะทุเลาลง ผู้ป่วยที่หัวใจเต้นไม่ปกติ การเต้นผิดปกติ ของหัวใจจะลดลงส่วนผู้ป่วยปวดศีรษะแบบไมเกรน อาการปวดศีรษะและความรุนแรงจะลดลง

งานวิจัยต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การทำสมาธิ มีผลให้เกิดการผ่อนคลายความเครียดสามารถรักษาโรคให้หายได้โดยไม่ต้องใช้ยาหรือใช้ยาน้อยลง(Zamarra J, et al., Usefulness of the Transcendental Meditation Program in the Treatment of Patients with Coronary Disease, AM J Cardinal, 1996)จิตที่เป็นสมาธิเป็นจิตที่มีพลัง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ได้ ประโยชน์ในทางพัฒนาสุขภาพจิตและบุคลิกภาพ คือทำให้เป็นคนมีสุขภาพจิตดี สงบ หนักแน่น ใจเย็นไม่หงุดหงิด ไม่ฟุ้งซ่าน นุ่มนวล และมีความคิดในทางสร้างสรรค์ ในทางสุขภาพสมาธิทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงหายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้

(ต่อด้านล่าง)

--------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Prophecy : เมื่อวานนี้ เมื่อ 09:00 PM 
     

สมาชิกที่ กล่าวคำ " อนุโมทนา สาธุ " กับข้อความของ คุณ Prophecy ที่เขียนไว้ทางด้านบน 
เมธาสิทธ์ (เมื่อวานนี้)
[ อานิสงค์การอนุโมทนา ] 


Prophecy
ดูรายละเอียดของ
ค้นหาโพสเพิ่มเติมของ Prophecy
Prophecy Donation Stats
View Prophecy's Videos 

เมื่อวานนี้, 07:57 PM    #3 
Prophecy
สมาชิก




วันที่สมัคร: Apr 2012
ข้อความ: 1,049
Groans: 44
Groaned at 140 Times in 34 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 661
ได้รับอนุโมทนา 3,372 ครั้ง ใน 581 โพส
พลังการให้คะแนน: 309


การปฏิบัติกรรมฐาน
สมาธิที่กล่าวมาหมายถึงสิ่งที่ศาสนาพุทธเรียกว่าสมถกรรมฐาน การทำสมาธิแบบนี้ไม่ว่าในขั้นต้น (ขณิกสมาธิ) หรือขั้นกลาง (อุปจารสมาธิ) เพียงพอที่จะทำ ให้เรามีสุขภาพแข็งแรงกำลังของสมาธิที่ทำได้สามารถ กดข่มอารมณ์ หรือกิเลสต่างๆ ให้ระงับชั่วคราวได้แต่ทำลายไม่ได้ มีลักษณะเหมือนเป็นหินทับหญ้า พอเอา หินออกหญ้าที่เฉาเมื่อได้รับน้ำฝนก็งอกขึ้นใหม่(จำลอง ดิษยวณิช, ความเครียดความวิตกกังวล และสุขภาพ, 2545)

การปฏิบัติอย่างหนึ่งเรียกว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นวิธีปฏิบัติที่เกิดจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีเฉพาะในพุทธศาสนาเท่านั้นศาสนาอื่น มีแต่คำสอนเรื่องสมาธิประเภทแรกเท่านั้นวิปัสสนากรรมฐานเป็นการฝึกจิตให้เกิดปัญญาเห็นสภาวธรรม ต่างๆ เป็นของไม่เที่ยงเป็นอนัตตา ทำให้เราเข้าใจสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงทำให้ถอดถอนความยึดติดในสิ่งทั้งปวง ว่าไม่ใช่ตัวเรา ของเรา เป็นเหตุให้สามารถขจัดกิเลสโดยเฉพาะกิเลสอย่างละเอียดหรืออนุสัยกิเลสได้วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่หลวงพ่อนำ มาสอนคือการเจริญสติปัฏฐาน 4 ได้แก่ใช้สติกำหนด กาย เวทนา จิต และธรรมงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แนวทางปฏิบัติแบบนี้ช่วยให้การบำบัดโรคได้ทั้งทางกายและทางใจ ช่วยให้ จิตอยู่กับเวลาปัจจุบันสามารถทิ้งความนึกคิด ทำให้รู้สึกเบากายและใจ การหยุดความคิดช่วยบำบัดโรคต่างๆ ได้เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคตื่นตระหนกกลัว โรควิตกกังวลว่าตัวเองเป็นโรคนั้นโรคนี้โรคเครียด โรคกลัวอยู่คนเดียวและโรคกลัวความมืด เป็นต้น





การรู้จักคิดเป็นสิ่งที่ดี แต่การคิดมากเป็นสิ่งไม่ดีเพราะทำให้จิตใจและใบหน้ามีลักษณะเหมือน "ต้นอ้อสดที่ถูกตัดแล้ว" หม่นหมองไม่มีความสุข ดังนั้นเราจึงควรหยุดคิด (ในบางขณะ) จะได้มีความสุขการฝึกวิปัสสนากรรมฐานเป็นการฝึกการหยุดคิดโดยการให้จิตใจจับอยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก หรือส่วนต่างๆ ของร่างกายนายแพทย์โจนคาเบตซินในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ใช้การฝึกสติปัฏฐาน 4 ในชีวิตประจำวันในการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคเครียด และโรค ทางกายอื่นๆ เช่นโรคถุงลมโป่งพอง และได้จัดตั้งศูนย์ การเจริญสติทางแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแมสซาซูเซตที่ศูนย์นี้โปรแกรมการรักษาของนายแพทย์โจนใช้เวลา 8 สัปดาห์โดยให้ผู้ป่วยมาหาสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมงครึ่งเพื่อเรียนรู้วิธีเจริญสติในชีวิตประจำวันและให้ผู้ป่วยกลับไปฝึกทุกวันที่บ้านวันละ 45 นาที สัปดาห์ละ 6 วัน พร้อมทั้งให้เทปคาสเสท ไป 1 ม้วนเพื่อให้เปิดฟังไปปฏิบัติไป นายแพทย์ผู้นี้สอนคนไข้ครั้งละ 30 คนโดยให้นั่งล้อมวงเป็นวงกลม เมื่อครบ 6 สัปดาห์จะมีการปฏิบัติแบบเงียบไม่ให้พูดติดต่อกัน 8 ชั่วโมง ให้ผู้ป่วย เจริญสติในอิริยาบถต่างๆ เช่น ท่านั่งเดิน ยืน โดยให้ต่างคนต่างทำไม่มองไม่สนใจคนอื่น

ในครั้งแรกนายแพทย์โจนสอนการใช้สติกำหนดรู้ส่วนต่างๆ ของร่างกายให้ชำนาญโดยทำในท่านอนหรือท่านั่ง คนไข้บางคนทำในขณะนั่งรถเข็น ต่อไปสอนอานาปานสติให้ทำสติให้ระลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบและเมื่อหูได้ยินเสียงก็กำหนด รู้แล้วปล่อยวาง เวลาเกิดความรู้สึกสุข ทุกข์หรือเฉยๆ ก็กำหนดรู้ และเมื่อใจคิดก็กำหนดรู้แล้ววางเฉย เขาสอนคนไข้ให้เจริญสติในอิริยาบถต่างๆ แต่ละขณะตลอดทั้งวัน เน้นที่อิริยาบถย่อยต่างๆ ในชีวิตประจำวันเช่น การกินอาหาร การยืนรอรถประจำทาง การเดินไปทำงาน ในช่วง 2 ปีแรกที่นายแพทย์โจนสอนคนไข้ไป 1,155 คน พบว่า อาการปวดจากโรคต่างๆ ดีขึ้น 24 % หลังจากการฝึกครบ 8 สัปดาห์ อารมณ์เครียด โกรธ ซึมเศร้าลดลง 32 % ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นมากและเมื่อติดตาม ต่อไปอีก 4 ปี พบว่าอาการต่างๆ ดีขึ้น 40-50 % โดยเฉพาะในผู้ป่วยถุงลงโป่งพอง อันเกิดจากการสูบบุหรี่จัดและ/หรือการหายใจเอาสารพิษเข้าไป

ดังนั้น ในปัจจุบันนายแพทย์โจน จึงสอนการเจริญสติเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคปอดนอกจากนั้นเขาได้ศึกษาผู้ป่วยโรค เรื้อนกวาง ซึ่งเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่งรักษาด้วย การฉายแสงอุลตร้าไวโอเล็ต ตามผิวหนังทั่วตัวร่วมกับการกินยาโดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งรักษาโดยการกินยาร่วมกับการฉายแสงอีกกลุ่มหนึ่งไม่ให้กินยา แต่ให้ฝึกวิปัสสนาร่วมกับการฉายแสงนายแพทย์ผู้นี้พบว่าในกลุ่มที่ฝึกวิปัสสนารอยโรคที่ผิวหนังยุบหายไปได้เร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ฝึกวิปัสสนา(Danial Goleman, Healing Emotions) ปัจจุบันมีผู้ป่วย ผ่านหลักสูตร 8 สัปดาห์ของนายแพทย์โจนมากกว่า 13,000 คน หลักสูตรที่นายแพทย์ผู้นี้คิดค้นขึ้นมาได้รับการยอมรับจากศูนย์การแพทย์กว่า 240 แห่งทั่วอเมริกา รวมทั้งมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น สแตนฟอร์ด และดุกซ์ด้วย

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก วิจัยพบ "สวดมนต์" "สมาธิ" "วิปัสสนา" รักษาโรคได้จริง!

--------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Prophecy : เมื่อวานนี้ เมื่อ 08:59 PM 
     

สมาชิก 2 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ Prophecy ในข้อความที่เขียนด้านบน 
snowee (เมื่อวานนี้), เมธาสิทธ์ (เมื่อวานนี้)
[ อานิสงค์การอนุโมทนา ] 


Prophecy
ดูรายละเอียดของ
ค้นหาโพสเพิ่มเติมของ Prophecy
Prophecy Donation Stats
View Prophecy's Videos 

เมื่อวานนี้, 09:07 PM    #4 
Prophecy
สมาชิก




วันที่สมัคร: Apr 2012
ข้อความ: 1,049
Groans: 44
Groaned at 140 Times in 34 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 661
ได้รับอนุโมทนา 3,372 ครั้ง ใน 581 โพส
พลังการให้คะแนน: 309
น้ำมีชีวิต พูดดีมีมงคล
เรื่อง โดย พุฒิวงศ์ บุษบวรรษ
การที่เห็นคนโบราณเสกน้ำมนต์ คนสมัยนี้บางกลุ่มก็ว่าเป็นเรื่องเหลวไหลงมงาย เลยต้องยกเอาผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิง ซึ่งมีผลงานการวิจัยจากหลานที่ ทั้งที่ยุโรปและเอเซีย เช่น หลักวิทยาศาสตร์ที่ได้พิสูจน์แล้วจากหนังสือชื่อ Messages from Water ซึ่งเป็นผลงานการวิจัย ดร.มาซารุ เอะโมโตะ (Dr.Masaru Emoto)ที่โด่งดังไปทั่วโลก โดยการใช้กล้อง ส่องดูโมเลกุลของน้ำที่มีที่นำมาจากแหล่งต่างๆ พบว่ารูปผลึกของน้ำมีความสวยงาม และหลากหลายตามสภาวะสิ่งแวดล้อม โดยมีตัวอย่างผลงานผลการวิจัย
   
ผลึกน้ำจากเขื่อน ผลึกน้ำจากเขื่อน หลังผ่านการสวดมนต์ ผลึกน้ำจากการเปิดเพลงเนื้อหารุนแรง
   
