ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ลัทธิบูชาคนจน

เริ่มโดย โจรหน้าเลี่ยม, 10:03 น. 04 ต.ค 55

โจรหน้าเลี่ยม

ลัทธิบูชาคนจน

ท่านขุนน้อย 4 October 2555 - 00:00

ดูเหมือนจะเป็นคุณพี่ ยักษ์-อภิชาติ ทองอยู่ ผู้เขียนประจำอยู่ในหน้า 2 ไทยโพสต์ ฉบับวันเสาร์ รายนี้นี่เอง...ที่เป็นผู้ให้นิยามคำว่า ลัทธิบูชาคนจน หรืออย่างน้อย ก็เป็นผู้เอ่ยถ้อยคำคำนี้ ให้ตัวเราได้มีโอกาสรับรู้ รับทราบ อันมีความหมายถึงบุคคล หรือกลุ่มคน กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง ที่มักจะยึดมั่น ถือมั่นว่า ความเป็นไปใดๆ ก็ตาม ถ้าหากสามารถนำมาอ้างได้ว่า เป...็นไปเพื่อคนยาก คนจนแล้ว สิ่งนั้นๆ หรือความเป็นไปนั้นๆ ย่อมต้องถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม ไปซะทั้งหมด...
--------------------------------------------
พูดง่ายๆ ว่า...ถึงจะไปฆ่า ข่มขืน ฉก ชิง วิ่งราว ปล้นสะดมใครต่อใคร แต่ถ้าหากสามารถนำเอาเรื่องความจน หรือคนจน มาใช้เป็นข้ออ้างได้ แบบลื่นไหลและแนบเนียนแล้ว อาจเป็นอะไรที่ดูเก๋ ดูดี ต่างไปจากอาชญากร ฆาตกร หรือผู้ซึ่งเลวทรามต่ำช้า โดยปกติทั่วไป ดีไม่ดี...อาจได้รับการยกย่องเป็น โรบินฮู้ด หรือ โรบินหูด ก็แล้วแต่จะออกเสียงกัน ตามสำเนียงของราชบัณฑิตยสถาน ไปเลยถึงขั้นนั้น ซึ่งว่าไปแล้ว ก็คงไม่ต่างอะไรไปจาก ผู้ที่สามารถนำเอาเรื่องเสรีภาพ เรื่องประชาธิปไตย มาใช้เป็นข้ออ้างนั่นแหละ อย่างเช่น คุณพ่ออเมริกา ของเราในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะคิดไปปล้นประเทศไหน ต่อประเทศไหน ก็มักจะหยิบเอาคำว่าเสรีภาพ และประชาธิปไตย มาใช้เป็นข้ออ้างเสมอๆ...
------------------------------------------
แต่ด้วยเหตุที่ การต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน หรือการช่วยเหลือ ดูแล การเยียวยา คนจนในประเทศไทย มันมักจะประสบความล้มเหลว หรือเป็นไปในแบบติดๆ ขัดๆ มาโดยตลอด อันเนื่องมาจากเหตุปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งก็คงไม่ใช่แต่เหตุปัจจัยเฉพาะภายในประเทศเท่านั้น แต่เหตุปัจจัยในระดับโลก มันยังมีส่วนเกี่ยวข้อง แบบไม่อาจแยกออกจากกันได้โดยเด็ดขาด แต่ภายใต้อาการติดๆ ขัดๆ อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน เช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้การหยิบยกเอาเรื่อง ความจน หรือ คนจน มาใช้เป็นข้ออ้าง มันจึงมีส่วนช่วยยกระดับให้ใครต่อใคร กลายเป็นวีรบุรุษ วีรชน เป็นปัญญาชน เป็นนักวิชาการหัวก้าวหน้า แม้แต่กระทั่ง นักการเมือง ที่สุดแสนจะสับปลับ ปลิ้นปล้อน โกงกิน ทรยศ พร้อมเสมอที่จะหักหลังผู้อื่น หรือแม้กระทั่งทรยศหักหลังแผ่นดินเกิด แผ่นดินแม่ของตัวเอง กลับสามารถผงาดขึ้นมาเป็นวีรบุรุษของคนจน วีรบุรุษประชาธิปไตย หรือเป็นรัฐบุรุษ เทียบเท่ากับรัฐบุรุษฉบับของจริง-ของแท้ อย่างอาจารย์ ปรีดี พนมยงค์ ไปโน่น...
