ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

10 อันดับ สุดยอดของอาหารท้องถิ่น แต่ละประเทศ

เริ่มโดย makeitbaby, 11:56 น. 26 พ.ย 53

makeitbaby

10 อันดับ สุดยอดของอาหารท้องถิ่น แต่ละประเทศ

อันดับที่ 10

      

เหล้าดองงู - เวียดนาม
เหล้า ดองงู มีต้นกำเนิดที่ประเทศเวียดนาม ต่อมาได้แพร่ขยายไปตามภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทางตอนใต้ของจีน ถึง แม้ว่างูที่เห็นบรรจุอยู่ในขวดเหล้าจะเป็นงูพิษ แต่การที่งูถูกแช่เหล้าเป็นเวลานานๆ จะทำให้พิษค่อยๆ เจือจางและถูกทำลายไปในที่สุด จึงสามารถดื่มได้โดยไม่เป็นอันตราย กล่าวกันว่า เหล้าดองงูมีสรรพคุณทางยา แต่นักท่องเที่ยวหลายรายต่างเลือกที่จะซื้อไปตั้งโชว์ที่บ้าน มากกว่าซื้อไปโด้ป!



อันดับที่ 9

      

หัวใจ (สดๆ) นกพัฟฟิน - ไอซ์แลนด์
ต้องบอก ว่า...เมนูนี้ค่อนข้างโหดร้ายและเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ ก็ใครจะไปนึกว่าคนไอซ์แลนด์เขาจะใช้ตาข่ายขนาดใหญ่ดักจับนกพัฟฟินมาหักคอ ถลกหนัง แล้วควักหัวใจออกมาทานกันสดๆ ขณะที่เนื้อมักถูกนำไปรมควัน ย่าง ทอด หรือกลายเป็นเมนูอันโอชะตามภัตตาคารหรูต่างๆ แม้ว่าไอซ์แลนด์ จะเป็นหนึ่งในถิ่นอาศัยของฝูงนกพัฟฟินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ผลจากการที่ถูกมนุษย์บุกรุกถิ่นฐาน และไล่ล่าเอาทั้งไข่และเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจับนกพัฟฟิน ด้วยวิธี "สกาย ฟิชชิ่ง" หรือใช้ตาข่ายขนาดใหญ่ดักจับนกโชคร้าย ก็ยิ่งทำให้นกดังกล่าวมีปริมาณลดลงอย่างฮวบฮาบ



อันดับที่ 8

      

กาแฟ Kopi Luwak - อินโดนีเซีย
เมื่อ ไม่นานมานี้ "บีเอสเอ็นนิวส์" เคยนำเสนอเรื่องราวของกาแฟ "Kopi Luwak" ที่ได้ชื่อว่าหายากและมีราคา "แพงที่สุดในโลก" มาแล้วครั้งหนึ่ง เมล็ด กาแฟชนิดนี้ ได้มาจากระบบขับถ่าย (อึ) ของตัวชะมดชนิดหนึ่งซึ่งชาวอินโดฯ เรียกว่า Luwak สัตว์ชนิดนี้จะกินผลกาแฟสดเข้าไป แล้วขับถ่ายเมล็ดกาแฟออกมา กล่าวกันว่าเมล็ดกาแฟที่ผ่านกระบวนการนี้จะมีกลิ่นหอมและรสชาติดีเป็นพิเศษ กาแฟ "Kopi Luwak" พบได้บนเกาะสุมาตรา ชวา และสุลาเวสี ปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยความที่หายากเมล็ดกาแฟชนิดนี้จึงมีราคาขายสูงถึง 100-600 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,400 - 20,400 บาท) ต่อ 1 ปอนด์ (0.45 กก.) เลยทีเดียว



อันดับที่ 7

      

