ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

หน้าที่ของศาสนิกชน

เริ่มโดย เณรเทือง, 10:07 น. 29 มี.ค 55

เณรเทือง

สมาชิกกระดานลานบุญ ในฐานะที่ท่านเป็นชาวพุทธ!!
ท่านคิดว่าท่านจำเป็นต้องมีความผิดชอบต่อศาสนาอย่างไรหรือไม่
ท่านคิดว่าท่านควรทำหน้าที่ในการช่วยสืบทอดศาสนาอย่างไรบ้าง หรือแค่ทำตัวเป็นคนดีก็พอ หรือจะสร้างศาสนสถาน หรือจะสร้างพระคัมภีร์ หรือจะทำบุญใส่บาตรเลี้ยงพระหรือไม่จำเป็นทุกๆอย่าง หรือคิดว่าศาสนาพุทธจะล่มสลายไปก็ไม่เป็นไร เป็นการวัฏจักรการเกิดสู่แตกดับล่มสลายเรื่องธรรมดา การป้องกันศาสนามิให้เป็นอันตรายไปนั้นเป็นหน้าที่ของศาสนิกชนนั้นหรือไม่

เสน่หาอดยาก

.



..เด็กมีพ่อไปหลงเมียน้อย กลัวสมบติหาย ชาวพุทธช่วยไปตอบด้วย ในกระทู้หนึ่ง... ส.โอ้โห ส.ก๊ากๆ

คุณหลวง

อ้างจาก: เณรเทือง เมื่อ 10:07 น.  29 มี.ค 55
สมาชิกกระดานลานบุญ ในฐานะที่ท่านเป็นชาวพุทธ!!
ท่านคิดว่าท่านจำเป็นต้องมีความผิดชอบต่อศาสนาอย่างไรหรือไม่
ท่านคิดว่าท่านควรทำหน้าที่ในการช่วยสืบทอดศาสนาอย่างไรบ้าง หรือแค่ทำตัวเป็นคนดีก็พอ หรือจะสร้างศาสนสถาน หรือจะสร้างพระคัมภีร์ หรือจะทำบุญใส่บาตรเลี้ยงพระหรือไม่จำเป็นทุกๆอย่าง หรือคิดว่าศาสนาพุทธจะล่มสลายไปก็ไม่เป็นไร เป็นการวัฏจักรการเกิดสู่แตกดับล่มสลายเรื่องธรรมดา การป้องกันศาสนามิให้เป็นอันตรายไปนั้นเป็นหน้าที่ของศาสนิกชนนั้นหรือไม่

    ดูท่านเณรเทืองจะจริงจังมากเลยนะครับ

    การรู้จักตัวเอง หมายความว่ารู้จักตัวเอง รู้จักจิตใจแห่งตน เมื่อเรามีศรัทธาเราก็ทำไปเถอะครับ อย่าเรียกร้องอะไรจากใคร ไม่มีประโยชน์ คนที่เห็นประโยชน์แล้วเขาจะสานต่อประโยชน์นั้นเอง รวมไปถึงการเผยแพร่ต่อไป ยิ่งเขาได้ประโยชน์มาก เขาก็ยิ่งทุ่มเทมาก

    เราจึงเห็นคนที่ได้รับผลจากการศึกษาและปฏิบัติธรรมพยายามเผยแพร่ธรรม และเสริมสร้างสิ่งแวดล้อมแห่งธรรมขึ้น เช่น การบูรณะศาสนสถาน สร้างวิหาร สถานธรรม หนังสือ ฯลฯ

    แน่นอนครับ การแปรเปลี่ยนล่มสลายย่อมเป็นธรรมดาของสิ่งที่เกิดจากการปรุงแต่ง ศาสนาในส่วนที่เป็นการปรุงแต่งก็ต้องมีวันดับสลายเป็นธรรมดา ความพยายามรักษา ส่งเสริมให้งอกงามก็ควรทำอย่างยิ่ง แต่การตีโพยตีพาย เรียกร้องความสนใจจากใครๆให้มาช่วยกันๆ มันไร้ประโยชน์

    เพราะคนที่เห็นประโยชน์เขาก็ทำแม้ไม่มีใครเรียกร้อง คนไม่เห็นประโยชน์ต่อให้อย่างไรก็ไม่ทำ

    จิตใจของความปล่อยวางนั้น เข้่าใจได้ยากที่สุด อย่างครั้งหนึ่ง ป่าติดสวนโมกข์เิกิดไฟป่าขึ้นมา กำลังลุกลามเข้ามาสู่เขาพุทธทอง ลูกศิษย์ท่านหนึ่งวิ่งไปกราบเรียนท่านพุทธทาส

    "จะทำอย่างไรดี อาจารย์ ไฟมันจะมาถึงวัดแล้วครับ"

    ท่านพุทธทาสลุกขึ้นออกมาจากกุฏิ ในมือมีกล้องส่องทางไกลมาด้วย แล้วท่านก็ส่องไปดูทั่วๆแล้วหันมาบอกศิษย์ยิ้มๆ

    "เอ้อ..มันก็สวยดีนะ"

    หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่าไฟจะลุกลามเข้ามาถึงเขตวัดแต่อย่างไร ลูกศิษย์ของท่านยังงงมาอีกหลายปี

   

สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

puiey

หน้าที่ของศาสนิกชน ก็ต้องเป็นการปฏิบัติตามคำสอนของศาสดาที่เรานับถือ แก่นแท้ของศาสนาเค้าต้องการให้คนเป็นคนดี สรุปคือทำตนให้เป็นคนดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้สังคมก็พอแล้วครับ
โกธรกับแฟน ขึ้นสเตตัส "โสด" ถ้าวันนึง แม่มึงโกธร มึงไม่ขึ้นสเตตัส "กำพร้า" เลยเหรอ

Gemini

ของเรา ส่วนตัวคิดว่า
ขอแค่ทุกคนปฏิบัติตามศีล 5 ให้ได้
โลกจะน่าอยู่มากขึ้นเลยค่ะ
ส.ยกน้ิวให้ ส.ยกน้ิวให้

เราบางวันยังได้ไม่ทุกข้อเลย แต่ก็พยายามไปเรื่อย ๆ
ส.สู้ๆ ส.สู้ๆ
"ไม่สวย ไม่หล่อ หาหมอศัลยกรรม  ความคิด จิตต่ำ ศัลยกรรมช่วยไม่ได้จริง ๆ"

tuny

ผม ศีล5 ผมถือได้ไม่หมดคับ แต่เรื่อง ทำนุบำรุงศาสนา ก็พอมีครับ  การช่วยสืบทอดศาสนาของผมนะครับ มันต้องเริ่มจาก เด็กๆ เหมือนผมตอนเด็ก ได้ยายพาไปวัดบ่อยมากเยยนิ ยายพาไปก็ไปไม่เข้าใจอะไรหรอกครับแต่พอโตขึ้นมา นี้ เราต้องหาที่พึ่งทางใจ ของเราบ้างไม่นั้น มีความทุกข์มากๆเข้า หาที่ปล่อยไม่ได้อาจจะบ้าทันนิ เพราะธรรมะมีไว้บรรเทาทุกข์งัย เอิ๊กๆ ตอบมั่ว เอานิ

คุณหลง

.



...ตามคุณหลวงมาอ่านธรรมะ...


คุณหลวงอธิบายได้ดี สุภาพ ไม่เหมือนบางคน... ส.โอ้โห ส-เหอเหอ

คุณหลวง

ในความเห็นของผมนะ

    หน้าที่ของศาสนิกชนอย่างแรกก็คือการเข้าใจสาระของศาสนา สามารถแยกอรรถะ(สาระ)กับพยัญชนะ(ตัวอักษร)ได้ ซึ่งต้องอาศัยการศึกษาทั้งปริยัติและปฏิบัติ ทั้งต้องเปิดใจกว้างมากพอที่จะไม่ตัดสิน หรือตั้งทัศนคติเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆไว้ล่วงหน้า

ทัศนคติกับการเข้าถึงความจริง

    การแสดงธรรมครั้งหนึ่งของท่านพุทธทาส เรื่อง ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม ท่านกล่าวอย่างบันลือสีหนาทว่า พระพุทธเจ้าในทัศนคติของแต่ละคนนั่นเองที่เป็นภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม แม้พระธรรม พระสงฆ์ ศีล สมาธิ และปัญญา ที่ตนตั้งทัศนคติไว้ก็เป็นภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมได้เช่นกัน

เพราะเหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น

    เพราะเหตุว่าจิตทีึ่ยึดถือหรือตัดสินแล้วว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อศึกษาและปฏิบัติก็จะเป็นไปเพียงเพื่อต้องการคำตอบว่าเป็นจริงอย่างที่ตนยึดถืออยู่ เมื่อเจอความแตกต่างก็จะงงงวย หรือโกรธแค้น อย่างเช่น พระเถรวาทเราไม่น้อยที่จงเกลียดจงชังนิกายเซนว่าเป็นเดียรถีย์นอกพุทธศาสนา

    เพราะเซนนั้นส่วนใหญ่เน้นวิธีการโพล่งธรรมในฉับพลันด้วยคำตอบที่แปลกประหลาดสุดกู่ หรือกระแทกจุดอ่อนหัวใจอย่างแรงจนเกิดการปฏิวัติขึ้นภายใน บางทีสามารถผลักดันผู้นั้นบรรลุธรรมได้เลย

    (ขออธิบายก่อนว่า พระไตรปิฎกกล่าวถึงคำพระอานนท์ที่อ้างว่าฟังมาจากพระพุทธองค์(เอวัมเม สุตัง) สอนว่าการบรรลุธรรมนั้นมี ๔ วิธี

    ๑.การปฏิบัติด้านสมถะก่อนแล้วยกสู่วิปัสสนาภายหลัง
    ๒.การปฏิบัติด้านวิปัสสนาก่อนแล้วยกสู่สมถะภายหลัง
    ๓.การปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาไปพร้อมๆกัน
    ๔.การได้ยิน ได้เห็น สิ่งที่ตรึกอยู่ในขณะนั้น (ความพ้องพานระหว่างเหตุการณ์ภายนอกและภายใน))

    อย่างเรื่องเล่าของเซน เรื่องหนึ่งเล่าถึงลูกศิษย์มาถามพระอาจารย์ว่า "พุทธธรรมคืออะไร" อาจารย์ตอบทันที "ขี้หมากองหนึ่ง" ลูกศิษย์ตะลึง แล้วก็เข้าใจในที่สุด

    แต่หากมาพูดกับผู้ที่มีทัศนคติว่าพุทธธรรมเป็นของสูง ลึกซึ้ง สุขุม คัมภีรภาพ เข้า่ใจได้ยาก คงต้องอธิบายกันยาว และคนเหล่านี้จะโกรธมากทีเดียวกับคำตอบประเภทดูถูกอย่างนั้น(แต่ลูกศิษย์คนนั้นเข้าใจได้เพราะจิตที่หมกมุ่นอยู่ถูกกระตุกอย่างรุนแรงจนหลุดจากความยึดถือนั้นได้)

    พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งสูงสุดก็เพราะเป็นผู้ค้นพบ และชี้ทางพ้นทุกข์ ท่านตรัสอย่างชัดเจนว่าท่านไม่สามารถทำให้ใครได้ แต่คนผู้นั้นจะต้องเดินเอง หากปวารณาตัวเป็นศิษย์ของท่าน ท่านก็จะขนาบ จี้อย่างไม่หยุด ช่วยสุดกำลังเพื่อให้สำเร็จผล คนทนได้ก็จะได้ คนทนไม่ได้ก็ออกไป ไม่มีความเสียดมเสียดายใดๆทั้งสิ้น

    แต่พระพุทธเจ้าไม่อาจเป็นที่พึ่งได้จริงหากเรายึดติดว่าท่านต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ การเข้าถึงพระพุทธเจ้าได้ต้องวางพระพุทธเจ้าลงก่อน จิตที่ตั้งคำตอบไว้แล้วจะไม่มีทางรู้มากไปกว่าคำตอบที่ตนตั้งไว้ แม้จะมีความฉุกใจบ้างก็ตาม

    เฉกเช่นอุรุเวลกัสสปะผู้ยึดมั่นในอรหันต์แห่งตน แม้ฉุกใจในความอัศจรรย์ของพระพุทธะ แต่ไม่ยอมรับอยู่ดี จนต้องโดนจัดหนักจึงละวางได้ เข้่าถึงได้จริง

   

เหรียญมีสองด้าน เนื้อหาเดียว แต่ธรรมมีสองด้าน ต่างเนื้อหา


    เหรียญมีสองด้าน ด้านหัว-ด้านก้อย ด้านหลี่ยม-ด้านป้าน แล้วแต่จะว่าไป แต่ไม่ว่าเราจะพลิกด้านใดให้แม่ค้า แม่ค้ารับหมดและให้ราคาเท่ากัน

    แต่ธรรมนั้นมี สองด้าน ด้านหนึ่งคือด้านพยัญชนะ ที่เราเรียนรู้ ท่องจำกันอยู่ และส่วนที่เป็นวัตถุทั้งหลาย และอีกด้านคือด้านอรรถะ คือสาระแท้ซึ่งเข้าได้ด้วยใจที่ปล่อยวางเท่านั้น และผู้ที่สามารถปฏิบัติธรรมได้เป็นผลนั้นเกิดจากผู้ที่เข้าใจด้านอรรถะนั้นเอง ส่วนผู้ที่ยึดถือในพยัญชนะนั้นได้แต่วนเวียนอยู่ข้างนอกเท่านั้น

    พระไตรปิฎกเล่าถึงพระภิกษุเถระผู้ทรงความรู้อย่างเต็มเปี่ยมนาม "ตุฏโฉโปฐิละ" มีลูกศิษย์มากมาย ล้วนแต่ท่านสามารถสอนให้บรรลุธรรมได้ทั้งสิ้น แต่ตัวท่านเองนั้นกลับไม่เคยสัมผัสธรรมแท้เลย ทั้งๆที่ความรู้นั้นเกินใครจะมาตีต่อ และท่านก็ภูมิใจในตัวเองมาก

    แต่เมื่อไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาครั้งใดก็จะถูกเรียกว่า"ใบลานเปล่า"ทุกครั้งไป ครั้งแรกๆก็ไม่เอะใจ แต่บ่อยครั้งเข้าก็ต้องมาถามตัวเองว่าทำไมพระศาสดาจึงเรียกเช่นนั้น จนกระทั่งยอมรับได่ว่าตนเองมีความรู้สูงแต่ไม่เข้าถึงธรรมเลย ในขณะที่ลูกศิษย์แม้ชั้นเณรยังดื่มด่ำอมฤตธรรมได้

    จึงเข้าหาลูกศิษย์คนโตเพื่อขอให้สอนตนบ้าง แต่ลูกศิษย์คนโตไม่สอน โบ้ยให้คนถัดไป และถูกโบ้ยไปจนถึงเณรน้อยผู้สุดท้อง ท่านอาจารย์ผู้ยิ่งยงต้องขอร้องให้สามเณรสอนให้ ต้องบากหน้ากันอย่างสุดๆ สามเณรยังสั่งให้อาจารย์ตนถลกสบงวิ่งลุยโคลนจนกว่าตนเองจะสั่งให้หยุด

    ท่านอาจารย์ผู้ละความหลงทะนงตนก็ทำตาม จนสามเณรสอนให้ และบรรลุธรรมในที่สุด


ปล่อยวางไม่ได้ย่อมเถียงกันร่ำไป

    บ่อยครั้งที่เราจะพบเห็นคนที่ถกเถียงเรื่องศีล ธรรม กันอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาเหล่านั้นหารู้ไม่ว่าการถกเถียงนั้นเกิดจากความยึดถือ ไม่มีความถูกต้องเกิดขึ้นจากการเถียง การทะเลาะเบาะแว้ง การเหยียดหยามกัน การยกตนด้วยความรู้ ฯลฯ เพราะสิ่งเหล่านั้นมันผิดธรรมอยู่แล้วตั้งแต่ต้น

    บ่อยครั้ง ที่เราจะได้ยินว่าผิดศีลๆ ผิดธรรมๆ อย่างเช่นบังเอิญภิกษุ(แม้คนธรรมดา)เหยียบสัตว์เล็กจนถึงแก่ความตายก็ถูกกล่าวว่าผิดศีล ทั้งๆที่ไม่เป็นเจตนาแต่อย่างใด อันนั้นเพราะติดในพยัญชนะของการพรากชีวิตจากสัตว์ที่มีลมหายใจ แต่ไม่เข้าใจถึงอรรถะว่าเจตนาแห่งการกระทำนั้นเป็นกรรม

    หรืออย่างการที่พระจับเงิน ผู้ที่ถืออย่างพยัญชนะก็ไม่ยอมจับเงิน แต่ใช้ตั๋วแลกเงิน ใช้ไม้เขี่ย หรือกระดาษ หุ้มไว้ แล้วบอกว่าตนบริสุทธิ์ในศีล เวลาสูญหาย โดนลักขโมยก็โวยวาย แจ้งความเลยก็มี แต่ผู้ที่เข้าใจอรรถะจะรู้ว่าการเข้าไปยึดถือแห่งจิตใจนั้นแหละจึงเป็นการกระทำผิด

    หลวงพ่อชาเล่าถึงเรื่องหนึ่งว่า อาจารย์ต้องไปธุระต่างสำนักหลายวันก่อนไปก็บอกศิษย์ทั้งหลายว่า เวลาอาจารย์ไม่อยู่ อย่าคุยเรื่องธรรมกันเลย แล้วก็จากไป

    ลูกศิษย์ก็มานั่งคุยกันว่า เอ๊ อาจารย์เรานี่แปลกๆเนาะ ห้ามพูดเรื่องธรรม แล้วนักบวชอย่างเราจะพูดเรื่องอะไร ก็เลยไม่ฟังคำสั่งของอาจารย์ วันอาจารย์กลับมาก็พบว่าศิษย์ของตนบ้างมีแผล บ้างบวมปูดเพราะทะเลาะกันเรื่องธรรม

    ท่านจึงว่า ปล่อยวางไม่ได้ ทะเลาะกันร่ำไป


สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

เจซี

เป็นพุทธที่เข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาไม่ใช่ในทะเบียนบ้านอย่างเดียว
ละชั่ว ทำดี อีกทั้งต้องทำใจให้ผ่องใส เป็นชาวพุทธต้องถึงพร้องด้วย ทาน ศีล ภาวนา
ช่วยงานบุญ บำรุงศาสนาสถาน เพื่อได้สืบทอดถึงลูกหลานสืบไปต้องช่วยกันทุกคน