ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

รสนา" จับเล่ห์"ปิยะสวัสดิ์" วางแผนต่อยอดฮุบสมบัติชาติไปเป็นของเอกชนเต็มตัว

เริ่มโดย itplaza, 11:28 น. 13 ส.ค 57

itplaza


อดีต ส.ว.กทม. เตือน"คสช." ระวังเสร็จโจร หากหลงคารม"ปิยะสวัสดิ์"เมื่อไร ท่อส่งก๊าซจะเป็นของเอกชนโดยสมบูรณ์ ชี้ผลร้ายจะโขกราคาพลังงานแพงเท่าไหร่ ประชาชนต้องก้มหน้ารับกรรม จะไปเรียกร้องตรวจสอบอะไรอีกไม่ได้
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่12ส.ค. เมื่อเวลาประมาณ 23.50น. น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. กรุงเทพฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว รสนา โตสิตระกูล ถึงมหากาพย์ขบวนการฮุบท่อก๊าซ เอาสมบัติชาติไปเป็นของเอกชน ว่า
       
       นายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริษัท ปตท.จำกัด ได้เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการบมจ. ปตท. เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 ว่า ได้เห็นชอบแนวทางการเพิ่มการแข่งขันในธุรกิจพลังงาน และลดอำนาจการผูกขาดของ ปตท. โดยให้ ปตท.ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรียุครัฐบาลทักษิณเมื่อปี 2544 ก่อนที่จะมีการแปรรูป ปตท. ในส่วนของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ คือ ให้ดำเนินการแยกท่อก๊าซ ปตท. ให้เป็นบริษัทเพื่อเปิดให้บุคคลที่ 3 มาใช้ท่อก๊าซฯด้วย
       
       นายปิยะสวัสดิ์ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการเผชิญหน้า ทีวีสปริงนิวส์ว่า จะแยกท่อก๊าซออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่โดยให้เป็นของบริษัทปตท.หลังจากนั้นก็แล้วแต่ "คสช." จะตัดสินใจให้คนอื่นมาถือหุ้นแทนปตท.และเรื่องแยกท่อก๊าซก็ต้องทำให้เสร็จก่อนมีการเลือกตั้งในปี2558อีกด้วย
       
       ความหมายที่ชัดเจนคือ การอ้างมติครม.ในปี2544 นั้นเป็นการมั่วนิ่มหรือเปล่า? เพราะมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2544 ที่มอบหมายให้ปตท.ที่เป็นรัฐวิสาหกิจก่อนการแปรรูปไปแยกท่อส่งก๊าซ และมอบหมายให้ปตท.ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ100% ในขณะนั้นคงการถือหุ้นในกิจการนี้ร้อยละ 100 แสดงว่าระบบท่อส่งก๊าซต้องเป็นของรัฐ100%
       
       แต่สิ่งที่นายปิยะสวัสดิ์จะดำเนินการแยกระบบท่อก๊าซมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ โดยในระยะเริ่มแรกเป็นของ บริษัทปตท.ก่อนนั้น ย่อมมีความแตกต่างจากมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพราะ ปตท.ในขณะนี้เป็นบมจ.ปตท.ที่รัฐถือหุ้นเพียง51% และมีเอกชนมาถือหุ้นร่วมด้วยอีก 49% ปตท.ในขณะนี้จึงไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ100% เหมือนเมื่อก่อนแปรรูป
       
       ดังนั้นการแยกท่อก๊าซมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ตามข้อเสนอของนายปิยะสวัสดิ์ จะทำให้รัฐและประชาชนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิระบบท่อส่งก๊าซเพียง51% เท่านั้นไม่ใช่เป็นเจ้าของ100%ตามมติเดิมของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
       
       มหากาพย์ฮุบท่อก๊าซภาคสมบูรณ์จะเกิดขึ้นและสำเร็จได้ ถ้า"คสช." หลงคารมวาทกรรมว่ารัฐไม่ควรถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจอีกเลย เพื่อหนีการล้วงลูกของนักการเมือง ข้อเสนอของคนกลุ่มนี้คือรัฐควรขายกรรมสิทธิในรัฐวิสาหกิจทั้งหมดโดยเฉพาะ"ปตท."ให้เหลือ 0%
       
       เมื่อทุนเอกชนสามารถยึดโครงข่ายกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซได้ ก็เหมือนยึดเส้นเลือดในกายเศรษฐกิจของชาติด้านพลังงานได้ทั้งหมด แล้วเลือดจะไปไหนเสีย?
       
       ยิ่งกลุ่มทุนที่นิยมขายสมบัติชาติพยายามผลักดันให้คสช.คงระบบสัมปทานในการให้สิทธิสำรวจผลิตปิโตรเลียมแก่เอกชนต่อไป โดยอ้างวาทกรรมเรื่องปริมาณปิโตรเลียมของประเทศมีน้อย
       
       การคงระบบสัมปทานปิโตรเลียมก็คือการยกกรรมสิทธิในทรัพยากรปิโตรเลียมทั้งหมดให้กับกลุ่มทุนพลังงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ
       
       เมื่อทุนพลังงานครอบครองกลไกเครื่องมือคือระบบท่อส่งก๊าซ ท่อส่งน้ำมันและได้กรรมสิทธิในทรัพยากรปิโตรเลียมไปด้วย คนไทยก็จะตกเป็นอาณานิคมของกลุ่มทุนพลังงานเอกชนโดยสมบูรณ์
       
       ราคาพลังงานจะแพงขึ้นเท่าไหร่ ประชาชนต้องก้มหน้ารับกรรมกันไป จะไปเรียกร้องตรวจสอบอะไรอีกไม่ได้ เพราะเขาเป็นเอกชนเต็มตัว
       
       เมื่อตอนกลุ่มธุรกิจเอกชนใหญ่ก่อวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่ ประชาชนต้องเข้าไปรับเคราะห์แทน แต่พอเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว เขาก็มาฮุบสาธารณูปโภคพื้นฐานของประชาขน เอาไปเป็นสมบัติส่วนตัวของผู้ถือหุ้นใหญ่ๆไม่กี่ราย
       
       มหากาพย์ฮุบสมบัติชาติภาคสมบูรณ์ จะเป็นการช่วยต่อยอดให้กับการฮุบสมบัติชาติภาคแรกเมื่อปี 2544 ให้สำเร็จในสมัยนี้ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความตื่นรู้ของประชาชนคนไทยทั้งปวง
       
       อนึ่งการแปรรูป"ปตท." ครัั้งประวัติศาสตร์ เมื่อปี2544 ในยุครัฐบาลทักษิณ เกิดขึ้นหลังจากพรรคไทยรักไทยจัดตั้งรัฐบาลเพียง9เดือนเศษ ทั้งที่เคยหาเสียงว่าหากได้เป็นรัฐบาลจะยกเลิก "กฎหมายขายชาติ 11ฉบับ " ซึ่งหนึ่งในกฎหมายที่ถูกเรียกขานว่า'กฎหมายขายชาติ11ฉบับ' คือพ.ร.บ ทุนรัฐวิสาหกิจ ที่ออกตามเงื่อนไขการกู้เงินIMF เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เป็นผลจากความไร้วินัยทางการเงินของภาคเอกชน แต่เป็นมรดกบาปที่ประชาชนทั้งประเทศต้องมาจ่ายหนี้แทนเอกชนที่ล้มบนฟูกทั้งหลาย
       
       เมื่อพรรคไทยรักไทยได้เป็นรัฐบาล ทักษิณมองเห็นสำรับผลประโยชน์ที่จัดเตรียมขึ้นโดยกลุ่มสนับสนุนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจตามแนวทางของมิลเลอร์ ฟรีดแมน ที่มีนางมาร์กาเรต แทตเชอร์เอาไปปฏิบัติจนประเทศอังกฤษย่อยยับจากนโยบายแปรรูปของรัฐบาลของเธอ หากใครติดตามข่าวตอนมรณกรรมของอดีตนายกฯหญิงอังกฤษคนนี้เมื่อปีที่แล้ว จะเห็นน.ส.พ.ในอังกฤษหลายฉบับได้พาดหัวข่าวคำสัมภาษณ์ของคนอังกฤษที่พูดว่านางแม่มดชั่วร้ายได้ตายแล้ว ( The wicked witch is dead) ประชาชนออกมาจัดปาร์ตี้แสดงความยินดีกับการตายของเธอตามท้องถนนสวนกระแสการไว้ทุกข์ของรัฐบาล
       