ปลาหมึกเป็นๆ - เกาหลีใต้
สำหรับ ท่านที่เป็นแฟนซีรีย์เกาหลี คงเคยเห็นอาหารจานนี้ผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว... เมนู นี้มีชื่อว่า "Sannakji" (แถวบ้านเราเรียกว่า "ปลาหมึกสด") วิธีทำก็ง่ายๆ แค่นำปลาหมึกเป็นๆ มาหั่น ราดด้วยน้ำมันงาแล้วเสิร์ฟทันที ขณะ อยู่ในจานหนวดปลาหมึกจะยังคงดิ้นดุ๊กดิ๊ก และดูดติดกับจานหรืออะไรก็ตามที่เข้าไปสัมผัส ดังนั้น เวลารับประทานจึงต้องใช้ความพยายามในการคีบมากเป็นพิเศษ และต้องต่อสู้กับหนวดปลาหมึกเล็กน้อย แต่ใช่ว่าคีบได้แล้วเรื่อง จะจบ เพราะเวลาที่อยู่ในปากปลาหมึกอาจยังคงดูดติดฟัน เพดานปาก และลิ้นของเรา แถมยังดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาเวลาเวลาเคี้ยว จึงต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนลงคอ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายและเสียฟอร์มเพราะสำลัก หรือ (หนวด) ปลาหมึกติดคอ



อันดับที่ 6

      

เซอร์สตอร์มมิง - สวีเดน
หนึ่ง ในอาหารแปลก ที่สุดในโลกจานนี้ สามารถซื้อหามารับประทานได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปในสวีเดน และเจ้าอาหารแปลกที่ว่านี้ก็คือ "เซอร์สตอร์มมิง" หรือ "ปลาเฮอร์ริงเน่า" นั่นเอง สำหรับท่านที่ไม่ชอบปลาร้า เวลาได้กลิ่นอาจทำหน้าเหยเกแล้วบ่นว่า "เหม็น" แต่เชื่อหรือไม่ว่าปลาร้า 10 ไหก็ยังชิดซ้ายปลาเน่า "เซอร์สตอร์มมิง" จากสวีเดน เพราะแค่เพียงกระป๋องเดียว ก็อาจทำให้คลื่นเ...ยนอาเจียนไปทั้งหมู่บ้าน ส่วนจะเหม็นแค่ไหนนั้น...ลองนึกภาพดูแล้วกันว่าเวลาจะรับประทาน ต้องนั่งทาน "กลางแจ้ง" ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกเท่านั้น "เซอร์ สตอร์มมิง" ผลิตจากปลาเฮอร์ริงในทะเลบอลติกที่ถูกจับขึ้นมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปลาเหล่านี้จะถูกหมักอยู่ในถังราว 1-2 เดือน จากนั้นจึงนำมาบรรจุลงกระป๋องเพื่อหมักต่อ และรอให้ปลาเน่าสนิทอีกราว 6 เดือน จนกระป๋องเริ่มบวมเป่ง (เพราะภายในมีแก๊สที่เกิดจากปลาเน่า) เป็นอันใช้ได้ จากนั้นจึงเริ่มนำออกขายตามท้องตลาด และเนื่องจาก ภายในกระป๋องมีแรงดันของแก๊ส จึงมักเกิดเหตุการณ์ "เซอร์สตอร์มมิง" ระเบิด ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั่วบริเวณขณะขนส่ง หรือระหว่างที่เก็บเอาไว้ในโกดังบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้บรรดาสายการบินจึงระบุว่า "เซอร์สตอร์มมิง" เป็นวัตถุอันตราย และห้ามไม่ให้นำขึ้นเครื่องโดยเด็ดขาด คนสวีเดนมักรับประทานปลา เน่าชนิดนี้กับขนมปังแผ่นใหญ่ (บางๆ) และมันฝรั่งต้ม ขณะที่บางคนนิยมทานร่วมกับนม เบียร์ หรือน้ำเปล่า เพื่อให้ทานง่ายขึ้น



อันดับที่ 5

      

