ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

บทความ : ตำนานวัวชนสัตว์สายพันธุ์นักสู้แห่งภาคใต้ และบริบทความเชื่อ

เริ่มโดย คุณาพร., 15:00 น. 26 ก.ย 55

คุณาพร.

บทความ  :  ตำนานวัวชนสัตว์สายพันธุ์นักสู้แห่งภาคใต้ และบริบทตำนานทางความเชื่อ

ตำนานวัวชนแห่งภาคใต้
   หากเราจะสรรหาสัตว์ที่เป็นภาพสัญลักษณ์แทนความเป็นอัตลักษณ์อย่างโดดเด่นแทนทุกสิ่งทุกอย่างของภาคใต้สักชนิดหนึ่ง  ชนิดแรกๆที่วางเด่นอยู่ในใจของหลายๆคนคงเป็น "วัวชน" สัตว์ที่เป็นทั้งกีฬาและความบันเทิงเริงใจของชาวปักษ์ใต้ในวันว่าง  วัวชนเป็นประหนึ่ง "สัตว์สายพันธุ์นักสู้แห่งภาคใต้" จากบันทึกทางประวัติศาสตร์เชื่อว่า "วัวชน" เป็นกีฬาที่ได้รับการเผยแพร่มาจากพวกคนโปรตุเกสในสมัยพระเจ้าเอมมานูเอล ซึ่งได้ส่งทูตเข้ามาเจริญพระราชไมตรีกับสยามประเทศในราวปี พ.ศ. 2061 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาปรากฏว่ากีฬาชนิดนี้เองได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วทั้งในนครศรีธรรมราช-พัทลุง-สงขลาตราบปัจจุบัน  แม้แต่ทีมสโมสรฟุตบอลของจังหวัดสงขลาทั้ง 2 ทีมคือ สงขลา เอฟซี และวัวชนยูไนเต็ด ยังคงใช้รูปวัวชนเป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำทีม


ภาพประกอบ  :  ตราสโมสรสงขลา เอฟซี
ที่มาของภาพประกอบ  :  http://www.songkhlafc.com/forum/index.php?topic=2572.0


ภาพประกอบ  :  ตราสโมสรวัวชนยูไนเต็ด
ที่มาของภาพประกอบ  :  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:Wuachon.png

   ถนอม พูนวงศ์ ได้กล่าวถึง "วัวชน" และกีฬา "ชนโค" เอาไว้ในหนังสือ "ประวัติศาสตร์เมืองสงขลา" หัวข้อที่ "4.การชนโค" ว่า การชนโคเป็นกีฬาพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมกันมากในจังหวัดสงขลา กีฬาชนโคมีตำนานเล่าว่า พ่อค้าชาวโปรตุเกสนำเข้ามาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยนำมาเผยแพร่ในภาคใต้ก่อนแต่ไม่ระบุว่าเมืองใด อย่างไรก็ตามธรรมชาติของโคถึกย่อต่อสู้ชนกับตัวอื่นๆ เพื่อชิงตำแหน่งผู้นำฝูง ถึงแม้ว่าโปรตุเกสไม่นำเข้ามาก็คงมีอยู่แล้วในภาคใต้ โคที่จะชนนั้นเรียก "วัวชน" จะต้องเป็นพันธุ์วัวชนโดยเฉพาะ มีรูปร่างสง่างาม เขา โหนก หาง เล็บ ใบหู ตา ฟัน สีขน และเสียงขัน(เสียงร้อง)มีลักษณะถูกต้องตามตำราความนิยม ก่อนแต่จะซื้อหามาเลี้ยง ผู้เป็นเจ้าของต้องสืบถามหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ว่าเป็นของใคร พ่อพันธุ์เคยชนแพ้ชนะมาแล้วกี่หน และรายละเอียดอื่นๆอีกมาก หากพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ดีลูกวัวอายุ 3 ปี มีรูปลักษณะเข้าตำราราคาซื้อขายตกตัวละ10,000 – 100,000 บาท หากวัวผ่านการชนะมาแล้วหนึ่งครั้งหรือสองครั้ง ราคาซื้อขายเป็นล้าน เป็นการเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงทางอ้อม
   
ปัจจุบันมีฟาร์มเลี้ยงวัวชนมากในจังหวัดสงขลา ผู้เลี้ยงต้องนำวัวชนออกมาเดินหรือวิ่งในตอนเช้า หากนักทัศนาจรไปเยือนหาดชลาทัศน์และหาดแหลมสนอ่อน หรือหาดอื่นๆในจังหวัดสงขลาเพื่อชมดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากน้ำในตอนเช้า สิ่งหนึ่งที่ท่านต้องสนใจคือ จะเห็นผู้เลี้ยงวัวชน จูงวัววิ่ง หรือวิ่งตามวัว บนหาดทรายนับเป็นสิบๆตัว  กีฬาวัวชนยังคงได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะให้ความตื่นเต้นเร้าใจ สนุกสนาน ประทับใจ และมีการวางเดิมพันกันมากๆ หากคู่ใดวัวชนมีชื่อเสียงโดยทั้งคู่ไม่เคยแพ้มาก่อนเลยเงินเดิมพันจะมีเป็นล้านบาท สนามชนโคเรียกกันว่า "บ่อนวัว" มีอยู่หลายอำเภอในจังหวัดสงขลา  เช่น ที่สนามบ้านขุนทอง อำเภอจะนะ สนามบ้านน้ำกระจาย อำเภอเมืองสงขลา สนามไชย อำเภอสทิงพระ เป็นต้น โดยจัดให้มีการแข่งขันชนวัวเดือนละครั้งสลับกันไป ในสนามชนโคทุกแห่งรัฐเข้าไปดำเนินการเพื่อรักษาความสงบและให้เป็นไปตามกฎหมาย
   
กติกาการชนวัว ครั้งนำวัวทั้งคู่ลงสู่สนามประจันหน้ากันแล้ว กรรมการจะตีกลองเป็นสัญญาณ ผู้เลี้ยงดึงเชือกล่ามออกจากจมูกวัว การต่อสู้ของวัวเริ่มขึ้นด้วยการใช้เขาขวิดกดดันคู่ต่อสู้ด้วยกำลัง หากตัวที่ต้านคู่ต่อสู้ไม่ได้ถอยหนี กรรมการจะตีกลองสัญญาณ 1 ครั้ง แล้วตั้งขันที่เจาะรูลอยลงในอ่างน้ำ ใช้จับเวลาแทนนาฬิกา  และให้ต้อนวัวตัวที่ถอยหนีเข้าต่อสู้กันใหม่ หากต้อนวัวจนขันที่เจาะรูลอยอยู่ในอ่างจมน้ำ แต่วัวตัวถอยหนีไม่ยอมเข้าต่อสู้ใหม่ ก็ถือว่าแพ้ หากวัวตัวนั้นเข้ามาต่อสู้ใหม่แล้ววิ่งหนีอีกเป็นครั้งที่สอง ถือว่าวัวตัวนั้นแพ้เด็ดขาด ในขณะที่วัวต่อสู้กันอยู่ ตัวใดล้มลงและไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้อีก ถือว่าวัวตัวนั้นแพ้ (ถนอม พูนวงศ์, 2545)


ภาพประกอบ  :  วัวชน
ที่มาของภาพประกอบ  :  http://www.krungshing.com/forum/showthread.php?t=333

