ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ไม่มีศาสนา

เริ่มโดย เณรเทือง, 17:01 น. 28 มี.ค 55

Destiny

อ้างจาก: ญาณทำให้รู้ เมื่อ 23:54 น.  17 ก.ย 55
ในทางพุทธผู้มีญาณหยั่งรู้ รู้ได้หมด แล้วแต่มากน้อยกี่ภพชาติอยากรู้ช่วงไหนก็ได้ วันตายย่อมรู้ได้ไม่แปลกและหลังตายเกิดเป็นอะไรอยู่ภพไหน รู้ได้ แสดงว่ายังไม่ไปค้นหาอ่านในพระไตรปิฏก มีหมดทุกคำถาม พระนักปฏิบัติรู้วันตายเยอะแยะ ลางสังหรณ์ สัญชาตญาณ จิตของตัวเองที่สัมผัสได้ คนธรรมดาที่ไม่ปฏิบัติธรรมรู้ว่าตัวเองใกล้จะตายมีเยอะแยะ ถ้าฝึกสมาธิให้จิตนิ่งละเอียดได้ญาณยิ่ง แม่นแน่นอน อายุเราน้อยกึ่งนึงผู้สูงวัย มารก็สิ่งที่โต้ตอบในจิตที่รู้สึกขึ้นได้ว่าต้องไปต้องตายแล้วการกระทำทางโลกอีกเรื่องนึงว่าจะตายแบบไหน มารหมายหัวก็คือมันรู้ว่าเรากำลังสอนขนคนให้ข้ามยกระดับจิตมารมันไม่ยอม ก็แสดงว่าเราพอได้พอตัวในธรรมที่บอกกล่าว มันเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่เราแสดงธรรมให้ใครหลายๆคนเห็นธรรมจนสามารถบรรลุธรรม เหมือนเข้าข้างตัวเองยกหางตัวเองเนอะ แต่มันบอกอย่างนั้นคือมันกลัวเราบรรลุธรรมและขนผู้คนข้ามฝั่งไปหาธรรม อย่าเชื่อและอ๊วกล่ะมันบอกอย่างนั้นจริงๆ ถือว่าเราบ้าแล้วกัน อรหันต์ที่เป็นฆราวาสก็มีไม่น้อย แต่ปัจจุบันยากหน่อยมีน้อย แต่มี ศาสนาพุทธอยู่ไปถึง5000ปี แน่นอน กึ่งนึงคือยุคกลียุคจะมีภัยพิบัติใหญ่ถึงขนาด มีผู้คนล้มตายเกินครึ่งนึงของโลกที่มีอยู่หรือมากกว่านั้นคือสองในสาม แต่โลกยังตั้งอยู่ได้ไม่เสื่อมสลายไป ช่วงประมาณปัจจุบันหลังจากนี้ไปนี่แหละ จะเกิดมี พระยาธรรมมิกราช มาฟื้นฟูธรรมเจาะจงชี้ชัดสอนธรรมให้บรรลุธรรมเร็วมากตรงๆเน้นๆ ปัจจุบันอยู่ในช่วงเปลี่ยนยุค ยุคกลียุคเข้ายุคศิวิลัย หลังจากภัยพิบัติศาสนาพุทธจะอยู่ในขาขึ้นกลับมาเฟื่องฟูอีก ผู้ที่รอดจากภัยพิบัติใหญ่คือผู้ที่สั่งสมบุญมามากจะบรรลุธรรมกันทั้งนั้นหลังภัยพิบัติ อย่าเชื่อนะ เพราะรู้เฉพาะตนปัตจัตตังเฉพาะ บุคคลอาจผิดก็ได้ เมื่อถามมาก็ตอบไป อยู่ในพระไตรปิฎกทั้งหมดเลยอยากรู้อะไรอีก อ่านดูเล่นๆเวลาว่าง ทำให้เป็นกิจกรรมหลักยิ่งดี ฟังในคลื่นธรรมมะเอฟเอ็ม ก็มีอยู่สามคลื่น 103.5 105.0 97.75 ฟังใส่หูฟังตลอดให้เค้าว่าบ้าไปเลย แต่บาปจะตกที่เต้านะสงสาร ด้วยความหลงผิดไม่รู้บาปก็เบาลง ยอมรับตัวเองว่าบ้าไว้ก่อน เพื่อลดบาปให้แก่เค้าที่ไม่รู้และเข้าไม่ถึงเพราะอะไรก็แล้วแต่ นะๆๆพร่ามเหมือนให้ตัวเองเก่งเป็นฮีโร่ยังไงไม่รู้เนอะตุๆทะแม่งๆยังไงพิกล ถือว่าเราบ้าก็แล้วกันอย่าได้ถือสา  อย่าเชื่อ ส-เหอเหอ ส.อ่านหลังสือ
ขอถามข้อสงสัยนะคะ เราจะทราบมั้ยคะว่าญาติที่ตายไป ตอนนี้เป็นยังไง ไปเกิดเป็นอะไรที่ไหน? หรือรู้เฉพาะบุคคล? แล้วสรรพสิ่งโลกนี้เป็นสิ่งสมมติจริงหรือไม่?

ขอขอบคุณ จขกท.สำหรับคำตอบค่ะ สงสัยต้องไปอ่านพระไตรปิฎกซะแล้ว  ส-เหอเหอ ที่ผ่านๆมาก็อ่านหนังสือธรรมะบ้าง คำสอนพระวัดต่างๆ เพื่อยึดเป็นแนวปฏิบัติ แต่รู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมในทางโลก ทำยากกว่าการบวชในพระพุทธศาสนา เพราะหลายเหตุหลายปัจจัย... ต้องศึกษาอีกมากเลยค่ะ ส-เขิน ส.อ่านหลังสือ
อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจหนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"  พระบรมราชปณิธานของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

นิมิตหลอก/ญาณหยั่งรู้

จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ

  ตอนที่ 3-4
   ตอนที่ 5-6


คำปรารภพิเศษ

                คุณสุทธิชาติ  รัตนสุวรรณ   มาบอกเจ้าหน้าที่ธัมมวิโมกข์ว่า  น่าจะเอาเรื่องของจุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ  จาหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๑.๑๒ มาลงเป็นเล่มเดียวกัน  ในหนังสือจุไรท่องเที่ยวดวงดาวต่าง ๆ  ท่านบอกไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๓๙      ก็เห็นว่าความคิดของท่านดี  เพิ่งมีโอกาสได้จัดทำในปีนี้    จึงได้จัดพิมพ์ต้นฉบับใหม่      และรวบรวมให้ตามความประสงค์ของ  คุณสุทธิชาติแล้ว  แต่นำมาเฉพาะ  เล่มที่ ๑๒ เท่านั้น

                   เมื่อพิมพ์ต้นฉบับเสร็จแล้ว  ปรากฏว่า มีท้ายเรื่องบางตอนหน้าว่างมาก ก็อยากจะลงภาพประกอบเรื่อง  แต่ว่าวาดภาพไม่เป็น ฉะนั้น   ถ้าหากท่านใดอ่านเรื่องดาวหลุมดำแล้วมีจินตนาการไปตามเรื่อง  ที่จุไร เล่ามา  ขอได้โปรดเขียนภาพส่งไปยังเจ้าหน้าที่ธัมมวิโมกข์  ถ้าหากนำลงแล้ว  จะมีรางวัลให้พอสมควร

คณะธัมมวิโมกข์

๒๐ ก  .พ. ๒๕๔๑


--------------------------------------------------------------------------------

จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ

ตอนที่ ๑



                                ท่านสุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกนี้ เป็น วันที่ ๑๔ มกราคม ๑๔๓๓  ที่บอกวันเดือนปี ไว้ก็เพราะว่า จะได้ทราบว่าเรื่องราวต่าง ๆ  ที่จะกล่าวต่อไปนี้ มันเป็นเรื่องของความสับสนของสมอง  แต่ก็เป็นเรื่องความจริงใจของบุคคลพวกหนึ่ง        ที่เยกว่า      ท่านคณะจิตวิทยา  สำหรับคณะจิตวิทยานี้ ใช้จิตเป็นกำลังงาน  ทำงานด้วยกำลังของจิต  จิตมีสภาพรวด เร็ว  และไปได้ทุกแห่ง  แม่แต่ในที่ปิดบังลี้ลับ  ก็สามารถจะไปได้  เรื่องนี้ไม่ขออธิบาย  ขืนอธิบายก็เฟ้อ  รวมความว่า  วันนี้จะคุยกันเรื่องดาวหลุมดำ

                                คำว่า ดาวหลุมดำ   ความเป็นมาก็เป็นอย่างนี้   ผู้พูดหรือผู้เขียนเองก็ไม่ทราบมาก่อน  เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๓๓ เดิน   ทางเข้าไปกรุงเทพฯไปแวะที่บ้าน   ท่าน พล.อ.อ. อาทร โรจนวิภาต อดีตรองเสนาธิการทหารแห่งกองบัญชาการทหารสูงสุด  ในตอนหนึ่งท่านคุยให้ฟังว่า  เวลานี้ฝรั่งเขากำลังสนใจ  เรื่องถุงดำ  คำว่าถุงดำ  ก็หมายความว่าเป็นดวงดาวดวงหนึ่งในอากาศ  มีสภาพเป็นถุง  บรรดาดาวทั้งหลาย  เข้าไปดูใกล้ มันก็ดูดเข้าไป   ก็หายเข้าไปเลย เมื่อท่านพูดอย่างนี้  ความรู้สึกเวลานั้นก็มีความรู้สึกว่า  ผิวของดวงดาวดวงนี้  ด้านหน้ากร้านมาก  แล้วก็มีความร้อนพอสมควร  ไม่ใช่มีความร้อนอย่างแสงอาทิตย์คือเรียกว่าร้อน ถ้าหากว่าสัตว์ที่มีชีวิต  สามารถทนความร้อนนั้นได้  ถ้าจะเปรียบเทียบกันจริง ๆ ความร้อนด้านหน้าของดวงดาวดวงนี้  ถ้าจะเทียบกับตะวันออกกลางนิดหน่อย  ร้อนกว่าไม่เกิน ๑๐ องศาเซนติเกรด  เทียบกับตะวันออกกลางนะ  เอาเฉพาะอย่างยิ่ง  อียิปต์  ก็แล้วกัน จะร้อนกว่าอียิปต์ไม่เกิน ๑๐  องศาเซนติเกรด  ก็เรียกว่าพอทนกันได้

                                ต่อมาเมื่อเดินทางไปถึงที่ซอยสายลม  บ้านท่านพล.อ.ท.ม.ร.ว.  เสริม  ศุขสวัสดิ์  ผู้พูดเองก็ป่วย  รอรับการให้น้ำเกลือจากแพทย์ เวลานั้นก็มีแพทย์  คือมี  หมอมนตรี  นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ค่อยได้แล้วนะ  อ้อ..  หมอมนตรี  อมรพิเชษฐ์กูล   นี่ พรนุช  คืนคงดี  เขาจดไว้ให้  มีหมอมนตรี  มาคอยก่อน   และต่อมาก็มีหมอแสงโสม  คือ พญ.แสงโสม  ปิรยะวราภรณ์  มา  ต่อมาก็มี นพ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์  ผู้สามี ของพญ.  แสงโสม  มา  คือแสงโสมนี่ผู้พูดไม่ค่อยถนัด  มักจะเรียกว่า อิ๋งๆ     เป็นอันว่า หมอที่รักษาตัวอยู่จริง ๆ   ก็คือ  นพ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์    พญ. แสงโสม ปิรยะวราภรณ์    ภรรยา  และนพ.ชนะ  สิริยานนท์   สำหรับหมอจรูญกับแสงโสมนี่ เป็นหมอประจำ  ให้ยาเป็นปกติ  หมอชนะนี่เรียกว่า หมอญี่ปุ่น  ไปเรียนญี่ปุ่นมา  ตอนหลังไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น  นี่เป็น

หมอ คอ จมูก หู  ลูกตาด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ  กับท่าน นภ. วัฒนะ  หิตะดิลก  สองคนนี้เป็นลูกศิษย์อาจารย์กัน หมายความว่า    เป็นหมอที่ศิริราชเหมือนกัน  แต่ฝ่ายคอ จมูก หู สำหรับ            นพ.มนตรีนี่  เดิมประจำอยู่ที่ปากคลองสาน  คงจะทราบว่าเป็นหมอชนิดไหน  แต่เวลานี่มาอยู่

ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา  รวมความว่า  ถ้าใครคิดว่าผู้พูดหรือผู้เขียนจะบ้าก็ไม่เป็นไร  เพราะมีหมอบ้าประจำอยู่แล้ว   หมอรักษาบ้านะไม่ใช่หมอบ้านะ  แล้วก็  พญ.พงศ์ภารดี (ปุ๊)  เจาฑะเกษตริน คนนี้ตามปกติเป็นหมอนวด       แต่ไม่ใช่นวดด้วยมือ     เขาเป็นแพทย์      เป็นหมอดมยาเหมือนกัน  เช่นเดียวกับหมอแสงโสม  แต่ว่าใช้เข็มนวด  คือเข็มจิ้ม  เป็นหมอฝังเข็ม   อาตมาเลยใช้สมญาว่า  หมอนวด  เพราะว่าปวดเมื่อยที่ไหน  ถ้าหมอคนนี้มาปักเข็มให้  เป็นหายทันที    ใช้เวลาไม่เกิน ๒๐ นาที  แล้วก็มี พ.ต.นพพร  กับพญ.เตือนใจ  กลั่นสุภา  นครสวรรค์ นี่เป็นกองทหารนครสวรรค์อีก ๒  คน ประจำ  แล้วก็มีหมอโอ๋  คำว่า  หมอโอ๋ นี่ อาตมาเรียก หมอโอ๋  แต่ชื่อจริง  อ. บุปผาชาติ  พงษ์ประดิษฐ์  เป็นคนขับรถให้  และก็เป็นหมอยาไทย

ทีนี้ในเมื่อไปพลหมอมนตรีกับหมอทุกคนแล้ว ก็เป็นอันว่าสำหรับหมอหมอนี่คนขนยามามากที่สุดก็คือหมอวัฒนะ  แต่อาตมาชอบเรียกว่า ญี่ปุ่น  ก็เป็นอันว่ายาอะไรขาดก็ตาม  หมอวัฒนะก็ขนมา  หมอคนอื่นก็เอามาให้  แต่หมอวัฒนะขนมากหน่อย  เมื่อพบหมอมนตรี    ก็คุยกันถึงเรื่องเจ้าถุงดำในอากาศ  หมอมนตรีก็อธิบายตามลักษณะที่ว่ามา  ที่ท่านพล.อ.อาทรพูดมาเหมือนกัน

หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจ  ต่อมา  เมื่อวันที่ ๑๑  มกราคม  ๒๕๓๓  ฟันมาเป็นหนองที่รากฟัน  หมอเตือนใจรักษามานาน  ทำมาเกือบ ๑๐ เที่ยว  เขาค่อย ๆ ขูด  ค่อย ๆ ดูดเอาหนอง  ค่อย ๆ แคะเอาหนองออก  ความจริงผู้พูดอยากจะให้เขาถอนทิ้งไป  เพราะของไม่ดีไม่อยากได้  แต่หมอบอกว่า  เสียดายฟัน  ถ้าเกินวิสัยจริง ๆ จึงจะถอนทิ้ง  นี่เป็นลีลาของหมอ  เพราะปกติเป็นอย่างนั้น  หมอต้องรักษาของเดิมไว้ให้ได้  แต่เจ้าของของไม่อยากจะเก็บไว้   เราะมันปวด  หมอเตือนใจทำให้เกือบ ๑๐ เที่ยว  เธอนั่งรถหมอโอ๋มา  และทุกสิ่งทุกอย่าง  หมอก็ออกทั้งหมด  โอ๋ออกเองทั้งหมด  ผู้พูด  หรือผู้บันทึก  หรือผู้เขียนไม่ได้ออกสตางค์เลย

                                ก็เป็นอันว่า  สำหรับแพทย์ฟันก็มีหมอจำนูน  อีกคนหนึ่ง  หมอจำนูนนี่ก็สำคัญมาก  ช่วยเหลือมาในกาลก่อน  เวลานี้ยังเป็นปกติ  และยกขบวนมาช่วยบรรดาฟันเด็ก และฟันคนแก่คนหนุ่ม คนสาวก็ตาม  ยกมาครั้งหนึ่งก็ฟรีทุกอย่าง   ฟรีเหมือนกัน  นอกจากฟรี  หมอที่มาสงเคราะห์คณะผู้พูดมากนี่ คนฟุ้งนี่นะ  โดยมากเขาไม่รักษาเฉย ๆ  เขาให้สตางค์ด้วยก็เลยเอา  หมอประเภทนี้ชอบและก็ชอบมาก  ความจริงหมอที่ช่วยเหลือนั้นมีมาก  ตั้งแต่เริ่มต้น  พล.อ.ต. นพ.โกศล   มณีจักร  แล้วก็ต่อมา  พล.ต.ท.นพ.  สมศักดิ์   สืบสงวน  ท่านก็การรักษาเรื่อยมาก  หลายระยะ  มามากด้วยกันหลายคน  เยอะ

                                ก็รวมความว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พูดมากไปแล้ว  หมดเวลาไปตั้ง ๑๐ นาที  เมือวันที่ ๑๑ มกราคม  ๒๕๓๓  ขณะที่หมอเตือนใจกำลังขูดฟันอยู่  ดูดเอาหนอง  ขณะที่เขาขูดฟันอยู่เขาดูดหนอง  ก็มีความรู้สึกว่า ขึ้นชื่อว่าความตาย มันเป้นของหาไม่ยาก  ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง  ความตายเป็นของเที่ยง  บางคนก็ตามด้วยเหตุที่ไม่ควรจะตาย  แตะนิดต้องหน่อยก็ตาย  ถึงวาระมันมา  เวลานี้การทำฟันดูดหนองมันปวด  มันเสียว ดีไม่ดีระบบประสาทอาจจะตัดชีวิตของเราก็ได้  ก็คิดขึ้นมาในใจว่า  ขึ้นชื่อว่าชีวิตมันต้องตาย  จะตายเวลานี้ก็ตายจะตายเวลาอื่นก็ตาย  ทำท่าเก่งไปอย่างนั้นเอง  ความจริงแล้ว  กลัวตาย  แต่ในเมื่อคิดว่า  เวลานี้ถ้ามันจะตาย  เราก็ไปก่อน  ร่างกายตายทีหลังเราจะไปก่อน

                                ก็รวบรวมกำลังใจจับ  อานาปานุสสติ  กับอุปสมานุสสติกรรมฐาน คำว่าอุปสมานุสสติ  นั้นหมายถึง นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ จะไปนิพพาน  ได้หรือไม่ได้  เราก็ไป  อย่างคนอยากไปนิพพาน  ในเมื่อเราเป็นคนอยาก  เมื่ออยากหนัก ๆ เข้า  มันก็ต้องถึงเอง  ไม่ละความอยาก  ใครเขาจะบอกว่า  ความอยากเป็นกิเลส  ก็เป็นเรื่องของเขา  กิเลสของเขา เป็นธรรมะของเรา  เราอยากไปนิพพาน  แต่บรรดานักเทศน์  ท่านเทศน์บอกว่า  การอยากไปนิพพาน  ถือว่าเป็นธรรมฉันทะ  คือมีความพอใจในธรรม ไม่ใช่กิเลส คนฟังแล้วก็ถึงกันเอง  ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง

นี่คนพูด  คนเขียน  พูดตามความพอใจของตนเอง  ไปรอคนอื่นไม่ได้  รอคนอื่นมันไม่ได้พูดไม่ได้เขียน

                                ขณะที่รวบรวมกำลังใจ  เวลานั้นจิตก็ตกวูบ  เข้าสู่อารมณ์สงัด  จิตมีอารมณ์เยือกเย็น  เห็นท่านผู้มีคุณมากมาย  แพรวพราว เป็นระยับก็ปรากฏล้อมอยู่  ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส  ท่านบอกยังไม่ตาม  คุณ  ยังไม่ตาย  ก็บอกท่านว่า  จะตายหรือไม่ตายก็ไม่ทราบขอไปที่อยู่ก่อน  ท่านก็บอก ตามใจ  เรื่องของคนขี้ขลาด ขัดคอไม่ได้  อยากไปก็เชิญไปเถิด  ก็เป็นอันว่า ท่านจะเชิญหรือไม่เชิญ  ผู้พูดก็ไปแล้วนึกแว๊บเดียว  แวะไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่  ประเดี๋ยวเดียว  กาบท่านบอกว่าเดี๋ยว ขอไปบ้านพักหนึ่ง  หมอกำลังทำฟัน  แม่ท่านก็บอกว่า  ทำไมขลาดแบบนี้ล่ะ ก็เลยบอกท่านว่า คนที่อยากไปนิพพานเป็นคนขี้ขลาดหรือท่านก็เลยบอกว่า ไอ้เรื่องปากแข็งเถียงเก่ง  เป็นเรื่องของคุณ  ไป ๆๆ ไปไหนก็ได้

ไปเถิด  ไปได้  ถ้าอยู่ที่นี่เดี๋ยวก็ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา  หมอเขาทำเสร็จไม่ได้ไปนิพพาน  แล้วท่านพ่อก็ถาม  จะไปนิพพานหรือ ก็บอก เปล่า  ใจมันอยากไปนิพพานแต่ว่าจริง ๆ มันจะไปได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทราบก็ช่างหัวมัน  แล้วท่านถามว่าจะไปไหน  ก็บอกกับท่าน  บอกว่าจะไปบ้าน ถ้าเจอะบ้านเขาสร้างไว้ที่ไหน จะไปที่นั่น  ท่านก็ยิ้ม  ท่านก็เลยบอกว่า  ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปด้วย ชวนแม่เขาด้วยซิ  ก็เลยยกมือไหว้แม่ท่าน  แม่ท่านบอกว่า เอ้า ถ้าอย่างนั้น แม่ก็ไปด้วย ในเมื่อไปถึง ก็มีบ้านอยู่ ๓ หลัง  แพรวพราวเป็นระยับ  มีกำแพง  แก้วผสมทอง  ไม่อธิบายละ  มันสวยก็แล้วกัน  เข้าไปนั่ง  ก็คิดในใจ  ก็บอกท่านพ่อท่านแม่ บอกว่า เวลานี้ฉันอยากนั่งคนเดียว  ให้อารมณ์มีความสงัด  คำว่า สงัดไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้คิดอะไรเลย  มันคิดเฉพาะนิพพานอย่างเดียว  ตัดทุกอย่าง  ทรัพย์สมบัติไม่คิด  อย่างนี้เรียกว่า สงัด  สงัดจากกิเลส  เฉพาะอารมณ์เวลานี้



                                ท่านก็บอกว่า  ถ้าเป็นความประสงค์ของคุณ คุณนั่งตรงนี้  บ้านหลังนี้นะ พ่อท่านบอกว่า พ่อก็จะไปนั่งที่โน่น  ที่แทนแก้วของสระ  ท่านก็เรียกแม่  บอกมาด้วยกันเถิดแล้วปล่อยเขา ลูกชายคนนี้นิสัยเป็นอย่างไรแม่เลี้ยงมาก็ย่อมรู้อยู่แล้ว  ท่านแม่ก็เลยบอกว่า  แค่นี้แหละ  เด็กก็แค่นั้นแหละ  หนุ่มก็แค่นั้นแหละ  แก่ก็แค่นั้นแหละ  ลีลาไม่ต่างจากเดิม  นั่งตามสบายนะจ๊ะ  แม่จะไปละ  แล้วแม่ท่านก็ไป  พอแม่ไปประเดี๋ยวเดียว  สักอึดใจ  ไม่ถึงดี  คนแก่ไป  สองแก่  พ่อก็แก่  แม่ก็แก่  ความจริง  แก่ตามลักษณะที่เราเรียกกันนะ  แต่ที่จริงท่านไม่แก่

                                ทีนี้มากลุ่มสาว ๆ  มาหนักกว่านั้น กว่า ๑๐ คน แต่งตัวแพรวกพราวเป็นระยับมาถึง  ต้องไม่รีรอ  ไม่ต้องขออนุญาต  ย่องเข้ามาเลย  ถึงปั๊บ นั่งบนที่นั่ง  ก็เลยบอกว่านี้เป็นผู้หญิง บ้านนี้ไม่รับผู้หญิงนะจ๊ะ   เธอที่เป็นหัวหน้าก็บอกว่า  ถ้าไม่รับผู้หญิงก็ไม่เป็นไร  พวกฉันไม่ใช่ผู้หญิง  ก็ถามว่าเธอเป็นกะเทยหรือ  เธอก็ตอบว่า  ฉันไม่ใช่กะเทย  ถามว่า เป็นบัณเฑาะก์หรือ  ได้บัณเฑาะก์มันมีสองเพศ  ทั้งเพศผู้หญิง  และเพศผู้ชาย  เธอก็บอกว่าไม่ใช่  ก็ถามว่าเป็นผู้ชายหรือ  เธอก็บอกว่าว่าไม่ใช่  ถามว่าเป็นอะไร  เธอตอบว่า คนพวกฉัน ทั้งหมดที่มา ไม่มีอะไรเป็นเพศ  ไม่มีทั้งผู้หญิง  ไม่มีทั้งผู้ชาย  ไม่มีทั้งกะเทย  ไม่มีทั้งบัณเฑาะก์  ไม่มีทั้งหมด  ก็เลยถามเธอว่า ถ้าเธอไม่เป็นกะเทย อย่างนี้เขาเรียกกะทุยใช่ไหม

                                เธอหันมายิ้มถาม กะทุย เป็นอย่างไร  ก็เปรียบเทียบให้ฟัง  บอก เหมือนกับควาย

ควายเขามันกางออก  เขาเรียกเจ้ากาง ถ้าเขาลอมเข้ามา เขาเรียกว่า ลอม  ถ้าหลุบลงข้างล่าง  เขาใช้อะไรไม่ได้  เขาเรียก ทุย  พวกเธอก็เหมือนกัน  ไม่มีอะไรจะใช้เลย  เรื่องเพศ ก็เรียกเป็นพวกกะทุยก็แล้วกัน  เธอก็ตอบว่าช่างเป็นไร  เรียกอย่างไรก็ช่าง  ร่างของฉันไม่เปลี่ยนก็จบ

                เมื่อขณะนั่งคุยกันประเดี๋ยวหนึ่ง เธอก็ถามว่า เห็นพรหมโลกไหม  มองลงต่ำ ก็มองลงดูตามเธอ  เห็นพรหมโลก  เธอถามต่อไปว่า เห็นสวรรค์ไหม  ก็มองลงต่ำลงไป  ก็เห็นสวรรค์  หลังจากนั้นเธอถามว่า เห็นจักรวาลต่าง ๆ ไหม  ที่เรียกกันว่า จักรวาลมนุษย์  มีมนุษย์อยู่ แต่มีอยู่ไม่ทุกจุด  มองลงมาเกลื่อนกลาดไปหมด  เหมือนกับผลส้มลอยเกลื่อนกลาดไปหมด  เหมือนกับผลส้มลอยเกลื่อนในอากาศ ถ้านับ ก็คงจะนับได้  แต่ไม่กล้านับ  ไม่มีเวลาจะนับ  มันมากเหลือเกิน  ลอยห่างกันไปบ้าง  ใกล้กันบ้าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เธอก็ชี้ให้ดูว่า  จุดเล็ก ๆ จุดโน้นไกลสุดลงไป มันเป็นจุดที่คุณมีชีวิตอยู่ที่นั่น นั่นหมอกำลังทำร่างกายคุณอยู่  กำลังแคะฟัน  กำลังดูดหนอง  คุณเห็นไหม  ก็ตอบกับเธอบอกว่า  เห็น  บอกไกลมาก  แล้วกลุ่มที่ลอยมาใกล้ ๆ อย่างโลกพระจันทร์ก็ดี  โลกพระอังคารก็ดี โลกพระศุกร์  โลกพฤหัสก็ตาม  มีนอยู่ใกล้ ๆ  กลุ่มนั้น  แต่เหนือขึ้นมา  อีกมากมาย สูงสุด  มีโลกเกลื่อนกลาด  ที่เรียกกันว่า  ดวงดาว มันเกลื่อนกลาดไปหมด  มันสูงกว่านั้นมาก  แต่สิ่งที่จะทำให้คุณดูวันนี้  จะให้ดูดวงดาวสักดวงหนึ่ง มันไม่ใช่ดาว  มันเป็นโลก



                                แต่นักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า เขาเรียกถุง  มันเป็นถุงดำ  ลอยอยู่เกือบจะเป็นผิวอากาศ เกือบเป็นผิวจักรวาลน่ะ  สูงสุด มันดวงใหญ่มาก  เธอก็เปรียบเทียบให้ฟังว่าโลกมนุษย์  มีสภาพเหมือนกับผลส้ม  ไอ้เจ้าโลกถุงดำนี่ก็มีสภาพเหมือนกับพ้อมใหญ่ๆ  พ้อมใส่ข้าว  ฉะนั้น  ความใหญ่ของมัน  ถ้าจะเอาโลกมนุษย์เข้ามาลอยภายในท้องของมัน ประมาณสักพันดวง  ยังไม่ถึงไหนหรอก  มันใหญ่โตมาก  ก็ถามเธอว่า นั่นมันเป็นเรื่องของอนิจจังใช่ไหม  เธอตอบว่าใช่  ก็ถามว่า ให้ฉันดูทำไม  เธอบอกเวลานี้นักวิทยาศาสตร์เขาสนใจเจ้าถุงดำนี้  เขาเรียกถุงดำ  แต่ความจริงมันไม่ใช่ถุงธรรมดา มันเป็นโลก  คล้ายกับส้มฝานกลางทิ้งไป  ส่วยหนึ่งทิ้งไป  อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้  มีสภาพเหมือนกระทะคว่ำลงกลางมันโบ๋ขึ้น เป็นช่องใหญ่มาก  ด้านหน้ามันแกร่ง  ด้านข้างบนนี้เป็นพื้นพิภพของคนอยู่มีมหาสมุทร  มีประเทศชาติ มีทุกอย่างอย่างโลกเขามีกัน  แต่ชาวโลกนี้รู้สึกว่าแปลกกว่ามนุษยโลกที่เรามีชีวิตอยู่  เพราะมนุษยโลก  ศีล๕  ไม่ค่อยครบ  หาคนครบศีล ๕ ยาก

แต่โลกนี้เป็น.โลกของกรรมบถ ๑๐  เขารักษากรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วน

                                พอเธอพูดจบเท่านี้ปรากฏว่า พระท่านมา  พระนี้เป็นพระใหญ่มาก  มีความเคารพนับถือท่านมาก ท่านก็ถามว่า อยากจะไปชมโลกนี้ไหม  ก็กราบเรียนกับท่านบอกว่าอยากชม  เพราะว่าน้องสาวเพิ่งพูดให้ฟังเดี๋ยวนี้เอง  ความจริงไม่รู้มาก่อน  ท่านก็บอกว่า เธอเวลานี้ไม่มีความสนใจอะไรแล้วใช่ไหม  สวรรค์ก็ดี  พรหมโลกก็ดี  อะไรก็ตามเงียบหมด  หยุดหมด  ไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนมันอยากทุกอย่าง  อยากรู้นั่น  อยากรู้นี่  ไปโลกนั้น  ไปโลกนี้  ไปโลกโน้น  เวลานี้เงียบสงัด  ถ้าไม่จวนตัวแล้ว  จนใจจริง ๆ  ก็ไม่ไป  ไม่อยากรู้ใช่ไหม  ก็ตอบท่านว่า ใช่