       ทักษิณมองเห็นสาธารณสมบัติอันอุดม จึงละทิ้งสัญญาประชาคมตอนหาเสียงเลือกตั้ง และเข้ามาชุบมือเปิบผลประโยชน์ต่อจากกลุ่มนิยมขายสมบัติชาติที่ตั้งสำรับไว้แล้ว ด้วยการแปรรูปปตท.เป็นลำดับแรกทันที
       
       การแปรรูปในสายตานักเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมกระแสหลักที่เน้นความโปร่งใสตรวจสอบได้ และเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลเมื่อปี2544 อย่าง โจเซฟ สติกลิสต์ที่กล่าวอมตวาจาว่า "การแปรรูปคือการคอรัปชั่น ( Privatization is Briberization ) เพียงการบอกขายสมบัติชาติในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ก็จะสามารถฉกฉวยเอาทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลเป็นของตนแทนที่จะปล่อยมันไว้ให้คนอื่นเข้ามาถลุง"
       
       การแปรรูป "ปตท."เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สะท้อนอมตวาจาของ
       สติกลิสต์ นอกจากนี้เขายังเคยพูดถึงวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2551ว่ารัฐบาลอเมริกันไม่ควรไปอุ้มกลุ่มทุนการเงินที่เป็นผู้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงให้กับสหรัฐอเมริกา และประชาคมเศรษฐกิจโลก เขาถามหาสิ่งที่เรียกว่าความรับผิดชอบ และการตรวจสอบได้ (Accountability) ของกลุ่มทุนการเงินเหล่านั้น และเรียกร้องให้คนพวกนั้นเป็นผู้ที่ต้องจ่ายให้กับความเสียหายที่เขาก่อขึ้น ไม่ใช่ให้รัฐบาลมาจ่าย และปล่อยคนเหล่านี้ลอยนวลไปพร้อมกับเงินก้อนใหญ่
       
       สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อ11ปีก่อนหน้าวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์นั้น ก็ไม่ต่างจากกลุ่มทุนการเงินชาวอเมริกัน คือนอกจากล้มบนฟูกแล้ว ยังตบตูดจากไปอย่างไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ปล่อยให้ประชาชนรับกรรมใช้หนี้แทน แล้วยังนำปตท.ที่เป็นสาธารณสมบัติของชาติมาพยุงตลาดหลักทรัพย์ที่ซบเซาจากวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนั้น ที่มาจากความโลภและความไร้วินัยทางการเงินของสถาบันการเงินภาคเอกชน โดยคนเหล่านั้นหาได้มีจิตสำนึกความรับผิดชอบใดๆไม่
       
       ปตท.จึงเป็นผลประโยชน์ก้อนใหญ่ที่กลุ่มทุนการเงินเอกชน และ กลุ่มทุนการเมืองอย่างทักษิณหมายปอง แต่จังหวะเวลามาตกเข้าทางของรัฐบาลทักษิณพอดี
       
       เมื่อรัฐบาลต้องการแปรรูปปตท. ซึ่งทางคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มีมติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2544 ให้ปตท. ซึ่งคือการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยไปดำเนินการแยกกิจการท่อก๊าซธรรมชาติ ออกจากกิจการจัดหาและจำหน่ายก่อนแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ "โดยให้ ปตท.ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ100%ในขณะนั้นคงการถือหุ้นในกิจการนี้ร้อยละ 100"
       
       มติดังกล่าว เป็นการมอบหมายให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ ปตท. ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2521 มีสถานะเป็นนิติบุคคลมหาชนและเป็นองค์การของรัฐซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำกิจการของรัฐ โดยทุนทั้งหมดของ ปตท. ได้มาจากเงินและทรัพย์สินของรัฐ จึงมีมติให้ปตท.คงความเป็นผู้ครอบครองและดูแลระบบท่อส่งก๊าซต่อไป
       