   "วัวชน" เป็นประหนึ่งอัตลักษณ์ความเป็นตัวตนของชาวไทยภาคใต้แต่ครั้งดั้งเดิม แสดงถึงนิสัยความเป็นคนปักษ์ใต้ที่แท้จริงดังที่ อ.อาคม เดชทองคำ ทำการวิจัยเรื่อง "หัวเชือกวัวชน" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน "โครงการสร้างพลวัตวัฒนธรรมภาคใต้กับการพัฒนา" ดังมีรายละเอียดว่า คนปักษ์ใต้มีท่าทีแข็งกร้าว ตรงไปตรงมา มีความเชื่อมั่นในตนเองและมีอัตตาสูง ทำตัวเป็นหัวเรือใหญ่ ชิงการนำ ดิ่งเดี่ยว เสี่ยงสู้ไม่ยอมรับนับถือหรือนิยมยกย่องใครง่ายๆ ไม่ยอมเสียเปรียบเสียรู้ใครง่ายๆ ชอบศึกษาหาความรู้เพื่อจะได้รู้เท่าทัน มีท่าทีไว้เชิง และไม่เปิดตัวก่อนเมื่อพบคนแปลกหน้า นิสัยการบริการต่ำ ค่อนข้างเฉียบขาด รักใครรักจริง เกลียดใครเกลียดจริง เป็นคนรักหมู่คณะของตน (อาคม เดชทองคำ, 2543)


ภาพประกอบ  :  วัวชน 2
ที่มาของภาพประกอบ  :  http://www.dld.go.th/biotech/th/index.php?option=com_content&view=article&id=79:-m-m-s&catid=81:-m---m-s&Itemid=136

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

เก็บเก่าเรื่องเล่าแต่แรก.....เทคนิคการลักวัวในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 / สงขลา พ.ศ. 2488
(บทความโดย อ.คุณาพร ไชยโรจน์  / บทความตีพิมพ์ใน Cattle me magazine No. 05 : 2012-07-11)

นานมาแล้วที่ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมภาษณ์ท่านผู้หนึ่ง(ปัจจุบันท่านล่วงลับไปนานแล้ว)ผู้เขียนขอใช้ชื่อท่านว่า "ทวดพล" นะครับ.........เนื่องจากเหตุบางประการจึงไม่อาจจะสามารถเอ่ยชื่อจริง-นามสกุลจริงของท่านผู้ให้สัมภาษณ์ได้.........เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นและได้มีการยกพลทหารญี่ปุ่นขึ้นบกที่เก้าเส้ง  สงขลา( เวลา 1 นาฬิกาเศษของคืนวันที่ 8 ธันวาคม 2484)  จนเกิดการปะทะกันด้วยอาวุธหนักระหว่างทหารญี่ปุ่น  และทหารไทย ซึ่งสนธิกำลังกับตำรวจ และชาวบ้านเข้าต่อสู่ร่วมกันอย่างกล้าหาญ  ครั้งสงครามยุติลงในราวปี พ.ศ. 2488(ฝ่ายญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข 14 สิงหาคม 2488)  ปรากฏว่าภายในประเทศไทยขณะนั้นยังคงมีทหารญี่ปุ่นตกค้างเพื่อเดินทางกลับประเทศเป็นจำนวนมาก  ทวดพล.....ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังต่อว่า  หลังจากญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามอย่างย่อยยับ  จึงมีคำสั่งให้ทหารญี่ปุ่นเก็บข้าวของและอาวุธต่างๆให้พร้อมเพื่อเตรียมเดินทางกลับประเทศ 

โดยระหว่างที่รอยานพาหนะมารับนั้น(คนในสมัยนั้นเข้าใจว่าส่วนใหญ่ทหารญี่ปุ่นรอเรือมารับ)จำต้องหาสถานที่ปักหลักค้างแรมกันเสียก่อน  โดยมีทหารญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งคาดว่ามีจำนวนหลายร้อยนายได้ขนข้าวของเครื่องใช้และสัมภาระในการดำรงชีพมาตั้งค่ายพักแรมกัน ณ เนินดินแห่งหนึ่ง(เนินดิน  ในปี พ.ศ. 2488 คือสถานที่ตั้งของวิทยาลัยการอาชีพหลวงประธานราษฎร์นิกร ในปัจจุบัน)  โดยจากคำบอกเล่าของทวดพล   เนินดินนั้นยังกว้างละมีต้นไม้ใหญ่น้อยล้อมรอบ  มีฮวงซุ้ยของชาวจีนตั้งอยู่อย่างประปราย   ทหารญี่ปุ่นกางเต้นผ้าใบขนาดใหญ่ใช้เป็นสถานที่พักกันเป็นจำนวนหลายหลัง  ส่วนอาหารการกินก็สามารถหาได้จากแหล่งน้ำในบริเวณใกล้กับที่ตั้งค่ายพักแรม  เวลาจะอาบน้ำทหารญี่ปุ่นก็จะแก้ผ้ากันหมด(ไม่ใส่เครื่องปกปิดอะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียว)กลายเป็นทรรศนะอุจาดพอดูสำหรับผู้คน-ชาวบ้านที่ผ่านไปมาในย่านนั้น  สำหรับอาหารโปรดที่ทหารญี่ปุ่นชอบทำกินกันอยู่บ่อยครั้งในขณะที่รอกลับภูมิลำเนาเดิมเห็นจะเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ  แต่ที่เห็นจะโปรดปรานมากกว่าอย่างอื่นคงเป็นเนื้อวัว  ซึ่งนำมาปรุงอาหารได้สารพัดทั้งแบบดิบๆ-สุกๆแล้วแต่ใครพอใจจะสรรหาเมนูกัน  โดยในการจัดหาเนื้อวัวเพื่อนำมาปรุงอาหารในแต่ละมื้อนี้เองจะมีนายทหารเป็นผู้ติดต่อจากชาวบ้านอีกทีหนึ่ง  และที่สำคัญนายทหารญี่ปุ่นจะไม่นิยมซื้อเนื้อวัวแบบประเภทที่แล่ หรือล้มแล้ว  พวกเขานิยมซื้อวัวเป็นฝูง.....นำมาล้มและชำแหล่ะเอง   

เนื่องด้วยการขายฝูงวัวให้นายทหารญี่ปุ่นมักได้ราคาดีกว่าการขายให้กับคนไทยด้วยกันเองจึงไม่แปลกที่มีชาวบ้านหลายรายต้อนฝูงวัวของตนมาขายทำกำไรไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าให้กับนายทหารญี่ปุ่น   กล่าวถึงตอนนี้เองทวดพล(นามสมมุติ).......จึงได้เอ่ยถึงอาชีพอีกอย่างหนึ่งที่ทำกำไรอย่างงดงามยามที่ทหารญี่ปุ่นตั้งค่ายอยู่ ณ เนินดินแห่งนั้น  อาชีพที่ว่านี้คือ..... "โจรลักวัว" (โจรลักวัว  หรือ  โจรขโมยวัว)  ซึ่งทวดพล เองก็เคยหลงผิดทำอาชีพดังกล่าวมาก่อนจนเกือบเข้าคุกเข้าตะรางไปอยู่เหมือนกัน(ภายหลังท่านจึงเลิกอาชีพดังกล่าวก่อนจะจรลีเข้าตะราง)   เล่าต่อ.......ปกติการลักของๆชาวบ้านที่เป็นคนไทยด้วยกันเอง  ทวดพล จะเน้นเอาของๆคนที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน  อาทิ  คนต่างถิ่นที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่   หรือคนจากถิ่นอื่น  เป็นต้น  แต่ก่อนพวกโจรขโมยวัวมักนิยมลักฝูงวัวขนาดไม่ใหญ่มากนักเพื่อสะดวกในการไล่ต้อนไปซ่อนยังที่ต่างๆ  ถึงกับมีคำกล่าวกันในสมัยนั้นว่า....... "หากวัว-ควายหายให้ตามมาแลที่บ้านท่านางหอม"   แสดงให้เห็นว่าแถวย่านบ้านท่านางหอมยังอุดมไปด้วยป่าไม้ที่ขึ้นอยู่อย่างหนาตา  ใช้เป็นที่หลบซ่อนของฝูงวัน-ควายได้เป็นอย่างดี  วัวที่นายทหารญี่ปุ่นใช้เป็นอาหารในค่ายที่เนินดินก็เช่นเดียวกัน  ปรากฏว่าเคยถูกโจรลักวัวแสดงความเชี่ยวชาญ  ลัก-ขโมยจนหมดทั้งฝูงมาแล้ว.........ผู้เขียนเลยถามทวดพล ว่าเทคนิคการขโมยวัว ที่ใช้เมื่อสมัยปี พ.ศ. 2488  จนทำให้ทหารญี่ปุ่นเสียโง่มาแล้วนี่เขาทำกันเช่นไร   ทวดพลจึงเล่าต่อว่า.......ทวดเอาวัวไปขายให้นายทหารญี่ปุ่นจำนวน 1 ฝูงใหญ่(ราว 25 ตัว)  โดยทหารญี่ปุ่นพอซื้อวัวเสร็จสรรพก็จะนำวัวมาปล่อยให้หากินหญ้าเอาเองภายในบริเวณที่ตั้งค่ายพัก ณ เนินดินดั่งกล่าว  พอตกดึกๆมักจะเหลือทหารยามเพียงแค่ไม่กี่นาย  คนลักวัวก็จะนำเอาเชือกกล้วยมาผูก-มัดกันให้มีขนาดยาวมากๆต่อๆกันไป 

โดยก่อนที่โจรลักวัวจะปฏิบัติการไปลักฝูงวัวฝูงดังกล่าวนี้เองจะต้องไม่อาบน้ำมาเป็นเวลาอย่างต่ำ 7 วัน  ซึ่งเชื่อกันว่าหากโจรลักวัวไม่อาบน้ำเป็นระยะเวลา 7 วัน......ใส่เสื้อผ้าชุดเดิม  +การบริกรรมคาถาอาคมที่ตกทอดมาจากครู-อาจารย์แล้ว  จะสามารถลักวัว-ควายได้ดังสมประสงค์   จากนั้นก็..........รอ  รอ  รอ  และรอให้ถึงคืนเดือนมืด(ถ้ามีฝนตกลงมาด้วยจะเป็นเรื่องที่ดีมากๆ)   ค่อยๆหมอบคลานเข้าไปยังค่ายทหารญี่ปุ่นอย่างช้าๆ  นำเอาเชือกกล้วย(หรือเชือกอะไรก็ได้ที่สีมันเข้มๆ-ดำๆแลเป็นธรรมชาติไม่สะดุดตาใคร)นำมาผูกเข้ากับวัวตัวหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าฝูง(คนเป็นโจรลักวัวจะต้องมีวิชา  และดูออกว่าวัวตัวไหนเป็นวัวหัวหน้าฝูง)หลังจากผูกเชือกเข้ากับวัวตัวหัวหน้าฝูงเสร็จแล้ว  โจรลักวัวก็จะหมอบคลานออกมาจากค่ายเนินดินอย่างช้าๆ  จากนั้นจึงค่อยๆลากวัว(วัวตัวหัวหน้าฝูง)อย่างช้าๆ  จนมันเดินมาตามทางที่เราลาก(อย่าให้ทหารยามเห็นเป็นใช้ได้).....โดยระหว่างที่ค่อยๆลากวัวออกมาให้ท่องคาถาที่เป็นคำเฉพาะ......จะสังเกตว่าหากวัวหัวหน้าฝูง  หรือวัวผู้นำฝูงเดินไปในทิศทางใด  วัวที่เหลือทั้งหมดก็จะเดินตามไปในทิศทางนั้น  ทหารยามมักจะไม่สนใจฝูงวัวในยามค่ำคืน  ดึกๆมากนั้น  จวบจนได้ฝูงวัวตามที่ต้องการมาแล้วจึงนำฝูงวัวดังกล่าวไปหลบซ่อนหรือฆ่าเพื่อกิน-ขายเนื้อในบริเวณบ้านท่านางหอม ซึ่งในขณะนั้นยังแลดูเปลี่ยวเกินกว่าจะหาผู้คนเดินเล่นในยามค่ำ  ส่วนวัว-ควายที่ได้มานี่จะเอาไปขายต่อหรือเอาไปแหมะ(ฆ่า-ล้ม)กินกันก็สุดแต่ความต้องการของโจรลักวัวแต่ละรายๆไป 

ถึงตรงนี้ผู้เขียนเลยถามต่อไปว่า....... "แล้วนอกจากลักวัว-ความแล้วนี่  ยังมีอาชีพเสริมอะไรอีกบ้าง"    ทวดพล.....เห็นคนที่รู้จักกันเขาว่าลักของชาวบ้านต่างถิ่นที่มาปลูกเรือนใหม่ๆ  จำพวกเงิน-ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ  โดยเข้าไปลักในบ้านเลย(เรียกว่าขอมดำดิน)........กรรมวิธี   การลักของในแบบ "ขอมดำดิน" (ปีพ.ศ. 2488 บ้านเหนือ-หาดใหญ่)คือโจรจะต้องรู้เวลาที่เจ้าของบ้านออกไปทำงานก่อนว่าอยู่ระหว่างหยามใดถึงหยามใด(เวลาใด-เวลาใด)จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไปยังบ้านเป้าหมายใช้จอบ-เสียม ขุดดินที่ติดกับผนังบ้านหลังดังกล่าวออก  จากนั้นขุดต่อลึกลงไปใต้พื้นบ้าน.........เมื่อขุดเอาดินออกมาจนหมดเราจะพบว่ามีส่วนของปูนที่เป็นส่วนพื้นบ้านกั้นเอาไว้   ให้ใช้ชะแลง-ค้อน  และวัสดุอื่นๆ(แล้วแต่รายๆไป)กะเทาะแผ่นปูนให้แตกออกโดยง่าย........เนื่องด้วยในสมัยก่อน( ปี พ.ศ. 2488)นั้นชาวบ้านในอำเภอเหนือ(อำเภอหาดใหญ่)ยังไม่นิยมการใส่โครงเหล็กเสริมปูนปูพื้นบ้านเท่าใดนักจึงทำให้ง่ายต่อการกะเทาะแผ่นปูนดังกล่าวออกได้โดยง่าย   หลังจากทำการกระเทาะแผ่นปูนปูพื้นบ้านออกจนเป็นช่องพอที่คนๆหนึ่งจะเข้าไปได้แล้วจึงทำการลอดช่องดังกล่าวเข้าไป.......คราวนี้ก็สุดแล้วแต่คุณโจรแต่ละท่านแล้วว่าต้องการอะไรบ้าง..........บันทึก  ณ  ห้วงแห่งความทรงจำ (คุณาพร ไชยโรจน์, 2552)


ภาพประกอบ  :  โจรลักวัว
ที่มาของภาพประกอบ  :  Cattle me magazine No. 05 : 2012-07-11