                                ก็กราบเรียนท่านบอกว่า มันไม่เกิดประโยชน์  รู้ไปก็แค่นั้น  มันก็แก่ทุกวัน ร่างกายก็เต็มไปด้วยทุกขเวทนา  ท่านบอกว่า ก่อนที่มันจะตาย  รู้เสียหน่อยซิ  จักรวาลทั้งหมด  น่าจะรู้ ก็เลยบอกท่านว่า ไม่เอาแล้ว  ขอถวายบังคมลา  เรื่องรู้แบบนี้  เอาเฉพาะจุด  ถ้าท่านเห็นว่าควร  ก็อาจะรู้ ท่านบอกว่าโลกนี้ คน แล้วก็ยังมีอีกหลายโลก  อยู่ระดับเดียวกัน  ควรจะรู้อย่างยิ่ง  เพราะว่าเป็นโลกทั้ง ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่รู้อะไรเลย     ความจริงเขาเข้าใจว่าเป็นถุงดำ      และกลืนดวงดาวต่าง ๆ แม้แต่แสงสีเข้าไปก็มองไม่เห็น  อันนั้นความจริงมันไม่ได้กลืน  สภาวะจริง ๆ ของมัน  เดี๋ยวไปดูกันแล้วกัน

                                เมื่อท่านพูดจบ      ท่านก็ลุกขึ้น  ทุกคนก็ลุกขึ้นพร้อมกัน  ท่านพ่อ  ท่านแม่ก็มาด้วย  พอท่านก้าวนำหน้า  ทุกคนก็ก้าวตาม  ก้าวเดียวก็ถึง  พอถึงที่แล้วก็ไปยืนอยู่หลังโลก  ขอบ ๆ เกือบริม  หมายความว่าห่างจากปากช่อง  ปากทางเข้าข้างล่างจริง ๆ ไม่เกิน ๑ โยชน์  ก็พยายามเดินไปเดินมามันขรุขระ ทุกอย่าง  ขรุขระเป็นโขด  โขดสูง ๆ โขดต่ำ ๆ  พื้นพิภพ  เหมือนกับดินไหม้  สภาพเหมือนกับดินไหม้  แต่มันเข็งจัด  ดูแล้วมันแข็ง  เหมือนกับดิน  ผสมเหล็ก  พอเดินไปได้หน่อยหนึ่ง พระท่านก็บอกว่า  คุณ  ถ้าคุณขืนอย่างนี้นะ อย่าลืมว่าโลกนี้มันโตกว่าโลกมนุษย์หลายพันเท่า  ถ้าคุณเดินอย่างนี้  กี่ชีวิตของคุณมันก็เดินไม่จบ  เราเดินแบบที่เราเดินมาแล้วก็แล้วกัน  ก็ถามท่านว่า

จะไปที่ไหน

                                ท่านบอก  เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน  ไปดูกันเสียก่อนเลย  เรื่องจริงๆ เราเลี้ยงไปที่อื่นก่อน  วันนี้ขอตัดเข้าไปหาเลย  ไปหาจุดนี้   ซึ่งเป็นจุดเดิม จุดจริง ๆ แล้วก็เป็นจุดที่พูดได้เต็มปากเต็มคอ  แล้วต่อไปก็ไม่เรื่องใหม่  ไม่ค่อยจริง  เป็นนิทาน  ตอนนี้เป็นตอนที่เล่าให้ฟังธรรมดา ๆ   ไม่ใช่นิทาน  เป็นอารมณ์เคลิ้มดี  ก็ดีไม่ดีก็บ้าไปเลย  แต่ไม่กลัวบ้าหรอก  เพราะมีหมอมนตรีรักษา  หมอโรงพยาลบาลบ้ามีรักษาอยู่  เขาอยู่ตั้ง ๒ โรงพยาบาล  เขาเก่ง  เมื่อปราบโรงพยาบาลปากคลองสานมาได้แล้ว ก็มาปราบที่ศรีธัญญา  ก็ยังจะปราบคนวัดท่าซุงอีกคนหนึ่ง  คือคนพูด  ไม่เป็นไรไม่ต้องกลัวบ้า  ก็เดินอีกก้าวเดียวก็ไปถึงปากโลก  มันมีสภาพเหมือนกระทะคว่ำ  หรือมีสภาพเหมือนผลส้ม หรือผลส้มโอถูกตัดกลาง  ตัดเอาส่วนหัวทิ้งไป  ส่วนของหางไว้ หรือส่วนของหางทิ้งไป  เหลือส่วนหัวก็ได้  มันคว่ำแบบนั้น  ข้างในโบ๋  แต่อย่านึกว่า ความกลวงผิวมันจะบางนะ  ผิวมันเป็นแผ่นดินหนาเป็นโยชน์  พระอธิบายให้ฟัง

                      ท่านบอกว่าเข้าไปดูไหม  ท่านบอกที่เขาเรียกว่า หลุมดำ  เพราะว่าสีมันดำ  ความไหม้ของดินนี่มันดำจริง ๆ  สภาพดำเป็นดินไหม้  และแข็งจัด  ก็มองไปดูรอบ  ๆ มองไปทางซ้าย  เวลานั้น หันหน้าไปทาวทิศตจะวันตก  มองไปดูทางซ้าย  พระท่านก็ชี้บอกว่า โน่นอีกโลกหนึ่ง เลยไป

อีกโลกหนึ่ง แต่ทั้ง ๒ โลกนี้ เขามีสภาพเต็มไม่ใช่ครึ่งโลก  หรือโบ๋กลางเหมือนโลกนี้แต่ว่า เราจะไปกันทีหลัง  วันนี้คุยกันเรื่องโลกนี้ก่อน

                                ท่านก็บอกว่า  โลกนี้ตรงกลางมันโบ๋  มันมีความร้อนพอสมควร  เข้าไปดูไหม  ก็เลยบอกกับท่านว่า ขอเข้าไปดู  ทั้งหมดก็เข้าไปพร้อมกัน  พอเข้าไปภายในโลกนั้นตกใจ  มันเวิ้งว้างเหมือนกับฟ้า  เฉพาะถ้าตาเนื้อธรรมดา  ไม่มีโอกาสจะเห็นขอบฟ้าเลย  อันนี้เยกว่า เป็นตาลม  ลมก็หยาบไป  เป็นตาอากาศ  อากาศก็หยาบไป เป็นตาละเอียด  สามารถจะมองอะไรถึงไหนก็ได้ จักรวาลนี้จักรวาลไหน  จากนรกถึงนิพพานก็สามารถจะมองได้  เพราะเวลาที่พูดนั้น  เป็นเวลาเป็นผี เพราะภาพ นั้น  เป็นภาพของผี  ไม่ใช่คน  ทิ้งคนไว้ข้างล่าง  ที่ขึ้นไปข้างบนแล้วก็มองลงมาก็ไม่พบอะไร  เข้าไปภายใน เข้าไปภายใน อากาศก็ดี ท่านบอกสภาพดีมาก  มีอาการดึงดูดของแผ่นดินเหมือนกับโลกธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรผิด จะเรียกว่าสุญญากาศไม่ได้ ยังมีอากาศอยู่

                                แล้วภายในนั้นมีอะไร  ทราบไหม  ในนั้น ปรากฏว่า  ดวงดาวต่างๆ  เท่าที่มองเห็นที่มองไม่เห็นก็ไม่ทราบ  มันมีอยู่เกิน  ๓๐๐  ดวง  ไอ้เจ้าดวงดาวนั้น  มันก็คล้าย ๆ กับผลมะนาวเล็ก ๆ  อยู่ในพ้อมใหญ่ ๆ นั่นเอง มันก็ลอยอยู่ในนั้น  ดวงดาวบางดวงก็มีแสงสว่างจ้า  ทำให้ในพ้อมของโลกดำ  หรือถุงดำนี่ เรียกว่า โลกดำ ดีกว่า ในท้องของโลกดำมันก็สว่าง  บางจุดก็สว่างจ้า  เหมือนกับแสงไฟฟ้าที่สว่าง  บางจุดที่ไกลออกไปก็เป็นแสงสว่างสลัว ๆ ก็รวมความว่า ทั้งท้องของดวงดาวดวงนี้  ภายในสว่างจริง ๆ ไม่ใช่มืด  แต่ที่ฝรั่งบอกว่ามืด  เพราะมันสุดสายตาของฝรั่ง  สุดสายตาของกล้อง  ระยะของกล้อง คือกล้องไม่สามารถจะมองเข้าไปข้างในได้  ถ้าเปรียบเทียบ  เหมือนกับถ้ำ  ถ้ำใหญ่ๆ  ของภูเขาลูกใดลูกหนึ่ง  ที่อยู่ข้างหน้าเรา  ถ้าเรายืนอยู่ไกลจากภูเขาลูกนั้นประมาณสัก ๑๐  กิโลเมตร  เราจะมองเห็นปากถ้ำ  รู้สึกว่ามันมืดภายใน  เราไม่เห็นแสงสว่าง  ถ้าเข้าไปใกล้ ถึงถ้ำนั้น  จะทราบว่าภายในถ้ำนั้นมีแสงสว่าง

                                ทีนี้พระท่านก็อธิบายให้ฟัง  บอกว่าเท่าที่ฝรั่งมีความเข้าใจ  มีความรู้สึก   หรือเชื่อมั่นว่า  ดวงดาวต่าง ๆ ที่เข้ามาในท้องของโลกนี้ในถุง ความจริงไม่ใช่ถุง มันท้องแบบโลก เข้ามาในท้องนี้ของโลกนี้  มันกลืนหายไปหมด  แล้วแสงต่าง ๆ ก็กลืนหายหมด  มองไม่เห็น  แต่ความจริงมันไม่ได้กลืน  เจ้าดวงดาวต่าง ๆ  ที่เข้ามา  มันมีโอกาสออก  ไม่ใช่เข้าแล้วอยู่เลย  เพราะว่าดวงดาวต่าง ๆ หรือโลกก็ตาม มันไม่มีกำลังขับเคลื่อนของมันเอง  มันลอยไปตรมกำลังของอากาศ  ที่ดันมันเข้าไปก็ถามว่าถ้าดวงดาวนี้ไม่ดูดเขา  เขาจะเข้ามาอย่างไร  ท่านก็บอกว่า ก็ดู  เหมือนแม่น้ำที่มีน้ำไหลเชี่ยว  แต่ว่ามีถ้ำจระเข้ลึกเข้ามาข้างในเป็นกิโล  และเป็นถ้ำใหญ่มากอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง

ด้านนั้นจะมีน้ำวน  เพราะน้ำที่ไหลมาจะไหลเข้าไปในถ้ำก่อน  แล้วก็วนออกมา ด้านหน้าถ้ำจะเป็น

น้ำวน  เมื่อเป็นน้ำวนแล้ว หญ้าต่าง ๆ ก็จะไม่ไหลไปไหน  จะวนอยู่ด้านหน้าถ้ำบ้าง  จะผลุบเข้าไป

ในถ้ำบ้าง  ส่วนที่ไหลเข้าไปในถ้ำแล้ว จะไหลออกมาในภายหลังมันก็ใช้เวลาหน่อย

                                เอาล่ะบรรดาท่านผู้ฟัง  และท่านผู้อ่าน  จะว่าไปอีกนิดก็ไม่ไหวแล้ว  เหลือเวลาไม่ถึงครึ่งนาที  ขอลาก่อน  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง  และผู้อ่านทุกท่าน  สวัสดี



จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ

ตอน ๒

                                ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย  วันนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องดาวถุงดำ  คำว่าดาวถุงดำ  หรือว่าโลกถุงดำ    ก็ตามใจชอบ  แต่ว่าวันก่อนก็ลืมอธิบายไปว่า  เมื่อมาถึงโลกนี้แล้ว พระท่านอธิบาย บอกว่า โลกนี้  เขาเรียกว่า ชินโลก  คือ โลกที่มีความชนะ  ชนะโลกต่าง  ๆ ทั้งนี้เพราะอะไร  เพราะโลกต่าง ๆ ที่เป็นโลกทีมีความเล็กกว่า  ก็ไหลเข้าท้องเจ้านี่เป็นแถว ๆ  แล้วเจ้าโลกทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่สามารถจะท้ายเจ้าโลกใหญ่นี้ได้  มันลอยวนไปเวียนมา  เป็นอาหารอยู่ พักหนึ่งใช้เวลาไม่นานนัก ๗ปี  ๘ ปี  มันก็ไหลออกมา  พระท่านอธิบาย บอกว่า ตามที่ฝรั่งเขามีความรู้สึกว่า  โลกนี้มันกินโลกกินดาว  และแสงสีที่ไหลเข้ามาก็หายไปหมด

                                ท่านบอกว่าความจริงมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น  มันไม่ได้กิน  มันวิ่งเข้ามาในท้องมันเอง  แล้วฝรั่งก็ไม่มีเวลาดูว่า โลกที่ไหลเข้าไปมันไหลออกมาเมื่อไหร่  ก็ใช้เวลาแรมปี  อย่างเร็วที่สุดมันก็ต้องใช้เวลา  ถึง ๓ปี  อย่างเร็ว และ อย่างช้าที่สุด  มันอาจจะใช้เวลา ถึง ๑๐๐ ปี  ถ้ามันติดอยู่วงใน  ก็รวมความว่า โลกนี้ไม่ใช่ดุร้าย  หรือว่าเจ้าถุงนี้ไม่ใช่ดุร้าย ตามความเข้าใจของฝรั่งนักวิทยาศาสตร์  เป็นโลกที่ใจดีมาก  ความจริงต้องคิดว่าใจดี  เพราะว่า ถ้าโลกไหนวนไปเวียนมาในอากาศชักเมื่อยเข้า  ก็มาพักที่ท้องเจ้านี่   แสงดาว ต่าง  ๆ แสงสีต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน

ทีนี้ก็มาคุยกัน  ถึงวัตถุที่มีอยู่ในท้องของโลกนี้  เอาอย่างนี้ดีกว่า  ผิวของโลกนี้  ที่เป็นท้อง  ตั้งแต่ปากเข้าไปถึงท้อง  มันมีความแข็งและหนาเป็นสิบ ๆ เกือบจะถึงร้อยโยชน์ แข็งจัด

และก็หนาจัด  แกร่งจัด  เพราะถูกเผาผลาญจากแสงอาทิตย์  ถ้าพิสูจน์กันจริง ๆ มองไม่เห็นดวงพระอาทิตย์ภายนอกข้างบนไม่มี  มีแต่แสงสว่าง  แต่ว่าแสงอาทิตย์ขึ้นไปจากข้างล่าง  กระทบถึงท้องเจ้านี่ก่อนแล้ว  จึงได้ไหลเข้าไปคลุมหลังโลกนี้  ฟังแล้วคิดตามไป  แต่ความจริงอย่าลืมว่า  หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือนิทาน  ที่ว่าจริง ๆ นั่น ก็ขอยืนยันว่าเป็นนิทานจริง ๆ  เรื่องทั้งหมดจริงตามเรื่องของนิทาน   

ถ้าหากว่าท่านผู้ใด  มีความคล่องตัวในหลักสูตรที่ ๒ และที่ ๓  ของหมวดกรรมฐานจะลองใช้พิสูจน์ดูก็ได้  อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน  ถ้าหากว่าต้องการความจริง  หรือไม่จริง แต่ที่พูดให้ฟังนี่ ไม่ได้พูดให้ใครเชื่อ  ต้องการมาคุยกันแบบประเภทที่เรียกว่า  เอาเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง  แทนที่จะคุยธัมมธัมโมเฉย ๆ  ถ้าคุยธัมมธัมโมเฉย ๆ  อย่างนี้มันง่วง ถ้าไม่ง่วงก็รำคาญ  ถ้าคุยเรื่องราวต่าง ๆ อย่างนี้  มันเพลินดี  เพลินบ้าง  รำคาญบ้าง  ตามใจชอบ

       ก็รวมความว่า มาคุยกันต่อไป  ทีนี้พระท่านก็ชวนชม  บอกเราไปชมดวงดาวต่าง ๆ ข้างในดีไหม  ความจริงเวลานี้อยู่ช่วงช่องปาก  มองดูรอบ             ๆ เจ้าดวงดาวต่าง ๆ คือโลกต่าง ๆ ขอให้ศัพท์ว่าโลก  หรือดวงดาวตามเขาก็ได้  ตามใจชอบ  เจ้าโลกต่างๆ หรือดวงดาวต่างๆ ที่มันลอยอยู่ข้างใน มันลอยอยู่ห่างกัน  ไม่มีการกระทบกัน  ทีนี้นอกจากดวงดาวหรือโลก  มันก็มีสิ่งหนึ่งเล็ก ๆ มองดูแล้วมันเป็นเครื่องบิน  มันเป็นเครื่องบินของคนกลุ่มหนึ่ง  บินไปมากคนบ้าง  น้อยคนบ้าง  ส่วนใหญ่ไปมาก  และตัวเครื่องบินจริงๆ ด้านข้างเป็นกระจกทั้งหมด  เห็นคนชัด  เจ้าเครื่องบินประเภทนี้มักจะมีกล้องส่องสังเกตแล้วเป็นกล้องถ่ายรูป  อาจจะเป็นกล้องโทรทัศน์ก็ได้  อะไรก็ตามใจ  ไม่ได้ถามเขา  เขาอยู่ในประทุน  ไม่มีโอกาสได้พูดกัน  เขาก็ส่องดูด้วยความพอใจ  วิ่งไปใกล้ดวงดาวดวงโน้นบ้าง  ใกล้ดวงดาวดวงนี้บ้าง  แต่ รู้สึกว่า  ไปไม่ไกลนักก็กลับ  ถ้าจะถามว่าการใช้น้ำมันเชื่อเพลิง  ประเดี๋ยวก็คุยกันได้  ที่โน่นนะ  ไปบนผิวโลกเสียก่อน  ค่อยคุยกัน  ตอนนี้มาคุยกันถึงการเข้าชมดวงดาว

ดาวบางดวงก็มีสภาพขรุขระ  มีสภาพแกร่ง  มีผิวขรุขระคล้ายหิน  แล้วก็มีรังสี  มันมีออกามาร้อน  ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ  เป็นของที่ไม่น่าดู  แต่บางดวงก็ต้องคิด  บางดวงมีแสงสว่างในตัวจ้าดาวที่มีแสงสว่างนี่สิ  มันช่วยบันดาลให้ช่องท้องของเข้าโลกดำนี่ หรือเจ้าถุงดำ  มันเกิดแสงสว่างขึ้น  แสงสว่างจากดวงดาวก็มีอยู่หลายจุด   ที่โน่นบ้าง     ที่นี่บ้าง      มันมีแสงสว่างในตัวของมันเอง  เป็นเหตุให้เจ้าท้องของโลกดำนี่สว่าง  บางทีก็สว่างมาก  บางทีก็สลัว ๆ ตามแสงที่ส่งมา  ทีนี้ขณะที่แสงของดวงดาวมันส่อง  สาดเข้าไปติดผิวของโลกดำ  โลกถุงสีดำ หรือดาวถุงดำ     ดาวถุงดำนี้ ในท้องของมันบางจุด  ก็เป็นแสงแพรวพราว  ทำให้เป็นแสงสะท้อนกลับมา  เกิดแสงสว่าง  แต่ก็แปลกกว่า  ดาวที่อยู่ไกล ๆ  เห็นแสงสว่างจ้าเหมือนกับดวงโคมไฟฟ้า แต่เข้าไปใกล้ดวงดาวนั้นจริง ๆ มันก็เป็นหิน  เป็นดินธรรมดา  ก็ไม่เห็นมีแสงสว่าง  แต่ถอยออกมาไกลพอสมควร  เห็นแสงสว่างของมัน  อันนี้แปลก  มันไม่ใช่ดวงอาทิตย์  แสงสว่าง  จริง ๆ น่ากลัว จะอยู่ข้างนอกดวงดาว  อาศัยการเสียดสีจากอากาศให้เป็นแสงสว่าง  หรืออย่างไรก็ไม่ทราบอันนี้ไม่เถียงวิทยาศาสตร์  ให้นักวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์เอง





ทีนี้ดวงดาวบางดวงก็มีทรัพย์สินมาก  เมื่อลอยเข้าไปแล้ว      พระท่านก็บอก  ลงดวงดาวดวงนี้  เราเดินเที่ยวกัน  ก็เป็นอันว่า ดาวทุกดวงที่เข้าไปนั้น ไม่มีสิ่งที่มีชีวิต  พระท่านก็บอกว่า ถ้าจะมีสิ่งมีชีวิตติดเข้ามา  สิ่งที่มีชีวิตมันก็ไม่ตาย  ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า อากาศมันพอจะสู้กันได้  ความเป็นอยู่พอสู้กันได้ แต่เท่าที่ลงไปเป็นดวงดาวแกร่ง  เดินไปสัมผัสกับหินบ้าง สัมผัสกับ

ดินบ้าง  สัมผัสกับทรายบ้าง  เมื่อถึงจุดหนึ่ง  ท่านบอกว่า  เอามือล้วงลงไปซิ  พอล้วงลงไปใต้ทราย

งัดขึ้นมามันเป็นแก้วติดมือมาท่านก็บอกว่าที่ใส  ๆ  นั่นคือ เพชร  แล้วก็บางจุดก็ต้องทุบ  บางจุดไม่ต้องทุบ  บางจุดถ้าทุบแล้ว มันเห็นเป็นเพชร  แต่ก็เป็นเพชรประเภทที่เขาต้องสกัด หรือเจียระไน  แต่บางจุดมันก็เป็นเพชรใส ๆ เป็นเม็ดใหญ่ ๆ แพรวพราวเป็นระยับ



                                ก็ถามท่านว่า  อันนี้เป็นสมบัติส่วนตัวของคน  เขวฝังไว้หรือไร  ท่านบอกว่าไม่ใช่  หินที่คุณเห็นเมื่อกี้นี้น่ะ  ความจริงมันไม่ใช่เพชรทั้งก้อน  มันเป็นหินประกอบไปด้วยรังสี ใช้งานได้ ใช้งานทั้งในด้านสันติ  และการรบ ราฆ่าฟัน  แต่ว่าร่างกายของเรานี้  ที่เรามากันนี่  มันเป็นร่างกายประเภทที่รังสีทำอันตรายไม่ได้   และขณะที่มันมีเปลือกหุ้มอยู่   ท่านก็ชี้ให้ดูว่า ก่อนนี้นะ มันทีสี

เคลือบอยู่ข้างนอก  สีมัวมาก  ไอ้ตัวเคลือบนี่ มันหุ้มรังสีอยู่  ถ้าจะใช้งานให้เป็นประโยชน์  เป็นพลังงานต้องทำลายตัวเคลือบนี้ให้หมดไป แล้วก็จัดสิ่งหนึ่งเข้ามาเคลือบแทน  รังสีจะไม่กระจายออก  จะออกไปตามที่เราจะใช้  ก็ถามท่านบอกว่า  ในเมื่อมันมีรังสีแบบนั้น  แล้วที่ท่านบอกว่า เพราะอาศัยหินประเภทนั้น  แล้วที่นำมาเจียระไนเป็นเพชร  มันใน  ๆชอบกล  ทำไมถึงจะเกี่ยวของกับเพชรชุดนี้  ท่านก็บอก อันนี้มันไม่ยาก  ในเมืองไทยที่เธออยู่  มันก็มีอยู่แล้ว  อย่างที่ภูเก็ต  หินประเภทนี้ใช้อาศัยแรงงานได้ดี  แต่ในเมื่อสภาพมันตายแล้ว  มันจะกลายเป็นเพชร  หลังจากที่เธอเขียน  หนังสือพระเมตตา  เสร็จ ไม่เกิน 2 เดือน  ที่ตรงนั้นเขามีคนได้เพชร  คนหน้าตะแกรงของแร่ดีบุก  เขาเรียกกันว่า เพชรซีก  แต่มีน้ำสวยมาก พวกเขานำมาขายที่ร้านค้า  ที่นั่นมีได้ฉันใด  เพชรพวกนี้ก็เช่นเดียวกัน

ถ้าแร่ประเภทนี้มันกลายสภาพหมดฤทธิ์  ตาย  มันก็จะกลายเป็นเพชร  ตามที่เธอหยิบขึ้นมาเมื่อกี้นี้  พอฟังท่านอธิบายแล้ว  ก็ดูเพชรพวกนั้น  มันสวยจริง ๆ ถ้าเราเอามาแล้ว ก็มีอย่างเดียว  คือ  ทำให้เป็นเป็นหัวขึ้นมา  จะทำหัวประเภทไหน ๆ ได้หมด  แพรวพราวเป็นระยับ

ยกขี้นมาส่องนี่ มันติดอกติดใจ   แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย  มาพบไม้งามเมื่อขวานบิ่น  เพราะอะไร  เพราะเวลานี้ตัวอยาก   มันก็อยาก  แต่ไม่ใช่อยากได้เพชร  มันอยากจะมีความสุข  ชนิดที่เรียกว่าไม่ต้องมีอะไรเข้ามาช่วย  ไม่ต้องมีข้าวมาช่วย  ไม่ต้องมีกับข้าวมาช่วย  ไม่ต้องมีขนมมาช่วย  ไม่ต้องมีเพชรนิลจินดาทองหยองมาช่วย  ถ้ามันจะอยู่เฉย ๆ อย่างมีความสุข  อันนี้ชอบอยากตัวนี้มันอยากกันคนละตัว  เป็นที่น่าเสียดาย  เมื่อสมัยที่ยังหนุ่ม ๆ มีแรง  ถ้าพบอย่างนี้แล้ว ได้เพชรก็เพชรเถิด  ทองก็ทองเถิด ขนกันแน่

                             แล้วต่อมา  ท่านก็พาเดินต่อไป แล้วชี้ให้ดูว่า จุดทั้งหลายนี้  มีทรัพย์สิน  มีแร่ที่มีคุณค่ามาก  ก็กราบเรียนถามท่านว่า อย่างนี้โลกมนุษย์มีไหม  ท่านบอกว่า มีหลายจุด มีเหมือนกันแต่ว่าที่นี่เขามีอายุยืนยาวกว่า  เขาแกร่งกว่า  ใช้ได้ประโยชน์ดีกว่า  ก็ถามท่านบอกว่า แร่อีกประเภทหนึ่ง  คือ  แร่ทองคำ  มีไหม  ท่านบอกว่า มี  แต่ว่าโลกที่เรายืนอยู่นี้มีเป็นจุด  มีเป็นจุด ๆ  มีเป็นหย่อม ๆ   ไปดูโบกที่เป็นทองคำล้วนดีไหม  แหม..น้ำลายหก  ไม่ใช่ไหลหกจ๊อก  ป๊อกลงไปเลย  พอท่านบอกแบบนั้น  ยอมรับ  ทุกท่านยอมรับ  ก็ออกจากโลกนั้นไปโลกเล็กๆ ที่อยู่ในท้องโลกดำ

                                ออกจากโลกนั้นไป  ไปด้านหน้านิดหนึ่ง ไม่ไกลนัก  ข้ามโลกต่าง ๆ ที่ขวางหน้าไปประมาณสัก 3 โลก  โลกนี้มีสภาพปุ่มลงไป มันมีแสงขึ้น  แสงเรืองเหลืองอร่ามเป็นประกาย  เพราะกระทบกับแสงสว่างของดวงดาวที่ไม่ไกลนัก  ข้าไปไกล้  ๆ พอลงไปแล้ว  ทองที่มองเห็นมันเป็นเม็ดทราย มันไม่ได้เป็นแท่ง  หยิบขึ้นมาได้ทันที  เหมือนกับกองทรายที่เรามีอยู่ ก็ถามท่านว่า โลกนี้มันเป็นทรายทั้งโลกเลยใช่ไหม  ท่านบอกว่า ไม่ใช่  มันเป็นเฉพาะผิว  จากผิวนี่ลึกลงไป ประมาณ 3 กิโลเมตร  เป็นทรายทองทั้งหมด  ถามท่านว่าบริเวณ  ท่านบอกว่า บริเวณรัศมีของมันที่อยู่ของมันจริง ๆ   เฉพาะจุดนี้ ประมาณ 10 กิโลเมตร  ระยะยาว ระยะกว้าง  กว้างประมาณ 1 กิโลครึ่ง  แล้วถามท่านว่า  ที่อื่น  ท่านก็บอกว่า ที่อื่นก็มีเป็นจุด ๆ อย่างนี้แหละ  ก็เดินกันเรื่อย ๆ ไป ดูไปรอบ ๆ

                                เป็นอันว่า โลกนี้มีทองคำมาก  เป็นโลกกิเลส  เวลานี้ตำหนิว่าทองคำเป็นกิเลสหรือเวลาที่อยู่ที่ดวงดาวนี้ก็ตำหนิว่า ทองคำเป็นกิเลสเพราะอะไร  เพราะว่า แบกหาม หยิบเอามาไม่ได้จะใช้คำศัพท์แบบชักผ้าบังสุกุล  อิมํ วตถํ  อสุสามิกํ  อุปเปมิ   แปลว่า  ผ้านี้ไม่มีเจ้าของ เราจะถือเอาหรือว่า อิมํ  สุวณณํ  อสุสามิกํ  อุปุเปมิ  เขาแปลว่า  ทองคำนี้ไม่มีเจ้าของ  เราจะถือเอา จะถือว่าของนี้ไม่มีเจ้าของหรือทองไม่มีเจ้าของ  แล้วถือเอา มันก็ไม่แน่  เขาอาจจะมีเจ้าของก็ได้  ถ้าไม่มีเจ้าของจริง ๆ  เราก็เอามาไม่ได้  มือที่จะหยิบของที่เป็นวัตถุ  มันก็ไม่ได้เอาไปเป็นที่น่าเสียดาย  ที่ปล่อยให้หมอท่านรักษาแต่แค่ฟัน  เราดันลืมมือไปเสียนี่  ทีหลังถ้าจะไปใหม่ต้องเอามือไปด้วย  บอก หมอมีหน้าที่รักษาฟันก็รักษาไปเถิด  ฉันจะเอามือไปด้วย  ช่วยหยิบทองคำ  และเพชรมาให้หมอ หมอจะเอาหรือไม่ก็ไม่ทราบ  ถ้าหมอไม่เอาก็ไม่เป็นไร

  ก็เอามาแจกเด็ก ๆ เด็ก ๆ ที่เลี้ยงไว้เวลานี้เกือบ 300 คน  เลี้ยงด้วย ให้เสื้อผ้าผ่อนท่อนสไบเสร็จ  เหมือนกับพ่อแม่เลี้ยงให้อาหารการบริโภค ให้วิชาความรู้ถึง ม.6  แล้วภาระต่าง ๆ ก็มีเยอะ  วัด ก็มีพระ  ก็มีคน  การก่อสร้างก็มี  ฉะนั้นถ้าบังเอิญเอามือไปได้ทองคำมา  ได้เพชรมา  ก็ขายสร้างวัด  แต่ว่าเป็นที่น่าเสียดายว่า  ร่างการมันก็มาก อายุมากสำหรับคนโลกชมพู มันคงจะแบกมาได้ไม่มาก ฉะนั้นใครที่เป็นหนุ่มเป็นสาว  มีกำลังมาก ๆ เพราะร่างกายดี  ช่วยไปโลกนี้ทีเถิด  ไปขนทองมา  แล้วขอแบ่งส่วนแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ก็พอ  ตามน้ำหนัก  เอ้า....กิเลสท่วมหัวคนเดียวไม่พอยุชาวบ้านเขามีกิเลสอีก  นี่คำว่า  คน มีนแปลว่ายุ่ง  ไม่ดีแบบนี้