-----------------------------------------
เรียกว่า...ถึงวีรบุรุษ หรือรัฐบุรุษ (ของเทียม) รายนี้ จะเลวทราม ต่ำช้า ชั่วแสนชั่วเกินจินตนาการขนาดไหน แต่ภายใต้ ลัทธิบูชาคนจน แล้วล่ะก็ อย่างน้อย...ก็ยังดีกว่า อำมาตย์ ซึ่งก็ยังไม่รู้เป็นใคร หรือยังไม่สามารถจำกัดความลงไปได้อย่างชัดๆ ว่าคืออะไร แต่มักถูกนำมาใช้เป็นสาเหตุ ในการอธิบายถึงเรื่องของความจน ที่ดำรงคงอยู่มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน หรือถูกนำมาใช้เป็น กระโถนท้องพระโรง ในแทบทุกๆ เรื่องมาโดยตลอด เพราะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างนำมาใช้อธิบายง่ายที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาค้นคว้า วิจัย ไม่ต้องเสียเวลาเปิดฝาเข่ง ไปดูความเป็นไปของโลก แค่ได้ ผ่านการครอบงำ จากตำราตะวันตก ทฤษฎีตะวันตก จนมีโอกาสสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นปัญญาชน เป็นนักวิชาการแล้ว อะไรก็ตามที่เคยสร้างความเลวร้ายมาในอดีต ปัจจุบัน หรือกระทั่งอนาคต ก็โยนไปให้ อำมาตย์ รับประทานกันไปเต็มๆ ตกเป็น จำเลย ในทุกเรื่อง ทุกกรณี เพียงเพราะความแตกต่างของยุคสมัย หรือความแตกต่างระหว่าง ความก้าวหน้า กับ ความอนุรักษ์ เท่านั้นเอง...
-------------------------------------------------------
ภายใต้ ลัทธิบูชาคนจน นั้น...มันจึงไม่มีเรื่องของ ความดี-ความชั่ว ไม่มีเรื่องของ ศีลธรรม-จริยธรรม ใดๆ มาเกี่ยวข้อง กำกับ พูดง่ายๆ ว่า ถ้าโกงแล้วเอามาแบ่งกันมั่ง โดยเฉพาะถ้าแบ่งให้กับคนจนด้วยแล้ว ก็ถือว่าเป็นอันใช้ได้ แม้กระทั่งอัตราส่วนระหว่างการโกงและการแบ่ง มันจะเป็นเท่าไหร่ 60-40 หรือ 90-10 โกงกันเป็นเนื้อ เป็นหนัง แต่แบ่งกันแค่เศษเนื้อ เศษหนัง ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปสนใจ เพราะภารกิจแห่งการ โค่นล้มอำมาตย์ ยังเป็นอะไรที่สำคัญยิ่งกว่า หรือกระทั่งไปลากเอาต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่ง เจ๊ก แขก หรือแม้แต่เขมร ฯลฯ มาร่วมโกง จนชาติทั้งชาติ อาจตกอยู่ในสภาพไม่ต่างอะไรไปจากอาณานิคมของผู้อื่น ก็ยังไม่จำเป็นจะต้องไปรู้สึก รู้สา สู้หันมาโยนอะไรต่อมิอะไร ไปใส่กระโถนท้องพระโรง มันออกจะง่ายกว่า ชัดกว่า ไม่ต้องเสียเวลาทำการบ้าน แถมยังมีโอกาสอิ่มหมีพีมันกันโดยถ้วนหน้า ได้รับการยกย่อง สรรเสริญ ทั้งจากรัฐบาล จากรัฐสภา แถมวันดีคืนดี...ได้ตีตั๋วบินไปดู วันแดงเดือด ติดขอบสนามซะอีกต่างหาก!!!
-----------------------------------------
ลัทธิบูชาคนจน หรือการนำเอาคนจน มาใช้เป็นข้ออ้าง มันจึงไปได้สวย ไปด้วยดี โดยยากที่จะมีใครไปคอยขัด คอยขวาง เพราะถ้าหากไม่ถูกกล่าวหาว่า เป็นพวกอำมาตย์เอาดื้อๆ ก็อาจถูกขบวนการคนจน ที่ถูกว่าจ้าง หรือที่ถูกครอบงำ ด้วยลัทธิบูชาคนจน โดยบริสุทธิ์ใจก็ตาม ยกพวกไปเล่นงานถึงมหาวิทยาลัย แบบที่เคยยกพวกไปล้อมศาล ล้อมทำเนียบรัฐบาล ล้อมที่ประชุมอาเซียน หรือถึงขั้นเคยเผาบ้าน-เผาเมือง เพื่อคนจนกันมาแล้ว แม้ว่าคนจนแท้ๆ ที่ถูกเผาร้านค้า แผงลอย จะต้องพลอยซวยไปด้วย แต่นั่นก็คงไม่ต้องเสียเวลาไปพูดถึงอีกเช่นกัน สู้หันมาพูดถึงนักต่อสู้เพื่อคนจนที่ล้มตายไปแล้ว เพื่อปลุกระดมให้เกิดการลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำมาตย์ ชนิดตายเมื่อไหร่...รับส่วนแบ่งไปเลย 7 ล้าน หรือ 8 ล้าน ก็แล้วแต่จะว่ากันไป อะไรประมาณนั้น...
--------------------------------------
ด้วยเหตุนี้...นโยบายจำนำข้าว อันเป็นนโยบายที่แม้กระทั่ง หนึ่งในนักวิชาการแห่งลัทธิบูชาคนจน อย่างดอกเตอร์ วีรพงษ์ รามางกูร ยังอดไม่ได้ที่จะให้ข้อสรุปว่า เป็นนโยบายที่จะทำให้รัฐบาลลำบาก หรืออาจจะล้มไปเลยก็ได้ ซึ่งถ้าจะพูดกันให้ถึงที่สุดแล้ว ก็คงไม่ใช่แค่รัฐบาลเท่านั้นที่อาจจะล้ม แต่กระทั่งประเทศทั้งประเทศ อาจต้องล้มตามไปด้วยได้โดยไม่ยาก แต่นโยบายดังกล่าว ก็ยังคงได้รับการเดินหน้าต่อไป ด้วยเงินภาษีอากรของราษฎร ไม่ว่าคนจน คนรวยทั้งหมด ปีละนับเป็นแสนๆ ล้าน และแน่นอนว่า...ถ้าหากประเทศชาติเกิดต้องล้มลงไปเมื่อไหร่ ถึงจังหวะนั้น ไม่ว่าคนจน คนรวย ไพร่ หรืออำมาตย์ ต่างก็อยู่ไม่ได้ หรือต่างต้องเดือดร้อนไปด้วยกันทั้งนั้น!!!
----------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก ท่านพุทธทาสภิกขุ...มีผู้กล่าวว่า...รัฐบาลต้องอยู่ข้างประชาชน (คนจน) เสมอ ถึงจะอยู่ได้ หรือเป็นผลดีกับประเทศ การกล่าวอย่างนี้...เห็นว่าไม่ถูก มันต้องพูดใหม่ว่า รัฐบาลต้องอยู่ข้างฝ่ายเป็นธรรม หรือศีลธรรมเสมอ เพราะถ้าถือหลักอย่างแรกแล้ว จะยิ่งทำให้ประชาชนเป็นบ้า และบ้ามากขึ้นเปล่าๆ และถ้าจะให้พระเจ้า (ศาสนา) กล่าว ก็จะกล่าวว่า...ทุกคนควรจะอยู่กับศีลธรรม แล้วจะไม่แตกแยกเป็น 3 ฝ่าย คือรัฐบาล - นายทุน - และประชาชน อีกต่อไป...