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

บริบทตำนานทางความเชื่อ  :  วัวในสำนวนโบราณของไทย และพญาวัวศักดิ์สิทธิ์

ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปี พ.ศ. 2542 หน้า 1062 ได้อธิบายความหมายของคำว่า "วัว" เอาไว้ว่า "วัว  น.  ชื่อสัตว์เคี้ยวเอื้องชนิด bos Taurus ในวงศ์ bovidae เป็นสัตว์กีบคู่ ลำตัวมีสีต่างๆ  เช่น น้ำตาลนวล  เขาโค้งสั้น  มีเหนียงห้อยอยู่ใต้คอถึงอก  ขนปลายหางเป็นพู่  บ้างก็เรียกว่า โค"
                นอกจากนี้ยังมีคำโบราณ รวมถึงสำนวนของไทยที่บอกเล่าลักษณะนิสัยของคนประเภทต่างๆ โดยเชื่อมโยง หรือเปรียบกับวัว เช่นคำว่า
                "วัวเขาเกก"  หมายถึง  คนประเภทเป็นอันธพาล เป็นนักเลงหัวไม้  ชอบเกะกะเกเร
                "วัวลืมตีน"  หมายถึง  คนที่ไปได้ดิบได้ดี และกลับลืมสถานะเดิมของตน
                "วัวสันหลังหวะ"  หมายถึง  คนที่มีความผิดติดตัว  แล้วจึงต้องคอยระแวดระวังหรือหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าใครจะมาคิดร้ายต่อตน
                "วัวหายล้อมคอก"  หมายถึง  เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้วจึงคิดที่จะป้องกัน
                สำนวนโบราณของไทยเราที่เกี่ยวข้องกับวัวในแบบยาวๆก็มีนะครับ เช่นคำว่า "แม่สื่อแม่ชักไม่ได้เจ้าตัว เอาวัวพันหลัก"  ซึ่งหมายถึง  ประมาณชายหนุ่มที่ใช้ให้แม่สื่อไปติดต่อกับหญิงสาวที่ตนแอบชอบอยู่แต่ไม่ได้ตัวหญิงสาวนั้นมาเป็นภรรยา  เลยเอาแม่สื่อมาทำภรรยาแทน เป็นต้น


ภาพประกอบ  :  วัวหายล้อมคอก
ที่มาของภาพประกอบ  :  http://www.sahavicha.com/?name=blog&file=readblog&id=696

                ในกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ของ กรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส  ท่านได้แต่งบทกลอนเกี่ยวกับโค คุณลักษณะ  และคุณความดีแห่งการเกิดเป็นคนเอาไว้อย่างน่าสนใจยิ่งว่า
                "พฤษภกาสร          อีกกุญชรอันปลดปลง
                โทนนต์เสน่งคง      สำคัญหมายในกายมี
                 นรชาติวางวาย       มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
                 สถิตทั่วแต่ชั่วดี       ประดับไว้ในโลกา....."
                แปลแบบง่ายๆ คือ วัว-ควาย เมื่อตายจากไปแล้ว มันยังเหลือเขา  เหลือหนังอันสง่าเอาไว้  มนุษย์เมื่อตายหรือสิ้นบุญลาลับจากโลกไปแล้วคงเหลือแต่คุณความดีให้คนรุ่นหลังได้ระลึก
               
ในเมืองไทยเองมีความเชื่อรวมถึงพิธีกรรมเกี่ยวกับวัว หรือโค อยู่เป็นอันมาก เช่น พิธีแรกนาขวัญ ซึ่งจะมีพระราชพิธีใหญ่โตจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี  มีการเสี่ยงทายอาหารที่พระโคเลือกด้วยว่าการเกษตรกรรมของประเทศจะเป็นไปในทิศทางใด  พิธีกรรมดังกล่าวนี้ล้วนเป็นการสร้างขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรอันถือเป็นกระดูกสันหลังของชาติได้มีกำลังทั้งกาย-ใจ สร้างผลผลิตข้าวเลี้ยงดูชนในชาติอย่างไม่ขัดสนในภายภาคหน้า  จึงจัดได้ว่าพิธีกรรม หรือความเชื่อเกี่ยวกับวัวในประเทศไทยนั้นล้วนแฝงไปด้วยนัยหลายหลากประการ  อันค้ำให้เกิดสมดุลแก่ทั้งคน สัตว์ ธรรมชาติ เป็นอาทิ  เนื่องด้วยเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับวัวนี้มีความสำคัญในพิธีกรรมหลายอย่างในไทย  จึงไม่แปลกที่ตราประจำจังหวัดน่านจะใช้ตราเป็นรูปพญาวัวเป็นสัญลักษณ์  ผู้เขียนพยายามสืบค้นหาข้อมูลดูจึงพอทราบได้ว่า  รูปสัญลักษณ์ประจำจังหวัดน่านนั้นเป็นรูปพญาโคเผือกที่ชื่อ "อศุภราช"  แบกพระเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองอยู่บนหลัง  และเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่มีสัญลักษณ์ประจำจังหวัดเป็นรูปวัวเผือก  หากพูดถึงโคอศุภราช  หรือโคอุสุภราช  ซึ่งหลายคนเรียกกันว่า "โคนนทิ" แล้ว  ทำให้เข้าเค้าว่าตราประจำจังหวัดน่านอาจจะได้รับอิทธิพลทางศิลปะ และความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูไม่มากก็น้อย  เพราะพญาโคอุสุภราช หรือนนทินี้เองล้วนเป็นข้าพระเป็นเจ้าแห่งองค์อิศวร  หนึ่งใน "ตรีมูรติ ทั้ง 3"  (ตรีมูรติ  หมายถึง  เทพสูงสุดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู  ประกอบไปด้วย  พระอิศวร  พระนารายณ์  และพระพรหม)

ตำนานเล่าถึงเรื่องราวของพญาโคนนทิ ว่า  มารดาของพญาโคนนทิ คือนางโคสุรภี  ซึ่งกำเนิดขึ้นมาในคราวกวนเกษียรสมุทร(กูรมาวตาร)ถึงนางโคสุรภีจะเป็นแม่โคสารพัดนึก  คือพระอิศวรท่านต้องการอะไรนางโคก็จะเนรมิตให้ได้สมดั่งใจมุ่งหวังทุกประการ  แต่ด้วยความชอบเป็นการส่วนพระองค์ที่ต้องการได้พญาโคเพศผู้สักตนหนึ่งมาเป็นเทพพาหนะ  ท่านจึงขอให้พระกัศยปเทพประชาบดี  หรือพระกัศยปเทพบิดร จำแลงกายเป็นพญาโคเพศผู้ร่วมสังวาสจนนางโคสุรภีตั้งท้องให้กำเนิดพญานนทิขึ้นมา  จากนั้นพระอิศวรจึงให้พรแก่นนทิว่าขอให้เป็นเจ้าแห่งสัตว์จตุบาท(สัตว์สี่เท้า)แต่บัดนี้เป็นต้นไป  แต่บางตำนานก็เล่าแตกต่างออกไปว่า  เดิมทีโคนนทิเป็นบริวารของพระอิศวรอยู่แล้ว  กล่าวคือ  นนทิเป็นเทวดาในพระอิศวรเจ้า  ทำหน้าที่เป็นเทพเสนาบดี  ครั้งพระอิศวรทรงระบำ  นนทิจะทำหน้าที่ตีตะโพน  เมื่อพระอิศวรจะเสด็จไปยังสถานที่ใดพระนนทิ หรือเทพบุตรนนทิจะจำแลงกายเป็นโคหนุ่มให้พระองค์ประทับ  เป็นต้น


ภาพประกอบ  :  พญาโคนนทิ  ข้าพระเป็นเจ้าแห่งองค์อิศวร
ที่มาของภาพประกอบ  :  http://www.indiaindream.com/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B0-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87.html

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

นอกจากความเชื่อในเรื่องพญาโคนนทิเป็นโค ศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หรือการเอารูปโคนนทิไปเป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดน่านแล้ว  ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเทวะประจำวันศุกร์นั้นมีความเกี่ยวข้องกับวัว หรือโค อย่างลึกซึ้ง  กล่าวคือผู้นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทั้งในประเทศอินเดียและในประเทศไทยล้วนมีความเชื่อร่วมกันว่าเทพประจำวันศุกร์ คือพระศุกร์ นั้นท่านเป็นเทวะแห่งโค ทั้งหลายเนื่องด้วยเชื่อว่าพระศุกร์ท่านถูกสร้างขึ้นมาจากวัว และท่านก็ทรงวัวเป็นเทพพาหนะดังมีตำนานเล่าสืบทอดมาจากคัมภีร์เฉลิมไตรภพว่า
                สุวกำนำโคศุภโค                         หน้าแด่นใบโพ
                ยี่สิบเอ็ดเสด็จประสงค์
                ถึงโรงพิธีโดยจง                          กราบทั้งสี่องค์
                เธอทรงยินดีปรีดา
                ร่ายเวทวิเศษศักดา                       เป่าต้องกายา
                คาวีวินาศพาดกัน
                พรมน้ำกรดบรรไลยกัลป์            กายคาวีนั้น
                ก็กลายเป็นหนองฟองฟู
                บัดใจกลายเป็นอณู                      ผ้าทิพย์ชมพู
                ห่อหุ้มเป็นกลุ่มเดียวกัน
               วารีพิธีสาปสรรพ                         รดเสกเป่าพลัน
                ห่อนั้นก็เป็นเทวา
               ทรงเครื่องรุ่งเรืองนัยนา                สุดแสนโมรา
               นามว่าพระศุกร์สุกสี
               
หรือพระอิศวรได้จัดสร้างพระศุกร์ขึ้นมาจากการนำวัวทั้ง 21 ตัว  มาป่นให้แหลกละเอียด  ใส่ประพรมด้วยของวิเศษนานับประการจนก่อกำเนิดเป็นพระศุกร์ขึ้นมา  ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า  พระศุกร์มีกำลัง 21 ตามจำนวนวัวทั้ง 21 ตัวที่ป่นสร้างขึ้นมาเป็นพระองค์  หากใครจะทำบุญเพราะตนเกิด หรือเชื่อในพระศุกร์จะต้องทำบุญตักบาตรพระ 21 รูป  สวดมนต์คาถา 21 จบ  บ้างก็ว่าควรบวงสรวงในพิธีด้วยการทำข้าวบิณฑ์ 21 ปั้นก็ว่า  นอกจากเรื่องเกี่ยวกับวัวจะเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแล้ว  ความเชื่อในพระพุทธศาสนาก็ล้วนปรากฏความเชื่อเกี่ยวข้องกับวัวอยู่เป็นอันมาก อาทิ  ความเชื่อเรื่องแม่วัวเก็บไข่แม่กาขาวไปเลี้ยง ดังมีตำนานทางพระพุทธศาสนาเล่าไว้ว่า  นานมาแล้วยังมีกาเผือก(กาขาว)ผัว-เมียคู่หนึ่ง  ทำรังอยู่บนต้นไม้ใหญ่ริมธารน้ำในป่าหิมพานต์  อยู่มาวันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหาอาหารไกลจากรังตนจนหาทางกลับมาไม่ถูก  ทำให้นางกาต้องออกตามหาอยู่นานจนในที่สุดมีพายุร้ายพัดกระหน่ำจนนางกาสูญเสียไข่ทั้ง 5 ใบไปหมดสิ้น  ณ เวลาต่อมาไข่ทั้ง 5 ใบที่โดนพายุซัดไหลไปตามลำธารสายหนึ่งมีแม่สัตว์ทั้ง 5 ชนิดเก็บเอาไข่ไปเลี้ยงดูฟูมฟักจนกลายเป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ตามลำดับดังนี้
               
  พระกุกกุสันโธ                                         แม่ไก่เก็บไปเลี้ยง
                พระโกนาคมโน                                        แม่นาคเก็บไปเลี้ยง
                พระมหากัสสโป                                       แม่เต่าเก็บไปเลี้ยง
                พระโคตโม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)     แม่วัวเก็บไปเลี้ยง
                พระศรีอาริยเมตเตยโย(พระศรีอารย์)       แม่ราชสีห์เก็บไปเลี้ยง
               
จากตำนานทางพระพุทธศาสนาเรื่องนี้พอที่จะเห็นคติที่สอดแทรกไว้ในเนื้อเรื่องได้ว่า  หากจิตใจสูงส่งก็ย่อมส่งผลสามารถฟูมฟักเลี้ยงดูสิ่งที่ดีงามให้ปรากฏออกมาได้เป็นดั่งที่แม่สัตว์ทั้ง 5 เก็บไข่แม่กาขาวได้จากริมแม่ลำธาร นำมาฟูมฟักเลี้ยงดูจนกลายเป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ เป็นต้น  ซึ่งในเรื่องเกี่ยวกับวัวอันสืบเนื่องเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธศาสนานี้เอง  ยังมีเรื่อง "โคนันทวิสาล"  อีกเรื่องหนึ่ง  ที่จะขอนำมาบอกเล่าสู่กันฟัง  ว่าในอดีตพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นวัว  หรือโค  เรียกชื่อว่า "นันทวิสาล"  โดยมีพราหมณ์ผู้หนึ่งเลี้ยงเอาไว้แต่เล็กๆ  จนครั้งนันทวิสาลเติบใหญ่เป็นโคถึกมีกายร่างกำยำแข็งแรง  และเนื่องด้วยความที่พราหมณ์คนดังกล่าวเลี้ยงดูนันทวิสาลมาอย่างกับลูกในไส้  ให้ความรักความเอ็นดูเป็นยิ่งประจวบกับพราหมณ์เองมีฐานะยากจนมาก  คิดได้ดังนั้นแล้วพญาโคจึงสงสารและบอกกับพราหมณ์ผู้เป็นนายว่าให้ไปท้าพนันกับโควินทเศรษฐี  ว่ามีโคถึก กำลังมากมายสามารถลากเกวียนหินกรวดทราย 100 เกวียนได้  โดยให้ท้าเดิมพันในวงเงิน 1000 ตำลึง เพื่อท่านจะได้หลุดพ้นจากความยากจน  พราหมณ์ก็ทำตาม  ครั้งถึงวันพนันปรากฏว่าพราหมณ์ขึ้นไปขี่หลังพญาโคพร้อมดุด่าว่า "เจ้าโคนันทวิสาล  เจ้าจอมเกรียจคร้าน  ขอให้รีบฉุดลากเกวียนไปข้างหน้าแต่โดยไว"  พญาโคได้ฟังก็รู้สึกไม่พอใจและยืนสงบนิ่งไม่ลากเกวียนแต่ประการใด  โควินทเศรษฐีจึงชนะเดิมพันหนึ่งพันตำลึงในที่สุด  ครั้งเสียทรัพย์ไปเป็นจำนวนมากทำให้พราหมณ์โศกเศร้าเป็นยิ่ง  ไม่กินไม่นอนอยู่หลายวัน โคนันทวิสาลก็รู้สึกสงสารอีกจึงเข้าไปปลอบและบอกให้พราหมณ์ไปท้าพนันกับโคนันทเศรษฐีใหม่  โดยคราวนี้ให้เพิ่มวงเงินเดิมพันเป็น 2000 ตำลึง  แต่ท่านต้องไม่ดุด่าว่ากล่าวเราเหมือนเฉกเช่นวันก่อน  ขอให้ท่านกล่าวชมเราแล้วเราจะช่วยให้ท่านชนะพนัน  ครั้งถึงวันพนันพราหมณ์จึงพูดกับโคนันทวิสาลว่า "พ่อโคผู้เจริญ มีพละกำลังมาก ท่านจงฉุดเกวียนนี้ไปให้ถึงยังที่หมายด้วยเถอะ"  โคนันทวิสาลเมื่อได้ยินถ้อยคำชมจึงเกิดกำลังใจกล้าหาญ  สามารถฉุดลากเกวียนไปยังเส้นชัยได้  ทำให้พราหมณ์ชนะพนันได้เงินทั้ง 2000 ตำลึงเป็นของตนและมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม  นิทานตำนานทางพระพุทธศาสนาเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  การพูดดีเป็นศรีแก่ตัว หากพูดไม่ดีอาจจะเกิดผลร้ายแก่ตนก็เป็นได้  เป็นต้น
             