ผลึกน้ำจากเพลงเพราะๆ ผลึกน้ำที่ไหลผ่านคำว่า "ฉันจะฆ่าคุณ" ผลึกน้ำที่ไหลผ่านคำว่า "ขอบคุณ"



ผลึกน้ำที่ไหลผ่านคำว่า "รัก"
จะสังเกตุได้ว่าลักษณะของน้ำจะดูสวยงามเมื่อผ่านสิ่งดีดี แล้วลองย้อนคิดว่า ในดลกนี้มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึงสาม ในสี่ส่วน รวมทั้งภายในร่างกายของเราด้วย เพราะเฉพาะหากเราพูดดี ไพเราะ คิดดี อารมณืดี อยู่ในสถานที่ดีดี เป็นไปได้มากว่าจะทำให้น้ำในร่างกายเรา และตัวเราเองดี มีความสุขไปด้วย ในขณะเดียวกัน หากเราจ้องแต่จะแค้นเคือง อาฆาต ด่าทอหรือพายังไปหมกมุ่นกับสิ่งไม่ดี น้ำในร่างกาย และตัวเองก็พลอยแย่ไปด้วย ไม่แน่นะนี่อาจเป็นคำเฉลยสำคัญว่าทำไมคนยุคสมัยนี้ถึงเป็นโรคร้ายอย่างมะเร็งกับเพิ่มมากขึ้นก็ได้

http://www.polyboon.com/stories/story000077.html


Destiny

อ้างจาก: ไร้ตัวตนหมดสิ้นพันธนาการ เมื่อ 02:21 น.  03 ก.ย 55
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสมมติขึ้น ปรุงแต่งขึ้นมาเพิ่มเติมตามอำนาจจิต ความเป็นหญิงและชายใข่จะมีจริงที่ไหน ตัวตนอัตตาล้วนเกิดขึ้นมาทีหลัง ภพชาติเกิดมาเพราะความอยาก รู้ให้จริงและลึกซึ้ง จะรู้ว่าชีวิตที่เกิดมาสิ่งที่เป็นไป มันไม่มีอะไรเลยที่เป็นสาระแก่นสาร แค่คัดสัตว์ในวัฏฏสงสารให้ไปอยู่ในภพภูมิต่างๆ สูงต่ำบวกลบแล้วแต่อำนาจกรรมจะส่งผล ทุกดวงจิตมาจากหนึ่งเดียวแยกออกเป็นหมื่นแสนล้านๆๆๆดวงจิตแท้ที่จริง เราคือคนคนเดียวกัน แยกออกมาตามอำนาจกิเลสปรุงแต่งขึ้น เมื่อที่จะรู้ธรรมให้บรรลุถึงจุดหนึ่ง มีบัวเหล่าใดบ้างล่ะที่พร้อมที่จะเข้าถึง ก็แค่ปริ่มน้ำและพ้นน้ำ พร้อมที่จะบรรลุธรรม กลุ่มอื่นก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง อธิบายเท่าไหร่ก็ถามคำถามเดิมเวียนไปเวียนมา ดักดานอยู่นั่นแหละ น่าเบื่อและเสียเวลาสาธยาย เพราะไม่ได้เอาไปแตกความคิดศึกษาต่อเลย คิดสรรหาคำถามที่อ่านดูก็รู้เลยว่า ยังไปไม่ถึงไหนแค่ฉาบฉวยและคิดเอาเองว่ารู้ เสียเวลาและยั่วยวนอารมณ์ แต่ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะธรรมดามันมีแบบนี้มานานแล้ว เพราะมันเป็นกรรมของเค้า ความสงสัยเกินเหตุยากจะฉุดรั้งดึงคือกิเลสตัวกั้นขวางที่ทำให้ยากจะบรรลุธรรม มากกว่าคนที่รู้น้อยกว่าเฉกเช่นพระสารีบุตรที่รู้มากหมดทุกเรื่องและขี้สงสัยทำให้บรรลุธรรมหลังพระโมคที่รู้ในด้านคำสอนของพระพุทธเจ้าน้อยกว่า แต่บรรลุธรรมก่อน พระสารีบุตร เพราะความขี้สงสัยนั่นเอง  ส-เหอเหอ ส.อ่านหลังสือ
ขอบคุณสำหรับข้อเขียนนี้ ชัดเจนดีมากค่ะ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้
อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจหนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"  พระบรมราชปณิธานของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

ภัยพิบัติใหญ่มีแน่ยุคนี้

นาซ่า เพิ่งจะมาเตือน :เวบ พลังจิต เตือนมา 2 ปีแล้ว

--------------------------------------------------------------------------------

ในปัจจุบันของเรา โบราณเขาเรียกว่า "เป็นกาลียุค" กาลี เป็นชื่อของพระแม่กาลี ว่ากันว่า พระแม่กาลี ท่านดุร้าย มีแต่ความตาย และทุกข์เวทนา คนโบราณเคยวาดภาพ กาลียุคเอาไว้ เป็นภาพของการฆ่าฟันกันอย่างไร้ความปรานี คนในยุคนั้น ไม่มีคำว่าเมตตา ปรานี ไม่มีคำว่า คุณธรรม หรือศีลธรรม ซึ่งพวกเราก็คงได้เห็นภาพลางๆ ปรากฏขึ้นมาแล้วในยุคของเรา อีกทั้ง ขอให้นำภัยพิบัติในปี 2554 บางคนบอกว่าเป็นแค่ลางบอกเหตุ ยังไม่ใช่ของจริง แต่อย่างไรก็ตาม ครั้งนั้นน่าถือเป็นบทเรียน สิ่งเป็นไปไม่ได้ ก็เป็นไปแล้ว กลับมาทบทวนกันอีกครั้งว่าปี 2554 เรายังเตรียมพร้อมได้มากน้อยแค่ไหน ยังขาดอะไร ยังบกพร่องอะไร คราวหน้าปีหน้า 2555 และปี ต่อ ๆ ไปเราจะเตรียมการณ์อย่างไร และภัยวิบัติยังคงเป็นเรื่องของน้ำ อยู่หรือไม่

ถ้าเป็นเรื่องของ "น้ำ" ก็ถือเป็นเรื่องของโชค ถือว่าดี น้ำลดยังมีเหลือ ถ้าเป็น "ไฟ" เผาผลาญสิ้นไม่มีชิ้นดี เหลือแต่ซาก ถ้าเป็น "ดิน" แผ่นดินไหว สั่นสะเทือน พินาศย่อยยับ ก็มีตัวอย่างให้เห็น เหลือแต่ซากอีก ไม่มีชิ้นดีอีก นำมาใช้ประโยชน์อีกไม่ได้ กว่าจะฟื้นตัวยาวนาน แต่เสียหายน้อยกว่าไฟ ถ้าเป็นลม ก็มีตัวอย่างให้เห็น พายุ ทอร์นาโด ก็ถล่มทะลาย แต่ยังเหลือซาก ใช้ประโยชน์ไม่ได้อีกเหมือนกัน แต่ไอ้ที่น่ารำคาญมากที่สุด ก็เรื่องการเมือง การขัดแย้งทางการเมือง สร้างความฉิบหายให้กับประเทศไทยมากที่สุด มากกว่าภัยพิบัติทั้งปวง อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ "ฟ้าเป็นผู้กำหนด" ถามตัวท่านเองก่อนว่า จะยอมจำนนโดยไม่สู้ หรือจะสู้โดยไม่ยอมจำนน ถ้าจะสู้ต้องคิดเตรียมการณ์ เอาปัจจุบันเป็นบทเรียน "ปฎิวัติ รัฐประหาร" "น้ำท่วมภัยธรรมชาติ" มองปัญหาก็ต้องมองกันเอาปี 2554 เป็นบทเรียน ทั้งภัยจากความโลภ ความโกรธ ความหลวง มาในรูปของ"ธรรมชาติ" และภัยจาก โลภะ โทสะ โมหะ จะมาในรูปแบบ"การแตกแยกทางการเมือง" คนไทยลืมง่าย บางคนอาจจะลืมปี 2554 ไปแล้วก็ได้ ขอนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระองค์เป็นศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เหมือนกันกับพวกเรา พระราชทานไว้เมื่อปีใหม่ "อย่าประมาท มีสติ" ถ้าไม่ประมาทก็ควรเตรียมการณ์ไว้อย่างไร โดยนำเอาปี 2554 เป็นบทเรียน

๑.ที่พักอยู่อาศัยไม่ได้ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ปฏิวัติ รัฐประหาร มีแต่ความตาย ความวุ่นวาย ทางแก้ ต้องหาที่พักสำรองที่ ๒ อย่าหวังเป็นผู้พักพิง อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ และต้องเตรียมการณ์ ตามข้อ ๓- ข้อ ๙ เช่นเดียวกัน
๒.ที่พักต่ำเกินไป ทางแก้ ต้องหาที่สำรองที่สูง หรือไปจังหวัดอื่น
และต้องเตรียมการณ์ ตามข้อ ๓- ข้อ ๙ เช่นเดียวกัน
๓.ขาดน้ำสะอาด อาหารแห้ง ทางแก้ ต้องเตรียมสำรองอาหารแห้ง น้ำสะอาด โดยจะต้องอยู่รอดให้ได้ไม่น้อยกว่า ๖๐ วัน ถ้าสมาชิกมากก็เตรียมเอาไว้ให้มาก
๔.ขาดแสงสว่าง ทางแก้ เตรียมตะเกียงน้ำมันก๊าซ ไม้ขีด ไฟฉาย แก๊สหุงต้ม
๕.อาหารเป็นพิษ เจ็บป่วย เตรียมยาธาตุน้ำขาว สามัญประจำบ้านพื้นฐาน โดยดูตัวของท่านเองเป็นหลัก ว่าท่านมีโรคประจำตัวอะไร และต้องใช้ยาอะไรอยู่เป็นประจำ
๖.เครื่องมือสื่อสาร อุปกรณ์สื่อสารในครอบครัว ทางแก้ติดต่อกันให้ได้ ไปด้วยกันทั้งครอบครัว อย่าแยกกัน กำหนดจุดนัดพบหรือจุดรวมตัวเอาไว้ล่วงหน้า
๗.ถ้ามีรถ เติมน้ำมันให้เต็มถังอยู่เสมอ อย่าหวังน้ำบ่อหน้า ก่อนเข้าบ้านทุกครั้งเติมน้ำมันให้เต็มถังอยู่เสมอ ถ้านึกจะใช้รถอย่าไปเสียดายเงิน ค่าน้ำมัน การบำรุงรักษา
๘.มุ้ง ถุงนอน อุปกรณ์กันฝน เครื่องนุ่งหุ่ม ให้เพียงพอในครอบครัว ในยุโรปที่เจริญแล้วเจอวิกฤติคลื่นความเย็น พาดผ่านตายไปเกือบ ๓๐๐ คน
๙.เตรียมอาวุธ หรืออุปกรณ์ป้องกันตัว
๑๐.ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ข้อสำคัญ อย่าประมาท พร้อมที่จะทำตามแผน ที่วางเอาไว้
๑๑.หมั่นทำบุญ ทำกุศล ใช้ปัญญาพิจารณาว่า ตัวเรานั้นเกิดมาชาตินี้ ยังมีบุญ มีกุศลใด ที่เรายังไม่เคยสร้างหรือเคยกระทำ ก็จงทำตามกำลังความสามารถ บุญกุศลจะเป็นเกราะป้องกันภัยให้กับเราและครอบครัวแล้วใช้จิตเป็นตัวเลือกว่า "อันว่าความชั่ว อย่าทำเลยเสียดีกว่า"