คาสุ มาร์ซู - เกาะซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี
คา สุ มาร์ซู (Casu Marzu) คือ ชีสนมแกะที่ภายในมีรูพรุน อันอุดมไปด้วย "หนอนแมลงวัน" แม้ปัจจุบัน ทางอียูจะกำหนดให้ชีส "คาสุ มาร์ซู" เป็นอาหารที่ผิดกฏหมายและผิดหลักโภชนาการอย่างแรง แต่แฟนพันธุ์แท้ของชีสชนิดนี้ ก็ยังคงซื้อหามารับประทานได้จากตลาดมืดซึ่งเป็นที่รู้กัน หาก แปลตรงตัว "คาสุ มาร์ซู" จะหมายถึง "ชีสเน่า" หรือที่ชาวซาร์ดิเนียนเรียกว่า "ชีสหนอน" นั่นเอง เนื่องจากภายในชีสจะมีหนอนตัวขาวใส ความยาวประมาณ 8 ม.ม. ดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก หนอนเหล่านี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเร่งกระบวนการหมักให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และทำให้ไขมันแตกตัว กล่าวกันว่าชีสชนิดนี้มีความอ่อนนุ่มมาก เนื่องจากมีของเหลวแทรกซึมอยู่ในเนื้อชีส แต่จะต้องรีบทานในขณะที่หนอนยังมีชีวิตอยู่ เพราะถ้ารอให้หนอนตายก่อน ชีสก้อนนั้นจะถือว่าเป็นอาหารมีพิษทันที และถ้ายังยี้ไม่พอ ขอบอกว่า...ถ้าใครเอามือไปโดนหรือเอาอะไรเขี่ยหนอนที่อยู่ในชีส พวกมันจะกระโดดใส่ทันที (หนอนพวกนี้สามารถดีดตัวได้สูงถึง 15 ซ.ม.) ซึ่งถ้าหากไม่ระวังล่ะก็อาจกระเด็นเข้าตาได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนนำชีสไปล้างก่อนรับประทาน ขณะที่บางคนใช้ถุงพลาสติกปิดคลุมไว้ก่อนเพื่อให้หนอนขาดออกซิเจนและอ่อนแรง ก่อนที่จะตายในที่สุด แต่วิธีหลังถือว่าอันตรายเพราะอาจทำให้เกิดอาหารเป็นพิษจนต้องหามส่งโรง พยาบาลได้



อันดับที่ 4

      

ไข่บาลุต - ประเทศฟิลิปปินส์
เมนู เด็ดของแดน ตากาล็อกประจำวันนี้ คือ ไข่บาลุต ซึ่งก็คือไข่ต้มที่มีตัวอ่อนของเป็ด (หรือไก่) อยู่ภายใน สามารถหาทานได้ทั่วไปตามท้องถนน ส่วนวิธี รับประทานนั้นก็ไม่ยาก แค่ปอกเปลือกด้านบนออก เหยาะเกลือ น้ำมะนาว พริกไทย และผักชีลงไป (บางคนอาจจะใส่พริกและน้ำส้มสายชู) จากนั้นก็ซดน้ำ (ในไข่) แล้วแกะเปลือกไข่ส่วนที่เหลือออกเพื่อทานไข่แดงและเคี้ยวตัวอ่อนที่กำลัง กรุ๊บๆ



อันดับที่ 3

      

ปลาปักเป้า - ประเทศญี่ปุ่น
"ปลา ปักเป้า" หรือ "ฟุกุ" เป็นได้ทั้งอาหารอันโอชะและยาพิษร้ายในขณะเดียวกัน... เป็น ที่รู้กันว่า "ปลาปักเป้า" ทุกชนิดเป็นปลาที่มีสารพิษ เตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงกว่าไซยาไนด์ถึง 1,250 เท่าอยู่ในตัว โดยเฉพาะบริเวณหนัง ไข่ เนื้อ ตับ และลำไส้ ดังนั้น การรับประทานพิษปลาปักเป้าเข้าไปแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจถึงแก่ความตายได้ ด้วยเหตุนี้ ประเทศญี่ปุ่นจึงออกกฏหมายให้เฉพาะพ่อครัวที่มีใบอนุญาตเท่านั้น ที่สามารถชำแหละเนื้อปลาปักเป้าเพื่อนำมาทำเป็นอาหารได้



อันดับที่ 2

      

ตัวบึ้งทอด - ประเทศกัมพูชา
อย่า ว่าแต่ ฝรั่งเลย แม้แต่คนไทยอย่างเราๆ ถ้าได้เห็นตัวประหลาด 8 ขา สีดำ ขนปุย ถูกทอดขายแบบมาทั้งตัว อวัยวะทุกส่วน (แม้แต่เขี้ยว ขา และขน) อยู่ครบ ก็คงรู้สึกแปลกๆ และอดขนลุกไม่ได้เหมือนกัน "ตัวบึ้งหรือแมงมุม ยักษ์" ที่มีทั้งแบบอบ ย่าง และทอดกระเทียมนี้ ถือเป็นอาหารยอดนิยมของคนกัมพูชา เขาขายกันเป็นล่ำเป็นสันที่ข้างถนนในเมืองสะกุน จ.จำปงจาม จนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวจะต้องแวะชมให้เห็นกับตา และถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ส่วนจะซื้อหาและทดลองชิมหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง



อันดับที่ 1

      

ซุปรังนก - ประเทศจีน
สำหรับ คนเอเชียอย่างเรา การรับประทานรังนกถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา (ถ้ามีตังค์) ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า "รังนกแท้" ถือเป็นอาหารที่หายากและมีราคาแพง ถึงขนาดได้รับฉายาว่าเป็น "คาเวียร์" ของโลกตะวันออกเลยทีเดียว สาเหตุ ที่ฝรั่งหรือคนต่างชาติรู้สึกว่ารังนกเป็นอาหารที่แปลกประหลาดสุดๆ เพราะรังนกแท้ได้มาจากน้ำลายของนกนางแอ่น ที่สำรอกออกมาแล้วจับตัวแข็ง เป็นรูปร่างคล้ายรังนกนั่นเอง ดังนั้นเมื่อเห็นว่ารังนกเป็นอาหารอันโอชะของหลายประเทศในแถบเอเชีย และมีราคาแพงมากๆ เขาจึงอดแปลกใจไม่ได้ว่าพวกเรากินน้ำลายนกเข้าไปได้ยังไง


ที่มา : http://www.toptenthailand.com/display.php?id=153

นกฮูก


หลากำนัน

แลท่ากินได้อยู่อย่างเดียวคือ อันดับหนึ่ง...แต่ก็ไม่มีปัญญาซื้อเกรดแพงๆ

สรุปอดกินทั้งเพ....5555  ;D

เด็กป้อมหก(ไม่6)

ขอบรรยายเฉพาะในส่วนที่เคยรุ้มา
ลำดับที่8
กาแฟอินโด หรือกาแฟ"ขี้ชะมด"(บ้านเราเรียกมูสัง) เมื่ือพ.ศ.2540ตกกิโลกรัมละ4หมื่นกว่า ตอนนี้คงเฉียดแสน ที่แพงเพราะกว่าจะได้มาแสนลำบาก ต้องคอยให้ชะมดไปกินกาแฟจากต้นแล้วถ่ายออกมา คนก็ไปตระเวณเก็บขณะที่อึยังสดๆ แล้วรีบเอามาผ่านกรรมวิธีอบให้แห้งโดยไม่เสียกลิ่นและรสชาติ กว่าจะได้สักกิโลใช้เวลาเป็นเดือนๆ ว่ากันว่ากาแฟแบบนี้อร่อยล้ำ ดื่มแล้วสดชื่นกำซาบซ่านไปทั่วร่างกาย ถ้าสั่งเป็นแก้วตกแก้วละ(เมื่อ2540)พันกว่าบาท
คุณสมบัติของ"ขี้ชะมด"หรือ"ขี้มูสัง"จริงๆแล้วไม่ใช่ส่วนที่เป็นอุจจาระ แต่เป็นไขที่อยู่ปากก้นของชะมด ลักษณะเป็นน้ำเหนียวๆใสๆ ทิ้งไว้จะหนืดคล้ายๆเทียนไข กลิ่นฉุนมาก แต่เมื่อเอาไปผสมทำน้ำหอมจะทำให้หอมติดทนนาน หรือเอาไปผสมทำยาหอมยาลมยาดมยาหม่อง กินก็ได้ ทาก็ได้ จะหอมติดทนนาน ไม่สามารถหาวัสดุอื่นใดมาทดแทนได้ ราคาจึงโคตรแพง ในเืมืองไทยก็มีคนทำอาชีพนี้ เลี้ยงชะมดไว้เพื่อ"ปาดก้นเอาน้ำมัน" ชะมด100ตัวปาดก้นทุกวันใน1เดือนจะได้ไขน้ำมันไม่เกินครึ่งกิโลกรัม ราคาตอนนี้กิโลละ1แสนครับ
ลำดับที่4
บ้านเราเรียก"ไข่ตายโคม" ทุกวันนี้ก็ยังมีขายแถวสนามหลวง แต่บ้านเราเอาไปต้มให้สุกก่อน จิ้มน้ำจิ้มปลาหมึกย่างโรยถั่วลิสงป่น วิธีทำไข่ตายโคมเขาว่าหลังจากไก่หรือเป็ดไข่ออกมาและอยู่ในระยะเป็นตัวอ่อน ให้รีบเอาน้ำสาดบนไข่เพื่อให้หยุดการเจริญเติบโต แล้วเอามาต้มขาย ถ้าไม่คิดมากรสชาติก็อร่อยดี แต่จำเป็นไหมที่ต้องไป(DAK)กินอาหารพิศดารเช่นนี้
ลำดับที่1
รังนกนางแอ่น อาหารอุปาทาน หาว่ากินแล้วดีเลิศประเสริฐศรี(คนกินประจำก็ยังป่วยตาย) วิธีที่ได้มาก็แสนอุบาทว์ รู้ไหม?นกมันรักลูกเหมือนคนเรา อยากให้ลูกออกมามีที่อยู่ที่ปลอดภัย มันจึงเพียรพยายามบินออกไปหาอาหารกินเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง จะได้กลับมาสร้างรังให้ลูกอยู่สบายๆ กว่านกจะสร้างรังได้สักรังมันต้องขากน้ำลายที่เหมือนกาวเหนียวๆออกมาวันแล้ววันเล่า ค่อยๆถูทาๆๆๆๆๆให้รังหนาขึ้นๆๆๆๆๆวันละมิล2มิล นกบางตัวขากน้ำลายจนมีเลือดสดๆทะลักออกมาติดรัง บางตัวสร้างรังเสร็จไม่ทันได้วางไข่ รังถูกขโมยไปซะแล้ว เมื่อรังหายก็กลั้นใจสร้างใหม่ บางตัวสร้างไม่ทันเสร็จตัวเองอ่อนแอตายไปเสียก่อน ตัวที่สร้างรังเสร็จก็วางไข่บนนั้น พอลูกฟักเป็นตัวอ่อนๆขนยังไม่ทันงอกเลย "อมนุษย์บางคน"ไปแซะให้รังหล่นลงมา ลูกนกตาย เพียงเพื่อจะเอารังมาขายโลละแสน คนฆ่านกร่ำรวย รัฐได้ภาษีมหาศาล แต่ศีลธรรมถูกทำลายจนกลายเป็นธุรกิปรกติที่สังคมยอมรับไปแล้ว
ที่จริงยังมีอาหารอุบาทว์อีกหลายอย่างเช่น หูฉลาม หมูหัน ฯลฯ

จันทร์กระจ่างฟ้า

เหล้า สามารถทำลายพิษงูได้จริง ๆ เหรอคะ
ในโลกนี้ มีคนเพียงแค่ 2 คนที่ไม่มีความทรงจำ คนหนึ่งยังไม่เกิด ส่วนอีกคนตายไปแล้ว