       แต่ทักษิณต้องการแปรรูปปตท.และเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ทันที จึงมีมติครม.ให้แปรรูปก่อนและจะแยกท่อก๊าซหลังการแปรรูป1ปี
       
       แต่พอครบ1ปีรัฐมนตรีพลังงานในสมัยนั้น ก็กลับมติ โดยให้ยกเลิกมติเดิมที่ให้แยกท่อก๊าซภายใน1ปี และให้ปตท.เป็นผู้ซื้อก๊าซเพียงรายเดียว ( Single Buyer) อันเป็นการโอนย้ายอำนาจผูกขาดจากรัฐไปให้เอกชนซึ่งคือการยักยอกทรัพย์ของแผ่นดินครั้งที่1
       
       หลังจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายร่วมกันฟ้องเพิกถอนการแปรรูปปตท.ต่อศาลปกครองสูงสุดในคำพิพากษาของศาลปกครองได้บรรยายอย่างชัดเจนว่าการแปรรูปโดยไม่ได้ทำตามเงื่อนไขในกฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจที่กำหนดเงื่อนเวลาในการแยกทรัพย์สินที่ได้มาโดยอำนาจมหาชนและการไม่แบ่งแยกอำนาจรัฐออกจากปตท.ที่เป็นบริษัทเอกชนมหาชน โดยยังมีอำนาจเหมือนปตท.สมัยที่ยังเป็นรัฐวิสาหกิจที่ได้รับมอบอำนาจมหาชนตามกฎหมายจากสภานิติบัญญัตินั้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
       
       ศาลได้บรรยายในคำพิพากษาว่าเมื่อปตท.ได้เปลี่ยนสภาพจากการเป็นองค์กรมหาชนของรัฐไปเป็นองค์กรเอกชนมหาชนแล้ว จึงไม่ถือเป็นองคาพยพของรัฐอีกต่อไป แม้ว่ากระทรวงการคลังจะถือหุ้นใหญ่เกิน51% แต่ก็ไม่ได้ทำให้ปตท.มีสถานะกลับมาเป็นองค์กรมหาชนของรัฐอีกแต่อย่างใด
       
       ปตท.จึงไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินที่ได้มาด้วยอำนาจมหาชน(อำนาจรัฐ)ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติเพื่อการใช้ร่วมกันของคนในชาติ และไม่สามารถใช้อำนาจรัฐได้อีก
       
       อันที่จริงศาลมีความเห็นว่า การแปรรูปปตท.เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เนื่องจากการแปรรูปปตท.ผ่านไปกว่า5ปีแล้ว ปตท.ได้ก่อนิติสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกเป็นจำนวนมาก และมูลค่าปตท.ในตลาดหลักทรัพย์ขณะนั้นสูงถึง8.4แสนล้านบาท หากเพิกถอนการแปรรูปเกรงจะก่อให้เกิดความเสียหาย
       
       ศาลปกครองได้อ้างพ.ร.บ กำกับกิจการพลังงานที่ออกในสมัยรัฐบาลพล.อ สุรยุทธ์ จุลานนท์ว่าเป็นการเยียวยาความเสียหายแล้ว จึงให้ยกคำร้องการเพิกถอนการแปรรูปปตท. แต่สั่งให้แบ่งแยกทรัพย์สินที่ได้มาโดยอำนาจมหาชนและทรัพย์สินที่มาจากการรอนสิทธิคืนให้กับรัฐ ทั้งหมดให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนมีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน อีกทั้งไม่ให้ปตท.ใช้อำนาจรัฐอีก
       
       แต่การคืนท่อก๊าซโดยรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานในสมัยนั้นก็คืนเฉพาะท่อก๊าซบนบกที่มีการรอนสิทธิ ส่วนท่อส่งก๊าซในทะเลไม่ได้คืนตามคำพิพากษา และไม่ได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ ที่ได้มีมติมอบหมายให้สตง.เป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องในการคืนทรัพย์ทรัพย์สิน หากมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายเรื่องทรัพย์สิน มติครม.ได้ระบุให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้วินิจฉัย
       
       แม้สตง.จะยืนยันตลอดมาว่าปตท.ยังไม่ได้คืนท่อส่งก๊าซในทะเลและอุปกรณ์ที่รวมกันเป็นระบบตามคำสั่งศาล แต่รัฐบาลในสมัยต่อมาก็ไม่ได้ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเข้ามาร่วมพิจารณา คงมีเพียงบมจ.ปตท.ซึ่งเป็นลูกหนี้และจำเลยไปรายงานต่อศาลว่าตนเองคืนทรัพย์สินครบแล้ว โดยไม่ได้ผ่านการตรวจสอบของสตง.ก่อนตามมติครม.แต่อย่างใด
       
       มาถึงวันนี้นายปิยะสวัสดิ์ อดีตรัฐมนตรีพลังงานที่สั่งให้คืนเฉพาะท่อส่งก๊าซบนบก ส่วนท่อในทะเลอ้างว่ามีคณะกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เป็นผู้ดูแลแล้ว จึงไม่ต้องคืน
       
       สิ่งต้องถามนายปิยะสวัสดิ์ คือเมื่ออ้างว่าท่อส่งก๊าซในทะเลไม่ต้องคืน เพราะมีกกพ.เป็นผู้กำกับดูแลแล้ว แต่ก็ต้องตอบมาให้ชัดเจนว่า แล้ว "กรรมสิทธิระบบท่อส่งก๊าซเป็นของใคร?"
       
       ระบบท่อส่งก๊าซที่เป็นสาธารณสมบัติของชาติจึงอยู่ในสภาพที่ปตท.ครอบครอง แต่ประชาชนคัดค้านและต้องการทวงคืน
       
       การกำกับดูแลท่อก๊าซโดยกกพ. ปรากฎว่ามติกกพ.ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อปตท.ทั้งสิ้น เพราะปตท.ยังเป็นผู้ผูกขาดท่อก๊าซ และผูกขาดการซื้อก๊าซเจ้าเดียว แต่ประชาชนต้องเสียประโยชน์จากมติของกกพ.คือต้องจ่ายค่าผ่านท่อแพงขึ้น ต้องจ่ายทั้งค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นด้วย
       
       ตัวอย่างเช่น กกพ.ยอมให้ปตท. สามารถนำท่อก๊าซที่โต้แย้งกรรมสิทธิกันระหว่างประชาชนกับปตท.ไปตีมูลค่าใหม่ได้ และอนุมัติให้ปตท.สามารถเพิ่มค่าผ่านท่อได้เพราะได้มูลค่าท่อก๊าซเพิ่มขึ้นจากการตีราคาเสมือนมีการลงทุนใหม่
       
       การใช้อำนาจรัฐของรัฐมนตรีพลังงาน และรัฐมนตรีกระทรวงการคลังอีกหลายรัฐบาลต่อมาทำให้กรรมสิทธิระบบท่อส่งก๊าซไม่ได้กลับคืนมาเป็นกรรมสิทธิของรัฐและประชาชน ยังคงปล่อยให้ปตท.ถือครองทรัพย์สินของรัฐที่มีสภาพผูกขาดโดยธรรมชาติต่อไป ซึ่งขัดต่อสาระในคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด

ขอบคุณเนื้อหา manager.co.th
ที่มา http://www.itplaza.co.th/update_details.php?type_id=1&news_id=38625&page=1

jomlight

โอกาสได้รับรายได้เฉลี่ย เดือนละ 20,000 บาทขึ้นไป ในอนาคต
โอกาสรับรายได้ไปตลอดชีวิต แม้เกษียณอายุการทำงาน
อิสรภาพในการดำเนินชีวิต อิสระในการใช้เวลาร่วมกับครอบครัว
สนใจติดต่อ คุณเอกสิทธิ์ 093-6933932

ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

ชื่อ:
การยืนยัน:
กรุณาเว้นช่องนี้ว่างไว้:
พิมพ์คำว่า กิมหยง ลงในคำตอบ:
shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง