ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ช่วงเวลาทอง! ควรรอผ่อนครบกี่ปีจึงจะ รีไฟแนนซ์บ้านได้โดยไม่มีค่าปรับการปิดหนี้

เริ่มโดย Penguinin, วันนี้ เวลา 10:12

Penguinin

หลายคนที่กำลังวางแผนจะเปลี่ยนธนาคารหรือปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ มักมีคำถามว่า "ควรรีไฟแนนซ์เมื่อไรถึงจะคุ้มที่สุด" เพราะแม้การ รีไฟแนนซ์บ้าน จะช่วยประหยัดดอกเบี้ยและลดภาระผ่อนรายเดือน แต่หากทำเร็วเกินไปอาจต้องเจอค่าปรับจากการปิดบัญชีก่อนครบสัญญา ซึ่งอาจทำให้ประโยชน์จากการย้ายสินเชื่อหายไปโดยไม่รู้ตัว

ระยะเวลาขั้นต่ำก่อนสามารถรีไฟแนนซ์ได้
โดยทั่วไปแล้ว ธนาคารส่วนใหญ่กำหนดให้ผู้กู้สามารถดำเนินการรีไฟแนนซ์ได้หลังจากผ่อนชำระมาแล้วประมาณ 3 ปี เพราะภายในช่วง 3 ปีแรกนั้น สัญญาสินเชื่อมักระบุเงื่อนไข "ค่าปรับการปิดหนี้ก่อนกำหนด" อยู่ที่ราว 2-3% ของยอดคงเหลือ หากรีไฟแนนซ์ก่อนครบกำหนด ผู้กู้จะต้องชำระค่าปรับส่วนนี้ ซึ่งในบางกรณีอาจสูงถึงหลักหมื่นหรือหลักแสนบาท ดังนั้น การรอให้ครบระยะเวลา 3 ปีจึงถือเป็น "จุดคุ้มทุน" ที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่สุดในการเริ่มพิจารณาย้ายธนาคารใหม่



ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์
แม้จะครบกำหนดเวลาแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนควรรีไฟแนนซ์ทันที ผู้กู้ควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยใหม่กับธนาคารเดิม โดยเฉพาะช่วงดอกเบี้ยคงที่และลอยตัว ว่าความแตกต่างที่ได้มานั้นช่วยลดภาระผ่อนได้มากพอหรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายแฝง เช่น ค่าประเมินหลักทรัพย์ ค่าอากรแสตมป์ และค่าธรรมเนียมจดจำนองใหม่ หากรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วยังคุ้มค่ากับดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการ

วิธีวางแผนรีไฟแนนซ์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
สำหรับผู้ที่ต้องการลดภาระในระยะยาว ควรวางแผน รีไฟแนนซ์บ้าน ล่วงหน้าก่อนครบสัญญาอย่างน้อย 3-6 เดือน เพื่อให้มีเวลาศึกษาและยื่นเอกสารกับหลายธนาคารได้พร้อมกัน การต่อรองอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิมก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่หลายคนมองข้าม เพราะบางครั้งธนาคารเดิมอาจเสนออัตราพิเศษเพื่อรักษาลูกค้าไว้ ซึ่งช่วยให้ผู้กู้ไม่ต้องเสียเวลาในการย้ายสินเชื่อไปที่อื่น

ในที่สุดแล้ว การรีไฟแนนซ์ไม่ใช่เพียงเรื่องของ "การเปลี่ยนธนาคาร" แต่คือการบริหารหนี้สินให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ดอกเบี้ยที่จ่ายไปทุกเดือนสร้างประโยชน์สูงสุดกับเงินในกระเป๋าของคุณได้จริง