                                หลังจากนั้นไป  ท่านก็พาไปชมสถานที่ต่าง ๆ ไปถึงก้นของโลก  มันไกลจริง ๆ ถ้าใช้กำลังตาหลบมานิดว่า เวลานี้ใช้กำลังตาเท่าเนื้อ  ไม่มีความหมายเลย  มันมืดตื้อ  หมายความว่า มองไปแล้วสุดสายตา  มันยังไม่หมดสถานที่  สถานที่มันกว้างจริง ๆ การเข้าไปอยู่ที่นั่น ก็มีสภายเหมือนเข้าไปอยู่ท้องฟ้า  มองดูจากปากไปหาก้นมัน ด้านบนก็เหมือนฟ้าเราดีดี  ไกลมาก  มองไปข้างหน้าเจอะเป็นฝ้า  มองตัดหน้าไปถึงฝ้า  ก็มีฝ้าต่อขึ้นไป  แล้วขึ้นไปที่เห็นเป็นท้องฟ้า  พอเห็นแล้วสูง  แต่ขึ้นไปแล้วมันก็ไม่สูง เลยเมฆไปก็มีฟ้า  สูงไปเท่าไรอีก  เลยฟ้าขึ้นไปอีก  มันก็มีฟ้า  ซ้อนฟ้า  หรือฟ้าเหนือฟ้า  อันนี้มีสภาพฉันใด  แม้ในโลกนี้ มันก็เช่นเดียวกัน

                                เมื่อวนไปเวียนมา ๆ  อยู่พักหนึ่ง  ก็ถามพระท่านบอกว่า  ยานพาหนะที่มีลักษณะกลม ๆ แล้วบินร่อนไป  ร่อนมานี่เขาเรียก  จานบิน  ใช่ไหม พระท่านก็บกว่า จานข้าวเอามาบินไม่ได้  มันต้องร่อน  แต่นี่ลักษณะมันคล้ายกับยาน  เป็นยานพาหนะของคน  มองไปทางด้านซ้ายมือ  เห็นเหมือนกับเรือยนต์วิ่งมา  ลักษณะมันก็เหมือนๆ  คล้าย ๆ กับเรือบินของเรา  แต่รูปร่างหน้าตามันโตกว่า  มันใหญ่กว่าเยอะ  เทอะทะ  แล้วก็มีปีก  ท่านบอกว่า นี่เครื่องบินของเขา  บรรทุกคนมามาก  ก็ถามพระท่านบอกว่า  คนพวกนี้มาจากโลกไหน  ท่านบอกว่า ที่เป็นเรือยนต์   เป็นเครื่องบินเป็นคนของโลกนี้เอง  บนผิวโลกโน้นเขามากันแล้วเครื่องยนต์ของเขา  เขาไม่ได้ใช้น้ำมัน  เขาใช้แร่  ใช้รังสีของแร่ขับเคลื่อน  เหมือนกับนิวเคลียร์กระมัง  แบบนั้น  ถ้าใช้เป็นน้ำมันก็บรรทุกไม่ไหว ต้องใช้น้ำมันกันมาก  ก็ชมกันไปชมกันมาอยู่พักหนึ่ง  เห็นว่า ทั่ว  ไปรอบทั่วแน่ๆ   ดูไปดูมาก็นึกสงสารดาวพวกนั้นว่า ดาวพวกนี้มีนจะกินข้าวที่ไหน  แต่นึกในใจว่า ดาวมันเป็นวัตถุ  มันลอยเข้ามาไม่ใช่กลืน  ไม่ใช่ดูด  เขาลือกันว่า มันกำลังดูดที่ดูดแม้แต่ดวงดาวเข้าไปน่ะ ไม่ใช่มันเหมือนกับผักที่ลอยผ่านหน้าถ้ำจระเข้ฉันใด  ดาวพวกนี้ก็เหมือนกัน  อากาศที่มันเคลื่อนที่เข้ามา  มันก็ดันดาวพวกนี้เข้ามาใกล้  เมื่ออากาศไหลไปทางไหน  ดาวก็ไหลไปตามไป  มันไม่มีเครื่องขับเคลื่อนไม่สามารถจะฝืนได้  แต่บางดวงก็ใหญ่  บางดวงก็ไม่ใหญ่นัก  แต่ดวงดาวแต่ละดวงที่เราเรียกว่า โลกก็ไม่เล็กว่าโลกมนุษย์ที่เราอยู่กัน  เปรียบเทียบกันแล้ว  แต่ละดวงนั้นไม่เล็กกว่า  มีแต่โตกว่าบ้าง มีเสมอกันบ้าง  เสมอกันนั้นก็น้อย  แต่โตกว่านั้นมีมาก

                                เมื่อชมกันพอสมควร  พระท่านก็ชวนบอกว่า ขึ้นไปผิวโลกดีไหม  ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ดี ตอนนี้อออกมาทางปาก  มันก็ไม่ยาว  ก้าวเพียงก้าวเดียวก็มาถึง  อย่าลืมนะว่าเรื่องนี้เป็นนิทาน  คนฟังทุกคนอย่าลืม  สติสัมปชัญญะอย่าลืมว่า เรื่องนี้เป็นนิทาน  นิทาน นี่คุยแบบไหนก็ได้  แบบยาขอบเขียนเรื่องผู้ชนะสิบทิศ  เขาบอกว่า เรื่องราว จริง ๆ ท้องเรื่องจริง ๆ ประมาณ 2-3  บรรทัด  หรือกี่บรรทัดก็ไม่ทราบ  ไม่กี่บรรทัดหรอกน้อย  แต่ยาขอบแต่งไม่รู้กี่พันหน้า  ก็เป็นเรื่องนิทานเหมือนกัน   เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เรื่องจริง  ๆมีแค่ดวงดาวดวงดำ ๆ เรื่องนิดเดียว  มีดวงดาวถุงดำนี่แหละ  ก็ลือกันไปลือกันมาว่า  ฝรั่งส่องกล้องเห็นดาวดูดอะไรต่าง ๆ  ดูดแสงเข้าไปแล้วก็ไม่สามารถจะไหนออกมาได้  มันหายเข้าไปหมด  ดูสภาพแล้วมันดุดัน น่ากลัวเหลือเกิน

                                แต่ความจริง โลกนี้ก็มีสภาพเหมือนกับพระพุทธรูป    พระพุทธรูปท่านั่งเฉย ๆ และก็ยิ้มตลอดเวลา   แต่บางคนไปบนบานศาลกล่าว เมื่อบุญบารมีของตัวเองมี  กำลังความดีของพระช่วยได้  ก็ช่วย  ถ้าบุญบารมีของตัวไม่ดี  มีแต่ความชั่ว  พระก็ช่วยไม่ได้  คนชั่ว  ทีนี้บนให้ถูกหวย  หวยไม่ถูก  บางคนถูกหวยไปแก้บนพระ  พระพุทธนะ  ถ้าพระสงฆ์นี่ไม่แน่  พระบอกหวยไม่ได้รวยทุกองค์หรอก  จน  พวกถูกหวยนี่ไม่เคยแบ่งให้  ถ้าไม่ถูก  ด่า  ไม่ถูกเมื่อไร  ด่าเมื่อนั้น  ถ้าถูกเมื่อไร  เงียบ มีขันติ อดทนมาก มีอุเบกขาวางเฉย  ไม่แบ่งไม่ปันให้  พระที่ให้หวยทุกองค์นะ ซวย  ก็แบบเดียวกับที่เจ้าโลกดำนี้  เมื่อเข้าไปแล้ว   ให้เขามีความสุข  พัก ให้มีการไหลอยู่เฉพาะในขอบเขต  ไม่ต้องไหลไปกว้างนัก  แต่ว่าดวงดาวต่าง ๆ มันจะขอบใจบ้างหรือเปล่า   ก็ไม่ทราบ  แต่ความจริง  มันเฉย  แต่ดวงดาวก็คงไม่บ่น  ที่เข้าไปแล้วออกมา  หรือเข้าไปยังไม่ออกมันก็ไม่บ่นแต่คนที่ไม่เกี่ยวข้อง  มันบ่น  มันหาว่า  ดวงดาวนี้ดุร้าย  ดูดไม่ว่าอะไร  ดูดแล้วเข้าเก็บหมด  แต่ความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างไหลออกมาตามสภาพเดิม  ดวงที่ออกไวที่สุด  เข้าไปได้แค่ปาก ไม่ลึกนัก กระทบนั่น กระทบนี้  เข้ากลาไม่ได้  เข้าลึกไม่ได้  อย่างเร็ว 3 ปี ออก  แต่ดวงที่เข้าไปลึกจริง ๆ 100 ปี ยังไม่ออก  รอมันออก นั่งจ้องอย่างนั้น อย่างเลิก  จะเห็นว่า ดาวมันไหลออกมาได้

                                ก็รวมความว่า คุยมากเกินไป  เขาขยับขยายมาทางปากทางออกบากช่องล่องมาข้างนอก  ลอยมานิดหนึ่ง  แป๊บเดียวถึง  ไปทางด้านใต้ของโลกนี้  ขึ้นไป ๆ เห็นสีดำ ๆ ๆ เข้ม ๆ แล้วก็แข็ง  เครียด ยังไม่มีต้นหญ้า  ต่อไปไม่ช้าไม่นานนัก  ประเดี๋ยวก็เจอะต้นหญ้าหรอมแหรม ๆ แสดงว่า ความชุ่มชื่นเริ่มจะมี  ต่อไปก็เจอะป่า  ป่าเขียวชอุ่มไม่เหมือนป่าประเทศไทย  ประเทศไทยป่าไม้แห้ง  แต่ป่าทรายชอุ่ม    เขียว หรือไม่เขียวก็ไม่ทราบ        ถ้าป่าไม่เขียว  คนที่อยู่กลางป่าก็หน้าเขียว  เพราะมันอด  ป่าเขียวชอุ่ม  มีความชุ่มชื่น  ต้องลอยข้ามป่าระยะไกลมาก

                                ต่อมาก็มองเห็นมหาสมุทร  เป็นน้ำเขียวอ่อน ๆ มองแล้วชื่นตาชื่นใจ  ไม่เขียวเข้มเหมือนทะเลของเรา  เป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลมาก  ขึ้นไปทางทิศใต้นะ  แล้วมองไปรอบๆ  ไกลออกไปจากฝั่งมหาสมุทรพอสมควร  มีเมืองอยู่หลายเมืองตั้งเป็นระยะ ๆ  มันก็ไกลกันนะ  ระยะแต่ละเมืองไกลกันไม่น้อยกว่าร้อยโยชน์  แล้วก็มีเส้นทางถี่ยิบ  มีถนนถี่ยิบ  มียานพาหนะพอสมควร  แต่เรื่องรถนี่แพ้ประเทศไทย  รถยนต์เขามีน้อย  นาน ๆ ถึงจะผ่านมาสักคัน  ทุก ๆ สาย มองไปกลางเมืองเช่นเดียวกัน มองไปแล้วก็  เอ๊ะ...รถมันไม่มาก  นาน ๆ จะมีสักคัน  อย่างเร็วที่สุดก็ประมาณ สัก 10 นาที  ผ่านมาคันหนึ่ง  20 นาทีผ่านมาคันหนึ่ง คนเดินกันเกลื่อนกลาดหมายความว่า คนเดินแต่ไม่เบียดเสียดเหมือนกรุงเทพ ฯ  แม้จะเป็นเมืองหลวง  ก็ลอยไปลอยมาต่ำ ๆ มันเห็นได้ชัด พระท่านบอกว่า  อย่าเพิ่งเดิน  ลอยไปลอยมาก่อน ดูมันเสียก่อน  ดูด้ายผิวก็ลอยไปอยู่ไกลๆ มันเห็นชัดดี  เหมือนกับนั่งเครื่องบินลอยไปลอยมา  ลอยมาลอยไป  เห็นบ้านเมืองเขามีความสวยงดงาม  เขียวชอุ่มเหมือนกับต้นไม้  แต่มีตึกรามสวยงามมาก   มีทางก็กว้างขวาง  บ้านเมืองก็มีแต่ความสะอาด  ชื่นใจ  ทีนี้กิเลสมันยังมีในใจ  ความอยากปรากฏ

                                ก็กราบเรียนพระทานบอกว่า ถ้าอย่างนั้น  ขอลงไกล้  ๆ ที่ผั่งมหาสมุทรได้ไหม  ท่านบอกว่า ได้  ท่านถามว่า เธอจะลงตรงไหน  ก็กราบเรียนท่านบอกว่า  ถ้าหากว่าท่านเห็นสมควรตรงไป ก็ลงตรงนั้น  ท่านบอกว่าไปตอนโน้นสิ  หันหลังนิดหนึ่ง ไปจากนี้ประมาณ 10 โยชน์  จะเข้าเขตเมืองท่า 3 เมืองติดต่อกัน  เป็นเมืองท่าของเมืองใหญ่ที่ขนของลงเรือทะเล  เป็นอันว่า เมื่อท่านสั่งดังนั้นก็เห็นชอบด้วย เคลื่อนไปตามท่าน

                                เอาล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  ผู้รับฟังและผู้อ่าน พอขยับกายจะไปเมืองท่า  ก็พอดีหมดเวลา ขอลาก่อน  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคงสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่าน   ทุกท่าน   สวัสดี




นิมิตหลอก/ญาณหยั่งรู้

จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ

ตอนที่ 3

  ตอนที่ 1-2
   ตอนที่ 5-6


                                ท่านผู้ฟัง  และท่านผู้อ่านทั้งหลาย  สำหรับตอนนี้ก็ทุกท่านฟังหรืออ่าน เรื่อง นิทาน 100 เปอร์เซ็นต์  ที่บอกว่า เป็นนิทาน 100 เปอร์เซ็นต์  ก็เพราะว่า  เรื่องราวต่างๆ ที่นำมาพูดกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  นักบุญนักกุศลพูด  มักจะนำเอาเรื่องพระสูตร  ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนมา  มาพูดกัน  เป็นการแนะนำในเรื่องการบุญการกุศล  แต่ทว่าเรื่อราวต่างๆ ของดาวทั้งหมดที่กล่าวมาจากเล่มที่ 11 ก็ตาม  เล่มที่ 12 นี้ก็ตามเป็นเรื่องนิทานจริง ๆ ฉะนั้นความเป็นมาของนิทานก็ถือว่า เรื่องต่างๆ จะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ เพราะว่า เรื่องจริงไม่มารถสอบสวนได้ก็เป็นนิทาน แต่เรื่องนิทานที่เป็นความจริงที่ไม่สามารถสอบสวนได้  ก็ต้องเป็นนิทานเหมือนกัน  รวมความว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องของนิทาน  ทีนี้ก็มาคุยกันว่า 

                                หลังจากที่ขึ้นมาจากท้องของดวงดาวนี้แล้ว  ดวงดาวนี้ดุร่านมาก  อะไรก็ตามถ้าเข้าไปมันจะดูดหมด  และดูดหายเข้าไปหมด  โลกต่าง ๆ ดาวต่าง ๆ ก็ถูกหายเข้าไปในท้อบง  แม้แต่แสงสีต่างๆ ก็สามารถดูดหายเข้าไปในท้องได้หมด  มองไม่เห็นแสง  ความจริงจะว่าดูดก็ถูก  หรือจะว่าสิ่งทั้งหลายไหลเข้าไปจากอากาศที่ดัน ก็ถูกอีกเหมือนกัน  ถ้าพูดว่าดูด  เป็นศัพท์ที่นิยมของชาวโลกพูดกัน เช่น น้ำดูดเข้าไปในโพรง  น้ำดูดเข้าไปในถ้ำ  น้ำดูดเข้าไปในวน   ความจริงจะว่าน้ำดูดก็ไม่ถูกนัก น้ำข้างหลังดันมา  ข้างหน้าไหลเข้าไปในโพรง  จะเรียกว่าน้ำดันก็ไม่ผิดเหมือนกัน  เรื่องนี้ก็เหมือนกัน  จะขอกล่าวว่า เป็นเองของอากาศดันเข่าไปและก็หายเข้าไป ความจริงการหายนี่  หายเข้าไปนาน ถ้าจะใช้เวลาดูกัน  จะให้เวลาแรมปี  ถ้าหากว่า  เราจะสังเกตว่า ดวงดาวนี้ถูกดาวถุงดำดูดเข้าไป และตั้งหน้าตั้งตาสังเกตไว้ว่ามีตำหนิอะไร  สีสันวรรณะเป็นอย่างไร  ลักษณะเป็นอย่างไร  สังเกตไว้  และก็ต้องถ่างตาดูกันเป็นปี ๆ ไม่ใช่ดูกันเป็นชั่วโง  หรือไม่ใช่ดูกันเป็นวัน  ใช้เวลาอย่างน้อย ๆ ที่สุดก็ต้อง 3 ปี หรือ7  ปี หรือ30 ปี  หรือ 100  ปี บางที 100 ปียังไม่ออกมาก็มี  ถ้าหากว่าจะมีใครตะโกนถามมาว่า รู้ได้อย่างไร  ก็ขอตอบแบบไม่ต้องตะโกน  กระซิบตอบว่ารู้ได้เพราะเป็นนิทาน    เรื่องนิทาน พูดกันอย่างไรก็พูดได้

                                เมื่อออกมาจากท้องดาวเสร็จ  ก็เหินตามอากาศ    ไกล้ ๆ กับ พื้นแผ่นดิน  วันนี้คุยกันให้เต็มที่  ใช้คำว่าเหิน คือไม่ใช่ เหาะ เหาะสูง  เหินต่ำ  นี่เป็นศัพท์ของคนสร้างนิทานเหมือนกันไม่ใช่ศัพท์ที่นิยมกันทั่ว ๆ ไป  ครั้นเมื่อมาถึงสถานที่ที่มีบ้านเมืองอยู่  ด้านทิศใต้ของดวงดาว คือ

ด้านทิศใต้ของมหาสมุทร  เห็นมหาสมุทรเข้าก็ลงต่ำ แล้วก็เหินเรื่อย ๆ ไป  ชมเมืองต่างๆ ที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน  ลึกมาก  เป็นเมืองที่มีความสวยสดงดงามมาก   มีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม   บางทีก็พร้อมกว่าโลกของเรา  บางอย่างโลกของเราไม่มี  แต่เขามีพร้อม มีอะไรบ้างก็ช่าง และต่อมา  ในเมื่อจิตใจมีความพอใจในมหาสมุทร  มหาสมุทรที่เห็นนี่สีเขียว มีความสวยสดงดงามมาก  จึงย่องเข้าไปไกล้ ๆ ไหลเข้าไปชิด

                                เมื่อเข้ามาถึงแถวไกล้ฝั่งมหาสมุทร  ก็เห็นเมือง 3 เมืองด้วยกัน  มี 3 เมืองที่ตั้งอยู่ที่นั่น  สวยสดงดงาม  ห่างกันไม่ไกลนัก  ก็ลงมาที่พื้นแผ่นดิน  เมื่อลงมาที่พื้นแผ่นดินแล้วก็ตั้งอกตั้งใจว่าดูกันละ  เอาให้เต็มที่ก็คิดว่า เมืองนี้มีความสวยงดงามดี  หาทางลง การลงไม่ต้องลงหาสนามบินไม่ต้องมีรันเวย์   เพราะว่าผู้พูด  และคณะไม่มีล้อ มีแต่ขา  มองไปมองมา ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง ยืนอยู่  กลุ่มใหญ่ หลายคน  แต่กลุ่มเล็ก ๆ ก็มี 2-3 คน  อีกจุดหนึ่งมีคนเดียว  ห่างจากกันประมาณ สัก 10 เมตร  คนนี้ยืนอยู่คนเดียว  กำลังเอามือจิ้มโน่นจิ้มนี่  อาการของเขาแสดงว่าเป็นคนบอกสัญญาณอะไรสักอย่างหนึ่ง จึงลงไปที่นั่น  เมื่อลงไปที่นั่นแล้ว  ก็เดินเข้าไปหาคนคนนั้น ก็พอดีถึงเวลาเขาว่างพอดี  พอเข่าไปไกล้ ๆ โผล่หน้าไปหน้าประตู  เขาก็ยกมือร้อง อีโละโก๊ะเก๊ะอะไรก็ไม่ทราบ  ภาษาของเขา พูดเสียงสั้น ๆ  หนัก ๆ คล้าย ๆ ภาษาญี่ปุ่น  ถ้าฟังเป็นภาษาของเรา  ก็ฟังได้ว่า  เชิญขอรับ  เชิญท่านผู้มีเกียรติซึ่งมาจากโลกอื่น เชิญท่านนั่งบนเก้าอี้ซิขอรับ  นี่ฟังเป็นภาษาของเรา  เขาพูดยาว  ทั้งหมดประมาณ 10 ท่านก็เข้าไปในอาคารของเขา

                                อาคารของเขาเรียบร้อย  มีเก้าอี้  มีโต๊ะรับแขก  มีทุกสิ่งทุกอย่างหมด  เขาชี้ให้นั่ง  พอนั่งเสร็จก็มีคน  เจ้าหน้าที่ของเขา  จะถือว่าเป็นคนรับใช้ก็ไม่ถูกนัก  มีเจ้าหน้าที่ของเขานำเอาน้ำเย็นมาให้  และก็ส่งออกไม้ให้คนละดอก  เขาบอกว่าเป็นอากรแสดงอากรต้อนรับท่านผู้มีเกียรติที่มาจากโลกอื่น  เขาพูดเป็นครั้งที่ 2  จึงถามว่า  ท่านทราบได้อย่างไรว่าคณะของข้าพเจ้ามาจากโลกอื่น เขาบอกว่า อันดับแรกที่จะมองเห็นคือ  เครื่องแต่งตัวไม่เหมือนกัน  ก็ถามเขาว่าก็มีผ้า  มีเสื้อเหมือนกัน  เขาบอกว่า เสื้อผ้า  แต่ไม่เหมือนกัน  เสื้อผ้าของท่าน ท่านจะเผลอไปกระมัง  คณะของข้าพเจ้าใช้ผ้าธรรมดา  แต่คุณของท่านใช้ผ้าประดับไปด้วยเพชร  พอเขาพูดอย่างนั้นก็ตกใจ เพราะพวกเราลืมแปลงกาย  ลืมเอาเครื่องแต่งกายเปลี่ยนตัวมา  เรียกว่าลืมเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก็แล้วกัน

                                ก็ลืมบอกไปว่า  เครื่องแบบอย่างนี้เป็นปกติธรรมดาของคนไม่ใช่หรือ  เขาบอกว่าใช่ แต่คนบางพวก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองนี้ ในประเทศทั้งหลายเหล่านี้  หลาย ๆ ประเทศไม่มีเครื่องแต่งกายอย่างนี้  เพราะว่าแก้วที่ประดับเสื้อผ้าของท่านมีราคาแพงมาก  ซึ่งไม่มีใครเขาแต่งกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  คนแถวนี้ถ้าจะมี ก็ใส่คอนิดหนึ่ง  คล้องสร้อยหรือว่าทำแหวน  หรือทำสร้อยข้อมือ อย่างนี้เป็นต้น  แต่สิ่งที่ติดผ้าทั้งผืน  ไม่มีใครเขาทำกัน ฟังแล้วเขาก็ยิ้ม

                                 แล้วก็นึกในใจว่า  ขอเครื่องแต่งกายสภาพที่ปกติ  ให้หายไป  มีเสื้อผ้าธรรมดา  มันควรจะเป็นกางเกง  กับ เสื้อ  กลับเป็นผ้าธรรมดา  เป็นผ้าถุง  มีผ้าคลุมตัว แล้วสีสันมันก็เป็นสีส้ม  ๆ สีเหลืองๆ  พอเขาเห็นเข้าเขาก็ตกใจ  แสดงท่าตกใจ  พอตกใจเขาทำอย่างไร เขาลงจากเก้าอี้ ก้มลงกราบว่า  ท่านกราบทำไม  คณะของข้าพเจ้า ทั้งหมดก็มีสภาพเหมือนท่าน  เป็นคนเช่นเดียวกัน  และเป็นแขกผู้มา  เขาบอกว่า แขกประเภทนี้ เขารู้จัก มาเป็นครั้งคราว  คือไม่ได้มาบ่อยนัก  ถ้ามาทีไร ทุกอย่างที่นำมาให้ก็คือความสุข  พอดีพระท่านเตือน  ท่านบอกว่าคุณ คุณนึกอย่างนี้มันไม่ถูก  เขาก็จับได้นะสิว่า คณะของเราเป็นใคร  คุณนึกใหม่ดีกว่า นึกว่าให้เป็นเสื้อ  เป็นกางเกงอย่างเขา  ก็เลยนึกตามนั้น  เขาเห็นเข้า เขาก็แปลกใจอีกว่า เมื่อกี้แต่งตัวชุดที่ 2 หายไปไหนอีก ทำไมถึงกลายเป็นเสื้อ กางเกง

                                ก็บอกเขาว่า ในเมื่อเรามีเสื้อ มีกางเกงเหมือนกันก็นั่งเสมอกัน ก็แล้วกัน  เขาบอกว่า ยังนั่งไม่ได้  เพราะอาการอย่างนี้  พระใหญ่เคยมาแสดง  ถามเขาว่า  พระใหญ่ ของท่านคือใครท่านจำชื่อได้ไหม  เขาบอกว่า จำได้ ถามว่า ใคร  เขาบอกว่า พระใหญ่ของเขา  คือ  พระโมคคัลลาน์

พอฟังแล้วก็ตกใจ  ถามว่า พระโมคคัลลาน์เคยมาที่นี่หรอ   ท่านรู้จักพระโมคคัลลาน์หรือ เขาตอบ

ว่าท่านมาเป็นครั้งเป็นคราว  แต่ว่าระยะนี้ห่างไปหน่อย  ไม่เห็นท่านมา  ถามว่า เวลาที่ห่างไปจากระยะนี้ ที่ท่านเคยมา  เป็นช่วงนับตามปีของจักรวาลมนุษย์

                                พอพูดว่า จักรวาลมนุษย์  เขาก็ยิ้ม เขาบอกว่า จะถามจักรวาลไหน  จักรวาลนี้ที่คุยนี่ก็เป็น จักรวาลมนุษย์เหมือนกัน  พวกข้าพเจ้าทั้งทั้งหมดก็เป็นมนุษย์  ก็เลยตกใจว่าพูดผิดอีกแล้ว  คนขาสติสัมปชัญญะมันเป็นอย่างนี้  ก็เลยบอกว่า จักรวาลมนุษย์มีมากใช่ไหม  เขาบอกว่ามาก  เท่าที่พวกเขารู้จักกันดี มี 4 จักรวาล คือ จักรวาลของเขานี่หนึ่ง  เวลาคุยที่นี่หันหน้าไปทางทิศใต้

จักรวาลที่ สองก็เป็นจักรวารที่มองเห็น ถ้าใช้กล้องระยะไกล ๆ ก็จะมองเห็นจักรวาลใหญ่ ลอยอยู่ด้านซ้าย  แล้วต้อไป อีกช่วงระยะหนึ่ง ก็มีอีกจักรวาลหนึ่ง  อยู่ทางด้านเหนือ เป็นจักรวาลเหมือนกัน ลอยอยู่ในผิวเดียวกันของจักรวาล  ก็ถามเขาว่า จักรวาลนอกจากนี้มีที่ไหนอีก เขาบอกว่า เขาไม่ทราบ คิดว่าดวงดาวต่าง ๆ ทั้งหมดในจักรวาลเป็นจักรวาลที่อยู่ของคนบ้าง  ปราศจากผู้คนบ้าง

เป็นจักรวาลว่างบ้าง  แต่เท่าที่เขารู้จักจริง ๆ ก็มี 4 จักรวาล  รวมทั้งจักรวาลนี้ด้วย  ก็ถามความเป็นมาว่า คนบนจักรวาลนี้ทั้งหมด  หรือทุก ๆ จักรวาล  ท่านรู้จักคนไหม  เขาตอบว่ารู้จัก  ถามว่ารู้จักกันอย่างไร  ท่านติดต่อทางวิทยุหรือทางไหน

                                เขาบอกว่า เมื่อกี้นี้ก็ลองติดต่อกันเพราะว่ามนุษย์จักรวาลต่าง ๆ เขาจะมากัน  เขาจะมาเที่ยวกัน มีซานเป็นที่ลง   มีสนามบินเป็นที่ลง  ก็เลยถามเขาว่า ในเมื่อจักรวาลต่างๆ มีมาก เวลาเท่ากันไหม  เขาบอกว่าไม่เท่ากัน  ก็เลยยกนาฬิกาให้ดู ว่านาฬิกาเดินแบบนี้  วนไปรอบหนึ่งถือว่าเป็นครึ่งวัน  ของจักรวาลโลกชมพู  ถ้าหมุนไปอีกรอบหนึ่งแสดงว่าเป็นเวลาเต็มวัน  เวลากลางคืนและเวลากลางวันรวมเวลา 24  ชั่วโมง  เป็น 1 วัน เขาก็มีนาฬิกาเหมือนกัน มันเดินเหมือนกัน  ถ้านับเวลาอย่างนี้นะ  ต้องถอยหลังไปประมาณ 2,000  ปีเศษ  ที่พระโมคคัลลาน์    ท่านแวะมาบ่อย ๆ  แต่ว่าระยะหลังจากนั้น  ท่านก็มาบ้างเหมือนกัน แต่มานาน ๆ ครั้ง  ถ้าจะเทียบตามเวลาของจักรวาล ที่ยกนาฬิกาขึ้นดูนี้  ก็จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี  จะมาครั้งหนึ่ง

                                ก็ถามเขาบอกว่า เวลาตั้ง 2,000 ปีเศษ  คนที่นี่อยู่ได้อย่างไร  จะมีใครมีชีวิตอยู่  เขาก็ตอบว่า ข้าพเจ้านี่ เวลา 2,000 ปีเศษของท่าน  มันเป็นเวลาเล็กน้อยเท่านั้นเอง  ถ้านับเวลาตามนี้  คนในโลกนี้ทั้งหมด จะมีอายุถึง 12.000 ปี  เลยถามว่า  เวลานี้ท่านมีอายุเท่าไร  เขาก็บอกว่า เวลานี้อายุของเขาตั้งแต่เกิดมา ประมาณ 8,000 ปี ก็เลยนึกสงสัยว่าคน 8,000 ปี นี่หนุ่มมาก  ดูหน้าตาแล้วคล้าย ๆ กับคนอายุสัก 28 ปีของเรา  ก็เลยถามเขาต่อไปว่า ในเมื่อพระโมคคัลลาน์  ท่านมาแล้วท่านทำอะไร  ท่านเอาอะไรมาให้  เขาบอกว่า อันดับรากที่ท่านมา ท่านเอา ความดีมาให้  และทุกครั้ง ท่านก็มาย้ำความดีที่ท่านให้ไว้  ถามว่า ความดีที่พระโมคคัลลาน์ให้มีอะไร

                                เขาตอบว่า หนึ่ง พรหมวิหาร 4  ได้แก่ เมตตา  ความรัก กรุณา  ความสงสาร  มุทิตา  มีจิตใจอ่อนโยน  ไม่อิจฉาริษยาใคร  เห็นใครได้ดี พลอยยินดีด้วย  แล้วก็อุเบกขา  วางเฉย  ในเมื่อความไม่สบายใจเกิดขึ้นหลังจากนั้นท่านก็ให้ทรง  กรรมบถ 10 คือ 

                                ทางกาย  1 .ไม่ฆ่าสัตว์     2. ไม่ลักทรัพย์  3. ไม่ประพฤติผิดในกาม

                                ทางวาจา 4    คือไม่พูดปด      ไม่พูดคำหยาบ   ไม่พูดส่อเสียด    และไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

                                ทางด้านจิตใจ  3  คือ  ไม่โลภอยากได้ทรัพย์ของคนอื่นโดยไม่ชอบธรรม คือไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร ไม่จองล้างจองผลาญใคร มีความเห็นตรงตาม คติทั้งหมดที่สอนมาแล้วให้ปฏิบัติตรงตามนั้น ก็ถามว่า คนในโลกนี้ปฏิบัติตามนี้หรือ  เขาบอกว่าคนทุกประเภทในประเทศนี้ รัฐบาลตั้งกฎนี้เป็นธรรมนูญการปกครอง  การปกครองของประเทศนี้จะต้องมี พรหมวิหาร 4  กับ  กรรม บท 10  เป็นพื้นฐานจริง ๆ ทุคนปฏิบัติตามนี้

                                เมื่อคุยกับเขาแล้ว ก็หันไปหาพระท่าน  ท่านก็ยิ้ม  แล้วท่านมองหน้า มีความเข้าใจว่า เท่าที่เขาพูดนี้เป็นความจริง  ก็เลยถามว่า พระโมคคัลลาน์เคยแนะนำ พระที่มีความใหญ่กว่าท่านมีไหม  เขาก็ตอบว่า มีองค์เดียว ถามว่า พระอะไร  เขาตอบว่า พระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าใหญ่ที่สุด

จึงถามว่า เขาเคยเห็นพระพุทธเจ้าไหม  เขาตอบว่า ถ้าตามปกติ  ด้วยตาเนื้อนี่ไม่เคยเห็น  แต่ทางตา

ใจนี่เคยเห็น  เลยถามว่า ตาใจอยู่ไหน  เขาบอกว่าอยู่ที่อารมณ์  ก็ถามเขาบอกว่า มีความเคารพพระ

พุทธเจ้า  เรารพพระธรรม เคารพพระอริยสงฆ์  พระอรยสงฆ์  นี่มีพระโมคคัลลาน์  เป็นประธานแน่

เขายึดแน่นอน  เพราะทุกคนที่นี่ต้องปฏิบัติตามนั้น  ถ้าใครละเมิดกฎ 4 ประการ คือ พรหมวิหาร 4  หรือกฎ 10 ประการ คือ กรรมบถ 10 คนนั้นมีโทษหนัก  ก็ถามว่า ในประเทศนี้มีการสั่งประหารชีวิตไหม  เขาก็เลยตอบว่า  ถ้ามีการสั่งประหารชีวิตก็ผิดจากปาณาติบาติ  ไม่มีการสั่งประหารชีวิต ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไร  เขาก็บอกว่า ก็ลงโทษไม่คบหาสมาคม  ให้อยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งโดยเฉพาะ  (กักบริเวณ)  กับบริเวณอยู่กว้าง ๆ หน่อย  แต่ห้ามออกจากเขตนั้นเป็นการทรมานใจ

                   เมื่อคุยมาถึงตรงนี้ บรรดาท่านผู้ฟังหรือท่านผู้อ่าน  สำหรับคนที่พูดมาก มันก็พูดมากไปเรื่อย  ๆ พูดกันไป มันก็จบ  เขาคุยไปเขาก็มองมา เขาสงสัย เขาหันมาถามว่า ขอประทานโทษ  พูดภาษาเขา  แต่เรานึกเอาเป็นภาษาของเรา  และเวลาที่เราพูด ภาษาของเรา ก็นึกให้เป็นภาษาของเขา  อย่าลืมนะท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่าน  นี่เป็นเรื่องนิทาน  นิทานจะพูดอย่างไรก็ได้  เอาอย่างไรก็ได้ทุกเรื่อง  เพราะมันเป็นเรื่องไม่จริง

                                เขาถามว่า คณะท่านที่มาทั้งหมดนี่ประมาณ 10 ท่าน  ท่านอาจจะมายานพาหนะ  เวลานี้ยานพาหนะของท่าน จอดที่ไหน  ก็ถามเขาบอกว่า ทำไมท่านสงสัยแบบนี้  เขาบอกว่ายานพาหนะต่างๆ อยู่ในสายตาของผม  ผมเป็นเจ้าหน้าที่ดูยานพาหนะที่จะไปหรือจะมา  ถ้าเครื่องบินมาถึงแล้วจะเลี้ยว

ทางไหน จะจอดที่ไหน จะมีอะไรที่ไหน มันเป็นการแนะนำจากผมทั้งหมด ต้องผ่านผม แต่ว่ายานพานหะที่ท่านมานี้ รุ้สึกว่าไม่กระทบเครื่องสัญญาณของผม เมื่อสักครู่นี้ผมเป็นบรรดาท่านทั้งหลาย ลอยใจอากาศผมก็มีความรู้สึกว่า ท่านจะมีเครื่องทำกายให้เบา ช่วยพยุงกายลงมา ถ้ามันเป็นระบบวิทยาศาสตร์ มันต้องเข้าคลื่นของผม แต่ว่าของทายไม่ผ่านคลื่นผมเลย ผมก็สงสัย ท่านผลักคลื่นหรืออย่างไร เอาอีกแล้ว

ก็เลยตอบเขาบอก ว่าคณะของข้าพเจ้าทั้งหมดที่มาที่นี่ ไม่ได้มาด้วยยานพาหนะ ไม่มีเครื่องบิน ไม่มีเครื่องพยุงตัวให้ลอย แล้วก็ไม่มีการขับเคลื่อน ลอยมาเองเฉย ๆ เขาถามว่า ลอยมาอย่างไร ฝึกการลอยได้อย่างไร ก็ตอบว่านี่เป็นเรื่องทางใจ ถ้าคณะท่านทั้งหลาย มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสนใจในพระธรรม สั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีความเลื่อมใสเคารพในพระสงฆ์ สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง เวลาที่พระโมคคัลลาน์ ท่านมา พระโมคคัลลาน์ท่านก็ไม่มีเครื่องหมายพาหนะมาเหมือนกัน เขาก็ยอมรับว่าใช่ ก็ถามท่าน ศึกษาจากท่าน ท่านจะสอนให้ เขาหันมาถามว่า ถ้าอย่างนั้น คณะของท่านจะสอนข้าพเจ้าได้ไหม จึงหันไปหาพระท่าน พระท่านก็มองดูหน้าก็แสองว่า ไม่ใช่โอกาสที่จะสอนกันก็เลยบอกเขาว่า เวลาที่สอนมันไม่มี เวลานี้ยังไม่ต้องการเป็นครูของใคร เพราะยังไม่มีความเข้าใจในศรัทธา และ ปสาทะของทุกคน ตอนนี้ขอชมสถานที่ก่อน

เขาก็ถามบอกว่า จะชมที่ไหน ก็เลยบอกเขาว่า อันดับแรก ขอชมในคัว เขาก็ยิ้ม และทุกคนที่ไปด้วยกันยิ้ม เขาก็หันมาถามว่า ท่านหิวหรือ ก็ตอบเขาบอกว่า ไม่ได้หิว แต่อยากดูอาหาร เขาถามว่า ทำไมจะดูอาหาร ก็ตอบเขาว่า ในฐานะที่พวกท่าน มีพรหมวิหาร 4 และมีกรรมบถ 10 ก็อยากจะดูอาหารของท่านว่า มีเนื้อสัตว์ไหม เขาก็บอกว่า แปลกใจหรือ คิดว่าพวกเขาจะกินหญ้าเหมือนวัวเหมือนควายใช่ไหม ผู้พูดก็ยิ้ม แล้วบอกว่า คิดว่าอาจะกินผัก ไม่ใช่หญ้า หญ้ากับผัก มีสภาพไม่เหมือนกัน เพราะหญ้าเป็นอาหารของคนไม่ได้ มันต้องเป็นอาหารของวัวของควาย ของม้า ของช้าง แต่ผักเป็นอาหารของสัตว์ก็ได้ เป็นอาหารของคนก็ได้ คนกินผักแต่ไม่กินหญ้า วัวควาย กินหญ้าด้วย กินผักด้วย อยากทราบว่า คณะของท่านกินเนื้อสัตว์ได้ไหม


เขาก็ตอบว่า ปรกติก็กินกัน ก็ถามว่า ปกติท่านจะเอาเนื้อสัตว์ที่ไหนมากิน เขาบอกว่า สัตว์ที่หมดอายุขัยมันมีอยู่ และเวลาที่พบสัตว์ตาย เนื้อยังสด ก็เอามากินกันได้ ไม่แปลกไม่มีอะไรแปลก แต่ทว่า ถ้าไม่มีเนื้อสัตว์ พวกข้าพเจ้าก็ชอบกินผัก แต่การปรุงอาหารด้วยผัก จะเอารสอะไรก็ได้ ให้เหมือนกับสัตว์ประเภทไหนก็ได้ ก็เลยบอกเขาว่าขอชมหน่อยได้ไหม อาหารมีไหม เขาก็บอกว่า มี เขาก็ให้สัญญาณกดออด ออดของเขากดเป็น 3 ระยะ อ๊อด..

อ๊อด.. อ๊อด.. แล้วแถมท้ายอีกหนึ่งอ๊อด สั้น ๆ ถามเขาบอกว่า การกดออดแบบนี้ เป็นสัญญาณอะไร เขาบอกว่า เป็นสัญญาณนำอาหารมา คือจะนำอาหารมาเลี้ยงแขก

ถามเขาบอกว่า อาหารมีพร้อมอยู่แล้วหรือ เขาบอกว่า ที่นี่ต้องพร้อมทุกเวลาเพราะเป็นสถานที่รับรองแขกผู้มาจากต่างประเทศอื่นด้วย เป็นสถานที่รับรองแขกผู้มาจากโลกอื่นด้วย พอ เขาพูดก็ตกใจว่า เรานึกจะปลอมตัว ก็แบกความโง่เข้าไปทุกอย่าง อันดับที่สอง พอเขารู้ตัว แบกเอาความสีเหลืองรุ่มร่าม ห่มจีวรเข้าไปอีก นุ่งสบง ทรงจีวรเขาก็จับได้ มาระยะที่ 3 แม้จะทรงกายแบบนี้ แต่ลักษณะท่าทาง ลีลาวาจา มันไม่เหมือนเขา เขาก็จับได้อีก ในเมื่อเขาจับได้ ก็ยอมให้เขาจับ มันเรื่องไม่แปลก ปฏิเสธไม่ไหว

พอเขานำอาหารมาให้ดู ดูแล้วอาหารทั้งหมดมีอยู่ 7 อย่าง เขาชี้ว่า อาหารถ้วยนี้เป็นอาหารที่มีการปรุงคล้ายกับเนื้อสัตว์ มีรสชาติอันนี้คล้ายเนื้อหมู อันนี้คล้ายเนื้อเก้ง อันนี้คล้ายเนื้อวัว ก็ลอง สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลองกิน ก็ลองกินเข้าไป มันคล้ายคลึงจริง ๆ เขาบอกว่าประเภทนี้มีรสชาติเป็นผัก ผักโดยตรง แต่ว่าเขาไม่บอกว่า มังสวิรัติเพราะคณะของเขาไม่ได้บอกว่า มังสวิรัติ ถือแค่มีเป็นสำคัญ ถ้าได้เนื้อมาโดยไม่บาป เขาก็กิน ก็ถามเขาว่าปกติเขาอยากกินเนื้อสัตว์ไหม ถ้าบังเอิญมันไม่มี เขาบอกว่าไม่อยากกิน เพราะอาหารทุกอย่างมันเหมือนกันหมด จะปรุงให้คล้ายเนื้ออะไรก็ได้ ลักษณะสีสันวรรณะจะให้เหมือนเนื้อทุกอย่างได้หมด ความนิ่มนวลก็เหมือนกัน ดูแล้วก็เหมือนเนื้อ

เขาก็ให้สัญญาณกับลูกน้องเขาว่า ยกมาอีกจานหนึ่ง จานนี้มันเหมือนเนื้อหมูซีกหนึ่ง เหมือนเนื้อวัวอีกซีกหนึ่ง เหมือนจริง ๆ เห็นเข้าแล้วก็คิดว่า เนื้อหมูหรือเนื้อวัว พอชี้ไปถาม เขาบอกว่า นี่ ผักล้วน ๆเขาให้เจ้าหน้าที่ของเขามาทำการปรุงให้ดู เอาผักธรรมดา ๆ มี

เครื่องอะไรต่ออะไร ก็ไม่ทราบ ใส่กร๊อกแกร๊ก ๆ มันโผล่ออกมาเป็นเนื้อเสร็จ มีความนิ่มนวลเหมือนกัน มีสีสันวรรณะเหมือนกัน มีกลิ่น เหมือนกัน มีรสเหมือนกัน

เอาละ บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายและท่านผู้อ่าน เวลานี้ ถ้ามองสัญญาณไม่ผิด ก็หมดเวลาเสียทีแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี



จุไรท่องเที่ยวหลุมดำ

ตอนที่ 4


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อไปนี้ก็อ่านหรือฟังเรื่องราวของโลกดำ หรือ ดาวหลุมดำ ต่อไป แต่ท่านทุกคน จงอย่าลืมว่าดาวหลุมดำ เป็นนิทาน

แต่ว่าถ้าบังเอิญจะเหมือนกับนักวิทยาศาสตร์เขาเห็นกัน แต่ว่านักวิทยาศาสตร์เขาเป็นของจริง แต่เวลานี้ท่านกำลังอ่าน หรือกำลังฟังเรื่องนิทาน นิทานกับของจริงจะต่างกัน

เมื่อชมอาหาร และลองชิมรสอาหารของเขาแล้ว ก็รู้สึกว่า รสอาหารของเขาน่าจะติดใจ ก็มาคิดในใจว่าถ้าโลกของเราในชมพู ถ้าหากว่าสามารถปรุงอาหารจากผักได้ มีรสชาติเหมือนเนื้อสัตว์ คนที่ชอบเนื้อสัตว์ ก็ให้กินเหมือนเนื้อสัตว์ คนที่ไม่ชอบเนื้อสัตว์ ก็กินเหมือนผัก อันนี้จะมีประโยชน์มาก และก็จะไม่ต้องทำบาปอกุศล และอีกประการหนึ่ง ถ้าทุกคนอยู่ในเขตของพรหมวิหาร 4 ถ้า ทรงพรหมวิหาร 4 ได้ และประการที่สอง ทรง กรรมบถ 10 ได้ โลกก็จะเต็มไปด้วยความสุข ก็ถามเขาต่อไปว่า หลังจากท่านรับคำแนะนำจากพระโมคคัลลาน์แล้วหลังจากนั้น คิดว่า พระโมคคัลลาน์คงจะสอนคนไม่ทุกคน แล้วมีคนสอนสืบต่อไหม ท่านบอกว่า มีสำนักเรียนเต็มประเทศ และหลาย ๆ ประเทศก็มีสำนักเรียนเหมือนกัน
สอนวิชาที่พระโมคคัลลาน์สอน และให้ปฏิบัติตาม ฉะนั้นโลกนี้จึงมีความสุข ก็ถามเขาว่า โลกนี้มีคนจนไหม เขาบอกว่า โลกนี้และอีกหลายๆ โลก โลก 3-4 โลก ที่เป็นเพื่อนกัน ไม่มีใครจน ถามเขาว่า ทำไมจึงไม่จน เขาบอกว่า คนจนไม่มี เพราะที่นี่มีแต่คนรวย ทุกคนพอกินพอใช้ ไม่มีการลำบากยากแค้น ไม่มีการเบียดเบียนกัน ค่าใช้จ่ายจ่ายก็ต่ำ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่ต้องสร้าง ก็ถามว่าเรื่องของคน ไม่ต้องมีอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่เรื่องของประเทศชาติ ถ้าไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ละก็ บางทีชาติอื่นที่จะรุกราน เขาก็ถามว่า ที่ไหนมีการรุกรานกัน อันนี้แปลกอีกแล้วบอกว่า ที่นี่ไม่มีการรุกรานกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นที่ที่ตัดตรงหมด ที่ของใครเดิมจะมีการลดคดเคี้ยวบ้าง อาณาเขตชายแดน แต่ว่าทั้งสองฝ่ายตัดสินใจว่า ทำให้ตรงดีกว่า เมื่อทำให้ตรง ก็ทำถนนทั้งสองข้าง ประเทศโน้นทำถนนข้างโน้น ประเทศนี้ทำถนนข้างนี้ ส่วนจุดกลาง ทำเป็นทางรถไฟ 2 รางคู่ จึงบอกเขาว่า ถ้าอย่างนั้น พาไปดูได้ไหมเขาบอกว่า

ได้เขาถามว่า ท่านจะไปยานพาหนะไหม ก็บอกว่า ไปสะ ท่านมีเราก็ไป ถ้ามีฟรีไปทุกอย่าง เขาบอกว่าในฐานะที่ท่านเป็นแขกบ้านแขกเมือง นี่โตไม่ใช่เล่นนะ เขาถือว่าเป็นแขกบ้านแขกเมือง ก็ต้องมียานพาหนะพิเศษ เขาก็นำไปข้างนอก บอกว่า คณะของท่านมาทั้งหมด 14 ท่าน แต่ความจริง คนพูดยังไม่ได้นับ ลืม หันไปลองนับดู นอกจากตัวคนพูดเอง 13 ท่าน แล้วก็ต้องเป็นตัวเอง 14 ท่าน เขาเก่ง เขาเรียบร้อยจริง ๆ เขาถามว่า ท่านต้องการไปรถ หรือต้องการเครื่องร่อน คำว่า เครื่องร่อน ก็หมายความว่า มันเป็นตัวกลม ๆ ที่เรานิยมเรียกกันว่า จานบิน หรือจะว่ากันไปเครื่องบิน เครื่องบินนี่มันยาว ๆ คล้าย ๆ เครื่องบินของเราแต่ลักษณะหัวของเครื่องบินจะมีสภาพสูงกว่าเครื่องบินของเรา ของเราหัวลู่ลง ของเขาหัวตั้งและมีด้านมุมหัวแหลม ๆ คล้าย ๆ กับเรือเมล์ แต่ไม่เหมือนนัก

ก็รวมความว่า ก็บอกเขาว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านเห็นว่า อย่างไหนดี เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน เขาบอกว่า ไปเครื่องร่อนดีกว่า ข้างล่างเป็นกระจกมองเห็นทุกอย่างนั่นแน่ ของเขาดีด้วย ทุกคนก็นั่งเครื่องร่อนเขาไป เขาร่อนไปนิดเดียว ไปชั่วขณะเดียวมองดูข้างล่าง มันก็เต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม พอถึงเส้นระหว่างประเทศ เขาก็ลง เขาบอกว่า ถนนฝั่งนี้ ถนนรถยนต์ มีเลนที่วิ่ง 8 เลน ถนนฝั่งโน้น ถนนรถยนต์ มีเลนที่วิ่ง 8 เลนเหมือนกัน เป็นถนนคอนกรีต นี่ไม่ใช่เมืองทิพย์นะ มันเป็นเมืองมนุษย์ จะว่าคอนกรีตก็ไม่เชิง มันมีสภาพเหมือนหิน เรียกว่าคอนกรีตก็แล้วกัน ของเราแข็งที่สุด คือคอนกรีต และก็ส่วนตรงกลาง เป็นทางรถไฟ เขาบอกว่ารถไฟนี่ใช้รถไฟร่วมกันได้ทั้ง สองประเทศ รถไฟขบวนเดียว ใครจะลงประเทศโน้นก็ได้ ลงประเทศนี้ก็ได้ มีสถานีตรงกันหมดไปถึงสถานีปั๊บ ก็ลงได้ทั้ง 2 ข้าง ใครจะลงประเทศไหนก็ตาม ก็ถามว่า ผืนแผ่นดินที่จับจองกันในตอนก่อน มันมีการคดเคี้ยวแต่เวลานี้ทั้งสองฝ่าย ต่างคนต่างตัดให้ตรง อาศัยอะไรเป็นเหตุ เพราะบางประเทศต้องเสียเนื้อที่ไป อาจจะขาดทุน เขาก็ยิ้ม เขาบอกว่า คำว่าขาดทุน ในเมืองนี้ไม่มีเมืองนี้มีความต้องการอย่างเดียวคือ ความมีไมตรีซึ่งกันและกัน มีความรัก อะไรก็ตามจะเป็นจุดของความรักได้ ถ้าเหตุขอความรัก หรือการปฏิบัติกฎต่าง ๆ ไม่เกินกรรมบถ 10 หรือว่าไม่เกินพรหมวิหาร 4 ไม่นอกเหนือ ไปจากนั้น ไม่เป็นการรุก คือสร้างความเดือดร้อน ประเทศนี้เอาและประเทศทั้งหมดนี้ เอาทั้งหมด ฉะนั้น ประเทศทุกประเทศจึงไม่มีอาวุธรบ ในเมื่อไม่มีทหาร ไม่มีตำรวจ ก็ไม่ต้องจ่ายเงินเดือน ไม่ต้องจ่ายเครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งมันมีราคาแพงมาก แล้วก็ไม่ต้องจ้างตุลาการ ตุลาการคนตัดสินก็ไม่มี มีเจ้าหน้าที่คล้าย ๆ กำนัน ในเขตหนึ่ง ๆ ก็มีผู้ใหญ่บ้าน มีกำนันเหมือนกัน ก็มีแค่นี้ ต่อจากนั้นก็มีเมืองลูกหลวง เป็นเมือง ในเมืองแต่ละเมืองก็มีเจ้าหน้าที่ ก็มีเจ้าหน้าที่ไม่กี่คนนัก งานที่เขาจะทำกัน ส่วนใหญ่เห็นคนรับภาษี

ก็เลยถามเขาว่าเมืองนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมาก รัฐบาลมีรายได้จากภาษีเยอะหรือย่างไร เขาบอกว่ามากอยู่ ถามว่ารัฐบาลเก็บภาษีแพงไหม เขาบอกว่า ถ้าจะใช้ศัพท์ว่าแพง มันก็ไม่ใช่ของค้าขายกัน แต่ถ้าจะถือว่าน้อย หรือมาก ต้องถือว่ารัฐบาลเขาเก็บมาก แต่คนที่เสียภาษีไม่เดือดร้อน ถามเขาบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ภาษีที่เก็บสูงสุดของที่จำหน่ายจ่ายแจก ต้องเสียให้รัฐบาล ต้องเสียร้อยละเท่าไร เขาบกว่า อย่างคนต่อรถยนต์ขาย ต่อเครื่องบินขาย ต่อเรือเมล์ขาย เป็นต้น ของหนัก ๆ ประเภทนี้ ต้องเสียภาษีร้อยละสาม ฟังแล้วงง ทำไมว่างง เพราะร้อยละสาม มันนิดเดียว ของต่ำไปจากนั้น อย่างเครื่องอุปโภคบริโภค อย่างของกินของใช้ทั้งหมดไม่ต้องเสียภาษี เสื้อผ้าที่ขายส่งไปให้กันและกัน ของใช้ตามธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี นอกจากนี้ก็อาศัยโรงเรียน หมายถึงช่างที่รับเหมาทำโรง ทำเรือน อย่างนี้รัฐบาลเก็บ ร้อยละหนึ่ง

ก็ถามเขาว่า เมื่อรัฐบาล เก็บน้อย ๆ อย่างนี้ จะมีเงินไปจ้างข้าราชาการหรือ เขาก็ตอบว่ า ข้าราชการที่นี่ไม่ต้องจ้าง ทุกคนมีกินมีใช้ แต่ปีหนึ่งรัฐบาลจะมีรางวัลให้ จากผลประโยชน์ที่รัฐบาลจะพึงได้จากภาษีอากรร้อยละสิบ แล้วก็เฉลี่ยกันไป ระดับของพ่อเมืองได้ 3 เปอร์เซ็นต์ ระดับของลูกเมืองก็ว่ากันเป็นเปอร์เซ็นต์ ๆ ไป แบ่งเป็นร้อยละสิบ ออกมา ถ้าก็เฉลี่ยเป็นรางวัลต่อปี ก็คิดในใจว่า เมืองนี้มีความสุขดีจริง ๆ ภาษีก็ไม่มีเดือดร้อน แล้วบ้านเมืองก็มีแต่ความสงบ ก็ถามเขาว่าอย่างนั้น ถ้าเกิดเรื่องร้ายขึ้นมา เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มี ตุลาการไม่มี แล้วจะใครจะไปจับ เขาบอกว่าไม่มีใครต้องจับใคร ทุกคนรู้ตัว ถ้าทำความผิดก็มาสารภาพผิดกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่ตนขึ้นการปกครองของเขา เท่านั้นก็เลิกกัน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านสั่งการออกมาอย่างไร ปฏิบัติตามนั้น เป็นผู้พิพากษาไปในตัวเสร็จ นี่เป็นเรื่องนิทานนะ อย่าลืม ประเทศไหน ๆ ที่จะมีความสุขอย่างนี้ มันไม่มีหรอก

ก็รวมความว่า เป็นประเทศที่มีความสุขมาก ภาษีอากรก็เสียน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนใหญ่จริง ๆ ไม่มีใครต้องเสียภาษี ก็ถามเขาว่าถนนหนทางก็ดี ตึกรามก็ดี โอ่โถง ใหญ่โตมาก ในเมื่อรัฐบาลมีรายได้น้อย แล้วสร้างได้อย่างไรเขาก็บอกว่า ไม่ใช่ของแปลก เขตไหนก็ตาม คนจะร่วมมือกัน ถ้าในตำบลนี้ต้องการถนน เขาก็ร่วมทุนกันสร้างถนน ที่นี้ต้องการจะสร้างตึกที่ทำการ ต้องการสร้างอะไรที่เป็นส่วนกลาง ก็รวมทุนเข้ามา นอกจากนั้นก็เป็นเงินส่วนตัว ถามถึงราคาของ ตกใจ สิ่งที่จะเปรียบเทียบกับท่านผู้ฟังได้ ก็คือ ก๋วยเตี๋ยว อาหาร หรือก๋วยเตี๋ยว เอาธรรมดา ๆ ข้างถนนเหมือนกับของเรา ก๋วยเตี๋ยวอย่างดี ราคา 10 บาท อย่างต่ำลงมาก็ 5 บาท ต่ำมากกว่านั้นอีกนิดก็ประมาณ 4 บาท แต่ก๋วยเตี๋ยวของเขา ชามหนึ่งราคาประมาณ 10 สตางค์ของเรา เปรียบเทียบกับเงินเราก็เป็นการอัศจรรย์มาก และรู้สึกว่าทุกอย่างถูกหมด ไปดูของซื้อของขาย ราคาเขาก็ถูก

ก็รวมความว่า เป็นเมืองที่ทรงกรรมบถ 10 และพรหมวิหาร 4 ครบถ้วนจะเจอหน้าใครก็ตาม มีแต่อาการยิ้มแย้มแจ่มใส ก็บอกเขาว่า ถ้าอย่างนั้น ลอยไปดูรอบ ๆ ลอยมาดูที่เมืองท่าก่อน มีอะไรบ้าง ตรงนี้เป็นเมืองท่าของประเทศไหน ๆ เขาก็บอกหมด ก็ถามบอกว่า เมืองท่าของแต่ละประเทศ เวลาส่งของขายออกนอกประเทศจะต้องเสียภาษีไหม เขาบอกว่า เรื่องภาษีออกกับเข้านี่ไม่มี ขนของออกไปเท่าไร ไม่ต้องเสียภาษี เสียภาษีตามจำเป็นต้องเสียตามกฎธรรมดา แต่การเสียภาษีเพื่อเป็นการส่งออกไม่มี ก็ถามว่าแล้วภาษีเข้าละ เขาก็บอกไม่มีเหมือนกัน ฉะนั้น ของในประเทศนี้จึงมีราคาถูก รวมถึงค่าจ้างแรงงาน เขาบอกว่าค่าจ้างแรงงานก็มีเป็นของธรรมดา มีเป็นเปอร์เซ็นต์ การขนของทุกอย่างราคาเท่าไร ว่ากันมา เขาดูราคาแล้วคิดเปอร์เซ็นต์ ราคาค่าขนตั้งแต่เริ่มเข้าลาน จากลานบรรจุกลิ่ง จากกล่องก็บรรจุเรือ นำลงเรือทั้งหมด อย่างนี้ก็ นับร้อยละหนึ่ง ก็ถามเขาว่า พอไหม เขาบิกว่า ไม่เห็นใครเขาบ่นนี่ เขายิ้มแย้มแจ่มใสกัน ก็รวมความว่า ประเทศนี้มีความสุขทุกอย่า เพราะอาศัยพระโมคคัลลาน์ เป็นผู้นำ

หลังจากนั้น ก็ถามเขาว่า ถ้าต้องการ ไปเมืองหลวง จะพาไปได้ไหม เขาบอกว่าเมืองหลวงอยู่ใกล้ ๆ การเคลื่อนไปจากที่นี่ด้วยยานพาหนะประเภทนี้ ไปเพียงแค่ 5 นาทีก็ถึง เขาตอบว่า เวลาของท่านนะ ก็เลยตามใจ บอก ถ้าอย่างนั้นไป ไปเมืองหลวงกัน พอไปถึงเมืองหลวง เมืองหลวงมีความสวยสดงดงามจริง ๆ มีตึกราม มีถนนหนทาง มีผู้คนแต่งตัวสวยสดงดงาม ผิวคนทุกคนจะเหมือนกัน คือเป็นคนเนื้อละเอียด ผิวเหลือง หน้าอิ่ม เนื้ออิ่มทั้งกายเรียกว่าคนเนื้อเต็ม ทั้งรูปร่างไม่เว้าแหว่งไม่นูน เหมือนอย่างพวกเรา คำว่าเว้าแหว่ง หมายความว่าผอมเกินไป บางจุดก็ลีบ บางจุดก็มีเนื้อ อย่างนี้เว้าหรือแหว่ง และก็ไม่อ้วนเกินไป คนอ้วนเกินไปไม่มี ลักษณะสมส่วนทั้งหมด ถือว่าเป็นคนสวยทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย ยิ่งไปกว่า นั้นสวยมากขึ้นไปคือ เห็นหน้ากันก็ยิ้ม เขาเจอะหน้าพวกเขากันเองก็ยิ้ม เขาเห็นพวกเรา ก็ยิ้ม ก็รู้สึกว่า ไปที่นี่มีแต่ความสดชื่น ก็ไม่ชอบชมบ้านชมเมืองให้ฟัง รถราไม่ติดเหมือนกรุงเทพ ฯและเขาก็แพ้กรุงเทพ ฯ เราอยู่อย่างคือรถไม่ติด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถนนนอกเมืองของเรายังมีรถมากกว่าของเขา แต่ที่เขานิยมใช้จริง ๆ คือ เครื่องร่อน เครื่องร่อน หรือจานบิน ที่เราเรียกว่าจานบินนั้นแหละ เป็นที่นิยมของเขา รถยนต์เขาไม่นิยมใช้กัน แต่รถยนต์เขาก็ใช้ ถ้าไปสถานที่ใกล้ ๆ เขาใช้รถยนต์ถ้าไปไกล ๆ เขาก็ใช้เครื่องร่อน ถ้าถามว่าเครื่องร่อน หรือรถยนต์มีทุกบ้านไหม ก็ตอบว่าเขาไม่นิยมเหมือนกัน บางบ้านก็นิยมรถยนต์ บางบ้านก็นิยมเครื่องร่อน แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยนิยมมี เพราะใช้เครื่องร่อนขนาดกลาง ราคาถูกกว่า คือค่าพาหนะก็ถูก มีความสะดวกสบาย รถยนต์กับเครื่องร่อนในเมือง มีสถานที่จอดอยู่ร่วมกัน แบ่งซีกกัน ซีกนี้เป็นของเครื่องร่อน ซึกนี้เป็นของรถยนต์ เป็นรถยนต์รับจ้าง เครื่องร่อนรับจ้าง ให้ความสะดวกสบาย เสียค่าพาหนะไม่มาก
จึงหันมาถามเขาว่า ที่นี่มีพระราชา หรือมีประธานาธิบดี เขาฟังแล้วเลยงง ทั้ง สองอย่าง เขาบอกว่าไม่รู้จักคำว่าพระราชา ไม่รู้จักคำว่าประธานาธิบดี ก็ถามว่าที่นี่ปกครองกันอย่างไร เขาก็บอกว่ามีพ่อเมือง ก็ถามว่าพ่อเมืองตามตระกูลรัชทายาทกันหรือ สืบต่อกันมาจากตระกูลต่าง ๆ หรืออย่างไร หรือเลือกตั้ง เขาบอกว่า ไม่มีตระกูลเป็นรัชทายาท ไม่ใช่สืบต่อตามตระกูล แล้วไม่มีการเลือกตั้ง มีแต่การแต่งตั้ง ถามเขาว่า การแต่งตั้งเป็นอย่างไร เขาก็เลยบอกว่า จะต้องการคนที่มีคุณสมบัติสูงจริง ๆ สมกับตำแหน่งพ่อเมืองคือเป็นพ่อของคนทั้งประเทศเอามาเป็นพ่อเมือง ก็ถามเขาว่าลักษณะขอคนมาเป็นพ่อเมืองเขาทำอย่างไร เขาบอกว่า ทุกจุดจะต้องสังเกตคนไว้ สังเกตลักษณะของคน คนเกิดลักษณะนี้ เขามีตำราดู คล้าย ๆ ลักษณะของธิเบต