ในพุทธศาสนานิกายมหายาน หรือที่หลายคนเรียกว่า "ในวัดจีน" นั้นยังมีความเชื่อเกี่ยวกับวัวที่แปลกไปจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู  และพุทธศาสนานิกายหินยาน  ในบางเรื่อง  อาทิเช่น  ในเรื่องของเทพปีศาจตนหนึ่งที่มีกายเป็นมนุษย์  แต่มีหัวเป็นวัว  ที่ชาวจีนเรียกกันว่า "งู้เท้า"  หรือ "หัววัว"  อันเป็นบริวารของพญายม  งู้เท้า(หัววัว)เป็นเพื่อนสนิทกับ เบ้หมิ่ง(หัวม้า)  ทั้งสองทำหน้าที่เป็นมือเท้าให้กับพญายมของประเทศจีน(ถ้าในความเชื่อของประเทศไทย พญายมจะมีบริวารเป็นสุวาณ และสุวัณ)โดยเชื่อกันว่าหากใครสิ้นอายุในภพดังกล่าว  หัววัว-หัวม้าจะมานำดวงวิญญาณไปพบท่านพญายมเพื่อตัดสินพิจารณาคดีและส่งดวงวิญญาณเหล่านั้นไปยังสถานที่ๆควรจะไป เป็นต้น
               
อนึ่ง  นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกตำนานหนึ่งของจีนเชื่อว่ายังมีเทพนักบัตรตนหนึ่ง มีหัวเป็นวัว มีกายเป็นมนุษย์ แต่งกายด้วยชุดนักปราชญ์  ทำหน้าที่เป็นเทพนักบัตรพิทักษ์สุสานในราชวงศ์กษัตริย์พระองค์ต่างๆในประเทศจีน  โดยมากนิยมปั้นเป็นรูปปั้นไว้ในสุสาน  โดยนิยมสร้างเค้าโครงของใบหน้าให้แลดูน่ากลัวเป็นพิเศษ  ซึ่งเชื่อกันว่าเทพนักบัตรเหล่านี้เอง  ที่มีการปั้นให้ใบหน้าดุเป็นพิเศษนั้น จะมีความน่าเกรงขาม มีพลังอำนาจลึกลับที่จะช่วยป้องปกและคุ้มครองสุสานมิให้พลังชั่วร้ายต่างๆเข้ามาจู่โจมได้  อ่านมาจนถึงตรงนี้ทำให้เราได้รับทราบถึงคติความเชื่อในเรื่องวัว ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู  พุทธศาสนานิกายหินยาน(ไทย)  และพุทธศาสนานิกายมหายาน(จีน)  ผู้เขียนจึงขอเพิ่มเรื่องของ "มิโนทอร์" (minotaur) และ "ไลแคนโธรปี" (lycanthropy) อันเป็นความเชื่อของชาวยุโรปตะวันตกเอาไว้ด้วยเพื่อความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นของบทความ  กล่าวคือทั้งสองเรื่องนี้เป็นความเชื่อเฉพาะกลุ่มของชาวยุโรปตะวันตกเกี่ยวกับวัว  ที่ว่า "มิโนทอร์" (minotaur)นั้นเป็นวัวต้องคำสาป(บ้างก็ว่าวัวถูกเปรียบได้ดั่งสิ่งชั่วร้าย/เชื่อในบางกลุ่มชน)ดังมีตำนานเล่าขานเรื่องเกี่ยวกับวัวต้องคำสาปนามมิโนทอร์ เอาไว้ว่า  ที่เมืองครีต อันเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในยุโรป  ชายนาม "ไมนอส" ต้องการจะก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์จึงคิดการกระทำบูชาบวงสรวงเทพเจ้าแห่งท้องทะเลชื่อโปไซดอน(เทวะแห่งผืนน้ำ)  บ้างก็ว่า Poseidon  ด้วยการขอให้ท่านเทพส่งวัวเผือกขึ้นมาจากทะเลแล้วตนจะทำการบูชายัญพระองค์ในทันที  ทันใดนั้นท่านเทพก็ช่วยส่งวัวเผือกสุดสวยดั่งผ้าไหมสีขาวขึ้นมาจากผืนน้ำ  ไมนอสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์สมดั่งเจตนารมณ์  แต่เขาไม่ต้องการจะฆ่าวัวเผือกดังกล่าวทิ้งเพราะเสียดายในความงามของมัน  เมื่อไม่ทำตามคำมั่นสัญญาณปรากฏว่าเทพเจ้าโกรธจัดและสาปให้ "ปาซิฟาอี"มเหสีของไมนอสเกิดป่วยเข้าขั้นวิปริตจนต้องร่วมสังวาสกับวัวเผือกตัวดังกล่าวจนเกิดบุตรชายออกมาตนหนึ่งชื่อ "มิโนทอร์" มีกายเป็นมนุษย์ แต่มีหัวเป็นวัวเพศผู้ขนาดใหญ่  ที่สำคัญมิโนทอร์กินเนื้อ และดื่มเลือดคนเป็นอาหาร  ซึ่งทำให้เกิดความชั่วร้ายต่างๆนาๆตามมาสู่เมืองครีตเป็นอันมาก  สอดคล้องกับความเชื่อในเรื่อง "ไลแคนโธรปี" (lycanthropy) ซึ่งเป็นความเชื่อในแถวยุโรปตะวันตกในหลายประเทศว่าไลแคนโธรปี หมายถึง มนุษย์แปลงร่างหรือกลายร่างเป็นสัตว์  อาทิ  หมาป่า  กระต่าย  กระเข้  เสือ  หรือแม้แต่วัว ซึ่งชาวยุโรปเชื่อกันว่าเป็นความชั่วร้ายด้วยคำสาปของพระเป็นเจ้า  ความเชื่อเรื่องสัตว์โดยเฉพาะวัวของชาวยุโรปตะวันตกจึงดูเชื่อกันคนละทางกับแถวเอเซียอย่างน่าประหลาดใจ  อนึ่ง  ในเรื่องมนุษย์แปลงร่าง  หรือมนุษย์กลายร่างนี้เองในประเทศไทยก็มีความเชื่อกัน  อาทิ  ความเชื่อเรื่องทวดในรูปสัตว์ เช่น เชื่อว่าพระที่เดินทางมาจากทางเหนือของประเทศไทยมาปักกลดลงในบริเวณวัดโลการาม  บ้านสะทิ้งหม้อ  ตำบลสะทิ้งหม้อ  อำเภอสิงหนคร  จังหวัดสงขลา ท่านกลายร่างเป็นงูจงอางขนาดใหญ่หลังท่านมรณภาพแล้ว เรียกกันว่า "ท่านทวดงูพ่อตาหลวงรอง"  หรือตำนานความเชื่อในเรื่องทวดหัวเขาแดง  จังหวัดสงขลา ที่เชื่อกันว่าท่านทวดหัวเขาแดงเป็นชายชราชาวจีน  ท่านเสียชีวิตลงจากเหตุเรือสำเภาล่มที่ปากน้ำเมืองสงขลา  ต่อมามีคนเห็นจระเข้ใหญ่เวียนว่ายไปมาเชื่อว่าคอยป้องปกปากน้ำเมืองสงขลาไว้  ชาวสงขลาส่วนใหญ่จึงเชื่อว่าชายชราชาวจีนท่านนั้นได้กลายร่างเป็นจระเข้ทวด เรียกว่าทวดหัวเขาแดง ไปเสียแล้ว  เป็นต้น


ภาพประกอบ  :  มิโนทอร์
ที่มาของภาพประกอบ  http://www.oknation.net/blog/chokadam/2010/07/04/entry-1

               พูดถึงเรื่องวัวอันน่ากลัวมา 2 เรื่องแล้วนึกขึ้นได้ว่าในห้องรับแขกที่บ้านของผู้เขียนยังมีตุ๊กตากระเบื้องตัวหนึ่งได้รับมาในวันขึ้นปีใหม่ปีก่อน  ตั้งโชว์ไว้อย่างสวยหรู  มันมีความเชื่อกันด้วยนะครับในเรื่องเครื่องประดับตกแต่งบ้านที่เป็นรูปวัว  ในหนังสือชื่อ ?ของตกแต่งบ้านบันดาลโชค?  ของ "มงคล  ไพศาลวาณิช"  ปี พ.ศ. 2549 หน้า 68 ได้อธิบายเอาไว้ว่า "การตกแต่งบ้านด้วยตุ๊กตา  หรือรูปปั้นจำลองรูปวัวจะช่วยส่งเสริมให้เกิดสิริมงคลต่อคนในบ้านได้เป็นอย่างดี  เพราะวัวเป็นสัตว์นำความสำเร็จ  เข้มแข็ง  และมุ่งมั่น  อดทนมาสู่คนในบ้าน  ถ้าเป็นรูปปั้นวัวนม  หมายถึง  ความโชคดี และอุดมสมบูรณ์  ถ้าตกแต่งด้วยลูกวัวจะเป็นมงคลในทางสมหวังดั่งปรารถนาทุกประการ"  เขียนมาจนถึงตรงนี้น้องที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆพูดแซวมาว่า "ยังไงก็ไม่ควรเลือกรูปปั้นวัวกระทิงนะ  เพราะอาจสร้างความวุ่นวายให้คนในครอบครัวได้/บางคนเขาเชื่อกันน่ะครับ"  ถ้าเรื่องวันกระทิงนี่เราคงต้องยกให้ประเทศสเปนเขา  เพราะได้ชื่อว่าประเทศแห่งกระทิงดุ  บ้างก็ว่าเป็นเมืองกระทิง  เมืองมาทาดอร์(นักฆ่าวัวกระทิง)ก็ว่า  ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะมีงานประเพณีของเมืองมาดริด(เมืองหลวงของประเทศสเปนอยู่งานหนึ่งที่จะมีการปล่อยวัวกะทิงออกมาให้ไล่ขวิดหนุ่มๆ(ผู้กล้าหาญ)ทั้งหลายที่ใจกล้า ใจถึงพร้อมออกวิ่งหนีวัวกระทิงกันอย่างสนุกสนาม ซึ่งบางปีก็มีคนตายในงานด้วย  เชื่อกันว่าใครที่ได้เข้าร่วมงานประเพณีวิ่งวัวกระทิงดังกล่าวแล้วจะได้รับการยอมรับว่าเป็นชายชาตรีอย่างสมบูรณ์และได้รับความสนใจจากเพศตรงข้ามเป็นพิเศษ  เขียนถึงเรื่องวัวเรื่องโคมาหลายเรื่องแล้วนึกถึงนิทานพื้นบ้านภาคใต้ได้เรื่องหนึ่งถึงที่มาของรูปลักษณะของวัวที่ว่าทำไมวัวถึงไม่มีขน(ความจริงมี แต่สั้นมากๆ) พอได้ความจากนิทานพื้นบ้านภาคใต้เรื่อง "นักเล่านิทาน" ว่าครั้งพระอิศวรสร้างโลกใหม่ๆ(ถ้าทางสายพราหมณ์-ฮินดูว่าพระพรหม เป็นผู้สร้าง)บรรดาสัตว์ทั้งหลายต่างทะเลาะกันอยู่นานเพื่อความเป็นใหญ่ในป่า  สรรพสัตว์ทั้งหลายทะเลาะกันนานเข้าทุกวี่ทุกวันจนอยู่มาวันหนึ่งก็ได้รวมตัวกันออกเดินเท้าไปหาพระอิศวรเพื่อให้ท่านตัดสินว่าใครสมควรจะได้เป็นเจ้าป่าตัวจริง  พระอิศวรท่านก็ว่าหากใครในหมู่สรรพสัตว์สามารถเข้าไปใกล้พระอาทิตย์ได้มากที่สุด  ตนนั้นแหล่ะคือเจ้าป่า  สิ้นเสียงพระเป็นเจ้าสัตว์ใหญ่น้อยทั้งหลายต่างกรูกันวิ่งเข้าหาพระอาทิตย์  วัวก็อยากเป็นเจ้าป่าแต่วิ่งเข้าไปหาพระอาทิตย์ได้เพียงระยะหนึ่งปรากฏว่าทั้งตัวถูกไฟของพระอาทิตย์แผดเผาเสียจนขนที่ขึ้นปกคลุมสวยงามมอดไหม้จนหมดสิ้น  เหลือเพียงผิวหนังที่แดงก่ำอย่างเจ็บปวดทรมานไว้เพียงแค่นั้นดังปัจจุบัน  ส่วนสัตว์ที่เข้าใกล้พระอาทิตย์ได้มากที่สุดคือ สิงโต สังเกตว่าสิงโตถูกแสงพระอาทิตย์ไหม้ขนไปเกือบทั้งตัว เหลือเพียงแผงคอเท่านั้นที่ยังไหม้ไม่หมด  แผงคอของสิงโตจึงเปรียบเป็นดั่งเกียรติยศที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเลือกเป็นเจ้าป่าจากการประลองครั้งนั้นนั่นเอง(ความเชื่อชาวใต้)
                ถึงวัวจะถูกแสงระอาทิตย์สาดส่องจนไรขนมอดไหม้ไปเกือบหมดสิ้น และพ่ายแพ้ในการประลองคราวนั้น  แต่วัวในหลายพื้นที่ก็ยังถูกเปรียบเป็นดั่งนักสู้ประจำถิ่น  อาทิ  วัวที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และสงขลาซึ่งนิยมจัดมาแข่งขันเป็นกีฬาวัวชนกันอย่างกว้างขวาง  โดยวัวที่จะจัดเป็น "วัวชน" นั้นจะต้องมีรูปร่างสง่างาม มีเขาที่แหลมคม  มีโหนกใหญ่  หาง  กีบเท้า  ใบหู  ตา  ฟัน  สีขน  และเสียงร้องต้องถูกต้องตามตำรานิยมในท้องถิ่นนั้นๆ  สนามวัวชนหรือที่เรียกกันว่า "บ่อนวัว"  หรือ "บ่อนงัว"  นี้เองที่ทางจังหวัดสงขลามีอยู่อย่างกระจายในหลายอำเภอ  เช่น
1.สนามบ้านขุนทอง  อำภอจะนะ
2.สนามบ้านน้ำกระจาย  อำเภอเมือง
3.สนามไชย  อำเภอสทิงพระ  เป็นต้น


ภาพประกอบ  :  วัวธนู
ที่มาของภาพประกอบ  :  http://www.google.co.th/imgres?num=10&um=1&hl=th&biw=1366&bih=635&tbm=isch&tbnid=it5dbKkem7PkHM:&imgrefurl=http://www.siristore.com/Products/LP_Jeud1.asp&docid=cDbWpVnPVpKozM&imgurl=http://www.siristore.com/Images/Products/LP_Jeud/Cow7.jpg&w=250&h=200&ei=8q5iUI_rHozQrQec7oGYBg&zoom=1&iact=rc&dur=344&sig=106092807491064531092&sqi=2&page=1&tbnh=138&tbnw=173&start=0&ndsp=18&ved=1t:429,r:15,s:0,i:114&tx=66&ty=89

นอกจากวัวชนจะเป็นกีฬาพื้นบ้านภาคใต้ที่เป็นที่นิยมกันอย่างมากแล้ว  สัญลักษณ์รูปวัวชนยังปรากฏเป็นตราสโมสรทีมฟุตบอลชายจังหวัดสงขลาในระดับดิวิชั่น 1 อีกด้วย  ถามไถ่ถึงที่มาที่ไปของตราสัญลักษณ์ดังกล่าวพอได้ความว่าเพราะวัวชนเป็นสัตว์นักสู้ที่เมื่อลงสู่สนามแล้วมันจะสู้ไม่ถอย  สู้ตายถวายชีวิต จึงเกิดไอเดียนำเอารูปวันชนมาทำเป็นสัญลักษณ์ หรือตราสโมสรฟุตบอลชายจังหวัดสงขลาขึ้น  อนึ่ง  พูดถึงเรื่องวัวชนวัวนักสู้ของจังหวัดสงขลาแล้วทำให้ผู้เขียนนึกถึงเรื่องวัวในความเชื่อของชาวใต้ได้อีกเรื่องหนึ่ง  นั่นคือเรื่องของ "วัวธนู"  ซึ่งคงจะมีกันแทบทุกภาค  ทางภาคใต้เชื่อกันว่าวัวธนูนั้นเป็นคติความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์  บ้างก็ว่าเป็น "ไสยดำ"  หรืออวิชาอีกรูปแบบหนึ่ง  หลายคนฝึกเพื่อปราบอริศัตรู  หลายคนว่าเรียนเพื่อให้วัวธนูเฝ้าดูแลบ้าน  ส่วนกรรมวิธีการสร้างวัวธนู(บางที่ใช้ ควายธนู)ตามที่ผู้เขียนเคยเดินทางไปเก็บข้อมูลตามสถานที่ต่างๆ  อาทิ  ในประเทศเขมร  ทางอีสานใต้  ภาคเหนือ  ภาคใต้  รวมถึงในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย  ล้วนเชื่อกันว่าก่อนอื่นจะต้องมีรูปปั้นวัวธนูจากดินศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน(ในหาดใหญ่นิยมนำดินศักดิ์สิทธิ์มาจากควนดินดำ/ให้ข้อมูล  :  พ่อท่านแก้ว/เจ้าอาวาสวัดคลองเรียน)หลังจากที่ได้รูปปั้นวัวธนูแล้วจึงลงคาถาบังคับวัวธนู  และนำน้ำมาทำเป็นน้ำมนต์ด้วยคาถาบางตัว(ขอไม่อธิบาย)  นำน้ำมนต์ที่ได้จากการสวดมาทำการรดลงสู่หลังของวัวธนูพร้อมบริกรรมคาถาควบคุมกำกับวัวธนู  จากนั้นจึงนำน้ำมนต์ที่ได้จากการรดหลังวัวธนูตนดังกล่าวไปประพรมให้รอบๆตัวบ้าน  หรือรอบๆกำแพงบ้านวันละครั้ง  เชื่อว่าวัวธนูจะปกป้องบ้านของผู้เป็นเจ้าของประหนึ่งสุนัขล่าเนื้อที่ซื่อสัตย์ได้  เป็นต้น  เรื่องเกี่ยวกับวัว  ในความเชื่อของทางภาคใต้ยังมีอีกมากผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังในคราวหน้าหากบทความชิ้นนี้ได้กล่าวหรือล่วงเกินผู้หนึ่งผู้ใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

(******บทความ  :  ตำนานวัวชนสัตว์สายพันธุ์นักสู้แห่งภาคใต้ และบริบทตำนานทางความเชื่อ / คุณาพร ไชยโรจน์ / 2555)

ส-ดีใจ ส-ดีใจ ส-ดีใจ ส-ดีใจ ส-ดีใจ ส-ดีใจ ส-ดีใจ

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

เณรเทือง

อืมมมม....
สีผิวของวัวชนภาคใต้จะเป็นชื่อเรียกวัวชนตัวนั้นๆ โดยอิงเฉดสีกับสิ่งต่างๆรอบตัวตามธรรมชาติ เช่น
ลูกโหนด = วัวมีสีผิวเหมือนผิวลูกตาลแก่ (น้ำตาลดำออกแดง)
ดุกด้าง   = วัวมีสีผิวเหมือนผิวปลาดุก (ดำอ่อนออกเหลือง)
ลางสาด  = เหลืองคล้ายเปลือกลางสาด
ลูกโหนดมักแพ้ลางสาด, ลางสาดมักแพ้ดุกด้าง, ดุกด้างเสร็จลูกโหนด
แต่ก็ไม่แน่เสมอไป

wareerant


Singoraman


cattleme magazine

เป็นบทความที่น่าสนใจมากๆครับ...ทำอย่างไรผมถึงจะได้นำมาตีพิมพ์ในนิตยสารครับ

คนคลองเรียน 2

อ้างจาก: cattleme magazine เมื่อ 12:19 น.  07 ม.ค 56
เป็นบทความที่น่าสนใจมากๆครับ...ทำอย่างไรผมถึงจะได้นำมาตีพิมพ์ในนิตยสารครับ

+
+
+

+
+

+


ลอง Mail ไปขอบทความกับอาจารย์ดูจิ


เว็บบอร์ด    >>>  http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

E-Mail        >>>  samara17520@gmail.com

Facebook  >>>  คุณาพร ไชยโรจน์  (อันนี้เคยเห็นเเว๊บๆ ไม่เเน่ใจว่าใช้ชื่อใน Face เเบบนี้ป่าว)  ส.กลิ้ง