ปัจจุบัน คำว่าปัจจุบันก็หมายความว่า อดีตไกล้ปัจจุบัน ปัจจุบัน เวลานี้ ธิเบตก็คงไม่ได้ใช้หรือใช้ก็ไม่ทราบ เขาจะดูกันมาตั้งแต่เด็ก ดูลักษณะท่าทาง และดูความประพฤติ ดูความทรงธรรม และแต่ละหน่วยก็ตั้ง ต่างคนต่างตั้ง ต่างคนต่างมีไว้เลือกคนไว้ แต่ละจุด

ในที่สุด เมื่อพ่อเมืองของบ้านเมืองนี้ต้องตายไป จากไป เขาก็จำคนทั้งหลายนั้นมาแข่งกันอีกคำว่าแข่งขันกัน ก็คือรายงานลักษณะอาการ จริยา ความทรงธรรมของบุคคลนั้น แล้วมาไล่เบี้ยดูลักษณะให้ครบถ้วน ดูความประพฤติปฏิบัติให้ครบถ้วนตามที่เขาต้องการ เขาก็เชิญท่านผู้นั้นขึ้นครองเมือง เรียกว่าพ่อเมือง คนทุกคนมีความเคารพ ก็ถามว่า เขาว่า ถ้าใช้เวลา สมมติว่า ถ้าเวลาผ่านไป 2,000 ปีเศษ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าของเราอุบัติขึ้นมา จนบัดนี้ 2,500 ปีเศษ

เขาก็ยิ้ม เขาก็บอกว่า ตั้งแต่เขาเกิดมา เพิ่งมีพ่อเมืองคนเดียว 2,000 ปีเศษนี่ มีพ่อเมืองคนเดียว แต่เขาบอกว่าเขามีอายุ 8,000 ปีเศษ เขาเพิ่งพบพ่อเมืองคนเดียว ก็ถามเขาว่า ทำไมคนอายุยืนนัก เขาก็ตอบว่า ที่นี่ต้องมีอายุ 12,000 ปี ของจักรวาลโลกชมพู จึงจะตายกัน ทุกคนต้องอยู่เต็มอายุขัย ทั้งนี้เพราะอาศัยพรหมหาร 4 กับ กรรมบถ 10 คุ้มครอง แหม.. เขาช่างมีความสุขจริง ๆ เหลือเวลานิดหน่อย

ขอให้เขาพาไปสนามบิน เขาบอกว่า สนามบินระหว่างในประเทศหรือต่างประเทศหรือต่างโลก แหม.. ในประเทศเราก็เคยเห็น ต่างประเทศเราก็เคยเห็น แต่
ต่างโลก นี่ไม่เคยเห็น ก็ถามว่า คนต่างโลกมาที่นี่กี่โลก เขาบอกว่าที่มาประจำจริง ๆ คือ 3 โลก โลกทางทิศเบ้องซ้าย ถ้าหันหน้าไปทิศใต้ อยู่ด้ายซ้ายมือถึง 2 โลก และโลกอยู่หลัง คือ
ทิศเหนืออีก 1 โลก ก็ถามว่าทั้ง 3 โลก นี้ลงสนามบินเดียวกันหรือ เขาก็ตาอบว่า ลงคนละสนาม ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นขอไปชม แล้วในระหว่างทางก็ถามเขาว่า แต่ละสนามมีลักษณะท่าทางแตกต่างกันไหม เขาบอกว่าไม่แตกต่างกัน เหมือนกันทั้งหมด ก็เลย บอกว่า ถ้าอย่างนั้น

ขอชมสนามเดียว เขาก็พาไปชม ในที่นั้น ก็มีเครื่องบินในประเทศอยู่ด้วย ก็เพราะว่ามีทั้งเครื่องบิน มีทั้งเครื่องร่อน เครื่องร่อนคือจานหมุน ๆ นั่นแหละ มีทั้งเครื่องบิน มีทั้งจานบินก็ได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า ฟังง่ายดี ลักษณะมันเหมือนจาน เพื่อรองรับชาวต่างโลกที่มาลง แล้วเขาต้องการไปที่ไหน ก็พาไปที่นั่น

ในขณะที่ไป ก็พบเครื่องร่อนมาจากต่างโลก แต่ว่าเครื่องร่อน หรือเครื่องบินลักษณะมันไม่เหมือนกัน บางลักษณะมาจากโลกเดียวกัน คือรูปร่างคล้าย ๆ เรือเมล์ แต่มีปีกก็มี รูปร่างลักษณะคล้าย ๆ กับจานบินก็มี และต่างคนต่างมี พอเครื่องร่อนนั่นลงปั๊บรู้สึกว่า เรียบร้อยดีมาก เขาเปิดเครื่องขึ้นมาคนก็ลงมา การแต่งกายมีลักษณะคล้ายคลึงกัน จึงเข้าไปถามคนที่มาจากต่างโลก ถามว่า ท่านมาจากโลกไหน เขาก็ตอบให้ทราบว่า มาจากโลกนั้น ๆ ตอนนี้ท่าน

ผู้ฟัง หรือท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่ารู้ภาษาเขาได้อย่างไร ก็ตอบว่ารู้ภาษาจากอารมณ์ คือคิดว่าภาษาเขาเป็นอย่างไร ให้เราฟังเข้าใจ รู้เรื่องเหมือนภาษาของเรา แล้วภาษาที่เราพูดไป มันอาจจะไม่เหมือนภาษาของเขา แต่ตั้งใจคิดว่า ให้เขาฟังแล้วเข้าใจเหมือนภาษาของเขา ให้เขามีความรู้สึกว่า เราพูดภาษาของเขา เขาก็ตอบภาษาของเขามา เราก็ตอบภาษาของเราไป มันก็ลงตัวกันได้

ในเมื่อทุกอย่างลงตัวกันได้ ก็ถามความเป็นมาของเขา เขาก็เล่าความเป็นมา ถามว่า การที่เขาเคลื่อนที่มาจากโลกโดยต้องใช้ระยะเวลาบินกี่ชั่วโมง เขาถามว่าเป็นเวลาของโลกชมพูใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ ที่ถามนั้นก็เป็นพวกที่มาจากโลกทิศตะวันออก เป็นโลกใหญ่ ใกล้ ๆ หน่อย ไม่ไกลนัก แต่ไกลกว่าโลกของเราไปดวงจันทร์ เขาก็บอกว่า การใช้เวลาเดินทางมาที่นี่ ถ้าใช้เวลาของโลกชมพู ก็ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง ก็ถามเขาว่า โลกของท่านจริง ๆ อยากจะทราบว่า มันมีมืด มีสว่าง เหมือนกับโลกชมพูไหม เขาก็ตอบว่าโลกของเขาไม่มีมืด มีแต่สว่าง

ถามเขาว่า เวลาการนอน การพักผ่อนจะมีไหม เขาบอกว่ามี แต่การพักผ่อนไม่เสมอกัน คนนี้นอนเวลานี้ ตื่นเวลานั้น คนนั้นนอนเวลานี้ ตื่นเวลานั้น ก็เรียกว่า ทั้งเมือง ทั้งบ้านจะมีคนตื่น และคนหลับอยู่ตลอดเวลา การงานที่เขาทำทั้งหมด จะไม่มีอะไรคั่งค้าง ฟังแล้วน่าก็น่าปลื้มใจ นอนต่างเวลากัน ทำงานต่างเวลากัน ของเขามีสงว่างตลอด ก็ถามถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ เขาบอกว่า เขามีครบครัน อันนี้ไม่ต้องอธิบาย ก็รวมความว่า ที่นี่มีความสะดวก ไม่ต่างไปจากโลกก็ได้ คนละโลกก็พูดรู้เรื่องกัน หันไปดูเจ้าหน้าที่เขาทักทายปราศรัยกันแบบกันเองทุกอย่าง พูดก็เหมือนกัน คล้าย กับว่า เขาจะมีภาษากลางของเขา
แต่ถ้าเราฟังภาษากลางของเขาแล้ว มันเหมือน คล้าย ๆ ภาษาญี่ปุ่น สั้น ๆ อีโละโก๊เก๊ะเสียงหนัก ๆ เหมือนกัน แต่ว่าก็ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น


ในเมื่อถึงจุดนี้แล้วก็ตาม เจ้าหน้าที่ที่นำไป ถามว่า นอกจาพาหนะบนผิวดินคือรถยนต์ แล้วก็บนอากาศ คือเครื่องบิน หรือเครื่องร่อน นอกจากนั้น พานหะของท่านมีที่ไหนบ้าง เขาบอกว่า นอกจากบนผิวดิน และนอกจากอากาศ ก็มีใต้ดิน ก็ถามว่า มีอะไร บอกว่า มีรถไฟ มีรถยนต์ มีเมืองใต้ดิน แต่ความจริง เรื่องนี้ไม่แปลก เพราะโลกชมพูเรามีอยู่แล้ว ใต้ดินหลาย ๆ ประเทศ อย่างที่ประเทศอเมริกาก็มี ประเทศญี่ปุ่นก็มี หลาย ๆ ประเทศ เขาก็มีรถไฟใต้ดิน มีรถยนต์ใต้ดิน มีสถานอาคารใต้ดิน เขาก็มีอยู่แล้ว ไม่ใช่ของแปลก โลกเราก็มี โลกเขาก็มี แต่ว่า อยากจะถามเขาว่า เมืองใต้ดิน เป็นเมืองใหญ่ไหม เขาก็บอกว่า ใหญ่พอดู ถามว่า เส้นทางของเมืองใต้ดิน ใช้ความกว้างประมาณเท่าไร เอาเฉพาะเส้นทาง เขาบอกว่า เส้นทางเมืองใต้ดิน มี คือ รถยนต์ใต้ดิน รถไฟใต้ดินก็ตาม เป็นเส้นทางเดิน ก็มีความกว้างถ้าจะเทียบกับของเราก็ประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นความกว้าง ถามเขาว่า เวลาขุดทางมันผ่านภูเขา ผ่านหินไหม เขาบิกว่า ผ่าน ก็ถามว่า ทำได้อย่างไร เขาบอกว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของคนสร้างเครื่องจักร บริษัทสร้างเครื่องจักรเขามีความรู้ ความสามารถ เขาทำได้

เอาละท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง คุยกันไปคุยกันมามองดูเวลา เหลือ นาทีเศษ ๆก็คงต้องลาก่อน เพราะจะหมดเวลา ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคงสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี


นิทานหลวงพ่อฤาษีลิงดำ?

จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ

ตอนที่ 5

  ตอนที่1-2
   ตอนที่3-4


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายและท่านผู้อ่านทั้งหลายต่อนี้ไปก็มาพบกับเรื่องของดาวถุงดำขอท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟังทั้งหลายโปรดทราบและจงอย่าลืมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องนิทานเรื่องจริงๆก็มีอยู่ว่านักวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเขาส่องกล้องเห็นดาวถุงดำใช้ศัพท์ว่าอย่างนี้ไอ้เจ้าดาวถุงดำนี้พฤติการณ์มีอยู่ว่าอะไรก็ตามถ้าเข้าไปใกล้มันมันดูดเข้าไปหมดแม้แต่แสงต่างๆก็ดูดเข้าไปจนกระทั่งมองไม่เห็นมีแค่นี้


ต่อมาก็นำเอาเรื่องดาวถุงดำมาตั้งต้นเป็นนิทานเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาแล้วก็ตามที่จะว่ากันต่อไปก็ตามเป็นนิทานทั้งหมดและเรื่องของนิทานอาจจะพาดพิงธรรมะบางก็เป็นของธรรมดาก็รวมความว่าต่อไปนี้ก็มาฟังกัน


หลังจากได้ติดตามท่านเจ้าของถิ่นไปชมสถานที่เมืองต่างๆและยานพาหนะต่างๆตลอดจนกระทั่งยานไปโลกต่างๆด้วยได้ชมยานพาหนะที่โลกต่างๆมาสู่โลกนี้ความจริงฟังแล้วก็ครึ้มดีแต่ถ้าเป็นจริงตามนั้นจะดีมากเลยหลังจากนั้นก็ลงมาที่เกาะขอโทษยังไม่ถึงเกาะที่ชายมหาสมุทรที่เมืองท่าก็ให้ท่านเจ้าของถิ่นพาชมเมืองต่างๆก็รวมความว่าความเป็นมาทุกสิ่งทุกอย่างของเรากับของเขาคล้ายคลึงกันแต่ว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกชมพูนี้เองคนพูดก็ไม่รู้ทั้งหมดว่ามีอะไรมาบ้างแต่เรื่องราวของวิทยาศาสตร์เราต้องยอมรับ


เป็นอันว่าเขามีการคล่องตัวทุกอย่างทั้งค้าและทั้งขายคล่องตัวทั้งหมดสิ่งที่อยากจะทราบก็คือว่าทางใต้ดินที่เรียกกันว่าอุโมงค์หรือเมืองใต้ดินที่เขาบอกว่าของเขามีแต่ความจริงที่โลกสีชมพูเราก็มีเท่าที่ทราบอย่างอเมริกาเขาก็มีอย่างญี่ปุ่นก็มีและมีหลายๆประเทศมันก็เป็นของไม่แปลกสำหรับคนผู้ฟังแต่สำหรับผู้พูดเองก็รู้สึกว่าแปลกเพราะไม่เคยไปเคยแต่ลงอุโมงค์ที่ฮ่องกงมันก็เป็นอุโมงค์ใต้น้ำเฉยๆก็เลยตามเข้าไปดูก็ปรากฏว่าทางใต้ดินของเขามีความกว้างประมาณ๔กิโลเมตรจริงมันกว้างมากไม่ใช้เฉพาะรถรถก็มีสองทางทางไปและทางมารถไม่สวนกันเดินกันคนละทางและก็เลนที่สำหรับใช้วิ่งรถก็หลายเลนด้วยกันรถมีมากแต่ว่าใต้ดินนี้ถามเขาว่ายานเหาะมีไหมเขาบอกว่าสถานที่มันต่ำยายเหาะไม่มีแต่ว่ารถของเขาก็ดีมีทั้งรถไฟมีทั้งรถรางมีทั้งรถยนต์แต่ก็ขาดรถเจ๊กกับรถม้าของเขาไม่มีของเราเคยมีทั้งสองข้างทางไม่เปลี่ยวมีบ้านเรือนโรงมีตึกมีห้องแถวเป็นแถวๆไปก็มีคนมากบ้างน้อยบ้างไม่มากนักแต่พอนั่งรถไปประมาณสัก๓๐กิโลเมตรก็จะเจอะเมืองใหญ่ๆ


ในเมืองนี้ท่านเจ้าของถิ่นบอกว่าจะมีพลเมืองในเมืองนี้ประมาณ๒แสนคนมันก็ไม่เล็กคือว่าเขาขุดอุโมงค์ลึกออกไปข้างๆตั้งตึกแถวบ้านช่องเรือนโรงคนจริงๆที่อยู่รู้สึกว่าทุกคนมีความสดชื่นหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสถ้าจะถามว่ามีอะไรบ้างถ้าบอกไปเมืองเราก็มีหมดแล้วเพียงแต่บอกว่าที่นี่เขามีตุ๊กตาตุ๊กตาบ้านเราก็มีมีผู้ชายกับผู้หญิงผู้ชายกับผู้หญิงบ้านเราก็มีแต่ก็ไม่ได้ถามเขาว่าเมืองนี้มีกระเทยหรือเปล่าและหลังจากนั้นก็จะถามเขาอีกว่ามีอะไรบ้างก็ไม่น่าแปลกไม่น่าถามแต่ว่าสิ่งที่ถามก็คือว่าเมืองนี้ขุดลงลึกใต้ดินประมาณเท่าไรเจ้าหน้าที่ที่นำไปเขาบอกว่าเขาก็ไม่ได้ถามช่างเหมือนกันแต่รู้สึกว่ามันลึกมากถามเขาว่าเวลานี้อยู่ใต้ระดับน้ำทะเลไหมเขาบอกว่าไม่ใช่ใต้ระดับน้ำทะเลใต้ท้องทะเลลึกลึกกว่าท้องทะเลลงไปอีกเส้นทางนี้ทั้งหมดลอดมหาสมุทรลอดใต้เมืองพื้นแผ่นดินด้วยแล้วก็ลอดมหาสมุทรด้วยไปตามเมืองเกาะกลางน้ำต่างๆซึ่งมีหลายเมืองก็ถามเขาว่าเมืองทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นเมืองขึ้นหรือเปล่าเขาบอกว่าเปล่าไม่ใช่เป็นเอกราชเขาเป็นเมืองปกครองกันเอง


ก็เลขบอกเขาว่าอยากจะไปในเมืองนั้นเขาบอกไปได้จะนำไปแล้วก็นั่งรถไปชมทิวทัศน์ทั้งสองข้างอย่างสะดวกสบายมีความสุขพอไปถึงบริเวณอีกเมืองเมืองหนึ่งใต้บาดาลเมืองนี้ไม่โตนักเป็นเมืองเล็กๆเขาบอกว่ามีพลเมืองประมาณ๒หมื่นคนเขาบอกว่าที่เมืองเมืองนี้แหละเป็นทางมีทางขึ้นเมืองในเกาะในทะเลเมืองที่อยู่กลางมหาสมุทรหรืออยู่กลางทะเลเหมือนกับประเทศญี่ปุ่นหรือฟิลิปปินส์แบบนี้แหละแต่ก็มีทางขึ้นบกก็บอกเขาบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็อยากจะขึ้นบกก็บอกเขาบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็อยากจะขึ้นบกเขาก็นำวิ่งรถไปเรื่อยๆรู้สึกว่าความเป็นเนินขึ้นทีละน้อยๆขึ้นสะดวกมากลาดชันน้อยๆถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้สึกสักประเดี๋ยวหนึ่งก็ปรากฏว่าขึ้นเหนือพื้นแผ่นดินก็ปรากฏว่าไอ้ที่ตรงนั้นเป็นเมืองเกาะมีเกาะน้ำล้อมรอบแต่ไม่ใช่เกาะเล็กๆที่ทราบว่าเป็นเกาะน้ำล้อมรอบก็เพราะว่าขึ้นชายเกาะเห็นน้ำเป็นแนวไกลแต่ว่าถ้าจะมองตัดผ่านศูนย์กลางให้ดูด้านเกาะทางโน้นไม่เห็นกันแน่มันไกลมาก


ถามเขาว่าเกาะนี้มีเนื้อที่กี่ตารางกิโลเมตรเขาบอกว่ามีเนื้อที่ประมาณ๒แสนตารางกิโลเมตรก็เป็นเมืองใหญ่มากก็เป็นประเทศประเทศหนึ่งและก็ถามเขาบอกว่าถ้าหากว่าเมืองนี้อยู่กลางเกาะลมพายุหนักๆจะมีไหมเขาก็บอกว่าถ้าหากว่าลมพายุหนักๆเข้ามาเมืองนี้มันไม่กลางเป็นเมืองใต้น้ำหรือเขาก็บอกว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่เขาอยู่กลางทะเลมาเป็นประจำเขามีการป้องกันกระแสน้ำไม่ให้น้ำมีกำลังแรงนักเมื่อขึ้นไปบนเกาะของเขาแล้วผู้นำเขาก็พาไปชายทะเลไปไกลห่างกันประมาณ๓กิโลเมตรก็เห็นกำแพงสูงตระหง่านกำแพงมีความสูงมากก็ลืมไปไม่ได้ถามเขาว่ากำแพงที่เห็นมันสูงกี่เมตรกันแน่มันสูงกว่าศรีษะหลายๆเท่าเป็นกำแพงกั้นรอบๆเท่าที่ตาเห็นเป็นกำแพงกันรอบชายน้ำทั้งหมดเขาจึงพาเข้าไปทางประตูที่ออกพอถึงทางออกก็มีทางออกใหญ่ที่เรียกว่ารถขนาด๕-๖คันเรียงเข้าไปยังไม่เต็มทางเมื่อออกทางนั้นแล้วก็ไปสักครู่หนึ่งก็ไปเจาะกำแพงอีกด้านหนึ่งอีกชั้นหนึ่งหรืออีกตอนหนึ่งเป็นกำแพงกั้นตรงเลี้ยวซ้ายไปนิดหนึ่งเดินไปสักครู่หนึ่งก็ไปเจาะประตูทางออกต่อไปเมื่อเดินตรงไปแล้วก็ไปเจอกำแพงอีกชั้นหนึ่งเป็นกำแพงสูงเหมือนกัน


ถามเขาบอกว่ากำแพงนี้เขาทำไว้ทำไมผู้นำก็บอกว่ากำแพงนี้ชาวเกาะเขามีความฉลาดคลื่นลมตามธรรมดาถ้าธรรมดาๆแล้วเขาไม่กลัวกันแต่ก็เป็นธรรมดาอยู่เองคลื่นลมที่มีความแรงมากมีอยู่แต่คลื่นลมจะแรงมากจะขนาดไหนก็ตามจะทำลายบ้านเรือนเขาไม่ได้เพราะว่าเขาชินต่อการป้องกันแต่ทว่ากระแสน้ำอาจจะตีขึ้นเกาะเขาได้ฉะนั้นเขาจึงหาทางป้องกันแระแสน้ำน้ำส่วนที่กระแทกกำแพงจะต้องสะท้อนกลับไปมหาสมุทรส่วนที่เหนือขึ้นไปนั้นเหนือกำแพงขึ้นไปก็จะตกลงในช่วงช่องของกำแพงถ้าคลื่นมาอีกก็เป็นแบบนี้จะทำให้กระแสน้ำมีกำลังอ่อนก่อนที่ไหลเข้าเกาะการจะไหลเข้าก็ไหลลำบากเพราะช่องไม่ตรงกันมันเยื้องกันกระแสน้ำที่ไหลเข้าแล้วและตกแล้วก็ไหลออกมหาสมุทรเขาทำแบบนี้เขาบอกว่าเป็นการป้องกันแผ่นดินเขาเปียกน้ำได้ดีมากคือว่าน้ำจะไม่เข้าถึงแผ่นดินใหญ่ถ้าเข้าถึงบ้างก็มีเล็กน้อยมีแต่กระแสน้ำฝนกระแสน้ำของคลื่นจริงๆไม่สามารถจะเข้าถึงเพราะกำลังของคลื่นจะตกลงในระหว่ากำแพงที่เขากั้นไว้มองดูเขาก็ชื่นในในความฉลาดแต่ความจริงเรื่องความฉลาดอย่างนี้ก็ถือว่าไม่ใช่ความฉลาดเป็นพิเศษทั้งนี้เพราะอะไรเพราะว่าคนทุกคนย่อมคิดได้คนทุกคนสามารถสั่งการได้แต่ทุนทรัพย์ที่จะพึงทำมันไม่มี


หลังจากนั้นก็ชวนเขาเข้าไปในเขตตลาดเข้าไปในเมืองเข้าไปในเมืองก็มีสภาพเช่นเดียวกันมีของทุกอย่างพร้อมมูลบริบูรณ์ทั้งหมดคนก็รูปร่างลักษณะหน้าตาคล้ายคลึงกันทั้งบนบกและในทะเลคล้ายคลึงกันมากไม่แตกต่างกันอย่างคนไทยกับฟิลิปปินส์ก็มองยากเหมือนกันคล้ายคลึงกันมากคนของเขาก็มีสภาพแบบนี้ไม่เหมือนเช่นเรากับญี่ปุ่นของเราพอถึงญี่ปุ่นแตกต่างไปเยอะแล้วพอเข้าไปในอินโดนีเซียก็รู้สึกว่าแตกต่างกันมากสังเกตง่ายแต่คนไทยกับฟิลิปปินส์สังเกตยากเว้นไว้แต่พูดถ้าไม่พูดจะไม่รู้ว่าใครเป็นใครสังเกตกันยากข้อนี้ฉันใดเมืองของเขาเมืองนี้กับเมืองบนบกที่ผ่านมาแล้วก็มีสภาพเช่นเดียวกัน


ในเมื่อเขาชวนเดินไปบ้างนั่งรถไปบ้างชนตลาดของเขาก็ไม่หนาแน่นเหมือนของเราคนไม่มากเท่าเราแต่สิ่งของที่ส่งมาทางเรือก็มีมากโดยมากที่มาจากบนบกมักจะเป็นพืชไร่และของป่าแต่ของที่ชาวเกาะส่งไปขายบนบกเป็นของที่ประดิษฐ์ขึ้นทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ก็รวมความว่าก็เป็นของธรรมดาอีกจึงเดินเข้าไปในจุดๆหนึ่งในที่นั้นมีสถานที่แปลกที่ว่าแปลกก็เพราะว่าเป็นตึกไม่สูงเท่าตึกอื่นตึกเขาสร้างสูงๆกว้างขวางใหญ่โตสวดสดงดงามมากมีแสงสว่างแพราวพราวไปด้วยไฟฟ้าเครื่องไฟฟ้าไม่ต้องห่วงของเขาดีแน่แต่ว่าสิ่งที่น่าแปลกก็คือว่าสถานที่นั้นสร้างไม่เหมือนบ้านทุกหลังที่มีอยู่ที่เคยเห็นมามียอดแหลมๆและก็มีหลังคาคล้ายๆกับช่อฟ้ามีทรงแปลกๆรู้สึกว่าสวยสะดุดตาจึงถามเขาว่าสถานที่นั้นเป็นอะไรเขาบอกว่าที่ตรงนั้นเป็นศูนย์ศึกษาพระศาสนาก็ถามเขาว่าศาสนาที่เขานับถือเป็นศาสนาอะไรเขาบอกว่าเรื่องศาสนาทีนี้ไม่บังคับกันใครจะนับถือศาสนาอะไรก็ได้แต่ว่าทุกคนต้องปฏิบัติให้เหมือนกันหมดนั่นคือพรหมวิหาร๔และกรรมบถ๑๐อันนี้ต้องเหมือนกันทุกคนในประเทศนี้และทุกๆประเทศเรียกว่าในโลกนี้ต้องปฏิบัติเหมือนกันหมดนอกจากนั้นคำสอนของท่านผู้ใดจะสอนไปแบบไหนก็ช่างเถิดแต่ว่าจะละเมิดพรมวิหาร๔กับกรรมบถ๑๐ไม่ได้


ก็ถามเขาว่านั้นเป็นเรื่องทั่วๆไปแต่ศาสนาจริงๆที่ยอดรับนับถือกันส่วนใหญ่เขาบอกว่านั่นก็คือพระพุทธศาสนาก็ถามเขาว่าพระพุทธศาสนายอรับนับถือกันมาตั้งแต่เมื่อไรเขาบอกว่าบรรพบุรุษบอกมาว่านับถือพุทธศาสนากันจริงจังเมื่อ๒,๕๐๐ปีเศษนับอายุหรือนับปีในจักรวาลของโลกชมพูแต่จักรวาลของโลกเขาเขาไม่ได้บอกแต่คนของเขาจริงๆถ้านับอายุในโลกสีชมพูแล้วจะมีอายุถึง๑๒,๐๐๐ปีเป็นอายุขัยฉะนั้นเวลานี้คนที่นำทางเขานับอายุในโลกของเราได้๘,๐๐๐ปีในเมื่อเขามีอายุตั้ง๘,๐๐๐ปีเขาก็ต้องพบพระพุทธศาสนาแน่เลยถามเขาบอกว่าพระที่มาเทศส่วนใหญ่เป็นใครเขาบอกว่าในสมัยนั้นจริงๆส่วนใหญ่เป็นพระโมคคัลลาน์


แล้วก็ถามว่าพระองค์อื่นมาบ้างไหมเขาก็บอกว่ามาถามว่าการมาของท่านท่านมาอย่างไรเขาบอกว่าท่านก็ลอยมาแบบนี้แหละเป็นพระที่ลอยได้ก็บอกับเขาว่าเวลานี้พระโมคคัลลาน์นิพพานไปแล้วเขาทราบไหมเขาบอกว่าเขาทราบถามเขาว่าเขารู้จักพระพุทธเจ้าไหมเขาบอกว่าเขารู้จักถามว่าเคยเห็นตัวไหมเขาบอกว่าเขาไม่เคยเห็นตัวไม่เคยเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารูปร่างลักษณะอย่างไรเอาตัวจริงๆกันแต่พระโมคคัลลาน์เคยทำปาฏิหาริย์ให้เห็นให้เห็นพระพุทธเจ้ามีรูปร่างลักษณะสวดสดงดงามมากก็ถามเขาว่าเวลานี้พระอรหันต์ทั้งหลายท่านนิพพานไปแล้วยังจะมีพระอะไรมาสอนบ้างไหมเขาก็บอกว่ามี


ถามเขาว่าท่านมาบ่อยๆหรือนานๆมาครั้งเขาบอกว่าถ้าจะนับเวลาในโลกชมพูกันจริงๆก็จะประมาณ๓เดือนมีมาครั้งหนึ่งก็ถามเขาว่า๓เดือนท่านมาครั้งหนึ่งรู้สึกว่านานไปไหมเขาก็ตอบว่าไม่นานเพราะคำสอนของท่านแต่ละอย่างท่านสอนไว้แม้จะน้อยแต่ว่าเราก็ปฏิบัติกันไม่ค่อยได้ถ้าจะใช้คำว่านานก็หมายความว่าปฏิบัติได้แล้วนานแล้วท่านไม่มาต่อให้อันนี้ควรจะว่านานและความรู้การปฏิบัติที่ท่านสอนพวกเราพวกเราปฏิบัติไม่ค่อยจะถึงท่านจึงถามเขาว่าในเมื่อทุกคนที่นี่ตั้งอยู่ในพรมวิหาร๔และกรรมบถ๑๐และคำสอนของพระโมคคัลลาน์ท่านสอนอย่างไรต่อไปอีกเขาบอกว่าท่านก็แนะนำให้ละสังโยชน์สังโยชน์มี๑๐อย่างถ้าพูดไปแล้วก็เหมือนของเราก็บอกว่าการละสังโยชน์๑๐โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังโยชน์๓เบื้องต้นท่านทำได้ไหมเขาบอกว่าเขาทำได้แต่มันไม่หมดการทรงตัวยังไม่แน่แท้นักก็ถามว่าข้อไหนที่ถือว่ายากที่สุดเขาบอกว่าทุกข้อไม่ยากแต่ก็ไม่มีความมั่นใจว่าทำได้จริงๆอันนี้เขาไม่ประมาทจริงๆ


ก็เลยบอกว่าในเมืองโลกนี้ทั้งโลกบังคับว่าต้องปฏิบัติในพรหมวิหาร๔และกรรมบถ๑๐ในเมื่อสองอย่างนี้ครบถ้วนทุกคนก็เป็นพระโสดาบันกับสกิทาคามีได้แล้วคือว่าทุกคนยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าพระธรรมพระอริยสงฆฺ์และถ้าปฏิบัติในศีลและกรรมบถ๑๐ได้ครบถ้วนก็เป็นพระอริยะเบื้องต้นคือพระโสดาบันหรือสกิทาคามีเขาบอกว่า๒อย่างนี้ไม่หนักแต่มันหนักอีกอย่างหนึ่งถามว่าหนักอะไรเขาก็ตอบว่าหนักในการเห็นตัวทุกข์คนโลกนี้จริงๆไม่ค่อยจะเห็นทุกข์ทุกอย่างมันสุขหมดจะกินเมื่อไหร่ก็มีกินจะนอนเมื่อไหร่ก็ได้อันตรายๆก็ไม่มีการระมัดระวังต่างๆก็ไม่มีนอนหลับตื่นขึ้นมาของหายแบบโลกชมพูก็ไม่มีนั่งอยู่ดีๆถูกจี้เอาเงินเอาทองไปแบบโลกชมพูนี้เขาสรรเสริญโลกชมพูเราน่ะ

เป็นอันว่าโลกชมพูของเราเขาสรรเสริญมากกว่านักจี้ก็มีนักปล้นก็มีนักล้วงกระเป๋าก็มีมีทุกอย่างเขาบอกว่ายิ่งไปกว่านั้นโลกชมพูยังมีความรู้พิเศษคือความรู้บวกคำว่าบวกหมายถึงว่าหากำไรของอย่างนี้ซื้อมาเท่านี้บอกราคาเท่าโน้นแล้วขายเท่าโน้นต่อไปอีกของซื้อมาหนึ่งบาทบอกว่าหกสลึงขายสองบาทในขณะที่บอกราคานี้เป็นกำไรในตัวอย่างนี้เขาเรียกว่าบวกอย่างนี้โลกชมพูก็มีแต่ว่าชินโลกนี้ไม่มีพอเขาพูดให้ฟังก็มีความเข้าใจว่าคนโลกนี้ไม่เข้าใจในทุกข์และเขาพูดต่อไปว่าข้อหนึ่งของสังโยชน์นั้นคือสักกายทิฏฐิที่พระโมคคัลลาน์สอนให้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราเราไม่มีในร่างกายร่างกายไม่มีในเราคือเรากับร่างกายแยกกันออกไปร่างกายถ้ามันตายแล้วเราไม่ตายเรามีความดีคือบุญทำไว้ไปสวรรค์บ้างพรหมโลกบ้างไปนิพพานบ้างถ้าเรามีความชั่วมีบาปเช่นปาณาติบาตเป็นต้นก็ไปเกิดเป็นเปรตบ้างอสุรกายบ้างสัตว์เดรัชฉานบ้างลงนรกไปบ้างและให้ถือว่าว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยงความตายเป็นของเที่ยงความตายจะมาถึงเราเมื่อไรก็ได้อย่างนี้คนโลกนี้ไม่เข้าใจก็ถามเขาว่าทำไมถึงไม่เข้าใจเขาก็บอกว่าคนโลกนี้จริงๆจะต้องมีอายุ๑๒,๐๐๐ปีมันไม่ตายจะถือว่าความตายจะเข้าถึงเราเมื่อไรก็ได้มันก็นึกไม่ออกนึกได้แต่เพียงว่าเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็มีความตายเป็นที่สุดแต่ก็มองไม่เห็นทุกข์คิดว่าถ้าเราเกิดมาเป็นคนต่อไปอีกเราก็มีความสุขอย่างนี้เวลานี้มีความสุขเราไม่มีรถใช้เราก็โดยสารรถได้ราคารถก็ไม่แพงเราไม่มีเครื่องบินใช้เราก็โดยสารเครื่องบินได้จะไปเมื่อไรก็ได้เครื่องบินมีเยอะค่าพาหนาะก็ถูกคือว่าประเทศนี้ไม่ได้ใช้น้ำมัน


ก็รวมความว่าคุยกันไปคุยกันมาเวลามันก็มากคนฟังรำคาญหรือเปล่าก็ไม่ทราบเมื่อสรุปแล้วคนโลกนี้คิดว่าพระโสดาบันเป็นของยากและยากข้อเดียวคือสักกายทิฏฐิก็น่าเห็นใจเขาแต่ความเคารพในพระพุทธเจ้าในพระธรรมในพระอริยสงฆ์เขามีจริงหลังจากนั้นก็ชวนบอกว่าถ้าอย่างนั้นอาคารหลังนี้เป็นอาคารสอนศาสนาใช่ไหมเขาบอกว่าใช่ถามเขาว่าเวลานี้มีพระมาไหมเขาแลเห็นธงสีเหลืองยกขึ้นเขาบอกว่าเวลานี้พระกำลังเทศน์แล้วก็บอกเขาว่าถ้าอย่างนั้นต้องขออภัยที่รบกวนท่านทำให้ท่านไม่มีโอกาสได้ฟังเทศน์เขาก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรที่นี่เป็นเมืองเกาะสำหรับเขาเขาฟังมาแล้วจากเมืองบนพื้นดินพระท่านเทศน์ที่โน่นแล้วก็มาเทศน์ที่เมืองบนเกาะนี้ก็ถามเขาว่าเวลาที่พระเทศน์เราจะเข้าไปได้ไหมเขาบอกว่าพระท่านเทศน์ความจริงท่านไม่ได้พูดคนเดียวท่านพูดกับคนเป็นแบบสนทนากันเรียกว่าเทศน์ท่านถามถึงความเข้าใจในเรื่องที่ท่านพูดไหมอย่างนี้เข้าใจไหมอย่างนั้นเข้าใจไหมเรียกว่ารู้เรื่องกันเราเข้าไปได้มาถึงเมื่อไรก็ฟังเทศน์ได้คุยเทศน์ได้คำว่าคุยเทศน์ก็หมายความว่าเราถามได้จึงชวนให้เขานำเข้าไปในสถานที่สอนศาสนา


พอเข้าไปในสถานที่นั้นก็ปรากฏว่าที่บริเวณกว้างขวางจริงๆตึกด้านหน้าที่มองเห็นด้านหน้าเป็นมุขแสดงว่าที่นี่เป็นที่สอนศาสนาแต่เข้าไปข้างในเป็นตึกใหญ่มากบริเวณกว้างขวางมากมาแสงสว่างมีความเย็นดีมากและเครื่องขยายเสียงเขาก็ดีมากจริงๆใครจะพูดเมื่อไรก็ได้ยินกันทั่วเมื่อนั้นไมโครโฟนเขาก็ไม่ต้องตั้งให้ชูสูงอย่างไมโครโฟนของเราอย่างที่คนพูดนี้ไมโครโฟนตั้งสูงของเขามองไม่เห็นอยู่กับพื้นนั่งโต๊ะปุ๊บเป็นพบไมโครโฟนคือช่องเล็กๆและก็พูดได้ทันทีใครพูดขึ้นมาคนอื่นได้ยินหมด


เมื่อเข้าไปในที่นั้นเจอะพระท่านกำลังนั่งอยู่บนธรรมาสน์งามสง่ามากองค์โตกว่าคนธรรมดามากใหญ่มากก็ทราบได้ทันทีว่าการแสดงองค์แบบนั้นต้องเป็นการแสดงปาฏิหาริย์ก็ถามคนที่เขานำว่าองค์นี้พระอะไรเขาบอกว่าองค์นี้คือพระโมคคัลลาน์ที่ท่านบอกว่าพระโมคคัลลาน์นิพพานแล้วสำหรับโลกโน้นแต่โลกนี้พระโมคคัลลาน์ไม่เคยนิพพานท่านมาตามเวลาของท่านจริงๆองค์ใหญ่ขนาดนี้คนในพื้นพิภพนี้ทั้งหมดเรียกว่าโลกนี้ทั้งหมดเขาเรียกองค์นี้ว่าเป็นพระใหญ่ที่บางคนในโลกชมพูเขามีคนมาแล้วนะไม่ใช่มีแต่เฉพาะคณะของท่านเขามีคนมาแล้วเขาเคยถามว่าโลกนี้มีพระพุทธศาสนาไหมก็บอกเขาว่ามีเขาถามว่าพระอะไรมาสอนก็บอกเขาว่าส่วนใหญ่พระองค์ใหญ่มาสอนคำว่าพระองค์ใหญ่ก็หมายถึงพระโมคคัลลาน์เวลานั้นท่านกำลังเทศเข้าไปด้านนั้นรู้สึกว่าท่านหันมาข้างหน้าแต่คนนั่งทุกๆด้านก็มีความรู้สึกว่านั่งข้างหน้าท่านทั้งหมดอันนี้เป็นปาฏิหาริย์ใหญ่ตามบาลีบอกว่าอาการอย่างนี้จะแสดงได้เฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่นั่นก็หมายความว่าทุกองค์ยังมีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่เวลานี้อัครสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูคือพระโมคคัลลาน์ท่านนิพพานไปแล้ว


คำว่านิพพานแปลว่าสูญเมื่อวันที่๑๖เด็กนักเรียนสตรีวิทยามาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดท่าซุงเธอถามว่านิพพานเขาบอกว่าสูญใช่ไหมก็ตอบว่าเขาแปลว่าสูญเธอก็ถามว่าสูญหมายถึงสลายไปเลยหารไปเลยใช่ไหมก็ตอบว่าใช่เธอก็ถามว่าเวลาปฏิบัติกรรมฐานจริงๆทำไมจึงมีความรู้สึกสัมผัสนี่เป็นอันว่าเด็กนักเรียนเธอบอกว่านิพพานมีความรู้สึกสัมผัสสัมผัสรู้ว่านี่เป็นนิพพานจะพูดกันง่ายๆก็หมายความว่านิพพานนี่เธอสัมผัสมีตัวมีตนก็เลยบอกกับเธอว่านิพพานก็ดีสวรรค์ก็ดีพรหมโลกก็ดีเป็นต้นเขาเรียกว่านามธรรมแต่สิ่งที่ประสบของเธอเป็นรูปขึ้นมาเขาเรียกว่ารูปในนามคือส่วนที่เป็นนามก็มีรูปของนามเราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อก็ต้องใช้กำลังจิตสัมผัสโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องกล่าวว่าต้องใช้ทิพพจักขุญาณสัมผัสใช้ตาเนื้อไม่ได้ต้องใช้ตาใจคือตาเป็นทิพย์


เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัทมองดูเวลาเหลือนาทีเศษๆก็จะหมดเวลาแล้วขอลาก่อน
ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่านสวัสดี



จุไรท่องเที่ยวดาวหลุมดำ

ตอนที่ 6

ท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟังทั้งหลายมาตอนนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง เมืองชินโลก หรือ โลกถุงดำ หรือ ดวงดาวถุงดำ กันต่อไปก็ขอท่านผู้อ่านก็ดี ท่านผู้ฟังก็ดี อย่าลืมว่า เป็นนิทาน แต่ว่านิทานพระพูดก็ธัมมธัมโมที่น่ารำคาญผสมอยู่ด้วย เป็นของธรรมดาเพราะว่าสถานีวิทยุเขาถือว่า วันนี้เป็นรายการธรรมะ ก็ว่ากันเรื่อยๆ ไป เป็นธรรมะบ้างหรือเป็นอะไรบ้างก็ตามเรื่องเป็นนทานบ้างเป็นธรรมะไปบ้างแต่ว่าตอนท้ายๆ ธรรมะจะมากหน่อย เพราะเรื่องของโลกนี้มันหมด ถ้าคุยกันไปก็มีแต่เรื่องช้ำๆ เรื่องของคน


แต่ก็มีจุดๆ หนึ่งเป็นของที่โลกเราก็มีนั่นคือเรื่อนกระจก ในน้ำในมหาสมุทรเขาก็มีทางลงจากบก เหมือนกับอุโมงค์รถลอดอุโมงค์จากนี้ไปโน่นนั่นแหละ เหมือนกับที่ฮ่องกงคือลอดจากอีกฝั่งหนึ่งไปฝั่งหนึ่งลอดมหาสมุทรไป ลงไปในน้ำไปถึงเรือนกระจก เรือนกระจกเขาสวยสดงดงามมากมีไฟฟ้าสว่าง มีแสงสว่างมากมีเครื่องยิงเครื่องยิงให้ปลาคือไม่ใช่ยิงปลา เครื่องยิงอาหารให้ปลา ไปชมปลาต่างๆ มีความสวยสดงดงามมีสีหลากๆ กัน ปลากับคนไม่เป็นศัตรูกัน เพราะคนไม่กินปลา ปลาก็เลยไม่กลัวคน ก็มีสถานที่บางจุด ถ้าคนจะออกไปว่ายน้ำเล่น ก็มีเครื่องประดาน้ำสำหรับหายใจได้ เพราะมันใต้ส่วนลึกของมหาสมุทรเขาก็มีเครื่องยิง ยิงปุ๊ปไปเหมือนกับทหารเรือยิงตอร์ปิโด แต่วายิงไปแล้วขากลับก็เข้ามาถึงจุดที่เข้าก็ดูดเข้ามาอันนี้เป็นของไม่ยากโลกนี้ก็ทำได้ โลกโน้นก็ทำได้


แต่ว่าที่น่าแปลกใจก็คือ คนพูดไม่เคยลงเรือนกระจกในโลกนี้ แต่ก็ไปลงเรือนกระจกในโลกนั้น เรือนกระจกของเขามีมากจากเรือนนี้แล้ว ถ้าจะไปเรือนโน้นก็มีอุโมงค์ไป เป็นทางไปก็มียานสำหรับเป็นพาหนะเป็นรถย่อมๆ วิ่งไปได้ แล้วไปถึงเรือนโน้นแล้วก็ไปถึงเรือนโน้น เรื่องอาหารการบริโภคไม่ห่วง เขามีพร้อมระบบอากาศหายใจเขาก็ดี ไม่เห็นมีอะไร เข้าไปในเรือนกระจกก็ไม่ต้องใส่หน้ากากให้มีออกซิเจนไม่มีอะไรทั้งนั้น เดินกันแบบสบายๆ เพลิดเพลินจะพรรณนาความสวยสดงดงาม ดีไม่ดี ปลาในโลกชมพูเราอาจจะสวยกว่า เพราะว่าก็ไม่รู้จักปลาทุกประเภท ถ้าจะถามว่าเห็นปลาทำอันตรายกันไหม ก็ขอตอบว่าเห็น เพราะปลาไม่มีพระเทศน์สอนให้ปลาไม่ทำอันตรายกัน ก็มีปลาทำอันตรายกันก็มีให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็เป็นปลามาล้อมรอบเรือนกระจก รับอาหาร คนที่ไปทุกคนต่างคนต่างก็ซื้ออาหารให้กับปลา ใส่เครื่องยิงยิงไปแล้ว อาหารก็พุ่งออกไปกระจายออก แลาก็แย่งกันกินตามระเบียบของปลา


จุดนี้จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไร ถามเขาว่าเรือนกระจกยังมีอีกมากไหม ยังเห็นมีทางต่อไป เขาบอกว่ามีมากเพราะเมืองในมหาสมุทรเขาได้เปรียบ เขาไม่เก็บค่าผ่านประตูเข้ามาชมเรือนกระจก ค่าพาหนะที่จะมาส่งที่จะส่ง เขาก็ไม่เก็บ แต่ว่าเขาขายอาหารที่ให้กับปลาคนจะเลี้ยงปลาต้องซื้ออาหารจากเขาและอาหารที่ซื้อก็รู้สึกว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับโลกเรา มันต่างกันเยอะราคาของเขาถูกมาก เพราะความเป็นอยู่ของเขาดี รัฐบาลเขาก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเก็บภาษีให้มาก เพราะบรรดาข้าราชการทั้งหมดข้าราชการเขาก็มีไม่มากอย่างของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำรวจอย่างเดียวก็เข้าไปเป็นแสนแล้ว ต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อบุคคลสูงเฉพาะเงินเดือนกับเบี้ยเลี้ยงก็ยังแถมค่าพาหนะ ค่าโรงแรม ค่าห้องพักอีก นอกจากนั้นเครื่องอาวุธยุทธโธปกรณ์ก็ต้องมาก ก็ต้องจ่ายสตางค์แล้วยานพาหนะก็ต้องใช้ต้องใช้เยอะ ของเขาก็มียานพาหนะเหมือนกันแต่ว่ายานพาหนะของเขาไม่เปลืองสตางค์เพราะเขาไม่ได้ใช้น้ำมัน เขาใช้รังสีของแร่จะถามเขาว่า แร่อะไรเขาก็ไม่ได้บอกก็ไม่ได้ถามไม่ได้ซัก เพราะเห็นว่าโลกเราใช้ยูเรเนียมเป็นกำลังขับเคลื่อนกันอยู่แล้ว ของเขาอาจจะมีเหมือนเรา เราอาจจะมีเหมือนเขาก็ได้ ก็รวมความว่าไม่ได้ซักถามและจุดนี้อีกจุดหนึ่งเป็นสิ่งที่น่าเที่ยว หลังจากนั้นก็กลับ


เมื่อกลับขึ้นมาบนบกแล้วก็ชวนคนพาเจ้าของถิ่นว่า อยากจะขึ้นบนบกอีกฝั่งมหาสมุทรหนึ่งเขาก็บอกว่าเมืองเกาะมีมากจะไปแวะเมืองเกาะอื่นๆ ไหม ก็เลยบอกว่ามันมีสภาพแตกต่างกันไหม เขาบอกว่าแตกต่างกับบ้างนิดหน่อย ส่วนใหญ่ก็เหมือนกันก็เลยบอกว่า ถ้ามันเหมือนกันไม่ไปดูดีกว่า ไปดูแล้วก็ไม่ทราบว่าจะนำอะไรไปได้ของสักชิ้นหนึ่งที่มาที่นี่ก็ไม่มีโอกาสจะนำไปเขาก็บอกว่า เอ๊ะ ก็เหมือนพระที่ท่านเทศน์ก็เหมือนกัน คนเขาก็มีศรัทธาเมื่อฟังเทศน์แล้วก็ถวายอย่างโน้นถวายอย่างนี้ แต่เวลาพระท่านจะไป ท่านบอกว่าทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นที่ไหนให้อยู่ที่นั่น นั่นก็หมายความว่าท่านมอบไว้กับเจ้าหน้าที่ เจ้าของวัด เจ้าของสถานที่พระศาสนา แล้วเจ้าของสถานที่พระศาสนาก็ทำการจัดสร้างบ้าง จักของ หาซื้อของใช้ต่างๆ นานา ก็รวมความว่ามีทุกอย่างเท่าที่เกิดขึ้นมาแล้ว ที่เห็นเมื่อกี้นี้ก็เพราะว่าเงินที่เหลือจากพระท่านเทศน์พระท่านเทศน์แล้ว ท่านก็ไม่ได้นำไป ก็เลยบอกเขว่า การที่ไม่นำไปของพระท่าน ท่านอาจจะไม่นำไปเพราะจิตเมตตาก็ได้ หรือท่านไม่สะสมทรัพย์สิน ท่านไม่มีความจำเป็นในทรัพย์สินก็ได้ แต่สำหรับข้าพเจ้าที่ไม่นำไปก็เพราะว่าแบกไปไม่ได้ขึ้นชื่อว่าวัตถุชนิดหนึ่งก็ไม่สามารถจะแบกไปได้


เขาถามว่าถ้าอย่างนั้นมาที่นี่อยากได้อะไรบ้างก็เลขตอบเขาตรงไปตรงมาว่าการมาที่นี่ไม่ใช้อยากได้อยากรู้อย่างเดียวมีความอยากเหมือนกันอยากจะรู้ว่าไอ้ถุงดำในอากาศที่นักวิทยาศาสตร์เขามองเห็นมันคืออะไรกันแน่ เขาก็ย้อนถามว่าท่านเข้าใจถุงดำแล้วหรือยังก็บอกว่าเข้าใจแล้วเพราะว่าไปในอุ้งของถุงดำ ในท้องของถุงดำ เคยเห็นอะไรบ้ารงก็บอกว่าเรือบินก็เห็นยานพาหนะที่มีลักษณะกลมๆ อย่างของท่านมีก็เห็นแล้วก็ดวงดาวต่างๆ ที่ลอยเข้าไปก็เห็น เขาก็ถามว่าดวงดาวต่างๆ มีลักษณะแตกต่างกันไหม ก็บอกว่าดวงดาวที่เข้าไปมันคล้ายคลึงกันก็มี มีลักษณะแตกต่างกันก็มี ดวงดาวบางดวงดาวก็มีขุมทรัพย์อยู่กลังดวงดาวนั้นบนผิวโลก ถามเขาว่าที่นั่นท่านเคยไปไหม เขาบอกว่าถ้าบินรอบโลกนั่งเครื่องบินก็ต้องผ่านจุดนั้นเขาบอกว่าบินรอบจากสูงไปต่ำถ้าบินรอบข้างๆ ก็ไม่ต้องผ่านก็ถือว่าสถานที่นั้นเป็นสถานที่ที่เที่ยวของคนโลกนี้ โอ้โฮ น่าอัศจรรย์


ก็ถามเขาว่า เคยเห็นทรัพย์สินไหมเขาบอกว่าเคยเห็นถามเขาว่าไอ้ธาตุเหลืองๆ อร่ามที่นี่เขาใช้ไหม เขาก็บอกว่าใช้ ถามว่าท่านไปที่นั่น ไม่อยากได้ทองคำที่นั่นบ้างหรือเพราะมีโลกอยู่โลกหนึ่ง อาจจะมีหลายโลกก็ได้ ขึ้นไปที่โลกต่างๆ เพียงแค่ ๓ โลกเท่าที่มองเห็นมันเกิน ๓๐๐ โลก อยากจะถามว่าท่านอยากได้ทองคำไหม เขาบอกว่าไม่เคยอยากได้เพราะพื้นผิวพิภพนี้ก็มีเยอะแล้วก็ถามเขาว่าพื้นพิภพนี้ทองคำเป็นวัตถุมีค่าสูง หรือว่าทองคำเป็นวัตถุมีค่าต่ำ เขาบอกว่าขึ้นชื่อว่าทองคำ โลกชมพูต้องการขนาดไหน เขาไม่ทราบแต่ทีนี่ถือเป็นมาตรฐานการเงิน การเงินต่างๆ แบงก์ต่างๆ ที่พิมพ์ออกมาต้องมีทองคำรับรองก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นโลกโน้นกับโลกนี้ก็มีสภาพเหมือนกัน ก็เลยล้วงกระเป๋าอีกนิดหนึ่ง ถามว่าที่นี่คนจนๆ มีไหม เขาถามว่า จนหมายถึงอะไร ก็ตอบว่าจนขนาดที่ไม่มีกิน ไม่มีใช้ต้องขอทาน เขาก็ยิ้มบอกว่าที่นี่ไม่มีความจำเป็นต้องขอเพราะว่าถ้าบุคคลใดเขาเห็นว่า คนกลุ่มใดหรือบุคคลใดก็ตามเห็นว่าคนใดมีความขัดข้องเรื่องความเป็นอยู่ โดยเฉพาะการเงินก็ดี เสื้อผ้าก็ดี อาหารการบริโภคก็ตาม เขาก็รีบช่วยกันสงเคราะห์ แต่เขาบอกว่าเขาเกิดมา ๘,๐๐๐ ปีของโลกชมพูยังไม่เคยเห็นใครต้องสงเคราะห์กันด้วยวัตถุอย่างนี้ ที่มีความขัดสนจริงๆ มีแต่เพียงว่าเรามีอย่างนี้เขามีอย่างโน้น เรามีมากชิ้นไปแบ่งให้เขา เขามีอย่างหนึ่งที่เราไม่มีเขาแบ่งให้เรา มีแค่นี้คำว่ายากจนจริงๆ ไม่มี


ก็ถามเขาถึงอาชีพ เขาบอกว่าอาชีพส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไร ในประเทศที่ท่านจากมา ส่วนใหญ่ก็เป็นเกษตรกรรม หรือว่าอาชีพของป่าไม้ของในป่าและสิ่งประดิษฐ์ก็มีมาก โรงงานก็มีเยอะก็ไม่มีอะไร ต่างคนต่างก็ทำกันการใช้จ่ายนี่มันไม่เปลือง เพราะว่าที่นี่กินผักเป็นพื้นฐาน ในเมื่อกินผักเป็นพื้นฐานแล้วก็ปลูกผักกันของเรามีอย่างนี้ของเขามีอย่างนั้นถ้าใครไม่มีอย่างไหนก็แลกกัน ใครต้องการอย่างไหนก็ขอกันได้ที่นี่เขาไม่มีการหวงกัน เขาก็บอกว่าโลกนี้พระท่านบอกว่าเป็นโลกมนุษย์พอเขาพูดอย่างนี้ก็หนักใจเหมือนกันที่เคยศึกษาในพุทธศาสนาในธรรมะท่านามี ท่านบอกว่าให้ปฏิบัติในมนุษยธรรม ถ้าปฏิบัติในมนุษยธรรมได้ก็สามารถจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ ก็ยังมีความสงสัยว่าคนทุกคนในโลกชมพูต่างคนต่างก็เรียกตนเองว่าเป็นมนุษย์แล้วทำไมพระพุทธเจ้าจึงมาสอนมนุษยธรรมอีกในเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้วเมื่อตายจากความเป็นคนมาเกิดเป็นคนมันก็ต้องเป็นของไม่ยากเพราะว่าเป็นสถานที่เดิมของตนที่เคยอยู่แต่นี่เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครูที่คนพูดไม่ทราบแต่คนพูดเองมีความโง่ถนัด มีความเข้าใจว่าคนทุกคนที่เกิดมาในโลกชมพูเป็นมนุษย์


ครั้นมาเจอะมนุษย์ในชินโลก หรือว่าถุงดำนี่เข้าจึงมีความเข้าใจจริงๆ ว่าเขาเป็นมนุษย์แน่ ชาวโลกชมพูตามความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ถ้าพลาดไปก็ขออภัยด้วย ตามความรู้สึกของผู้พูดจริงๆ คือว่าที่โลกมนุษย์หามนุษย์ได้ยาก ที่โลกชมพูนี่นะ หาคนที่เป็นมนุษย์แสนจะยาก ไม่ใช่ไม่มี ปริมาณที่มีก็มีน้อยแต่ว่าถ้าจะเป็นคนเสียจริงๆ เป็นคนมาก ในโลกชมพูเรา มีคนมากกว่ามนุษย์ แต่การพูดอย่างนี้บางท่านอาจจะร้องตะโกนถามว่ามนุษย์กับคนมันต่างกันตรงไหน ก็ขอตอบว่าในอาการ ๓๒ จริงๆ ไม่ต่างกันมีธาตุ ๔ เหมือนกันมีอาการ ๓๒ เหมือนกันแต่ความรู้สึกของจิตใจไม่เหมือนกันสำหรับ มนุษย์ ท่านแปลว่า ใจสูง คำว่าใจสูง ก็คือมีอารมณ์ไม่ต่ำ อารมณ์ประเภทใดก็ตามที่นำมาซึ่งความเดือนร้อน มนุษย์เขาไม่ใช้กัน เช่น ความโกรธ การแสดงอาการโกรธเป็นศัตรูกัน เขาไม่มีเขามีแต่ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มนุษย์เขามีแต่เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยากัน ใครได้ดีพลอยยินดีด้วย อุเบกขา ถ้าอะไรก็ตามเกิดความขัดข้องขึ้นมา ไม่สามารถจะแก้ไขได้ก็วางเฉยไม่ดิ้นรน คือไม่กลุ้ม ไม่กระวนกระวาย


และนอกจากนั้นขึ้นชื่อว่า ชีวิต เลือดเนื้อร่างกาย ทุกคนรักก็ไม่มีใครทำร้ายร่างกายกัน ทรัพย์สมบัติต่างๆ เรารัก ของเขาเขาก็รัก ไม่มีใครละเมิดความรักกันและวาจาก็มีวาจา วาจาอ่อนหวานและก็วาจาแสดงความเป็นมิตร วาจามีหลักมีเกณฑ์มีเหตุมีผล เขามีวาจาสี่ด้านจิตใจเขาไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม เขาไม่ให้เราไม่เอาและก็ไม่ขอทำให้ใครสะเทือนใจและก็ไม่คิดจองล้างจองผลาญ โกรธอาจจะมีบ้าง อารมณ์ไม่พอใจอาจจะมีบ้างแต่ไม่แสดงออกและไม่จองล้างจองผลาญจองเวรจองกรรมกันอารมณ์ใจคิดถูกตามความเป็นจริงด้วยเหตุผลเสมอ นี้ลักษณะของมนุษย์เขาเป็นอย่างนี้


สำหรับคนในโลกชมพูของเราไม่ต้องเอากรรมบถ ๑๐ เอาแค่ศีล ๕ อาจจะนับตัวได้ว่าใครทรงศีล ๕ บริสุทธิ์บ้างอย่าลืมว่าชินโลก หรือว่าดาวหลุมดำ เขาต้องฝึกกรรมบถ ๑๐ และพรมวิหาร ๔ กันมาแต่เกิดขณะอยู่ในท้องแม่ ถ้าลูกสามารถได้ยินเสียงแม่ได้จะได้ยินเสียงแม่พูดเรื่องพรหมวิหาร ๔ กรรมบถ ๑๐ ให้ได้ยินหรือว่าชาวบ้านคุยกัน คุยกันให้ได้ยิน ถ้าสามารถได้ยินนะ รวมความว่าตั้งแต่อยู่ในท้องก็อยู่ในท้องของคนมีกรรมบถ ๑๐ และพรหมวิหาร ๔ ออกมาแล้วก็อยู่ในแวดวงของคนที่มีพรหมวิหาร ๔ และกรรมบถ ๑๐ การที่จะทรงอารมณ์ตามนี้จึงเป็นของไม่ยาก เพราะว่าชินมาตั้งแต่ลืมตาเห็น ก็เป็นอันว่า โลกชมพูของเราเป็นโลกของคน คำว่า คน แปลว่า ยุ่ง มันผสมผเสทั้งความชั่วและความดี ความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ เขาเรียกว่า คน เอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวก็ดีบ้างเดี๋ยวก็ชั่วบ้าง เช้าดี บ่ายชั่ว หรือเช้าชั่ว บ่ายดี อะไรก็ตามใจ กลางวันดี กลางคืนชั่ว กลางคืนดี กลางวันชั่ว มันก็อาจจะมีความชั่วขึ้นมาปะปน ก็รวมความแล้วว่าโลกของเรา ไม่ใช่มนุษย์แน่ ที่จะมีมนุษย์อยู่ก็จริงแหล แต่ว่าก็มีคนอยู่มาก ของเขามนุษย์แท้มีมนุษยธรรมคือกรรมบถ ๑๐ และพรหมวิหาร ๔


เมื่อคุยกันมาตอนนี้คนฟังรำคาญหรือยัง เรื่องมันก็หมดแล้วนี่ รำคาญหรือไม่รำคาญก็ไมต่อไป ต่อนี้ไปก็ชวนกันขึ้นบกไปเมืองที่ถนนตรงไป มันมีถนนแยกไปหลายสายในมหาสมุทร ใต้มหาสมุทรก็บอกว่าไปในจุดที่ตรงไป มันมีถนนแยกไปหลายสายในมหาสมุทรใต้มหาสมุทรก็บอกว่าไปในจุดที่ตรงไป ตั้งหน้ายืนจากเมืองท่าที่เราผ่านามาแล้วหันหน้าตรงไปทางไหน ไปทางนั้นเขาก็นำตรงไป ไปขึ้นเมืองท่าของอีกฝั่งหนึ่ง ไปนาน ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็ไปถึง ทางค่อยๆ ลาดขึ้นๆ สังเกตได้ยากเขาทำดีจริงๆ ไม่ใช่วิ่งถนนชันตั้งขึ้นไปตมเรื่องตามราว โผล่ปุ๊บถึงผืนแผ่นดินแล้ว ไปที่นี่เมืองท่าของเขาใหญ่มาก ใหญ่กว่าฝั่งโน้นเยอะ บริเวณกว้างใหญ่ไพศาล บ้านช่องเยอะบุคคลก็มาก บริเวณก็ไกล อาคารสูงๆ ก็มีเยอะ ตึกรามมียอดแหลมๆ ก็มีมากถ้าจะคุยกันไปก็ซ้ำแบบเดิม


ก็ถามเขาว่า ประเพณีนิยมหรือหลักเกณฑ์การปฏิบัติของคนเมืองท่านี้กับเมืองท่าโน้นเหมือนกันไหม เขาก็บอกว่าเหมือนกันถามว่าเงินตราที่ท่านใช้ ต้องไปแลกกันที่ไหน เขาก็ยิ้มถามเขาว่า ทำไมต้องแลกก็บอกว่าโลกชมพูเงินตราที่ใช้มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน มีค่าไม่เท่ากัน อย่างเงินไทย ๒๕ บาทก็เป็นเงินอเมริกันเขา ๑ บาท ราคาไม่เท่ากันตามนี้แล้วธนบัตรหรือแบงก์ที่ใช้ก็ลักษณะไม่เหมือนกันแต่ละประเทศต่างคนต่างใช้ ต่างคนต่างทำต่างคนต่างมีความพอใจ เขาบอกว่าชินโลกหรือโลกดาวหลุมดำ ท่านจะไปไหนก็ตามพกเงินไปอย่างเดียวใช้ได้หมดทั้งโลก แหม.. ทำไมสบายอย่างนี้ก็ไม่ทราบเป็นโลกที่สบายจริงๆ ก็คงจะตอบกันได้กระมังว่า โลกจริงๆ มีการคล่องตัวทุกอย่าง เพราะมันเป็นโลกนิทาน โลกจริงๆ ถ้ามีอย่างนี้ก็คล้ายๆ กับเทวดา


แต่โลกนี้จะถือว่าเหมืนเทวดาไม่ได้ เพราะยังมีแก่ ยังมีตาย ยังมีผัว มีเมีย ผัวเมียก็มีไม่เหมือนเทวดาเขา เทวดาหรือนางฟ้าเขามีไว้ดูเล่น แต่ของเราต้องปฏิบัติตามระเบียบ ระเบียบการแต่งงาน แต่งงานแล้วต้องปฏิบัติแบบไหน ก็ต้องทำตามนั้นเหมือนๆ กันทุกคนเป็นระเบียบของโลกนี้และอีกอย่างหนึ่ง โลกชินโลกหรือโลกดาวหลุมดำก็ดี โลกชมพูก็ดี ก็ปฏิบัติเหมือนกันการแต่งงาน มีสามี ภรรยา เขาจะต้องปฏิบัติกันอย่างไร ต้องมีความรัก ต้องมีความซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน แต่ความรักจริงๆ ความสัตย์จริงๆ ของเขามีแน่ ก็ลืมถามหมอนี่ไปนึกไปนึกมาก็เห็นคนเขาเดินมา มีผู้ชายหนึ่งผู้หญิงสามบ้าง ผู้หญิงสี่บ้าง ผู้หญิงหนึ่งบ้างก็แปลกใจว่า ลักษณะการเดินแบบนี้เป็นระเบียบของชาวเมืองนี้หรือ


ก็ถามเขาว่า คนเมืองนี้รักษากรรมบถ ๑๐ ใช่ไหม เขาตอบว่า ใช่ และก็ถามเขาว่าการแต่งงานจะต้องมีภรรยาสามีคู่หนึ่งหรือภรรยาคน สามีคน ใช่ไหม เขาตอบว่า ใช่ ก็ถามว่า คนที่เขาเดินไปเมื่อกี้นี้เขาหลีกเราไป ลักษณะท่าทางคล้ายๆ เขาเป็นสามีภรรยากันทั้งหมดมีผู้หญิงสี่ ผู้ชายหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นสามีภรรยากันจริง ก็ถามว่าเมื่อกี้คุณบอกสามีคน ภรรยาคนใช่ไหม คุณตอบว่าใช่ แต่คณะนี้เขามีภรรยาทั้ง ๔ คน สามี ๑ คน ไม่กล่าวผิดจากความเป็นจริงหรือ เขาเลยบอกว่า ท่านถามในขณะแต่งงานโดยเฉพาะก็มีสามีหนึ่ง มีภรรยาหนึ่ง ผู้ชายเป็นสามี ผู้หญิงเป็นภรรยา แต่ว่า การแต่งงานที่นี่ เขามีหลายวาระได้ นี่แน่.. โอ้โลกนี้มันน่าอยู่ก็ตรงนี้และนะ ก็ถามว่ากฎหมายของคุณไม่บังคับหรือ กฎหมายบังคับแต่เพียงว่า ห้ามแย่งสามี และภรรยาของคนอื่น ก็เลยถามเขาว่า ถ้าผู้ชายจะมีภรรยาหลายคนก็แสดงว่าหญิงอื่นมาแย่งภรรยาของคนนี้ใช่ไหม เขาตอบว่า ไม่ใช่ เขาตอบว่า นั่นภรรยาเดิมเขาอนุญาต เขาถือว่าคนมาใหม่นี่เป็นน้อง


ยังมีน้องด้วยนะคนที่มาใหม่ต้องมีความเคารพคนก่อนเหมือนพี่ มีความเคารพกันเหมือนพี่เหมือนน้องและก่อนที่จะแต่งงานกัน ถ้าสามีไปชอบหญิงคนใด นึกชอบยังไม่ได้แต๊ะอั๋ง และก็หญิงคนนั้นเกิดความรัก เกิดชอบในชายคนนี้เข้า ซึ่งมีภรรยาแล้วที่นี้ถ้าสามีไปชวนบอกว่า แต่งงานกับฉันไหมผู้หญิงคนนั้นเขาบอกพร้อมที่จะแต่งงานถ้าภรรยาของคุณอนุญาตขาก็ต้องพามาหาภรรยา ภรรยาเมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความเป็นจริงว่า เขารักกันจริง ก็อนุญาต อนุญาตให้แต่งงานกันได้แต่ไม่ใช่เลิกกับเธอ เธอก็ยังเป็นภรรยาหลวงอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่หามาได้ หรือจัดขึ้นมาได้ เธอต้องเป็นหนึ่ง หมายความว่าการนับหนึ่งนั่นคือเธอ ถึงเธอก่อนซื้อก๊วยเตี๋ยวมาสองชาม ชามที่หนึ่งเป็นของเธอ ชามที่สองเป็นของภรรยาคนต่อไปและชามที่สี่ ที่ห้า ก็เป็นของภรรยาคนต่อไปอะไรก็ตาม ขึ้นต้นเธอหนึ่งอยู่เสมอ อย่างนี้อย่างนี้เขาบอกว่าไม่มีการทะเลาะกัน ที่นี่คำว่าทะเลาะเบาะแว้ง การขัดข้องกันเรื่องนี้ไม่มี ความจริงโลกนี้มันก็น่าอยู่


ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้นคุณอยากจะมาเกิดโลกนี้อีกไหม เขาก็ตอบว่า มันก่ำกึ่งบางเวลาก็อยากมาเกิด แต่ส่วนใหญ่ของเวลาอยากมาเกิด แต่ว่าพระท่านก็บอกว่า ถ้าต้องการมาเกิดใหม่ในโลกนี้ให้ทุกคนปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ กับพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน ถ้าหากทั้งสองประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งพร่อง จะไม่มีโอกาสมาเกิดในโลกนี้ ก็ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้นพระท่านแนะนำว่าอย่างไรต่อไป ท่านบอกว่า ถ้าบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องไปอบายภูมิ คนที่บกพร่องในกรรมบถ ๑๐ก็ดี ในพรหมวิหาร ๔ ก็ดี พร่องมีบ้างไม่ใช่ไม่มี ถ้าจะเกิดมีรูปร่างลักษณะอย่างนี้ใหม่ ต้องไปเกิดในโลกชมพู แหม.. ฟังแล้วก็ช้ำใจ นี่เขาจะด่าผู้พูดบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ และเขาก็รู้แล้วว่าเราเป็นคนโลกชมพู


ก็เป็นอันว่า ต้องยอมรับกับเขา เมื่อเห็นเวลามันใกล้จะหมด เวลาหมอทำฟันใกล้จะเสร็จ เขากรอแล้วกรออีก เจาะแล้วเจาะอีก เพื่อจะเอาหนองออก ดูดหนองบ้างนี้เป็นวาระที่หมดเตือนใจทำ แต่งานนี้หมดจำนูนที่อยู่กรุงเทพฯ ก็อยากจะทำให้ แต่ว่าคลินิกอยู่นครสวรรค์ ใกล้หน่อย เพื่อพูดถึงหมอจำนูนเวลาเหลือประมาณสัก ๒ นาทีก็ขอบอกข่าวว่า วันนี้คือ วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๓ หมดจำนูน โทรศัพท์มาถึงครูนนทา ทนันตวงษ์ ที่วัดท่าซุง อุทัยธานี เธอบอกข่าวดีว่า เธอฝันไปว่าต่อไปเบื้องหน้า คนที่เขามีโอกาสมีสตางค์มากๆ จะเอาเงินมาแจก สมมติว่าเมื่อ ๔ ปีไปแล้วใครลงทุนไปหนึ่งบาทเขาจะแจกให้หกสลึงเฉพาะคนที่อยู่ในทะเบียนบ้านที่หนึ่ง สำหรับคนที่อยุ่ในทะเบียนบ้านที่สองไม่แน่ อาจจะแจกให้มากกว่านั้น แต่การที่หมอจำนูนเธอฝัน ไม่ทราบว่า ฝันจะตรงกับความจริงหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก้ดีความฝันของหมอจำนูน ทำให้เธอยิ่มแป้นหุบปากไม่ลงไปตามๆกัน

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูลผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี


เด็กใหญ่

อย่ากินอิ่มเกิน  อย่าเดินจนเจ็บ  อย่าพูดเท็จเป็นนิสัย  อย่าจัญไรให้เสื่อมเสีย
อย่าเล่าเรื่องมาก  อย่าขาดการศึกษา  อย่าหลงเมาในวิชา  อย่าโรยราทำดี
อย่านำตัวไปเครียด ...คิดไม่ออกเอย

ศีลข้อเดียว

อย่าเห็นแก่ตัว จบ ไม่ต้องถือศีลมากข้อ ข้อเดียวก็พอ ที่ ท่านพุทธทาส บอกไว้  ส.หลกจริง

หาดใหญ่ โลกใต้บาดาล

.


...กระทู้นี้ดี อ่านแล้วได้ไปโลกบาดาลด้วยแระ.. ส.หัว ส.โอ้โห

เว็ปนี้ของแท้คัดดีเอา

http://www.samyaek.com/
ดีกว่าไปนั่งปลุกเสกรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ ของดีที่หลายคนอคติมองข้าม จริงใจไม่ลอกอ

ญาณทำให้รู้

ตอบ  DESTINY ขอถามข้อสงสัยนะคะ เราจะทราบมั้ยคะว่าญาติที่ตายไป ตอนนี้เป็นยังไง ไปเกิดเป็นอะไรที่ไหน? หรือรู้เฉพาะบุคคล? แล้วสรรพสิ่งโลกนี้เป็นสิ่งสมมติจริงหรือไม่?
ทราบได้แน่ ว่าญาติไปอยู่ภพภูมิใด เกิดเป็นอะไรที่ไหน ใช่รู้ได้เฉพาะตน ผู้ได้ญาณ จุตูปริยญาณ รู้การเกิดดับของสรรพสัตว์ได้หมดเพียงใช้ญาณเพ่งเล็งลงไป สรรพสิ่งเป็นสมมติ มันจริงสำหรับผู้ที่มองทะลุแล้ว ไม่ลังเลสงสัยแล้ว ว่าตายแน่นอน ต้องเกิดดับแน่นอนภพภูมิหน้ามีแน่โดยไม่ลังเลสงสัย และต้องเกิดดับอย่างไม่มีที่สิ้นสุดขึ้นสูงลงต่ำวนไปยังภพภูมิต่างๆ จะหยุดจนกว่า บรรลุอรหันต์เท่านั้น ไม่งั้นก็วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร อยู่ร่ำไปไม่จบไม่สิ้น ถ้ามองไม่ทะลุอวิชชาครอบงำอยู่เยอะ ติดอยู่ในความวุ่นวายในโลก ยังไม่เรียกว่าเป็นสิ่งสมมติสำหรับผู้นั้น เพราะเขามองแยกไม่ออกรับรู้ไม่ได้ด้วยตาใน คือ จิตสัมผัส รู้ว่าเค้าว่าทุกอย่างในโลกล้วนเป็นสิ่งสมติได้ไง หยิกจับก็ยังเจ็บรู้สึกเนื้อรู้สึกตัว ยังหยิบจับถูกต้องอยู่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน มองทางโลกตาเนื้อหนังกายสัมผัสไม่รู้ไม่เห็นภาพแน่ และไม่เข้าใจ เข้าใจก็ไม่สนิทใจ รู้ว่าต้องตายทุกคน แต่ไม่รู้มากกว่านั้นไม่กระจ่างแจ้ง ยังไม่แน่ใจว่าเกิดอีกไหม ตายแล้วสูญไปเลยบ้าง พวกนี้แหละอันตราย ถือว่าทำสิ่งชั่วร้ายแล้วไม่ได้รับผล เอาสุขหยาบวัตถุทางโลกอย่างเดียว คร่าชีวิต ฉ้อโกง อย่างไม่หยุดหย่อน ไม่มีเบรค ทำชั่วทุกอย่างให้ได้ บ้านรถที่ดินทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสักการะไม่สิ้นสุดไม่รู้จักพอ ลงนรกลึกสุดแน่นอน โลกเกิดดับเป็น แสนล้านครั้ง ก็ยังไม่หมดกรรมในนรก  นรกสวรรค์ มีแน่นอน ไม่ว่าเชื่อหรือไม่ นับถือศาสนาไหน เพราะมันมีอยู่แล้วเป็น ธรรมดา อย่าเชื่อ เพราะเป็นความรู้เฉพาะตนส่วนบุคคล ให้เทียบดู ในพระไตรปิฎก ยึด ตัวแทนพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นแผนที่ชี้นำทาง ที่เชื่อถือได้มากที่สุด กว่าอรหันต์ ทุกองค์ในยุคที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ส.อ่านหลังสือ 

ไม่เชื่อ

.




....ฅนชั่ว ฅนโกง ไม่กลัว และไม่เชื่อเรื่องนรก หรือชาติหน้า


บ้านเมือง และสังคมจึงวุ่นวาย เดือดร้อน....

Destiny

อ้างจาก: ญาณทำให้รู้ เมื่อ 11:49 น.  20 ก.ย 55
ตอบ  DESTINY ขอถามข้อสงสัยนะคะ เราจะทราบมั้ยคะว่าญาติที่ตายไป ตอนนี้เป็นยังไง ไปเกิดเป็นอะไรที่ไหน? หรือรู้เฉพาะบุคคล? แล้วสรรพสิ่งโลกนี้เป็นสิ่งสมมติจริงหรือไม่?
ทราบได้แน่ ว่าญาติไปอยู่ภพภูมิใด เกิดเป็นอะไรที่ไหน ใช่รู้ได้เฉพาะตน ผู้ได้ญาณ จุตูปริยญาณ รู้การเกิดดับของสรรพสัตว์ได้หมดเพียงใช้ญาณเพ่งเล็งลงไป สรรพสิ่งเป็นสมมติ มันจริงสำหรับผู้ที่มองทะลุแล้ว ไม่ลังเลสงสัยแล้ว ว่าตายแน่นอน ต้องเกิดดับแน่นอนภพภูมิหน้ามีแน่โดยไม่ลังเลสงสัย และต้องเกิดดับอย่างไม่มีที่สิ้นสุดขึ้นสูงลงต่ำวนไปยังภพภูมิต่างๆ จะหยุดจนกว่า บรรลุอรหันต์เท่านั้น ไม่งั้นก็วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร อยู่ร่ำไปไม่จบไม่สิ้น ถ้ามองไม่ทะลุอวิชชาครอบงำอยู่เยอะ ติดอยู่ในความวุ่นวายในโลก ยังไม่เรียกว่าเป็นสิ่งสมมติสำหรับผู้นั้น เพราะเขามองแยกไม่ออกรับรู้ไม่ได้ด้วยตาใน คือ จิตสัมผัส รู้ว่าเค้าว่าทุกอย่างในโลกล้วนเป็นสิ่งสมติได้ไง หยิกจับก็ยังเจ็บรู้สึกเนื้อรู้สึกตัว ยังหยิบจับถูกต้องอยู่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน มองทางโลกตาเนื้อหนังกายสัมผัสไม่รู้ไม่เห็นภาพแน่ และไม่เข้าใจ เข้าใจก็ไม่สนิทใจ รู้ว่าต้องตายทุกคน แต่ไม่รู้มากกว่านั้นไม่กระจ่างแจ้ง ยังไม่แน่ใจว่าเกิดอีกไหม ตายแล้วสูญไปเลยบ้าง พวกนี้แหละอันตราย ถือว่าทำสิ่งชั่วร้ายแล้วไม่ได้รับผล เอาสุขหยาบวัตถุทางโลกอย่างเดียว คร่าชีวิต ฉ้อโกง อย่างไม่หยุดหย่อน ไม่มีเบรค ทำชั่วทุกอย่างให้ได้ บ้านรถที่ดินทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสักการะไม่สิ้นสุดไม่รู้จักพอ ลงนรกลึกสุดแน่นอน โลกเกิดดับเป็น แสนล้านครั้ง ก็ยังไม่หมดกรรมในนรก  นรกสวรรค์ มีแน่นอน ไม่ว่าเชื่อหรือไม่ นับถือศาสนาไหน เพราะมันมีอยู่แล้วเป็น ธรรมดา อย่าเชื่อ เพราะเป็นความรู้เฉพาะตนส่วนบุคคล ให้เทียบดู ในพระไตรปิฎก ยึด ตัวแทนพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นแผนที่ชี้นำทาง ที่เชื่อถือได้มากที่สุด กว่าอรหันต์ ทุกองค์ในยุคที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ส.อ่านหลังสือ
ขอบคุณค่ะ
อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจหนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"  พระบรมราชปณิธานของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

ภพภูมิเบื้องต่ำ

โลกเบื้องต่ำ
อบายภูมิ ได้แก่ นรก เปรต อสุูรกาย เดรัจฉาน
เดรัจฉานภูมิ
เดรัจฉานภูมิ ) (โลกเดรัจฉานอยู่ในโลกมนุษย์) โลกของสัตว์ที่มีความยินดีในหตุ ๓ ประการ คือ
(การกิน การนอน การสืบพันธุ์) แบ่งเป็น ๔ ประเภท คือ
(๑). อปทติรัจฉาน (ไม่มีเท้า ไม่มีขา) เช่นงู ปลา ไส้เดือน ฯลฯ
(๒). ทวิปทติรัจฉาน (มี ๒ ขา) เช่น นก ไก่ ฯลฯ
(๓). จตุปทติรัจฉาน (มี ๔ ขา) เช่น วัว ฯลฯ
(๔). พหุปทติรัจฉาน (มีมากกว่า ๔ ขา) เช่น ตะขาบ กิ่งกือ ฯลฯ
อายุ ไม่แน่นอน แล้วแต่กรรมที่นำไปเกิดในสัตว์ประเภทต่างๆ ตามอายุของสัตว์ประเภทนั้นๆ
บุพกรรม
เป็นมนุษย์จิตไม่บริสุทธิ์ ประพฤติอศุลกรรม อันหยาบช้าลามกทั้งหลายหรือเพราะอำนาจของเศษบาปอกุศลกรรมที่ตนทำไว้ให้ผล
หรือเป็นเพราะเมื่อเป็นมนุษย์ไม่ได้ก่อกรรมทำชั่วอะไร แต่เวลาใกล้จะตายจิตประกอบด้วยโมหะ หลงผิด ขาดสติ ไม่มีสรณะเป็นที่พึ่งจะยึดให้มั่นคง
คตินิมิต นิมิตที่ชี้บอกถึงโลกดรัจฉานที่ตนจะไป เช่น เห็นทุ่งหญ้า ป่าไม้ ดงหญ้า เชิงเขา ชายน้ำ แม่น้ำ กอไผ่ เป็นต้น บางทีเห็นเป็นรูปสัตว์ทั้งหลาย เช่น ช้าง เสือ วัว หมู หมา เป็ด ไก่ แร้ง กา เหี้ย นก หนู จิ๊กจก ฯลฯ หากภาพเหล่านี้มาปรากฎทางใจ แล้วจิตยึดหน่วงเป็นอารมณ์มื่อจิตดับตายขณะนั้นต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างแน่นอน
อสุรกายภูมิ
( อสุรกายภูมิ ) (โลกอสุรกาย) ภูมิอันเป็นทีอยู่ของสัตว์อันปราศจากความเป็นอิสระและสนุกรื่นเริง
แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ เทวอสุรา เปตติอสุรา นิรยอสุรา
(๑). เทวอสุรา มี ๖ จำพวก คือ ๑.เวปจิตติอสุรา ๔.ปหารอสุรา
(๒). สุพลิอสุรา ๕.สัมพรตีอสุรา
(๓). ราหุอสุรา ๖.วินิปาติกอสุรา
แล้ว ๕ จำพวกแรกเป็นปฎิปักษ์ต่อเทวดาชั้นตาวสิงสา อยู่ใต้ภูเขาสิเนรุ สงเคราะห์เข้าในจำพวกเทวดาชั้นตาวติงสา
๑. วินิปาติกอสุรา มีรูปร่างสัณฐานเล็กกว่า และอำนาจก็น้อยกว่าเทวดาชั้นตาวติงสา เที่ยวอาศัยอยู่ในมนุษยโลกทั่วไป เช่น ตามป่า ตามเขา ต้นไม้ และศาลที่เขาปลูกไว้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของภุมมัฎฐเทวดาทั้งหลาย แต่เป็นเพียงบริวารของภุมมัฎฐเทวดาเท่านั้น สงเคราะห์เข้าในจำพวกเทวดา ชั้นจาตุมหาราชิกา
๒. เปตติอสุรา มี ๓ จำพวก คือ ๑.กาลกัญจิกเปรตอสุรา ๒.เวมานิกเปรตอสุรา ๓.อาวุธิกเปรตอสุราเป็นเปรตที่ประหัตประหารกันและกันด้วยอาวุธต่างๆ
๓. นิรยอสุรา เป็นเปรตจำพวกหนึ่งที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกโลกันตร์ นรกโลกันตร์ตั้งอยู่ระหว่างกลางของจักรวาลทั้งสามอสุรกายนี้ ี้หมายเอาเฉพาะกาลกัญจิกเปรตอสุรกายเท่านั้น อายุและบุพกรรม เช่นเดียวกันกับโลกเปรต
เปตติวิสยภูมิ
( เปตติวิสยภูมิ ) (โลกเปรต) โลกที่อยู่ของสัตว์ผู้ห่างไกลจากความสุข
มีมหิทธิกเปรตเป็นเจ้าปกครองดูแลอายุไม่แน่นอนแล้วแต่กรรม ได้แก่
เปรต ๑๒ ชนิด เปรต ๑๒ ชนิด คือ
(๑). วันตาสเปรต กินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร
(๒). กุณปาสเปรต กินซากศพคน หรือสัตว์เป็นอาหาร
(๓). คูถขาทกเปรต กินอุจจาระต่างๆ เป็นอาหาร
(๔). อัคคิชาลมุขเปรต มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ
(๕). สูจิมุขาเปรต มีปากเท่ารูเข็ม
(๖). ตัณหัฎฎิตเปรต ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าว หิวน้ำอยู่เสมอ
(๗). สุนิชฌามกเปรต มีลำตัวดำเหมือนตอไม้เผา
(๘). สัตถังคเปรต มีเล็บมือเล็บเท้ายาวและคมเหมือนมีด
(๙). ปัพพตังคเปรต มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา
(๑๐). อชครังคเปรต มีร่างกายเหมือนงูเหลือม
(๑๑). เวมานิกเปรต ต้องเสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่กลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน
(๑๒). มหิทธิกเปรต มีฤทธิ์มาก ที่อยู่ เชิงเขาหิมาลัยในป่าวิชฌาฎวี
เปรต ๔ ประเภท เปรต ๔ ประเภท คือ
(๑). ปรทัตตุปชีวิกเปรต มีการเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยโดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้
(๒). ขุปปิปาสิกเปรต ถูกเบียดเบียนด้วยการหิวข้าว หิวน้ำ
(๓). นิชฌามตัณหิกเปรต ถูกไฟเผาให้เร้าร้อนอยู่เสมอ
(๔). กาลกัญจิกเปรต (ชื่อของอสูรกายที่เป็นเปรต) มีร่างกายสูง ๓ คาวุต มีเลือดและเนื้อน้อยไม่มีแรง มีสีสันคล้ายใบไม้แห้ง ตาถลนออกมาเหมือนตาปู และมีปากเท่ารูเข็มและตั้งอยู่กลางศีรษะ
เปรต ๒๑ จำพวก เปรต ๒๑ จำพวก คือ
(๑). มังสเปสิกเปรต มีเนื้อเป็นชิ้นๆไม่มีกระดูก
(๒). กุมภัณฑ์เปรต มีอัณฑะใหญ่โตมาก
(๓). นิจฉวิตกเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง
(๔). ทุคคันธเปรต มีกลิ่นเหม็นเน่า
(๕). อสีสเปรต ไม่มีศีรษะ
(๖). ภิกขุเปรต มีรูปร่างสัณฐานเหมือนพระ
(๗). สามเณรเปรต มีรูปร่างสัณฐานเหมือนเณรและ ฯลฯ
บุพกรรม ประพฤติอศุลกรรมบถ ๑๐ ประการ เมื่อขาดใจตายจากมนุษยโลก หากอศุลกรรมสามารถนำไปสู่นิรยภูมิได้ ต้องไปเสวยทุกข์โทษในนรกก่อน พอสิ้นกรรมพ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังมีก็ไปเสวยผลกรรมเป็นเปรตต่อภายหลัง หรือมีอศุลกรรมที่เกิดจากโลภะนำมาเกิดคตินิมิต
นิมิตที่บ่งบอกถึงโลกเปรต เช่น เห็นหุบเขา ถ้ำอันมืดมิดที่วังเวง และปลอดเปลี่ยวหรือเห็นเป็นแกลบ และข้าวลีบมากมายแล้วรู้สึกหิวโหยและกระหายน้ำเป็นกำลัง บางทีเห็นว่าตนดื่มกินเลือดน้ำหนองที่น่ารังเกียจสะอิดสะเอียน หรือเห็นเป็นเปรตมีร่างกายผ่ายผอมน่าเกลียดน่ากลัว เนื้อตัวสกปรกรกรุงรัง ฯลฯ
หากภาพเหล่านี้มาปรากฎทางใจแล้วจิตยึดหน่วงเป็นอารมณ์ เมื่อดับจิตตายขณะนั้น ต้องบังเกิด เป็นเปรตเสวยทุกขเวทนาตามสมควรแก่กรรมอย่างแน่นอน
นรกภูมิ
( มหานรก ๘ ขุม ) (แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๑๕,๐๐๐ โยชน์)
(๑). สัญชีวนรก นรกที่สัตว์นรกไม่มีวันตาย อายุ ๕๐๐ ปีอายุกัป (๑วันนรก = ๙ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตไม่บริสุทธิ์ หยาบช้าลามก ก่อกรรมทำเข็ญ เช่นฆ่าเนื้อ เบื่อสัตว์ เบียดเบียนบุคคลที่ต่ำกว่าตน โดยความไม่เป็นธรรมให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นนิจ ฯลฯ
(๒). กาฬสุตตนรก นรกที่ลงโทษด้วยเส้นเชื่อกดำ แล้วถากหรือตัดด้วยเครื่องประหาร อายุ ๑,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๓๖ ปีล้านมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาป ทำการทรมานสัตว์ด้วยการตัดเท้า หู ปาก จมูก ฯลฯ ทำร้ายบิดามารดา ครู อาจารย์ ฯลฯ เบียดเบียนหรือฆ่าภิกษุ สามเณร ดาบส หรือเป็นเพชฌฆาต
(๓). สังฆาฎนรก นรกที่มีภูขาเหล็กใหญ่มีไฟลุกโพลงบดขยี้สัตว์นรก อายุ ๒,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปหยาบช้าด้วยใจอศุลกรรม ไร้ความเมตตากรุณา ทำทารุณกรรมสัตว์ด้วยวิธีการต่างๆ เป็นประจำ หรือ บุคคลที่ทรมานเบียดเบียนสัตว์ที่ตนใช้ประโยชน์ และพวกนายพราน
(๔). โรรุวนนรก (ธูมโวรุวหรือจูฬโรรุว) นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ครวญครางดังของสัตว์นรกที่ถูกควันไฟอบอ้าว อายุ ๔,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑วันนรก = ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปเผาสัตว์ทั้งเป็น ตัดสินความไม่ยุติธรรม รุกที่ดินเอาสาธารณสมบัติมาเป็นของตน กินเหล้าเมาประทุษร้ายผู้อื่น ชาวประมง คนที่เผาป่าที่สัตว์อาศัยอยู่
(๕). มหาโรรุวนรก (ชาลโรรุว) นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ครวญครางดังกว่าโรรุวนรก อายุ ๘,๐๐๐ ปีอายุกัป(๑ วันนรก = ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาป ตัดคอสัตว์ด้วยความโกรธ ปล้น ขโมยทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และของศาสนาเช่นของภิกษุสามเณรดาบสแม่ชีและสิ่งของเครื่องสักการะที่เขาบูชาพระรัตนตรัยปล้นโกงเอาของคนอื่นมาเป็นของตน
(๖). ตาปนนรก (จูฬตาปน) นรกที่ทำให้สัตว์เร่าร้อน ด้วยการให้นั่งตรึงติดอยู่ในหลาวเหล็กอันร้อนแดงแล้วให้ไฟไหม้อยู่ อายุ ๑๖,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์)
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์เป็นคนใจบาป ประกอบกรรมด้วยโลภะ โทสะ โมหะ
เช่น ฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพและคนที่เผาบ้านเมือง กุฎิ โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ปราสาท ทำลายเจดีย์
(๗). มหาตาปนนรก (ปตาปน) นรกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนอย่างมากมายเหลือประมาณ อายุ ครึ่งอันตรกัปของมนุษย์
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปหนาไปด้วยอกุศลมลทิน เช่น ประหารคนหรือสัตว์ให้ตายเป็นหมู่มากๆ ไม่คำนึงถึงชีวิตเขาชีวิตท่าน และคนที่มีอุจเฉททิฎฐิ สัสสตทิฎฐิ นัตถิกทิฎฐิ อเหตุทิฎฐิ และอกิริยทิฎฐิ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง
(๘). อเวจีนรก นรกที่ปราศจากคลื่นคือ ความเบาบางแห่งความทุกข์ อายุ ประมาณ ๑ อันตรกัปของมนุษย์
บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ได้ทำอนันตริยกรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ฆ่ามารดา บิดา พระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ทำสังฆเภท ยุยงให้สงฆ์แตกกัน และบุคคลที่ทำลายพระพุทธเจดีย์ พระพุทธรูป ต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้โดยจิตคิด ประทุษร้ายบุคคลที่ติเตียนพระอริย บุคคลพระสงฆ์ผู้มีคุณแก่ตน ผู้ที่ยึดถือนิยตมิจฉาทิฎฐิ ๓
( อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม ) (อยู่รอบ ๔ ทิศ ๆ ละ ๔ ของมหานรกแต่ละขุม)
(๑). คูถนรก สัตว์นรกทีมาเกิดได้รับทุกขเวทนาอยู่ในอุจจาระเน่า โดยถูกหนอนกัดกินทั้งเนื้อและกระดูกตลอดจนอวัยวะภายในทั้งหมดจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
(๒). กุกกุฬนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกขเวทนา โดยถูกเผาด้วยขี้เถ้าร้อนระอุ ร่างกายไหม้ยับย่อย ละเอียดเป็นจุณ จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
(๓). สิมปลิวนนรก สัตว์นรกทั้งหลายที่ยังมีเศษอศุลกรรมเหลืออยู่ ถึงแม้พ้นจากนรกขี้เถ้าร้อนแล้วก็ยังไม่หลุดพ้น ยังต้องเสวยทุกข์จากนรกป่าไม้งิ้วต่อไปจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
(๔). อสิปัตตวนนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกข์จากป่าไม้ใบดาบ เช่น ใบมะม่วงซึ่งกลายเป็นหอกดาบ และมีสุนัขแร้งคอยทรมานขบกัดกินเลือดเนื้อ จนกว่าจะสิ้นกรรม
(๕). เวตรณีนรก สัตว์นรกที่เกิดมาได้รับทุกข์จากน้ำเค็มแสบที่มีเครือหวายหนามหล็ก ใบกลีบบัวหลวงเหล็กตั้งอยู่กลางน้ำ ซึ่งคมเป็นกรด มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
( ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม ) ( อยู่รอบ ๔ ทิศ ๆ ละ ๑๐ ของมหานรกแต่ละขุม )
(๑). โลหกุมภีนรก เป็นหม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยน้ำแสบร้อนเดือดพล่านตลอดเวลา สัตว์ที่มาเกิดต้องได้รับทุกข์ทั้งแสบทั้งร้อนเสวยทุกขเวทนาอย่าง แสนสาหัส ถูกต้มเคี่ยวในหม้อเหล็กนรกนั้นจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วที่ตนได้ทำมา
บุพกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆมาต้มในหม้อน้ำร้อน แล้วเอามากินเป็นอาหาร
(๒). สิมพลีนรก เต็มไปด้วยป่างิ้วนรก มีหนามแหลมคมเป็นกรดยาวประมาณ ๓๖ องคุลี ลุกเป็นเปลวไฟแรงอยู่เสมอ สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับ ทุกข์ทรมานจนสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม เช่น คบชู้สู่สาว ผิดศีลธรรมประเพณี ชายเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น หญิงเป็นชู้สามีของผู้อื่น หรือชายหญิงที่มีภรรยาหรือสามี ประพฤตินอกใจไปสู่หาเป็นชู้กับผู้อื่น มักมากในกามคุณ
(๓). อสินขะนรก สัตว์นรกที่มาเกิดมีรูปร่างแปลกพิกล เช่น เล็บมือเล็บเท้าแหลมยาว กลับกลายเป็นอาวุธ หอก ดาบ จอบ เสียม สัตว์นรกเหล่านี้ เหมือนคนบ้าวิกลจริตบ้างนั่ง บ้างยืน เอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นอาหารตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม เช่น เมื่อมนุษย์ชอบลักเล็กขโมยน้อย ขโมยของในสถานที่สาธารณะและของทีเขาถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
(๔). ตามโพทะนรก มีหม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงปนด้วยหินกรวด ร้อนระอุตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ โดยการถูกกรอกด้วยน้ำทองแดง และกรวดหินเข้าไปทางปาก จนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม ด้วยผลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนๆเป็นคนใจอ่อนมัวเมา ประมาท ดื่มสุราเมรัย แสดงอาการคล้ายคนบ้าเป็นเนืองนิจ
(๕). อโยคุฬะนรก เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด อกุศลกรรมบันดาลสัตว์นรกที่มาเกิดเห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหาร เมื่อกินเข้าไปแล้วเหล็กแดงนั้นก็เผาไหม้ไส้พุง ได้รับทุกขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรม
บุพกรรม เช่น แสดงว่าตนเป็นคนใจบุญใจกุศล เรี่ยไรทรัพย์ว่าจะนำไปทำบุญสร้างกุศล แต่กลับยักยอกเงินทำบุญของผู้อื่นมาเป็นของตน การกุศลก็ทำบ้างไม่ทำบ้างตามที่อ้างไว้หลอกลวงผู้อื่น
(๖). ปิสสกปัพพตะนรก มีภูเขาใหญ่ ๔ ทิศ เคลื่อนที่ได้ไม่หยดหย่อน กลิ้งไปมาบดขยี้สัตว์นรกที่มาเกิดให้บี้แบนกระดูกแตกป่นละเอียดจนตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีก ถูกบดขยี้อีกจนตายเรื่อยไปจนสิ้นกรรมของตน
บุพกรรม เช่น เคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ประพฤติตนเป็นคนอันธพาล กดขี่ข่มเหงราฎร ทำร้ายร่างกาย เอาทรัพย์เขามาให้เกินพิกัดอัตราที่กฏหมายกำหนด ไม่มีความกรุณาแก่คนทั้งหลาย
(๗). ธุสะนรก สัตว์นรกที่มาเกิดมีความกระหายน้ำมาก เมื่อพบสระมีน้ำใสสะอาดที่ดื่มกินเข้าไปอำนาจของกรรมบันดาลให้น้ำนั้นกลายเป็นแกลบเป็นข้าวลีบลุกเป็นไฟเผาไหม้ท้องและลำไส้
เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส จากกรรมชั่วที่ทำมา
บุพกรรม เช่น คดโกงไม่มี ความซื่อสัตย์ ปนปลอมแปลงอาหารและเครื่องใช้แล้วหลอกขายผู้อื่น ได้ทรัพย์สินเงินทองมาโดยมิชอบ
(๘). สีตโลสิตะนรก เต็มไปด้วยน้ำเย็นยะเยือก เมื่อสัตว์นรกที่มาเกิดตกลงไปก็จะตายฟื้นขึ้นมาก็ถูกจับโยนลงไปอีกเรื่อยไปจนสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆ โยนลงไปในบ่อ ในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์เป็นๆ
ทิ้งน้ำให้จมน้ำตาย หรือทำให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้รับความทุกข์และตายเพราะน้ำ
(๙). สุนขะนรก เต็มไปด้วยสุนัขนรก ซึ่งมี ๕ พวกคือ หมานรกดำ หมานรกขาว หมานรกเหลือง หมานรกแดง หมานรกต่างๆ และยัง มีฝูงแร้งกา นกตะกรุม สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกสุนัข แร้งกา ไล่ขบกัดตรงลูกตา ปากและส่วนต่างๆ ได้รับทุกขเวทนาจากผลกรรมชั่วทางวจีทุจริต
บุพกรรม คือ ด่าว่าบิดามารดา ปู่ยาตายาย พี่ชายพี่สาวและญาติทั้งหลายไม่เลือกหน้า
ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ตลอดจนพระภิกษุสงฆ์สามเณร
(๑๐). ยันตปาสาณะนรก มีภูเขาประหลาด ๒ ลูก เคลื่อนกระทบกันตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกภูเขาบีบกระแทกได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นมา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม เช่น เป็นหญิงชายใจบาปหยาบช้าด่าตีคู่ครองด้วยความโกรธแล้วหันเหประพฤตินอกใจไปคบชู้เป็นสามีภรรยากับคนอื่นตามใจชอบ
โลกันตร์
( โลกันตร์นรก ๑ ขุม )
โลกันตนรก เป็นนรกขุมใหญ่ อยู่นอกจักรวาล มืดมนไม่มีแสง มองไม่เห็นอะไรเลยและเต็มไปด้วยทะเลน้ำกรดเย็น
ที่ตั้ง อยู่ระหว่างโลกจักรวาล ๓ โลก เหมือนกับวงกลม ๓ วงติดกัน คือ บริเวรช่องว่างของวงทั้ง ๓ สัตว์นรกที่มาเกิดต้องได้รับทุกขเวทนาเป็นเวลา ๑ พุทธันดร จากผลกรรมชั่ว เช่น ทรมาน ประทุษร้ายต่อบิดามารดา และผู้ทรงศีล ทรงธรรมหรือปาณาติบาตเป็นอาจิณ ฆ่าตัวตาย เป็นต้น
( โลกนรกประกอบด้วย )
มหานรก ๘ ขุม
อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม
ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม
โลกันตร์นรก ๑ ขุม
รวม ๔๕๗ ขุม

เด็กใหญ่

ประเทศไทยนับถือพุทธพราหม ไม่ใช่พุทธแท้ ในวัดชัดเจนเกือบทุกวัด

เมืองพุด

.



..เมืองพุด แต่โกง ปล้น  ฆ่า ทำร้าย ขายตัว ข่มขืนกันทั้งเมือง ส.โอ้โห ส.ก๊ากๆ

คุณหลวง

อ้างจาก: แค่วาทะกรรมสล่ะสลวย เมื่อ 17:19 น.  15 ก.ย 55
สรรพคุณครอบจักรวาล เหน็บแนม เสียดสีบ้าง ค้อน สาระยังน้อยอยู่ เหมือนอ่านข้อความในหนังสือทั่วไป เป็นเพียงการเล่นวาทะกรรม ศิลปในการใช้ถ้อยคำ ความรู้พื้นฐานมีพอตัว ต้องสกิดต่อมโทสะซักหน่อยถึงจะรู้ว่า จริตไหน มาโต้คารมสนทนาธรรมกันหน่อย เอาเลยนะ ท่านนับถือ ศาสนาอะไร เพราะอะไร แล้วรู้รึเปล่าว่า ศาสดาของศาสนาท่านมาจากไหน แล้วอยู่ที่ไหน มาเลยท่านคุณหลวง ส-เหอเหอ ส.อ่านหลังสือ

    ด้วยความเคารพครับท่าน ที่ท่านกล่าวว่า เหน็บแนม เสียดสีบ้าง ค้อนนั้น ผมเหน็บแนมใคร ตรงไหน อย่างไร ท่านเจ็บแสบที่ใด?

    ส่วนที่ว่าสาระยังน้อยมากนั้น มันไม่อยู่ที่ใดนะครับ เพราะพระบางรูปบรรลุธรรมได้เพียงเพราะขยำผ้าขี้ริ้ว บางท่านแค่ได้ยินกะหรี่ด่ากัน บางท่านแค่น้ำล้างเท้า ฯลฯ ท่านก็รู้ดี ดังนั้น สาระจึงอยู่ที่มีปัญญาพินิจหรือไม่อย่างไร เท่านั้น? ปัญญา นัตถิ อฌายโต...

    ส่วนเรื่องที่ท่านจะขอสนทนาธรรมกับผมนั้น ผมขอเรียนนะครับว่า บางทีการโต้กันมันก็มีประโยชน์ แต่บางทีก็ไร้ประโยชน์นะครับ เอาเป็นว่าท่านไปอ่านข้อเริ่มต้นที่พระยามิลินทะตรัสขอสนทนากับพระนาคเสนก่อนนะครับ ในข้อที่ว่า "โยมขอสนทนากับพระคุณเจ้าได้หรือไม่.....ฯลฯ นั้นแล

    และอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากท่านจะสนทนากับผมจริงๆแล้วล่ะก็ ขอให้ท่านใช้ชื่อเพียงชื่อเดียวสักระยะให้ชัดเจนว่าเป็นคนๆเดียวกัน แม้จะไม่สมัครสมาชิกก็ได้ เพื่อป้องกันคำแก้ตัวในภายที่แก้ตัวไม่ได้ โต้ไม่ได้แล้วอ้างว่าชื่อนี้ไม่ใช่ผมๆเพราะเหตุที่เข้ามาทุกทีเปลี่ยนชื่อทุกที แต่หากท่านคิดโต้เพื่อชนะกันก็เอาไปเลยครับ ผมให้ฟรีๆ

    หากท่านให้พรที่ผมขอได้แล้ว ค่อยว่ากันนะครับ แต่หากจะรีบไปเพราะอายุขัยสั้น มารตามรังควานก็สุดแล้วแต่ครับผม เพราะผมยังอยู่บนโลกใบนี้ และยังใช้ชื่อนี้เข้ามาที่นี่ต่อไป หากท่านจะกลับมาเข้ามาด้วยความแน่ใจว่าสามารถใช้ชื่อเดียวกันสนทนากับผมได้แล้วก็จะรับคำเชิญครับ

    ซามูไรที่แท้จะไม่มีตัวตายตัวแทนเพื่อหลบตัวเองนะครับท่าน?

    สวบายดี มีความสุขในทุกวันแห่งธรรมดาๆครับท่าน และทุกๆท่าน         ....สะบายดี...

     
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คนหลง

.


...เห็นชื่อคุณหลวง ผม คนหลง จึงรีบเข้ามา ตามหาธรรมะ..

ไม่ค่อยเห็นเลยช่วงนี้...คิดถึง และมองหาอยู่ทุกวัน...

อายุบวรนะครับ... ส.หัว ส.ยกน้ิวให้ ส.สู้ๆ

การยึดติดในชื่อคืออัตตา

อ้างจาก: คุณหลวง เมื่อ 14:22 น.  21 ก.ย 55
    ด้วยความเคารพครับท่าน ที่ท่านกล่าวว่า เหน็บแนม เสียดสีบ้าง ค้อนนั้น ผมเหน็บแนมใคร ตรงไหน อย่างไร ท่านเจ็บแสบที่ใด?

    ส่วนที่ว่าสาระยังน้อยมากนั้น มันไม่อยู่ที่ใดนะครับ เพราะพระบางรูปบรรลุธรรมได้เพียงเพราะขยำผ้าขี้ริ้ว บางท่านแค่ได้ยินกะหรี่ด่ากัน บางท่านแค่น้ำล้างเท้า ฯลฯ ท่านก็รู้ดี ดังนั้น สาระจึงอยู่ที่มีปัญญาพินิจหรือไม่อย่างไร เท่านั้น? ปัญญา นัตถิ อฌายโต...

    ส่วนเรื่องที่ท่านจะขอสนทนาธรรมกับผมนั้น ผมขอเรียนนะครับว่า บางทีการโต้กันมันก็มีประโยชน์ แต่บางทีก็ไร้ประโยชน์นะครับ เอาเป็นว่าท่านไปอ่านข้อเริ่มต้นที่พระยามิลินทะตรัสขอสนทนากับพระนาคเสนก่อนนะครับ ในข้อที่ว่า "โยมขอสนทนากับพระคุณเจ้าได้หรือไม่.....ฯลฯ นั้นแล

    และอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากท่านจะสนทนากับผมจริงๆแล้วล่ะก็ ขอให้ท่านใช้ชื่อเพียงชื่อเดียวสักระยะให้ชัดเจนว่าเป็นคนๆเดียวกัน แม้จะไม่สมัครสมาชิกก็ได้ เพื่อป้องกันคำแก้ตัวในภายที่แก้ตัวไม่ได้ โต้ไม่ได้แล้วอ้างว่าชื่อนี้ไม่ใช่ผมๆเพราะเหตุที่เข้ามาทุกทีเปลี่ยนชื่อทุกที แต่หากท่านคิดโต้เพื่อชนะกันก็เอาไปเลยครับ ผมให้ฟรีๆ

    หากท่านให้พรที่ผมขอได้แล้ว ค่อยว่ากันนะครับ แต่หากจะรีบไปเพราะอายุขัยสั้น มารตามรังควานก็สุดแล้วแต่ครับผม เพราะผมยังอยู่บนโลกใบนี้ และยังใช้ชื่อนี้เข้ามาที่นี่ต่อไป หากท่านจะกลับมาเข้ามาด้วยความแน่ใจว่าสามารถใช้ชื่อเดียวกันสนทนากับผมได้แล้วก็จะรับคำเชิญครับ

    ซามูไรที่แท้จะไม่มีตัวตายตัวแทนเพื่อหลบตัวเองนะครับท่าน?

    สวบายดี มีความสุขในทุกวันแห่งธรรมดาๆครับท่าน และทุกๆท่าน         ....สะบายดี...

     
ยังไงก็ขอยืนยันคำเดิมว่าเป็น วาทะกรรมปรุงแต่ง ศิลปในการใช้ถ้อยคำข้อความโน้มน้าวจิตใจ เน้นสล่ะสวย เก๊กพระเอกในนิยาย ยังไงก็สรรพคุณครอบจักรวาล เหมือนเดิม ขอแบบธรรมเน้นๆ ซัก 10 -20 บรรทัด แบบแก่นๆ กลั่นออกมาจากตัวเอง จะได้รู้ว่าท่านคุณหลวง รู้ธรรมแค่ไหน ที่โพส มาทุกข้อความที่เห็น มีแต่ไตเติ้ลเฉี่ยวๆ เหมือนว่ารู้เยอะรู้มาก ปล่อยมาเลยครับ ศาสนาที่ท่านนับถือก็ได้ จากสัญชาตญาณส่วนตัวที่สัมผัสได้ ไม่กล้าปล่อยมามากกว่า ให้เวลาท่านหารวบรวมมาเลยสุดยอดธรรมทั้งหมดที่ท่านรู้และค้นคว้ามา 7วันพอไม๊  จะทำให้เห็นว่าธรรมที่รู้เฉพาะตนส่วนบุคคลของจริงเป็นยังไง เตรียมมาเลยท่านคุณหลวง ความรู้ใบไม้ทั้งป่าที่ยังไม่ค้นพบมีอีกนับไม่ถ้วนล้นไตรภพ      ตั้งคำถามเป็นโจทย์ไว้ให้ท่านคุณหลวงตอบนะ
ตายแล้วเกิดอีกไหม
ทำบุญล้างบาปได้ไหม
ศาสดาของท่านอยู่ที่ใด
จุดสูงสุดของผู้ปฏิบัติธรรมศาสนาท่านไปอยู่ที่ไหนกับใครแล้วอมตะหรือ ไม่ต้องเกิดอีกแล้วใช่ไหม
 
   

   

ทำทัมทรรมธัมธำธรรม

คำว่าธรรมในภาษาไทย เห็นไม๊อ่านออกเสียงเหมือนกันเขียนต่างกันได้หลายแบบความหมายแตกต่างกันไปมันเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์และระหัสทางภาษาให้เข้าใจตรงกัน นั่นแหละคือการปรุงแต่ง เหมือนกิเลสในปัจจุบันที่มันแยบยลเห็นว่าดีแต่มีพิษร้ายแรงยากที่แม้แต่พระในผ้าเหลือง จะแยกออกจนนอกรีตและชี้นำให้ฆราวาสหลงผิดพากันลงเหวนรกเพราะหัวหน้าใหญ่ฝึกสอนธรรมไม่ทันกิเลส ไม่เคร่งครัดในธรรมวินัยและไม่ศึกษาพระไตรปิฏกให้กระจ่างแจ้งไม่ยึดตัวแทนพระพุทธองค์เป็นหลักแผนที่นำทาง  ในโลกียธรรมในทางพุทธ ถ้าเทียบกับทุกศาสนาหลักใหญ่ๆ พุทธ คริส อิสลาม พรหม หราห์ม ฮินดู ดีพอๆกัน ไล่เลี่ยกัน ทัดเทียมพอกัน ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจใครดีกว่า และไม่ต้องทะเลาะกันชิงความเป็นที่หนึ่งเป็นสงครามศาสนา ดีเหมือนๆกันทางไปที่เดียวกัน คือภพภูมิเบื้องบนมนุษย์เป็นอย่างน้อยสูงขึ้นไป ถ้าไม่หลงผิดบิดเบือนคำสอน อยากถามว่าศาสนาอื่นมีเหนือกว่านี้ไหม หรือมี ไปอยู่กับพระเจ้าไปอยู่ยังไง อมตะไม่มีวันตาย ได้ไง ไปยังไง พระเจ้ามารับ เราไม่ต้องฝึกจิตผ่านไปด้วยตัวเองหรือ ขอแค่ให้เชื่อใช่ไหม พระเจ้าก็มารับเราไปอยู่กับท่าน ไม่ตาย มีแต่สุขนิรันดร แต่ทางพุทธบอกว่าอย่าได้เชื่อ เพราะผู้พูดน่าเชื่อถือหรือเป็นพระหรืออรหันต์ก็ตาม ต้องใช้ปัญญามาใคร่ครวญพิจารณาเสียก่อน ทุกกรณี แม้แต่ฟังจาก พระพุทธเจ้าองค์ศาสดาแห่งพุทธเองโดยตรง ก็ให้ผู้ที่ฟังเทศน์ใคร่ครวญด้วยปัญญาตัวเองก่อน ถึงได้เชื่อด้วยความเข้าใจแท้จริง และพาตัวเองข้ามไปด้วยตัวเองเท่านั้น นั่นแหละความยุติธรรม เวร และ กรรม ของใครของมัน เอาตัวเองข้ามผ่านไปได้ก็ข้ามไปก่อน คนอื่นจะข้ามไปก็บุญและกรรมของเค้า บารมีธรรมที่สั่งสมมา เป็นล้านๆชาติภพ นับไม่ถ้วน   นี่ยังไม่ถึงโลกุตรธรรมนะ ถ้าสนใจธรรมเหนือโลกพ้นโลกนี้ อยู่ร่วมในสังคมโลกลำบาก เพราะมันสวนทางกัน เข้ากันไม่ได้เลยเหมือนน้ำกับน้ำมัน เมื่อรู้โลกุตรธรรมมาก ถ้ามาคลุกคลีในวงโลกียธรรม เหมือน ได้ตายจากสังคมโลกนี้ไปแล้วว่างั้น ประมาณนั้น มายุ่งเมื่อไหร่ในโลกียะธรรมเท่ากับว่าบาปน้อยๆบาปละเอียดบาปนิดๆ รู้โลกุตรธรรมมากๆ ต้องปลีกวิเวกอยู่ป่าตามถ้ำโคนต้นไม้ใหญ่ ห้ามไม่ให้คลุกคลีในหมู่คณะ คลุกคลีได้เพื่อธรรมให้น้อยที่สุดได้เท่าไหร่ยิ่งดี แถมให้อีกหน่อย เรื่อง รองต๊ะ รองเท้าหน่ะ คิดว่าพระพุทธเจ้า ตอนเป็นฆราวาสท่านเป็นถึงเชื้อกษัตริย์คิดว่าสมัยนั้นยุคหินเหรอไม่มีรองเท้าเหรอมีเยอะแยะ แล้วทำไมท่านไม่ใส่หล่ะ ในเมื่อญาณท่านมองทะลุเป็นอนันไม่มีสิ้นสุด เพราะใส่แล้วมันตั้งอยู่ในความประมาทเลินเล่อไง นึกจะเหยียบอะไรก็เหยียบ ไม่โดนหนังโดนเนื้อเหยียบสัตว์ตัวเล็กๆตายก็ไม่รู้สึก เดินสอดส่ายสายตาไปทั่ว นั่นมันขาดสติทั้งนั้น ขาดภาวนา จิตลอยเควิ้งคว้าง มันส่อให้เห็นว่าไม่ได้ธรรมอะไรเลยที่พระองค์ทรงบัญญัติวินัยแนะนำ มันต้องบวชด้วยศรัทธาจริงปฏิบัติจริง เดินจงกรมนั่งสมาธิออกธุดงภาวนาศึกษาพระไตรปิฏก ไม่ใช่บวชเพื่อกอบโกยเงินเข้าวัด สอนฆราวาสโดยที่พระเองไม่รู้ไม่ได้ศึกษาพระธรรมพระไตรปิฏก นั่งเป่า นั่งเสก นั่งสัก ของปลอมแล้ว มัน พรหม พราห์มฮินดู แล้วเน้นพิธีกรรม ยุคจะล้ำสมัยขนาดไหน เงินทองห้ามยุ่งกับพระแน่นอน ผิดก็ขออภัย ผิดลงที่เราคนเดียวให้ฟ้าผ่าหัวเราตายออกข่าวหน้าหนึ่งเลย เอาหัวเป็นประกัน ธรณีสูบด้วยเพราะถ้าเราเข้าใจผิดมันเป็นอนันตริยกรรม ยุยงให้สงฆ์แตกแยก แยกจริงแยกมาที่พุทธแท้ให้ถูกต้องเดิมแท้เน้นที่จิตอย่างเดียวไม่รุงรังมีแต่ปล่อยสลัดออก ไม่เอามากองสะสมเก็บกวาดทำนุบำรุงกันจนไม่ต้องทำกิจของสงฆ์กันแล้ว เพราะมั่นใจ ให้ตายในสามวันเจ็ดวันเลยเอาสิ่งศักสิทธิ์ในสากลโลกนี้มาเป็นพยาน และสำแดงฤทธิ์เดชให้เราตาย หากว่าพระยุ่งเกี่ยวเงินทองไม่ผิด อรหันต์ก็ผิดจากที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ แต่ไม่ต้องรับผล เพราะจิตหลุดพ้นแล้ว ที่รับๆกันปัจจุบันแน่ใจว่า ถึงขั้นอรหันต์แล้ว โสดาบัน ยังไม่รู้จะถึงกี่คน อรหันต์ก็ห้ามยุ่งเกี่ยวข้อง เพราะศาสดาพระพุทธเจ้าบัญญัติห้ามไว้  ส.อ่านหลังสือ ส.โกรธ

เอาหยู่

.


...มาอ่านเรื่อง ตายแล้วไปไหน ...

ส.ก๊ากๆ ส.หัว ส-เหอเหอ

คุณหลวง

ขอบคุณท่านคนหลงนะครับ อายุบวรเช่นกัน...

ผมไม่ว่างเข้ามาเท่าไหร่ครับ ตั้งแต่ย้ายกลับอยู่บ้าน(น๊อกบ้านนอก ส.หลก)ก็ไม่มีเน็ตเข้าถึง แม้มีแอร์การ์ด สัญญาณก็ไปไม่ถึงเพียงพอขอรับท่าน ทุกระบบ แม้ระบบที่ว่าชัดเจนครอบคลุมทุกรูปแบบชีวิตก็ไม่พอ ปล่อยให้เรามีรูปแบบเดินหาคลื่นเอาเองเวลาจะติดต่อ เฮ้อ...

ก็เลยนานๆเข้ามาสักที เวลาออกมาข้างนอกและมีเวลาพอเท่านั้นครับผม นึกถึงท่านเสมอ วันนี้บรรยากาศริมน้ำเป็นไงบ้างครับ หวังว่ามิต้องขนของนะครับปีนี้  ส.โอ้โห


       สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ฅนหลง

....


...หวัดดีครับ ท่านคุณหลวง

ขอบคุณ ที่ยังคิดถึงกันอยู่

ฝนตก น้ำท่วม รถติด โจรผู้ร้ายเต็มเมือง และอีกสารพัด


...พึงหลีกเร้นจากกลุ่มคณะ การอยู่ในที่สงบเงียบ นับว่าเป็นความสุขอย่างยิ่ง

บ้านริมน้ำ น้ำไม่ท่วมครับ ตลิ่งสูง ผมมีหมาเป็นเพื่ิอน

บางทีก็มีเอี้ยเป็นเพื่อน ริมน้ำมีหลายตัว เป็นสัตว์สุภาพ ไม่ดุร้าย ไม่ทะเลาะ ไม่กัดกัน


...อายุ สุข วรรณะ.. ส.หัว ส.ก๊ากๆ ส.สู้ๆ ส-ฝนเล็บ

คุณหลวง

อ้างจาก: การยึดติดในชื่อคืออัตตา เมื่อ 00:56 น.  22 ก.ย 55
ยังไงก็ขอยืนยันคำเดิมว่าเป็น วาทะกรรมปรุงแต่ง ศิลปในการใช้ถ้อยคำข้อความโน้มน้าวจิตใจ เน้นสล่ะสวย เก๊กพระเอกในนิยาย ยังไงก็สรรพคุณครอบจักรวาล เหมือนเดิม ขอแบบธรรมเน้นๆ ซัก 10 -20 บรรทัด แบบแก่นๆ กลั่นออกมาจากตัวเอง จะได้รู้ว่าท่านคุณหลวง รู้ธรรมแค่ไหน ที่โพส มาทุกข้อความที่เห็น มีแต่ไตเติ้ลเฉี่ยวๆ เหมือนว่ารู้เยอะรู้มาก ปล่อยมาเลยครับ ศาสนาที่ท่านนับถือก็ได้ จากสัญชาตญาณส่วนตัวที่สัมผัสได้ ไม่กล้าปล่อยมามากกว่า ให้เวลาท่านหารวบรวมมาเลยสุดยอดธรรมทั้งหมดที่ท่านรู้และค้นคว้ามา 7วันพอไม๊  จะทำให้เห็นว่าธรรมที่รู้เฉพาะตนส่วนบุคคลของจริงเป็นยังไง เตรียมมาเลยท่านคุณหลวง ความรู้ใบไม้ทั้งป่าที่ยังไม่ค้นพบมีอีกนับไม่ถ้วนล้นไตรภพ      ตั้งคำถามเป็นโจทย์ไว้ให้ท่านคุณหลวงตอบนะ
ตายแล้วเกิดอีกไหม
ทำบุญล้างบาปได้ไหม
ศาสดาของท่านอยู่ที่ใด
จุดสูงสุดของผู้ปฏิบัติธรรมศาสนาท่านไปอยู่ที่ไหนกับใครแล้วอมตะหรือ ไม่ต้องเกิดอีกแล้วใช่ไหม
   

    ในเมื่อท่านเองก็ตัดสินแล้วว่าผมมีอะไรแค่ไหน เห็นแล้วก็น่าจะพอนะครับท่าน เพราะว่าผมมีแค่ความรู้พื้นฐาน และไตเติ้ลเฉี่ยวๆเท่านั้น ส่วนท่านนั้นอาจจะเป็นพระอรหันต์ประเภทพิเรนทร์ หรือฆราวาสบรรลุธรรมอะไรก็แล้วแต่ท่าน (หากท่านบอกว่าโพสต์นั้นไม่ใช่ท่าน นั่นคือเหตุผลที่ผมขอให้ท่านใช้ชื่อเดียว โดยสมมติ)

    ดังนั้น ท่านเองก็เห็นว่าผมเป็นประดุจเกลือ ส่วนท่านนั้นเป็นดั่งพิมเสน ดังนี้แล้วท่านจะเอาตัวท่านมาแลกกับผมทำไมกันครับ มันคุ้มกันหรือที่ท่านพระครูจะมาเถียงธรรมกับแม่ค้าตลาดสด

    อีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรท่านก็เห็นว่าผมมีแค่วาทะกรรมปรุงแต่งเท่านั้น มันต้องเข้าไปในพระไตรปิฏกฉบับออนไลน์ คัดลอก แล้ววาง นั่นจึงจะเป็นของจริงใช่ไหม?

    ขนาดผมพูดแบบไม่ปรารภใคร ท่านยังกล่าวหาว่าผมเหน็บแนม เสียดสี แล้วอย่างนี้จะพูดกันได้อย่างไร ในเมื่อท่านหาได้เห็นว่าการสนทนานี้เป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยน แต่เป็นการวัดว่าใครเหนือกว่ากันเท่านั้น (ความคิดอย่างนี้หากเจอในกระทู้การเมืองก็เป็นเรื่องปกติครับ แต่หากเป็นเรื่องของท่านผู้รู้ เห็นธรรมมะขนาดท่านนี่ เป็นเรื่องที่ไม่สมควรยิ่งครับ)

    อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ การที่ท่านโต้กับท่านwareerant เมื่อท่านwareerant หยุดไประยะหนึ่ง ท่านก็เข้ามาเยาะเย้ยว่าเขาสู้ไม่ได้ นี่คือผู้ทรงธรรมหรือครับท่าน?

    นี่คือวิสัยของผู้ที่จะแจกแจงธรรมแห่งองค์พระสัมพุทธหรือ? ขนาดท่านตุฏโฉโปฏฐิละที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเรียกว่า "พระใบลานเปล่า" ก็ยังไม่ขนาดนี้นะครับ ต้องเทียบกับกลุ่มพระที่ทำให้พระพุทธองค์ต้องหลบหลีกไปอยู่ป่าพระองค์เดียวแหละคงจะได้

    ขอตัวเพียงเท่านี้ก่อนนะครับท่าน บังเอิญมีธุระ อันนี้ ท่านจะว่าอย่างไรก็ช่าง แต่ผมเป็นเกลือที่ภูมิใจกับความเป็นเกลือของผมอยู่แล้ว ท่านเอง จงภูมิใจกับตัวเองให้มากเถิดครับ อย่าริเอาพิมเสนมาแลกเกลือเลย ท่านผู้รู้เขาทราบเขาเห็น เขาจะตำหนิเอาเปล่าๆ

     หวังดีนะครับ

     สะบายดี...มีความสุขในวันฝนตกครับท่านและทุกๆท่าน
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป